แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ที่นี่ก็จะพูดต่อ ก็อยากจะกลับไปทวน เรื่องที่พูดมาแล้วให้พอมองเห็นลำดับสูงต่ำสักหน่อย ให้พวกโลกนิตินั้นมัน เขาพูดไปตามที่เขาจะพูด ไม่ได้ ไม่ได้คำนวณ ไม่ได้คำนึงถึงไอ้ข้อเท็จจริง ทางธรรมะ อะไรนัก
ที่นี่เรามาดูเอง เมื่อความเจ็บไข้เกิดขึ้น คือพวกหนึ่งว่าเป็นโรคชื่อนั้น อีกพวกหนึ่งว่าเพราะอะไร อีกพวกหนึ่งว่าผี เป็นต้นเหตุ อีกพวกหนึ่งว่ากรรม นี่จะต้องเอาเรื่อง ที่มันงมงายมากมาก่อน เช่น เรื่องผี เป็นต้น ว่าเป็นเพราะผีนี่ นี่ถ้าว่าสูงขึ้นมาหน่อย เขาว่าเพราะเคราะห์ร้าย ๆ ที่นี่สูงขึ้นมาหน่อย ก็ว่าโรค โรค โรคอันร้าย โรคร้ายชื่อนั้นชื่อนี่ นี่สมมุติเรียกเป็นโรคนั้นโรคนี้ ที่นี่สูงมาอีกหน่อย ก็ว่ามาถึงกรรม เชื่อว่าเป็นเพราะกรรม เขาก็พ้นนั้นขึ้นไปอีก พ้นกรรมมันก็คือเช่นนั้นเอง เรียกว่า อิทัปปัจจยตาในปัจจุบัน คำนี้ช่วยจำไว้ด้วยเลย ว่าอิทัปปัจจยตาในปัจจุบัน คือมันมีเหตุมีปัจจัย ตามเรื่องตามราวของมัน แล้วก็จะทำให้เกิดผลขึ้นมาในปัจจุบัน เช่นว่าความเจ็บไข้นี้ มันมีเหตุอะไรที่ทำให้เจ็บไข้ แล้วแต่ว่า มันจะเป็นโรคอะไร มันก็มีเหตุของมัน แล้วมันก็ ปรุงแต่งกันจน เป็นความเจ็บไข้ แล้วก็เป็นเรื่องปัจจุบันนั่นเอง
ที่จะมาเห็นว่า มันเป็นเรื่องเคราะห์ร้าย หรือเรื่องผีเข้า หรือแม้ที่สุดแต่ว่า กรรมบันดาล แต่การที่จะ เชื่อว่าเพราะกรรม กรรมบันดาลนั้น ยัง ยังมีส่วนดีอยู่มาก คือไม่งมงาย ไม่อยู่ในพวกงมงาย แต่ก็อยู่ในพวกที่ ยังไม่รู้เหมือนกันแหละ คือวันก่อนก็เคยมาเล่าให้ฟัง เรื่องพระพุทธภาษิต ว่าพุทธบริษัทนั้น จะไม่ถือว่า สุข ทุกข์ นี่เป็นเพราะกรรมเก่า เพราะมันเป็นอิทัปปัจจยตาปัจจุบัน ทำให้เกิดความสุขหรือความทุกข์ กระทั่งว่าแม้มีผล ของกรรมเก่า ถ้าสมมุติว่า จะมีผลของกรรมเก่ามา มันก็ป้องกันได้ด้วยอิทัปปัจจยตาในปัจจุบัน มันจะมาเป็น ทุกข์ร้อนอย่างไรเล่า ก็เป็นของเช่นนั้นเองตามธรรมดา โดยเหตุโดยปัจจัยในปัจจุบัน ถ้าสมมุติว่ากรรมจะทำให้ เจ็บไข้ เราก็ยังมีทางออก คือมันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง รวมหมด เป็นแต่เหตุปัจจัยในปัจจุบัน ให้เป็น เช่นนั้นเอง ไอ้ความเจ็บไข้ มันก็หมดไป เหลือแต่ความเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย เช่นนั้นเอง
นี่เรื่องนี้ ก็ขอให้ยึดถือ เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาต่อไปเรื่อย ๆ ไปนะขอให้สังเกตตัวเองเรื่อย ๆ ไปก็จะคอย รู้เรื่องนี้มากขึ้น ๆ คำว่า ไสยศาสตร์นั้น มันกินความกว้าง กว้าง ที่ยกมาเพียง ๒-๓ อย่างนั้น มันไม่หมด เอาตาม บทสวด พาหุง เวรนังยันติ (นาทีที่ 05:12) นั้นก็มี เมื่อภัย เมื่อมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อาราม หรือรุกขเจดีย์บ้าง นี่เป็นที่พึ่ง นี่กจัดว่าไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม ก็ถ้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และรู้อริยสัจ นั่นแหละจะเป็นที่พึ่งอันเกษม
แล้วช่วยจำไว้แม่น ๆ ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ และเห็น อริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบนะ นี่มันเป็นเครื่องรับประกันกันอยู่ในตัว ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่ ตามแบบงมงาย ไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามที่เป็นจริงนี่ ช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้ ไม่เป็นที่พึ่งอันเกษมได้ เพราะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในชั้นที่บอกกัน ให้ยึดมันถือมั่นอย่างงมงายนั้น ก็มีเหมือนกัน ต้องถึงขนาดที่รู้อริยสัจ ๔ เห็นชัดตามที่เป็นจริงแล้ว ไอ้ความมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของบุคคลผู้นั้นก็แท้จริง ก็เป็นจริง มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง ถึงได้ที่พึ่งอันเกษม
นี่ก็พูดได้ว่า ถ้าถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างงมงาย งมงายตามที่เขาบอกให้ถือ มันก็เป็น ไสยศาสตร์ได้เหมือนกัน แม้จะถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นแหละ แต่ถ้าถืออย่างงมงาย ไม่รู้จักตัวจริง ไม่รู้จักธรรมะมันก็งมงาย เอาพระพุทธรูป พระเครื่องมาแขวนคอ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น นั้นก็เป็นไสยศาสตร์ ที่เป็นงมงาย ถ้าเอาพระเครื่องมาแขวนคอ แล้วคิดว่าเป็นผู้รู้ ผู้ดับทุกข์ได้ เราเอามาแขวนเป็น เครื่องระลึกนึกถึง เป็นเครื่องกันลืม เป็นเครื่องเตือนสติ อย่างนี้ก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไสยศาสตร์ ไม่เป็นงมงาย
แต่ถ้ามาแขวนอย่างของศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไร มันก็กลายเป็นเรื่องงมงาย ระวังให้ดี ในวัดนี่แหละ แล้วก็ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี่แหละ มันก็มีเรื่องงมงายได้ จำไว้อะไร มันยังมีอยู่ในหมู่พุทธบริษัท ๔ ก็ยังมีพวกที่ไม่รู้จริง ยังงมงายอยู่ก็ยังมี จนกว่าจะรู้จริง รู้จริง รู้จริงขึ้นไป ถึงขั้นอริยเจ้านั้นนะ มันจึงจะพ้น มันก็เห็นได้ง่าย ๆ ตรงที่ว่ามันงมงาย มันงมงาย มันรู้ รู้อย่างงมงาย
เรื่องเดิม เขาก็มีเขียนหรือพูดไว ้บอกไว ้ว่าให้สังเกตตั้งแต่ว่าคนป่า สมัยคนป่าดึกดำบรรพ์โน้น มันไม่รู้จัก ไอ้สิ่งที่มองไม่เห็นตัว มันก็ต้องนึกเอาอย่างหนึ่งสิ เช่นว่า ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุ น้ำท่วม ไข้เจ็บ อะไรนี่ มันไม่รู้ตามที่เป็นจริง มันก็นึกเอาว่า เป็นสิ่งศักด์สิทธิ์ เป็นผี เป็นอะไร แล้วแต่จะนึกนะ นึกขึ้นมาได้ ครั้งแรกอย่างไร มันก็ยึดบอกกันอย่างนั้น สอนกันอย่างนั้น ถือกันอย่างนั้น จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า ผีหรือเทวดา ขึ้นมาในโลกนี้ ในอะไรมีผี ในอะไรมีเทวดา มันมากมายเหลือที่จะกล่าวได้ ที่ว่าคนป่าเหล่านั้น จะคิดนึกเอาเอง แล้วก็เชื่ออย่างนั้น เพราะเหตุผลเท่าที่เขามี มันทำให้เชื่ออย่างนั้น เพราะเขาเข้าใจไม่ได้ ถึงแม้เราเดี๋ยวนี้ก็เถอะ อย่างอวดดีไป เราเดี๋ยวนี้นะ ถ้าเกิดมาเป็นทารก แล้วก็ปล่อยให้นึกเอาเอง ว่าไอ้เรื่องฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า อะไรที่น่าประหลาดอัศจรรย์นั้นนะ เป็นเรื่องของอะไร เด็กเหล่านั้นนั้นก็จะ เด็ก เด็กที่ยังเป็นทารกนี่ ก็ต้องนึกไป ตามความรู้สึก ในที่สุดมันก็ไปร่วมกันกับความคิดนึกของคน อย่างเดียวกับของคนป่ายุคดึกดำบรรพ์ มันก็มีผี มีเทวดา มีอะไรที่เข้าใจไม่ได้นั้นแหละ ในท้องฟ้าก็มีเทวดา ดวงอาทิตย์ก็มีเทวดา ดวงจันทร์ก็มีเทวดา ในลมก็มี เทวดา ในฝนก็มีเทวดา ในน้ำก็มีเทวดา ในไฟก็มีเทวดา อะไรที่ดูเข้าใจไม่ได้ ก็เป็นมีเทวดาหมด ในภูเขาก็มีเทวดา ในต้นไม้ก็มีเทวดา กระทั่งในจอมปลวกก็มีเทวดาอย่างนี้ เพราะไม่สามารถจะคิดให้ดีกว่านั้นได้มันอยู่ในระดับนั้น แล้วเมื่อมันสอนกันมา จนเข้ากระดูกก็เชื่อตาม ๆ กันมาอย่างนั้น ก็ยังเหลืออยู่ได้แม้ว่าเป็นพัน ๆ ปีหรือหมื่นปี ก็ยังเหลืออยู่ได้ เดี๋ยวนี้มันก็ยังเหลืออยู่ มันก็ยังเหลืออยู่ ในหมู่คนที่ได้รับคำสั่งสอนอย่างนั้น ไม่ฉลาดไปกว่า คนป่าสมัยโน้นหรอก อย่างนี้เรียกว่า ไสยศาสตร์
นี่คือ ความที่ไม่มีเหตุผล ในเรื่องของความจริง เป็นเรื่องเดา เป็นเรื่องคาดคะเน เป็นเรื่องพูดกันแล้ว ก็ยึดถือกันไปอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจงเอาเรื่องจริง ที่มีอยู่จริงนั้นแหละ เป็นหลักวัดทดสอบตัวเอง ตามที่มีอยู่ ในปัจจุบันนี้เอง พวกที่เล่าเรียนมาอย่างอะไรนะ เป็นพันทางนะ ก็พลอยเชื่อเรื่องเลข ๑๓ ตามฝรั่งไปนี่ นี่ถ้าใครมันจะกลัวแต่เลข ๑๓ อยู่ล่ะ ก็ขอให้รู้ว่ามัน มันงมงาย ๒ ชั้น ๓ ชั้นเลย เอางมงายของพวกอื่นมา หรืออะไรก็ตามแหละที่ ที่ถือกันอยู่ในบ้านในเรือน ว่าจิ้งจกร้อง กลัวจิ้งจกทัก หรือว่าหวั่นกลัวอะไร ไปอย่างใด อย่างหนึ่ง พอจะทำอะไรล่ะ จิ้งจกร้องขึ้นมาก็หยุดทันที จิ้งจกทัก
กระทั่งของ ที่มันไม่มีเหตุผลที่สุด เช่นว่า ของอะไรหล่นลงมาตกแตกตรงหน้านี่ จิตใจมันก็เสีย เป็นลางร้ายอย่างนี้ ไม่ต้องออกชื่อ ในหมู่คนที่เป็นนักศึกษา เล่าเรียนเป็นปริญญา เป็นอะไรมาจากเมืองนอก ก็ยังเชื่อของอย่างนี้อยู่ นี่ของตกแตกตรงหน้า ก็ถือว่าเป็นลางร้าย วันนี้ไปต้องจะเจอะเหตุร้าย หรือคดีที่มีอยู่ ที่โรงที่ศาล มันต้องพ่ายแพ้แน่ นี่ นี่เรียกว่าเป็นผู้ที่มีการศึกษามาอย่าง อย่างยิ่ง นี่มันก็ยังมีอย่างนี้ เป็นดอกเตอร์ อังดรัว (นาทีที่ 14:40) มาจากยุโรปมาถึงเมืองไทย ก็ยังขอรดน้ำมนต์อยู่นั้น เป็นอย่างนี้
