แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษา ครูบาอาจารย์ และท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายครั้งนี้จะบรรยายโดยหัวข้อว่า ความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” ที่จริงก็เป็นเรื่องที่ได้พูดกันมาเรื่อยๆ เรื่องนี้ แต่ไม่เป็นการรวบรัด ในครั้งนี้หวังจะพูดให้เป็นการรวบรัดเห็นความสำคัญสูงสุดของสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” คือสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” หรือคำว่า “ธรรม” คำนี้ มันมีความหมายมากเหลือเกิน คือมีความหมายได้หลายสิบอย่าง แต่ความหมายที่รวบรัดที่สุดนั้นมันมีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งจำเป็นที่ทุกคนจะต้องทราบและจะต้องประพฤติ จนถือเอาประโยชน์ให้ได้ให้เต็มตามความหมาย เพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านมากมาย จะขอบอกกล่าวแต่เพียงว่าใจความสำคัญของคำๆ นี้ก็คือ สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ๆ นี่คือคำที่ขอให้ช่วยกันจำไว้ แล้วก็ประพฤติให้ได้จนได้รับประโยชน์
คำว่า “หน้าที่” ในภาษาที่พูดกันอยู่ทุกวันนี้ ดูไม่ค่อยจะมีใครให้ความสำคัญถึงที่สุด แต่ที่จริงคำนี้มีความสำคัญถึงที่สุด โดยสรุปใจความก็ว่าสิ่งที่เรียกว่า “หน้าที่” นั้นมันคู่กันมากับสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” นี่ขอให้มองความสำคัญข้อนี้ ว่าสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต” นั้นเป็นสิ่งที่คู่กันมากับ “หน้าที่” หน้าที่นั้นคู่กันมากับชีวิต ถ้าไม่มีหน้าที่ชีวิตก็อยู่ไม่ได้คือตาย หรือถ้าไม่มีชีวิตก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะทำหน้าที่ สิ่งที่มีชีวิตนั่นแหละคือสิ่งที่จะทำหน้าที่ แล้วสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั้นก็หล่อเลี้ยงชีวิตเอาไว้ ฉะนั้นจึงมีความสำคัญเท่ากับความเป็นความตายของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นเอง
เดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าจะให้ความสำคัญกันเพียงเป็นสิ่งประกอบเบ็ดเตล็ดเล็กๆ น้อยๆ เรื่องทำมาหากินเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็สนใจธรรมะกันเล็กๆ น้อยๆ หรือเป็นเรื่องของคนที่แก่ชราแล้วเป็นต้น โดยเนื้อแท้นั้นสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้น ธรรมะนั้นคู่กันมากับชีวิต มีความสำคัญเท่ากันมาตั้งแต่แรกเกิด แรกคลอด แล้วก็เรื่อยมาจนตลอดไป คำว่า “ธรรมะ” ในกรณีอย่างนี้แปลว่าหน้าที่ ถ้าพูดให้หมดโดยสรุปก็จะได้เป็น ๔ ความหมาย
- ธรรมะ คือตัวธรรมชาติทั้งหลาย
- ธรรมะ คือตัวกฎของธรรมชาติทั้งหลาย
- ธรรมะ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติทั้งหลาย
- ธรรมะ คือผลที่เกิดมาจากการปฏิบัติหน้าที่
เป็น ๔ ประการกันอยู่อย่างนี้ ใจความสำคัญก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติได้ทำให้มีสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมา แล้วสิ่งที่มีชีวิตนั้นเป็นไปตามกฎ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฎชีวิตนั้นก็รอด นี่สิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติหรือเป็นตัวธรรมชาติ มันก็อยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ คือต้องมีหน้าที่อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น และมันจึงจะเกิดขึ้นมา จึงจะตั้งอยู่ได้ หรือจะเป็นไปด้วยดีและได้รับประโยชน์ถึงที่สุด จะมองในแง่ไหนก็มีความสำคัญถึงที่สุด มองในแง่สิ่งสูงสุดมันก็เป็นสิ่งสูงสุด เพราะว่าถ้าไม่มีการทำหน้าที่แล้วมันต้องตาย ถ้ามีการทำหน้าที่แล้วมันก็รอด
คำว่าหน้าที่จึงมีความหมายเท่ากับพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด ฟังดูให้ดี เดี๋ยวนี้ที่เรามีชีวิตรอดกันอยู่ได้จนได้มานั่งกันอยู่มากๆ อย่างนี้มันรอดมาได้ด้วยอะไร มันรอดมาได้ด้วยการทำหน้าที่หรือที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง เพราะมีธรรมะจึงรอด เพราะมีการทำหน้าที่จึงรอด ธรรมะคือการทำหน้าที่เพราะการทำหน้าที่จึงได้รอด แล้วที่เรามาศึกษาธรรมะ มาอยากเรียนธรรมะ มันก็เพื่อเรียนเรื่องหน้าที่ให้ยิ่งขึ้นไป ให้ยิ่งขึ้นไป ไอ้หน้าที่ชั้นต้นที่ว่าเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้นั้นเราก็เรียนรู้กันมาพอสมควรแล้ว แล้วก็เรียนกันโดยวิธีอื่น เช่น เรียนที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย ที่ไหนก็ได้ เรื่องให้รอดชีวิตพื้นฐานคือไม่ตายแล้วมีสุขภาพอนามัยดี มีการประกอบอาชีพ มีการกระทำชนิดที่มันรอดชีวิตอยู่ได้พอเหมาะสมนั้นมันเป็นหน้าที่ที่ปฏิบัติเสร็จไปตอนหนึ่ง
ทีนี้เพียงเท่านั้นมันไม่พอ ยังมีปัญหาเรื่องทางจิตใจที่ละเอียดประณีตสูงขึ้นไป ยังถูกรบกวนด้วยราคะบ้าง รบกวนด้วยโทสะบ้าง ด้วยโมหะบ้าง จึงมีหน้าที่ที่จะต้องขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปเสียอีกทีหนึ่ง จึงมาศึกษากันในส่วนนี้ รวมความแล้วก็คือทำหน้าที่ให้ครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์แต่ต้นจนปลาย ทีนี้ก็อยากจะเอามาพูดเสียคราวเดียวกันว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือหน้าที่นั้นมันมีอยู่อย่างไร คำว่าธรรมะหรือหน้าที่นี้คือสิ่งที่ช่วยให้รอด แต่ว่ามันเนื่องมาจากการทำหน้าที่ได้จริง ได้ถูกต้อง ได้สมบูรณ์ ใจความสำคัญมันอยู่ที่คำว่าถูกต้อง คนโดยมากเอาความถูกต้องของกิเลสเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาความถูกต้องของธรรมะหรือของปัญญา ของโพธิเป็นใหญ่ เพราะว่าเกิดมาจากท้องมารดามันไม่มีความรู้อะไรติดมา พอมาได้รับสิ่งที่ถูกใจเป็นความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย ก็ยึดถือเอาสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ แล้วก็มุ่งหมายที่จะได้สิ่งนั้นอยู่ตลอดเวลา การประพฤติ การกระทำ การแสวงหา หรืออะไรทุกอย่างมันเป็นไปเพื่อสิ่งนั้น และถือว่านั้นถูกต้อง คือการได้ตามใจกิเลสของตนนั่นแหละ ก็ถือว่าเป็นความถูกต้อง
