แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งที่แล้วมา เราได้พูดกันถึงหัวข้อว่า ชีวิตควรจะได้รับอะไร ซึ่งแทนคำถามที่ว่าเกิดมาทำไม โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา แต่มันได้เกิดมาแล้ว มันปฏิเสธไม่ได้ มันจะออกตัวอย่างไรก็ไม่ได้ มันจึงต้อง ยอมรับเอาว่าเป็นหน้าที่ ที่จะต้องทำให้ได้รับ สิ่งที่ดีที่สุด เออ, ที่มนุษย์ควรจะได้รับ นั่นแหละ เรียกว่า ชีวิตควรจะได้รับประโยชน์อะไร
ส่วนในวันนี้ เออ, จะกล่าวต่อไปโดยหัวข้อว่า อ่า, ชีวิตนี้จะได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช จะได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช อือ, ขอให้พยายามทำความเข้าใจ ให้สำเร็จประโยชน์ด้วย เรื่องที่จะ ต้องทราบกันให้ชัดเจน นั้นก็คือ คำว่า การบวชนั่นแหละ อ่า, ส่วนคำว่า ชีวิตนี่ มันเกือบจะไม่มีปัญหา อะไรแล้ว เพราะได้พูดกันมา พอสมควรแล้ว ก็หมายความว่า การมีชีวิตอยู่ชาติหนึ่ง คราวหนึ่งนี่ ชาติหนึ่งนี่ เรียกว่า ชีวิต มันควรจะได้อะไร
อ่า, ทีนี้จะพูดเฉพาะที่ว่า มันจะได้รับประโยชน์อะไร จากการบวช ซึ่งจะหมายถึง การบวชของเรา เออ, ผู้บวชนี้ก็ได้ หรือจะกล่าวเป็นคำกลาง ๆ ทั่วไป ตลอดกาล ยาวนาน อดีต อนาคตก็ได้ อ่า, มันก็ไม่ แตกต่างกันนัก จึงพูดถึง สิ่งที่เรียกว่า การบวช ตามตัวหนังสือคำว่า บวช นั้นมันแปลว่า ไปเสียหรือเว้น เสีย จากภาวะที่ต่ำทราม เมื่อลองพิจารณาดูความหมายเอาเอง ถือว่าเพศฆราวาสนั้นเป็นเพศต่ำ จะว่าผิด ก็ไม่ได้ว่าผิด แต่ว่าเป็นเรื่องที่ยังต่ำ
ทีนี้การไปเสีย ให้พ้นจากไอ้ภาวะที่ต่ำที่ทรามนี่ ไปอยู่ในภาวะที่สูงกว่า สะอาดกว่า ดีกว่า อะไรกว่า สงบเย็นเป็นสุขกว่า ก็ได้ นั่นนะคือ การบวช ที่แท้จริง นี้ส่วนการบวชที่มีความหมายเพิ่มขึ้น ในตอนหลัง ๆ เมื่อเกิดขนบธรรมเนียมประเพณีบวชชั่วคราวนั้นนะ มันก็กลายเป็นว่า บวชออกไป เพื่อศึกษา แสวงหา อือ, วิถีทาง เออ, ของชีวิตที่ดีกว่าที่สูงกว่า แต่แล้วก็เพื่อประโยชน์ ที่เหนือกว่าดีกว่า อีกนั่นเอง แม้ว่าจะกลับมาสู่เพศฆราวาส จะมีคำพูดว่า เวียนกลับมาสู่เพศต่ำตามเดิมนี้ มันก็ยังดีกว่า ที่ไม่ บวช ที่ไม่ได้บวช ที่ไม่เคยบวช เพราะมันรู้ว่าจะทำอย่างไร จะให้เกิดผลที่ ดีกว่าที่ปล่อยไปตามธรรมชาติ
ถ้าเราจะมองดูกัน ไม่เกี่ยวกับศาสนา มองดูกันในแง่ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา ไม่เกี่ยวกับแง่ของ ธรรมชาติ ของสิ่งที่มีชีวิตล้วน ๆ มันก็ยังมองได้ไกลไปถึงว่า เพราะต้องการการพักผ่อนที่ดีกว่า แล้วจะเลย ลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน แม้ไม่ทั้งหมดก็บางชนิดนะ สัตว์เดรัจฉานบางชนิดนั้น มันต้องการการพักผ่อน อ่า, ในชีวิตของมัน เป็นครั้งเป็นคราวยิ่งกว่าธรรมดา เออ, ซึ่งมนุษย์ก็อธิบายไม่ได้
แต่ถ้าเราสังเกตดูจากเรื่องราวทั้งหมด อ่า, เท่าที่จะรวบรวมมาศึกษาดูได้ ในเรื่องเก่าแก่ที่สุดก่อน พุทธกาล ซึ่งก็มีพูดถึงสัตว์เดรัจฉาน ท่านก็นิยมว่า สัตว์เดรัจฉานบางชนิดโดยเฉพาะ เช่น งูหรือนาคนี่ พญานาคนี่ เขามีระยะพักผ่อน เสมือนหนึ่งว่า จำศีล หาความพักผ่อน สบายที่สุด เป็น คราว ๆ อย่างนี้ก็มี บางคนอาจจะ พูดว่า โอ้, มันขี้เกียจหากินนี่ ระยะที่มันขี้เกียจหากิน มันจะนอนให้สบายที่สุด ระยะเวลา ยาวตั้งเดือน นี่ก็ได้ จนสบายตัวขาวไปเลย อย่างนี้ก็ได้
จะพูดอย่างนี้ก็ได้ แต่ต้องเล็งถึง ต้องพิจารณาดูถึงข้อที่ว่า มันชอบ มันประสงค์ มันประสงค์การ พักผ่อนด้วยเหมือนกัน มันก็มีความหมายคล้าย ๆ กับว่า ออกบวชคล้าย ๆ กับว่า ออกบวช ถือบวช หรือว่าออกบวช โดยเฉพาะเรื่องในชาดก ก็มีพูดกันชัด ๆ อย่างนี้ เช่น ภูริทัตชาดก เป็นต้น เพราะ พญานาคภูริทัตต์ อยู่ในระยะจำศีล บวช จึงยอมให้ ไอ้หมองูคนนั้นนะจับตัวเอาไปขาย เอาไปหาประโยชน์ อะไรได้ อือ, เอาละเป็นอันว่า สัตว์หลายชนิดที่มีระยะเก็บตัวอยู่นิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ หาความสงบสุข ตลอดฤดูกาลบางฤดู เช่นกบ เช่นแย้ เช่นอะไรเหล่านี้
