แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โมง บ่ายโมงลงโรงอีก บ่ายโมงลงโรงภาคที่ ๒ จะบรรยายนิดหน่อยแล้ว จะขอถือโอกาสทำกฎบัตร ทำกฎบัตรเหมือนที่เคยทำมาครั้งหนึ่ง ทั้งพระทั้งฆราวาสช่วยกันคิดช่วยกันนึกตั้งกฎบัตรขึ้นมา กฎบัตรนั้นก็ได้พิมพ์แจกไปแล้ว ปรากฏว่ามีประโยชน์ตามหน้าที่ของกฎบัตร กฎบัตรคือเรื่องที่เราต้องเข้าใจตรงกัน เรื่องที่เราต้องปฏิบัติตรงกัน เราต้องได้รับผลของปฏิบัติตรงกันนี้เรียกว่ากฎบัตร กฎบัตร อ้าว, เอก อ้าว, วันนี้ไม่กินข้าวทำไมเอาอย่างนี้มาล่ะหา มีน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวแทน ไม่เอาแล้ว นั่น นั่นน้ำ น้ำมะนาวเรามีแล้วนะ นี่อะไรล่ะ หา (นาทีที่ 01:03 – 01:49 ท่านพุทธทาสคุยกับลูกศิษย์) บอกกล่าวพวกเราที่เคยช่วยกันทำกฎบัตรน่ะ ทั้งฆราวาสและทั้งบรรพชิตน่ะ บ่ายนี้มาเริ่มทำกฎบัตรกันอีกสักชุดหนึ่งสำหรับปีนี้ สิ่งที่ต้องรู้ตรงกัน เข้าใจตรงกัน ปฏิบัติตรงกัน ได้รับผลตรงกันนั่นน่ะสิ่งนั้นเรียกว่ากฎบัตร กฎบัตร ใช้ในระหว่างทุกคน ถ้าสามารถใช้ได้ทั่วโลกก็วิเศษ เดี๋ยวนี้เอากันแต่ในระหว่างพุทธบริษัทด้วยกันก่อน พุทธบริษัทมีกฎบัตรของพุทธบริษัทกันก่อน ถ้าว่าไม่มีความคิดนึกอะไรมาคอยปรบมือ มาคอยปรบมือให้คะแนนเสียงเมื่อลงมติก็พอ
ธรรมะบรรยายกัณฑ์บ่ายเนื่องในวันล้ออายุ และการประชุมทำกฎบัตรพุทธบริษัท ที่ลานหินโค้ง เนื่องในวันล้ออายุ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม เวลา ๑๓ นาฬิกา
เพื่อนสหธรรมิกและท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายเนื่องในการทำบุญล้ออายุเป็นตอนที่ ๒ ดังที่อาตมาจะได้บรรยายต่อไป ในตอนที่ ๑ เป็นคำปราศรัยต้อนรับ ในตอนที่ ๒ พูดถึงความหมายและคุณค่าของคำว่าล้ออายุ ในตอนที่ ๓ บรรยายถึงการที่เราได้ประสบกันกับสภาวะที่ไม่พึงปรารถนาที่มีอยู่ทั่วไปในโลกนี้อย่างที่เรียกว่าพอดี พอดีกับการที่เราเกิดมา เห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรจะนำมาล้อด้วยเหมือนกัน ทีนี้ก็ตอนที่ ๓ จะพูดด้วยเรื่องที่อาตมาถูกเข้าใจผิดและถูกกล่าวหา ดังจะได้บรรยายต่อไป แม้ว่าข้อนี้จะเป็นเรื่องส่วนตัวของอาตมา แต่มันก็เนื่องถึงท่านทั้งหลายด้วย จึงเป็นเรื่องส่วนตัวที่เอามาพูดได้โดยไม่ต้องขออภัย เรื่องส่วนตัวมันกระทบถึงเรื่องส่วนรวม ถ้าว่าไอ้ส่วนตัวมันถูกกระทบมันก็มีผลไปถึงการกระทำที่มันจะโงนเงน อ่อนโยน เลอะเลือนไปก็ได้ อะไร อะไรเป็นสิ่งที่จะผิดพลาดเสียหายก็จะเอามาพูดกันเสียให้เข้าใจ ซึ่งจะได้พูดเป็นข้อๆไปพอสมควรแก่เวลา
ข้อแรก อาตมาถูกเขาเข้าใจว่าเป็นผู้รู้ภาษาหลายภาษาหรือทุกภาษาก็มี ว่าอาตมาเป็นนักปราชญ์ในระดับโลกอย่างนี้ก็มี แล้วว่าอาตมาเป็นผู้ปฏิรูปหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาราวกับว่าเป็นนาคารชุนองค์ที่ ๒ อย่างนี้ก็มี นี่เป็นตัวอย่างของความเข้าใจผิด ซึ่งอาตมาจะขอทำความเข้าใจให้ถูก อย่าได้เข้าใจว่าอาตมารู้หลายภาษาหรือรู้ทุกภาษา แม้แต่ภาษาไทยก็ยังรู้ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถจะใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องและปลอดภัย คือว่ายังได้ ยังมีการพูดชนิดที่เขาเข้าใจผิด อาตมาจะไม่โทษว่าเขาเข้าใจผิด แต่โทษตัวเองว่ามันพูดไม่ชัดเจน มันพูดไม่ถูกต้อง มันพูดไม่สมบูรณ์ เรื่องจิตว่างนี่เป็นต้น มีการเข้าใจผิดกันมาก แต่แล้วก็จะไม่โทษผู้ที่เข้าใจผิด แต่โทษตัวเองว่าพูดไม่ชัดเจนเพียงพอ แม้แต่ภาษาไทยก็ยังไม่รู้อย่างสมบูรณ์ แล้วจะไปรู้ภาษาอื่นให้สมบูรณ์ได้อย่างไรกัน การที่มีการอ้างภาษาอื่นในการบรรยายนั่นหมายแต่เพียงว่าไอ้คำเหล่านั้น เป็นคำที่เขารู้จักกันดี เข้าใจกันดีอยู่แล้วในโลก เพียงแต่เราอ้างมาเท่านั้นแหละไม่ต้องอธิบายอะไรมากมายมันก็สำเร็จประโยชน์พอแล้ว มันประหยัดเวลาได้มาก มันเพิ่มความเข้าใจได้มาก ดังนั้นจึงได้อ้างถ้อยคำที่เป็นภาษาต่างประเทศ ในภาษาอังกฤษก็มี ภาษากรีก ภาษาลาตินก็มี ทำให้คนเข้าใจไปว่าอาตมารู้ภาษาลาตินอย่างดี อย่างนี้มันไม่เป็นไปได้ คำที่เขาใช้กันอยู่เป็นประจำในโลกเช่นคำว่า summum bonum นั่นซึ่งเป็นภาษาลาติน มันมีอยู่เต็มไปหมดในหนังสือพวกศีลธรรมของ ของโลก เป็น เป็นหนังสือที่เขาใช้ร่วมกันทั้งโลกก็ใช้คำอย่างนี้ เราควรจะรู้ว่าเขาใช้คำอย่างนี้และคำอย่างนี้ใช้ได้สะดวกก็แนะให้ใช้บ้าง ก็เอามาใช้ให้ได้ยินได้ฟัง คำว่า sumnum summum bonum นั้นมันแปลว่าไอ้ความดีสูงสุด อย่างเขาพูดว่าพระนิพพานนี่เป็น summum bonum ในพระพุทธศาสนา พูดอย่างนี้เขาฟังเข้าใจได้ทันที เราก็ไม่ต้องอธิบายอะไรเลยก็ยังได้ ก็พลอยใช้เขาไปด้วย มันเป็นคำภาษาลาตินทั้งที่อาตมาก็ไม่รู้ภาษาลาตินอย่างมากมายอะไร นี่เป็นข้อแรกที่ขอให้เข้าใจกันเสียให้ถูกต้อง ให้พวกเราเข้าใจกันเสียให้ถูกต้องว่าอาตมาไม่ได้เป็นผู้รู้ภาษาหลายภาษาหรือที่บอกว่าทุกภาษา มีบางคนเขียนลงไปว่าอาตมาเป็นนักปราชญ์ บางคนก็เขียนว่าเป็นนักปราชญ์ของประเทศไทย บางคนผ่าออกไปเขียนว่าเป็นนักปราชญ์ระดับโลก อย่างนี้ก็เหมือนกันแหละ ขอให้เข้าใจเถอะว่ามันไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น เพียงแต่บางคนเข้าใจเอาเองว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องถืออย่างนั้น ไม่ต้องเข้าใจอย่างนั้น ให้ถือแต่เพียงว่ามันเป็นผู้ที่คิดค้นคนหนึ่งเท่านั้นเอง หรือว่าหยิบเอาเรื่องที่คนเขาไม่ค่อยจะพูดกันแต่เป็นเรื่องสำคัญมีประโยชน์นี้เอามาพูดให้ได้รับประโยชน์ หรือบางทีก็ให้เหตุผลแก่เรื่องบางเรื่องอย่างถูกต้องชัดเจนเพียงพอมากกว่าธรรมดา แล้วได้รับสมัญญาว่าเป็นนักปราชญ์ อย่างนี้ก็ขอถอดตัวเองจากความเป็นนักปราชญ์ ไม่ ไม่ได้มีความเป็นนักปราชญ์อะไรมากมาย แม้แต่อยากจะเป็นนักปราชญ์ก็ดูไม่เคยเพราะกลัวมันจะยุ่ง แต่มีความพยายามแหละที่จะรู้สิ่งที่ควรรู้ให้ถึงที่สุด และก็พยายามที่จะอธิบายเผยแพร่สิ่งที่มีประโยชน์นั้นให้มากที่สุด ไปยืมงานของท่านมาทำมากกว่า ส่วนที่บางคนเขียนลงไปว่าอาตมาเป็นผู้ปฏิรูปพุทธศาสนาเป็น reformer ต่อพุทธศาสนา ปรับปรุงพุทธศาสนาที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอะไรอย่างนี้ให้มันมาถูกต้อง อย่างนี้ก็มีเขียนในภาษาต่างประเทศ เป็นหนังสือต่างประเทศด้วย ซึ่งมันจะแพร่หลายไปได้ไกลถึงขนาดทั่วโลกก็ได้เหมือนกัน