ทีนี้เมื่อเป็นไปตามกิเลสหนักเข้ามันก็เลย เลยความถูกต้อง ที่คนอื่น ผู้อื่นจะยอมรับไหว คนนั้นมีแต่ความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว ทำไปอย่างเห็นแก่ตัวโดยคนอื่นยอมรับไม่ไหว มันก็เกิดปัญหาขึ้นมาในทางสังคม เช่น เดี๋ยวนี้เขามีอันธพาลที่เขามีความถูกต้องของเขาในการที่จะได้ประโยชน์ของเขาโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น แล้วเขาก็กระทำอย่างรุนแรงจนถึงกับว่าลัก ล้วง ช่วงชิง ฆ่าฟันผู้อื่นเพื่อจะเอาประโยชน์ของตนและถือว่าเป็นความถูกต้อง นี่ความรู้ความคิดของเขาผิดหมดเป็นความถูกต้องชนิดผิด ที่นี้ถ้าเป็นความถูกต้องของธรรมะ ตามกฎของธรรมชาติในฝ่ายที่จะให้อยู่กันเป็นสุขนั้น คำว่าถูกต้องนั้นมันต้องหมายความจำกัดลงไปว่า ต้องไม่ทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่ฝ่ายใด ฝ่ายเราก็ดี ฝ่ายผู้อื่นก็ดี ถ้ามีการกระทำอันถูกต้องแล้วย่อมไม่เกิดความทุกข์ ความยุ่งยาก ลำบาก โกลาหลขึ้นแก่ฝ่ายใด นั่นแหละคือความถูกต้อง
ความหมายของคำว่าธรรมะคือถูกต้องมีใจความอย่างนี้ ไม่ต้องใช้เหตุผลอย่างอื่น ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยเหตุผลอันละเอียดในทางปรัชญาหรือทางอะไร ซึ่งไม่ใช่ความถูกต้องของธรรมะ ความถูกต้องของธรรมะอยู่ที่ความเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายไม่ทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนขึ้นแก่ฝ่ายใดและก็เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับได้ ดังนั้นความคิดเห็นของอันธพาลจึงเป็นสิ่งที่คนอื่นเขายอมรับไม่ได้ ให้มันยอมรับกันได้แต่พวกอันธพาลพวกเดียว นี่คือความถูกต้องที่เรียกว่าธรรมะ ทีนี้ก็ย้อนไปดูถึงสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ กันใหม่ เพราะสิ่งที่มีชีวิตต้องมีหน้าที่ แล้วหน้าที่นั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากการดำรงชีวิต การประพฤติกระทำให้ชีวิตมันอยู่ได้และเป็นผาสุก สะดวกสบายถึงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นแหละก็ถูกต้องคือไม่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนลำบาก ดังนั้นจึงต้องมีความถูกต้องเหมือนกัน เหมือนกัน หมดทุกคน ทุกคน ที่จะอยู่ร่วมกันในโลก จะต้องถือหลักเกณฑ์แห่งความถูกต้องเหมือนกัน จนอยู่ร่วมกันได้สนิทสนม นี่คือหน้าที่
ดังนั้น กล่าวไกลกว้างออกไปถึงสังคม เราจะต้องนึกถึงความถูกต้องของบุคคลแต่ละคน แต่ละคนก่อน ถ้าความถูกต้องมีทุกคนแล้วสังคมก็ไม่ไปไหนเสีย สังคมก็ถูกต้องเอง เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าสังคมนั้นประกอบขึ้นด้วยบุคคลแต่ละคน แต่ละคน ถ้าบุคคลมีธรรมะ คือมีความถูกต้องแล้วสังคมก็มีธรรมะและมีความถูกต้อง เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้คนไม่ยอมรับรู้ในเรื่องนี้ ถึงกับศึกษาเรื่องธรรมะหรือเรื่องหน้าที่กันอย่างละเอียดลออ กระทำกันไปอย่างหวัดๆ ลวกๆ วันหนึ่งๆ ว่าให้ได้เงินมาซื้อหาอะไรบำรุงบำเรอร่างกาย จิตใจของตนให้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านี้ก็พอแล้ว นั่นน่ะมันเป็นการกระทำที่ผิดตรงกันข้ามกับธรรมะซึ่งต้องการความถูกต้อง เมื่อไม่มีความถูกต้องมันก็มีการกระทบกระทั่ง กระทบกระทั่ง ซึ่งเรียกว่าเบียดเบียน เมื่อมีการเบียดเบียนมันก็ยิ่งเพิ่มปัญหาหรือเพิ่มความทุกข์มากขึ้นอีก ขอให้เรามุ่งจ้องไปยังความถูกต้อง เพื่อรักษาความถูกต้องไว้ให้ได้ แล้วพอใจเคารพบูชาในสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่อันถูกต้อง นั่นแหละคือการมีธรรมะโดยแท้จริง เคารพธรรมะโดยแท้จริง มีธรรมะโดยแท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเวลาไหนก็ขอให้ทำหน้าที่นั้นอย่างถูกต้อง เมื่อนั้นเวลานั้นแหละคือเวลาที่มีธรรมะ ไม่เฉพาะว่าต้องที่วัดวาอารามหรือว่าในห้องพระ ในห้องสวดมนต์
ก็กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า หน้าที่เพื่อชีวิตรอดนั้นคือธรรมะ นั้นหน้าที่พื้นฐานที่มีชีวิตรอดก็ได้แก่การประกอบอาชีพ ประกอบหน้าที่ที่เป็นอาชีพ คำว่า “อาชีพ” แปลว่าสิ่งที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ มันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับธรรมะ ซึ่งมีความหมายว่าหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นเราจะประพฤติธรรมะให้ดีที่สุดในการทำหน้าที่นั่นเอง ไม่ต้องนึกว่าจะต้องไปวัดหรือไปในโบสถ์ คอยกำหนดดูให้ดีว่าที่ไหนมีหน้าที่ที่จะต้องทำ แล้วก็ทำหน้าที่อันนั้นให้ดีแล้วก็จะมีธรรมะที่นั่น หน้าที่ที่ทำความรอดแก่ชีวิตนั้นคือธรรมะ มีตั้งแต่อย่างธรรมดาสามัญขึ้นไปถึงระดับสูงสุดแต่ก็เป็นธรรมะเสมอกัน ที่ใดมีการทำหน้าที่ที่นั้นมีธรรมะ ถ้าในโบสถ์ ในโบสถ์มีแต่สั่นเซียมซี ทำพิธีบวงสรวงขอร้องอ้อนวอนอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว เท่านั้นแล้วในโบสถ์ไม่มีธรรมะ ที่กลางทุ่งนาที่ชาวนากำลังไถนาอยู่เสียอีกนั่นจะกลับมีธรรมะ เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจซึมทราบกันมาแต่โบราณจนฝังจิตฝังใจ ชาวนาไถนาเดินไปใกล้เขา ชาวนาก็พูดว่าจะไถนาเอาข้าวใส่บาตรสักหน่อย นี่คิดดูเขาทำนาไถนานะ หวังถึงว่าจะเอาข้าวใส่บาตรเลี้ยงพระบำรุงศาสนา นี่ชาวนาแบบเก่า ถ้าชาวนาแบบนี้ก็จะทำนาเอาเงินไปซื้อเหล้ากินไปหาความเพลิดเพลิน จะซื้อหาสิ่งของที่เป็นอุปกรณ์แก่ความเพลิดเพลินที่ดีที่แปลกที่แพง แล้วบางทีก็เป็นเรื่องกู้หนี้ยืมสินมา ก็ต้องทำนาเพื่อใช้หนี้อย่างนี้ เป็นต้น จิตใจมันก็ผิดกัน ถ้าทำนาได้ความรู้สึกว่าทำหน้าที่ของมนุษย์และก็ช่วย เพื่อช่วยบำรุงศาสนาให้ยังคงมีอยู่เป็นที่พึ่งของมนุษย์ จิตใจมันก็เป็นไปอย่าง จิตใจมันก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าทำนาด้วยความรู้สึกว่าจะหาเงินกินเหล้าไปเที่ยวเมามาย หรือจะแสวงหาความสำราญหรือว่ามันจะต้องใช้หนี้อย่างนี้ จิตใจมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง จิตใจชนิดไหนมันจะให้ความสงบสุขก็ลองคิดดู นี่อยากจะขอให้มองเห็นให้ความสำคัญข้อนี้ว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ทำให้สิ่งที่มีชีวิตอยู่รอดอยู่ได้และเจริญไปอย่างถูกต้อง เป็นชีวิตเย็น ชีวิตเยือกเย็น เป็นชีวิตเย็น เย็นถึงที่สุด หรือว่าเย็นจนเข้าโลง แต่ถ้ามันเป็นความร้อนด้วยความโง่ มันไม่ได้ทำงานเพื่อธรรมะเพื่อหน้าที่มันก็ทำงานเพื่อกิเลสเพื่อจะบำรุงบำเรออย่างนั้นอย่างนี้มันก็ร้อนอยู่ตั้งแต่เมื่อแรกทำ ได้มามันก็ทำอย่างนั้นแล้วมันก็ร้อนต่อไป หาความเยือกเย็นในชีวิตไม่ได้ ไม่มีความหมายแห่งความเยือกเย็น
ขอให้ทุกคนมีหลักว่า “ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ” เมื่อทำหน้าที่ให้รู้สึกว่ามีธรรมะ นั่นแหละให้พอใจให้ยินดีเพราะว่าได้ทำสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่มีเกียรติที่สุดสำคัญที่สุดถูกต้องตามกฎของธรรมชาติมากที่สุด และเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้เหมือนกับพระเป็นเจ้า หน้าที่นั้นคือพระเป็นเจ้า เขามีพระเป็นเจ้ากันอย่างอื่นตามใจเขา เรามีหน้าที่ที่เรากระทำด้วยตนเองนั้นเป็นพระเป็นเจ้าสำหรับจะช่วยเรา แต่ถ้าว่าที่จริงแล้วคำสอนเรื่องพระเป็นเจ้าก็มีพูดอยู่ว่าพระเป็นเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ช่วยตัวเอง พระเป็นเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ทำหน้าที่เพื่อตัวเอง มันก็มาเรื่องเดียวกันอีก จะให้พระเป็นเจ้าช่วยก็ต้องทำตามคำสั่งของพระเป็นเจ้า คือทำหน้าที่ ทำหน้าที่ โดยพระเป็นเจ้าก็ได้สั่งให้ทุกคนทำหน้าที่ โดยกฎของธรรมชาติก็ได้ระบุให้คนทุกคนทำหน้าที่ โดยเหตุผลทั่วๆ ไปที่ใครจะนึกคิดเอาเองก็ได้มันก็คือต้องทำหน้าที่เพื่อความรอดของตน เมื่อได้ทำหน้าที่นั่นแหละเป็นการกระทำที่สูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด เอาสิลอง ลองเปรียบเทียบกันดู การทำอะไรที่ควรจัดว่าเป็นการกระทำที่สูงสุดยิ่งไปกว่าการทำหน้าที่ มนุษย์มีอะไรที่จะทำได้กี่อย่างก็ลองนึกดู แล้วมีอะไรที่มันสูงสุดไปกว่าการทำหน้าที่ ชาวนาก็ทำนาสนุกไปเลยพอใจในการทำหน้าที่ของชาวนา แล้วก็มีธรรมะของชาวนา ชาวสวนก็ทำสวนสนุกไปเลยพอใจในการประพฤติธรรมะของชาวสวน พ่อค้าแม่ค้าก็ทำการค้าอย่างถูกต้องไม่ใช่ฉ้อโกงอย่างสนุกไปเลย มีธรรมะของพ่อค้าแม่ค้า ข้าราชการก็ทำหน้าที่ให้ถูกต้องให้สนุกสนานไปเลย มีธรรมะของข้าราชการ กรรมกรทั้งหลายก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดแล้วก็มีธรรมะของกรรมกร ไม่ว่าจะเป็นคนถีบสามล้อ แจ่วเรือจ้าง กวาดถนน ล้างท่อถนนอะไรก็ตาม เมื่อทำหน้าที่ของตนแล้วมันก็เป็นธรรมะเต็มรูปแบบเพราะว่าเขาได้ทำสุดความสามารถที่เขาจะทำได้ เขาทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่เขาก็ได้ทำในส่วนที่เขาทำได้เต็มกำลังของเขาก็มีธรรมะเต็ม แม้ที่สุดแต่ว่าคนขอทาน ถ้านั่งขอทานอยู่อย่างถูกต้องก็เป็นการปฏิบัติธรรมะของคนขอทาน มีคนเมตตาสงสารก็ให้ทาน ในที่สุดเขาก็พ้นจากความเป็นคนขอทาน นี่ธรรมะจะช่วยได้อย่างนี้
ธรรมะคือสิ่งที่ช่วยผู้ปฎิบัติธรรมะให้พ้นจากปัญหาทุกอย่างทุกประการ หรือว่าถ้าเรายังเป็นนักเรียน หน้าที่ของเราก็คือการเรียน เมื่อเราทำการเรียนให้ดีที่สุดนั่นแหละคือประพฤติธรรมะถึงที่สุด ประพฤติธรรมะของนักเรียนก่การประกอบานอธรรมะว่าหน้าที่ออบขึ้นด้วบบุคคล็็Hlkgl;k ก็จะช่วยสำเร็จในความเป็นนักเรียนและก็ออกไปประกอบการงานตามอาชีพของตน ของตน ก็ประพฤติธรรมะด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเป็นคนมีธรรมะ อย่างนี้แปลว่ามีธรรมะเสมอกันคือหน้าที่ มีหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ด้วยกัน นับตั้งแต่คนขอทานขึ้นไปจนถึงพระมหาจักรพรรดิ กระทั่งถึงเทวดาในสวรรค์ในพรหมโลก ต่อให้ถึงพรหมโลกมันก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติกระทำให้รอดอยู่ได้ด้วยกันทั้งนั้น แปลว่าประพฤติกระทำเพื่อความรอดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าต่ำลงมาจากคนขอทานลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน ลงไปถึงต้นไม้ต้นไร่มันก็ต้องทำหน้าที่ของมัน สัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็มีธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน แล้วมันก็รอดอยู่ได้ ต้นไม้ต้นไร่ก็มีชีวิตมันก็ต้องทำหน้าที่ของต้นไม้แล้วก็รอดอยู่ได้ ถ้าจะเปรียบเทียบกันดู ไอ้ปัญหายุ่งยากลำบากระหกระเหินนั่นน่ะ ในหมู่มนุษย์มีมากกว่าหมู่สัตว์เดรัจฉานหรือต้นไม้ ต้นไม้มีชีวิตแล้วก็ทำงานในหน้าที่ของต้นไม้ อย่างที่เราเรียนวิทยาศาสตร์กันว่าต้นไม้นี้ระบายแก๊สออกซิเจนตลอดวัน ระบายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดคืน ก็แปลว่ามันทำงานทั้งวันทั้งคืน ๒๔ ชั่วโมง มันเก่งกว่าเราซะอีก ซึ่งทำงานกันไม่กี่ชั่วโมง สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันก็ทำหน้าที่หาอาหารดูสนุกสนานเป็นที่น่าพอใจ ดูสัตว์เหล่านั้นกินหญ้า สัตว์เหล่านั้นหาอาหารกันตามแบบของตน ของตน อย่างไก่ก็เขี่ยอยู่อย่างสนุกสนานพออิ่มแล้วก็ไปพักนอน หิวก็เขี่ยอีกไม่มีปัญหายุ่งยากลำบากใจอะไร นี่ก็เพราะว่ามันยังอยู่ในระดับต่ำ มันสมองยังต่ำยังคิดนึกได้น้อย ยังมีความต้องการน้อย มันก็ทำหน้าที่ให้บริบูรณ์ได้โดยง่าย แต่ก็ควรจะถือเป็นตัวอย่างที่ดีว่าถ้าเราต้องการความสงบสุข แล้วก็จะต้องทำให้พอดีให้ถูกต้องให้พอดี สมควรแก่อัตภาพ จะเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ถ้าทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องและพอดีก็จะไม่มีปัญหาอะไรที่อยู่ด้วยความสงบสุข