ทำไมธรรมชาติมันทำให้เกิดความ รู้สึกอย่างนั้นต้องการอย่างนั้น ก็ยังอธิบายยาก แต่มันเป็นที่ เชื่อแน่ได้ว่า มันเป็นที่พอใจ ที่จะทำอย่างนั้น อ่า, ของสัตว์ชนิดนั้น ในลักษณะอย่างนั้น นี่อยากจะ ให้มอง ให้ละเอียด ลึกลงไปถึงว่าแม้โดยสัญชาตญาณ ไอ้สิ่งที่มีชีวิตมันก็ต้องการระยะที่เป็นการพักผ่อนเป็นพิเศษ อ่า, ได้เสวยไอ้ความสุข ที่เราเรียกกันว่า ความสุขนี้ ความหมายทั่ว ๆ ไป เป็นพิเศษด้วยเหมือนกัน
อ่า, ทีนี้ถ้าจะมองให้ไกลลงไปอีก หรือลงต่ำลงไปอีก ถึงต้นไม้ต้นไร่ มันก็มีระยะพักผ่อน ถ้าเป็น ชาวสวน อ่า, ที่มีปัญญา เป็นชาวสวนที่ฉลาด เขาก็รู้จักระยะพักผ่อนของต้นไม้ของเขา เขาปฏิบัติถูกต้อง ต่อต้นไม้ของเขา รู้ว่ามันต้องการจะพักผ่อน หรือควรจะทำอะไร อ่า, กันในระยะนั้น นี่เราเอาแต่เพียงว่า ไอ้สิ่งมีชีวิตนี้มันต้องการมีระยะพักผ่อน ทีมนุษย์ ทีนี้มนุษย์เกิดขึ้นมา มันดีเกินไปหรืออย่างไร หรือมันโง่ เกินไป มันโง่กว่าต้นไม้กว่าสัตว์เดรัจฉาน หรืออย่างไร มันจึงไม่เคยคิดถึงระยะแห่งการพักผ่อน
แต่ถ้าเราจะพูดถึง ยุคโบรมโบราณโน้น มนุษย์นั้นนะ เออ, เขารู้เรื่องการพักผ่อน แต่เขาจัดเอาไว้ เป็นบั้นปลายแห่งชีวิต เขาคงไม่ได้คิดจะจัด มันโดยเจตนา แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมา เพราะว่ามันซ้ำ ๆ ซาก ๆ ชีวิตซ้ำ ๆ ซาก ๆ น่าเบื่อ ๆ อ่า, จนต้องการจะเปลี่ยนเสีย เปลี่ยนรูปแบบไปอยู่ในการพักผ่อน ดังนั้นจึงเกิด ขนบธรรมเนียม ประเพณีบั้นปลายแห่งชีวิตนี่ เข้าไปสู่ ความพักผ่อน การพักผ่อน จนถึงกับ จะถือเป็นหลักว่า เกิดมาทั้งทีต้องได้รับการพักผ่อน ไปตามสมควร ถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะเสียที เออ, ด้วยเหมือนกัน
ทีนี้ ไอ้บางคนแม้จะไม่ได้คิดอย่างนั้น อาจจะอุตริ มีความคิดแหวกแนว แสวงหาความพักผ่อน ตั้งแต่ยังหนุ่ม เออ, ก็ได้ ก็ได้เหมือนกัน มันเป็นไปได้เหมือนกัน ที่เขาเผอิญ อ่า, มันมีสติปัญญา คิดค้น สังเกตอยู่เรื่อย จนพบว่าการที่ หลีกออกไปเสียจากหมู่คณะนี้มันก็สบาย เลยเกิดไปพบไอ้ความรู้ความคิด อะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ จึงรู้จักทำสมาธิบ้าง ตามสมควรขึ้นมานี้ โดยบังเอิญนะ ไม่มีใครสอนก็โดยบังเอิญ ก็ได้ มันก็เลยเกิดนิยมว่าจะไป พักผ่อนในลักษณะนั้นกันมากขึ้น
นี่มันจึงได้เกิด อ่า, พวกที่ เป็นฤษี เป็นมุนี ชีไพรอะไรก็แล้วแต่จะเรียก ที่เขาหลีกออกไป เพื่อจะหา โอกาส คิดนึก ศึกษาในภายใน และก็เป็นการพักผ่อน อ่า, เขาก็พบ การพักผ่อนนั้นจริงด้วยเหมือนกัน คือ พบวิธีที่จะทำให้จิตสบายเป็นสุข ตามแบบ ปราศจากกามนี่ คือ ความรู้เรื่อง ที่ไม่เกี่ยวกับกาม มันก็เกิดขึ้น ทำจิตเป็นสมาธิ แล้วก็อยู่ด้วยสมาธินั้นยาวนานจนเป็นสมาบัติ แล้วก็เสวยความสุขจากสมาบัตินาน จนจัดว่าเป็นชั้นนั้น ชั้นนี้ ชั้นโน้น เป็นชั้น ๆๆๆ ไปทีเดียว คือ ตามที่มันสูงต่ำยากง่าย นี่ก็ได้เกิดขึ้นในโลก เป็นการพบโดยบังเอิญหรือโดยไม่เจตนา ก็ได้เหมือนกัน
แต่เมื่อพบแล้วก็ สนใจกันมากขึ้น ส่งเสริมกันมากขึ้น ตอนหลัง ๆ มันก็ เป็นเจตนา อ่า, ที่จะทำ อย่างนั้น ซึ่งข้อความนี้ในตอนหลัง ๆ มันกล่าว เป็นรูป เออ, บุคลาธิษฐาน หรือวัตถุธิษฐาน โลกาธิษฐาน อะไรมากเกินไป โดยความเชื่อที่ว่าตายแล้ว ยังมีเกิดอีก ก็มีการกล่าวว่า ไอ้ทำฌาน ทำสมาบัติชนิดนี้ แล้วตายแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลก ชั้นนั้น ชนิดนี้ไปเกิดในพรหมโลกชั้นโน้น ชนิดนี้ไปเกิดในพรหมโลก ชั้นโน้น หลาย ๆ ชั้น
เกิดเป็นระบบ หาความสุขในป่า ของพวกฤษีมุนีชีไพรอะไรขึ้นมาไม่น้อยเลย ก่อนพุทธกาล นานไกล แล้วยังตกมาถึงครั้งพุทธกาล ก็มีการ อ่า, ปฏิบัติการสั่งสอนอยู่สืบ ๆ ไป จนกลายเป็นเรื่องที่ว่า มัน มันใกล้บ้านเมืองเข้ามา แม้ อ่า, คือแม้ว่าไม่ไปอยู่ในป่าในดงไพรลึก อยู่ที่ในป่าใกล้บ้าน หรือในสวน ใกล้บ้าน ในวัดใกล้บ้าน ก็มีทำสมาธิชนิดนั้นได้ คนจึงออก แสวงหาความสุขชนิดนั้น เป็นครั้งเป็นคราว ตามโอกาสที่จะมีได้ จะมีได้กระทั่งถึงพวกฆราวาส ก็เกิดระบบฆราวาสปลีกตัว มาถือศีล ถือศีล อุโบสถ เข้าอยู่อุโบสถ ๑ วันบ้าง ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง แล้วแต่จะพอใจ หรือว่ามันจะมีระเบียบไหนเป็นอย่างไร
