แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาในพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระบาลีที่ยกขึ้นไว้ข้างต้นว่า อัตตาหิ อัตตโน นัตถิ เมื่อตนของตนก็ไม่มีแล้ว ปุตโต ปุตตา ปุตโต ธานัง (นาทีที่ 2.04) บุตรจะมีมาแต่ไหน ทรัพย์จะมีมาแต่ไหน ข้อความนี้ท่านทั้งหลายก็คงจะสังเกตเห็นได้ว่า เป็นการกล่าวโดยภาษาธรรม คือภาษาสำหรับผู้รู้ธรรม ไม่ใช่ภาษาของชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็ต้องพูดในภาษาว่า ตัวตนมี ตัวฉันมี กระทั่งตัวกูมี และลูกบุตรหลานทั้งหลายของกูก็มี ทรัพย์สมบัติของกูก็มี
ทีนี้เมื่อกล่าวโดยภาษาธรรม ก็มีข้อความว่า เมื่อตนของตนนั่นแหละมันไม่มีแล้ว บุตรทั้งหลายจะมีมาแต่ไหน ทรัพย์ทั้งหลายจะมีมาแต่ไหน ถ้าเข้าใจได้ก็จะเป็นการดี สมกับที่วันนี้เป็นวันของพระอรหันต์ เมื่อพูดกันถึงเรื่องของพระอรหันต์ มันก็อยู่ในระดับสูงสุดของมนุษย์ จนถึงกับว่าไม่มีตัวตนของตน ไม่มีบุตรของตน ไม่มีทรัพย์สมบัติของตน มีจิตใจที่ไม่มีอะไร มีจิตใจที่ไม่ต้องการอะไร นั่นแหละช่วยศึกษาสังเกตกันไว้บ้างเถิดว่า มันเป็นเรื่องในระดับของพระอรหันต์ ก็เรายอมรับว่าวันนี้เป็นวันของพระอรหันต์ ถ้าไม่พูดกันถึงเรื่องของพระอรหันต์แล้วจะพูดกันถึงเรื่องอะไร ขอให้ลองคิดดู ถ้าไม่พูดกันถึงเรื่องพระอรหันต์ มันก็เป็นคนขบถทรยศต่อพระอรหันต์ ที่ว่าอุตส่าห์มาทำมาฆบูชาเพื่อบูชาพระอรหันต์ ถ้าไม่ทำในใจถึงเรื่องของพระอรหันต์ มันก็เป็นการโกหกตัวเอง นี่วันนี้ก็เป็นวันพระอรหันต์ พูดแล้วพูดอีกหลายครั้งหลายหนว่าเป็นวันของพระอรหันต์ เราก็ต้องพูดกันถึงเรื่องราวของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นเรื่องดับทุกข์สิ้นเชิง มันมีความสำคัญอยู่ที่ว่า มีความเห็นแจ่มชัด รู้สึกแน่วแน่ในความไม่มีตัวตนและของตน และมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องการอะไร ไม่มีผู้ต้องการอะไร ไม่มีผู้ทำอะไรเพื่อต้องการอะไร เป็นแต่นามรูปคือร่างกายและจิตใจล้วน ๆ กระทำไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นผู้ให้เป็นไป เป็นผู้ทำให้เป็นไป ทำให้หาอาหารกิน ทำให้อะไรได้ทุกอย่าง โดยที่ตัวผู้นั้นไม่มีความต้องการอะไร เพราะว่าในตัวนั้นมันไม่มีความรู้สึกว่ามีตัว จึงเรียกว่านามรูปล้วน ๆ นามรูปบริสุทธิ์เป็นไป นามรูปที่ไม่บริสุทธิ์มันก็มีความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกู ซึ่งเป็นกิเลสมีมูลเหตุมาจากอวิชชา มันก็ทำไปตามกิเลสตามอวิชชา มันก็ต้องการกันมาก ต้องการจนเลยเถิดเกินความพอดีที่ควรจะต้องการ แล้วมันยังจะต้องการเอาไปเผื่อสำหรับจะอวดคนอื่นว่าดีกว่าคนอื่นอย่างนี้ เป็นต้น นั่นแหละมันไม่เป็นเรื่องของพระอรหันต์เสียเลย ถ้าพูดกันถึงเรื่องของพระอรหันต์ มันก็ต้องพูดถึงเรื่องที่ไม่มีความทุกข์โดยประการทั้งปวง ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ขาวรอบ คือไม่มีความหมายแห่งตัวกูหรือของกูอยู่ในจิตใจ จึงจะเรียกว่ามีจิตใจขาวรอบ สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การทำจิตใจให้ขาวรอบ เป็นลักษณะสุดท้ายของการปฏิบัติตามรอยพระอรหันต์
ทีนี้ก็ดูกันไปตามลำดับ ที่ว่าคนสมัยนี้ปฏิบัติกันอย่างไร ก็รู้ได้จากข้อความที่กล่าวแล้วในตอนเย็นบนภูเขาว่า สมัยพระพุทธเจ้าองค์แรก ๆ พระพุทธเจ้าวิปัสสี มีพระอรหันต์ ๖๘,๐๐๐ (หกสิบแปดหมื่น) องค์ ลดลงมาตามลำดับ ๑๐,๐๐๐ (สิบหมื่น) องค์ ๘๐,๐๐๐ องค์ ๔๐,๐๐๐ องค์ ๓๐,๐๐๐ องค์ ๒๐,๐๐๐ องค์ จนมาถึงพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ มีพระอรหันต์เพียง ๑,๒๕๐ องค์โดยประมาณ จะเพิ่มขึ้นก็อีกไม่กี่องค์ นี่มันเป็นเพราะเหตุไร ก็พูดแล้วในตอนเย็นว่า ถ้าถามเด็ก ๆ ก็คงจะตอบว่า เพราะคนสมัยโน้นเขาไม่บ้ากันมากเหมือนคนสมัยนี้ เมื่อเขาไม่บ้าในเรื่องโลก เรื่องกิเลสกันมากนัก ก็มีคนเป็นพระอรหันต์มาก เดี๋ยวนี้มันมีบ้าเรื่องกิเลสกันมากนัก แล้วมันยังไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง มันหลอกลวงตัวเอง เช่น ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการตามรอยพระอรหันต์ที่ว่าไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย สำรวมในระเบียบวินัย รู้ประมาณในการบริโภค ปันตัญจะสะยะนาสะนัง มีที่นอนที่นั่งอันสงัด ซึ่งเราพูดกันเมื่อตอนเย็นว่า เราจะปฏิบัติตามรอยพระอรหันต์ เพื่อมีการเป็นอยู่ที่สงบสงัด เพื่อรู้ธรรมะของพระอรหันต์ ต่อมาไม่กี่ชั่วโมงเมื่อตะกี้นี้ ก็เอาเพลงแขกอะไรบ้า ๆ บอ ๆ มาร้องลั่นไปหมดทั้งวัด มันก็หลอกตัวเองว่าจะตามรอยพระอรหันต์ด้วย ปันตัญจะสะยะนาสะนัง แล้วเอาเพลงแขกมาโหมโรงดังไปทั้งวัดจนสุขนัขและแมวนอนไม่หลับ ถ้าไม่เรียกว่าหลอกตัวเองแล้วจะเรียกว่าอะไร มันบ้าชัด ๆ เหมือนเด็ก ๆ ชอบจุดลูกประทัด อย่างนี้ไม่มีทางที่จะนำอะไรไปได้ ไม่มีทางที่จะนำหมู่คณะไปได้
นี่เหมือนกับที่แสดงให้เห็นแล้วว่า ทำไมสมัยโน้นมันจึงมีพระอรหันต์มาก สมัยนี้จึงมีพระอรหันต์น้อย อย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้ระหว่าง ๖๘,๐๐๐ (หกสิบแปดหมื่น) องค์ กับ ๑,๒๕๐ องค์ เพราะว่าคนสมัยนี้มันบ้าเกินไป และไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง เมื่อตอนเย็นนี้บูชาพระอรหันต์ว่า จะประพฤติอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อที่ว่าที่นั่งที่นอนอันสงัด มีความพากเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง และเดี๋ยวนี้มันมีอย่างนั้นหรือเปล่า มันมีการพากเพียรทำจิตให้ยิ่งจริงหรือเปล่า หรือว่ามันกลับไปหาความเป็นลูกเด็ก ๆ ชอบส่งเสียงเอ็ดตะโร หันหลังให้พระอรหันต์ ถ้าอนุญาตให้พูดตรง ๆ ก็จะพูดว่าถลกก้นหลอกพระอรหันต์ การทำอย่างนี้นะมันเป็นการเหมือนกับถลกก้นหลอกพระอรหันต์ เมื่อเย็นนี้พูดว่าจะพอใจที่นั่งที่นอนอันสงัด