แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมบรรยายเนื่องในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ ณ ลานโค้ง สวนโมกข์ วันที่ 31 ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2527 เวลา 13 นาฬิกา
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ต่อจากนี้จะได้พูดกันเรื่องปีใหม่ ซึ่งก็เป็นที่น่าสงสาร คือเป็นปีใหม่ที่ไม่รู้จักจบ ในเรื่องที่จะพูดมันก็ซ้ำๆ กันทุกปี ถ้ามีข้อความอะไรซ้ำ ก็ขอให้ถือเอาเนื้อหาสาระที่มันอยู่ในความซ้ำนั่นแหล่ะ ให้มากให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้หมายความว่า เป็นการย้ำ เป็นการซ้ำ ทำนองเดียวกับที่ปีใหม่ไม่รู้จักจบจักสิ้น ปีใหม่กลายเป็นปีเก่า เช่นเดียวกับที่มันเคยกลายมาแล้วกี่สิบปีกี่ร้อยปีกี่พันปีกี่หมื่นปีก็ตาม มันเคยเป็นปีใหม่แล้วมันก็กลายเป็นปีเก่า เราก็หวังปีใหม่ ซึ่งในที่สุดมันก็กลายเป็นปีเก่า เราก็ไล่จับปีใหม่ไม่พบ เพราะว่าเรามันโง่เอง ทางที่ดีดูให้ดีว่า เมื่อปีในข้างหน้ามันจะกลายเป็นปีข้างหลังไปในที่สุด มีอาการอย่างนี้อยู่เป็นปัจจุบัน ดังนั้น เรามาเอาปัจจุบันกันดีกว่า อนาคตนั่น มันกลายเป็นอดีตอยู่เรื่อยไป ฟังดูให้ดี สิ่งที่เรียกว่าอนาคตมันก็จะกลายเป็นอดีต หรือกลายกำลังกลายเป็นอดีตอยู่เรื่อยไป นี่คือปัจจุบัน เรามารู้ความข้อนี้แล้วทำอะไรๆ ให้มันเหมาะสมกันกับที่อนาคตมันกลายเป็นอดีตอยู่ตลอดไปอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องที่ควรเอามาพูดกันในวันนี้คือวันปีใหม่
คำว่า “ปีใหม่” มันก็เป็นเรื่องเวลา ปีเก่าก็เป็นเรื่องเวลา ปีที่ยังไม่มาก็เป็นเรื่องของเวลา อะไรอะไรมันก็เป็นเรื่องของเวลาอยู่อย่างนี้ ทำความไม่สิ้นสุด ยุ่งยากลำบาก ไม่สิ้นสุดให้แก่มนุษย์เรา คือมนุษย์เราก็ยังเอาชนะเวลาไม่ได้ ยังยอมตนเป็นทาสของเวลา อย่างน้อยที่สุดที่เรียกว่าทำอะไรทันแก่เวลา ทันแก่เวลา ไม่รู้จักกำจัดเวลาออกไปเสียเลย มันก็ต้องเป็นทาสของเวลาอยู่เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด
ปีใหม่เราจะมีชีวิตใหม่กันได้อย่างไร เพราะปีใหม่มันก็กลับเป็นปีเก่า ชีวิตใหม่มันก็คงจะเช่นเดียวกัน คือมันจะกลับเป็นชีวิตเก่า แต่คงจะต่างกันบ้าง เพราะเวลามันก็เป็นผลัดของเวลา ปีใหม่ก็
กลายเป็นปีเก่า และก็เวลา แต่ว่าชีวิตนี้มันควรจะมีอะไรผิดแปลกออกไปบ้าง เพื่อจะได้ชีวิตใหม่มา แปลกออกไปซึ่งไม่เหมือนกับชีวิตเก่า เรานึกกันถึงข้อนี้จึงกล้าพูดว่า “ปีใหม่ชีวิตใหม่” ปีใหม่มันจะกลายเป็นปีเก่าก็ตามใจมัน แต่เราจะมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าปีเก่า ดูเถิดที่จริงมันก็ไม่มีอะไรใหม่ เพียงแต่ว่ามันไม่เหมือนมันไม่ซ้ำกับปีเก่า คือมีอะไรแปลกออกไป เราก็เรียกว่าปีใหม่ เราก็อยากให้มันแปลกไปในทางที่ควรปรารถนาที่พึงปรารถนาให้มากอย่างนี้เรื่อยไป ๆๆ จนกว่าจะหมดปัญหา คืออยู่นอกเวลา อยู่นอกเหนืออำนาจของเวลา ซึ่งได้แก่การเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่กำจัด ต้นเหตุแห่งเวลาไปได้ เป็นผู้กำจัดความหมายแห่งเวลาไปได้ เวลาไม่บีบคั้นน้ำใจท่านเหมือนกับที่บีบคั้นใจคนธรรมดาสามัญทั่วไป นี่ฟังดูให้ดีว่า แม้แต่เรื่องของพระอรหันต์ก็ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเวลา ถ้าตกเป็นทาสของเวลา ให้เวลามันลากหรือถูลู่ถูกังไปอย่างนั้น มันก็เป็นคนธรรมดา แต่ถ้าผู้อยู่เหนือเวลา เรียกว่าเป็นผู้กินเวลา เป็นผู้สิ้นเวลา อยู่เหนือออำนาจของเวลามันก็เป็นพระอรหันต์ เป็นยอดของคน เรื่องเวลา เวลานี่ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเรื่องของนาฬิกา แต่เป็นเรื่องของชีวิตจิตใจเป็นเรื่องของธรรมะ ธรรมะสูงสุดก็คือ ธรรมะที่ทำให้เป็นผู้อยู่เหนืออำนาจของเวลา เวลาไม่มีความหมาย
ด้วยเหตุนี้แหล่ะจึงเป็นความเหมาะสมที่จะมาพูดกัน สำหรับพุทธบริษัท ในโอกาสที่สมมุติกันว่าจะขึ้นปีใหม่ เมื่อพุทธบริษัทก็จะพูดกันอย่างพุทธบริษัท เกี่ยวกับการขึ้นปีใหม่ หรือจะเรียกว่าเกี่ยวกับเวลาก็ได้ เมื่อท่านทั้งหลายอุตส่าห์มาจากที่ไกลเหน็ดเหนื่อย หมดเปลือง ถ้าไม่ได้รับความรู้อะไรให้คุ้มกัน มันก็ก็น่าสงสารเรียกว่า ใช้เงินไม่คุ้มค่าเวลา ยมบาลเค้าก็เล่นงานเอา จึงขอให้ระวังให้ดี ให้เกิดประโยชน์ และคุ้มค่าของเวลา ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าของเวลา ก็จะรอดตัวไป การใช้เงินไม่คุ้มค่าของเวลานั่นแหล่ะคือบาป บาปอย่างยิ่ง บาปเหลือประมาณ หรือจะพูดอีกทีนึงว่า ใช้เวลาไม่คุ้มค่ากับเวลานั่นแหล่ะ คือบาป ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องมีความรู้เรื่องนี้ให้เพียงพอ ต้องได้รับประโยชน์ที่ควรจะได้รับจากสิ่งที่เรียกว่าเวลา ไม่ใช่เป็นผู้ที่ถูกเวลากัดกินหัวใจอยู่เสมอ เหมือนคนธรรมดาสามัญทั่วไป หวังจะได้อะไรอยู่มันก็ไม่ได้ มันก็ถูกเวลากัดกินหัวใจอยู่เสมอ เดี่ยวนี้เรามารู้จักเรื่องเวลากันเสียที และรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ที่จริงเรื่องที่กำลังจะพูดนี้ก็เป็นเรื่องที่เคยพูดมาแล้ว ไม่ใช่ ไม่ใช่ไม่เคยพูด เคยพูดมาแล้วแต่ปีที่แล้วๆ มาก็เคยพูด ก็ยังมีเรื่องที่จะต้องพูด และบางอย่างก็จะต้องซ้ำกันๆ แต่ท่านควรจะเข้าใจมากกว่าที่เคยฟังมาแล้ว ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจเท่าที่เคยฟังมาแล้ว หรือถึงกับถอยหลัง อย่างนี้ใช้ได้ ควรจะเข้าใจเรื่องเวลาให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะเป็นผู้มีอำนาจเหนือเวลา ฟังดูมันแปลก ถ้าจะเป็นผู้มีอำนาจเหนือเวลา ผู้ที่ไม่รู้ธรรมะ จะฟังไม่ถูกว่า คนนี่จะมีอำนาจเหนือเวลาได้อย่างไร ก็ขอให้ระวังต่อไป ว่าเราจะเป็นผู้มีอำนาจเหนือเวลา เวลาทำอะไรเราไม่ได้ เวลาจะทำไม่ให้รำคาญแม้แต่นิดนึงก็ได้ ถ้าต้องการก็สมควรสนใจ แต่ถ้าสมัครใจจะเป็นทาสของเวลาต่อไปก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่แล้วจะมาติดปัญหาที่ว่ามาเสียเวลา มาเสียเวลา มาสวนโมกข์เปล่าๆ มาสวนโมกข์ เสียเวลาเปล่าๆ ไม่ได้อะไรที่คุ้มกัน