นี่ระเบียบการที่ฆราวาสจะออกมาถืออุโบสถ มันก็เกิดขึ้นนั้นก็คือ การบวชชนิดหนึ่ง ในระยะ สั้น ๆ อย่างนั้น นี้คงมีมา อ่า, นมนานมาก ศาสนาที่เดินไปทางตะวันตก ไปเป็นศาสนายิว มันก็มีระเบียบ วิธีอย่างนี้เหมือนกัน เขามีวันที่หยุด หยุดงาน หยุดงาน แล้วก็อยู่กับไอ้ธรรมะกับศาสนา กับการปฏิบัติ ศาสนา ทำนองวันอุโบสถ ของ ของชาวพุทธสมัยนี้ ที่เรียกกันว่าวัน Sabbath Sabbath นี่ ไม่ทำอะไร ที่เป็นกิจการธรรมดาอย่างชาวโลก คือ ประกอบการงานไม่ได้ อยู่กันแต่ความ สงบพักผ่อน มีจิตใจอยู่กับ พระเป็นเจ้า ตลอดวันตลอดคืน หรือหลายวันหลายคืน แล้วแต่ว่าเขาจะทำ แต่ว่าอย่างน้อยมันก็มีอยู่ ๑ วัน ใน ๑ สัปดาห์
นี่เราจะเห็นได้ว่า ไอ้ความมุ่งหมายของการบวช ในความหมายใดก็ตามนั้น มันก็คือ เพื่อจะได้มี ชีวิตชนิดที่สูงกว่า ดีกว่า สะอาดกว่า อะไรกว่า กว่าธรรมดานั่น กันบ้าง กันบ้าง ถ้าอีกอย่างว่าชาวบ้าน ธรรมดา มาถือศีลอุโบสถ ๑ วัน ตั้ง ๑ คืน ๑ วันนะ เขาทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วกลับไป ทำอย่างนี้ทุก ๆ สัปดาห์ ก็จัดว่าเป็นการบวชได้เหมือนกัน คือ มันบวช ๑ วัน ก็ได้รับผล อ่า, ตามสมควร อ่า, แก่การกระทำ
ทีนี้ดูแล้วมันก็มองเห็นความหมาย อย่างที่กล่าวมาแล้วขั้นต้นว่า อ่า, เพื่อจะได้มีชีวิตชนิดที่ดีกว่า ธรรมดาอย่างไรนะ นี่พูดกันให้ง่าย ๆ เด็ก ๆ ก็ฟังถูก ว่าไอ้การบวชนั้นมันมุ่งหมายที่จะมีชีวิต ชนิดที่ดีกว่า ธรรมดา สักระยะหนึ่ง แล้วแต่ว่าจะกี่วันกี่เดือน และแม้จะเป็นการบวชจริง บวชตลอดไป บวชตลอดชีวิต มันก็เรียกว่า อ่า, ขึ้นไปอยู่ใน ระดับที่ดีกว่าธรรมดา ท่านจึงใช้คำว่า เพศสูง เพศสูง คือ เพศของนักบวช และใช้คำว่า เพศต่ำ เพศต่ำ คือ เพศของชาวบ้าน จึงเกิดการแบ่งแยก อือ, แตกต่างกันขึ้นมาอย่างนี้
ทีนี้เราจะพูดโดยกว้าง ๆ ทั่วไป ก่อนนะว่า ไอ้ชีวิตนี้มันจะได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช มันก็เห็นชัดแล้ว ไม่ใช่เฉพาะบวชอย่างที่เรากำลังบวชกันอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ เราบวช อ่า, การบวชทุกชนิดนะ ที่มนุษย์มันจะกระทำได้ มันก็จะ สรุปอยู่ตรงที่ว่า มันละเสีย เว้นเสีย จากภาวะที่ต่ำหรือธรรมดา หรือต่ำ ธรรมะ ต่ำเกินไป ต่ำธรรมดานี้ สักระยะหนึ่ง ไปอยู่ในภาวะที่มันสูงกว่า สูงกว่า นี่เป็นธรรมเนียม ขึ้นมา ก็คือ ชีวิตนี้ได้รับประโยชน์ อือ, จากการบวช ก็ตรงที่ ได้มีการอยู่กับภาวะที่สูงกว่าธรรมดา อ่า, เป็นคราว เป็นระยะไป ตามที่จะทำได้
แล้วก็คิดดู มันดีหรือไม่ดี มันดีหรือไม่ดี กว่าที่จะไม่ ไม่มีนะ ไอ้ทำอย่างนี้ มันดีหรือไม่ดี กว่าที่จะ ไม่มีเอาเสียเลย อือ, ถ้าจะดูกันอย่างว่า ในแง่ของสุขภาพอนามัย อือ, ก็จะเห็นได้ว่าชีวิตที่ได้รับการพักผ่อน ทางกายและทางจิตใจ มากกว่าธรรมดานั้น มันคงจะมีสุขภาพ คือ มีอายุยืน อายุยืน กว่าธรรมดา อ่า, ข้อความนี้ก็มีพบในอรรถกถา ในคัมภีร์ ที่เป็นความเชื่อ เป็นความนึกคิดของประชาชน ว่าการ ประพฤติพรหมจรรย์อยู่เป็น เออ, ประจำนั้นนะ ทำให้อายุยืนกว่าธรรมดา หรือว่าประพฤติพรหมจรรย์ ติดต่อกันสม่ำเสมอ ก็ยิ่งเป็นเหตุให้อายุยืนกว่าธรรมดา แม้จะประพฤติพรหมจรรย์สัปดาห์ละครั้ง ก็จะมี อายุยืนกว่าธรรมดา
นี่มันได้ผลแม้ทางฝ่าย ร่างกาย อ่า, ด้วย และก็ได้ ในทางฝ่ายจิตใจ คือ ได้อยู่กับไอ้ความสุขสงบ ประณีต สูงกว่าธรรมดาด้วย มันก็น่าจะถือว่าเป็นประโยชน์ อ่า, ที่คุ้มค่า อ่า, เป็นประโยชน์ที่พอกันกับการ ที่เสียสละ เขาจึงทำกันมาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี และย้อนระลึกนึก ลงไปถึงว่า ไอ้สัตว์เดรัจฉาน มันยังทำเป็น ต้นไม้ต้นไร่มันยังทำเป็นนะ ต้นไม้ยังมีระยะพักผ่อน หรือบางทีมันพักผ่อนเสียเป็นปี ๑ เลย ปี ๑ เว้นปี ๑ ก็มี พวกชาวสวนรู้ดีว่าถ้าเป็นลูกมากเกินไปก็ตายเร็วนะ คือ มันไม่มีการพักผ่อน ดังนั้นบางที เราต้องจัดให้มันได้รับการพักผ่อนนะ เพื่อต้นมันจะอยู่ แล้วมันก็จะแข็งแรง ดีกว่า อย่างนี้เป็นต้น