ขอให้มองดูที่คำว่าหน้าที่ หน้าที่เรียกในภาษาบาลีว่าหน้าที่ อ๊ะ, เรียกในภาษาไทยว่าหน้าที่ เรียกในภาษาบาลีว่าธรรมะ ธรรมะคำนี้ก็เป็นภาษาเก่าแก่ เก่าแก่ดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาล คือพอมนุษย์ที่มีขึ้นมาในโลกพ้นจากสภาพคนป่าพอจะเรียกได้ว่ามนุษย์ โดยพูดจาได้ สัตว์เดรัจฉานพูดจาไม่ได้อยู่คนละระดับ ที่เป็นคนนี่มันพูดจาได้ มันมีความหมาย ไอ้คนๆ แรกที่พอพ้นจากความเป็นคนป่ามาพอสมควรแล้ว มันเกิดความสำนึก รู้สึก สังเกตเห็นว่า โอ้, มีสิ่งที่ต้องทำ มีสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ แล้วมันก็เรียกชื่อสิ่งนั้นว่าหน้าที่ โดยภาษาสมัยนั้นถิ่นนั้นว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ นี่คำว่าหน้าที่นี่มันได้เกิดขึ้นนมนานก่อนพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด มนุษย์มีคำว่าธรรมะ ธรรมะ ใช้กันอยู่แล้ว แล้วก็รับช่วงใช้ต่อๆ กันมาจนถึงยุคหลังๆ โดยอธิบายความหมายของหน้าที่นั้นให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ไม่ใช่หน้าที่แต่เพียงหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่เป็นหน้าที่ที่ทำให้เกิดความเป็นสุข ความสงบสูงยิ่งขึ้นไป ก็เกิดมีหน้าที่ที่ดีกว่าหน้าที่ธรรมดา หน้าที่ตามธรรมดาของชาวบ้านชาวโลกก็เป็นหน้าที่อย่างโลกๆ ถ้าเป็นหน้าที่ทางจิตทางใจที่ทำให้อยู่เหนือการบีบคั้นของสิ่งต่างๆ ในโลก มันก็เป็นเรื่องเหนือโลก ผู้รู้ ผู้ศึกษาก็ค้นพบหน้าที่สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปตามสติปัญญาของตน ของตน แล้วก็สอนหมู่มนุษย์เหล่านั้นให้รู้มาด้วยกันตามลำดับ ตามลำดับ จนกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก ท่านตรัสรู้หน้าที่ที่สูงสุดคือหน้าที่ที่ปฏิบัติแล้วหมดความทุกข์โดยประการทั้งปวง คือหน้าที่ที่กำจัดกิเลสเสียได้ทุกอย่างทุกประการ นี่เป็นหน้าที่ชั้นสูงสุดที่บุคคลสูงสุดในระดับพระพุทธเจ้าได้ค้นพบแล้วก็ได้สอนไว้เป็นหลัก และเรียกกันมาว่าพระศาสนา ก็คือคำว่าธรรมะ ธรรมะ นั่นแหละคือศาสนา ธรรมะ ธรรมะ ก็คือเรื่องหน้าที่ บอกว่าจะต้องทำอย่างไร ทำอย่างไร ทำอย่างไร เมื่อกล่าวเฉพาะภายในระบบพุทธศาสนาก็จะมองเห็นได้ว่ามันมีหน้าที่ที่ตรัสไว้ในรูปแบบของศีล สมาธิ และปัญญา หน้าที่ทำร่างกาย ทำวาจาให้ถูกต้อง เรียกว่าศีล ทำจิตให้ถูกต้อง เรียกว่าสมาธิ ทำปัญญาหรือความรู้ ความเชื่อให้ถูกต้อง นี้ก็เรียกว่าปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นระบบหน้าที่ชั้นประเสริฐ ชั้นสูงสุด ชั้นที่จะทำให้อยู่เหนือความทุกข์ทุกอย่างทุกประการ เรียกว่าอยู่เหนือโลก หมายความว่าโลกนี้จะไม่ทำให้บุคคลนี้มีความทุกข์อย่างใดได้เลย แม้ว่าเขาจะอยู่ในโลกนี้โดยร่างกาย แต่โดยจิตใจของเขาอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งทุกสิ่งในโลก นี่คือธรรมะสูงสุด หน้าที่สูงสุดของชาวพุทธเรา ทำหน้าที่นี้แล้วมันก็มีผลเป็นมรรคผลและนิพพาน เป็นการบรรลุมรรคผล นิพพาน คือมีกิเลสสิ้นสุดลงไปเป็นตอนๆ ตอนๆ เป็นขั้นตอน เป็นขั้นตอน จนกระทั่งหมดไม่มีเหลือ ไม่มีกิเลสใดๆ เหลือ เรียกว่าบรรลุผลสุดท้าย หรือพระนิพพานก็เรียก เป็นอันว่าจบเรื่องของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาสามารถทำได้อย่างนี้ และเมื่อทำได้อย่างนี้ก็จบเรื่องของมนุษย์คนนั้น เรียกคนนั้นกันโดยสมมติว่าเป็นพระอรหันต์บ้างหรือเป็นอย่างอื่นบ้าง แล้วแต่ว่าภาษาไหนจะเรียก และนิยมเรียกกันมาแต่โบราณเหมือนกันว่าเป็นพระอรหันต์ แปลว่าผู้จบหน้าที่ของมนุษย์เป็นบุคคลสูงสุดยอดสุดของมนุษย์ สิ้นสุดแห่งการทำหน้าที่ มีแต่ความรอดพ้น อยู่อย่างเป็นผู้มีความรอดพ้น นี่ลองคิดดูลองใคร่ครวญดู ลองเทียบเคียงดู ไล่เรียงไปดูว่าธรรมะคืออะไร หน้าที่คืออะไร แล้วมันเป็นคู่กันมากับชีวิตอย่างไร ถ้าชีวิตปราศจากธรรมะ ไอ้ชีวิตนั้นก็ต้องตาย เป็นภาษาของคนชาวบ้านที่ว่าคู่ชีวิตคือภรรยาสามีนั้นน่ะ มันมีความรู้แค่หางอึ่ง มันรู้เพียงแค่นั้น ไอ้คู่ชีวิตโดยแท้จริงนั้นคือธรรมะ สามารถทำให้ชีวิตนั้นรอดตลอดมาตลอดไป ส่วนคู่ชีวิตคู่ผัวตัวเมียนั้นบางคู่ก็ทะเลาะกัน ตีด่ากันหัวเดือนท้ายเดือน ไม่เท่าไหร่ก็หย่ากันแล้วก็ไปหาคู่ใหม่แล้วก็ทะเลาะกันหัวเดือนท้ายเดือน อย่างนี้เรียกว่าคู่ชีวิต ถ้าคู่ชีวิตอย่างนี้ก็สู้แมวหมาก็ไม่ได้ เพราะแมวและหมามันก็ไม่ได้ทะเลาะกันหัวเดือนท้ายเดือน หรือต้องไปฟ้องหย่า ต้องไปอะไรกันให้ยุ่งยาก