จึงมีหลายคนคิดอย่างนั้นว่าอาตมาเป็นไอ้ผู้ปฏิรูปพระพุทธศาสนาอย่างเดียวกับนาคารชุนในประเทศอินเดีย แต่นั่นเป็นฝ่ายมหายานนี่ เรื่องมหายานมีอะไรปนกันยุ่งเลอะเทอะ นาคารชุนเขาก็ช่วยจัดช่วยทำ ช่วยซักช่วยฟอก ร้อยกรองขึ้นไว้ให้เป็นระเบียบแบบแผน เรียกว่าเป็นผู้ปฏิรูปพุทธศาสนานั่นก็สมควรอยู่ แต่อาตมาไม่ได้เป็นมากถึงอย่างนั้น เพราะว่าพุทธศาสนาในประเทศไทยเราไม่ได้เลอะเทอะฟั่นเฟือนถึงอย่างนั้น ถ้ามันจะมีเรื่องเลอะเทอะฟั่นเฟือนเพราะมันมีอยู่ในระดับต่ำคือในระดับบุคคลพวกหนึ่งซึ่งพูดอะไรผิดๆ เขวๆไปจนเกิดเป็นแนวใหม่ขึ้นมา แล้วก็มีผู้นำมาพูดต่อ ซึ่งมันก็มีอยู่มากเหมือนกัน เราพยายามที่จะดึงกลับไปสู่หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องในพระคัมภีร์ในพระบาลี แต่การพูดว่าพระคัมภีร์นี้มันก็เอาแน่ไม่ได้ เพราะว่าถ้าเป็นหนังสือเขียนขึ้นมาแล้วก็เรียกกันว่าคัมภีร์ไปเสียหมด บางทีสิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์นั่นแหละเป็นสิ่งที่ผิดพลาดเลอะเทอะ มันก็ต้องดึงให้ไปเสียจากความผิดพลาดเลอะเทอะไปสู่คัมภีร์ที่ถูกต้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพระบาลี เป็นพระคัมภีร์ชั้นบาลีคือพระไตรปิฎก อะไรที่พูดเขวไขว้เขวไปจากพระไตรปิฎก เราก็พยายามที่จะดึงกลับไปให้สู่หลักเกณฑ์ที่แน่นอนในพระไตรปิฎก เพื่อจะกำจัดไอ้ความคิดหรือคำพูดที่มันเลอะเทอะในตอนหลังนี่เสียใหม่ให้มันถูกต้อง มันเหมือนกับการชำระความคิดความเห็นของคนพวกหนึ่ง ระดับหนึ่งอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ปฏิรูปธรรมะทั้งหมด พระพุทธศาสนาในเมืองไทยยังมีส่วนถูกต้อง ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูปหรือปฏิวัติ แต่ว่าที่ชาวบ้านพูดกันไม่ถูกต้องนั่นมันมีอยู่มาก มันมีอยู่มาก ที่พวกเราพูดกันอย่างไม่ระมัดระวังผิดๆพลาดๆแล้วไม่สำเร็จประโยชน์นั่นมีอยู่มาก เช่นพูดกันเรื่องนรกสวรรค์ชนิดที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พูดถึงเรื่องพระนิพพานชนิดที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พูดถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นต้นที่ไม่มีประโยชน์คือใช้ประโยชน์ไม่ได้ ก็พยายามอธิบายเสียใหม่ให้มันใช้ประโยชน์ได้ แล้วก็มีหลักฐานอ้างอิงในพระบาลี ดึงเอาหลักฐานที่แท้จริงในพระบาลีออกมายืนยัน อย่างนี้ก็มีอยู่ กระทำอยู่ แต่ว่าการกระทำอย่างนี้จะเรียกว่าปฏิรูปนั้นไม่ได้ เพราะว่าเรื่องนั้นถูกต้องดีอยู่แล้วไม่จำเป็นจะต้องปฏิรูป แต่การที่มีคนเอาไปใช้ไม่ถูกไม่ตรงจนเป็นแบบหรือว่าเป็นไอ้สิ่งที่ยึดถือกันทั่วไปขึ้นมาอย่างนี้มันก็ต้องพูดกันบ้าง น้อมเข้าไปหาไอ้ความถูกต้องคือใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ถูกต้องคือใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ อย่างนี้ก็มี เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาตมาในข้อนี้ให้ถูกต้องว่านั่นไม่ได้เป็นผู้รู้ภาษาหลายภาษา ไม่ได้เป็นนักปราชญ์ในระดับประเทศชาติหรือระดับโลก แล้วก็ไม่ได้เป็นผู้ปฏิรูปพระศาสนาแต่อย่างไร แต่เมื่อเขาพูดกันมันก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเขาพูดกัน พูดกันต่อๆไปมันก็ช่วยไม่ได้ ก็มีการพูดกันต่อๆไป แต่ถ้าท่านทั้งหลายไปพบเห็นเข้าแล้วก็อย่าได้ถือเอาตามนั้นเลย รู้ตามความจริงที่ว่าอาตมานี้รู้อะไรบ้าง พอที่จะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ได้บ้าง หรือมากกว่าที่มันมีอยู่ตามธรรมดา นี้ก็ข้อหนึ่ง
ทีนี้มันเนื่องกันว่าในบางสิ่งบางอย่างมันเป็นไปในทางตรงกันข้าม ตรงกันข้าม ตัวอย่างเช่น เขากล่าวหาอาตมาว่าปฏิเสธเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เขาโกรธ โกรธแทนใครก็ไม่ทราบว่าอาตมาเป็นผู้ปฏิเสธสิ่งที่เขายึดถือกันอยู่เป็นหลักด้วยความพอใจ อาตมาไปพูดกระทบกระทั่งถึงเรื่องหรือหลักที่เขาพอใจเขาก็โกรธ โกรธมากหาว่าทำลายพุทธศาสนาไปเสียก็มี คราวหนึ่งมีบุคคลจำนวนหนึ่งรวมหัวกันเขียนคัดค้านและด่าอย่างหยาบคายถึงขนาดที่เรียกว่าแช่งชักหักกระดูกทีเดียว ถึงขนาดนี้เลยก็มี คงจะรู้กันอยู่ดีว่าพวกไหน เพราะหนังสือมันก็มีปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ว่ามีผู้ที่เขาเขียนชนิดที่ด่าประจาน แช่งชักหักกระดูก อาตมาได้รับบัตรสนเท่ห์น่ะ จดหมายที่ไม่ลงชื่อน่ะบ่อยๆว่าเมื่อไรท่านจะตายคาธรรมาสน์เสียที ผมจะไม่ต้องฟังเรื่องที่น่ารำคาญอีกต่อไป แล้วไม่ลงชื่อ นี่จดหมายที่เขียนมาอย่างนี้ก็มี แล้วก็มีบ่อยด้วยแม้จะเขียนไม่ตรงกันแต่ก็มีความหมายตรงกันว่าเขาต้องการให้อาตมาหยุดพูดอย่างที่พูดๆอยู่นี้เสียที เขาทนฟังไม่ไหวแล้ว แล้วโดยมากก็เรื่องนรกเรื่องสวรรค์ เรื่องนิพพาน เรื่องที่เขาถือกันอยู่โดยทั่วไปน่ะว่านิพพานนั้นต้องอีกหลายแสนกัปป์จึงจะถึงได้ เรามีพูดว่าเดี๋ยวนี้ที่นี่หรือถึงกับพูดว่ามีนิพพานอยู่ในการทำการงานโว้ย, เขาโกรธมาก นรกอยู่ใต้ดินถึงต่อตายแล้ว สวรรค์อยู่บนฟ้าถึงต่อตายแล้ว เราว่าเราไม่ใช่ เราว่าไม่ใช่มันอยู่ในจิตในใจ ร้อนเป็นนรกหรือเย็นสบายเป็นสวรรค์ก็เพราะการทำผิดหรือการทำถูกทางอายตนะ ไอ้เรื่องนี้ต้องขอเล่าเรื่องสักหน่อยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นมาในโลก ประชาชนในอินเดียที่นั่นน่ะเขามีเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ยึดถือกันไว้อย่างแม่นมั่นแล้วตามแบบของเขาคือนรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้า พรรณนารายละเอียดอย่างนั้นๆ อย่างนั้นถือกันอยู่ทั่วไปอย่างแน่นแฟ้น พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาในหมู่ชนเหล่านั้นท่านจะทำอย่างไรลอง ลองคิดดู ลองคิดดูว่าท่านจะทำอย่างไร ต้องเห็นพระทัยของพระพุทธเจ้าบ้างว่าท่านจะทำอย่างไรในเรื่องที่เขาเชื่อเขาถือกันอยู่เรื่องเทวดาเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ นี่ถ้าเราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าเราก็จะต้องทำตามอย่างพระองค์ สรุปสั้นๆก็คือไม่ค้านไอ้ที่เขาพูดกันอยู่ ถือกันอยู่ ไม่ยกเลิก ไม่ไปพยายามยกเลิกไอ้ที่เขาพูดเขาเชื่อถือกันอยู่ โดยบอกว่าท่านว่าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ท่านว่าอย่างนั้นก็ดีแล้วมันถูกของท่าน