สัตว์เดรัจฉานก็ยังต้องการพักผ่อน ต้นไม้ก็ยังต้องการพักผ่อน แล้วมันก็พักผ่อน แล้วก็มันพิสูจน์ ได้จริงเหมือนกันว่า ถ้ามันได้รับการพักผ่อนแล้วมันดี กว่าที่ไม่ได้รับการพักผ่อน นี้คนทำไมจึงไม่ ไม่คิด กันบ้าง อือ, เดี๋ยวนี้ คนโง่หรือมันหลงนะ ด้วยเหตุชักจูง ด้วยเหตุปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่าง มาชักจูงให้โง่ ให้หลง แต่ส่วนสัตว์เดรัจฉานหรือต้นไม้ นั้นมันเท่าเดิม มันไม่โง่มันไม่หลง ไปเท่าเดิม ไปตามธรรมชาติ มันไปเท่าเดิม แล้วมันก็มีการพักผ่อนของมันอย่างสม่ำเสมอ และเป็นระเบียบ
ทีนี้คนนะมันมีความเจริญ ทาง เออ, สิ่งแวดล้อมนี่ วัตถุแวดล้อม สร้างสรรค์ขึ้นมา อะไรขึ้นมา ทำให้หลงได้กว่าธรรมดา หลงได้กว่าธรรมชาติ มันก็หมด การพักผ่อน จนกว่าจะมีความรู้สึกคิดนึก เออ, ถึงเรื่องนี้ จึงจะคิดนึกเรื่องการพักผ่อน เช่นว่าไปถือศีลกันเสียบ้างเถิด หรือว่าบวช กันเสียสัก เดือน ๒ เดือนเถิด
นี่นี่มันเป็น เป็นสิ่งที่จะพอมองเห็นได้ และมีเหตุผลอยู่เพียงพอในตัวว่า อ่า, การบวชนั้นเป็น ประโยชน์ แก่สิ่ง ที่เรียกว่า ชีวิต ให้มันได้รับการพักผ่อน สำหรับมันจะได้ยืนยาว เต็มที่ หรือว่าให้มันได้รับ โอกาส อ่า, ที่จะรู้สึก หรือเสวยผลที่ดี คือ ความเป็นอยู่ในระดับที่ดี กว่าธรรมดา กันเสียบ้างแม้เป็นคราว ๆ นั่นนะ ไม่เสียที จะได้รู้จักไอ้ชีวิตที่ สะอาดกว่า ดีกว่า บริสุทธิ์กว่า อะไรกว่านั้น กันเสียบ้างเป็นคราว ๆ ตลอดเวลาที่สมาทานศีล หรือประพฤติวัตรปฏิบัติ หรือประพฤติพรหมจรรย์ อ่า, อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสรุปรวมแล้วก็เรียกว่า การบวชได้ทั้งนั้น
เอาละเป็นอันกล่าวได้โดยครอบ จักรวาลเลยว่า อ่า, การบวชนั้น มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์แก่ชีวิต ถ้ามันได้ศึกษาและก็เป็นประโยชน์ในทางที่จะได้รับความรู้ ถ้าได้ประพฤติปฏิบัติ มันก็ได้ประโยชน์ใน ทางที่อยู่ในภาวะที่ดีกว่า สูงกว่า สงบสุขกว่า อะไรกว่า หรือจะมองกันในแง่ของการพักผ่อน ให้อายุมันยืน มันก็ได้รับการพักผ่อน ที่ทำให้อายุมันยืน นี่คือ ประโยชน์ อ่า, ของสิ่งที่เรียกว่า การบวช ที่จะมีได้แก่ ชีวิต โดยเฉพาะของมนุษย์เรา โดยทั่วไปตามธรรมชาติ มันมีอย่างนี้ ทีนี้โดยเฉพาะมันก็ไม่หนีไปไหนได้ โดยเฉพาะยุคนี้ อ่า, เฉพาะกรณีของเรา อ่า, ของพุทธบริษัท มันก็ไม่หลีกไปจากกฏเกณฑ์อันนี้ได้ ดังนั้นขอให้เราสนใจ ที่จะทำให้เราได้รับประโยชน์จากการบวช เต็ม ตามที่มันควรจะได้
เอาละทีนี้เราก็มาพูดกันถึงเรื่อง การบวชของเรา เป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาในลักษณะอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่บวชกันปีนี้ มานั่งกันอยู่อย่างนี้ จะทำอย่างไร นี่มันก็มีเรื่องมาก ว่าที่จริง เอามาพูด ให้หมดโดยรายละเอียดนั้น มันไม่ไหวแล้ว แต่ก็พูดได้โดยหัวข้อ อ่า, ที่เป็นหลัก ๆ นะ อ่า, ขอให้ผู้บวช เข้ามาแล้วนี่ มีความแน่ใจ แน่ใจอย่างยิ่งนะ ที่จะถือเอาประโยชน์จากการบวชนี้ให้ได้ และก็ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากด้วย
ดังนั้นมันก็ต้องมีการ บวชจริง บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ดีกว่านั้นก็คือ สอนสืบ ๆ ต่อ ๆ กันไปจริง แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ขั้นต้น บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ๔ จริงนี้ ถ้าได้ แล้วก็ คุ้มค่าบวชแหละ ไม่เสียทีที่บวช แล้วส่วนที่จะสามารถ สืบต่อศาสนา สอนผู้อื่นต่อไปได้ด้วยนั้น มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง อ่า, เพราะว่าถ้าไม่ได้อยู่ ตลอดไป มันก็ไม่ค่อยมีโอกาส หรือจะถือว่าสึกออกไปแล้ว ก็ไปสอนกันตามมีตามได้ภายในครอบครัว หรือใกล้ ใกล้ชิด ก็ยังได้เหมือนกัน เขาควรจะทำให้มันจริง ด้วยเหมือนกัน
นี่เราจะพูดกันถึงเรื่องบวชจริง อ่า, เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง อือ, เรื่องบวชจริงนี่ก็คือ รู้จักตัวการบวชนั้นนะ รู้จักความประสงค์มุ่งหมาย ไอ้ ใจความสำคัญของการบวช ถ้าว่าบวชเข้ามา ตามประเพณี เหมือนกับหลับตาบวชเข้ามาตามประเพณีก็ รีบศึกษา ให้มันรู้เสียทีว่า ไอ้บวชจริงนั้น คืออย่างไร ให้บวชตามประเพณี แล้วมันกลายเป็นบวชจริง ถูกต้องจริง ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วยืดยาว ข้างต้นว่า ความบวช การบวชมันมุ่งหมายอย่างไร จะให้ได้อะไร เรารู้ว่ามีอานิสงส์ มากถึงขนาดนั้น เราก็ตั้งใจที่จะบวชจริง