คุณดูเอาเองก็แล้วกัน แล้วก็ดูไปถึงว่า เรานะมันมี มีไหม เราเองนะมีไหม ถ้าความไม่รู้ความจริง มีอยู่แล้ว มันจะต้องเป็นอย่างนี้ แม้ที่สุดแต่ความฝัน มันก็ฝันร้ายก็กลัว กลัวอย่าง อย่างจะขาดใจ ในที่สุดก็ไม่มีอะไร แต่มันก็กลัวฝันร้าย กลัวอย่างจะขาดใจ นี่ที่มันเป็นชั้นงมงาย มันก็น่าสงสารมาก ไอ้ที่มันชั้นไม่สู้จะงมงาย แต่เป็นสัญชาตญาณ มันก็ ก็ยังเรียกว่าใช้ไม่ได้ ยังเป็น ๆ ไสยศาสตร์ได้อยู่นั้นเอง คำว่าไสยศาสตร์นี่ แปลว่า ศาสตร์ของคนหลับ ไสยะนี่แปลว่า หลับ คือ ไสยะจะแปลว่าดีกว่าก็มีนะคำนี้ มันก็คือดีกว่าไม่รู้อะไรเสียเลย รู้อย่างงมงาย ไอ้ที่ก่อนนี่ ก็พอทำให้สบายใจได้บ้าง ดีกว่าไม่รู้อะไรเสียเลย พุทธศาสตร์ คือ ศาสตร์ของคนตื่น พุทธะ พุทธะ แปลว่า ตื่นจากหลับ พุทธศาสตร์ ศาสตร์ของคนที่ตื่น ไสยศาสตร์ศาสตร์ของคนหลับ นี่มันเลยมีเหตุ ที่ต่อกันตรงที่ว่า หลับไปจนถึงไหนแล้ว เริ่มตื่นที่ตรงไหนนี่ แล้วก็ตื่นยิ่ง ๆ ขึ้นไป นั้นนะ คือทั้งหมดของมนุษย์เรา เช่นว่า เรามันเคยเข้าใจผิดงมงายมา แล้วมันก็ค่อย ๆ ลดลง ลดลง ลดลงนะ จนมาถึง เดี๋ยวนี้นะ ไอ้ความงมงาย มันหมดไปกี่อย่างแล้วนะ ควรจะสนใจ มันก็นึกถึงเรื่องว่า ถ้าไม่ได้รับคำสั่งสอนเรื่องผี ก็จะไม่มีใครกลัวผี เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ มันถูกสอนโดยไม่เจตนา ให้เชื่อว่ามีผ ีใช้เป็นเรื่องหลอก ให้เด็กกลัว ให้เชื่อฟัง เด็กก็เลยเสียหลัก เสียเหตุ เสียหลักความจริงหมด เชื่อผีและกลัวผี จนต้องลำบากอย่างยิ่ง แม้แต่เอาเรื่องผีมาเล่า นั้นก็กลัว กลัวอย่างกับว่าไปเห็นผีมา มาจริง ๆ
นี่ดูเถอะว่า ไอ้อำนาจของจิต ที่มันมีโมหะหรืองมงายนะ มันกี่มากน้อย ก็ทดสอบตนเองกันไว้ทุก ๆ คน นะว่า เรามันยังมีอะไรเหลืออยู่ ยังสะดุ้ง ยังหวาดเสียว ชนิดที่ไม่มีเหตุผลอยู่หรือเปล่าเป็นเครื่องวัด มันยังสะดุ้ง ตกใจ หวาดกลัว โดยที่ไม่มีเหตุผล ในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ในสิ่งที่งมงาย เอาแล้วนี่ยุติว่า มันเป็นเรื่องกลัว ด้วยความโง่เขลาและงมงาย ที่นี่มันยังมีอะไรอีกเรื่องหนึ่ง ซ้อนอยู่ในนั้น คือเป็นเรื่องของจิตนั้นเอง ถ้าจิตมันเชื่อ ด้วยความงมงายแล้ว มันมีความหวาดกลัวเต็มที่แล้ว ผลของความหวาดกลัวเต็มที่ จะแสดงออกมาเป็น ความเจ็บไข้ได้ป่วย ได้จริง ๆ เหมือนกัน นี่พอไปเข้าจังหวะกันเข้า ก็รับสมอ้างกันเลย ว่ามันมีผีจริง ๆ
ไอ้โครงกระดูก ที่อยู่ที่โรงธรรมนั่น ก็มีเรื่องที่น่าจะเอามาศึกษา เมื่อวันแรกเอามาใหม ่ๆ นะยังมาใหม่ ๆ ยังแตกตื่นกันมาดู มีคนแตกตื่นกันมาดูโครงกระดูกที่แขวน นี่นักเรียน ๆ ก็มาดูหลายโรงเรียน ครูพามาดู เพื่อการศึกษา เพื่ออะไรก็ไม่รู้ นี่ผมยังจำได้ ก็ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ในเด็กที่มาดูนะ มันมีเด็กต่างระดับกัน นี่มีเด็ก ๒-๓ คน ไม่กลัว ไม่กลัวโครงกระดูก เข้าไปกอด เอาหัวดันเข้าไปในระหว่างกระดูกนี้ ให้กระดูกมา มาถูก เขากอด อะไรก็มันมีเด็ก ๒-๓ คน นี่ส่วนเด็กส่วนใหญ่นั้นนะ ดูอยู่ห่าง ๆ แล้วก็ยิ่งที่ ที่มันกลัว มันก็ห่างออก ไปอีก แล้วก็มี ๔-๕ คน ไม่กล้าขึ้นมาบนศาลา ชะเง้อดูอยู่ที่บันได เป็นเด็กหญิง
นี่มัน มันมีเด็กที่ต่าง ๆ กันอย่างนี้ เด็กที่ไม่กลัวมันจะบ้าบิ่น (นาทีที่ 21:33) หรืออย่างไรก็ไม่รู้ มันเข้าไป กอดโครงกระดูก หรือให้โครงกระดูกกอด เขาเล่นหรือมันก็ยืนห่างเพียง ๑ วา นี่ชักอาการไม่ค่อยดี แล้วก็ห่าง ๆ ๆๆ ไป ห่างไปจนที่ไม่กล้าขึ้นมา ๆ ดูบนศาลา ชะเง้อดูอยู่ข้างล่างนั้นก็มี แล้วก็ได้รับรายงานว่า มีเด็กกลับไปเป็น ไข้ตัวร้อน ๒-๓ คน มาดูที่มาดูโครงกระดูกนี่ มีเด็ก ๒-๓ คนเป็นไข้ตัวร้อนเป็นอะไร ก็เข้าใจว่าจะเป็นไอ้เด็ก ที่มันชะเง้อขึ้นดูอยู่ที่ข้างล่าง ที่ไม่กล้าขึ้นมา มันที่เดียว อย่างเดียว เรื่องเดียวกันแท้ ๆ นี่ก็มีผลทำให้บางคนนั้น กลัว จนมีผลแก่ร่างกาย ทางร่างกาย มันเกิดเป็นไข้ตัวร้อนอะไร กว่าจะหาย