ไม่กี่ชั่วโมงนี้เอาเพลงแขกมาโหมโรงเหมือนกับคนบ้า ทำให้วัดนี้เป็นวัดคนบ้าไปเลย แล้วมันจะไปได้อย่างไร แล้วจะทำจิตให้ยิ่งได้อย่างไร นี่แหละมันเป็นคำตอบอยู่ในตัวแล้ว ว่าทำไมกิจการเผยแผ่พระศาสนาของเราจึงไม่ก้าวหน้า ก็เพราะว่าเรามันยังบ้าเกินไป เรายังไม่ซื่อตรงต่อพระอรหันต์ เพราะว่าเราไม่ซื่อตรงต่อตัวเรา ขอให้นึกไว้เถอะว่า วันอย่างนี้นะเป็นวันพระอรหันต์ ไม่ใช่วันลูกเด็ก ๆ อมมือชอบจุดลูกประทัดนะ มันต้องจัดให้เป็นมีความหมาย ปันตัญจะสะยะนาสะนัง ที่นอนที่นั่งอันสงัด อะธิจิตเต จะ อาโยโค พากเพียรทำจิตให้ยิ่ง ถ้าว่าเราพยายามกันจริง ๆ ก็จะรู้เรื่องพระอรหันต์มากขึ้น แล้วจะปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ได้มากขึ้น แล้วเราก็จะถึงสูงสุดของการปฏิบัตินั้น คือว่ามีการทำจิตให้ขาวรอบปราศจากกิเลสความมืดความดำของอวิชชา แล้วก็จะได้รับผลสูงสุดในพระพุทธศาสนา อยู่เหนืออำนาจของกิเลสและความทุกข์ทั้งปวง
นี่ขอย้ำกันลงไปอีกทีในที่นี้ว่า วันนี้เป็นวันพระอรหันต์ ขอให้อะไร ๆ มันเป็นไปตามทำนองของพระอรหันต์ เพื่อจะทำใจให้หมดจดเกลี้ยงเกลาขาวรอบอย่างที่กล่าวมาแล้ว อาตมาก็จะกำหนดให้เลยว่า จุดหมายปลายทางของการปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์นั้นมันกลายเป็นมนุษย์ที่สูงสุด มีจิตใจอยู่เหนือความต้องการทั้งปวง ทำไมมันจึงมีจิตใจอยู่เหนือความต้องการทั้งปวง เพราะว่ามันเข้าถึงความไม่มีตัวตน การปฏิบัตินั้นเข้าถึงความไม่มีตัวตน เพราะปฏิบัติตนให้รู้สึกในความไม่มีตัวตน แล้วก็บอกตัวตนถึงความไม่มีตัวตน เช่นว่า เดินหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ถ้ามันถูกวิธี มันก็จะเป็นการบอกให้รู้ว่า มีแต่อิริยาบถเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ ไม่มีตัวตนผู้เดิน ผู้ยกหนอ ผู้ย่างหนอ ผู้เหยียบหนอนั้น ไม่มีตัวตน หรือว่าจะในอิริยาบถอื่น อิริยาบถนั่ง อิริยาบถยืน อิริยาบถนอน มันก็บอกแต่ว่า สักว่านั่งหนอ อิริยาบถนั่งหนอ ไม่มีตัวตนที่เป็นผู้นั่ง นอนก็เหมือนกัน กินก็เหมือนกัน อาบ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะก็เหมือนกัน ทุกอย่างกระทั่งว่า จะกวาดบ้าน จะล้างจาน จะทำอะไรก็ตามแหละล้วนแต่บอกอยู่ว่า มันมีแต่การเคลื่อนไหวชนิดนั้นตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวตน คือไม่มีตัวกูผู้กระทำอาการอย่างนั้น มองเห็นอยู่ตลอดเวลาว่า กาย ใจ นามรูปนี้ ในอิริยาบถเดินยืนนั่งนอน หรืออิริยาบถใดก็ตามนี้ มันเป็นเพียงการเกิดดับแห่งอิริยาบถนั้น ๆ ตามกฎของธรรมชาติ ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราใครที่ใดเลย เห็นความเป็นอนิจจัง คือความเปลี่ยนแปลงของอิริยาบถนั้น ๆ ของลักษณะนั้น ๆ แล้วก็บอกตัวเองว่าไม่เที่ยงหนอ ไม่มีตัวตนหนอ จนเห็นความจางคลายแห่งความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดของจิตนั้นโดยที่ไม่ต้องมีตัวตน เพราะมันบอกสอนความไม่มีตัวตนแก่จิตนี้อยู่เสมอ มันก็ไม่มีจิตชนิดที่ปรุงแต่งเป็นตัวตน เมื่อไม่มีความหมายแห่งตัวตนมันก็ไม่ต้องการอะไร จิตแท้ ๆ นั้นนะไม่ต้องการอะไร ความหมายแห่งตัวตนไม่มีก็ไม่ต้องการอะไร แล้วร่างกายกับจิตใจก็ทำอะไรไปตามที่ธรรมชาติแท้ ๆ ธรรมชาติล้วน ๆให้ทำไป เช่นหิวก็หาอาหารกิน เหนื่อยก็นอนเสีย หายเหนื่อยก็ทำตามที่มันควรจะทำ ที่จำเป็นจะต้องทำ ตามกฎของธรรมชาติว่าร่างกายและจิตใจล้วน ๆ ไม่มีตัวกูรวมอยู่ในนั้นเลย มันทำไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เคลื่อนไหวไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อย่างที่บอกตัวเองให้รู้อยู่ในกรรมฐานหนอ หนอ ๆ ๆ อย่าถูกต้อง ก็เลยไม่มีตัวตนซึ่งจะเป็นผู้ต้องการอะไรด้วยเจตนาแห่งตัวกู จึงเรียกว่าไม่ต้องการอะไร เพราะไม่มีตัวตนผู้ต้องการจึงไม่มีความต้องการอะไร ก็เลยไม่มีความทุกข์แม้แต่สักนิดเดียว เพราะมันไม่มีตัวกูผู้ต้องการอะไร มันก็ไม่มีการได้การเสีย ไม่มีการแพ้การชนะ ไม่มีอะไรที่เป็นความรู้สึกอย่างที่ไอ้คนทั่วไปเขารู้สึกกัน
นี่แหละคือความหมายของพระอรหันต์ในบทว่า สะจิตตะปะริโยทะปะนัง การทำจิตของตนให้ขาวรอบ คำว่าขาวรอบมันหมายถึงบริสุทธิ์ถึงที่สุด ไม่เหลือความยึดมั่นว่าตัวกูหรือของกูอยู่ในจิตใจนั้นเลย จิตใจนี้เรียกว่าขาวรอบอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงกำหนดจดจำไว้เป็นจุดตั้งต้นสำหรับการศึกษาสืบต่อไป ไม่กระทำบาปทั้งปวง เมื่อไม่มีความรู้สึกว่าตัวตนของตนแล้วมันทำอะไรไม่ได้ มันทำบาปไม่ได้ และการที่ทำบาปไม่ได้หรือไม่มีตัวตนที่จะทำนั้นนะ มันเป็นความดีหรือเป็นกุศลอยู่แล้วในตัวมันเอง นี่คือการที่มีจิตขาวรอบ ขาวรอบขาวอย่างไม่มีดำเจือ ปะริโยทะปะนะ แปลว่า ทำให้ขาวรอบ ถ้าจิตขาวรอบก็หมายความว่าไม่มีกิเลส อวิชชา ตัณหา ซึ่งเป็นจุดดำ มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ เพราะว่าไม่มีกิเลส ไม่มีอวิชชา ไม่มีตัณหาแต่ประการใด
วิธีปฏิบัติทั่วไปก็คือว่า ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย สำรวมในระเบียบวินัย รู้ประมาณในการบริโภค ดำรงอยู่ในเสนาสนะอันสงัด มีความพากเพียรทำจิตให้ยิ่ง ทำจิตให้ยิ่งนะฟังดูให้ดี ยิ่งคือทำอย่างนี้ ทำให้ขาวรอบจนไม่มีอะไรเป็นจุดดำของกิเลสตัณหา ของอวิชชา แม้ว่าเรายังไม่เป็นพระอรหันต์แต่เราก็เดินตามรอยของพระอรหันต์ เช่น บทปัจเวกอุโบสถ (นาทีที่ 20:18) นี้ก็เรียกว่าเดินตามรอยพระอรหันต์ทั้งที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้เราต้องการจะดับทุกข์อย่างพระอรหันต์ เราก็เดินตามรอยพระอรหันต์ ดังนั้น เราจึงฝึกฝนตนให้มีจิตใจที่ขาวรอบยิ่ง ๆ ขึ้นไป คือไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร ไม่มีเจตนาจะปฏิบัติอะไร เพื่อต้องการอะไร ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของธรรมชาติที่มีสติปัญญา อยู่ในสิ่งที่มีชีวิตว่ามันจะต้องทำอะไรที่จำเป็นสำหรับจะรอดชีวิตมันก็ทำไป