ไม่ให้รู้สึก เออ, ติเตียนตนเอง ไม่ไม่ อย่าให้เกิดการรู้สึกติเตียนตนเอง ว่าไม่จริง ว่าเหลวไหลอะไร ถ้ากลัวว่าจะงมงาย ก็ลองคิดดู ลองคิดคิดดู คิดสิคิดไปเองเลยว่า มันไม่มีส่วนที่จะงมงาย ขอให้เราบวชจริง ก็คือ เออ, ตั้งใจจริง ยอม อ่า, เสียสละ เสียสละ ความทุกข์ยากลำบากอะไร ก็ต้องเสียสละ ถ้าจะคิดว่าเรา ไม่จำเป็นจะต้องมา ทนลำบาก อยู่ที่บ้าน กินอยู่ตามสบายอะไรดีกว่า ถ้ามันอย่างนั้น มันก็ถูกไปตาม แบบนั้น แต่เดี๋ยวนี้จะมาเป็นอยู่อย่างนี้ กินอยู่อย่างนี้ รับถือวัตรปฏิบัติอย่างนี้ มันมีผลดีกว่า อือ, ค่อย ๆ ดูไป ค่อย ๆ สังเกตไป มันมีผลดีกว่าอย่างไร เมื่อมีความสมัครใจ อดกลั้นอดทน อดกลั้นอดทน บวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ ถึงขนาด น้ำตาไหลในบางกรณี อดทนถึงขนาดน้ำตาไหลในบางกรณี อย่างนี้ก็เอา เอา เอา ยังเอาอยู่ นี่เรียกว่า บวชจริง
อ่า, เพราะว่าพอมาอยู่ในแบบของการบวชนี่ มันลดต่ำลงไปหมดนี่ มันลดเป็นชีวิตอย่างต่ำนี่ ที่อยู่ที่บ้าน ถ้าถ้าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยด้วย แล้วมันก็กินอยู่อย่างที่เรียกว่า จะแข่งกับเทวดาอยู่แล้ว พอมา บวชเข้ามันก็ลดต่ำลงมา อือ, ไปแข่งกับอะไรดีล่ะ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏเล้าหมู ฟังยุง ร้องเพลง นี่ ไอ้หลักสูตรทั่วไปของเรามันมีอย่างนี้ กินข้าวจานแมวนั้น อย่างที่คุณฉันกันอยู่ทุกวัน นั่นนะ ไปเทียบกับที่เคยรับประทานที่บ้าน ใช้คำมันฟังง่าย ๆ ง่าย ๆ กินข้าวจานแมว เหมือนกับเราคลุกให้แมว กินอย่างนั้น อ่า, ไม่ได้เพ่งเล็ง ถึงไอ้สวยงามเอร็ดอร่อย อ่า, มีไอ้ค่า มีคุณค่า มีอะไรทั้งนั้น กลายเป็นเพียงว่า ชีวิตอยู่ได้ก็พอแล้ว จะใช้คำพูดอย่างอื่นก็ได้ ไม่ใช่คำว่า กินข้าวจานแมว อย่างเดียว ใช้คำพูดอย่างอื่นก็ได้
กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู คือ อาบน้ำในลำธาร ลำห้วย ซึ่งเหมือนกับคู มันก็แปลว่า ธรรมชาติ ธรรมดาที่สุด ครั้งพุทธกาลนะ เขาก็อาบน้ำในลำธาร ในห้วย ในหนอง ในลำธาร ตามธรรมชาติกันทั้งนั้น ก็หมายความว่า เป็นอยู่อย่างต่ำนั้นนะ คือ อาบน้ำในคูนะ ไม่ต้องมีอะไร ไม่ต้องมีห้องน้ำ ไม่ต้องมีสุขภัณฑ์ ไม่ต้องมีอะไร ไปอยู่กับธรรมชาติ กินความไปถึงสิ่งอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะการอาบน้ำอย่างเดียว นี่ก็หมายความว่าดำเนินชีวิต ในมาตราฐานที่มันต่ำนะ ต่ำขนาดที่ว่า อาบน้ำในคูตามธรรมชาติ นอนกุฏิ เล้าหมู คือ กุฏิเล็ก ๆ พออยู่ได้ เท่า ๆๆ คอกหมู ไม่มีเรื่องหรูหรา ไม่มีเรื่องสบาย ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับ อ่า, การนอน เหมือนที่ ชาวบ้านเขาทำกัน เพียงแต่พอนอนได้เท่านั้น เพียงแต่พอนอนได้ อาศัยจีวรนี่เป็นเครื่อง กันยุง เป็นเครื่องกันยุง เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล
ในพระบาลี เมื่อเราได้ตรวจสอบดูหมดแล้ว พบว่าไม่มีคำว่า มุ้ง ไม่มีคำว่า มุ้ง พระพุทธเจ้าเอง ก็ไม่รู้จักมุ้ง แล้วก็ท่านก็ใช้จีวรนี่เป็น เครื่องป้องกันยุง เหลือบ หนาว ร้อน อะไรก็แล้วแต่ ใช้กันยุงใช้จีวร มันจึงมีโอกาส ที่จะได้ฟังยุงร้องเพลง คือ มาทำเสียงนี่ ได้ยินอยู่ข้างหูนี้ มันก็แสดงว่าเราก็อยู่อย่างเดียวกับ ครั้งพุทธกาลนี่ และยังมีประโยชน์ในการที่จะฝึก ความอดกลั้นอดทน และยังมีประโยชน์ ในการที่จะฝึก เมตตากรุณา คือว่าเป็นเกลอกับยุงได้ นั้นมันก็เรียกว่า ฝึกเมตตากรุณา อย่างเต็มที่ นี่เป็นตัวอย่างที่จะ ที่พูด ให้สั้น ๆ ให้มันสรุปฟังง่าย ๆ ที่จริงความหมาย มัน มันมากกว่านี้ มากแผ่แผ่กว้างไปทุกอย่าง