นี่ถ้าว่า มันมีความเชื่อเรื่องผีอย่างไร มันก็เชื่ออย่างนั้น แล้วก็มีคนบางคนที่เป็นหมอมา มันช่วย ๆ ปัดเป่าให้ ให้ปัดเป่าให้ ให้หมดยึดของผีแล้ว ก็จะหายตัวร้อน มันก็ทำได้แล้ว มันก็เป็นได้จริงเหมือนกัน เพราะมันเป็นไข้ตัวร้อน มันเป็นความโง่ ที่นี่จะหายจากเป็นไข้ตัวร้อน ก็หายด้วยความโง่อีกนั้นแหละ มันก็เป็น ไปได้ เรื่องกำลังจิตหรือเรื่องของความโง่นี่ มันมีอยู่จริงนะ นี่ถ้ามันโง่พร้อม ๆ กัน โง่พร้อม ๆ กัน เกือบจะทั้งบ้าน ทั้งเมืองนะ ก็คือนึกว่าต้นไม้ต้นนี้ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่ไหว้แล้วก็หักคอ มันก็เป็นได้ที่เด็กคนหนึ่ง ที่มันไม่รู้ มันผ่านไป โดยไม่ไหว้ แล้วมันก็เกิดอาการแปลก ๆ อย่างนั้นขึ้นมาปวดท้องบ้าง คอเคล็ดบ้าง อะไรบ้าง มันเป็นได้เรื่องนี้ มันเป็นได้ ไม่ ๆ ไม่ใช่พวก ไม่ใช่ว่าวิเศษวิโสนั้น เพราะความเชื่ออย่างโง่เขลา ของคนเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น มันเชื่ออย่างนั้น แล้วก็มันใส่ความเชื่อโง่ ๆ นั้นไว้ที่ตรงนั้น
นี่คนที่จิตใจอ่อน ไม่สมประกอบนัก เดินเข้าไปที่นั้นแล้วก็ จะต้องได้รับผลแห่งความเชื่ออันนั้น ต้องเจ็บ อย่างนั้น ต้องเจ็บอย่างนี้ แม้แต่จอมปลวก ทุกคนคนเป็นร้อย ๆ คนบางคนมันเชื่อว่า จอมปลวกนี้ มีฤทธิ์อย่างนั้น อย่างนั้น นี่ไอ้คนหนึ่งมันไม่รู้ มันก็เป็นได้ ที่มันจะปวดท้อง หรือมันจะถ่ายท้องหรืออะไร เกิดอาการเป็นอย่างนั้น ขึ้นมาตามที่เขาเชื่อ เขาเชื่อกันว่าถ้าไม่ไหว้ ถ้าไม่อ้อน ไม่กราบไหว้อ้อนวอนแล้ว จะเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นได้ เป็นได้จริง โดยความเชื่อหรือความโง่ ของคนจำนวนมากรวมกันนะ บันดาลให้เป็นอย่างนั้นได้
ที่นี่ทางฝ่ายผี ทางฝ่ายเทวดาก็ได้ ก็ได้ ได้คะแนนอีก ที่เชื่อว่าเป็นผีเป็นเทวดา มันก็เพิ่มความเชื่อไปอีก ยิ่งเป็นเรื่องที่ทางจิตใจ นั้นเรื่องจิตใจที่จะเป็นอะไร เกือบเป็นเกือบตาย แล้วแก้หาย มันเป็นของที่มีอยู่จริง ในยุคหนึ่ง ในสมัยหนึ่งแล้วยิ่ง ๆ เป็นอย่างจริงจัง เรียกว่ามันยุคคนเขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อ เขาความเชื่อ (นาทีที่ 25:42) ไอ้สิ่งนั้นมันก็หมดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ไปเอง เด็ก ๆ จิตใจยังอ่อนนี่ ยังคุมไม่ได้ ยังไม่สมประกอบนี่ ถูกกระทำให้เป็นอย่างนั้น ไปได้ง่าย ที่เด็ก ที่ไปเที่ยว ที่ ๆ ศักดิ์สิทธิ์มา แล้วไม่ทำอะไรตามนั้น ก็จะกลับมา ปวดหัวตัวร้อน หรือมีอาการรุนแรง อย่างไม่น่าเชื่อ ว่าไม่รู้เป็นอะไรอย่างนี้มีได้
นี่เรื่องไสยศาสตร์นั้น มันยังคงมีอยู่ จนกว่าคนในโลกจะหายโง่ ถ้าเมื่อไรคนในโลกมันหายโง่ พร้อมกัน หมดทุกคนแล้ว ไอ้สิ่งชนิดนี้ ก็จะไม่มีอยู่ในโลก ถ้ามันยังมีคนที่เชื่ออย่างนั้น ได้อยู่ในโลก ไอ้สิ่งเหล่านี้ มันก็ยังมี อิทธิพล อย่างที่เราเคยได้ยินมา แต่เด็ก ๆ ว่าทางเดินตรงนี้ ที่ลอดต้นไม้ที่ขึ้นคลุมอยู่บนทางเดินแล้วถูกบอกให้เชื่อ ให้เด็ก ๆ ให้เชื่อว่ามีผีตาตัวหนึ่งห้อยหัวลงมา ถ้าใครเดินผ่านไปมันก็หลอก อย่างนี้เป็นจริงได้ หลอกให้เห็น ให้เห็น ให้เด็กคนนั้นมันเห็นได้ ให้เด็กคนที่ใจอ่อนขวัญอ่อน เห็นเป็นอย่างนั้นได้จริง เพราะคนทุกคน หรือเด็ก อื่น ๆ ทุกคน มันเชื่อว่าอย่างนั้น นี่มันช่วยกันเชื่อว่าอย่างนั้น นั้นมันก็ม ีไอ้ที่ตรงนั้น ตรงนี้ไอ้ที่พูดว่า ถ้ามันไป เป็นที่นั้นแล้ว จะมีเห็นอย่างนั้น จะมีผีหลอกอย่างนั้น ผีหลอกอย่างนี้ ผีหลังโก่งบ้าง ผีตาโขนบ้าง ผีแล้วแต่ แล้วไอ้เด็กคนที่ขวัญอ่อน มันไปที่นั้น มันก็เห็นได้ แล้วไปเป็นไข้ตัวร้อนได้
แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งเหล่านี้หายไป ๆ เมื่อผมยังเป็นเด็ก ๆ อยู่ก็รู้สึกว่า ยังมี ๆ อยู่หลายแห่ง ไอ้ที่เจริญนั้น (นาทีที่ 28:12) แต่เดี๋ยวนี้ปรากฎว่าไม่มีแล้ว ไม่มีเด็กคนไหนเชื่อ มันก็หายไปเอง เพราะมันก็เกิดขึ้นจากอวิชชา ไอ้ความโง่ นั้นเรื่องไสยศาสตร ์มันก็มีจริงอย่างไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็มีจริงอย่างไสยศาสตร์ แล้วแต่จะโง่ไปอย่างไรแล้ว มันก็มีจริงอย่างนั้นนะ เป็นอำนาจจิตของคนที่เชื่ออย่างเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นนั้น ไอ้จิตนั้นมันรวมกัน แรงมาก ครอบงำคนให้รู้สึก อย่างที่เขาพูดกันว่าอย่างไร