แต่เรามีความคิดอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ เช่นเรื่องนรกสวรรค์นี่ท่านก็ว่านรกทางอายตนะเราเห็นแล้ว สวรรค์ทางอายตนะเราเห็นแล้ว มยาทิฏฐา มยาทิฏฐา (นาทีที่ 25:19) ฉันเห็นแล้ว แต่ท่านไม่ได้พูดยกเลิกไอ้นรกไอ้สวรรค์ตามที่เขาเชื่อกันอยู่ก่อน แต่ท่านมาบอกว่าไอ้นรกสวรรค์ที่มีอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ฉันเห็นแล้ว ก็บอกว่ามันเป็นอย่างนั้นๆ เมื่อทำผิดพลาดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็ร้อนเป็นไฟขึ้นมานี่คือนรกทางอายตนะ เมื่อทำถูกต้องทางตา หู จะหมาก จมูก ลิ้น กาย ใจมันก็เป็นสุขขึ้นมาก็เรียกว่านี้สวรรค์ทางอายตนะ มันก็เป็นธรรมดาแหละที่บางคนเข้าใจได้บางคนเข้าใจไม่ได้ ไอ้ใครเข้าใจได้ก็หันมาเชื่อนรก มาสนใจนรกสวรรค์อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านแนะให้ ไอ้พวกที่มันเข้าใจไม่ได้มันก็เชื่อไปตามเดิมแหละ มันก็มีอยู่ตลอดไป มีอยู่ตลอดมาจนถึงกระทั่งมาสอนในเมืองไทยและยังเชื่อกันอยู่ในเมืองไทย นั่นเรื่องมันก็เหมือนกันว่าไอ้พวกที่เขาเชื่อกันอยู่แล้วในประเทศไทยนี่เรื่องนรกใต้ดินสวรรค์บนฟ้าเขาเชื่อกันอย่างแน่นแฟ้น พออาตมามาบอกมากล่าวว่าในพระบาลีท่านว่านรกอยู่ที่อายตนะอย่างนั้นๆ เขาก็ไม่เชื่อ แทนที่เขาจะไปโทษพระบาลีพระคัมภีร์เขาโทษอาตมาแหละว่าเป็นผู้ยกเลิกสวรรค์นรกของเขา แล้วเขาก็โกรธมาก แล้วแช่งชักหักกระดูกอย่างที่ว่ามาแล้วว่าเมื่อไรตายเสียที ใช้คำว่าตายคาธรรมาสน์เลยนะ บัตรสนเท่ห์ใบนี้ใช้คำว่าเมื่อไรจะตายคาธรรมาสน์เสียที ผมจะไม่ต้องได้ยินได้ฟังคำชนิดนี้อีกต่อไป นี่ขอให้ทราบไว้ด้วยว่าการถูกกล่าวหาเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมไม่ยุติธรรม อาตมาไม่ได้ยกเลิกนรกสวรรค์ เทวดาหรืออะไรที่เขาเชื่อๆกันอยู่ แต่ได้บอกเรื่องหรือคำอธิบายความหมายอันใหม่ที่มีอยู่ในพระบาลี และที่อาตมาก็ชอบใจและเห็นด้วยนี่เอามาเล่าให้ฟังเรื่องนรกเรื่องสวรรค์เป็นต้น เพื่อให้มันเกิดเป็นธรรมะประเภท สันทิฏฐิโก คือเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นนรกสวรรค์ชนิดที่บุคคลนั้นรู้สึกได้เองสัมผัสได้เอง แล้วก็กลัวนรกได้เองชอบสวรรค์ได้เอง มันก็จะได้เดินไปถูกทาง ไอ้สวรรค์ที่พูดกันกลางบ้าน ชาวบ้านพูดว่าเต็มไปด้วยกามารมณ์ มีบริวารมีนางฟ้ามีเทพบุตรอะไรมากมายอย่างนี้มันก็เกินไป พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเมื่อประพฤติถูกต้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มีความรู้สึกที่เป็นสุข ที่ควรจะพอใจ ไม่ได้พูดถึงเรื่องกามารมณ์ ทีนี้คนเขาชอบกามารมณ์ ยึดมั่นในสวรรค์กามารมณ์ เขาก็ไม่ชอบสวรรค์ชนิดที่เป็นเพียงความถูกต้องไม่มีทุกข์ไม่มีภัยอะไรเหล่านี้ ข้อนี้สรุปความก็คือว่าต้องการจะพูดให้เป็น สันทิฏฐิโก เรื่องวัฏสงสารน่ะเขาพูดว่าเวียนว่ายตายเกิด เข้าโลงแล้วเข้าโลงอีก เข้าโลงแล้วเกิดใหม่เข้าโลงอีก เข้าโลงอีกนี่เป็นวัฏสงสาร วัฏสงสารหนึ่งรอบกินเวลาเป็นชาติ เป็นชาติ อาตมาบอกว่านั่น ก็นั่นแหละ ก็อย่างนั้นแหละแต่ว่ามีวัฏสงสารที่น่ากลัวกว่าคือความที่จิตมันมีกิเลส แล้วมันกระทำไปตามอำนาจของกิเลส ได้รับผลของการกระทำแล้วมันมีกิเลสอีก มันเวียนเป็นวงกลมอยู่อย่างนี้ วันหนึ่งๆวันเดียวไม่รู้กี่วง ไม่รู้กี่วง นี่วัฏสงสารนี่น่ากลัวไหมเล่า วัฏสงสารนี้กินเวลาเป็นชาติๆนะแล้วมันจะน่ากลัวอะไร แล้วมันนานเกินไป แต่ที่มันกินเวลาเพียงนาทีเดียวก็ได้ วัฏสงสารวงหนึ่งน่ะมีกิเลส มีกรรมและมีวิบากอยู่ในจิตครบวงหนึ่งอย่างนี้น่ะมันเผาลนจิตใจมากมายเหลือเกิน น่ากลัวกว่า เป็นอันตรายกว่า แล้วมีอยู่จริงๆ มีอยู่จริงๆทุกวันๆอย่างนี้ พูดอย่างนี้ไม่ใช่ยกเลิกไอ้วัฏสงสารแบบเก่านู้น ก็ไว้ให้ตามเดิม แก่เจ้าของเดิม แต่เราจะพูดว่าวัฏสงสารที่น่ากลัวกว่า ที่ต้องรีบกระทำให้หลุดออกมาเสียให้ได้นั่นคืออย่างนี้ๆ ไม่ได้ให้ยกเลิก ไม่ได้ให้ใช้การกระทำที่เป็นการยกเลิกเพิกถอนอะไร
ทีนี้ก็มีคนกล่าวหาว่าอาตมาทำลายธรรมะทำลายศาสนา ทำให้นิพพาน พระนิพพานหมดความหมายเป็นของง่าย ง่ายเกินไป มีอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่ทำให้พระนิพพานที่มีค่ามากหมดค่าไป แล้วก็หมดความหมายด้วย เป็นการเลิกล้างของเก่าด้วย อาตมายืนยันว่าที่เขาจะถือกันตามแบบเก่าว่านิพพานอีกแสนชาติหมื่นชาติก็ตั้งใจถือได้ แต่ว่านิพพานที่น่าสนใจที่นี่และเดี๋ยวนี้ให้สนใจเมื่อเวลาที่จิตมันว่างจากกิเลสชั่วขณะ ขณะ บางเวลาน่ะ สนใจตรงนั้นแหละเป็นนิพพาน ชีวิตของเรามันมีเวลาที่เกิดกิเลสและว่างจากกิเลสสลับกันไปพอสมควร กิเลสมันจะเกิดตลอดเวลานั่นมันเป็นไปไม่ได้มันไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะกิเลสต้องได้เหตุได้ปัจจัยจึงจะเกิด เหตุปัจจัยของกิเลสก็มาเป็นคราวๆ กิเลสจึงไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา เวลาที่ไม่เกิดมันก็มีเหมือนกัน แล้วก็มีมากกว่าที่กิเลสเกิดเสียด้วย จริงหรือไม่จริงขอฝากท่านทั้งหลายทุกคนใคร่ครวญดูสอบสวนดูด้วยจิตของตนเอง ว่าจิตของตนเองนั้นน่ะเวลาที่เกิดกิเลสกับเวลาที่ไม่เกิดกิเลสน่ะอันไหนมันมากกว่ากัน เวลาที่ไม่เกิดกิเลส ไม่มีกิเลสเป็นไฟอย่างใดอย่างหนึ่งเผาลนนั่นแหละ นั่นแหละเวลานั้นแหละเป็นเวลาที่ว่างจากกิเลส เป็นนิพพานชั่วคราว เป็นนิพพานน้อยๆ เป็นนิพพานชั่วคราว แต่มีความหมายเดียวกันแหละคือว่างจากการเผาลนของกิเลส เรามีนิพพานอย่างนี้กันอยู่เป็นประจำที่ทำให้เราได้รับความพักผ่อนบ้าง ถ้ากิเลส เกิดตลอดเวลาก็เหมือนสุมไฟอยู่ตลอด ตลอดเวลาเราก็ตายแล้ว เราก็ตายแล้ว หรือเป็นโรคประสาทเป็นบ้ากันหมดทุกคนแล้วไม่มีเหลือหรอก กิเลสมันให้โอกาสให้เวลาว่างสำหรับเราที่จะไม่ต้องทนทรมานเพราะกิเลสนั้นตามสมควร ดังนั้นเราจึงมีเวลานอนหลับพักผ่อนตามสมควร แม้เมื่อตื่นอยู่นี้ก็มีเวลาที่พอจะสบายบ้าง ไม่มีไฟกิเลสแผดเผา เราจึงไม่เป็นบ้าตาย เราจึงไม่เป็นโรคประสาทตาย หรือเราจึงไม่ไหม้เกรียมเพราะกิเลสเผาตลอดเวลา เรียกว่าเรามีชีวิตเป็นปกติสุขอยู่ได้อย่างนี้เพราะอำนาจของความว่างจากกิเลสเป็นคราวๆนั่นเอง ความว่างจากกิเลสเป็นคราวๆในชีวิตวันหนึ่งๆนั่นแหละคือพระนิพพานน้อยๆที่เราได้อาศัย เป็นอยู่พูดได้อย่างตายตัวเลยว่าเมื่อใดมีกิเลสมันก็เป็นวัฏสงสาร