เรื่องแรกที่จะพูดก็คือเรื่องคำว่า เวลานั่นเอง เวลา เวลา คำว่าเวลานั่นเอง เป็นสิ่งที่รู้จักได้ยาก เวลาเป็นสิ่งที่รู้จักได้ยาก แล้วก็เอาชนะได้ยาก เวลารู้จักได้ยาก จนบางคนเข้าใจไปว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่า เวลานั้นเป็นเรื่องลมๆแล้งๆ ไม่มี ไม่มี ไม่มีตัวเวลา เวลาเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ หากนัดเป็นเรื่องสนใจไปด้วยก็มี และที่น่าสงสารกว่านั้น ก็ไปเอาเครื่องกำหนดเวลา มาเป็นเวลา เช่น การที่นาฬิกาเดินว่าเป็นเวลา การที่ดวงอาทิตย์หมุนไป โลกหมุนไปหรือดวงอาทิตย์เคลื่อนไปแล้วแต่จะพูดนะ แต่ที่ตามที่ปรากฏอยู่ว่า มีการเปลี่ยนไประหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ หรือดวงดาว ดวงจันทร์อะไรต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องกำหนดเวลา นั่นไม่ใช่เวลา พระอาทิตย์เคลื่อนไป ก็ไม่ใช่เวลา เป็นเพียงเครื่องกำหนดเวลา อย่าเอาเครื่องกำหนดเวลามาปนกันกับสิ่งที่เรียกว่าเวลา มันคนละเรื่อง เวลามันก็เป็นเวลา เครื่องกำหนด เวลามันก็คือเครื่องกำหนดเวลา เอาไอ้เครื่องกำหนดเวลาออกไปเสียทีก่อน เครื่องกำหนดเวลาว่าหนึ่งปีหนึ่งเดือนหนึ่งวันหนึ่งชั่วโมงหนึ่งนาทีหนึ่งวินาที เหล่านี้เป็น ไม่ใช่เวลา นี่ไม่ใช่เวลา เป็นเพียงเครื่องกำหนดเวลา เวลาคืออะไร จับตัวมันยาก ในที่สุดมันก็ต้องอาศัยอะไรที่เป็นเครื่องกำหนดนั่นแหล่ะ ใส่เข้าไป ใส่เข้าไป ว่ามันเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างไร ในตัวเวลาแท้จริงนั่นมันเป็นนามธรรม มันเป็นธรรมะ อันเร้นลับอันหนึ่ง ถ้าจะพูดอย่างบทนิยาม ก็จะมีบทนิยามว่า จุดตั้งต้นตั้งแต่ความอยากหรือความต้องการมีอยู่ และความต้องการนั้นประสบสำเร็จสมประสงค์ก็มีขึ้น จุดนัยตั้งแต่ความต้องการ กว่าจะไปถึงได้ตามความประสงค์ของความต้องการนั่นแหล่ะคือตัวเวลา ดังนั้นเวลามันจึงขึ้นอยู่กับความต้องการ ถ้าเราไม่มีความต้องการเวลาก็ไม่มี ที่มีชีวิตเกิดมาในโลกนี้มันต้องการอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันอยู่แล้วทั้งนั้น มันมีความต้องการอยู่แล้วทั้งนั้น เวลามันก็เกิดมีความหมายขึ้นมาจากความต้องการ แม้แต่เด็กทารกมันก็ต้องการ เมื่อมีความต้องการก็มีความหมายแห่งเวลา คือคือกว่าจะได้ตามที่ต้องการ ผู้ใหญ่ก็ยิ่งมีความต้องการ ยิ่งมีความรู้ความคิดมากก็ยิ่งต้องการมาก ไอ้ความต้องการนั่นแหล่ะ มันเป็นจุดตั้งต้น แล้วกว่าจะสำเร็จตามความต้องการ นั่นน่ะ คือตัวเวลา ที่นี่มันคาบเกี่ยวกันหมด แม้แต่ว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องโน้น ก็ล้วนแต่มีความต้องการคาบเกี่ยวกันหมด นุงนังกันไปหมดในเรื่องของความต้องการ ตามธรรมชาติมันก็ต้องการ ต้องการอยู่โดยรู้สึกตัวก็มี โดยไม่รู้สึกตัวก็ยังมี มันมีความต้องการภายใต้ความสำนึก
ที่นี่เวลามันก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ ถ้าจะเรียกเป็นภาษาศาสนาก็เรียกว่า ตัณหา คือความต้องการที่โง่เขลา ความต้องการที่ไม่โง่เขลา ไม่เรียกว่า ตัณหา ความต้องการเพราะอวิชชา ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ต้องการไปตามอำนาจความโง่เขลา ก็เรียกว่าตัณหา ทำให้เกิดความหมายแห่งเวลา งั้นเวลาของแต่ละคน แต่ละคนนั่นน่ะไม่เท่ากัน ไม่ใช่เวลาของนาฬิกา ซึ่งมันเป็นเครื่องจักร นาฬิกาทุกเรือนมีเวลาเท่ากัน มีชั่วโมงเท่ากัน แต่เวลาของคนแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ใครมีความต้องการมาก มีความต้องการรุนแรง เวลาของคนนั้นก็หมุนจี๋ วิ่งจี๋ ใครต้องการน้อยหน่อย เวลาก็เดินอืดๆอาดๆ ต้องการเนือยๆ มันก็เดินเนือยๆ ถ้ามันหลับเสีย เวลามันก็หยุด คือไม่มีเวลาอะไรมาบีบคั้นหัวใจ ครี่งชั่วโมงด้วยกันมันต่างกันมาก หนึ่งชั่วโมงของคนอยากถูกลอตเตอรี่ อยากได้กามารมณ์ มีความหวังจะได้อะไร เวลาหนึ่งชั่วโมงของเขานั้นมันวิ่งมากมาย แต่คนที่ไม่ได้ต้องการอะไร ไม่ได้ต้องการจะถูกลอตเตอรี่ ไม่ได้ต้องการกามารมณ์อะไร มันก็เป็นเวลาที่ไม่วิ่ง เป็นเวลาที่ไม่วิ่ง เป็นเวลาที่เนือยๆ ฉะนั้นคนแต่ละคนๆ ในโลกนี้ ต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้ ต้องการรุนแรงเท่านั้น รุนแรงเท่านี้ ดังนั้นหนึ่งชั่วโมงด้วยกันมันก็ไม่เท่ากัน หนึ่งชั่วโมงของพ่อค้ามันก็จะมากกว่าหนึ่งชั่วโมงของคนทำนา หรือว่าคนเล่นกีฬา หนึ่งชั่วโมงก็เร็วมาก เพราะว่าอยากจะชนะทันภายในเวลา หนึ่งชั่วโมงของคนแต่ละคน แต่ละอาชีพ แต่ละชนิดนั้นไม่เท่ากัน หนึ่งชั่วโมงของคนที่นอนไม่หลับ กับหนึ่งชั่วโมงของคนที่นอนหลับสบายดีนี่มันไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้หมายถึงนาฬิกา หนึ่งชั่วโมงของนาฬิกายังเท่าเดิม แต่ว่าหนึ่งชั่วโมงของคนนอนไม่หลับนั้นมันทรมาน รู้สึกว่ายาวนานเหลือเกิน ยาวนานเหลือเกินเพราะว่านอนมันนอนไม่หลับ หรือคนมันเหนื่อยแล้วมันเดินทางไกลมันเหนื่อยแล้วต้องเดินอีกหนึ่งชั่วโมง มันยาวนานเหลือเกิน มันยาวนานเหลือเกิน
รู้จักข้อนี้กันไว้เป็นพื้นฐานก่อนจะเข้าใจเรื่องเวลา ว่าหนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งนาที หนึ่งอะไรด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่มันไม่เท่ากันเลย มันไม่เท่ากันเลย ถ้าใครมีความอยากรุนแรง มีความอยากสูง เวลาก็วิ่ง มีความอยากน้อยลงมา เวลามันก็เดินช้าๆ ถ้าไม่เข้าใจข้อนี้ ไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเวลา จะรู้จักแต่นาฬิกาซึ่งเป็นเครื่องกำหนดเวลา แล้วก็เดินเท่ากันทุกเรือน เดินเท่ากันตลอดเวลา นั่นมันไม่ใช่เวลา มันเป็นเครื่องกำหนดเวลา หนึ่งชั่วโมงของคนกระหายอยากจะได้อะไรนี่ มันก็เป็นเวลาที่วิ่งจี๋ หนึ่งชั่วโมงของคนที่ไม่ได้ต้องการอะไรนัก มันก็อืดๆ ช้าๆ ฉะนั้นถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็จะเข้าใจตัวเอง บางเวลาต้องการอะไรมาก ต้องการอะไรรุนแรง เวลาก็วิ่ง บางเวลาไม่ต้องการอะไรนัก เวลามันก็เอือยๆ บางเวลานอนหลับเสีย ไม่ได้ต้องการอะไร เวลามันก็หยุด มันเล่นตลกอย่างนี้
สรุปความว่ามันขึ้นอยู่กับตัณหา ความอยาก ความต้องการ เป็นเหตุให้เกิดจุดขึ้นมาสองจุด คือจุดที่เริ่มอยากแล้วก็จุดที่ได้ตามที่ต้องการ ระยะทางระหว่างสองจุดนี้คือสิ่งที่เรียกว่า “เวลา” บางที บางกรณีก็รุนแรงเหมือนจะขาดใจตาย บางเวลามันก็เอือยๆ บางเวลามันก็เงียบ เหมือนอย่างว่าเวลาเรียน ชั่วโมงเรียนของนักเรียน เวลามันก็วิ่ง พอเวลาหยุดพัก หยุดเรียน เวลามันก็หยุด เพราะมันไม่ได้มีความอยาก พอมีความอยากก็มีความหมายแห่งเวลา รู้จักคำว่าเวลานี่ว่ามันขึ้นอยู่กับความอยาก พระอรหันต์หมดความอยากไม่ต้องการอะไรโดยประการทั้งปวง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งที่หาเอาเองว่าพระอรหันต์ไม่ได้ต้องการอะไรโดยประการทั้งปวง เวลาก็ไม่ทำอะไรพระอรหันต์ได้ ไม่ให้เป็นทุกข์ร้อนได้ เพราะว่าท่านไม่มีความอยาก จึงมีหลักเกิดขึ้นในหลักธรรมะว่า “ผู้ใดฆ่าความอยากเสียได้ ผู้นั้นกินเวลา” ธรรมดาเวลากินคน เวลากินคน กินสรรพสัตว์ สำหรับคนทุกคนมันมีความอยาก มีความต้องการ ฉะนั้นเวลามันก็บีบคั้นหัวใจ ขยี้หัวใจ แล้วแต่ว่าอยากมากอยากน้อยอะไร พอเกิดไม่มีความอยากขึ้นมา เวลาก็หงายหลังกลับไป ไม่มีมารบกวนจิตใจของบุคคลผู้ไม่มีความอยาก นี่คือข้อที่พระอรหันต์เป็นผู้กินเวลา ต่างจากพวกเราที่เวลากินเรา ตามธรรมดาเวลากินคน แต่พอสิ้นความอยากเป็นพระอรหันต์แล้ว คนกินเวลา พระอรหันต์เป็นผู้กินเวลา เป็นผู้สิ้นความหมายของเวลา ไม่ได้มีความต้องการอะไร เวลามันก็หมดความหมาย