คน คนบางพวก บางชาติใน ในโลกนี้ ที่เขาเรียกพวกยิปซี(นาทีที่ 29:10) เป็นพวกที่มีเวทมนต์คาถา ทำอะไรอย่างเวทมนต์คาถา ตามแบบไสยศาสตร์ มันก็เป็นได้ใน ในหมู่คนที่เขาเชื่ออย่างนั้น เมื่อยุคก่อน อย่างยุค สมัยผมเป็นเด็กนั้นนะ เขามีไอ้เครื่องป้องกันขโมย เอากะลามาหุ้มผ้าขีดตีนกาแดง ๆ แล้วแขวนไว้บนต้น ผลไม้ เด็ก ๆ ไม่กล้าขโมย สมัยหนึ่งยุคหนึ่งมีผล แต่ยุคเดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว มันไม่ค่อยเชื่อกันแล้ว ถ้าสมัยที่เชื่อมันจะจริง ๆ แล้วมันมีผลได้จริง ๆ เหมือนกัน เพราะกำลังจิตแห่งความโง่ ของคนจำนวนมาก เชื่อว่าอย่างนั้น ไปขโมย มากินเข้า มันก็แน่นหน้าอกบ้าง อะไรบ้าง ตามเรื่องของมัน อย่างนี้ มันไม่ใช่ผี ไม่ใช่เทวดา มันกำลังจิตนี่ ไอ้ความเชื่อของคนเหล่านั้น แล้วก็มีจริงอย่างไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็มีจริงอย่างไสยศาสตร์
นี่ถ้าจิตยังอ่อนขนาดนี้ แล้วก็ มันยังไกลต่อการรู้ความจริงของธรรมะ สัจจะของธรรมะ มันรู้ไม่ได้ เพราะมันจะรู้ได้แต่ โดยจิตที่มันเป็นอิสระ ไอ้จิตที่เกลี้ยงไปจาก ไอ้ความโง่ชนิดนั้นนะ มันจึงจะรู้ธรรมะได้ ถ้ามันยังต่ำอยู่ขนาดนั้นนะ รู้ธรรมะไม่ได้ เรื่องกลัวผี กลัวเทวดาอะไร ไสยศาสตร์อะไร มันมากเกินไป มันต้อง ค่อย ๆ ละ เออ, ถ้ายังเชื่อว่า เอ้า, เพราะผีเข้าก็เจ็บไข้ หรือเคราะห์ร้ายหรือเจ็บไข้ เทวดาบันดาลให้เจ็บไข้ อย่างนี้อยู่ละก็ ไม่มีทางจะรู้เรื่องอริยสัจ มันเป็นอย่างพวกที่ว่า ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง ก็รุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ อย่างนั้นเอง
ที่นี่ก ็เป็นหน้าที่ของเรา ที่จะวัดต่อตัวเรา ยังหวาดกลัว ยังสะดุ้งหวาดเสียว ไปอย่างนั้น หรือไม่ ในที่ ๆ เขาเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เข้าไปยังสะดุ้งหวาดเสียวอยู่หรือไม่ กระทั่งว่า จิ้งจกทักยังสะดุ้งหรือไม่ แล้วแต่ แล้วแต่ ที่ได้รับคำสั่งสอนกันมาอย่างไร ถ้ายังสุ่มหวาดเสียวอยู่ด้วยเหตุนั้นนะ ยัง ยังไม่ถึงขนาดที่จะรู้ธรรมะได้ ก็รู้ได้แหละ ไม่ใช่ว่าจะรู้ไม่ได้เสียเลย แต่จะรู้ธรรมะ ขนาดหมดตัวตนนั้น ทำไปไม่ได้
อ้าว, ที่นี่ก็จะมาพูดถึงที่ว่า แม้นักปราญช์ จะพูดว่าเพราะกรรม ก็ยังไม่ ๆ ถูกถึงที่สุด เพราะการที่เชื่อว่า มีกรรม มีบุญ มีบาปนั้นนะ มันยังต้องมีความยึดถือว่าตัวตน ถ้าไม่มีความยึดถือว่าตัวตนนั้น จะเชื่อบุญ เชื่อกรรม เชื่อบาป เชื่ออะไรไม่ได้หรอก มันที่ ที่เป็นอย่างหลักธรรมะนี่แหละ ที่จะเชื่อว่ามี มีกรรมนะ กรรมชั่ว มีบาป อะไรอย่างนี้ มันก็จะมีได้แต่ ผู้ที่มีใจยังรู้สึกยึดถือ ว่ามีตัวตน ถ้าไม่มีความรู้สึกว่า เป็นตัวเป็นตนเสียแล้ว มันไม่มี ที่ตั้งนะ ความรู้สึกว่าบาป ว่าบุญ มันไม่มีที่ตั้ง มันก็เลยมีไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงมีหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าหลุดพ้นนะ มันจะต้องหลุดพ้นไปเหนือบุญ เหนือบาป เหนือกรรม โดยประการทั้งปวง มีจิตใจที่อยู่เหนือกรรมนั้นแหละ จึงจะหลุดพ้น ถึงขนาดเป็นพระอรหันต์
ที่เขามาเขียน เป็นเรื่องราว ให้พระอรหันต์บางองค์ ยังรับกรรม เป็นไปตามกรรม นี่มันไม่ถูกหรอก เป็นคำเขียน ที่เชื่อถือไม่ได้ ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว มันก็ต้องหมดกรรม อยู่เหนืออำนาจของกรรม ไม่เห็นว่าเป็น กรรม แต่เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง หรือเป็นอิทัปปัจจยตาตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง มาจำไอ้หลักอิทัปปัจจยตา หรือตถตาไว้ดี ๆ ว่าเป็นเครื่องวัดว่า เราอยู่ในพวกที่พ้น จากไสยศาสตร์ ชั้นละเอียดที่สุด ยิ่งความมีตัวมีตนนี้ เขาก็ไม่ค่อยได้บัญญัติว่า เป็นไสยศาสตร์อะไรนักหรอก แต่ถ้ามันมียึดถือตัวตนมากเกินไป มันไม่พ้นนะ ที่จะเป็น ไสยศาสตร์ ยังมีลักษณะเป็นไสยศาสตร์ มันต้องเป็นอนัตตาหรือสุญตาโดยสิ้นเชิงนั้น นั่นนะจึงจะพ้นวี่แวว ของไสยศาสตร์