ถ้าเมื่อพูดถึงคู่ชีวิตกันโดยแท้จริงแล้ว มันก็ต้องถือว่าไอ้สิ่งที่ทำให้ชีวิตรอดนั่นแหละคือคู่ชีวิต สิ่งใดทำให้ชีวิตรอดสิ่งนั้นเป็นคู่ชีวิต แล้วก็อะไร ก็คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่มันคู่กันอยู่กับชีวิตทุกเวลานาทีทุกวันทุกเดือนทุกปีจนตลอดชีวิต หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ดังนั้นขอให้ทุกคนตรวจสอบหน้าที่ของตนว่าได้ทำแล้วอย่างถูกต้อง วันหนึ่งคืนหนึ่งอะไรเป็นหน้าที่จะต้องกระทำให้ครบถ้วนถูกต้องและดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรามีหน้าที่ที่จะต้องบริหารกาย เอ้า, ข้อแรกก็จะต้องกินอาหาร จะต้องอาบน้ำอาบท่า จะต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ จะต้องทำอะไรทุกอย่างเป็นกิจประจำวัน แล้วก็มีหน้าที่ที่จะต้องไปทำการงาน ถ้าเป็นนักเรียนก็ไปเรียน ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไปทำหน้าที่ที่ที่ทำงาน เสร็จแล้วก็กลับมาบ้าน มันก็ทำหน้าที่ทุกอย่างที่จะต้องทำอย่างเดียวกันทุกวันทุกวันทุกวัน ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานจิตเป็นอย่างดี ว่าจะทำหน้าที่นั้นๆ ให้ถูกต้อง ไม่ขี้เกียจ ไม่ขี้เกียจแม้แต่จะอาบน้ำ ไม่ขี้เกียจแม้แต่จะรักษาความสะอาดของบ้านเรือน วัตถุสิ่งของ ไม่ขี้เกียจบริหารกาย มันก็มีคนที่ขี้เกียจบริหารกาย คนนั้นก็มีร่างกายเสื่อมสุขภาพสำหรับใช้ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นี่มันผิดธรรมะ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ ไม่ซื่อตรงต่อหน้าที่ละเลยต่อหน้าที่ นอนตื่นสายอย่างนี้ก็คือคนไม่มีธรรมะ คนไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนนั่นแหละคือคนไม่มีธรรมะ ถ้าเขามีธรรมะเขาจะนิ่งอยู่ไม่ได้ เขาจะทำหน้าที่ของตนอย่างสนุกสนาน
ดังนั้นอาตมาจึงบอกว่าเพียงแต่ศีลธรรมกลับมา ศีลธรรมกลับมาปัญหาจะหมดไป เพราะว่าคนมีศีลธรรมมันสนุกในการทำหน้าที่ก็เลยไม่มีใครยากจน ไม่มีใครเจ็บไข้และไม่มีใครโง่เง่างมงายอะไร เพราะเขาทำหน้าที่ จะพูดไว้สักประโยคหนึ่งซึ่งของให้จำไว้ จำไว้จนตายเลยว่าขอยืนยันว่า ถ้าทุกคนทำหน้าที่ปัญหาในหมู่มนุษย์นี้จะไม่มีเลย ถ้าทุกคนทำหน้าที่ปัญหาในหมู่มนุษย์นี้จะไม่มีเลย ถ้าทุกคนทำหน้าที่ปัญหาในหมู่มนุษย์นี้จะไม่มีเลย เดี๋ยวนี้ประเทศชาติมีปัญหาเรื่องยากจน เรื่องเบียดเบียน เรื่องเอาเปรียบเรื่องอะไรทุกอย่างทุกประการ ประเทศชาติมีปัญหาเศรษฐกิจ ขาดดุลการค้าเป็นหนี้เป็นสินท่วมหูท่วมหัว ปัญหานี้จะหมดไปทันทีถ้าทุกคนทำหน้าที่ ถ้าพุทธพลเมืองทุกคนทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องเท่านั้นแหละปัญหานี้จะไม่มีเลย จะไม่มีใครใช้ของฟุ่มเฟือยซึ่งทำให้มันขาดดุลการค้า แล้วก็จะไม่มีใครคดโกงเบียดเบียนใคร ก็ไม่มีปัญหาเรื่องอาชญากรรมหรืออะไรต่างๆ ทุกอย่างปัญหาเกิดมาจากการที่คนไม่ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ถ้าทุกคน ทุกคนจริงๆ ทำหน้าที่ของตน ของตนเท่านั้นแหละ มันก็ไม่ไปทำหน้าที่ของผู้อื่น ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง มันก็จะมีความถูกต้องเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้จนไม่มีปัญหา ถ้าทำหน้าที่ของตนถูกต้อง จิตใจก็จะเจริญ จิตใจก็จะสูงขึ้น สูงขึ้นไปจนรู้ธรรมะคือหน้าที่สูงสุด ไม่เบียดเบียนเขา แล้วยังรับผู้อื่น ยินดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เพราะรู้สึกว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้ เพราะว่าธรรมชาตินี้ได้สร้างมนุษย์มาสำหรับอยู่กันมากๆ ไม่ใช่สำหรับอยู่คนเดียว เราไม่อาจจะอยู่คนเดียวได้ สมมติว่า ถ้าทั้งหมดในโลกนี่เขายกให้เราคนเดียว ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดในโลกให้เราคนเดียว แล้วให้เราอยู่คนเดียวจะอยู่ได้หรือ จะอยู่ได้หรือไม่ลองคิดดู แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรอยู่คนเดียวครองโลกทั้งหมดนี้คนเดียว ๒-๓ วันก็บ้าตายเท่านั้นแหละ เพราะว่าธรรมชาติมันสร้างมาสำหรับอยู่กันมากๆ ถ้าเป็นคนมีธรรมะแล้ว ไม่เป็นไรอยู่กันได้สบาย ไม่ต้องคุมกำเนิด เดี๋ยวนี้มันมีคน คนที่ไม่อยู่ในร่องในรอยธรรมะมากขึ้น ดูแลกันไม่ทันปกครองกันไม่ทันจึงมีความคิดหันไปในทางควบคุมกำเนิดอย่าให้มากนัก นี่ก็เพราะความเลวของมนุษย์นั่นเอง สร้างปัญหาขึ้นมามากมายจนควบคุมกันไม่ได้จนต้องคิดคุมกำเนิด ถ้าทุกคนมีธรรมะ ขยันขันแข่งในหน้าที่ของตนในความเป็นมนุษย์ของตนก็ไม่เป็นภาระแก่ใครไม่เบียดเบียนใคร อยู่กันเท่าไรก็ได้ ยังอยู่ได้อีกมากในโลกนี้ ไม่ต้องคุมกำเนิด นี่ดูประโยชน์ของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าเราธรรมชาติสร้างมาสำหรับอยู่ในโลกด้วยกันเป็นจำนวนมากเป็นสังคมใหญ่เราจึงต้องนึกถึงผู้อื่นนอกจากตัวเราเพื่อว่าเราจะไม่เบียดเบียนใคร เพื่อว่าเราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มีความผาสุกยิ่งๆ ขึ้นไป
อย่างศาสนาพระศรีอารยเมตไตรย ซึ่งเขาวาดไว้วางไว้ให้เป็นเป้าหมายของมนุษย์ เมื่อมีความเจริญถึงที่สุด มีความเป็นมนุษย์ที่ประกอบไปด้วยธรรมะถึงที่สุดแล้ว ภาวะโลกพระศรีอารยเมตไตรยก็เกิดขึ้น คือคนทุกคนมีจิตใจดี มีจิตใจบริสุทธิ์สะอาด ทำหน้าที่ของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น พร้อมที่จะช่วยผู้อื่น มีลมหายใจอยู่ในโลกนี้ด้วยคิดว่าจะช่วยผู้อื่นให้มีความสุขเกิดมาจากการได้ช่วยผู้อื่น เขาจึงวาดภาพโลกพระศรีอารยเมตไตรยไว้อย่างประหลาดมหัศจรรย์ เช่นว่าไม่มีอะไรที่เป็นความขาดแคลน แต่พูดไว้ในแบบรูปอุปมา เช่นว่ามีต้นกัลปะดะรูมะ (นาทีที่ 49:49) กัลปพฤกษ์น่ะอยู่ทุกทั่วไปทั้งสี่มุมเมือง ใครต้องการอะไรไปเอาได้ที่นั่น เลยไม่มีใครขาดแคลน แต่ที่พูดกันไว้อย่างธรรมดาสามัญก็พูดว่า พอลงจากเรือนก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ไปในท้องถนนจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เหมือนกันหมดมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ชูมือขึ้นมาสลอนกันหมดว่า จะให้ช่วยอะไร