นี่สิ่งที่เรียกว่าเวลา มันมีอยู่อย่างนี้ อย่าไปเข้าใจ ตามคนบางคนที่พูดว่า เวลาไม่มี ตัวเวลาไม่มี เวลาไม่มีตัวจริง ถูกแล้ว มันเป็นสิ่งที่จับตัวมาดูไม่ได้ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งไปกว่าจับตัวมาดูได้ เพราะมันกัดกินหัวใจ กัดกร่อนอยู่ในหัวใจ ของคนที่มีความอยาก อยากมากเวลาก็วิ่งเร็ว อยากน้อยเวลาก็วิ่งช้า และสังเกตดูข้อนี้ซึ่งเป็นความจริงของทุกคนมีอยู่ทุกวันมีอยู่ตลอดชีวิต ให้รู้จักว่าเวลานั่นคืออะไรเสียก่อน ที่นี่เราก็จัดการให้มันดีกว่าที่แล้วมา ก็คือ กินเวลาได้บ้าง คือลดความอยากลงเสีย ลดความอยากเสียได้เท่าไร เวลามันก็ลดกำลังลงไปเท่านั้น นี่วันปีใหม่เนี่ย มันควรจะอยากอะไรโง่ๆ ให้น้อยลงมากว่าปีเก่า ความอยากต้องการอะไรนั้นน่ะมาจากความโง่ แต่ความอยากมาจากสิ่งอื่นไม่ได้นอกจากความโง่ คือมันไม่ต้องอยาก ไม่ต้องอยาก ไปอยาก ไปอยากมันก็มีความหมายขึ้นมา มันก็กัดกินเอา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียด หรือว่าลึกซึ้งอยู่
ขอให้สนใจดูให้ดีๆ ว่า ถ้าเราจะมีความสุขปีใหม่กันจริงๆ แล้ว ก็จงลดอำนาจของเวลาลงเสียให้มาก ลดอำนาจของเวลาคือลดความอยากลงเสียให้มาก ลดสิ่งที่ตัวอยาก ที่เคยอยากลงเสียให้มากๆ จนกลายเป็นไม่ต้องอยาก นี้เป็นธรรมะสูงสุด ธรรมะสูงสุดซึ่งเข้าใจกันยาก และปฏิบัติก็ยาก คือคำว่า ทำไปโดยไม่ต้องมีความอยาก ทำไปทำไปโดยไม่ต้องมีความอยาก ทำนาทำนาโดยไม่ต้องมีความอยาก แต่ทำไปก็แล้วกัน ทำไปด้วยสติปัญญา ค้าขาย ทำสวน ทำอะไรก็ตามก็ทำไปเถอะ แต่อย่าให้มันมีความอยากเกิดขึ้นในสิ่งนั้น ฟังดูแล้วมันก็ น่าห่วงว่าเข้าใจยาก อย่าทำอะไรโดยความอยาก แต่ทำโดยสติ ปัญญา ความอยากมันเป็นกิเลสตัณหา มันมาจากความโง่ ถ้ามันมีความรู้มันก็ไม่ต้องอยากล่ะ ก็ทำไป ทำไปก็แล้วกันผลงานมันก็ออกมา จะไปอยากให้มันกัดกินหัวใจทำไม ไปอยากให้มันเกิดเวลาขึ้นมากัดกินหัวใจทำไม มันจะทำไปด้วยความรู้สึกที่ว่า ไม่ทันเวลาๆ นี่มันเป็นคนโง่ คนอยากจะทำอะไรให้ทันเวลาเนี่ยเรียกว่า คนโง่ แต่เดี๋ยวนี้ เขาก็สอน สอนให้ทำอะไรเร็วๆ ให้ทำอะไรทันเวลา คือมันสอนให้โง่นั่นเอง ทำไมไม่สอนว่าไม่ต้องอยาก แล้วก็ทำ ทำด้วยสติปัญญา ทำด้วยสติสัมปชัญญะ ทำด้วยกำลังสมาธิ กำลังอื่น อย่าทำด้วยความอยาก ทีนี้สอนลูกเด็กๆให้อยากๆ ให้มากๆ ให้หวังให้มากๆ ให้หวังกันมากๆ แล้วก็เกิดโรคทางประสาททางจิต เป็นคนไม่สมประกอบไปเลย ลูกเด็กๆ ที่ถูกยุให้หวังมากๆ ให้อยากมากๆ ให้ต้องการมากๆ นี้ จะเป็นคนไม่สมประกอบในทางจิตใจในที่สุด ควรจะแนะให้ทำ สอนให้ทำ ทำ ทำ แต่โดยไม่ต้องหวังไม่ต้องอยาก ทำให้ถูกต้องแล้วมันก็มีผลออกมาเอง
คำเปรียบข้อนี้มีในบาลีว่า เหมือนแม่ไก่ฟักไข่ ฟักให้ถูกวิธีของธรรมชาติ ตามแบบของธรรมชาติ ซึ่งแม่ไก่ทุกตัวรู้ดี แล้วแม่ไก่นั้นไม่ต้องหวังว่าลูกไก่จงออกมา แม่ไก่นั้นไม่ต้องมีความอยากว่าลูกไก่จงออกมา มันก็ออกมาเอง เมื่อแม่ไก่ฟักไข่ไปอย่างถูกต้องครบตามกำหนดแล้วมันก็ออกมาเอง ถ้าแม่ไก่ตัวไหนมันมาหวังว่าลูกไก่จงออกมา ลูกไก่จงออกมา มันเป็นแม่ไก่บ้า เราอย่าไปเอาอย่างมันเลย เราทำด้วยสติปัญญา ด้วยสมาธิ ด้วยวิริยะ ด้วยความถูกต้อง ที่เป็นเครื่องมือของการกระทำในบาลีเขาเรียกว่า พละ พละ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
พละมีห้าอย่าง ไม่มีคำว่า ความอยาก หรือความหวังรวมอยู่ในนั้นเลย แม้แต่คำว่า ฉันทะ ก็ยังไม่มี มีแต่ว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ปัญญาเป็นตัวกำลัง ผลักดันให้เกิดการเคลื่อนไหว มีศรัทธา เชื่อแน่ในการกระทำ มีความพากเพียรในการกระทำ มีสติควบคุมการกระทำ มีสมาธิ กำลังใจ เข้มแข็งในการกระทำ มีปัญญา รอบรู้ในการกระทำ และการกระทำนั้นก็สำเร็จเป็นผลออกมาโดยไม่ต้องมีความอยาก ไม่มีกิเลส ตัณหา โลภะ อะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่นี้มันแปลกอยู่ที่ว่าเราแต่ละคนมันชอบทำด้วยความอยาก ด้วยความหวัง ด้วยโลภะ ด้วยราคะ อย่างงี้เป็นต้น นั่นแหละมันจึงเป็นทาสของเวลา มันเป็นทาสของเวลา กระหืดกระหอบอยู่ด้วยการบีบคั้นของเวลาอยู่เสมอ นี่เปลี่ยนเสียนี่ เปลี่ยนเป็นไม่ทำด้วยความอยาก พอไม่มีความอยาก เวลามันก็หมด มันก็หมดปัจจัย เวลาที่จะบีบคั้นจิตใจของคนนั้นก็หมดเหตุ หมดปัจจัย หมดที่ตั้ง หมดรากฐาน มันไม่มีเวลาสำหรับจะบีบคั้นจิตใจของคนนั้น ด้วยความรู้สึกที่ว่า มันไม่ทันแก่เวลา มันจะให้ทันแก่เวลา ซึ่งมันจะหวังอย่างนั้น จะเร่งอย่างนั้น มันก็มีแต่ความทุกข์ การงานมันก็ไม่ดีขึ้น บางทีการงานจะผิดพลาดเสียอีก ถ้าหวังมาก อยากมาก ดิ้นรนมาก ทะเยอทะยานมาก งานมันจะผิดพลาดไปเสียอีก สู้ทำด้วยนิสัยใจคอและจิตใจที่ปกติไม่ได้ เรียกว่า ไม่มีความอยากเข้ามาบีบคั้น ที่เราอยู่เหนืออำนาจของเวลา เราเป็นไม่ได้แต่เราก็ควรจะบังคับให้เป็น พระอรหันต์ท่านเป็นได้เพราะท่านหมดกิเลส หมดความอยาก หมดตัณหา เป็นได้โดยอัตโนมัติ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า เวลาสำหรับพระอรหันต์ หมายความว่าอย่างนี้ เข้าใจกันเสียให้ถูกต้อง
ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งมีพระอรหันต์เป็นจุดสุดยอด ก็จงเข้าใจเรื่องของพระอรหันต์ซะบ้างว่าไม่เกี่ยวกับเวลา ดังนั้น สำหรับพระอรหันต์นั้นน่ะไม่มีปีเก่าไม่มีปีใหม่ เพราะท่านไม่บ้าเหมือนกับพวกเรา เรามันยังมีความต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ มันก็มีปีใหม่ มีปีเก่า เพราะว่ามีความอยากมากนั่นเอง มันชะเง้อ หาปีใหม่ที่จะมีอะไรอร่อยกว่าปีเก่า สนุกสนานกว่าปีเก่า สวยงามกว่าปีเก่า มันก็มีเวลา มันก็บีบคั้นจิตใจ ถ้าไม่หลงใหลในสิ่งเหล่านี้ ไม่มีความอยากเข้ามา ความหมายมันก็ไม่มีสำหรับเวลา มันก็มีแต่อะไรดวงอาทิตย์ หรือโลกเคลื่อนไป นาฬิกาเดินไปก็เดินไปสิ มันก็ไม่มีเวลาสำหรับผู้ที่ไม่มีความอยาก ปีใหม่ไม่มีสำหรับผู้ที่ไม่มีความอยาก ปีใหม่จะมีสำหรับผู้ที่มีความอยาก คืออยากจะมีอะไรดีกว่าปีเก่า อุตส่าห์ส่งบัตร ส.ค.ส. กันให้ลิงมันหัวเราะ ลิงมันหัวเราะ ลิงมันไม่ต้องส่งบัตร.ส.ค.ส. มันก็อย่างนั้นแหล่ะ ไอ้คนที่ส่งบัตรสคส. กันเป็นวรรคเป็นเวร มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น แล้วมันกลับเป็นทาสของเวลามากขึ้น เมื่อไรจะถึงฤดูส่งบัตร ส.ค.ส. ก็เตรียมซื้อไว้แล้ว ลองคิดดู มันเป็นทาสของเวลามากมายถึงขนาดนี้ แล้วจะเป็นคนกันอย่างไร เป็นคนที่มีความทุกข์ เป็นคนที่ทรมานอยู่ด้วยความอยาก ความต้องการ ถูกเวลากัดกินอยู่เสมอ มีภาษาบาลีว่า เวลาย่อมกัดกินสรรพสัตว์ พร้อมทั้งตัวมันเอง เวลานี่กัดกินสรรพสัตว์ให้เจ็บปวดและกัดกินตัวมันเองให้สิ้นไปสิ้นไป สิ้นไป ผ่านไป ผ่านไป แต่พระอรหันต์ เป็นผู้ไม่มีความอยากกลายเป็นผู้กัดกินเวลา เป็นผู้กินเวลา เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า เวลา เวลา กันเสียก่อน เพราะสิ่งที่เรียกว่าปีใหม่หรือปีเก่านั้นน่ะ มันเป็นเรื่องของเวลา เพราะงั้นมันจะมีได้แต่สำหรับคนที่ยังมีความอยาก ไม่มากก็น้อย ที่มีความอยากอยู่ทั้งนั้น พอไม่มีความอยากแล้วเรื่องเวลา มันยกเลิกหมด มันไม่มีปัญหาอะไรอะไรเกี่ยวกับเวลา