ดังนั้น พวกที่ยังรู้สึก อยู่ใต้อำนาจของบุญของบาปอะไรอยู่ มันก็ยังไม่หลุดพ้น มีความยึดถือเรื่องบุญ และบาป คล้ายกับว่าเป็นไสยศาสตร์ แต่ถ้าเราจะพูดอย่างพระอริยเจ้า ก็พูดได้เป็นไสยศาสตร์ชนิดสุดท้าย ชนิดที่ ชั้นสุดท้ายแหละ ชั้นที่จะหมด นี่จึงจะถึงที่สุด คือ จะไม่สะดุ้งหวาดเสียว ถ้ายังมีสะดุ้งหวาดเสียวอยู่ละก็ ขอให้รู้เถอะว่า มันยังมี มีความหมายแห่งไสยศาสตร์ เช่น เดินไปมืด ๆ อะไรตกแก๊กลงมา ก็สะดุ้งอย่างนี้ คือ มันยังมีอิทธิพลของไสยศาสตร์ อะไรกระโตกกระต๊ากออกมาก็สะดุ้ง หรือว่าคิดถึงเรื่องผีเรื่องสางอะไร ก็หวาดกลัว หวาดเสียวขึ้นมา นั้นก็เพราะว่ามีตัวตน ไอ้ความยึดถือว่าตัวตนเหลืออยู่มาก เหลืออยู่สำหรับ จะรับเอาไอ้ได้หรือเสีย เป็นหรือตาย
เรื่องความเกิดแก่เจ็บตายนี่ก็เหมือนกัน ถ้าศึกษาจนถึงความไม่มีตัวตน ไอ้เรื่องเกิดแก่เจ็บตายก็ไม่มี ไอ้ความเกิดแก่เจ็บตาย มันอาศัยได้อยู่ดี จิตที่ยังมีตัวตน จิตที่ยังยึดถือว่ามีตัวตน นี่จึงรู้สึกว่าเราเกิด เราแก่ เราเจ็บ เราตาย ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าได้เราอาศัยเราเป็นกัลยมิตรแล้ว ไอ้สัตว์พวกนี้ พ้นจากเกิดแก่เจ็บตาย มันก็หมายความว่า รู้ธรรมะของพระพุทธองค์นะ ถึงที่สุดโดยเฉพาะเรื่องอิทัปปัจจตา มีตัวตนบุคคลอะไร ก็เลยพ้นจากอำนาจ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย แก่จิตที่หลุดพ้นจากความมีตัวตน แล้งมันก็เลยไม่มีปัญหา ไม่สะดุ้ง ไม่หวาดเสียว
ถ้ายังสะดุ้ง ยังหวาดเสียวอยู่ ก็ขอให้รู้ตัวว่า มันยังมีอยู่ ศึกษาไปเรื่อย ๆ ศึกษาไปเรื่อย ๆ อันนี้นะ เป็นสิ่งที่บอกได้ดี วัดได้ดี ว่ายังมีความโง่ ความโง่เรื่องตัวตนอยู่หรือไม่ ซึ่งมันเป็นส่วนลึกอยู่ภายใต้เจตนา หรือความรู้สึกที่เป็นสำนึก มันรู้สึกโดยไม่เป็นสำนึก มันรู้สึกอยู่ข้างในส่วนลึก ความมีตัวตน มันก็มีความสะดุ้ง หวาดเสียว แม้ว่าเราจะไม่เป็นอรหันต์ เราก็ควรจะรู้เรื่องนี้ไว้ สำหรับวัดตัวเองว่า ยังไกลต่อความเป็นพระอรหัตน์ สักกี่โยชน์ มันจะวัดได้ด้วยไอ้ความรู้สึกชนิดนี้ อย่างพระอรหันต์นั้น ก็มีคำว่า ไม่สะดุ้งไม่หวาดเสียว อะชัมพลี อะนุตราพี อะปายี (นาทีที่ 39:36) ไม่สะดุ้ง ไม่หวาดเสียว ไม่วิ่งหนี เพราะมันไม่มีตัวตนเหลืออยู่ มันก็ไม่มีความ กลัว จึงไม่สะดุ้ง ไม่หวาดเสียว ไม่วิ่งหนี
แต่บางทีคนบ้าบางชนิด มันก็มีอาการอย่างนั้นได้เหมือนกัน ไอ้คนบ้า บางชนิด คนบ้า คนเมา คนโรคจิต บางชนิด มันก็ไม่วิ่งหนี ไม่สะดุ้ง ไม่หวาดเสียวก็ได้ แต่มันต่างกันนะ มันพอจะ สังเกตได้ มันไมใช่เป็นผู้ที่หมด กิเลสนะ แต่เพราะมันมีกิเลสบางอย่าง ที่ทำให้เป็นอย่างนั้น เช่น ความไม่กลัวตายอย่างนี่ ถ้าได้ความเมาอะไร บางอย่างแล้ว มาสนับสนุนอย่างรุนแรง ไอ้คนปุถุชน มันก็ไม่กลัวตายได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะหมดกิเลส ตัณหา อุปทาน
นี่ที่ ผมอยากที่ตั้งใจมาพูด ก็เพื่อให้เขาใจกันได้ง่าย ๆ ว่า วัดความก้าวหน้า สูงต่ำของจิตใจได้ โดยอาศัย สิ่งที่เรียกว่า ไสยศาสตร์ คือ ความเชื่อ ความเข้าใจ ความยึดมั่นถือมั่น ที่ไม่มีเหตุผล ที่ไม่มีความจริง มีแต่ความไม่รู้ มีแต่อวิชชา ความหลงผิด ความเข้าใจผิด ที่เขาอบรมกันมา ในหมู่ชนที่มีวัฒนธรรมไม่ถูกต้อง ดูว่ามันจะเป็น อย่างที่ไม่ถูกต้องนี่เสียมาก ที่อบรมกันจนเด็กกลัวอย่างไม่มีเหตุผล จนมีความกลัวเป็นปัญหา ขึ้นมาในชีวิตของ เด็กนั้น อย่าลืมนึกถึง ข้อที่ว่า ที่ผมเล่าให้ฟังว่า สุนัขไม่ ไม่ ไม่กลัวผี วัวก็ไม่กลัวผี กลายเป็นว่าผีนั้น ไม่มีสำหรับ สุนัข ไม่มีสำหรับวัว เพราะว่ามันไม่ได้ถูกอบรมมาให้กลัว หรือให้เชื่อว่ามี แล้วมันไม่ไม่มีใครอบรมมันได้ ทั้งสัตว์ทั้งหลาย มันก็ไม่ต้องมีปัญหาอะไรบางอย่าง ชนิดที่มนุษย์มี
มันสมองของมนุษย์เฉลียวฉลาด อบรมให้เป็นอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าอบรมผิด มันก็กลายเป็นปัญหา เป็นสิ่งที่ เป็นปัญหา เป็นไอ้ความยุ่งยากลำบากหรือเป็นความทุกข์ขึ้นมา ในเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ มีมันสมองดี ไวต่อความรู้สึกศึกษาแล้ว มันก็ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี ถ้าได้รับการอบรมสั่งสอนที่ผิด มันก็ไปไกล ไปใหญ่ ไปไกลเหลือประมาณนะ เพราะว่ามันมีมันสมองฉลาด อ่อนไหวรับเอาได้ง่าย ถ้าสอนผิด มันก็ผิดลึก ถ้าสอนถูก มันก็ถูกที่สุด