นี่อย่างว่าพระอรหันต์ เราเห็นว่าออกบิณฑบาตหาเลี้ยงชีพ เราก็โง่ เราก็โง่ว่าเราว่าพระอรหันต์ออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ ขอให้จำความโง่ดักดานนี้ไว้ด้วยว่า พระอรหันต์ออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ มันเป็นเพียงนามรูปล้วน ๆ นะ มีสติปัญญาตามธรรมชาตินะที่บังคับนามรูปนี้ให้ไปออกไปบิณฑบาต ไม่ใช่พระอรหันต์ออกไปบิณฑบาต นี่เรามันโง่กันเกินไปจนเอาพระอรหันต์มาเป็นตัวเป็นตน พระอรหันต์นั้นเหนือความเป็นตัวเป็นตน มีความเป็นตัวตนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นจึงพระอรหันต์ไม่ต้องการอะไรหรอก ถ้าเราไม่เป็นพระอรหันต์ เราไปทำตามอย่างท่าน เราจะไม่ต้องการอะไร เราจะปฏิบัติชนิดที่ไม่มีการปฏิบัติ นี้ฟังยากใช่ไหม ปฏิบัติการไม่ปฏิบัติ ปฏิบัติการไม่ต้องปฏิบัติอะไร ปฏิบัติการไม่ปฏิบัติอะไร คงจะงง งงยิ่งกว่างง ก็น่าเห็นใจแหละ ถึงอาตมาก็เคยงงเดี๋ยวนี้ก็ไม่สู้จะงง บอกว่าปฏิบัติการไม่ปฏิบัติ ถ้าพูดไปก็กลัวว่าจะทำให้คนทั้งปวงเป็นแรด อาตมาก็จะนั่งเป่าปี่ให้แรดฟัง ก็สงสารตัวเอง แต่มันก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพราะฉะนั้นก็ขอ ขอพูดต่อไปว่า ปฏิบัติการไม่ปฏิบัติอะไร
เพื่อให้เข้าใจง่ายนะ ขอโอกาสให้ยกตัวอย่างด้วยเรื่องเกี่ยวกับตัวเองนี่แหละ ไม่ใช่จะว่าเอาแต่เรื่องส่วนตัวมาเล่าให้ฟัง บังคับให้ท่านฟังด้วยเรื่องส่วนตัว แต่ว่าเรื่องที่มันเกี่ยวกับส่วนตัวนั้นมันเป็นตัวอย่างที่ดี อาจจะทำให้เข้าใจได้ อย่างที่อาตมาได้กล่าวแล้วเมื่อตอนเย็นนั้นว่า มีคนไม่น้อยแหละจะพูดว่ามากก็ไม่ได้ ไม่น้อยทีเดียว เขากล่าวหาอาตมาว่าดีแต่พูด ไม่ปฏิบัติอะไร ในที่นี้แหละที่อยู่กันในที่นี้ก็จะต้องมีหลายคนที่กล่าวหาอาตมาว่าดีแต่พูด ไม่ปฏิบัติอะไร เป็นพระก็มี นี้มันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ต้องขอโอกาสเอามาเล่าเพื่อให้เรื่องมันชัด ง่ายในการปฏิบัติไม่ปฏิบัติอะไร การปฏิบัติที่ไม่ปฏิบัติอะไร การปฏิบัติที่ไม่ต้องปฏิบัติอะไร คือการปฏิบัติตามรอยพระอรหันต์ ช่วยจำไว้อย่างนี้ก่อนว่า การปฏิบัติที่ไม่ปฏิบัติอะไร นั่นแหละคือการตามรอยพระอรหันต์ ไม่ต้องปฏิบัติอะไร ปฏิบัติชนิดที่ไม่ต้องปฏิบัติอะไร นั่นแหละคือการตามรอยพระอรหันต์ มันมีเรื่องส่วนตัวที่เป็นตัวอย่างได้ดี มีคนกล่าวหาอาตมาว่าดีแต่พูด ดีแต่สอน ไม่ปฏิบัติอะไร แต่แล้วคนนั้นเองแหละมันชอบฟังแล้วมันยืมไปหาประโยชน์ ยืมเอาคำของอาตมาที่ว่าดีแต่พูด ไม่ปฏิบัติอะไรนั่นแหละไปใช้หาประโยชน์ ตั้งตัวเป็นอาจารย์ก็มี แล้วเขาก็ยังกล่าวหาว่าเราดีแต่พูด ไม่ปฏิบัติอะไร แล้วเขาก็ชอบฟังเราพูด แล้วเขาก็ขโมยเอาไปใช้หาประโยชน์ ด้วยคำพูดของเราที่ว่าดีแต่พูด ไม่ปฏิบัติอะไร นี่ขอให้ทำความเข้าใจในส่วนนี้กันเถิด อย่าหาว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาบังคับเล่าให้ฟัง หรือว่าจะหาประโยชน์อะไรกับท่านทั้งหลาย มีการปฏิบัติชนิดที่ยิ่งกว่าการปฏิบัติ มันเป็นการปฏิบัติที่ยิ่งไปกว่าการปฏิบัติ คือปฏิบัติที่ไม่ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติการไม่ปฏิบัติอะไร ก็เพราะว่ามันไม่มีตัวฉัน อย่างที่กล่าวมาแล้ว มันบอกตัวเองว่าไม่มีตัวตนหนอ ไม่มีตัวตนหนอทุกอิริยาบถ ทุก ๆ อิริยาบถ ทุกสถานที่ทุกเวลานาที นี่เพราะว่าไม่ต้องการอะไร หรือเราปฏิบัติเป็นผู้ไม่ต้องการอะไร
ในความไม่ต้องการอะไรนั่นแหละมีอะไรมากเหลือประมาณ เพชรพลอยมีอยู่ในภูเขา มีอยู่ในมหาสมุทรมากมาย เดี๋ยวนี้มรรคผลนิพพานน่ะมันมีอยู่ในความไม่ต้องการอะไร ศีล สมาธิ ปัญญา มีอยู่ในความไม่ต้องการอะไร มรรคผลนิพพานมีอยู่ในความไม่ต้องการอะไร สมาธิมีใช้เหลือเฟือทั้งที่ไม่ต้องทำสมาธิ เพราะเมื่อไม่ต้องการอะไรมันเป็นศีลอย่างยิ่งอยู่ในนั้น มันเป็นสมาธิอย่างยิ่งอยู่ในความไม่ต้องการอะไร มันเป็นยอดสุดของปัญญาอยู่ที่ความไม่ต้องการอะไร จึงมีสมาธิใช้เหลือเฟือเมื่อต้องการจะใช้สมาธิ และมีวิปัสสนาเหลือเฟือ คือมีปัญญาเหลือเฟืออยู่ในความไม่ต้องการอะไร ในความไม่ต้องการอะไรแหละมีข้อปฏิบัติในโอวาทปาติโมกข์ครบทุกข้อ ในความไม่ต้องการอะไรนั่นแหละมีการไม่กระทำบาปทั้งปวง ในความไม่ต้องการอะไรนั่นแหละมีกุศลถึงพร้อม ในความไม่ต้องการอะไรนั่นแหละมีจิตบริสุทธิ์ขาวรอบ จะยกข้อไหนมาพูดก็ได้ทั้งนั้นน่ะ ในความไม่ต้องการอะไรมันไม่มีการกล่าวร้ายทำร้าย มีการสำรวมถึงที่สุดในระเบียบวินัย รู้ประมาณในการบริโภค ยินดีในเสนาสนะอันสงัด ทำความเพียรในอธิจิต ในความไม่ต้องการอะไรนั่นแหละมีสิ่งเหล่านี้ครบถ้วน ขอให้ดูให้ดี ไม่มีตัวตนมันก็ไม่ต้องการอะไร มันไม่ต้องการอะไรเพราะมันไม่ยอมรับความมีตัวตน เมื่อไม่มีตัวตนนั่นแหละมันคือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน อยู่ในนั้น
การไม่ปฏิบัติอะไรนั่นแหละคือเป็นการปฏิบัติยิ่งกว่าการปฏิบัติ ปฏิบัติการไม่ปฏิบัติอะไร เพราะไม่ต้องการอะไรทั้งวัน ๆ ฉันไม่ได้ทำอะไร เคยพูดอย่างนี้เขาว่าบ้า ทั้งวัน ๆ ฉันไม่ทำอะไร ก็ที่มันไปนั่นมานี่ทำนั่นทำนี่ กิน อาบ ถ่าย อยู่นี้มันไม่ใช่ฉัน มันไม่ใช่ตัวฉัน มันไม่ได้ยึดถือโดยความเป็นของฉัน เมื่อไม่มีความรู้สึกเป็นตัวฉันแล้วก็เท่ากับว่าทั้งวันทั้งคืนทั้งเดือนทั้งปีฉันไม่ได้ทำอะไร ถ้ามีความรู้พระธรรมในพระพุทธศาสนาอยู่บ้างก็คงจะฟังออก ถ้าไม่มีความรู้ก็ฟังไม่ออก ว่าทั้งวัน ๆ ฉันไม่ได้ทำอะไร อะไรทำล่ะ ธรรมชาติมันทำ นามรูปตามธรรมชาติ ทำไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เคลื่อนไหวไปได้โดยกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีตัวฉันหรือตัวกูหรือตัวตนเป็นผู้ทำ นี้คือการปฏิบัติตามรอยพระอรหันต์ ถ้าปฏิบัติสำเร็จในข้อนี้ก็คือเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องการอะไร เพราะว่ามันไม่มีตัวกูผู้ต้องการอะไร ทำอะไรมันก็ไม่เป็นการกระทำ เพราะมันไม่มีตัวกูผู้เจตนากระทำ นี่มันเป็นการปฏิบัติที่ไม่ปฏิบัติอะไร เพราะว่ามันไม่มีตัวกูที่ต้องการอะไร มันเป็นการปฏิบัติตามธรรมชาติ ของธรรมชาติ โดยธรรมชาติ เพื่อธรรมชาติ เพราะว่ามันไม่มีตัวกู