นี่เรียกว่า รู้จักเอาชนะสิ่งที่ร้ายกาจที่สุด ร้ายกาจยิ่งกว่าสิ่งใด คือการกัดกินของเวลา กัดกินอยู่ในหัวใจ ทรมานอยู่ในหัวใจ ซึ่งเป็นโรคจิต เป็นโรคประสาท เป็นโรคอะไรกันมากมายนี่มันก็มีมูลมาแต่สิ่งนี้ ถ้าว่าเป็นผู้ที่ดำรงจิตใจไว้ถูกต้องตามหลักธรรมะแล้ว ความอยากไม่เกิดขึ้น เวลาก็ไม่มีความหมาย นาฬิกาก็เดินไป นาฬิกาก็เดินไป แต่ไม่มีความหมายสำหรับเรา
เอาเรื่องเวลาเป็นอย่างนี้ จำได้ว่าเคยพูดมาไม่มากไม่น้อยกว่าสองสามครั้งแล้ว แต่ว่าจะลืมกันแล้ว ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า เวลา เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ เรื่องลมๆแล้งๆ เพราะมันเข้าไปกัดกินอยู่ในหัวใจของบุคคลผู้มีความอยาก ถ้ายังมีความอยาก ความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่แล้ว อย่าไปอวดดีเลยว่าจะไม่ถูกกัดกินด้วยเวลา ยิ่งคนหนุ่มคนสาว ที่กำลังหวังอะไรมากมากนั่นแหล่ะ ระวังให้ดี เป็นผู้ที่ถูกเวลากัดกินหัวใจมากที่สุดเลย ให้สอนลูกเด็กๆ ให้รู้จักทำอะไรด้วยปัญญา อย่าให้ทำด้วยความหวัง ด้วยกิเลส ตัณหา เด็กเด็กนี่ก็จะทำได้ดีจะเรียนได้ดี มีสุขภาพอนามัยดี ไม่ต้องเป็นโรคที่เกี่ยวกับ ระบบจิต ระบบประสาท หรือระบบอะไรที่มันอยู่ในส่วนลึก เพราะว่าถูกทรมานด้วยเวลา
เอาล่ะ พูดถึงเรื่อง เวลาแล้ว ที่นี้ก็จะพูดถึง เรื่อง ชีวิต ชีวิต ปีใหม่ ชีวิตใหม่ ที่จะพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ชีวิต แต่ภาษาพูด มันมีอยู่หลายหลายคำ หลายความหมาย คำว่าชีวิตมีความหมายหลายความหมายแล้วแต่ว่าจะไปใช้กับเรื่องอะไร ถ้าใช้กับเรื่องทางวัตถุ มันก็คือการที่ว่าไอ้เซลล์แต่ละเซลล์มันยังสดอยู่ มันยังไม่ตาย ออโตพลาสในเซลล์หนึ่งมันยังสดอยู่ มันยังไม่ตาย มันก็ยังมีชีวิต มีความ หมายเกี่ยวกับจิตได้ ต้นไม้ทั้งหลายมีเซลล์ ในแต่ละเซลล์ยังมีออโตพลาสที่สดอยู่ มันยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตแค่นี้มันไม่มีความหมายอะไร เป็นเรื่องทางวัตถุ แต่ถ้าเป็นชีวิตที่มากไปกว่านั้น คือเซลล์เหล่านั้นประกอบกันขึ้นเป็นหมู่ สร้างความรู้สึก คิดนึกอะไรได้ เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกคิดนึกแล้ว มันก็เป็นหมู่ที่มีความรู้สึกคำว่า ชีวิตมันก็เลื่อนไปๆ ชีวิตมันจึงหมายถึงการไม่ตายนั่นแหล่ะ ความไม่ตายนั่นแหละ ความไม่ตายมีอยู่หลายระดับ ความไม่ตายของวัตถุ ความไม่ตายของไอ้จิตใจ ความไม่ตายของสิ่งทั้งสองอย่าง
ในชีวิตที่เป็นปัญหาก็คือชีวิตของสิ่งที่มีจิตใจ รู้สึกยึดถือว่ามันเป็นตัวตน สิ่งที่เรียกว่า ชีวิตตามธรรมชาติแท้ๆ ถ้าตามธรรมชาติแท้ๆ มันก็เป็นผลแห่งการปรุงแต่งของสังขารตามธรรมชาติ การปรุงแต่งตามธรรมชาติโดยส่วนของธรรมชาติปรุงแต่งเซลล์ทั้งหลายให้สดอยู่ด้วยออโตพลาส มันก็เป็นผลของธรรมชาติ เป็นสังขารตามผลของธรรมชาติ ชีวิตชนิดนั้นมันก็เป็นผลของสังขารตามธรรมชาติ แม้จะสูงขึ้นมามันก็เป็นผลของการปรุงแต่งตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ จนกระทั่งมันวิวัฒนาการ คือมันเปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป มากขึ้นไป ลึกซึ้งขึ้นไป นี่เรียกว่าวิวัฒนาการของสังขาร คือสิ่งที่เป็นวัตถุและเป็นจิตใจ เรียกว่า นามและรูป รูปและนาม นามและรูป คืออันหนึ่งเป็นจิต อันหนึ่งเป็นวัตถุ อาศัยกันแล้ววิวัฒนาการ ชีวิตนั้นก็ได้รูปใหม่เป็นวิวัฒนาการใหม่ไกลออกไป จนมาเป็นชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน มาเป็นชีวิตของมนุษย์ หรือจะเป็นชีวิตของเทวดาอะไรก็ได้ถ้ามันมี มันก็มี มันก็เป็นผลแห่งวิวัฒนาการของสิ่งที่เรียกว่า นามและรูปทั้งนั้น คือของสิ่งที่เรียกว่า กายและใจทั้งนั้น
เราจะเอาอะไรกับชีวิต ที่มันเอาอยู่เอง มันก็เป็นอยู่เอง โดยไม่ต้องรู้สึกก็คือไม่อยากตาย ความรู้สึกไม่อยากตายรอดชีวิตอยู่นี่ มันเป็นสัญชาตญาณ เกิดได้เองในสิ่งที่มีชีวิตตามธรรมชาติ มันจะมีสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้เพื่อไม่ให้ตาย เพื่อไม่ยอมตาย นี่ก็เรียกว่า ต้องการความไม่ตายคือต้องการความอยู่ เอ้า, ที่นี้การอยู่แล้วต้องการอะไร ที่นี้มันก็ต้องการเอร็ดอร่อย สนุกสนาน ประเล้าประโลม ลูกเด็กๆ ก็เกิดมาจากท้องแม่ ก็ถูกอบรมให้พอใจในสิ่งที่เอร็ดอร่อย สวยงาม ไพเราะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง มันก็เลยต้องการสิ่งเหล่านี้ ชีวิตในชีวิตต้องการสิ่งเหล่านี้ นี่มันต้องการรุนแรงขึ้นๆ จนถึงขนาดที่ว่าต้องการทางเพศ เจริญเติบโตรู้สึกความต้องการทางเพศ มันก็เลยต้องการสูงสุดกันที่เรื่องทางเพศ ก็ทำทุกอย่างน่ะ อุตส่าห์เรียนเกือบเป็นเกือบตาย อุตส่าห์สะสมเงินทองเกือบเป็นเกือบตาย เพื่อผลแก่ความรู้สึกทางเพศ ก็เรียกว่า ชีวิตมันต้องการเหตุผลทางเพศ มันก็มีเท่านั้น เท่านั้นมันถูกหรือไม่ มันทำให้เกิดความสงบสุข หรือว่าทำให้เกิดความเดือดร้อนดิ้นรนทนทรมาน
เราควรจะมีปัญหากันว่า เกิดมาแล้ว อย่างนี้แล้ว จะต้องทำอะไร ไอ้ปัญหาที่ถามว่า เกิดมาทำไม เกิดมาทำไม มันล้าสมัยแล้ว อย่าเอามาถามให้รกหูเลย ถามปัญหาใหม่ว่า เมื่อเกิดมาอย่างนี้แล้ว จะต้องทำอะไร ควรจะถามกันอย่างยิ่ง ควรจะซักไซ้กันอย่างยิ่ง เมื่อเกิดมาอย่างนี้แล้ว ถ้าไม่งั้นมันมีข้อความโยงกันไปมากว่า นี่เจตนาต้องการจะเกิดมาหรือไม่ หรือว่ามันไม่ได้ต้องการเกิดมา บิดามารดาทำให้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ มันจะไปโทษบิดามารดา เรื่องมันยุ่ง มันไม่รู้จักจบ เอาเป็นว่าเดี๋ยวนี้มันเกิดมาแล้ว มันเกิดมาแล้วนี่ มันควรจะทำอย่างไรจึงจะเป็นผลดีที่สุดในการที่ได้เกิดมาแล้วอย่างนี้ นี่มันเกี่ยวกับ คำว่า ชีวิตควรจะต้องการอะไร ชีวิตที่ได้มาแล้วอย่างนี้ อยู่ในสภาพอย่างนี้ควรจะต้องการอะไร