นี่ถ้าว่า มันไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง แล้วก็เป็นไปตามอำนาจของความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ที่เรียกว่า อวิชชา นั้นนะ สำเร็จเป็นความคิดอย่างไรขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องอวิชชา นั้นนะอยู่ในพวกของไสยศาสตร์ ในกลุ่มของ ไสยศาสตร์ พูดได้ว่ามันคืออวิชชา เรื่องไสยศาสตร์มากหรือน้อย มันก็แล้วแต่อวิชชามากหรือน้อย แล้วก็ช่วย ไม่ได้ ที่ว่าคนในโลกนี้ มันจะไม่มีอวิชชา เพราะมันมากมายนัก ไอ้ ไอ้ช่องทางที่จะเกิดอวิชชานั้น มันมากมายนัก มันจึงมีการถือชนิดที่เป็นอวิชชา อยู่ในเรื่องรูป เรื่องของไสยศาสตร์ เรื่องโชคเรื่องลาง เรื่อง หนักเข้ากลายเป็น เรื่องผีสางเทวดาไปอีก อย่างนี้
ส่วนเรื่องความจริงแท้ จริงแท้อย่างยิ่ง คือ อิทัปปัจจยตา เป็นเช่นนั้นเอง ตามเหตุตามปัจจัย ของมัน เช่นนั้นเอง นี่การเห็นอิทัปปัจจยตาเท่าไร ก็ขจัดไสยศาสตร์ออกไปได้เท่านั้น นี่ถ้าเห็นถึงที่สุด ก็ขจัดไสยศาสตร์ ออกไปได้หมด หมดจนถึงกระทั่งว่า มันไม่มีความรู้สึกว่าตัวตน ไม่มีความรู้สึกว่าตัวตน หรือสัตว์ หรือบุคคล แล้วมันก็อยู่เหนือ เหนือ เหนือกรรม เหนือบุญ เหนือบาป เหนืออะไรไปหมดเลย เหนือไปหมดเลย เหนือดี เหนือชั่ว เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือทุก ๆ อย่างเลย นี่ถ้าว่ามันหมดอวิชชา มันก็หมดไสยศาสตร์ โดยประการ ทั้งปวง เรียกว่าเป็นพุทธศาสตร์ ลืมตาขึ้นมา เห็นสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงตามที่เป็นจริง
ดังนั้นจึงสรุปความว่า ไอ้เรื่องทั้งหมดของเรา ที่มาอุตสาห์ศึกษาเล่าเรียน บวชเรียนอะไรกันนั้น นะมัน ไม่มีเรื่องอื่น นอกจากเรื่อง จากความโง่ที่สุด เป็นโง่น้อยลง ๆๆ แล้วก็เริ่มฉลาด เริ่มฉลาด ฉลาด ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น จนฉลาดที่สุด นี่คือเรื่องทั้งหมด ที่เป็นปัญหา เป็นเรื่องที่เอาไปคิดนึกได้ ว่าเรื่องทั้งหมดนั้น มันก็คือเรื่อง จากความโง่ที่สุด ความไม่รู้มากที่สุด แล้วก็เปลี่ยนไป ๆ จนถึงกับว่า หมดแล้ว ก็ฉลาดหรือรู้ถึงที่สุด อยู่ในระหว่างความไม่รู้ที่สุด กับความรู้ที่สุดนั้นเอง
เรื่องมันมีเท่านั้นนะ เรื่องทั้งหมด จะปฎิบัติธรรมะข้อไหน ชั้นไหน ก็เพื่อการรู้ รู้ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นไปจนกว่า จะรู้ถึงที่สุด แล้วก็มันทำลายความไม่รู้ ความโง่ ที่เรียกว่า กิเลส ตัณหา อุปทานนั้นนะเรื่อย เรื่อยไป ๆ คือทำให้ ฝ่ายที่ไม่รู้นะ ให้มันหมดไป ๆ แล้วมาเพิ่มฝ่ายที่รู้มันมากขึ้น ๆๆ เพราะงั้นเรื่องทั้งหมด จึงมีเพียงว่าจากไม่รู้ที่สุด ไปถึงที่รู้ที่สุด นี่จะเรียกว่าเรื่อง เป็นเรื่องทางศาสนาก็ได้ แต่ว่าเรื่องทางศาสนา เขาก็ไม่ค่อยพูดกันอย่างนี้ ก็พูดกัน เป็นแบบ เป็นเออ เป็นรูปแบบ เป็นไอ้นั้นนะ ก็จะกลายจะเป็นพิธีไป (นาทีที่ 48:03) นี่พูดอย่างธรรมชาติ ไม่ใช่เรียกว่า พูดอย่างวิทยาศาสตร์ ก็ยังได้ ว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีอะไร นอกจากเรื่องตั้งต้นที่ความไม่รู้ถึงที่สุดแล้ว ก็เปลี่ยนไปจนถึง ความรู้ถึงที่สุด แล้วมันก็จบ
ที่เราเป็นพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พวกไหนก็ตามนะ มันตกอยู่ในขอบเขตอันนี้ นี่จากไม่รู้ที่สุดไปถึงรู้ที่สุด ที่ตามมาบวช มาเรียน มาศึกษา มาปฎิบัติธรรมะ ก็เพื่อให้มันรู้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด ไอ้ที่ไม่รู้ ๆ มันหมดไป อ่า, สำหรับจะได้ขจัดความทุกข์ ที่เกิดมาจากความไม่รู้ ไอ้ความทุกข์นะ มันเกิดมาจาก ความไม่รู้ แม้จะมีคำศัพท์ว่า ความทุกข์เกิดมาจากตัณหา อย่างอริยสัจ ๔ นั้น ความทุกข์เกิดจากตัณหา แต่ตัณหานั้น มันก็มาจากความไม่รู้ คือ อวิชชา ถ้าอริยสัจ ๔ ถูกแจกให้ละเอียด ๆ แล้วก็กลายเป็น แจกโดย ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งขึ้นต้นด้วยอวิชชา
ดังนั้น จึงพูดได้อย่างมีหลักยืนยัน เป็นพระพุทธภาษิตนั้นนะว่า ไอ้ความทุกข์นั้นนะ มันมาจากอวิชชา แต่มันผ่านมาทางตัณหา ทางอุปทาน นี่อยู่ใกล้ที่สุด ใกล้กับความทุกข์ที่สุด เขาจึงระบุว่าความทุกข์นี่ เกิดมาจาก ตัณหาหรือว่ามาจากอุปทาน แต่อย่างลืมว่าตัณหาและอุปทานนี่ มาจากอวิชชา อวิชชามีที่ไหน มันก็ก่อขึ้นมา เป็นตัณหา เป็นอุปทาน แล้วก็มีความทุกข์ ดังนั้นจากความทุกข์ ก็ไปสู่ความดับทุกข์สิ้นเชิง มันมีเท่านั้น เรื่องมีเท่านั้น ที่จะดูที่เหตุ ก็จากความไม่รู้ ไปถึงความรู้ที่สุดถึงที่สุด จากความไม่รู้ที่สุด จนไปถึงความรู้ที่สุด นั้นนะ ก็มีเท่านั้น เรื่องมันมีเท่านั้นนะ ฝ่ายทั้งที่เป็นตัณหามันก็มีไม่รู้ หมดตัณหาก็เพราะรู้