คนที่เขากล่าวหาอาตมาว่าดีแต่พูดไม่ทำอะไรนั่นนะ ไม่ปฏิบัติอะไรนั่นนะ เป็นครูบาอาจารย์ด้วยนะ พวกนั้นเป็นครูบาอาจารย์ด้วยนะ ไม่ใช่คนธรรมดา ๆ แต่ท่านอาจารย์ทั้งหลายเหล่านี้ต้องการศิษย์ เที่ยวเสาะหาคนมาเป็นศิษย์อย่างน่าละอาย ไอ้สิ่งที่น่าละอายที่สุดของผู้เป็นอาจารย์แต่โบราณดึกดำบรรพ์มานั้น เขาว่าคือผู้ที่เที่ยวเสาะแสวงหาลูกศิษย์ มันเที่ยวแสวงหาลูกศิษย์ เป็นอาจารย์ผู้เที่ยวรวบรวมลูกศิษย์ ถ้าเผอิญได้ศิษย์มาเป็นเจ้าใหญ่นายโตเป็นฝรั่งมังค่าแล้ว อาจารย์เหล่านี้ก็หน้าบาน มันมีเจ้านายมาเป็นลูกศิษย์ มันมีคนใหญ่คนโตมาเป็นลูกศิษย์ มันมีฝรั่งมังค่ามาเป็นลูกศิษย์ แล้วมันก็ยกหูชูหางตีปีกตีแข้ง นั่นแหละอาจารย์ที่มันต้องการอะไร แล้วมันว่าเรานี่ดีแต่พูดไม่ปฏิบัติอะไร ขอให้ทุกคนระวังให้ดี อย่าทำชนิดที่มันไม่ตรงกับความเป็นจริง อาจารย์เหล่านั้นปฏิบัติเป็นเกลียว ขวนขวายตัวเป็นเกลียว เพื่อจะล่อคนมาเป็นลูกศิษย์ ยิ่งได้เจ้าใหญ่นายโตฝรั่งมั่งค่ามาเป็นลูกศิษย์แล้วมันก็เต้นแร้งเต้นกา ถ้ามันอยากปฏิบัติอย่างนั้นก็เชิญปฏิบัติต่อไป แต่อย่ามาด่าเราว่าดีแต่พูดแล้วไม่ปฏิบัติ
อยากจะให้สนใจเรื่องที่เคยพูดมาแล้วแต่หนหลังว่า นิพพานนั้นเป็นของแปลก พระนิพพานนี้เป็นของแปลก แปลกที่สุด ยิ่งต้องการพระนิพพานแล้วมันยิ่งหนีไกล ยิ่งต้องการพระนิพพานแล้วก็็็็้็็็็็)นิพพานจะยิ่งหนีไกล ถ้าไม่ต้องการอะไร นั่นแหละนิพพานก็มาเองถึงเอง ความแปลกประหลาดของพระนิพานนั้นนะ ยิ่งต้องการยิ่งหนีไกล ฉะนั้นคนที่จะปฏิบัติด้วยเจตนาแห่งตัวกู เพื่อจะได้นั้นนะมันไม่มีหวังหรอก มันไม่มีหวังหรอก มันก็ดีแต่เที่ยวรวบรวมลูกศิษย์มาทำนาบนหัวลูกศิษย์ ทำนาบนหลังลูกศิษย์ ได้ลูกศิษย์ที่หรูหรามามันก็หน้าตาเบิกบาน นิพพานเป็นของแปลกยิ่งต้องการยิ่งหนีไกล เมื่อไม่ต้องการอะไรนิพพานก็มาเอง ทำอะไร ๆ แล้วก็อธิษฐานว่า นิพพานนะปัจจะโยโหตุ นิพพานนะปัจจะโยโหตุ ระวังให้ดี ยิ่งต้องการนิพพานยิ่งหนีไกล ที่ว่า นิพพานนะปัจจะโยโหตุ จะเอาให้ได้ด้วยการประพฤติกระทำอย่างเคร่งเครียดนั้นนะ มันผิดหลักที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานเป็นของให้เปล่า ไม่ต้องลงทุนเป็นเงินเป็นทองเป็นข้าวเป็นของเป็นสะตุ้งสตางค์อะไร นิพพานเป็นของให้เปล่า ขอให้ปฏิบัติถึงขนาดที่ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องลงทุนอะไร แล้วก็จะได้นิพพานนั้นมาเปล่า ๆ ยิ่งอยากเป็นพระอรหันต์แล้วยิ่งไม่มีทางที่จะเป็นพระอรหันต์ วันนี้มันเป็นเรื่องเป็นวันของพระอรหันต์ เราก็พูดกันถึงเรื่องพระอรหันต์ ในที่นี้ก็จะพูดว่ายิ่งอยากเป็นพระอรหันต์ยิ่งไม่มีทาง พอไม่อยากไม่ต้องการอะไรเลยนั้นเป็นพระอรหันต์เสร็จแล้ว เมื่อไม่อยากไม่ต้องการอะไรเลยเป็นพระอรหันต์เสร็จแล้ว ยิ่งอยากเป็นพระอรหันต์ความเป็นพระอรหันต์ก็ยิ่งหนีไกล เหมือนกับนิพพานน่ะ ยิ่งอยากนิพพานยิ่งหนีไกล พอไม่อยากอะไรนิพพานก็เป็นเองและมาเอง นี่แหละความสำคัญของคำพูดที่ว่าไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องการบุญ ไม่ต้องการบาป ไม่ต้องการสุข ไม่ต้องการทุกข์ ไม่ต้องการอะไร เพราะล้วนแต่เป็นสังขารที่หลอกลวง สังขารที่ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนและหลอกลวง
เรื่องที่เคยพูดให้ฟังมาแล้ววันก่อน ๆ ก็อยากจะเอามาพูดให้ฟังอีกทีว่า ปู่ย่าตายายของเราในถิ่นของเรานี้ ท่านเคยรู้เรื่องนี้ท่านเคยปฏิบัติกันมาจนถึงขนาดที่รู้เรื่องนี้ คือคำพูดที่มีอยู่ในหนังสือสวดคำกลอนที่ว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ คงจะนึกได้ว่าอาตมาเคยเอามาพูดให้ฟังหลายหนแล้ว ทั้งลาภทั้งสูญล้วนแต่อัปรีย์ ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ เรื่องได้ก็อัปรีย์ เรื่องไม่ได้ก็อัปรีย์ เรื่องชั่วก็อัปรีย์ เรื่องดีก็อัปรีย์ เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าถ้าไปเอากับมัน มันกัดเอานะมันขบกัดเอานะ ไม่ว่าความชั่วหรือความดี ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูเป็นของกู มันกัดเอาทันที มันมีความทุกข์ทันที ทั้งชั่วและทั้งดี ความทุกข์มันก็กัดไปแบบความทุกข์ ความชั่วมันกัดไปแบบความชั่ว ความดีมันก็กัดไปในแบบของความดี ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ กูไม่เอากับมึง จะมีจิตใจอยู่เหนือค่า หรือความหมายของคำว่าชั่วว่าดี คำว่าได้ว่าเสีย ว่าแพ้ว่าชนะ ว่าสุขว่าทุกข์ มันจะมีสักกี่คู่ก็ตามใจ ทั้งคู่ทุกคู่แหละมันล้วนแต่อัปรีย์ เพราะไปเอากับมันไม่ได้ ไปเอาเข้าแล้วมันกัดเอานะ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการจะไม่มีความทุกข์เลย แล้วก็จะต้องอยู่เหนือความต้องการ ไม่มีความต้องการอะไรทั้งชั่วและทั้งดี นี่มันอาจจะเกินไปก็ได้สูงเกินไปก็ได้สำหรับคนธรรมดา แต่ว่าวันนี้เป็นวันพระอรหันต์นะ อย่าลืมนะ อาตมาขอทวงท้วงว่าวันนี้เป็นวันพระอรหันต์นะ เราก็ต้องพูดกันถึงเรื่องพระอรหันต์ ทำไมจะต้องมาพูดกันถึงเรื่องเด็กอมมือชอบจุดลูกประทัดดังสนั่นไปในวันพระอรหันต์เล่า เราก็จะต้องพูดกันถึงเรื่องพระอรหันต์