อาตมาใคร่ครวญมาเป็นเวลานานแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวนี้อยากจะสรุปความสั้นๆ ว่า เกิดมามีชีวิตชนิดที่เป็นสุข ไม่มีความทุกข์และก็ทำประโยชน์แก่ทุกฝ่ายได้ ไม่เป็นหมัน ชีวิตนี้เอาเพียงว่า มีความสุข มีความสงบสุข เป็นชีวิตเย็นในส่วนตน และพร้อมกันนั้นก็มีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ไม่เป็นหมัน เท่านี้พอไหม ถ้าต้องการมากกว่านี้ มันบ้าแล้วใช่ไหม ลองคิดดูทุกคน มันต้องการอะไรให้ดีไปกว่านี้ว่ามีความสุขเย็นในชีวิต ในส่วนตน และพร้อมกันนั้นสามารถบำเพ็ญประโยชน์แก่ทุกฝ่ายได้ เท่านี้มันควรจะพอ ให้มันได้เท่านี้ มันก็จะพอ ถ้าเกินนี้มันจะบ้า มันจะเกินจำเป็น เกินที่จะทำได้ แล้วมันก็จะยุ่ง เดี๋ยวนี้ต้องการอะไรกันมาก ทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไร นี่คนเป็นมาก ต้องการเป็นพระอรหันต์ ต้องการเป็นพระอรหันต์ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าอะไร ต้องการไปนิพพาน ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ไหนจะไปอย่างไรก็ไม่รู้แต่ก็ต้องการนิพพาน ลองถามกันดูสิว่า เปลี่ยนซะเถอะ อย่าไปต้องการเป็นอย่างนั้นเลย อย่าต้องการเป็นเทวดา เป็นเศรษฐี เป็นอะไรเลย ต้องการแต่ว่าให้ชีวิตนี้ มันไม่มีความทุกข์ มันสงบเย็น และพร้อมกันนั้นสามารถทำประโยชน์แก่ทุกฝ่ายได้ เท่านี้พอไหม เท่านี้พอไหม
นี่ขอฝากวันนี้ ขอฝากแก่ทุกคนที่ได้ยินอยู่นี้ ว่าเท่านี้พอไหม ถ้าเกินนี้เป็นบ้าไหม มันเสียเวลาเปล่าๆ ใช่ไหม ชีวิตที่เย็นไม่มีความทุกข์ แล้วสามารถทำประโยชน์ได้แก่ทุกฝ่าย เท่านี้พอไหม ถ้ามันพอ มันจะได้ตั้งหน้าเจาะจงลงไป ทำเพื่ออย่างนี้เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรให้มันเกิน เกินจนบ้า เกินจนเสียเวลา เกินจนยุ่งไปหมด จนไม่ได้อะไรในที่สุด ไอ้ชีวิตที่เยือกเย็นนั่นแหล่ะ มันเป็นนิพพานอยู่แล้ว นิพพานที่ชะเง้อหา อธิษฐานกันนัก มันนิพพานในความฝัน มันจะไม่พบตัวจริง ที่นี้ตัวจริงมันมีอยู่ในชีวิตที่เย็น ชีวิตที่จัด จัดแจง ตระเตรียม ถูกต้อง ไม่มีความร้อนคือกิเลสเกิดขึ้นเผาผลาญเลย มันเป็นชีวิตเย็น นี่เป็นนิพพานอยู่แล้ว เป็นนิพพานน้อยๆ ไปก่อน จนกว่าจะสมบูรณ์ ที่นี้ว่าเรี่ยวแรงมันมีอยู่ มันเคลื่อนไหวได้ ก็จะให้การเคลื่อนไหวนั้นมันเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย แก่เราเองด้วย แก่ทุกฝ่าย แก่ตัวเองด้วย แก่ผู้อื่นด้วย มันเป็นชีวิตที่ผลิตประโยชน์แก่ทุกฝ่าย โดยไม่ต้องการเป็นตัวเราหรือเป็นของเราหรือว่าเป็นของเพื่อนของเราก็ไม่ต้องการ ไม่ต้องการจะมีความหวังให้ไกลออกไป จนไปมีตัวตน อย่างนั้นอย่างนี้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวนี้ให้มันมีประโยชน์ ให้มันเป็นประโยชน์ คือช่วยส่งเสริมให้เกิดความสงบเย็น ส่งเสริมให้เกิดความสงบเย็นฝ่ายตัวเอง ส่งเสริมให้มีความสงบเย็นฝ่ายผู้อื่น พร้อมไป เท่านี้พอไหม ฉะนั้นอย่ามองข้ามเรื่องทำบุญ ให้ทาน อธิษฐาน อย่างนั้นอย่างนี้ มันจะเป็นเรื่องฟุ้งซ่าน จะเป็นเรื่องฟุ้งซ่านของคนบ้า เอาแต่เพียงว่าให้ชีวิตนี้มันเย็น ให้กิเลสมันระงับไป ให้ไฟมันดับไป ให้มันเย็นอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี่ ที่บ้านก็ได้ที่วัดก็ได้ แล้วแต่ว่ามันจะต้องอยู่ที่ไหน เพราะการเคลื่อนไหวมันมีประโยชน์ ส่งเสริมแก่ความมีชีวิตเย็นทั้งของตัวเอง และทั้งของผู้อื่น เท่านี้มันควรจะพอ เดี๋ยวนี้ก็ลองนึกดูสิว่า มันเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างไร มันร้อนๆ เพิ่มขึ้นทุกปี ปีใหม่ยิ่งร้อนกว่าปีเก่าหรือเปล่า พูดโดยใจจริง อย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกผู้อื่น ได้ตอบปัญหาว่า ชีวิตนี้มันร้อนยิ่งขึ้นทุกปีหรือเปล่า โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว ที่กำลังเจริญในทางจิตใจ ดูให้ดีว่าชีวิตนี้มันร้อนยิ่งขึ้นทุกปีๆหรือเปล่า ลูกเด็กๆ มันก็ร้อนไปตามประสาลูกเด็กๆ เป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่มเป็นสาวมันจะร้อนเท่าไร เป็นพ่อบ้านพ่อเรือนทั้งร้อนและทั้งหนักด้วยเท่าไร ถ้ายิ่งโง่ต่อไป มันก็จนกระทั่งเข้าโลงนั่นล่ะ มันเต็มไปด้วยความร้อน เต็มไปด้วยความหนัก
เราจะหวังเอาอะไรจากชีวิต อาตมาคิดว่าหวังความเยือกเย็น เป็นสุขอยู่ในภายในตน แล้วก็พร้อมที่จะบำเพ็ญประโยชน์ แก่ทุกๆ ฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายไหน นั่นแหล่ะมันจะเป็นมรรคผลนิพพานอยู่ในตัว คือมันเอาตัวออกไปเสีย เอาตัวตนออกไปเสีย เหลือแต่การกระทำสำหรับเย็น ที่มีแต่การกระทำชนิดที่ดับไฟดับกิเลส แล้วก็ดับทุกข์แล้วมันก็เย็น มันเหลือแต่เครื่องจักรที่ผลิตความเย็นอยู่ตลอดเวลา ถ้าจัดชีวิตให้เป็นได้อย่างนี้ ก็เรียกได้ว่า มันดีกว่าปีเก่าแน่ แต่ถ้าเดี๋ยวนี้มันขยายความอยาก ขยายความต้องการ แล้วมันก็ถูกกัดกินโดยเวลา อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วมันก็ร้อนอยู่ด้วยไฟกิเลส มันจะดีอะไร จะเป็นความสุขปีใหม่ได้อย่างไร หรือใครมีความสามารถอย่างไรก็ลองคิดดู ทุกคนแย้งได้ ทุกคนไม่ต้องเชื่ออาตมาพูด ไม่ต้องเชื่อ จงเชื่อตัวเองว่าทำอย่างไร จะให้มันเย็นกว่าปีเก่า ถ้าปล่อยไปตามที่แล้วๆ มา มันก็ร้อนมากกว่าปีเก่า มันไม่ใช่ชีวิตใหม่ มันจะเป็นชีวิตที่เลวกว่าชีวิตปีเก่าไปเสียอีก ถ้าพูดว่าใหม่ว่าเก่าที่จริงไม่มีอะไรใหม่ มันมีแต่เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ที่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนรูปไป เปลี่ยนรูปไปไม่มีอะไรใหม่
ในทั้งหมดนี้ ในสากลจักรวาลแล้วแต่จะเรียกไม่มีอะไรใหม่ มันมีแต่สิ่งที่เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ที่เรียกว่าเป็นไปตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา ไม่มีอะไรใหม่ แต่ถ้าเราไม่เคยเห็น ไม่เคยพบมาก่อน เราเห็นเป็นของใหม่ เราเห็นเป็นของแปลก ดังนั้นคนที่ชอบของใหม่ ชอบของของแปลก นั่นพึงรู้ว่าคือคนโง่ที่สุดแหละ นี่พูอดอย่างนี้ไม่ต้องกลัวแล้วนะ ใครที่ชอบของแปลกชอบของใหม่นั่นคือคนโง่ ถึงจะมีมา จะเอามา ก็ไม่ต้อง ในลักษณะที่หลงใหลว่าเป็นของแปลก ว่าเป็นของใหม่ ที่จริงมันไม่มีอะไรแปลก มันไม่มีอะไรใหม่ในจักรวาลนี้ มันเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ตามกฎของอิทัปปัจจยตา แต่เพราะเหตุที่เรายังไม่เคยเห็น นั่นก็เป็นของแปลก เช่น คนป่า พอเห็นรถไฟ เห็นเรือบิน เดี๋ยวนี้มันก็เป็นของแปลก สำหรับคนที่เขารู้เรื่องนี้ ไม่แปลก ไม่มีอะไรแปลก ที่นี้ไอ้คนเดี๋ยวนี้ อย่างพูดว่าไปโลกพระจันทร์แปลก คือคนโง่ มันไม่มีอะไรแปลก มันไม่มีอะไรใหม่ มากไปกว่าเหตุปัจจัยเหล่านั้น ซึ่งมันทำได้อย่างนั้น บางคนก็คิดว่ากายกรรมเปียงยางแปลกที่สุด เขย่าจิตใจที่สุด นั่นมันคนโง่ มันก็ต้องเห็นเป็นของแปลก มันก็ต้องพยายามไปดู ไปถึงกรุงเทพฯ ไปดู เสียค่าผ่านประตูห้าร้อยบาทก็เอา เพราะมันเห็นว่าเป็นของแปลกและของใหม่ ถ้ารู้ความจริงของธรรมชาติแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของแปลก ไม่มีอะไรเป็นของใหม่ เขาจะเล่นกายกรรมโลดโผนอย่างไร มันก็ไม่ใช่ของแปลก มันไม่ใช่ของใหม่ มันเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นได้อย่างนั้นเอง ดังนั้นถ้าเรามองเห็นความจริงข้อนี้แล้ว จะไม่มีอะไรแปลก เราก็ไม่ถูกหลอกให้ซื้อของแปลกๆ ไม่ต้องซื้อเสื้อตัวใหม่ ทุกคราวที่มันเปลี่ยนแบบ ไม่ต้องซื้อรถยนต์คันใหม่ทุกคราวที่มันเปลี่ยนแบบ ไม่ต้องสร้างบ้านใหม่ให้มันเปลี่ยนแบบ เพราะว่ามันรู้ว่ามันไม่มีอะไรแปลก มันไม่มีอะไรใหม่ เดี๋ยวนี้มันหลงในคำว่า แปลก หลงในคำว่า ใหม่ กระทั่งปีใหม่ มันจะกลายเป็นใหม่สำหรับความทุกข์ใหม่ๆ มันจะกลายเป็นปีสำหรับมีความทุกข์ ใหม่ๆ มีความทุกข์ที่แปลกๆ ออกไป ไม่ใช่มันเป็นความสงบเย็นที่มากขึ้น ระวังให้ดี