เมื่อใดว่างจากกิเลสมันก็เป็นนิพพาน ระยะที่ว่างจากกิเลสเป็นนิพพานมีอยู่มากพอที่จะทำให้เราเป็นปกติสุขอยู่ได้ เรารอดชีวิตอยู่ได้ หรือไม่เป็นบ้าเพราะอำนาจความว่างจากกิเลส อันนี้คือคุณของพระนิพพาน ไอ้สัตว์เนรคุณทั้งหลายมันไม่รู้จักคุณของพระนิพพาน ไอ้คนนี้จะต้องเป็นโรคประสาทจะต้องเป็นบ้า ทั้งที่ว่ามันรอดตัวมาแล้ว ไม่ต้องเป็นโรคประสาทไม่ต้องเป็นบ้ามันก็ยังไม่รู้จักพระคุณของพระนิพพานน้อยๆที่แทรกอยู่เป็นระยะๆในชีวิตประจำวัน ขอให้ท่านทั้งหลายมองเห็นกันอย่างนี้เถิดว่านิพพานนั้นอยู่กับเราตลอดเวลา กิเลสต่างหากที่เข้ามาแย่งที่ เข้ามาแทรกแซง เพราะตามธรรมชาติธรรมดาเราไม่ต้องมีกิเลส เราไม่ควรจะมีกิเลส แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่าจิตนี้เป็นประภัสสร แต่มันเป็นเศร้าหมองเพราะกิเลสเข้ามา นี้ก็เรียกว่าพื้นฐานของมันไม่มีกิเลสนะ กิเลสเป็นคนแปลกหน้าเป็นอาคันตุกะเข้ามาเป็นคราวๆ ดังนั้นประภัสสรหรือพระนิพพานนั่นแหละคือสมบัติเดิมอยู่กับเรา เป็นชีวิตของเรา กิเลสเข้ามาแทรกเป็นคราวๆ แล้วเราเอาพระนิพพานไปไว้เสียหมื่นชาติแสนชาติแล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร แล้วมันก็เป็นการเนรคุณ เป็นคนเนรคุณ เป็นสัตว์เนรคุณต่อพระนิพพานซึ่งมีพระคุณอย่างยิ่งที่เข้ามากำกับชีวิตของเรานี้ให้มีความว่างจากความทุกข์คือไม่มีไฟเผาอยู่เป็นระยะๆ เดี๋ยวนี้ใครมีไฟเผาในกิเลสบ้าง อาตมาเชื่อว่าไม่มี ที่นั่งอยู่ที่นี่ มายิ่งนั่งฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่ด้วยแล้วมันไม่มี ถ้ามีมันก็คน คนพิเศษแล้ว คนวิปริตเป็นพิเศษแล้วไปหาหมอเถอะ เดี๋ยวนี้เราไม่มีกิเลส เรานั่งพูดนั่งฟังนั่งสนทนากันอยู่เราก็มีความสงบเย็นในจิตใจตามสมควร เพราะอำนาจของพระนิพพานน้อยๆ คือว่างจากกิเลสเป็นคราวๆนี่ให้เราอาศัยอยู่ อาตมาพูดให้สนใจพระนิพพานชนิดที่มีพระคุณแก่เราอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ กลับถูกด่าว่ายกเลิกพระนิพพาน ซึ่งเขาหมายถึงพระนิพพานอีกหมื่นชาติแสนชาติ หรือกี่โกศกี่กัปป์โน่นก็ไม่ได้ยกเลิก อาตมาไม่เคยพูดยกเลิก อ้างท่านทั้งหลายเป็นพยานว่าอาตมาไม่เคยพูดยกเลิกอะไร แต่ว่าแสดงของ ใหม่ที่ชื่อมันเป็นชื่อเดียวกันแทนชื่อกันได้ ให้ได้รู้จักและได้รับประโยชน์ ที่จริงคนแก่คนเฒ่าปู่ย่าตายายของเราเขาก็ได้พูดกันมาก่อนอาตมาเสียอีกว่าสวรรค์ในอกนรกในใจ นิพพานก็อยู่ที่ตายเสียก่อนตาย คือว่าหมดกิเลสหมดตัวตนเสียก่อนตายนั้นมันอยู่ที่นี่ ไม่ ไม่ต้องตาย ไม่ทันจะตาย และก็ไม่ต้องตาย ทีนี้คนเหล่านั้นมันต้องว่าตายแล้วและต้องตายจึงจะได้บรรลุนิพพาน นิพพานบ้าบออะไรคนตายได้ คนตายมันพูดได้ แล้วมันได้เรื่องได้ราวอะไรล่ะ มันต้องได้กับคนเป็นๆสิ พระพุทธเจ้าก็ ท่านก็ตรัสว่ามันอยู่กับคนเป็นๆนี่สิ เราจงเป็นคนเป็นๆ แล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นนิพพาน อะไรเป็นวัฏสงสารที่มันสับเปลี่ยนกันอยู่ในจิตใจของเรา มันเหมือนกับมีใครช่วยจัดหลีกอยู่ในจิตใจของเรา เดี๋ยวเป็นวัฏสงสารเดี๋ยวเป็นนิพพานอย่างนี้เป็นต้น ทีนี้เราแหละจัดหลีกเสียใหม่สิให้มันเป็นนิพพานมากกว่าที่จะเป็นวัฏสงสาร ไปฝึกฝนให้มีสติสัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญาเพียงพอ แล้วเอาธรรมะนั้นน่ะมาเป็นเครื่องจัดหลีกสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในใจ ให้กิเลสไม่ได้โอกาส ให้ความว่างจากกิเลสได้โอกาส แล้วไอ้จิตมันก็ว่างจากกิเลสมากกว่าความมีกิเลส มันก็ได้รับผลคือพระนิพพานน้อยๆ น้อยๆเรื่อยไปๆจนกว่าจะเด็ดขาด ดังนั้นต้องอบรมจิตกันเสียใหม่ให้ถึงระดับมันจึงจะว่างเด็ดขาด จะว่างจากกิเลสเด็ดขาด กิเลสจะขาดตอนโดยเด็ดขาด ต้องปฏิบัติจนถึงที่สุด เดี๋ยวนี้คนธรรมดานี่แหละไม่ได้ปฏิบัติอะไรนักหรอก แต่ธรรมชาติมันก็อำนวยมาให้อย่างนั้นแล้วคือมีความว่างจากกิเลสอยู่ตามสมควร ให้เป็นคนปกติอยู่ได้ นี่พูดกันถึงเรื่องพระนิพพาน อาตมาไม่ได้ทำให้นิพพานหมดความหมายหรือหมดราคา แต่กลับชี้ให้เห็นว่าจำเป็นที่สุดว่าคนทั้งหลายทุกคนนี่มันอยู่ได้ มันรอดชีวิตอยู่ได้ มันไม่เป็นบ้านี่ เพราะพระนิพพานน้อยๆที่ธรรมชาติจัดให้มีอยู่เป็นพื้นฐานในจิตใจ พอกิเลสไม่เกิดขึ้นมันก็เป็นนิพพานอยู่ตามธรรมชาติของมันเอง เรียกจิตชนิดนี้ว่าจิตว่างหรือจิตเดิม เราศึกษาการปฏิบัติเพื่ออบรมจิตให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ยิ่งๆขึ้นไปจนไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง วันหนึ่งก็ได้นิพพานโดยสมบูรณ์แหละ นิพพานชั้นสมบูรณ์แบบถึงที่สุดเป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้เป็นนิพพานน้อยๆ เป็นนิพพานตามที่ธรรมชาติมันโปรดปรานอำนวยให้ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ถ้าเราทำอะไรเพิ่มเข้าไปความเป็นนิพพานชนิดน้อยๆนี้มันก็จะใหญ่ขึ้นๆจนสมบูรณ์ ขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกคนจงได้สนใจเรื่องพระนิพพานกันบ้างว่าข้อเท็จจริงมันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าเราช่วยส่งเสริมมันก็จะสมบูรณ์ๆจนเป็นนิพพานตายตัวและถาวร ก็ไม่เสียทีที่ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา นี่เรียกว่าเราแสดงให้รู้จักพระนิพพานที่เป็นคู่ชีวิต เป็นคู่ชีวิต ลองไม่มีพระนิพพานชนิดนี้มันก็ตายแล้วแหละ มันก็ไม่ได้อยู่หรอก จงรู้จักพระนิพพานชนิดที่เป็นคู่ชีวิตกันเสียบ้าง