นี่เราพูดกัน เพียง ๒-๓ อย่าง เรื่องกิน เรื่องอาบน้ำ เออ, เรื่อง นอนนี่ หรือเป็นเรื่องป้องกัน สัมผัส เลวร้าย จากสิ่งแวดล้อม ขอให้ถือเอาใจความว่า ให้มันง่าย ให้มันต่ำ ให้มันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เออ, ที่นี้ถ้าทำได้ มันก็อยู่ใน ความหมาย ที่เรียกรวม ๆ กันว่า มันบวชจริงนี้ ยังมีอีกหลายอย่างหลายประการนะ เช่น สิกขาบทวินัยต่าง ๆ ยังมีอีกหลายอย่างหลายประการ นี่เราพูดกันเพียงว่า ง่าย ๆ ๔ อย่าง ทั้งธรรมะ ทั้งวินัยนี้ ก็บวชแล้วหลายวันแล้ว ก็มีโอกาสศึกษาไอ้พระวินัย โดยเฉพาะปาติโมกข์นี่ จากหนังสือ ตำหรับ ตำรา แล้วพอสมควรก็ พิจารณาดูเองก็แล้วกัน ว่าท่านมุ่งหมายกันอย่างไร
ศึกษาพระวินัยในนวโกวาทนะ เสียสักจบ แล้วใคร่ควรดูทีละข้อ ดูทีละข้อนี้ จะพบ จนพบว่า ท่านมุ่งหมายอะไร จึงให้ทำอย่างนั้น โอ้ย, มันครบหมด ครบบริบูรณ์ทุกอย่าง รวมความแล้ว ให้เป็นคนดี ให้เป็นคนที่ดีกว่าธรรมดา ในทุกแง่ทุกมุม เป็นคนระมัดระวัง ไม่พลั้ง ไม่เผลอ มีสติสัมปชัญญะ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ มีความอดกลั้นอดทนถึงที่สุด รักษาภาวะสังคมได้ดี ถ้าเราถือ ตามวินัยบัญญัติ แต่ละข้อละข้อนั้น แล้วก็จะเป็นสังคมที่ดีเสิศ หมู่สงฆ์จะเป็นสังคมที่ดีเลิศ เราก็ตั้งใจอุทิศชีวิต เพื่อจะประพฤติกระทำตามนั้น นี่ก็เรียกว่าบวชจริง บวชจริงนะ ที่เรียนจริง มันก็อย่างที่ว่า เรื่องอะไรที่ต้องเรียนก็เรียน
สมัยนี้สะดวกดาย มากในการเรียน คือ มีหนังสือหนังหาซื้อมาเรียนเองได้ ถ้าสมัยก่อนแล้ว มันต้องไปขอเรียนจากบุคคล จากบุคคลนะ เขาบอกให้ด้วยปาก สักข้อสองข้อ ก็ทั้งยาก แลัวมันก็ลำบาก เดี๋ยวนี้ง่ายนี่ จะเรียนให้จบพระไตรปิฏกก็ได้ ถ้าสนใจจะเรียน แต่เอาเป็นว่าเราจะเรียน เฉพาะที่จำเป็น ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ ดับทุกข์ให้ได้ มันไม่มากนัก มันไม่มากนัก เฉพาะข้อที่มันจะดับทุกข์ได้ แล้วดับทุกข์ของเราโดยเฉพาะด้วย มันก็ลดลงมา ไม่ต้องเรียนทั้งหมด ไม่ต้องการจะเป็นนักปราชญ์ ที่ว่าจะ เออ, รุ่งเรือง โด่งดังอะไร ซึ่งจะต้องเรียนมาก นี่เรียนจริงเรียนจริงเฉพาะที่จะดับทุกข์ได้เท่านั้น ก็คือเรื่องที่ เห็น ๆ กันอยู่แหละ ที่เคยบรรยายแล้ว ที่เคยพิมพ์กันแล้ว ว่าจะดับทุกข์กันอย่างไรนั้น
ทีนี้ เออ, ข้อต่อไปก็คือว่า ลำพังเรียนนะ มันไม่สำเร็จประโยชน์ มันต้องปฏิบัติตามที่เรียนนั้นด้วย เหมือนข้าวเปลือกกินไม่ได้ ต้องทำให้เป็นข้าวสาร เป็นข้าวสารแล้วยังกินไม่ได้ ก็ต้องกลายเป็นข้าวสุก มันจึงจะกินได้ นี่เราเรียนได้ความรู้ชั้นต้นมาก็เหมือนกับข้าวเปลือก เหมือนกับข้าวสารไปตามลำดับ แล้วมาปฏิบัติ ให้สำเร็จประโยชน์ เหมือนข้าวสุกกินได้ กินแล้วก็สำเร็จประโยชน์ นี่จะต้องปฏิบัติจริง ในบรรดา ข้อธรรมะที่มันจะดับทุกข์ได้นี่ จะต้องปฏิบัติจริง ต้องปฏิบัติจริง อ่า, จริงยิ่งกว่าสิ่งใดนะ ถ้ายังเห็นแก่ความพักผ่อนสบาย ตามสบายแล้วมันก็ทำไม่ได้จริง มันต้องเสียสละสิ่งเหล่านั้นนะ จึงจะเกิด การปฏิบัติจริงขึ้นมา ถ้ายังต้องการจะเล่นจะหัว จะคลุกคลี อ่า, กันเป็นหมู่ หรือจะเพลิดเพลินอย่างใด อย่างหนึ่งละก็ อยู่การปฏิบัติจริง มันก็มีไม่ได้
ขอให้สังเกตดูเอาเอง เกี่ยวกับปัจจัย ๔ โดยเฉพาะนี่เรื่องอาหาร เรื่องบิณฑบาตร เรื่องจีวร เรื่องเสนาสนะ เรื่องหยูกยา นี้เป็นหลักพื้นฐานทั่วไป รองรับข้อปฏิบัติอย่างอื่น ก็ปฏิบัติจริง จริงมันไม่มี ผิดพลาด จนเกิดเป็นโทษเป็นอันตรายขึ้นมา มันจะมีอย่างนี้บางทีถ้าว่าเอาจริง อาจจะถึงกับหลั่งน้ำตา ถึงความไม่ได้ ตามที่มันหิว ตามที่มันกระหาย ตามที่มันต้องการ ด้วยอำนาจของกิเลส เดิม ๆ อย่างนี้ มันก็จะถึงกับน้ำตาออกมาได้ และในสมัยโบราณเขาก็เคยผ่าน กันมาแล้ว เขาเรียก ประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยน้ำตา เขาถือเป็นของธรรมดา เป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญ และก็ผ่านไปให้ได้ เรียกว่า การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา
ถ้าไม่จริงมันก็ไม่มีหรอก ไอ้คนไม่จริง มันก็เลี่ยง ๆๆ ไปเรื่อย โดยไม่ต้อง ไม่ไม่พูดถึงน้ำตา แม้แต่อะไรที่น้อยกว่านั้น ก็ยังจะไม่มี แต่ถ้าเป็นผู้จริงไม่เลี่ยง เป็นผู้สู้หน้า ในการประพฤติพรหมจรรย์ โดยแท้จริง มันก็มีเหมือนกันนะ บางโอกาสถึงกับจะต้อง อ่า, น้ำตาไหล บางทีก็น้อยอกน้อยใจ ว่าเคย กินดีอยู่ดี อยู่ที่บ้านสบาย ทำไมต้องมานอนลำบากอยู่อย่างนี้ เป็นต้น มันอาจจะน้ำตาไหลก็ได้ แต่ถ้าถือ หลัก ว่า ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา เป็นของ อ่า, เป็นของถูกต้องสำหรับเรา แล้วก็ไม่มีปัญหา
ทีนี้ข้อที่ว่าได้ผลจริง ได้ผลจริง นี้เกือบจะไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว เพราะว่าถ้ามันมีการปฏิบัติจริง ปฏิบัติจริง แล้วมันก็ต้องได้ผลจริง และมันก็อยู่ที่ว่าการปฏิบัตินั้นมันถูกต้อง มันไม่งมงาย มันถูกต้อง แล้วมันก็ต้องได้ผลจริง ดังนั้นเราก็จะควมคุม ความรู้สึกของเราได้มากขึ้น ตามลำดับ จิตที่มัน อ่า, เหลวแหลกเหลวไหล และมี การพูด การกระทำ ที่เหลวไหล ที่ใช้ไม่ได้นะ มันจะลดไป มันจะหายไป มันจะ หาย ๆ ไป มันก็จะเหลืออยู่แต่ที่น่าพอใจแหละ การกระทำก็ดี การพูดก็ดี การคิดนึกก็ดี นี่มันก็ถูกต้องขึ้น ดีขึ้น ๆ จนเป็นที่พอใจตนเอง รู้สึกอยู่กับตนเองว่า นี่เป็นของแปลกของใหม่ ที่เราได้ทำให้เกิดขึ้น เพราะว่า แต่ก่อนนั้น มันไม่มีนี่
ทีนี้ดูให้ละเอียด ละเอียด มันก็พบมากขึ้น ๆ เกิดความเคารพตนเอง เคารพสิกขา เคารพไอ้การ ประพฤติปฏิบัติของตนเอง นั่นนะคือ เครื่องรับประกันว่า ถูกต้องแล้ว ถ้ายังเคารพตนเองไม่ได้ก็ยังใช้ไม่ได้ กิเลสมันยังมีเล่นตลกอยู่ ถ้าได้ประพฤติปฏิบัติจนเกิดผลขึ้นมา จนเห็นได้ด้วยตนเอง รู้สึกได้ด้วยตนเอง ว่ามันดีอย่างนั้น มันดีอย่างนั้น คือ มันละอะไรได้อย่างนั้น และมันมีอะไรเกิดขึ้นมาใหม่อย่างนี้ ส่วนที่ควร ละก็ละไปเสีย ส่วนที่ควรจะมี มันก็มีมามีอยู่ อ่า, พอใจตัวเอง เรียกว่า มีปีติปราโมทย์ ในการประพฤติ พรหมจรรย์ ยกมือไหว้ตนเองได้ อ่า, ถึงขนาดยกมือไหว้ตนเองได้ จะไหว้หรือไม่ไหว้ก็สุดแท้ แต่ในใจมัน รู้สึกถึงขนาดที่ว่า มันยกมือไหว้ตนเองได้ นี่เรียกว่า บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง
นี้ข้อที่ว่า สอนผู้อื่นสืบต่อไปจริงนั้น มันก็มีอยู่ว่าเราจะอยู่ต่อไปและก็ปรับปรุงมากขึ้น จนสอน ผู้อื่นได้จริง ถ้ากลับไปสู่เพศฆราวาส มันก็เตรียมไว้บ้างสิ อะไรที่พอจะติดกลับออกไปสอนผู้อื่นได้บ้าง ก็ขอให้มันสอนได้จริง สอนได้จริงเถิด อย่าให้มันเสียทีที่ได้บวช คนเขาหวังกันอยู่ทั้งนั้น ว่าเราบวชแล้ว จะต้อง ดีกว่าเดิม จะต้องเป็นที่ไว้วางใจได้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่จะเป็นพ่อตาแม่ยายในอนาคต นะเขาหวังมาก สำหรับคนบวชนี่ ถึงแม้มิใช่คนพวกนั้น คนพวกอื่นเขาก็หวัง บิดามารดาของเราก็หวัง ญาติพี่น้องก็หวัง เราก็จะทำชนิดที่จะไม่ให้เขาผิดหวัง คือ แสดงบทบาท อ่า, ของผู้ที่ได้บวชแล้ว อย่างเพียงพอ มันก็เป็นการช่วยกันเผยแผ่ธรรมะ แม้ในเพศของฆราวาส เรียกว่า สืบอายุพระศาสนา ในระดับหนึ่ง ได้เหมือนกันแหละ
อย่าคิดว่าเป็นฆราวาสแล้วไม่มีทางจะสืบอายุพระศาสนา มันก็มีทางที่จะทำได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่มาก เหมือนกับบรรพชิต เรารู้อะไรเราก็ช่วยคนอื่นได้รู้ได้รับประโยชน์ เต็มที่ ในการที่จะดับทุกข์ ดับทุกข์ให้ได้ ช่วยกันตั้งสมาคม ประจำหมู่บ้านตำบลอะไรขึ้นมาเพื่อจะประพฤติ ธรรมะ อ่า, กันให้เต็มที่ อย่างนี้ก็ยิ่งเป็นการสืบอายุพระศาสนาอย่างยิ่ง เพราะว่าทำให้เกิดการกระทำจริง ๆ ขึ้นมา มันมองเห็นว่า มันเป็นสิ่งที่มีได้ และก็ตั้งใจแน่วแน่ ที่จะทำให้มีขึ้นมาจนได้ ในเรื่องที่จะบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง และสอนสืบต่อ ๆ กันไปจริง อ่า, ครั้นได้อย่างนี้แล้ว ก็ตอบปัญหาได้เอง ว่าชีวิตนี้จะได้รับ ประโยชน์อะไรจากการบวชเล่า ชีวิตนี้จะได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช ขอให้ทุกองค์ตอบปัญหานี้ ให้ได้ด้วยตนเองได้ในที่สุด แม้ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ในวันหลังก็ได้ในโอกาสสุดท้ายก็ได้