คนเป็นโรคประสาทนั่นแหละความดีมันกัดเอา ใครเป็นโรคประสาท ดูให้ดีนั่นความดีมันกัดเอา มันวิตกกังวลแต่เรื่องดี เรื่องจะไม่ได้ดี เรื่องดีจะสูญเสียไป ไม่เท่าไรมันเป็นโรคประสาท นั่นแหละเรียกว่ามันกัดเอา การประกาศของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า ในประเทศไทยเรานี่มีคนเป็นโรคจิตที่ติดทะเบียนอยู่ในโรงพยาบาลนั้นนะ ๖๐๐,๐๐๐ คนแล้ว มันน่าใจหาย พลเมืองเพียง ๕๐ ล้านคนเท่านั้นแหละ แล้วเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตที่บ้าเลยที่ติดทะเบียนแล้ว ๖๐๐,๐๐๐ คนเท่ากับ ๑.๕ เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งหมด นั่นน่ะมันโรคบ้าดีติดดีแล้วไอ้ดีมันกัดเอา เป็นโรคประสาทแล้วเป็นโรคจิต ไปดูไอ้คนบ้าที่ยืนรำอยู่ทุก ๆ คนนั้น มันล้วนแต่เบ่งดี อยากดี อวดตัวว่าเป็นคนดี มันเป็นอะไรมาเกิดก็ไม่รู้ มันเป็นดีกว่าคนอื่น หรือเพราะมันอยากดี ๆ ๆ แล้วมันก็ไม่ได้ ๆ แล้วมันก็เป็นโรคประสาท แล้วก็เป็นบ้า นี่เรียกว่าไอ้ความดีมันกัดเอา
ตามหลักพุทธศาสนาจึงสอนให้อยู่ตรงกลาง อยู่ตรงกลาง อย่าไปหลงชั่ว อย่าไปหลงดี แล้วอยู่ตรงกลางคือความถูกต้องก็แล้วกัน อยู่ตรงกลางหรือความถูกต้องนั้นนะมันไม่กัด เพราะไปหลงมันไม่ได้ เพราะความไม่ยึดถือนั้นเอง เรื่องชั่วเรื่องดีมันมีแต่ความยึดถือ นี้เราจะไม่ต้องการกันหรืออย่างไร เราจะให้ทุกคนเป็นโรคประสาทและเป็นบ้ากันหมด ทั้งบ้านทั้งเมืองหรืออย่างไรนี่ ถ้าไม่ต้องการอย่างนั้นแล้วก็รีบศึกษาเรื่องของพระอรหันต์ จะเป็นเครื่องป้องกันอย่างดียิ่งที่จะไม่ให้เป็นอย่างนั้น ที่จะไม่ต้องเป็นอย่างนั้น คือไม่ยึดถือมั่นยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดโดยความเป็นตัวกูของกู โดยการเป็นการปฏิบัติที่เคร่งเครียด เพื่อจะได้มาเป็นตัวกูเป็นของกูซึ่งสิ่งที่เรียกกันว่าดี อาจารย์ทั้งหลายที่อวดเคร่งมันก็เป็นเรื่องอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ อวดเคร่งเพื่อให้ใครว่าดี เพื่อให้จัดตัวเองว่าดีกว่าคนอื่น นี่อาจารย์ชนิดนี้นะมันมีอยู่มาก แล้วก็เขาด่าเราว่าดีแต่พูด ไม่ปฏิบัติอะไร
เราตั้งใจที่จะปฏิบัติตามรอยของพระอรหันต์ คือไม่ต้องการอะไร ปฏิบัติการไม่ปฏิบัติอะไรนี่คงจะฟังยาก ปฏิบัติการไม่ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติการที่ไม่ต้องปฏิบัติอะไร เพราะว่าการที่อยากปฏิบัติอะไร ต้องปฏิบัติอะไรนั้น มันเป็นเรื่องของความอยาก เป็นเรื่องของอุปาทานยึดมั่นในความดีความชั่ว ไม่อยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าดีว่าชั่ว ในศาสนาคริสเตียนนะ บทหน้าต้น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิ้ลนะเขามีว่า ต้นไม้ที่มีลูกกินเข้าไปแล้วรู้จักดีจักชั่ว พระเจ้าห้ามไม่ให้กิน ถ้ากินแล้วจะต้องตาย แต่ผัวเมียคู่นั้นมันก็ดื้อกินเข้าไป มันก็เป็นความทุกข์นิรันดร นั้นนะคือตาย ดีและชั่วนั้นน่ะเป็นสิ่งที่จะไปยึดถือเอากับมันไม่ได้ เพราะมันเกิดมาจากตัวกูของกู ถ้าไม่ตรงกับความประสงค์ของตัวกูมันก็ว่าชั่ว ถ้าตรงกับความประสงค์ของตัวกูมันก็ว่าดี แล้วมันก็หลอกทั้งนั้นแหละ ถ้ามันเป็นแท้จริงเป็นเรื่องจริงเป็นของจริง มันก็ไม่ต้องไปหลงรักหลงต้องการอะไร ทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว อยู่กันตรงกลาง อยู่กันตรงกลาง ไม่ต้องเป็นโรคประสาท อยู่กันอย่างสงบเย็นไม่มีตัวกูผู้ต้องการอะไร ประโยชน์ทั้งหลายมันก็เจือจานกันไปไม่มีใครเห็นแก่ตัว ไม่มีใครเห็นแก่ตัว เพราะไม่มีใครต้องการอะไร หน้าที่ตามธรรมชาติก็ทำไป มือตีนแข้งแข้งขาอะไรก็ทำไป เคลื่อนไหวไปตามกฎของธรรมชาติตามธรรมชาติ โดยธรรมชาติ เพื่อธรรมชาติ เราก็ไม่มีความทุกข์อะไร นี่ใจความสำคัญของความเป็นพระอรหันต์ที่ว่าไม่ต้องการอะไร
แม้เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ยังจะพยายามจะเดินตามรอยท่านไม่ใช่ว่าจะอวดดี หรืออวดอุตริมนุษยธรรม แต่บอกให้รู้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ จะต้องรู้ว่าไอ้ความไม่มีทุกข์เลยนั้นมันอยู่ที่ความไม่ต้องการอะไร ไอ้ความไม่ต้องการอะไรนั่นแหละคือพระนิพพาน คือความเป็นพระอรหันต์ เพราะมันไม่มีตัวกูของกูที่จะเป็นผู้ต้องการอะไร การกระทำเหล่านั้นไม่เรียกว่าเป็นการกระทำ เพราะไม่มีเจตนาที่จะกระทำ มันจึงไม่เป็นกรรม การเคลื่อนไหวของพระอรหันต์หรือของบุคคลประเภทนี้ก็เรียกว่า กิริยา กิริยาเฉย ๆ ไม่เรียกว่ากรรม เพราะสิ่งที่เรียกว่ากรรมนั้นต้องทำด้วยเจตนา โลภะ โทสะ โมหะ ซึ่งมีมูลมาจากอวิชชา เมื่อเราไม่ต้องการอะไรแล้วมันจะมีโลภะ โทสะ โมหะ ได้อย่างไร มันก็ไม่เป็นการกระทำ มันจึงเป็นการเคลื่อนไหวตามสติปัญญา ที่มีอยู่ในชีวิตนั้น ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มันก็ไม่ต้องตายหรอก สิ่งที่มีชีวิตนะมันก็มีความรู้ตามสัญชาตญาณ ที่ทำไปได้โดยที่ไม่ต้องตาย นี่คือธรรมะสูงสุดในพุทธศาสนา
สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ๆ วิธีที่ให้เกิดความรอดนี่มันมีมาตั้งแต่มนุษย์ยังอยู่ในสภาพเกือบจะเป็นคนป่าแหละ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ คนเหล่านั้นยังขึ้นมาจากคนป่าใหม่ ๆ เขารู้แล้วเขาเรียกว่า ธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ ทำให้มันรอด เพื่อทำให้มันรอดนะก็เรียกว่า ธรรมะ แต่มันยังไม่รอดได้จริง ต้องมีครูบาอาจารย์ฤาษีมุนี รู้สูงขึ้นมา ๆ ๆ จนกระทั่งว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านก็ตรัสสอนวิธีที่จะทำให้รอดได้จริง คือรอดจากกิเลส รอดจากความทุกข์ เพราะความรู้อันสูงสุดที่ว่ามันไม่มีสิ่งที่เป็นตัวตน มีแต่ธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ ไอ้คนโง่มันมาบัญญัติว่าตัวตนเอาเอง แล้วมันก็หลงเพราะมันเข้าใจผิด หลงตัวหลงตน มีตัวมีตนของมันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสตัณหา มันก็มีการกระทำตามกิเลสตัณหาที่เรียกว่ากรรม แล้วมันก็ต้องรับผลกรรม แล้วมันก็ทนทุกข์ทรมานไปตามกรรม
เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าทั้งทีต้องรู้เรื่องนี้ ต้องเอาชนะสิ่งเลวร้ายนี้ให้ได้ คือรู้ธรรมะชนิดที่จะถอนความรู้สึกว่าตัวว่าตนออกมาเสียให้ได้ ถ้ายังปรุงเป็นตัวเป็นตนอยู่ในใจนะก็เรียกว่ามีสังขารที่เป็นเครื่องปรุง แล้วก็ถูกปรุง แล้วก็เป็นไปตามการปรุง ต้องมีจิตใจอยู่เหนือการปรุง ไม่มีอะไรปรุงได้ เรียกว่าวิสังขาร วิสังขาระคะตังจิตตัง (นาทีที่ 47.20) ที่สวดมนต์อยู่ทุกวันนะ วิสังขาระคะตังจิตตัง เดี๋ยวนี้จิตถึงแล้วซึ่งวิสังขาร คือจิตถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป มันก็ปรุงเป็นความคิดว่าตัวตนไม่ได้ โลภะ โทสะ โมหะ ก็เกิดไม่ได้ การกระทำกรรมก็ไม่มี มีแต่การเคลื่อนไหวไปอย่างถูกต้อง ตามความรู้แม้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติก็ยังเป็นไปได้ มันไม่ได้ยากเกินไป มันไม่ได้เหนือวิสัย จิตนี้เป็นสิ่งที่อบรมได้ ให้เข้าถึงสิ่งนี้ ชีวิตนี้ปรับปรุงได้เพื่อให้เข้าถึงสิ่งนี้
ขอให้ท่านทั้งหลายจงสามารถเรียนรู้เรื่องที่จะทำให้ไม่เป็นทุกข์เลย ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นพุทธบริษัท ปฏิญาณตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัท เรามานั่งกันอยู่ที่นี่ ล้วนแต่ปฏิญาณตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธบริษัทมันเป็นบริษัทของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทีนี้มันยังมีตัวมีตน เป็นตัวกูของกูจะเอานั่นจะเอานี่ จมอยู่ในกองทุกข์เพราะความต้องการนั้น ๆ มันจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้อย่างไร มันไม่รู้อะไร มันยังหลับไม่ตื่นมันก็็็็Hhbcbcbไม่เบิกบาน ไม่เหมือนดอกไม้ที่มันบาน มันยังหุบอยู่ แล้วมันจะเน่าตายไปเสียก่อนแต่ที่จะได้บาน ขอให้ทุกคนระวังสังวรไว้ให้เป็นอย่างมากว่าอย่าให้หุบเน่าตายเสียก่อนที่จะได้เบิกบาน
เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ความหมายมันก็อยู่ตรงที่ว่า เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจริง มันไม่ต้องการอะไรนะ ไอ้ความต้องการอะไรนั้นนะมันเป็นเรื่องของคนที่ยังไม่ได้เพราะมันยังโง่อยู่ มันยิ่งต้องการมันยิ่งไม่ได้ มันยิ่งต้องการมันยิ่งไม่ได้ นี้บอกแล้วว่าพระนิพพานนี้เป็นของแปลก ยิ่งต้องการยิ่งหนีไกล พอไม่ต้องการอะไรพระนิพพานก็มาเอง ก็ด่าไปเถอะว่าอาตมาดีแต่พูด ไม่ปฏิบัติอะไร ก็พูดอยู่อย่างนี้แหละ พูดว่าพระนิพพานนั้นถ้าต้องการแล้วจะหนีไกล พอไม่ต้องการพระนิพพานจะมาเอง เลยไม่ต้องปฏิบัติอะไร ปฏิบัติชนิดที่ไม่ปฏิบัติอะไรนั้นเป็นการปฏิบัติที่ยิ่งไปกว่าการปฏิบัติ ซึ่งมันปฏิบัติแล้วก็อวดเคร่ง ล่อลวงคน ปฏิบัติเพื่อลาภสักการะ เสียงสรรเสริญ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากกองกิเลส นี่เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าปฏิบัติมันต้องปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คือไม่ต้องการอะไร เมื่อไม่ต้องการอะไรมันก็ไม่มีตัวตนที่จะปฏิบัติเพื่อได้อะไร นี่เรียกจิตมันหลุดพ้น จิตมันบริสุทธิ์ มันถึงวิสังขาร อะไรจะมาปรุงแต่งให้มันต้องการ หรือเกิดโลภะ โทสะ โมหะไม่ได้ นี่เรื่องมันยากหรือมันลึกอยู่บ้าง แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่ามันเป็นเรื่องลึก แต่ท่านก็ตรัสว่ามันไม่เหลือวิสัยที่คนที่จะเอาจริงที่จะเป็นสาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่เหลือวิสัย แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเพื่อจะตบตาคน เพื่อจะอวดเคร่งให้คนเขาหลง อย่างนี้ไม่มีวันจะพบ ก็อย่างนี้มันไม่มีวันที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
อาตมาอาจจะพูดมากไปก็ได้ แต่อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นจะพูดเรื่องของเด็กอมมือชอบแต่จุดประทัดนี้ไม่ได้ ก็มาจุดประทัดในวันมาฆบูชาให้หนวกหูกันอีกอย่างนี้มันก็ไม่ได้ มันไม่มีวันที่จะถึง นี่คงจะฟังง่ายที่พูดอย่างนี้ เอาเรื่องจริงที่จะเป็นเรื่องเกิดกับตัวเองค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างยิ่งมาพูดนี้ก็เพื่อให้มันฟังง่าย แล้วเพื่อให้มันเห็นจริงว่ามันมีอยู่อย่างนี้จริง แต่เมื่อสรุปความแล้วมันก็มีอยู่นิดเดียวคำเดียวว่า สาวกของพระพุทธเจ้าจงปฏิบัติเพื่อความไม่ต้องการอะไรกันเถิด จงปฏิบัติเพื่อความไม่ต้องการอะไรกันเถิด ถ้าเป็นอาจารย์แล้วปฏิบัติเพื่อลวงคนมาศิษย์นั้นนะมันคือขโมย คือมหาโจร มันทำไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการปฏิบัติให้คนอื่นเห็นว่าเคร่ง ๆ แล้วจะมารุมกันล้อมกันเป็นสาวกนี่ มันเป็นการปฏิบัติอย่างขโมย ขอให้ถือเป็นหลักอยู่อย่างหนึ่งว่า การปฏิบัตินั้นน่ะถ้าอย่าให้ใครรู้ได้แหละเป็นการดี
แม้แต่พระเยซูนะซึ่งศาสดาอื่นก็ยังสอนว่า ถ้ามือซ้ายทำบุญ อย่าให้มือขวามันรู้ ถ้ามือขวาทำบุญ อย่าให้มือซ้ายมันรู้ ถึงขนาดนี้แล้วมันจะไปทำบุญอวดคนได้อย่างไร พระเยซูแท้ ๆ ก็ยังสอนเรื่องทำบุญ นี่อย่าให้ใครรู้ ถ้ามีใครรู้มันจะกลายเป็นเพื่ออวดเพื่อลวงคนมาเป็นสาวกมาเป็นลูกศิษย์เสียอีก ฉะนั้นทำบุญทำดีปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน อย่าให้ใครรู้นั้นแหละเป็นการดี จำคำของพระเยซูไว้บ้าง เพราะว่าเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านก็จะสอนอย่างนี้ ทำบุญด้วยมือซ้ายอย่าให้มือขวารู้ ทำบุญด้วยมือขวาอย่าให้มือซ้ายรู้ นั่นแหละคือคนไม่อวดดี เดี๋ยวนี้ทำอะไรนิดหน่อยก็เป่าแตรโฆษณา นี่มันใช้ไม่ได้ เพราะว่ามันอยากดีมันอยากอวด แล้วมันก็อยากให้คนรู้ เพราะมันต้องการมากเกินไป มันไม่ต้องการแต่เพียงว่าได้รับผลของความดีนะ มันต้องการเลยไปถึงว่าทุก ๆ คนมานิยมชมชอบมาสมัครตัวเป็นลูกศิษย์ แม้แต่ทำนาบนหัวลูกศิษย์นะ นั่นนะมันคดโกงกันถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นจงระวังอาจารย์พวกนี้ อาจารย์พวกนี้อาจารย์ที่เขาชอบปฏิบัติอวดเคร่งนะระวังไว้ให้ดี ๆ เพราะว่าถ้าว่าไม่ต้องการอะไรจริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องให้ใครรู้ ความดับทุกข์มันมีอยู่ในจิตใจของตนก็ดีแล้วก็พอแล้ว นั่นแหละเป็นร่องรอยของพระอรหันต์ผู้ไม่ต้องการอะไร