เอ้า, ทีนี้ด้วยเรื่องถัดไปก็มาถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท นี่เป็นเรื่องของนักศึกษา ไม่ใช่เรื่องของชาวบ้าน นักศึกษานักธรรมที่เขาเล่าเขาเรียนกันมานั่นเขาเรียนปฏิจจสมุปบาทกันมาแบบหนึ่งตามแบบเรียนนักธรรม คำอธิบายนั้นเป็นของผู้แต่งหนังสือคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านอธิบายปฏิจจสมุปบาทไว้ตามแบบนั้นคือในแบบ ที่มีอยู่ในแบบเรียนนักธรรมนี่ ใจความสำคัญมันสั้นๆก็ว่ามันกินเวลาตั้งสามชาติ ปฏิจจสมุปบาทรอบหนึ่งกินเวลาสามชาติ แล้วมันจะควบคุมได้อย่างไร หัวท้ายมันอยู่กันคนละชาติน่ะแล้วชีวิตนี้จะควบคุมมันได้อย่างไร จะปฏิบัติเพื่อประโยชน์อย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ นี่อาตมาก็ไม่ได้ยกเลิก ไม่เคยประกาศว่ายกเลิก เพียงแต่ประกาศว่ามีคำอธิบายอีกแบบหนึ่งมีอยู่ในพระบาลีว่า ปฏิจจสมุปบาทมันตั้งต้นเมื่อมีอวิชชาในขณะสัมผัส สัมผัสทางอายตนะตอนนั้นเป็นอวิชชา แล้วปฏิจจสมุปบาทจะตั้งต้น แล้วมันก็เป็นไปในขณะจิตไม่กี่ขณะจิตแล้วมันก็ตลอดสาย ดังนั้นปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่งจะกินเวลาไม่กี่วินาที วันเดียวจะมีปฏิจจสมุปบาทได้หลายวงหรือหลายรอบ ไม่ใช่วงเดียวรอบเดียวกินเวลาตั้งสามชาติคือเข้าโลงถึงสามหน นี่มันๆ มันแปลกกันอยู่อย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาทตามแบบพระพุทธโฆษาจารย์อธิบายไว้อย่างนั้น แล้วก็เป็นเรื่องของคนๆเดียวกันด้วยที่ตายข้ามภพข้ามชาติอย่างนั้น นี่มันๆ มันมีลักษณะแห่งสัสสตทิฏฐิ เราเห็นด้วยไม่ได้ เดี๋ยวนี้แม้ในวันเดียวนี่อาจจะมีได้หลายวง คือทำผิดเมื่อมีผัสสะทีหนึ่งแล้วก็มีปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่ง แล้วก็เป็นไปจนถึงเกิดความทุกข์ แต่ละขั้นตอนของปฏิจจสมุปบาทนั้นก็มิใช่ตัวตน รวมกันหมดทั้งวงก็ยังมิใช่ตัวตน ปัจจุบันนี้มันก็มิใช่ตัวตนเสียแล้วมันก็ไม่มีใครเกิดใครตาย มีแต่มันเป็นการปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงไปตามกฎเกณฑ์ของปฏิจจสมุปบาท ข้อนี้อธิบายยาก คือคนโดยทั่วไปโดยธรรมดานั่นน่ะเขาไม่เข้าใจในข้อที่ว่าไอ้ธรรมะทั้งหลายที่เรียกชื่อต่างๆกันนั้นน่ะมันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ เมื่อใดธรรมะนั้นมันทำหน้าที่ หรือสิ่งนั้นทำหน้าที่ก็เรียกว่ามันเกิด พอมันไม่ทำหน้าที่ก็คือเรียกว่าดับ ตาดับก็ได้ตาเกิดก็ได้ หูเกิดก็ได้หูดับก็ได้ มัน มันทำหน้าที่เมื่อไรก็เรียกว่ามันเกิดแล้วมันก็ทำให้เกิดผัสสะ ถ้าในผัสสะมีปัญญามีวิชชามันก็ไม่ปรุงแต่งเวทนาโง่เป็นตัณหาเป็นอุปาทาน ถ้าในผัสสะนั้นมันปราศจากวิชชาเป็นผัสสะมืด เป็นผัสสะโง่ เป็นผัสสะหลับแล้วมันก็ปรุงให้เกิดเวทนาโง่ปรุงแต่งให้เกิดตัณหาอุปาทานแล้วมันก็เป็นทุกข์ ทีนี้ไอ้เรื่องที่เข้าใจยากมันก็มีว่าโผล่ขึ้นมาก็เอาวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารให้เกิดวิญญาณ วิญญาณให้เกิดนามรูปนี่มันเข้าใจยาก ฉะนั้นก็เลยอธิบายให้เป็นสามภพสามชาติเสีย ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ท่านต้องเข้าใจไอ้ความจริงที่สำคัญข้อหนึ่งคือให้ถือว่าตามธรรมดานั้นมันว่างอยู่ ตามธรรมดาคนเรานี้มันว่างอยู่ไม่มีความรู้สึกคิดนึกใดๆ เราอยู่ด้วยความว่างนะ เอ้า, พอมีการเนื่องกันของอายตนะคือตากับรูปเป็นต้นนี่มันจึงจะเกิดเรื่อง จะเกิดเพื่อให้อวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้องกับสัมผัส มันก็ทำให้เกิดอำนาจปรุงแต่งคือสังขาร ไอ้วิญญาณที่มันอยู่เป็นธาตุตามธรรมชาติมันก็เกิดเป็นจักษุวิญญาณ โสตะวิญญาณขึ้นมา ถ้าไม่มีการสัมผัสกันระหว่างอายตนะและวิญญาณไม่มี วิญญาณไม่เกิด นี่ตามพระบาลีเป็นอย่างนี้ ตาเนื่องกับรูปเกิดจักษุวิญญาณอย่างนี้ ก่อนหน้านั้นไม่มีวิญญาณ ก่อนหน้านั้นไม่มีจักษุ ก่อนหน้านั้นไม่มีตาคือว่างอยู่ ว่างอยู่ ไม่มีตาไม่มีจักษุ ไม่มีจักษุวิญญาณ คนธรรม คนธรรมดาเข้าใจไม่ได้ เพราะว่าเรามีตาอยู่ตลอดเวลา ไอ้รูปมันก็มีอยู่ตลอดเวลา จิตวิญญาณมันก็มีอยู่ตลอดเวลา มันเข้าใจไม่ได้ว่าก่อนหน้านั้นมันว่างอยู่ ถ้ารู้จักตั้งต้นด้วยความว่าธรรมดามันว่างอยู่ๆนี่ พอมีการเนื่องกันระหว่างอายตนะมันปรุงแต่งเกิดวิญญาณอย่างนี้ นี่ก็เพราะว่ามันมีความเข้าใจผิดต่อผัสสะนั้นในขณะที่ ที่สัมผัสนั้นแหละวิชชา อวิชชาก็เข้ามาครองด้วยอำนาจของไอ้สัพพะอวิชชานี้ปรุง ทำให้เกิดอำนาจการปรุงแต่งคือสังขาร สังขารคืออำนาจการปรุงแต่ง มันมีอำนาจการปรุงแต่งมันก็ปรุงแต่งให้สิ่งต่างๆลุกขึ้นมาตามหน้าที่ของตน คือวิญญาณทำหน้าที่ของตน นามรูปก็ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตนไม่ใช่หลับอยู่เหมือนแต่ก่อน อายตนะทั้งหลายก็สามารถทำหน้าที่ของตนเรียกว่าเกิดขึ้นมาได้ มีอายตนะก็มีผัสสะสมบูรณ์ตามความหมาย เราเข้าใจยากเพราะเราเข้าใจไปในทำนองที่ว่าคนหรือตัวกูนี่มันเกิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เข้าใจว่าตามธรรมดามันว่าง มีความหมายเป็นความว่างจากตัวกู ว่างจากไอ้สิ่งต่างๆเหล่านี้ พอมีการเกี่ยวเนื่องกันระหว่างอายตนะภายนอกภายในก็เป็นโอกาสให้อวิชชาปรุงแต่งนั่นนี่ขึ้นมา ทำหน้าที่ของตนแล้วก็ได้ชื่อตามชื่อนั้นๆ จนกระทั่งว่ามีวิญญาณ มีนามรูป มีผัสสะ แล้วก็มีเวทนา มีตัณหา ทั้งหมดนี้เป็นไปได้เหมือนกับสายฟ้าแลบคือเร็วมาก เรื่องนั้นปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่งจะกินเวลาไม่ถึงวินาทีก็ได้มันปรากฏเป็นความทุกข์แล้ว เพียงแต่มีการสัมผัสทางอายตนะนี้ไม่ เพียงวินาทีสองวินาทีมันก็มีการปรุงแต่งที่เป็นความทุกข์อยู่ในใจแล้วอย่างนี้ก็มี จะนานกว่านั้นก็มี แต่ไม่ต้องถึงกับสิ้นตั้งชาติๆกันหรอก ไม่ต้องถึงวันๆหรอก ขณะจิตที่เป็นปฏิจจสมุปบาทติดๆ ติดๆกันไปอันสุดท้ายมันก็เป็นความทุกข์ อธิบายอย่างนี้เท่าที่อาตมาได้ศึกษามาเป็นสิบๆปีนี่ถือ รู้สึกว่าตรงกับพระบาลี ตรงกับพระบาลี จึงเอาคำอธิบายนี้มาเปิดเผยมาบอกกล่าว ผลก็คือถูกด่าว่ายกเลิกปฏิจจสมุปบาทที่มีอยู่เดิมที่สอนกันอยู่เดิมตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค คำอธิบายปฏิจจสมุปบาทอย่างวิสุทธิมรรคนี่ไม่มีในพระบาลี มีในคัมภีร์วิสุทธิมรรคที่สอนกันขึ้นเมื่อสักพันปีได้แล้ว พ.ศ.