จะให้ทำอะไร ต้องการอะไร นี่จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ต่อกลับมาถึงบ้านของตัวเองจึงรู้ เอ้า, นี่บ้านของเรา นี่บุตรภรรยาสามีของเรา อย่างนี้เป็นต้น และว่าคนทุกคนเป็นมิตรเป็นสหาย สมตามคำว่า เมตไตรย เมตไตรย เมตตะคือคำว่ามิตร มาจากคำว่ามิตร ประกอบท้ายศัพท์เป็นอริยะ เป็นเมตไตรยะ (นาทีที่ 51:04) แปลว่าเครื่องเกลื้อกูลของมิตร เครื่องเกลื้อกูลแก่มิตร เมตไตรย นี่ ศรีอารยะนี่เป็นคำคุณศัพท์ ประกอบให้รู้ว่าประเสริฐอย่างยิ่ง สูงสุดอย่างยิ่ง วิเศษอย่างยิ่ง ถ้าพูดเป็นภาษาธรรมดาก็คือมิตรภาพอย่างยิ่ง นี่ยังไม่ถึงนิพพานแต่ว่าอยู่กันในโลกชนิดดีที่สุด สูงสุด เป็นโลกแห่งความรักผู้อื่น เพราะไม่มีกิเลสที่เห็นแก่ตัว คนในโลกพระศรีอารยเมตไตรยนั้นไม่รู้จักความเห็นแก่ตัว รู้จักแต่มิตรภาพ มีจิตใจสูงถึงขนาดไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น ชีวิตอื่น สัตว์อื่น จึงไม่ต้องพูดถึงความเบียดเบียน การเบียดเบียนมันไม่ ก็มีแต่มิตรภาพ นี่ก็เรียกว่าธรรมะสูงสุดในระดับที่เป็นโลก เป็นอย่างโลก ยังไม่ถึงนิพพาน แต่ว่าพร้อมกันนั้นก็มีหลักการหรือมีความมุ่งหมายที่จะก้าวหน้าไปสู่พระนิพพาน นี้เอาแต่เพียงว่าที่อยู่ในโลกนี้มันอยู่กันอย่างนี้ อย่างกับว่ามันเป็นมิตรที่สุด สูงสุดด้วยกันทุกคน ทุกคนทำหน้าที่ของตน ของตน และมีผู้ช่วยเหลือ มีผู้ช่วยเหลือจนไม่มีความยุ่งยากลำบากขาดแคลนอะไร นี่ความเป็นมิตรมันเป็นเหตุให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการทำหน้าที่ของตน โดยเฉพาะในการปฏิบัติธรรมะนั่นเอง มันจึงมากไปด้วยธรรมะ ก็หมายความว่าทุกคนทำหน้าที่ของตนได้เต็มเปี่ยม เต็มเปี่ยม ทุกคนทำหน้าที่ของตนเต็มเปี่ยม มันไม่มีความขาดแคลนอะไรในทางวัตถุก็ไม่ขาดแคลนอะไร ในทางจิตใจก็ไม่ขาดแคลนอะไร มีแต่ความพอใจ เดี๋ยวนี้เรายังห่างไกล ห่างไกลต่อโลกพระศรีอารยเมตไตรย ดูจากหนังสือพิมพ์รายวันแต่ละฉบับในกรุงเทพฯ ที่ออกอยู่ในกรุงเทพฯ ดูข่าวหนังสือพิมพ์เหล่านั้นแล้วมันก็พอจะมองเห็นได้ว่า ยังอยู่ไกลโลกพระศรีอารยเมตไตรย ยังอยู่ในสภาพเหมือนกับอยู่ในนรก มีการฆ่าฟัน มีการเบียดเบียน มีการไอ้ เลวร้ายเหลือประมาณ กระทั่งว่าฆ่าบิดามารดาของตนก็ได้ ฆ่าลูกก็ได้ ฆ่าพ่อก็ได้ แล้วก็เห็นแต่ประโยชน์ของตน แม้จะต้องทำลายผู้อื่นๆ แม้จะต้องทำลายผู้อื่น เขาก็ทำลายผู้อื่นเพื่อเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตน นี่ถ้าว่าเทียบกับโลกพระศรีอารยเมตไตรยแล้ว มันก็คล้ายกับว่า นรกกับสวรรค์ สวรรค์กับนรก
โลกปัจจุบันนี้ เรียกกันว่าเป็นกลียุค อยู่ในกลียุค กลี คือความเลว ความร้าย มันมีศีลธรรมต่ำทราม เพราะมีจิตใจต่ำทราม เพราะไม่รู้จักความเป็นมนุษย์ของตน ไม่รู้จักหน้าที่เพื่อความเป็นมนุษย์ของตน จึงอยู่กันอย่างต่ำทราม และถ้าเป็นไปโดยในนี้มากขึ้นๆ ก็จะเป็นทุกข์กันทุกคน คนที่ไม่ได้ทำความผิดความชั่วอะไรก็มีคนมาเบียดเบียนให้มีความทุกข์ความร้อนเป็นตายไปเลย คนที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรเมื่อคนอันธพาลมันมากมันแน่นหนาเข้าในบ้านในเมืองนี้มันก็ถูกเบียดเบียนทั้งที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร นั่นน่ะรู้ดู ดูให้เห็นเถอะว่า ไอ้ความไม่มีธรรมะนั้นน่ะมันเป็นอย่างไร มันร้ายกาจสักเท่าใด การที่คนไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมะ แล้วไปปฏิบัติหน้าที่ที่ตรงกันข้าม คือหน้าที่ตามอำนาจของกิเลส คือความโง่ แล้วก็มีโลภะ โทสะ โมหะ รุนแรง อยู่ใต้อำนาจของกิเลส แล้วกิเลสก็พาไปให้ทำอะไรตามแบบของกิเลส อย่างนี้จะเรียกว่า เลวร้ายกว่าอยู่ในนรกเสียอีก ก็เพราะว่าเบียดเบียนกันเกินประมาณ ในนรกนั้นมันก็ถูกเผา ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกอะไรไปตามเรื่อง แต่ว่าไม่มีความเบียดเบียนกันอย่างเกินประมาณ เหมือนในโลกมนุษย์ที่มันมีแต่กิเลส นี่เรียกว่าขาดธรรมะแล้ว โลกนี้จะเป็นอย่างไร ขาดธรรมะแล้วบุคคลคนหนึ่งๆ นี้จะเป็นอย่างไร ฉะนั้นขอให้แน่ใจ ตั้งใจ แน่ใจ อธิษฐานใจ ว่าจะเป็นผู้สมาทานธรรมะ ช่วยจำไว้สักคำหนึ่งก็จะดีว่า สมาทานธรรมะ หรือ ธรรมะสมาทาน คำว่า "สมาทาน" นั้นแปลว่า ถือเอาไว้อย่างดี รับเอาไว้อย่างดี เรียกว่าสมาทาน เช่นเราสมาทานศึล อย่างนี้ก็หมายความว่า เราจะรับศีลมาถือไว้อย่างดี สังอาทายะ(นาทีที่ 57:50) ถือไว้อย่างถูกต้อง อย่างครบถ้วน นี่สมาทาน ทีนี้เราจะสมาทานธรรมะ จะประพฤติหน้าที่อย่างถูกต้องของสิ่งที่มีชีวิต ตั้งแต่อย่างต่ำที่สุดขึ้นไปจนถึงสูงสุด ไม่มีความผิดชนิดที่จะให้เกลียดชังตัวเอง มีแต่รู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้อง พอใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง บูชาตัวเอง ชื่นใจต่อตัวเอง ก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ คำนี้คือสวรรค์ ถ้ามีอะไรดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้นั้นหมายความว่าเป็นสวรรค์อันแท้จริง สวรรค์นี้ไม่หลอก ก็ลองคิดดูสิ ถ้ามีอะไรดีจนยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วมันก็มีความสุขที่สุด แสดงอยู่ชัด ชัดอยู่ ไม่ต้องหลอก ไม่ต้องคาดคะเน ไอ้สวรรค์ที่เขาพูดว่า ต่อตายแล้วจะไปอยู่เมืองสวรรค์ มีวิมาน มีอะไรนั้นน่ะ ไม่รู้ใครพูด พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้พูด แล้วเขาก็พูดกันมาก่อนพระพุทธเจ้า คงจะพูดกันมาแต่สมัยที่คนยังโง่มาก ยังไม่รู้อะไรมากไปกว่าเรื่องกิน เรื่องเล่น เรื่องหัว เรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เต็มไปด้วยกามารมณ์ทางเพศ เลยวาดภาพไว้ว่าในสวรรค์นั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนานทางเพศ อย่างนี้สวรรค์สกปรก ลองคิดดูเถอะ มันจะได้อะไร มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราทำอะไรอะไรจนยกมือไหว้ตัวเองได้นี้เป็นสวรรค์สะอาด เป็นสวรรค์ที่แท้จริง ฉะนั้นขอให้เรารู้จักตัวเองว่ามัน มันมีอะไร มันเป็นธรรมชาติอย่างไร ให้รู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเอง แล้วก็ควบคุมตัวเองให้เป็นไปอย่างถูกต้องจนเป็นที่พอใจแก่ตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่สวรรค์ที่แท้จริง ที่อยู่ในอำนาจของเราที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้