อย่าลืมคำพูดที่ว่า อนาคตเปลี่ยนเป็นอดีตอยู่เสมอ ที่หวังจะขาดใจ หวังจะได้ อยากจะขาดใจ เป็นอนาคตไม่เท่าไรก็เปลี่ยนเป็นอดีต ใครหวังอะไรก็ไปคิดเอาเอง หวังอะไร หวังอะไร ในทางกิน ในทางกาม ในทางเกียรติ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ สามอย่างนี้ ใครหวังอะไรเท่าไร หวังอยากจะขาดใจเท่าไร เป็นอนาคตไม่เท่าไรก็กลายเป็นอดีต อนาคตจะกลายเป็นอดีตอยู่ตลอดเวลา นี่คือปัจจุบันที่แท้จริง เรารู้จักปัจจุบันอันนี้ อยู่กับปัจจุบันอันนี้ เราก็ไม่หวังอะไรสิ ไม่หวังอะไรเลย จะได้พบไอ้สิ่งที่เรียก ถ้าจะเรียก มันก็อาจจะเรียกได้ว่า แปลกหรือใหม่ คือมันไม่ซ้ำเก่า แต่ไม่ควรจะเรียกว่าใหม่หรือเก่า เรียกว่ามันเหนือความทุกข์ มันขึ้นพ้นอยู่เหนือความทุกข์ ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป อย่างนี้จะดีกว่า จะถูกกว่า มาถือธรรมะ มาถือศาสนานี่เพื่อดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อจะได้อะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ไม่ใช่จะได้กามารมณ์ใหม่ๆ ได้เรื่องกินใหม่ๆ เรื่องกามใหม่ๆ เรื่องเกียรติใหม่ๆ เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องหลงใหล เป็นเรื่องอวิชชา ไม่รู้ตามที่เป็นจริง นี่อวิชชาแล้วมันก็อยาก พออยากแล้วเวลาก็กัดกินเอา มีความอยากที่ไหน ก็สร้างเวลาขึ้นมา สำหรับกัดกินคนนั้น
อย่าลืมว่าพระอรหันต์ ท่านไม่มีความอยาก ท่านจึงไม่มีปัญหาเหล่านี้ มันจึงเป็นชีวิตชนิดที่เย็นถึงที่สุด และเด็ดขาดไม่เปลี่ยนแปลงเป็นชีวิตที่เย็น ถ้าต้องการก็ควรจะต้องการชีวิตที่เย็น อย่าเกิดความอยากใดๆ เลย ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ต้องการให้มีชีวิตเย็นไม่มีความทุกข์ก็แล้วกัน อย่าไปหวังว่าจะบรรลุมรรคผลขั้นโน้น ขั้นนี้ อย่าไปหวังให้มันยุ่ง หวังแต่ชีวิตที่มันเย็น ไม่มีความทุกข์ก็พอแล้ว แล้วก็ให้มันเป็นประโยชน์อยู่ตลอดเวลา รวมความว่าเอาแต่ชีวิตชนิดที่มันไม่เป็นทุกข์ มันไม่เป็นทุกข์ พอแล้ว มันถูกแล้ว ไม่เป็นทุกข์ นั่นแหล่ะ จะเป็นชีวิตใหม่สำหรับปีใหม่ ซึ่งความจริงมันก็เป็นเครื่องกำหนดเวลาเท่านั้น ปีใหม่ปีหนึ่งๆ เป็นเครื่องกำหนดเวลาเท่านั้น ถ้าจะไม่ให้มีความทุกข์ก็ต้องไม่มีความอยาก แล้วเวลามันก็จะไม่กลายเป็นยักษ์เป็นสัตว์ร้ายขึ้นมาทำลายกัดกินเอา พอมีความอยาก ความต้องการอย่างโง่เขลา ที่นี้สิ่งที่เรียกว่าเวลาก็กลายเป็นยักษ์เป็นมารเป็นสิ่งร้ายกาจที่สุดขึ้นมากัดกินเอา ระวังให้ดี
อย่าสร้างปีใหม่สำหรับจะมีความทุกข์มากกว่าปีเก่าเพราะความโง่ของตน ถ้ายังคิดว่าใหม่ว่าเก่าอยู่แล้วก็ยังเป็นคนธรรมดา ถ้าเป็นผู้รู้จริงถึงที่สุดแล้ว มันไม่มีใหม่มีเก่า มันมีแต่เช่นนั้นเองๆ มันไม่มีใหม่มีเก่า อย่างนี้จะเป็นนิรันดร จะเป็นชีวิตนิรันดร ชีวิตไม่มีความทุกข์นิรันดร เราจะเรียกว่า นิพพานก็ได้ คนอื่นเขาจะเรียกว่า เมืองพระเจ้าก็ได้ โลกพระเจ้าก็ได้ แล้วแต่เถอะไม่สำคัญในชื่อเรียกหรอก เอาแต่ตัวจริงว่ามันไม่มีความทุกข์นิรันดร ไม่มีความทุกข์นิรันดร แล้วตัวเรามันก็ไม่มี มันก็ยิ่งเป็นนิรันดร ไม่ต้องมีอะไรมายึดถือว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู ว่างเสียจากความรู้สึกอันนี้ อันนี้นิรันดรกว่าสิ่งใด ถ้ามันมีตัวกู มันก็ต้องมีเกิดแก่เจ็บตาย มันนิรันดรไปไม่ได้ ถ้ามีตัวกู อย่ามีตัวตน อย่ามีตัวกู มันก็เป็นนิรันดร เพราะมันเป็นความว่าง ไม่มีอะไรจะว่างยิ่งไปกว่านิรันดร ไม่มีอะไรนิรันดร ยิ่งไปกว่าความว่าง ธรรมะเป็นอย่างนี้ ต้องการชีวิตใหม่สำหรับปีใหม่ก็ทำให้มันว่างจากกิเลสนั่นแหละ ว่างจากความไม่รู้ ความโง่ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วแต่จะเรียก มันว่างจากสิ่งนี้ แล้วก็จะได้รับผลแปลกไปจากปีเก่า ซึ่งเป็นอยู่ด้วยสิ่งเหล่านี้
เราเกิดมาจากท้องมารดา มีสิ่งแวดล้อมทำให้หลงมากขึ้น หลงมากขึ้น หลงมากขึ้น เลยกลาย เป็นความยากลำบากในการที่จะขจัดกำจัดขจัดปัดเป่าออกไป แต่มันก็เป็นหน้าที่เป็นหน้าที่อย่างยิ่งที่จะต้องขจัดปัดเป่าออกไปให้ไปหาจุดปลายทาง คือความไม่มีทุกข์เลย ชีวิตนี้มันมาตามธรรมชาติ แล้วมาพบกับไอ้สิ่งที่หลอกให้หลง แล้วมันก็หลงแล้วมันก็เป็นทุกข์ แล้วมันก็รู้สึก มันก็พยายามที่จะขจัดสลัดไอ้ความทุกข์เหล่านั้นออกไป ขอให้มีความรู้เรื่องนี้มากขึ้น แล้วก็ขจัดความทุกข์ออกไปได้มากขึ้นนั่นแหละจะมีชีวิตใหม่สำหรับปีใหม่ ใหม่ ใหม่ ใหม่ นี่โดยสมมติ เรียกใหม่ ใหม่ ใหม่ มันไม่มีอะไรใหม่อย่างที่พูดมาแล้ว มันมีแต่เช่นนั้นเอง แต่เอาละ เดี่ยวนี้เราจะพูดว่าใหม่ ตามภาษาชาวบ้านทั่วไปที่พูดว่า ปีใหม่ ถ้าปีใหม่มันก็ควรจะแปลกกว่าปีเก่า แปลกไปในทางที่ว่า เป็นที่น่าพอใจยิ่งขึ้น ไม่ใช่แปลกไปในทางที่ว่าทนทุกข์ทรมานมากขึ้น ระวังให้ดี ถ้ามีโครงการที่จะอยากอะไรใหม่ ต้องการอะไรใหม่ให้มันสนุกสนาน เอร็ดอร่อยไปกว่าปีเก่าแล้วระวังให้ดี มันจะไม่ใช่ความสุขปีใหม่ ความสุขปีใหม่ มันต้องมาจากการกำจัดความหมายของเวลา เป็นผู้ฆ่าเวลา เป็นผู้กินเวลา ถึงจะมีความสุขปีใหม่ หรือว่าจะกำจัดลดกิเลส ลดสิ่งที่เรียกว่า กิเลส กิเลส อวิชชา ตัณหาลง ลงไป ลงไปได้ นี่มันจึงจะเป็นของแปลกไปในทางที่พึงปรารถนา เป็นของแปลกจากที่เคยได้รับมาแต่ก่อน แต่แม้จะแปลกสักเท่าไรก็ไม่ใช่ของใหม่ มันเป็นของเช่นนั้นเองตลอดกาลนิรันดร เรียกว่า ชีวิต