พันปีได้แล้ว เก้าร้อยกว่าปีนี่ มันกลายเป็นเรื่องว่ามีคนตายคนเกิดไปตามกระแสนั้น มันมีลักษณะเป็นสัสสตทิฏฐิ อย่างนี้จะเป็นพุทธศาสนาไม่ได้ พุทธศาสนาไม่มีสัสสตทิฏฐิ ดังนั้นก็กลายเป็นเรื่อง เหมือนกันกับฝ่ายฮินดูหรือฝ่ายพราหมณ์ ในยุคพุทธกาลนั้นลัทธิฮินดูรุ่งเรืองด้วยลัทธิอุปนิษัท ลัทธิอุปนิษัทคือลัทธิที่ถือว่ามีตัวคนมีตัวตน ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิดไปตามกรรมไปตามกระทำของตนนี่คืออุปนิษัท มันคล้ายกับพุทธศาสนามาก มันผิดกันแต่ที่ว่าเขาเรียกว่าเป็นตัวตน ไม่ ไม่ได้เรียกว่าเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย พออาตมาจะพูดให้ ให้แรงไปกว่านั้นมันก็จะเกินพอดีเหมือนกัน เพราะไปวิพากษ์วิจารณ์พระพุทธโฆษาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเหล่านั้นมากเกินไป ถึงอย่างนั้นก็อดสะกิดแย้มบ้างไม่ได้ว่าพระพุทธโฆษาจารย์ท่านเป็นลูกพราหมณ์ เกิดในตระกูลพราหมณ์ แล้วเรียนในเวลานั้นไม่มีอะไรนอกจากเรียนลัทธิอุปนิษัท พระพุทธโฆษาจารย์ได้ศึกษาลัทธิอุปนิษัทมาเต็มกระเป๋าเลย จนท่านออกมาบวชมาอะไรเป็นใน ในพุทธศาสนานี้ นี่กลัวว่าอันนั้นแหละมันจะติดมาบ้างจึงมีบุคคลชนิดเวียนว่ายตายเกิดแล้วมาใช้อธิบายปฏิจจสมุปบาท มันก็กลายเป็นปฏิจจสมุปบาทตามแบบของอุปนิษัทไปโดยไม่รู้ตัว เอาละ มันจะมีประโยชน์อะไร มันก็ไม่เห็นได้ ไม่มีประโยชน์อะไร มันควบคุมไม่ได้นี่เพราะมันอยู่กันคนละชาติ แต่ถ้าปฏิจจสมุปบาทแบบสายฟ้าแลบนี่มันควบคุมได้ ควบคุมด้วยสติที่นี้เดี๋ยวนี้ทันเวลาสายฟ้าแลบ เราควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ เราหยุดได้ เราดับทุกข์ได้ เราทำให้มันขาดตอนได้ จึงถือว่านี่เป็นปฏิจจสมุปบาทที่ควรจะยึดถือเป็นหลักแห่งพระพุทธศาสนา ประยุกต์ได้ ใช้ดับทุกข์ได้ ขอให้สนใจอาตมาก็เลยประนีประนอมได้ว่าไอ้แบบนั้นน่ะแบบเก่า แบบในแบบเรียนแบบพระพุทธโฆษาจารย์เอาไว้สอนศีลธรรม สอนศีลธรรมแก่ผู้ที่ถือศีลธรรมมีตัวตนบุญบาปไปตามกรรม แต่อธิบายแบบนี้ไว้สอนปรมัตถธรรมที่เป็นพุทธศาสนาที่สอนว่าไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนหรือสัตว์บุคคลแม้ในขณะไหน มีแต่ธรรมที่เป็นธรรมชาติตามธรรมชาติปรุงแต่งกันไปเป็นขั้นตอนๆ มีเท่านั้น ทีนี้ก็สอนปรมัตถธรรม เลยได้ปฏิจจสมุปบาทขึ้นมา ๒ แบบ แบบหนึ่งไว้สอนศีลธรรมให้กลัวบาปกล้าบุญของตัว ของผู้มีตัวตนไปตามเรื่อง ส่วนแบบนี้จะสอนผู้ที่ต้องการจะหมดตัวตน ได้รับผลเป็นความหมดตัวตน อาตมาก็พูดไปตามนี้นะว่ามันมีอยู่อย่างนี้ คุณจะเลือกเอาอย่างไหนก็ตามใจ ไม่ได้ยกเลิกแบบไหน แต่ชี้ให้เห็นว่าที่มันจะเป็นประโยชน์ ใช้ให้เป็นประโยชน์ดับทุกข์ได้มันก็คือแบบนี้ แบบที่เป็นไปในขณะจิต ในขณะจิต ในขณะจิตนี่จะควบคุมได้ จะหยุดยั้งได้ จะดับทุกข์ได้ ในที่สุดก็ถูกหาว่าเป็นมิจฉาทิฐิเสียเลย ยกเลิกของเก่า ทำลายของเก่า เปลี่ยนแปลงของเก่า เปล่านี่ไม่เคยทำ จะไปทำให้มันเสียเวลาทำไม จะไปต่อสู้จะไปยกเลิกนี่มันเสียเวลา เอาแต่ว่าอย่างไรมันจะมีประโยชน์ก็เปิดเผยออกมา ชี้แจงให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเข้าใจ ไม่ได้ยกเลิกเรื่องปฏิจจสมปบาท ดังนั้นขอฝากไว้กับท่านทั้งหลายว่าจงรับเอาเรื่องปฏิจจสมุปบาทไว้ทั้ง ๒ แบบ แบบในแบบเรียนนั้นน่ะเอาไว้สอนศีลธรรม สนับสนุนทางศีลธรรม แบบที่มีในพระบาลีที่อาตมาเอามาพูดเป็นแบบขณะจิตนี่เอาไว้สอนปรมัตถธรรมเพื่อความหมดตัวตน ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลมีแต่กระแสแห่งการปรุงแต่งตามธรรมชาติโดยไม่ต้องมีบุคคล ไม่ต้องมีบุคคลคนเดียวข้ามภพข้ามชาติอะไรกันที่ไหน
ทีนี้มาถึงข้อที่อื้อฉาวกันที่สุดก็คือเรื่องอภิธรรม อาตมาถูกเขาด่า ถูกเขาเขียนด่า ถูกเขารุมกันด่าว่า ปฏิเสธอภิธรรม ยกเลิกอภิธรรม ไม่ได้ปฏิเสธหรอก สิ่งที่เรียกว่าอภิธรรมนั้นมีอยู่จริงจะไปปฏิเสธอย่างไรได้ แต่มันมิได้มีอยู่อย่างที่พวกหนึ่งเขายึดถือกันอยู่อย่างผูกขาดว่าต้องเชื่อ ไม่เชื่อจะตกนรก เป็นอภิธรรมที่พระพุทธเจ้าต้องขึ้นไปแสดงบนสวรรค์ ข้อนี้อาตมาไม่เชื่อจริงๆด้วยที่ว่าต้องไปขึ้น ต้องขึ้นไปแสดงบนสวรรค์นี่ไม่เชื่อ อภิธรรมคือคำอธิบายที่ละเอียด อธิบายธรรมะข้อใดข้อหนึ่งให้ละเอียดเกินธรรมดานั่นแหละคืออภิธรรม มีพระบาลียืนยันอยู่ชัดว่าไม่ต้องรู้อภิธรรมก็สิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ พระอภิธรรมที่แสดงบนสวรรค์นั่นไปเปิดดูเถอะ เทวดาองค์ไหนจะฟังรู้เรื่องเป็นไปไม่ได้ อภิธรรมคือคำอธิบายธรรมะธรรมดาให้ละเอียดเกินธรรมดาสำหรับผู้มีปัญญาอย่างยิ่งแค่นั้นนั่นคืออภิธรรม ก็กระทำกันอยู่ในครั้งพุทธกาล มีในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าอภิธรรม อภิวินัย ธรรมะอภิธรรม วินัยอภิวินัย ล้วนแต่หมายถึงสิ่งที่อธิบายให้ลึกละเอียดเกินกว่าธรรมดา ทีนี้มันเกินจำเป็นก็ไม่สนใจ ไม่อยากจะสนใจ เอาตามที่จำเป็นที่มันจะดับทุกข์ได้ทันเวลา ไม่ต้องเสียเวลาเรียนชนิดที่เกินจำเป็น ยิ่งว่าเอาเองแต่งเอาเองในชั้นหลังด้วยแล้วก็ยิ่งเรียนกันเกือบเป็นเกือบตายแหละ ต้องใช้เม็ดมะขามเป็นถังๆ จะมานั่งนับเรียนอภิธรรมได้ อย่างนี้มันไม่ ไม่สำเร็จประโยชน์ที่จะดับทุกข์ได้ เราไม่สนใจ จะเอาอภิธรรมคือว่าสิ่งใดดับทุกข์ได้ เห็นชัดทันตานั่นแหละดับ นั่นแหละอภิธรรม เรื่องไม่มีตัวตนนั่นแหละคืออภิธรรม ยิ่งศึกษาให้เห็นชนิดที่ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามอิทัปปัจจยตาไม่มีตัวตนมันก็พอแล้ว นี่ขอให้ทราบด้วยว่าอาตมาไม่ได้ยกเลิกอภิธรรมไม่ได้ปฏิเสธอภิธรรม อภิธรรมยังคงมีอยู่และมีประโยชน์ตามแบบของอภิธรรม แต่ไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกคน ซึ่งไม่สามารถจะเรียนอภิธรรม แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าถ้าไม่รู้อภิธรรมแล้วจะดับทุกข์ไม่ได้ เพราะว่าคำสอนที่ดับทุกข์ได้ซึ่งไม่ยุ่งยากลำบากเหมือนอภิธรรมนั้นก็ยังมีอยู่ เป็นอันว่าไม่ได้ปฏิเสธอภิธรรม จะพูดดีหรือไม่ดีก็ยัง ยังลังเลอยู่ คือเขา เขาพูดกันว่าพวกอภิธรรมนี่ขี้โกรธที่สุด ขี้เหนียวที่สุด มีสติปัญญาล่อลวงคน ชิงผัวเขาก็ได้ว่ามีถึงขนาดนี้ นี่มันไม่ใช่ความมุ่งหมาย ไม่ใช่ความประสงค์ของอภิธรรม มันไม่ต้องมากถึงขนาดนั้นเอาแต่เพียงว่าดับทุกข์ได้ ถ้าเป็นอภิธรรมเพื่อโกรธง่ายด่าเก่ง ใช้อภิธรรมเป็นเหยื่อตกเบ็ดคนเก่งอย่างนี้ก็ต้อง ไม่ต้องสนใจก็ได้ เขาบอกว่าไม่ต้องสนใจก็ได้ อภิธรรมต้องเป็นสิ่งที่ลึกและใช้ประโยชน์ได้ใน ในปัจจุบันนี่จึงจะมีค่า มันไม่ลึกถึงกับว่าเรียนๆ เรียนจนไม่รู้จะจบอย่างไรจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร ทำเรื่องที่น้อยๆให้กลายเป็นเรื่องมากนั่นแหละเสียหายหรือขาดทุน เรื่องไม่ควรจะมากก็ทำให้มันมาก ทีนี้บางคนน่ะเขาจัดอาตมาไว้ว่าเป็นผู้ทำลายพระศาสนาเอาเสียเลย รวมทั้งทำลายขนบธรรมเนียมประเพณีที่เขาถือกันอยู่แต่ก่อนในรูปแบบของศาสนา เมื่อกล่าวหากันขนาดนี้มันก็ถึงที่สุดนะ กลายเป็นตัวเสนียดจัญไรในพระศาสนาไปเสียก็มี บางคนใช้คำอย่างนั้น เรานี้ได้สนใจได้พยายามอุทิศชีวิตจิตใจเพื่อจะทำนุบำรุงพระศาสนา จะยกย่องพระศาสนา จะเผยแผ่พระศาสนามาเป็นสิบๆปี แล้วจะทำลายพระพุทธ ศาสนาเสียเพื่อประโยชน์อะไร