ดังนั้น ขอให้ทุกคนรู้จักหน้าที่ของตน ของตน คือธรรมะ รู้จักธรรมะ คือหน้าที่ของตน แล้วก็ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วน จนมองเห็นแล้วก็พอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำอาการยกมือไหว้ตัวเองได้ แต่ในจิตใจมันก็รู้สึกว่าเรายกมือไหว้ตัวเองนะ ก็พอแล้ว ก็พอแล้ว
ทีนี้ขอให้จัด จัด ปรับปรุง แก้ไข ระมัดระวัง ไอ้สิ่งที่มันยังผิดอยู่ ให้มันหมดไป อย่าให้มีหน้าที่ที่คดโกง หน้าที่ที่ปลอม หน้าที่ที่ไม่เป็นธรรม ให้มีแต่หน้าที่ที่เป็นธรรม คือถูกต้อง เป็นไปเพื่อดับทุกข์ เป็นที่พอใจแก่คนทุกคนที่ได้พบได้เห็น ก็มีความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงเกิดขึ้น รู้เรื่องของกิเลส อย่างที่เคยพูดเมื่อวาน ว่าจิตใจที่ไม่ควบคุมไว้ได้ มันก็เกิดกิเลส ก็เป็นความเศร้าหมอง เป็นความทุกข์ เป็นความเดือดร้อน ถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้ ก็ศึกษาเพียงพอ แล้วประพฤติปฏิบัติ ควบคุมกำจัดกิเลสได้ จนกระทั่งว่าไม่มีความยึดถือว่าตัวตน กิเลสชั้นละเอียดที่สุดคือความยึดถือว่าตัวตนนะ แล้วก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างหยาบหยาบขึ้นมา แล้วก็เดือดร้อนก็ระส่ำระสายกันไปหมด ถ้าว่ามีปัญญารู้จน รู้จนถึงความไม่มีตัวตน ไม่ยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน แล้วมันก็ไม่มีใครจะเป็นทุกข์ นี่คิดดูให้ดี ถ้ามันไม่มีตัวตน มันก็ไม่มีใครที่จะเป็นทุกข์ ฉะนั้น ถ้าร่างกายนี้ จิตใจนี้ ชีวิตนี้ มันศึกษาธรรมะจนเข้าถึงความไม่มีตัวตน แล้วมันก็ไม่มีใครที่จะเป็นทุกข์ แต่แล้วก็อย่าเสียใจที่ว่ามันไม่มีใครที่ต้องเป็นทุกข์ด้วย ถ้ามันเป็นสุข มันก็เป็นสุขตามธรรมชาติของมัน เพราะว่ามันไม่มีความทุกข์ มันเป็นสภาพที่ว่าง ที่ปราศจากความทุกข์โดยแท้จริง นี่ทีนี้ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เราไม่มีความทุกข์ ให้คนทั้งโลก ให้คนทั้งโลกเป็นอันธพาลกันหมด มารุมเบียดเบียนเราคนเดียว เราก็ไม่มีความทุกข์ นี่ลองคิดดูให้ดีว่าธรรมะนี้มีประโยชน์อย่างไร พูดให้ไม่มีตัวตนน่ะ มันไม่มีใครจะมาจับเขาไปทำให้เป็นทุกข์ได้ ให้ ให้ระเบิดปรมณูลงมาเต็มบ้านเต็มเมืองก็ไม่ถูกคนนั้น ซึ่งเขาไม่มีตัวตน เขาไม่มีความรู้สึกยึดถือสิ่งใดเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีความทุกข์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นี่จะเป็นทางออกได้ ถ้าสมมติว่าโลกนี้มันจะเลวลง โลกนี้มันจะเลวลง เลวลง เลวลง จนเต็มไปด้วยอันธพาลหมดทั้งโลก แล้วก็ยังต้อนรับได้ด้วยธรรมะสูงสุด คือความไม่มีตัวตน ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรจะทำให้เป็นทุกข์ได้ กรรมชั่วเลวร้ายก็ไม่ได้ทำ ก็ไม่มีอะไรจะทำให้เป็นทุกข์ได้ กรรมดีก็ทำไว้ สำหรับที่จะให้จิตใจมันเจริญ เจริญ จนมองเห็นว่าไอ้ดีมันก็ยุ่ง ไอ้ชั่วมันก็ยุ่ง ก็เลยไม่ต้องการ ไม่ต้องการยุ่งอย่างชั่ว ไม่ต้องการยุ่งอย่างดี ต้องการแต่ความสงบ คือว่างไปจากความ การปรุงแต่งทุกๆ อย่าง นี่จบเรื่องของธรรมะ คือผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามลำดับ ตามลำดับ แล้วก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนถึงที่สุดของธรรมะ เป็นโลกุตรธรรม ถ้ายังไม่ถึงนี้ ก็มีแต่โลกียธรรม ล้มลุกคลุกคลานกันไปในโลก หัวหกก้นขวิดกันไปตามประสาคนในโลก ชั่วก็ยุ่งอย่างชั่ว ดีก็ยุ่งอย่างดี ถ้าไม่ต้องยุ่งก็อยู่เหนือชั่วเหนือดี เป็นโลกุตรธรรม เป็นโลกุตรธรรม
เอาเรื่องนี้มาพูดกับท่านทั้งหลาย บางคนจะเห็นว่าบ้าแล้วก็ได้ เอาเรื่องที่มันสูงเกินไป ดีเกินไป มาพูดกับคนอายุน้อยๆ เป็นคนบ้า ก็ไม่เป็นไร แต่อยากจะพูดไว้ให้รู้ไว้ว่า ข้างหน้านั้นมันมีอยู่อย่างนั้น ในอนาคตข้างหน้านั้นมันจะไปจบกันที่นั่น ชีวิตนี้ สภาพนี้ มันจะไปจบกันที่นั่น คืออยู่เหนือชั่วเหนือดี ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนที่จะชั่วหรือดี มีแต่ความว่างจากตัวตน มีจิตใจที่ไม่ต้องการอะไร ไม่ยึดถืออะไร มีอยู่แต่ความว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ว่างจากตัวตน จนกว่าร่างกายมันจะดับไป จิตนี้มันก็ดับไป แล้วมันก็เลิก เลิกกัน เลิก เลิกกันหมด ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่า ได้ทำหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ถูกต้อง ครบถ้วน แต่ต้นจนปลาย จนถึงที่สุด เท่าที่มนุษย์จะพึงกระทำได้ นี่ความลับของมนุษย์ มีอยู่อย่างนี้ มีอยู่อย่างนี้ ใครรู้เรื่องนี้ก็คงจะมีประโยชน์ ก็คือว่าจะได้ไม่เดินผิดทาง จะได้จัดให้ชีวิตอัตภาพนี้มันดำเนินไป ก้าวหน้าไปแต่ในทางที่ถูกต้องต่อจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของมนุษย์ เรียกว่า ความหลุดพ้นจากปัญหา หรือจากความทุกข์ทั้งปวง