เอ้า, ที่นี้ก็มีอีก วิธีที่จะดำรงชีวิตชนิดนั้น ดำรงชีวิตชนิดนั้น มันคือมีชีวิตชนิดที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ธรรมะชีวี มีธรรมะเป็นชีวิต มีชีวิตเป็นธรรมะ เรียกว่า ธรรมะชีวี อาตมาขอร้องให้ทุกคนน่ะกำหนดจดจำคำนี้เอาไปด้วย เพราะมันจะใช้เป็นหลักสำหรับการศีกษาและการปฏิบัติเพื่อจะเอาชนะความทุกข์ทุกชนิด ทุกเวลา ทุกหนทุกแห่ง ธรรมะชีวี มีชีวิตประกอบไปด้วยธรรมะ คือรู้ เป็นชีวิตที่สะอาด สว่าง สงบ มันรู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร มันก็ไม่ไปเที่ยวหลงอยากนั่น หลงอยากนี่ ให้เกิดเวลาชนิดที่ขบกัดเอา หรือเกิดความทุกข์ ดำรงตนเป็นธรรมะชีวี คือมีธรรมะอยู่ตลอดชีวิต มีความถูกต้อง ทำอะไรถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ว่าต้องดำรงความคิดอย่างนี้อยู่จึงจะไม่เป็นทุกข์ คืออย่าปล่อยให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวตนเป็นของตน แล้วก็อยากอะไรมาเพื่อตัวตนเพื่อของตน ได้อะไรมายึดถือ หวงแหน หลงใหลเพื่อเป็นตัวตน เพื่อเป็นของตน อย่างนั้นมันเป็นทุกข์ ที่มามีความถูกต้อง คือไม่เป็นอย่างนั้นแล้วก็รักษาความถูกต้องอันนี้ไว้ได้นั่นแหล่ะ เรียกว่า ธรรมะชีวี
อาตมาขอเปิดสมาคมธรรมะชีวี ใครจะเป็นสมาชิกหรือไม่เป็นก็ตามใจ ขอบอกให้รู้ว่าเดี๋ยวนี้เปิดสมาคมธรรมะชีวี ชักชวนผู้ที่เห็นด้วยเข้ามาเป็นสมาชิก ประพฤติปฏิบัติโดยรักษาความถูกต้องในจิตใจให้มีอยู่เสมอ จะมองเห็นแต่ความถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจอยู่เสมอ มีความถูกต้องที่กำหนดเป็นอารมณ์ โดยทั่วไปหรือแต่ก่อนๆ นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความถูกต้องเสียเลย แต่ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้กำหนดเอาความถูกต้องมาเป็นอารมณ์ มันก็เหมือนกับไม่มี ความถูกต้องก็แล้วไป ความไม่ถูกต้องก็แล้วไป ชีวิตนี้มันก็หมุนรี หมุนขวาง อยู่นั่น ไม่รู้จะไปทิศทางไหน เดี๋ยวนี้มาสร้างระเบียบว่าเราจะกำหนดความถูกต้อง ทุกๆ ขณะ ทุกๆ เวลา ทุกๆ สถานที่ ทุกๆ อิริยาบถ ให้มองเห็นแต่ความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ ถูกต้องของความเป็นมนุษย์ คือธรรมะ ในทุกๆ อิริยาบถมีบรรยายไว้ละเอียดแล้วในคราวก่อนๆ พิมพ์เป็นหนังสือขึ้นมาแล้ว ก็มีเรียกว่าเรื่องธรรมะชีวี ถ้าจะเป็นสมาชิกธรรมะชีวีก็พยายามศึกษา อ่านดู แล้วประพฤติปฏิบัติตามนั้น
บอกใจความสั้นๆ เลยว่า มองเห็นความถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เรียกเป็นชื่อ ภาวนากรรมฐานอย่างยิ่งว่า ธรรมานุสติ ธรรมานุสติ มีการตามระลึกถึงธรรมะ ธรรมะ คือความถูกต้อง ตัวอย่างเช่นว่า พอตื่นนอนขึ้นมา ยังไม่ต้องลุกจากที่นอน บอกว่ามันถูกต้อง มันถูกต้อง มันจึงรอดชีวิตมา นอนหลับมาได้ตื่นหนึ่งแล้ว คืนหนึ่งแล้ว มันถูกต้องแล้ว แล้วก็พอใจ ทีนี้จะไปทำอะไร จะไปล้างหน้า ก็กำหนดความถูกต้อง กำหนดตัวความถูกต้องเป็นธรรมานุสติอยู่ตลอดเวลาที่เดินไปล้างหน้า แล้วก็ล้างหน้า ล้างหน้าจนเสร็จ รู้สึกอยู่ว่าเป็นความถูกต้องในการกระทำนี้แล้วก็พอใจ ถูกต้องแล้วก็พอใจ ทุกก้าวย่างที่ไปล้างหน้าแล้วเดินกลับมา แล้วก็จะไปห้องน้ำ ไปถ่ายอุจจาระ ก็กำหนดความถูกต้องในการถ่ายอุจจาระนั้นน่ะจนตลอดเวลา อย่าประหลาดใจว่า แม้แต่การถ่ายอุจจาระนี่ก็ต้องทำอย่างถูกต้อง นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า มีสติสัมปชัญญะในการถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ หรือทุกๆอิริยาบถ เมื่อถ่ายอุจจาระกว่าจะถ่ายเสร็จ กำหนดความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง จนถ่ายเสร็จ จนจะกลับออกมา กลับออกมาจากห้องถ่าย ก็ด้วยความรู้สึกว่าถูกต้อง ถ่ายปัสสาวะก็เหมือนกัน จะไปอาบน้ำก็กำหนดความถูกต้อง นับตั้งแต่เดินเข้าไปในห้องน้ำ หรือจะไปหยิบขันตักน้ำ หรือจะชักน้ำก๊อกก็แล้วแต่เถอะ ให้มันมีความรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ เอาความถูกต้องเป็นอารมณ์ อย่างนี้เรียกว่า มีสติ ในธรรมะ มีสติ ตื่นอยู่ทุกเมื่อ ตื่นอยู่ทุกเมื่อไม่เคยหลับ ไม่เคยเผลอสติ เสร็จแล้วมีความถูกต้องทุกก้าวย่างกลับมา ไปห้องอาหารไปกินอาหาร นับตั้งแต่เข้าไปในห้อง นับตั้งแต่หยิบจาน ตั้งแต่กินอาหาร ตั้งแต่เคี้ยว ตั้งแต่กลืน จนกว่าจะเสร็จ มีสติสัมปชัญญะ กำหนดความถูกต้องๆๆ และพอใจๆๆ จนกว่าจะกินอาหารเสร็จ มีอะไรทำอย่างนี้กันไหม
อ้าว, เดี๋ยวนี้ก็ว่าจะไปทำการงาน จะไปออฟฟิศ ทำการงาน ลงบันไดทุกขั้น ถูกต้อง พอใจ ขึ้นรถถูกต้อง พอใจทุกวินาที ไปถึงที่ทำงาน เข้าไปในห้องทำงาน ด้วยความรู้สึกว่าถูกแล้ว ถูกต้องแล้วนี่ทำงาน นี่แล้วก็พอใจ แล้วก็ทำ ทำด้วยความถูกต้องและพอใจ ให้รู้สึกว่างานนี้คือหน้าที่ หน้าที่นี้คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ดังนั้นพนมมือ พนมมือ ให้ความเคารพแก่หน้าที่ แก่การงาน แก่ห้องทำงานออฟฟิศที่ทำงาน พนมมือเสียทีหนึ่งก่อนที่จะก้าวเข้าไปในห้องทำงานตั้งแต่ทำงาน ถ้าสมมติว่าจะไถนา พนมมือให้ควาย ให้คันไถเสียทีหนึ่งก่อนแล้วจึงจะจับมันมาไถนา บูชาความถูกต้องหรือบูชาความหมายของหน้าที่และการงานว่า มันเป็นสิ่งที่ช่วยให้รอด พระเจ้าที่จะช่วยให้รอดคือ หน้าที่การงานนั่นเอง ก็มีความพอใจเป็นสุขอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปหาอาบอบนวด หรือไม่ต้องไปหาอะไรที่ไหนอีกแล้ว มันมีความสุข มีความพอใจอยู่ในการกระทำนั้น ทุกๆ อิริยาบถ ไม่รู้จะใช้เงินไปหาความสุขที่ไหน มันไม่มี ความสุขอย่างอื่นเป็นเรื่องความหลอกลวงทั้งนั้น ไม่ใช่ความสุข ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ที่การทำหน้าที่ การทำหน้าที่ ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง เงินเลยไม่รู้จะใช้เอาไปซื้อหาความสุขอะไรที่ไหนอีก เงินมันก็เหลือ ถ้าไปหลงความหลอกลวง ความเพลิดเพลิน ความหลอกลวง ใช้เงินจนหมด มันก็ไม่ได้ความสุขแล้วเงินก็หมด ที่เป็นกันอยู่โดยมากที่เงินเดือนไม่พอใช้ ต้องไปโกง ต้องฆ่าตัวตาย ต้องติดคุกติดตะราง เพราะประพฤติไม่ถูกต้องต่อสิ่งที่มันเป็นความสุขหรือเป็นความทุกข์
เรามีธรรมะ มีความถูกต้อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สมมติจะเจ็บไข้ได้ป่วยขี้นมา เกิดป่วยขึ้นมา มันก็ถูกต้องแล้ว มันก็ถูกต้องแล้ว ยินดีแล้ว ที่มันจะต้องเจ็บป่วยบ้าง ที่มันจะต้องเป็นตามธรรมชาติอย่างนี้ ยินดี ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องเป็นทุกข์กับความเจ็บป่วย แล้วก็รักษาเยียวยากันไปมันก็หาย โดยไม่ต้อง ไม่ต้องมีความทุกข์ ถ้าไม่หายมันตาย มันก็เช่นนั้นเอง ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้ามันหาย มันก็เช่นนั้นเอง ไม่ต้องดีใจลิงโลด อะไรกันอีก มันมีแต่ความปกติ ปกติ ปกติ ถ้าจะเกิดอะไรชนิดที่เรียกกันว่า เป็นฝ่ายร้าย เป็นโชคร้าย เป็นอะไรร้ายก็ตามใจ ก็มันอย่างนั้นเอง ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลงในทางจิตใจ มีสติปัญญาแก้ไข ตามกฎของอิทัปปัจจยตาไป ตลอดเวลาอาศัยพระเจ้าอิทัปปัจจยตา เป็นสิ่งประสาทความถูกต้องให้ตลอดเวลา แล้วก็เป็นอยู่กับสิ่งเหล่านี้