เว้นไว้แต่ที่เอามาสอนกันอย่างไม่ใช่พุทธศาสนานี่ประกาศตัวเป็นข้าศึก พุทธศาสนาที่มิใช่พุทธศาสนาแล้วเอามาสอนกันในนามของพุทธศาสนานี่จะทำตัวเป็นข้าศึก หรือต่อต้าน หรือชี้แจงให้ประชาชนรู้จักอย่างถูกต้องว่านั่นมันคืออะไร ทีนี้คนที่เขาเสียประโยชน์เพราะการทำอย่างนี้ของเรา เขาก็จัดเราเป็นข้าศึก ป้ายชื่อว่าเป็นตัวทำลายศาสนา เอาละ แม้ระเบียบประเพณีต่างๆชนิดที่งมงามนั่นน่ะ แต่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่กับศาสนา มันงมงายแต่มันเกี่ยวเนื่องกันอยู่กับศาสนา เราก็บอกว่าควรชำระชะล้าง ควรยกเลิกเพิกถอนไป นี่ไม่ใช่ทำลายพระศาสนา แต่ทำลายกาฝากที่มันจะมาเกาะเกี่ยวกับศาสนา หรือมันได้เกาะเกี่ยวอยู่แล้วจะต้องทำลายเสีย เหมือนกับทำลายกาฝากมันไม่ใช่ทำลายต้นไม้ต้นนั้น นี่ขอให้เข้าใจตามนี้ด้วย ทีนี้ก็มีนักเลงดีกล่าวหาว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ เกียรติยศเป็นคอมมิวนิสต์ บางคนก็สงสัย บางคนก็เพียงแต่สงสัย แต่บางคนก็กล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์เลย แล้วก็ไปยุรัฐบาลสมัยหนึ่งให้กำจัดอาตมาให้พ้นไปเสียจากโลกนี้เพราะว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นี้มีความจริง ดีแต่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลสมัยนั้นเขาไม่หูเบาเขาไม่เชื่อทันที เขาก็รอดูหรือเขาก็สอบสวนจนเขาไม่เชื่อว่าอาตมานี้เป็นคอมมิวนิสต์ มันมีทางที่จะเป็นไปได้คือว่าถ้าใครพูดอะไรขัดกับรัฐบาล ขัดๆ ขัดกับไอ้ กับความประสงค์หรือคำพูดของรัฐบาลเขาจัดเป็นคอมมิวนิสต์ อย่างนี้เป็นได้เพราะอาตมาพูดบางอย่างบางคราวมันก็ขัดๆกันกับความประสงค์ของรัฐบาลเช่นเราต่อต้านอบายมุข เมื่อรัฐบาลเขาสนับสนุนอบายมุข เป็นต้น หรือเราสนับสนุนศีลธรรม ไม่สนับสนุนเศรษฐกิจ อย่างนี้ก็มันก็เรียกว่ามันคัดค้านหรือต่อต้านอยู่บ้างในตัวแต่ไม่ใช่เป็นข้าศึก สรุปความเสียดีกว่าว่าอาตมานี้เป็นคอมมิวนิสต์ไปไม่ได้ เพราะมันตรงกันข้ามกับหลักพระพุทธศาสนา คือพระพุทธ ศาสนานั่นต้องการจะแก้ปัญหาของสังคมด้วยความรักและเมตตา คอมมิวนิสต์นี่เขาจะแก้ปัญหาของสังคมด้วยอาวุธด้วยกำลัง มัน มันตรงกันข้ามอย่างนี้ เราจะไปนิยมคอมมิวนิสต์มัน มันเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็มองเห็นว่าทั้งนายทุนและคอมมิวนิสต์ทั้งสองฝ่ายที่ตรงกันข้ามอยู่นี่มันแก้ปัญหาของสังคมไม่ได้ แก้ปัญหาของโลกไม่ได้ นายทุนก็แก้ปัญหาของโลกไม่ได้ คอมมิวนิสต์ก็แก้ปัญหาของโลกไม่ได้ เขาก็แข่งขันกันจะครองโลกมากกว่า ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาของโลก เราจึงไม่ได้เห็นด้วยทั้งฝ่ายนายทุนและทั้งฝ่ายคอมมิวนิสต์ เราอยู่ตรงกลางคือเป็นธรรมะในพระพุทธศาสนาโดยมีกฏอิทัปปัจจยตาว่าต้องทำลงไปอย่างนี้ๆ อย่างนี้มันจึงจะ แก้ปัญหาได้ โดยอาศัยกฏอิทัปปัจจยตาเป็นหลัก นี่อิทัปปัจจยตานี้จะเป็นนายทุนก็ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้เพราะมันเป็นความจริงของธรรมชาติ เราถืออิทัปปัจจยตาเป็นหลักเพื่อจะแก้ปัญหาในโลกซึ่งแก้ไม่ได้ ด้วยลัทธินายทุนหรือด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ข้อเท็จจริงมันมีอยู่อย่างนี้ อาตมาก็รู้สึกอยู่อย่างนี้ แล้วจะไปนิยมคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร แล้วมีการกระทำอะไรบ้างล่ะที่ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นอกจากผู้อิจฉาริษยาบางคนเท่านั้นแหละมันไปพูด มีอยู่ตั้ง ๒ พวก ๒ สำนักที่พูดว่าสวนโมกข์ได้เงินมาจากพวกคอมมิวนิสต์มาสร้างอะไรต่างๆอยู่ในสวนโมกข์นี่ ขอบอกว่าเป็นเรื่องจริง แต่อย่าออกชื่อเลย แล้วมีอยู่ถึง ๒ กลุ่ม ๒ สำนักว่าสวนโมกข์รับเงินคอมมิวนิสต์ นี่ก็เลยจัดให้เป็นคอมมิวนิสต์ นี้มันจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ในการพูดนี้ก็ไม่ทราบแล้วแต่มันเป็นความจริง แล้วก็จะบอกให้ท่านทั้งหลายทราบส่วนที่มันเกี่ยวกับอาตมาที่ถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ หรือนิยมคอมมิวนิสต์ ช่วยเหลือคอมมิวนิสต์
ทีนี้เรายังถูกหาว่าสอนผิดโดยดัดแปลงเอาตามใจชอบ ว่าอาตมาสอนธรรมะผิดโดยดัดแปลงพระบาลีเอาตามใจชอบ บางคนเขียนลงไปชัดเลยว่าอาตมาแปลพระบาลีเอาตามใจชอบ ไม่ได้แปลพระบาลีตามหลักไวยากรณ์ตามภาษาบาลี แต่แปลพระบาลีเอาตามใจชอบเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของตน นี้ก็มีอยู่จริงไม่ต้องออกชื่อก็ได้ แต่ขอยืนยันว่ามันมีอยู่จริง ทีนี้ในส่วนตัวเองนี่ขอยืนยันว่าไม่มี ไม่มีที่จะทำอย่างนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น พระธรรมนี่เป็นของศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้อหนึ่งคือข้อที่ว่าพระธรรมนี่จะมีกี่เรื่องกี่สิบเรื่องกี่ร้อยเรื่องน่ะหลักมันจะตรงกันหมด ถ้าใครไปแปลข้อใดเรื่องใดเอาไปตามชอบใจของตน ออกไปนอกความจริงแล้วมันจะเข้ากันไม่ได้กับส่วนที่เหลือ นี่ถ้าเราไปอธิบายให้แปลกไปตามความพอใจของเราแล้วคำอธิบายนั้นจะเข้าใจกัน เข้ากันไม่ได้กับหลักทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่อง โอสาเรตัพพธรรม สันทัสเสตัพพธรรม นั่นก็คือเรื่องนี้แหละ คือให้ดูเถิดถ้าว่ามัน มันผิด ผิดหลักของเดิมแล้วมันจะเข้ากันไม่ได้กับหลักทั่วไป จะเป็นเรื่องพระบาลีก็ดี เป็นเรื่อง จะเป็นเรื่องธรรมะก็ดี เป็นเรื่องวินัยก็ดี ถ้าใครไปบัญญัติให้ใหม่ตามความต้องการประสงค์ของตัวแล้วมันจะเข้ากันไม่ได้กับหลักทั้งหมดที่เหลืออยู่ ฉะนั้นไม่มีทางหรอกที่ใครจะไปแปลพระบาลีเอาตามชอบใจบางอย่างบางส่วน แล้วจะเอามาใช้หลอกลวงคนนี้มันเป็นไปไม่ได้ มันจะพิสูจน์ตัวเองออกมาทันทีว่ามันจะเข้ากันไม่ได้กับหลักทั้งหมดทั้งหลาย ฉะนั้นเรามั่น ใครจะทำก็ทำไม่ได้ แล้วจะทำไปทำไม เราก็พยายามแต่ที่จะ แต่ที่จะให้มันถูกตามพระบาลีอย่างยิ่งเท่านั้นเอง นี่ขอให้รู้กันไว้ด้วยว่าไม่มีหรอกที่จะกบฏทรยศกันถึงขนาดนั้น ทีนี้พูดเรื่อง เรื่องแปลกๆกว่านี้บ้าง นี่พูดถึงเรื่องกล่าวหา ถูกกล่าวหาถูกประณามอะไรนี่เพียงพอแล้ว ทีนี้ก็อยากจะพูดเรื่องที่น่าหัวบ้าง น่าหัวกันบ้าง มีเพื่อนภิกษุด้วยกันนี่มาชักชวนให้อาตมาเป็นหัวหน้า เป็นหัวหน้า หัวหน้าอะไร หัวหน้าเอาพัดยศไปคืนเสียให้หมด ให้อาตมาเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำชวนกันแบกพัดยศไปคืนเสียให้หมด