ถ้าตอบได้เองทุกคนนะว่า ชีวิตนี้จะได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช แล้วเราก็รู้จักสิ่งที่เรียกว่า การบวช การบวช การบวชนั้น เออ, อย่างถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะว่าได้บวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริง เป็นจริงมาแล้ว มันก็รู้จักการบวชที่แท้จริง ก็รู้ได้เองว่า ชีวิตนี้ได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช ก่อนนี้เรา เข้ามาบวชทั้งที่เรายังไม่รู้ว่า การบวชคืออะไรก็มี หรือรู้น้อยเกินไปยังไม่พอ แต่เดี๋ยวนี้ขอให้เป็นว่า แม้จะบวชอยู่เพียง ๓ เดือนนะ ก็จะต้องรู้เรื่องการบวช รู้จักการบวชถึงที่สุด อ่า, แม้ว่าจะปฏิบัติไม่ได้หมด ทั้งหมดถึงที่สุด แต่ก็รู้ว่าการบวชนั้นคืออะไร อ่า, ยังต่อไปข้างหน้า ที่ยังไม่บรรลุ ไม่ ไม่ถึง ก็รู้ได้ว่า มันคืออะไร ก็เป็นอันว่า ไอ้รู้ว่าการบวชนั้นนะ มันมีประโยชน์อย่างไร มีอานิสงส์อย่างไร
มนุษย์ ดึกดำบรรพ์ได้เคยรับประโยชน์จากการบวชมาอย่างไร และก็สืบ ๆ ต่อกันมาอย่างไร จนเกิดการบวช อ่า, ระบบที่ดีที่สุด เช่น อ่า, ระบบเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาอย่างนี้ ท่านเตรียมให้เรา สำเร็จ สำเร็จรูป เราก็ ศึกษาและปฏิบัติได้โดยง่ายดาย ไม่เหมือนกับยุคดึกดำบรรพ์โน้น ที่ยังไม่มีใคร รู้เรื่องอะไร ไม่มีใครสอนใคร ต้องไปคว้าต้องคลำ อ่า, กันไปตามลำพังนี้ เขายังทำได้ คิดดูสิ เขาก็ยังทำได้ สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา นี่เรียกว่า อ่า, เขาต้องลำบากมากกว่าเรามาก เขาก็ยังทำสำเร็จ เราได้รับ ความพอใจอย่างยิ่งเต็มที่ มาทุกยุคทุกสมัย แล้วมันก็สูงขึ้น ๆ ๆ ก็เต็มที่มาทุกยุคทุกสมัย จนกว่าจะเกิด พระพุทธศาสนา อ่า, นำให้บรรลุธรรมะสูงสุด ดับทุกข์สิ้นเชิง มีจิตใจอยู่เหนืออิทธิพลของโลก
ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นปัญหา ไม่มีอะไรเป็นความทุกข์ แก่บุคคลชนิดนี้ นี่ได้รับประโยชน์ชนิดที่ เรียกว่า อยู่เหนือโลก ไม่ต้องตายไปไหนแล้ว ไม่ต้องตายไปไหน มันก็อยู่ในโลกนี้ แต่มันมีภาวะจิตใจ ชนิดอยู่เหนือปัญหาทุกอย่างในโลก ก็เรียกว่า โลกุตระ คือ เหนือโลก โลกุตระ อ่า, คือ เป็น อ่า, พระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ และนิพพาน สิ่งที่เป็นโลกุตระ หรือฝ่ายโลกุตระก็จัดไว้ แยกเป็น๒, ๒ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็น ๙ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล เป็น ๘ บุคคล และ ๙ ทั้งนิพพาน นี่ ท่านถือหลักกันมาอย่างนี้
ล้วนแต่เป็นพวก ที่อยู่เหนือการบีบคั้น อ่า, ของสิ่งต่าง ๆ ในโลก อารมณ์อะไรในโลกที่บีบคั้น คนให้ต้องเป็นทุกข์ทรมานนั้นนะ เดี๋ยวนี้จะไม่บีบคั้นบุคคลชนิดนี้ได้ เพราะว่าเขาอยู่เหนือโลก เหนือการบีบคั้น ของสิ่งต่าง ๆ ในโลก นั้นนะเหนือโลกแล้วเรื่องมันจบ มันไม่มีอะไรดีกว่านั้นแล้ว ปรับปรุงจิตใจ อบรมจิตใจ มาอย่างถูกต้อง จนมันเปลี่ยนไปเปลี่ยนไป อยู่ในสภาพที่ว่า โลกนี่จะทำอะไร มันอีกไม่ได้ จะทำให้มันเป็นทุกข์อีกไม่ได้ กิเลสเกิดไม่ได้ เราก็เป็นทุกข์ไม่ได้ นี่เรียกว่า เหนือโลก นี่เป็น คำตอบสุดท้ายว่า ชีวิตนี้จะได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช มันก็มาจบกันที่อยู่ที่ว่า เหนือโลก เหนือโลก ทำชีวิตนี้อยู่เหนือโลก แล้วก็เป็นอันว่า จบคำถามคำนั้น
วันนี้เราได้พูดกันถึงหัวข้อว่า ชีวิตนี้จะได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช เมื่อวานนี้ก็พูดว่า ชีวิตนี้ ควรจะได้รับอะไร นี่มันก็คล้าย ๆ กับว่า เป็นการตอบ กันให้สมบูรณ์ในวันนี้ เมื่อชีวิตนี้มันได้เข้ามา สู่ขอบเขตของการบวช ดังนั้นจึงถือว่าไอ้ระบบการบวชนั้นนะ ไม่เฉพาะในพระพุทธศาสนานะ ระบบการ บวชทั้งสากลจักรวาลที่ได้ ค่อย ๆ มีมาค่อย ๆ มันก็คือ ไอ้สิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตนี้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น ๆๆ ดังนั้นเราก็จะยังมีการบวช กันสืบต่อไป ตลอดกาลนาน ตลอดที่ชีวิตมันยังมีอยู่
เอาละการบรรยายในวันนี้ สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้จดจำใจความสำคัญ ๆ ไว้ ให้แม่นยำ จะมีประโยชน์ในการฟัง หรือการศึกษาในครั้งหลัง ๆ ต่อไปข้างหน้า อ่า, ขอ ยุติการบรรยาย และปิดประชุม