เป็นเรื่องของคน ๆหนึ่ง ที่เป็นปุถุชน ก่อนจะเป็นพระอรหันต์ มันก็ต้องผ่านไอ้ความไม่รู้นี่ ไป ๆ จนรู้ แล้วรู้มากขึ้น รู้มากขึ้นและรู้ถึงที่สุด คือรู้ความว่างจากตัวตน วิปัสสนา วิปัสสนาที่จะเห็นแจ้ง แจ่มแจ้งถึงที่สุด มันต้องเห็นถึงอนัตตา อนัตตา ไม่ ไม่ใช่ตัวตน คือถ้ารวบรัดให้ดีกว่านั้น ก็ว่าสุญตาว่างจากตัวตน นี่เดี๋ยวไป อีกทางหนึ่ง มีความหมายว่าอิทัปปัจจยตา เพราะมีสิ่งนี่เป็นปัจจัยนะ จึงกลายเป็นเรื่องของเหตุของปัจจัยไป ตามธรรมชาติไป ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวตน
ถ้ารู้ เรื่องนี้อย่างถูกต้อง มันจะกลายเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญตา อิทัปปัจจยตา ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา (นาทีที่ 52:26) อิทัปปัจจยตา มันระบุความหมายเดียวกันนะ คือ ไม่ ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน ไม่สิ่งที่มีอยู่นั้นไม่ใช่ตัวตน มีแต่สิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย นี่คือฉลาดที่สุดนะ ฉลาดที่สุด จนไม่มีไสยศาสตร์เหลือ ผู้ที่บรรลุธรรมะชั้นสูงจึงหมด หมดเรื่องไสยศาสตร์ ไม่กลัวผี ไม่กลัว อะไรก็ตามใจ ไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็ไม่มีปัญหาสำหรับผู้ที่หลุดพ้นแล้ว ไม่ต้องกลัวสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป นี่จบเรื่องหรือจบพรหมจรรย์ ไม่อาจจะเป็นทุกข์หรือมีความทุกข์ได้อีกต่อไป เรื่องมันจบ
จุดตั้งต้น มันก็อยู่ที่โง่ที่สุด แล้วก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ลดลง ๆๆ จนว่า มันมีแสงสว่างเกิดขึ้น มีญาณ มีอริยมรรค อริยญาณเกิดขึ้น หมดความโง่โดยประการทั้งปวง ความทุกข์ไม่มีเหลืออยู่ แม้แต่อย่างไร ผมก็สงสัย อยู่เหมือนกันว่า ควรจะเอาเรื่องนี้นะ มาพูดไหมหรือว่าจะพูดแก่ผู้ที่จะอยู่ในโลก ที่จะลาสกิขาออกไป เป็นชาวโลกนี่ ควรจะรู้เรื่องนี้ไหม บางทีก็ลังเลว่า ไม่ ไม่ต้องเอามาพูด มันจะผิดฝาผิดตัว หรือมันจะคนละเรื่อง แต่เดี๋ยวนี้มองเห็นว่า มันเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ ถึงแม้จะไม่เป็นพระอรหันต์ หรือยังเป็นพระอรหันต์ไม่ได้
นี่ก็ควรจะรู้เรื่องของพระอรหันต์ คือมนุษย์ที่เป็นยอดมนุษย์ ว่ามันเป็นยอดมนุษย์อย่างไร อยู่เหนือโลก เหนือทุกข์ เหนือสิ่งทั้งปวงอย่างไร จากอยู่ในโลก ก็ขึ้นเหนือโลกเหมือนกันนะ จากอวิชชาถึงวิชชา จากปุถุชนถึง พระอริยเจ้า มันก็คือเรื่องจากที่จมอยู่ในโลก แล้วขึ้นไปเหนือโลก มีเท่านั้นนะ เรื่องมันมีเท่านั้น แต่มีรายละเอียด มาก พูดกันกี่วัน กี่เดือนก็ได้ แต่ใจความของมัน จากที่ว่ามันอยู่ในโลก จมอยู่ในโลกขึ้นพ้นไป อยู่เหนือโลก นั้นคือ เรื่องทั้งหมด เรื่องทั้งหมด จากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า แล้วแต่เราจะใช้คำพูดคำไหน อยากจะ ใช้คำพูดคำไหน ก็ใช้คำพูดคำนั้น พูดโดยผลก็ว่า จากทุกข์จากความทุกข์ ไปสู่ความดับสนิทไม่มีเหลือ แห่งความทุกข์ ถ้าพูดด้วยผล ถ้าพูดโดยเหตุ ก็จากโง่ที่สุดจนหมดโง่นะ มีความรู้ถึงที่สุด ถ้าเรียกเป็นสมมุติ หมายถึงว่า จากปุถุชนถึงพระอริยเจ้า
ไอ้เรื่องทั้งหมด มันมี มีอย่างนี้ คือ จะพูดได้อย่างนี้ จากความเป็นปุถุชนถึงพระอริยเจ้า นี่โดยสมมุติ ก็สมมุติเรียกว่า ปุถุชน เรียกว่า อริยเจ้า ก็ถ้าโดยเหตุของมัน ต้นเหตุของมัน ก็คืออวิชชา จากอวิชชาไปถึง หมด อวิชชา เป็นวิชชาเต็มที่ จะพูดถึงโดยผล ก็คือจมอยู่ในโลก หรือขึ้นอยู่เหนือโลก มันก็คือทุกข์ถึงที่สุด แล้วก็ไป จนถึงไม่มีทุกข์เหลืออยู่เลย นี่พูดอย่างนี้ คือพูดทั้งหมด เรื่องทั้งหมด พูดเรื่องของเรื่องทั้งหมด ที่มัน ที่มันครอบ มีความหมายครอบงำ เรื่องทั้งหมด
เอาล่ะ ขอให้ช่วยกำหนดใจความให้ดี ๆ แล้วก็เปลื้องไสยศาสตร์ ออกไปเสียให้หมด ให้เหลือแต่ พุทธศาสตร์เถิด แล้วจะไม่เสียทีที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียน พระพุทธศาสนา เอ้า, ขอยุติการบรรยาย.