อาตมาก็ไม่ ไม่เอาหรอก ผมไม่บ้ากับคุณหรอก ผมบ้าอย่างนี้ไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ได้ แล้วไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำอย่างนั้น สมณะศักดิ์นี่เราไม่ได้ขอนี่ เราไม่ได้ขอนี่จะเอาไปคืนน่ะ เขาให้มาเองโดยที่เรานอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น แล้วก็สั่งมาๆตั้งเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่มีสิทธิ ไม่มีความเหมาะสมเหตุผลอะไรที่จะเอาไปคืน ไม่เอาไปคืน ไม่ทำๆ ไม่ทำอาการบ้าๆอย่างนี้ที่ว่าจะเอาพัดยศไปคืน ประกาศตัวออกจากสมณะศักดิ์ ถ้าๆ ถ้ายอมรับเราก็จะได้เป็นหัวหน้าใหญ่เลย เป็นหัวหน้าใหญ่เอาพัดไปคืน นี่ไม่ๆ ไม่ได้ทำไม่ได้คิดหรอกเพราะว่ามันไม่ต้องทำ ทีนี้ก็มองไปในทางที่เป็นประโยชน์มันก็เป็นประโยชน์ มีพัด มียศมีศักดิ์ มีอะไรกันบ้างในทางศาสนานี้มันก็เป็นเครื่องช่วยให้เป็นเครดิตในการที่พูดอะไรออกไปแล้วคนเขาฟัง ประชาชนส่วนใหญ่ฟัง ว่าถ้าว่าพระ ก. พูด คนเขาสั่นหัว แต่ถ้าว่าเจ้าคุณ ก. พูด เขาฟัง นี่ประโยชน์ของสมณะศักดิ์มันยังพอจะมีอยู่บ้าง ดังนั้นเก็บไว้เป็นเครดิตสำหรับสั่งสอนประชาชนก็ยังได้ ไม่จำเป็นจะต้องเอาไปคืน นี่มันยังมีอยู่นะค่าของสมณะศักดิ์นี่ ท่านผู้ใดมีสมณะศักดิ์อย่างไรก็ลองคิดดูอย่างนี้ อย่าบ้าเอาไปคืน แล้วอย่าคิดว่าถ้ามีสมณะศักดิ์แล้วมันจะต้องหลงใหลยึดถือบ้ายศบ้าศักดิ์ มันมียศมีศักดิ์โดยที่ไม่ต้องบ้าก็ได้เหมือนกันนี่ระวังกันไว้ให้ดีๆ จะมียศมีศักดิ์อะไรกันบ้างก็ได้ไม่ต้องบ้า เอาไว้เป็นเครื่องรับรองสถานะของตน ให้มีน้ำหนักในการที่จะพูดจาสั่งสอนประชาชน เอ้า, และบางทีจะเกิดปัญหาอย่างนี้ขึ้นมา พวก พวกชาวบ้านพวกประชาชนนี่ชอบพูดว่าพระนี่หลงยศหลงศักดิ์กันเกินไป รับไว้ทำไม เขาด่าอาตมาโดยตรงว่าสอนเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่แล้วก็ยึดพัดเจ้าคุณ ถึงอาตมาจะถือพัดเจ้าคุณจริงแต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น แม้ว่าจะสอนเรื่องปล่อยวางแต่ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่ๆ ไม่เป็นตามที่เขาเข้าใจเขา เขารู้สึกอย่างนั้นเพราะเขาเป็นอย่างนั้น ไอ้เราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ไอ้ปัญหามันก็เลยคนละอย่าง
นี่แหละคือข้อที่ว่าอาตมาอยู่ในฐานะอย่างไร ดูเอาเองตามเรื่องทั้งหมดที่เล่ามาให้ฟังนะอาตมาอยู่ในฐานะอย่างไร อยู่ในฐานะคนบ้าหรืออยู่ในฐานะคนดี อยู่ในฐานะสุจริตหรือทุจริต เป็นนักปราชญ์ในโลกจริงหรือไม่ รู้ทุกภาษาหรือไม่นี่รู้กันไว้เสียเถิดว่ามันเป็นอย่างนี้ แต่ก็มีคนเป็นอันมากแหละเขาบอกว่าอาตมานี้พูดเก่ง เทศน์เก่ง ค้นคว้าเก่ง สั่งสอนเก่งอะไรนี่เขาพูดอย่างนี้ก็มี มันเพียงแต่เก่งบ้างแค่นั้นเองแหละมันไม่ได้เก่งมากมาย มันเก่งกว่าคนที่ขี้เกียจเท่านั้นแหละ เพราะว่าอาตมาไม่เคยขี้เกียจ จะเก่งไปได้อย่างมากก็คือเก่งกว่าคนที่ขี้เกียจ จะศึกษาเก่ง พูดเก่ง เทศน์เก่ง ค้นคว้าเก่งก็เก่งกว่าคนที่ขี้เกียจที่เอาเปรียบประชาชน เป็นอันว่าเห็นจะพอกันที สงวนเวลาไว้ทำงานอื่นต่อไป ว่าข้อที่ ๒ ตอนที่ ๒ นี่พูดถึงเรื่องที่ถูกกล่าวหา แล้วก็ขอสรุปว่าเรื่องเหล่านี้ที่ถูกกล่าวหาอย่างนั้นอย่างนี้ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่น่าเอามาล้อหรือไม่ ควรเอามาล้อหรือไม่ น่าจะเอามาล้อหรือไม่ อาตมารู้สึกว่ามันน่าจะเอามาล้อก็เลยเอามาเล่าให้ฟังเพื่อเป็นการล้อ ล้ออายุในวันนี้ คือล้อความที่ตัวเองตกอยู่ในฐานะอย่างนี้ โดยที่มัน มันไม่มีความเป็นจริงเหมือนเขาว่า ไม่ได้เป็นจริงเหมือนเขาด่า ไม่มีความจริงเหมือนที่เขาประณามเหยียดหยาม แต่แล้วมันก็ถูกประณามเหยียดหยามจึงเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าล้อ ถ้าไม่เห็นว่าน่าล้อก็ควรเห็นว่ามันน่าสงสารกันบ้างสิ ถ้าน่าสงสารมันก็คือน่าล้อเหมือนกันแหละมันน่าล้อ หรือว่าทั้งน่าล้อและทั้งน่าสงสารใครเห็นใจอย่างนี้ก็จะได้พูดกันเสียให้ถูกต้อง ทำความเข้าใจกันเสียให้ถูกต้องว่าไม่ต้องสงสารก็ได้ เพราะว่ามันไม่รู้สึกเจ็บปวดเสียหายอะไรไม่ต้องสงสารก็ได้ กลับขอบใจคนด่าคนประณาม เขาทำให้เราได้คิดได้นึก เขาด่าอย่างไรเราเอามาพินิจพิจารณาตัวเองเราก็จะได้ก้าวหน้าต่อไป ไม่โกรธแล้วขอบใจว่าถ้าเขาไม่ด่าเราก็ไม่มีทางที่จะดี เพราะเขาด่านั่นแหละมันจึงได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ มันพิสูจน์อยู่แล้วในตัวมันเองว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้พร้อมๆกันไปกับที่เขาด่า เลยขอบใจ เอาละ ขอยุติธรรมบรรยายตอนที่ ๒ คือสิ่งต่างๆที่เขากล่าวหาเขาประณามนี่ อย่างน่าล้อนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ เราจะได้มีเวลาทำงานที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำสืบต่อไป คือการทำกฎบัตรสำหรับพุทธบริษัท ซึ่งการบรรยายนี้ยุติที ขอเชิญชวนท่านทั้งหลายบางคนที่เคยร่วมในการทำกฎบัตรเมื่อปีกลายนู้นนะ ได้เป็นอะไรนะ เป็นผู้ออกเสียงสนับสนุนน่ะ เป็นพระอันดับสนับสนุนมารวม มารวมประชุมกันอยู่ที่นี่พร้อมเพรียง จะได้ออกเสียงสนับสนุนหรือคัดค้าน แล้วก็ขอเชิญผู้ที่จะช่วยเหลือในเรื่องนี้มาประชุมกัน คำว่ากฎบัตร กฎบัตรของพุทธบริษัท กฎบัตรของพุทธบริษัทนั้นมีความสำคัญมาก คือสิ่งที่จะช่วยให้พุทธบริษัทมีการศึกษาตรงกัน มีความรู้ตรงกัน มีการปฏิบัติตรงกัน หลักเดียวกัน แล้วได้รับผลของการปฏิบัติตรงกันคือถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของพุทธบริษัท เดี๋ยวนี้สิ่งเหล่านี้มันยังไม่มีปรากฏชัด มันคว้ากันไม่ค่อยจะถูก มันก็แยกกันเดินคนละทิศคนละทาง ขอให้กฎบัตรที่เราทำขึ้นนี้เป็นเครื่องประสานให้เกิดกลุ่มที่ดำเนินไปอย่างถูกต้อง จะมีประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จะเป็นกุศลที่ไม่น้อยเลย ฉะนั้นขอเชิญเพื่อนสหธรรมิกหรือท่านสาธุชนที่เป็นคฤหัสถ์พุทธบริษัทนี่มาช่วยกันอย่างที่เราเคยทำกันมาแล้ว ศักดิ์ ศักดิ์ ที่นอนทำอะไรทำอย่างไร ขยับไปไหน ขยับไปทางไหน ขยับไปทางไหนถึงจะไม่ร้อน ไปโน่นหรือไปนี่ล่ะ ยังอีกนานแหละ ยังอีกนาน ถ้าขืนไว้ตรงนี้ร้อนตาย เอาเข้ามานี่สิ เอาเข้ามานี่ (นาทีที่ 01:20:21 – 01:21:00 ท่านพุทธทาสคุยกับลูกศิษย์)