ทีนี้ก็จะพูดในข้อที่ว่า ธรรมะคือสิ่งที่มีค่าสูงสุด หรือค่าสูงสุดความหมายสูงสุดของคำว่าธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ผู้ใดทำหน้าที่แล้วผู้นั้นจะรอด แล้วแต่ว่าจะทำหน้าที่รอดชั้นไหน รอดชั้นต้นๆ รอดชั้นกลางๆ รอดชั้นปลายสุด แต่ว่าความรอดนั้นจะมีมาจากการทำหน้าที่ และสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั้นเองคือธรรมะ ดังนั้น เราควรจะเห็นธรรมะ มองเห็นธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งที่ต้องคู่กันกับชีวิต เป็นสิ่งที่จะอาศัยเป็นหลักแล้วดำเนินไป ดำเนินไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ว่าธรรมชาติสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่ออะไร หรือจะมองเห็นว่า ไอ้การที่ได้มาเวียนว่ายเป็นมนุษย์นี้มันก็ไม่น่าสนุกอะไร แต่ว่ามันก็ได้เกิดมาแล้ว เดี๋ยวนี้เราก็ได้เกิดมาแล้ว ทั้งที่แท้จริงเราก็ไม่ได้มีเจตนาจะเกิด แต่เราก็ได้เกิดมาแล้วจากบิดามารดา เกิดมาแล้วจะฆ่าตัวตายมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เกิดมาแล้วก็ต้องยอมรับสภาพที่ว่า มันจะต้องทำอย่างไรจะให้การที่ได้เกิดมานี้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ในชั้นต้นนี้ก็เกิดมาเพื่อศึกษาให้รู้ว่าเกิดมาทำไม ครั้นแล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้ได้สิ่งที่ควรจะได้ นั่นแหละคือการปฏิบัติหน้าที่ ขอให้ยึดหลักที่ว่า มีหน้าที่สำหรับชีวิต มีหน้าที่ที่จะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากปัญหาทั้งปวง ชีวิตมีแล้วจะ จะเวนคืนใครก็ไม่ได้ จะฆ่าตัวเองตายก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็เหลืออยู่แต่ว่าจะใช้มันให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์นั่นแหละ เพียงแต่มีประโยชน์ มีประโยชน์ มีประโยชน์ จนกว่าจะสิ้นสุดแห่งประโยชน์ คือไม่ต้องการประโยชน์ ถ้ายังต้องการประโยชน์อยู่ยังไม่จบ นี่พูด พูด พูดให้ฟังเสียแต่เดี๋ยวนี้ว่า ถ้าเรายังต้องการประโยชน์อยู่ ชีวิตนั้นยังไม่จบ ถ้ามันถึงจุดสูงสุดของสิ่งที่เรียกว่าชีวิตแล้วมันไม่ต้องการประโยชน์อะไร มันเป็นการเป็นอยู่ด้วยความว่าง พระอรหันต์ทั้งหลายรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย ท่านบอกว่าอยู่ด้วยสุญญตาวิหาร บางคนจะคิดว่าพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยพรหมวิหารนี้ไม่ถูก มันยังต่ำไป อยู่อย่างมีตัวตนน่ะ คิดนึกถึงผู้อื่น เมตตา กรุณา นั้นยังต่ำไป สู้อยู่ด้วยความว่างไม่มีตัวตนไม่ได้ จิตมองเห็นความว่างจากตัวตน ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน แล้วก็ไม่มีความทุกข์ อย่างนั้นเรื่อยไป แล้วมีเวลาก็สอนผู้อื่นให้รู้จักเรื่องนี้บ้าง เรื่องนี้ด้วย แล้วจะได้มีผู้บรรลุธรรมะสูงสุดด้วยกัน จนกว่าว่าไอ้สังขารร่างกายนี้มันถึงที่สุดของมันจะต้องแตกดับ สังขารร่างกายแตกดับ จิตก็ดับ มันก็หมด ก็จบเรื่อง นี่เรื่องมันจบที่นี่ เรื่องของชีวิตมันจบที่นี่ นี่พูดตั้งแต่จุดตั้งต้นที่สุด จนถึงจุดสุดปลายทางที่สุด ตอนหลังไอ้ เรื่องตอนหลังๆ นี้ก็คงจะเกินไปสำหรับผู้ที่จะอยู่ในโลก แต่ก็ไม่เกินไปสำหรับผู้ที่จะอยู่เหนือโลก หรืออยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง ฉะนั้น ถ้าไอ้ส่วนที่มันเกินก็ ก็ ก็ถือว่าสำหรับคนอื่นก็แล้วกัน ถ้าตัวเองไม่ชอบ ก็ถือว่าสำหรับคนอื่นที่เขายังจะถือเอาประโยชน์ได้ นี่ธรรมะมีอย่างนี้ เรียกว่าธรรมะทั้งหมด ทั้งหมดแหละ ทั้งหมดในพระพุทธศาสนานั่นก็มีแต่เพียงว่ามันเป็นหน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำ ตั้งแต่อยู่เป็นสุขสบายในโลก จนกระทั่งจิตอยู่เหนือโลก ไม่ต้องการอะไรโดยประการทั้งปวง ไม่ต้องการสุข ไม่ต้องการทุกข์ ไม่มีตัวตนที่เป็นผู้อยู่ มีจิตที่ว่างจากตัวตน จิตเป็นของธรรมชาติ มีอยู่ตามธรรมชาติ ถ้ามีตัวตนก็มีเรื่องยุ่งไปตามแบบตัวตน ถ้ามันถึงความไม่มีตัวตน มองเห็นความไม่มีตัวตน จิตนี้ก็ว่าง มันก็ถึงที่สุดเมื่อร่างกายนี้มันแตกดับไป เรื่องจบแล้ว นี่ความหมายสูงสุด หรือคุณค่าอันสูงสุดของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ คือหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ที่จะต้องประพฤติ ประพฤติ ประพฤติ กระทำ กระทำ กระทำ ไปอย่างถูกต้อง แล้วก็มีวิวัฒนาการในทางจิตจนไปอยู่ในสภาพที่เรียกว่าสูงสุด เหนือโลก ใครยังไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร รู้ไว้ก็เพื่อว่าจะไม่หลงทาง ถ้ายังไม่ต้องการก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้ายังอยากจะอยู่ในโลกนี้จงทำหน้าที่ ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ ตามหน้าที่ของตน ตามหน้าที่ของตน นั่นน่ะเรียกว่าเป็นคนมีธรรมะ ไม่ใช่ว่ามาฟัง มาสวด มาเรียน มาท่อง มาบ่น มาอะไรแล้วจะมีธรรมะ นั้นมันเป็นเพียงการเตรียม การเตรียมที่จะมีธรรมะ ต่อเมื่อปฏิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้อง มันก็มีการเปลี่ยนแปลงในทางจิตใจ ไม่เกิดกิเลส หรือกิเลสเกิดน้อยลงไปจนไม่เกิดกิเลส เป็นผู้ชนะกิเลส เป็นชีวิตชนิดที่กิเลสครอบงำไม่ได้ เป็นชีวิตอิสระสูงสุด เพราะทำหน้าที่ของตนมาอย่างถูกต้อง เรื่องก็จบ
การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดใจความของเรื่องเอาไว้ให้ดี ให้แม่นยำว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ปฏิบัติหน้าที่นั่นแหละคือปฏิบัติธรรมะ ดังนั้น พอจะทำหน้าที่ก็ประนมมือให้แก่หน้าที่ในฐานะที่เป็นธรรมะ จะทำการทำงานอะไรพนมมือสำรวมจิตใจ ทำให้ดีที่สุด เมื่อจะลงมือทำงานอะไรจงพนมมือให้แก่หน้าที่ ให้แก่ธรรมะ เพื่อตั้งใจให้มีสติสัมปชัญญะ ทำให้ดีที่สุด แล้วก็จะเจริญงอกงามไปตามทางของธรรมะโดยไม่ต้องสงสัย ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้
เอาหละ, ปิดประชุม แล้วกลับได้ กลับได้