สะจิตตะปะริโยทะปะนัง ทำจิตให้บริสุทธิ์ขาวรอบนะ คำเดียวก็พอ ถ้าขาวรอบแล้วมันไม่ต้องการอะไร ถ้ามีความต้องการอะไรแม้แต่นิดหนึ่ง มันก็เป็นจุดดำเป็นของดำอยู่ในของขาว มันขาวทั้งหมดไม่ได้ เพราะมันมีจุดดำเข้ามาปนเข้ามาแทรกแซง ระวังอย่าให้มีจุดดำเกิดขึ้นจึงจะตรงกับคำว่า สะจิตตะปะริโยทะปะนัง นี่จะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ คำพูดเหล่านี้จะดีแต่พูดแล้วไม่ปฏิบัติหรือไม่ ก็ขอให้ไปใคร่ครวญดูเอง ถ้าไม่ต้องการก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว แต่ถ้าต้องการให้พูดก็พูดอย่างนี้ จึงจะสมกับที่ว่ามันเป็นเรื่องของพระอรหันต์ เพราะว่าวันนี้มันเป็นวันพระอรหันต์ อย่างที่เราพูดกันแล้วพูดกันอีกว่าเป็นวันของพระอรหันต์ผู้ไม่ต้องการอะไร ผู้อยู่เหนือความต้องการสิ่งทั้งปวง จึงเรียกว่าผู้อยู่เหนือโลก เหนือโลกทั้งปวงเพราะไม่ต้องการอะไร ๆ ในโลก เรียกว่าเป็นโลกุตระก็เพราะเหตุนี้เอง เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ต้องเดินตามรอยพระอรหันต์ เราทำตามพระอรหันต์เหมือนบทปัจเวกนั้นแหละ ถ้าไม่ต้องการเป็นพระอรหันต์เราก็ไม่ต้องมาปฏิบัติอะไร ถ้ามาปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติชนิดที่ไม่ต้องการอะไร ปฏิบัติชนิดที่ไม่ปฏิบัติอะไรด้วยความต้องการอะไร ถ้ายังปฏิบัติอยู่เพื่อต้องการอะไร แล้วมันไม่มีวันพบกันกับจุดหมายปลายทาง คือความเป็นพระอรหันต์ รีบระบาย ระบายออก ๆ ๆ ซึ่งความต้องการนั่น ความต้องการนี่ ความต้องการโน่น ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันอย่าง ให้เป็นผู้ที่มีจิตขาวผ่อง ขาวรอบ โดยนัยยะที่กล่าวมาแล้ว ให้สมกับเนื้อความของพระบาลีที่ว่า อัตตาหิ อัตโนนัตถิ เมื่อตนของตนก็ไม่มีเสียแล้ว ปุตโต ปุตตา ปุตโต ธานัง (นาทีที่ 57.51) บุตรทั้งหลายจะมีมาแต่ไหน ทรัพย์ทั้งหลายจะมีมาแต่ไหน นี่มันเป็นเรื่องของท่านทั้งหลายโดยตรง เพราะว่าฆราวาสคฤหัสถ์ทั้งหลายมันมีบ้านมีเรือน มันมีทรัพย์สมบัติ มันมีบุตรหลาน แต่พอได้ยินได้ฟังว่า เมื่อตนของตนก็ไม่มีเสียแล้ว บุตรจะมีมาแต่ไหน ทรัพย์สมบัติจะมีมาแต่ไหน ท่านจะจัดการอย่างไร หรือเป็นลมตาย เพราะว่ามันไม่มีบุตร เพราะมันไม่มีทรัพย์สมบัติ เพราะว่าตัวตนมันไม่มีเสียแล้ว ถ้าเข้าใจได้ก็จะถอนตนออกจากกองทุกข์ได้ ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็เป็นลมตายแหละ เพราะว่าเราเสียหมดแล้ว บุตรก็เสียหมดแล้ว ทรัพย์สมบัติก็เสียหมดแล้ว ตัวตนของกูก็ไม่มีเหลืออยู่แล้ว หมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอะไรเลย นี่มันก็เป็นเรื่องต้องระวังอยู่มากเหมือนกัน ถ้าเข้าใจผิดมันก็เป็นผลร้าย ถ้าเข้าใจถูกมันก็เป็นผลดี
อย่างที่พูดเมื่อตอนเย็นนี้ว่า ถ้าเข้าใจศาสนาผิด มันก็ได้แต่นั่งอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนานั้นเอง มันก็ไม่มีอะไร ได้แต่นั่งอ้อนวอนมีตัวกูเจริญอย่างนั้นอย่างนี้ ได้เจริญอย่างนั้นอย่างนี้ มีลูกมีหลานมาก ๆ มีทรัพย์สมบัติมาก ๆ มีอะไรมาก ๆ แต่โดยตามจริงหรือโดยแท้จริงนั้นนะมันไม่มีแม้แต่ตัวตนของตน มันเป็นกระแสของธรรมชาติหมุนไปตามกฎของอิทัปปัจจยตานี่ ที่ได้มาเป็นสัตว์เป็นคน ออกลูกออกหลานออกเหลนกันอยู่ไม่สิ้นสุดนี่ มันเป็นกระแสของธรรมชาติที่หมุนไปเปลี่ยนไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา พอรู้อย่างนี้แล้วเป็นลมตายเลย มันก็หมดเนื้อหมดตัวไม่มีอะไรเหลือเป็นของกู มันก็กลัวมันก็เป็นลมตายเพราะไม่มีอะไรเหลือเป็นของกู อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าพูดความจริงแล้วโยมทั้งหลายเป็นลมตายกันหมด เพราะว่าก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่บอกให้รู้นี่ไม่ใช่บอกด้วยความหวังเช่นนั้น ด้วยความหวังว่าจะรู้ความจริง แล้วดำรงจิตอยู่ในความถูกต้อง แล้วไม่ต้องเป็นทุกข์เลย เราจงมีชีวิตอยู่โดยเยือกเย็นเป็นชีวิตนิพพาน เย็นไม่มีของร้อน ไม่มีกิเลสซึ่งเป็นเสมือนของร้อน นั้นก็คือชีวิตที่ไม่ต้องการอะไร
แม้จะหิวข้าวเต็มที่อยู่แล้วก็ยังไม่ต้องการอะไร เพราะมันไม่มีตัวกูของกูที่จะต้องการอะไร ถ้าร่างกายนี้มันหิวมันก็หากินเอง ร่างกายนี้มันก็ไปทำไร่ทำนาหาข้าวกินเองสิ ไอ้ตัวกูของกูไม่มีหรอก ตัวกูของกูอย่ามีเลย นั่นแหละจึงจะไม่เป็นทุกข์ ถ้าจิตเอาอะไร ๆ เป็นตัวกูของกูจิตนี้ก็เป็นทุกข์ ถ้าจิตนี้ไม่มีตัวตนอะไรเป็นของตนก็ไม่มีทางที่จะเป็นทุกข์ มันก็ไม่ต้องการอะไร มันก็ไม่ทำกรรม กรรมทั้งหลาย กรรมดีกรรมชั่ว กรรมอะไรก็ตามนี่ ที่ทำนั้นนะมันต้องมีเจตนาจึงจะเป็นการกระทำ เจตนานั้นมันมาจากความโง่ มาจากอวิชชาในรูปของความโลภก็มี ความโกรธก็มี ความหลงก็มี แล้วมันก็ทำไปตามนั้น แล้วมันก็เป็นกรรม แล้วก็ได้รับผลกรรมโดยสมควร พอมันมีตัวตนผู้กระทำ มันก็มีตัวตนผู้รับผลแห่งการกระทำ ถ้าไม่มีตัวตนที่จะเป็นผู้กระทำ มันก็ไม่เป็นกรรม มันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องรับผลของกรรม นี่แหละเรียกว่าการสิ้นไปแห่งกรรม ตามหลักของพระพุทธศาสนา ความสิ้นไปแห่งกรรม เพราะไม่มีการกระทำกรรม เพราะมารู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน มีแต่ธรรมชาติเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา
ความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตานี้จะช่วยได้มาก คือจะช่วยให้เห็นความที่ไม่มีตัวตนซึ่งไม่อาจจะเป็นของตน เพราะมันไม่มีตัวตนแล้วมันก็ไม่มีของตน มีแต่การปรุงแต่งตามธรรมชาติ ตามกฎของอิทัปปัจจยตา เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เป็นสัตว์เป็นคน เป็นเทวดาเป็นอะไรก็ตาม ล้วนแต่เป็นกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ไม่มีตัวตนแล้วอะไรมันจะต้องการอะไร มันจะมีอะไรรับผลกรรมอะไร เพราะว่ามันไม่มีตัวตน เรียกว่าหลุดพ้นหมด หลุดพ้นจากกรรม หลุดพ้นจากกองทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายไปในวัฏสงสาร นี่คือเรื่องของพระอรหันต์ หรือความรู้ในระดับที่จะเรียกได้ว่าเป็นความรู้ของพระอรหันต์ ถ้าไม่ถึงนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องของพระอรหันต์ แล้วก็ป่วยการที่จะมาทำพิธีบูชามาฆบูชาซึ่งเป็นวันของพระอรหันต์
ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะไม่เสียเปล่า ไม่เสียเวลาเปล่า ไม่เหนื่อยเปล่าที่อุตสาห์มาทำมาฆบูชาที่สวนโมกข์ เพราะว่าจะได้รับความรู้เรื่องของพระอรหันต์โดยตรงนะ เพิ่มขึ้น ๆ ๆ ทุกคราวที่เรามาทำพิธีมาฆบูชา ต่อไปข้างหน้ามันก็จะเป็นการง่ายที่จะเดินตามรอยของพระอรหันต์ เรื่องของพระอรหันต์ก็หมายความว่าที่สุดหรือสูงสุดของความเป็นมนุษย์ คำว่าอรหันต์ อรหันต์นี่แปลว่า ผู้ควรแก่ความหมายของคำว่าเป็นมนุษย์ที่สูงสุด ถ้าไม่ถึงขนาดนี้ ไม่ควรจะเรียกว่าถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์นั้นนะ คือมันไม่ต้องการอะไร ถ้ามันยังต้องการอะไรอยู่ มันยังจมอยู่นี่มันจะถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ไม่ได้ สติปัญญามันไม่มากพอ จิตใจมันไม่รอด มันไม่หลุดออกไป นี่เราจะทำกันอย่างไรขอให้ไปคิดดู เรามีหน้าที่ที่จะต้องช่วยมนุษย์ของเรา พร้อมทั้งตัวเราเองนี่ให้หลุดพ้นออกไปจากกองทุกข์ วิธีอื่นมันไม่มี นอกจากวิธีนี้ วิธีที่จะไม่ต้องการอะไร มีจิตชนิดที่ไม่ต้องการอะไร ฟังมันก็ง่าย พูดมันก็ง่าย แต่การกระทำมันก็ยากอยู่บ้าง
การที่จะเป็นผู้มีจิตใจชนิดที่ไม่ต้องการอะไรนั้นนะ ฟังมันก็ง่าย เพราะว่ามันไม่มีตัวตนที่ต้องการอะไร แต่พอปฏิบัติมันก็ยากอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ธรรมะนี้ไม่เหลือวิสัย ถ้าเหลือวิสัยพระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัส พระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัสสิ่งที่เหลือวิสัย หลอกคนฟังเหมือนอาจารย์บางจำพวกสมัยนี้ มีคำพูดชนิดที่หลอกลวงลูกศิษย์ให้หลงติดในอาจารย์ เท่านั้นแหละ ไอ้การที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้นี่ไม่รู้เรื่อง หรือพูดไม่รู้เรื่อง พูดไม่ได้ พูดไม่เป็น พูดเป็นแต่จะล่อคนมาเป็นลูกศิษย์ เพื่อทำนาบนหลังศีรษะเขา แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เป็นอย่างนั้น อาตมาเป็นผู้รับใช้ของพระพุทธเจ้า มองเห็นข้อนี้แล้วจึงได้สมัครตนเป็นผู้รับใช้ หรือเป็นน็็็็็HH็ทาสของพระพุทธเจ้า เพื่อจะสนองพระพุทธประสงค์อะไร ๆ ที่ทำได้ เป็นการสนองพระพุทธประสงค์แล้วเราก็จะทำ
ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน ได้ยินสวดมนต์ค่ำสิว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโสวะ ทาสีวะ อยู่ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ปฏิญาณตัวเองเป็นทาสของพระพุทธเจ้าด้วยกันทุกคนแหละ เราจะทำอย่างไรจึงจะตรงตามความหมาย ถ้าให้ตรงตามความหมายก็ต้องทำหน้าที่ช่วยกัน ทำเพื่อนมนุษย์ให้รู้เรื่องนี้ ให้รู้เรื่องความดับทุกข์ หรือความออกไปจากความทุกข์ทั้งปวง แล้วเราก็จะรู้สึกได้เอง เชื่อตัวเองได้ว่าเราทำหน้าที่ถูกต้องในการสนองพระพุทธประสงค์รับใช้พระพุทธเจ้า เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาไว้ให้คงยืดยาวต่อไปสำหรับเป็นที่พึ่ง ถ้าทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าถูกต้อง ๆ ไม่มีที่ตำหนิ ถ้ายังทำไม่ได้หรือไม่อยากจะทำ ก็ประกาศตัว ถอนตนออกไปเสียจากความเป็นพุทธบริษัทจะดีกว่า จะไม่ตั้งอยู่ในฐานะที่หลอกลวง ประกาศตัวอย่างหนึ่งแต่การกระทำนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ประกาศตัวเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่จิตใจนั้นมันเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร มันเห็นแก่ลาภสักการะเสียงสรรเสริญ คือเหยื่อของกิเลสทั้งหลายทั้งปวง นี่ขอให้เราคิดดูให้ดีจะเอาอย่างไร ถ้าจะเอาข้างพระพุทธเจ้า ก็ขอให้ซื่อตรง ๆ จงรักภักดี ไม่หลอกลวงแม้แต่หน่อยเดียว ไม่หลอกลวงเหมือนอย่างวันนี้ เมื่อตอนเย็นว่าจะชอบเสนาสนะอันสงัด ไม่กี่ชั่วโมงก็เอาเพลงแขกมาเปิดเต้นระรัวไปหมด นี่มันจะชอนเสนาสนะอันสงัดอย่างไรเล่า มันหลอกตัวเองชัด ๆ แล้วมันหลอกพระอรหันต์ด้วย แล้วจะยินดีในเสนาสนะอันสงัด นี่กิจการที่ทำมาเดี๋ยวนี้มันไม่ก้าวหน้า มันไม่สำเร็จ เพราะว่าเราทำไปอย่างผิด ไม่รู้จุดประสงค์ แล้วก็ยังหลอกตัวเองอยู่ในหลาย ๆ อย่าง ขอให้ไปคิดกันเสียใหม่ ปรับปรุงทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเข้ากันกับทำนองคลองธรรม ของคำสั่งสอนของพระอรหันต์ทั้งหลายที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเป็นประธาน
นี่ธรรมเทศนานี้ก็ ๑ ชั่วโมงแล้ว สมควรแก่เวลาสำหรับการแสดงธรรมเทศนาครั้งแรกแห่งราตรี ถูกโกงเวลาไปเสียครึ่งชั่วโมง มิฉะนั้นก็จะพูดได้ยาวกว่านี้อีกสักครึ่งชั่วโมง เอ้า, ก็ขอยุติธรรมเทศนาตอนนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ สักระยะหนึ่งก่อน แล้วก็ขอให้จัดให้ทำอะไรในระหว่างนี้กว่าจะถึงเวลาตีสิบสอง ซึ่งจะแสดงธรรมอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนี้ใช้เวลาในลักษณะที่ไม่เป็นการตบตาใคร ที่ว่าเราจะทำตามรอยพระอรหันต์ แล้วก็ขอให้เราทำตามรอยพระอรหันต์ ขอให้ทำสิ่งทุกสิ่ง ๆ ที่ส่งเสริมแก่การตามรอยพระอรหันต์เป็นระยะ ๆ ไป ขอยุติการบรรยายในการแสดงธรรมครั้งที่ ๑ ไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้