อ้าว, ทำงานเสร็จแล้วจะกลับบ้าน ก็กลับบ้านอย่างเดียวกันอีก ทุกก้าวย่างที่จะเดินกลับมาบ้าน ก็ถูกต้องแล้ว กลับมาจากนา ทุกก้าวย่างมาบ้านก็ถูกต้องแล้ว กลับมาจากออฟฟิศ ทุกขั้นตอน ทุกก้าวย่าง หรือว่าจะนั่งรถ หรือว่าเดิน มันมีแต่ความรู้สึกว่าถูกต้อง จนกว่ามาบ้านแล้ว มันก็ถูกต้องแล้ว มาบ้าน จะกินข้าว จะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะอะไรมันก็ถูกต้อง ที่นี้เบ็ดเตล็ด เรื่องเบ็ดเตล็ด ถ้าจะช่วยทำการ ทำงาน ช่วยกันถูบ้าน ถูเรือน ถูพื้น ล้างจาน ล้างส้วม ล้างส้วมก็มองเห็นความถูกต้อง ความถูกต้องที่จะทำ ที่จะต้องทำแล้วก็พอใจ เลยมีความสุขเมื่อล้างส้วม เห็นไหมว่าได้กำไรเท่าไร มันมีความสุข พอใจ ได้เมื่อล้างส้วม เมื่อล้างจาน เมื่อถูพื้น มันไม่มีความทุกข์เลย นี่ก็คือธรรมะชีวี ยินดีต้อนรับสมาชิกธรรมะชีวี แต่ไม่ต้องลงทะเบียนนะ ขอให้ประพฤติปฏิบัติแล้วก็เป็นตัวเอง เป็นตัวเอง ให้มีความถูกต้องเป็นอารมณ์ของสติ สตินี้ไม่หลับ ตื่นอยู่ทุกเมื่อ ตื่นอยู่ในความถูกต้อง มีความถูกต้องและก็พอใจ ก็เป็นธรรมะชีวี
ที่นี้พอถึงเวลาจะนอน เข้าห้องนอน เข้าไปทุกก้าวย่างมีความรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ พอจะนอนถือเป็นโอกาสพิเศษหน่อย คือคิดบัญชี คิดบัญชี นึกย้อนถอยหลังตั้งแต่เช้ามาจนกว่าจะหลับลงเดี๋ยวนี้อีก มีแต่ความถูกต้อง มีแต่ความถูกต้องแล้วก็พอใจ แล้วก็ยกมือไหว้ตัวเอง นั่นคือสวรรค์ๆสวรรค์จริงด้วยไม่ใช่สวรรค์หลอก ไอ้สวรรค์ที่เชื่อเขาว่าไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ได้แต่หวังหวังลมๆ แล้งๆ สร้างวิมานในอากาศ นั่นแหล่ะ สวรรค์ไม่จริง สวรรค์จริงเนี่ย เมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อพอใจจะยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไร เมื่อนั้นเป็นสวรรค์แท้จริงอยู่ในจิตใจเยือกเย็น เป็นสวรรค์แท้จริง ไม่ใช่สวรรค์ลวง เมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อเวลาจะนอน ถ้าใครเคยยกมือไหว้พระพุทธ ไหว้พระธรรม ไหว้พระสงฆ์ ไหว้บิดามารดา ครูบาอาจาร์ย ก่อนจะนอนก็ทำไปเถอะ แต่ขอเพิ่มอีกอย่างว่าไหว้ตัวเอง ไหว้ตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ ว่ามันมีแต่ความถูกต้องและพอใจ เอาล่ะทีนี้ไม่ไหว้พระพุทธ ไม่ไหว้พระธรรม ไม่ไหว้พระสงฆ์ ไม่ไหว้อะไรหมด เอ้าไหว้ตัวเอง ว่ามีความถูกต้องและพอใจ นั่นแหล่ะมันจะรวมหมด มันจะรวมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาอยู่ในนั้นหมด ไหว้ตัวเองได้ว่ามีความถูกต้อง ตามธรรมะนั่นล่ะมันดึงเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาอยู่ในนั้น ไหว้ทีเดียวมันก็ได้หมด อยากจะไหว้หลายทีก็ได้ แต่ที่สำคัญอย่าให้ขาด ก็คือไหว้ตัวเองว่ามีแต่ความถูกต้อง ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งบัดนี้
สรุปความว่า เมื่อทำงานก็มีสติ ทำอย่างถูกต้องและพอใจ เมื่อพักผ่อนมันก็รู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ เพราะว่าต้องพักผ่อน ถ้าไม่พักผ่อนก็ไม่มีแรงจะทำงาน เพราะงั้นเมื่อพักผ่อนก็เป็นความถูกต้องและควรจะพอใจด้วยเหมือนกัน เราจะมีความพอใจแม้ว่าจะพักผ่อน เป็นอันว่าเมื่อทำงานก็ดี เมื่อพักผ่อนก็ดี มีความถูกต้องและพอใจโดยเท่ากัน เมื่อจะทำประโยชน์กับตัวเองก็ดี เมื่อจะทำประโยชน์แก่ผู้อื่นก็มีแต่ความถูกต้องและพอใจโดยเท่ากัน เป็นอย่างนี้เป็นอยู่อย่างนี้ เรียกว่า ธรรมะชีวี อาจจะเป็นคำแปลกสำหรับบางคน แต่ว่ามันมีคำในบาลี ไม่ใช่คำแปลก มันเป็นคำคิดขึ้นใหม่ อะไรเป็นคำเก่าแก่ ธรรมะชีวี ธรรมะชีวี เอามาศึกษาให้รู้ความหมายและประพฤติปฏิบัติ ให้มีชีวิตอยู่ด้วยธรรมะ นี่คือใหม่ ถ้าจะเรียกว่า ใหม่กันบ้าง เรียกว่าแปลกก็แปลกกันบ้าง คือมันใหม่ หรือแปลกจากที่เคยทำกันอยู่ ที่เคยทำมาแต่ก่อนจริงๆ
ขอตัดบทง่ายๆ ว่าเป็นธรรมะชีวีขึ้นมาเถิด จะเป็นความใหม่ เป็นชีวิตใหม่ ปีใหม่ ชีวิตใหม่ ปีใหม่ ชีวิตใหม่ คือเป็นธรรมะชีวีขึ้นมาให้ได้ และถ้าเป็นธรรมะชีวีอยู่แล้ว ก็ขอเป็นให้มากขึ้น ให้มันมากขึ้น ปีใหม่ ชีวิตใหม่ ก็คือเป็นธรรมะชีวีให้มันมากขึ้นกว่าปีที่แล้วมา คือให้ไหว้ตัวเองได้สนิทใจยิ่งกว่าปีที่แล้วมา ถ้าเกิดรังเกียจกินแหนงตัวเองขึ้นมาเมื่อไร มันเป็นนรก นรกทันที นรกทันควัน นรกใน เป็นนรกทันควัน นั่นเลย เป็นนรก ถ้าเกลียดชังตัวเองขึ้นมาว่าทำไม่ถูกต้อง นรกและสวรรค์มันอยู่ใกล้ แค่ปลายจมูกนี่เอง ระวังให้ดี มันสร้างได้ทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ ที่ควรสร้างมันก็มีแต่เรื่องของธรรมะชีวี ให้ธรรมะชีวี มาเป็นความหมายของคำว่า ชีวิตใหม่ สำหรับจะมีปีใหม่ ขอให้มีกันอย่างกิจจะลักษณะ คืออย่างจริงจัง ไม่ใช่ว่ารู้เล่นๆ พูดเล่นๆๆ แล้วก็เล่นกันเลือนหายไป อย่างนั้นไม่สำเร็จประโยชน์ ขอให้มันกลายเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงยิ่งกว่า เรื่องใดทั้งหมดเลย ในการที่จะมีธรรมะชีวีมีการเป็นอยู่ที่ประกอบไปด้วยธรรมะ คือความถูกต้องและก็พอใจ แล้วก็รู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขอย่างแท้จริง อยู่ในขณะที่ทำหน้าที่นั้นเอง ทำหน้าที่นั้นเอง เรียกว่ามีความสุขเมื่อทำหน้าที่การงานนั่นเอง นี่เห็นว่า ควรจะถือเอาว่าเป็นของใหม่ ถ้าอยากจะมีของใหม่ อันที่จริงมันก็เช่นนั้นเอง มันไม่เคยมีอะไรใหม่ แต่ว่ามันแปลกสำหรับเราก็บอกว่าของใหม่ เมื่ออยากได้ของใหม่ ก็ขอให้มันแปลกมาในทางที่น่าปรารถนา น่าพอใจ จนกระทั่งว่ายกมือไหว้ตัวเองได้ ใครเคยทำ ใครเคยทำยกมือไหว้ตัวเอง ถ้าทำมันจะเป็นชีวิตใหม่สำหรับปีใหม่ ทำโดยยกมือไหว้ตัวเองได้ มากกว่าหนึ่งครั้งก็ได้ วันหนึ่งมากกว่าหนึ่งครั้ง ก็ได้ อย่างน้อยก็หนึ่งครั้งเมื่อเวลาจะนอน คิดบัญชีดูตลอดแล้ว มันก็มีแต่ความถูกต้องและพอใจ ยกมือไหว้ตัวเอง
ถ้าเผื่อมีความผิดพลาดก็รีบกลับใจเสีย อธิษฐานจิตในการที่จะไม่ทำ เหลือเอาความถูกต้องเท่าไรก็พอจะยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่คือส่วนๆ นั้น ส่วนที่มันถูกต้อง ไอ้ส่วนที่ผิดก็สลัดทิ้งไปโดยเด็ดขาดไม่ทำอีกต่อไป นี่มันเป็นหลักศาสนาทุกศาสนาไอ้สิ่งที่เป็นความผิด ความบาป นั้นก็ต้องสลัดทิ้งออกไปโดยไม่ต้องเอามาอีก
นี่เรียกว่า ธรรมะชีวี มีแล้วจะเกิดชีวิตใหม่ อย่างนั้นมันก็ต้องแปลกกว่าที่แล้วมา แล้วธรรมะชีวีนี้สามารถทำให้มากยิ่งขึ้น ให้มากยิ่งขึ้น ให้สูงยิ่งขึ้น ให้สูงยิ่งขึ้น แล้วไปจนสูงที่สุด อยู่เหนือความทุกข์ เหนือเวลา ขึ้นอยู่เหนือเวลา ไม่ยากอะไร ทำอะไรด้วยสติปัญญา มีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา ทำการทำงานอยู่ด้วยสติปัญญา