แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ เออ, เป็นวันแรก ของการบรรยายสำหรับผู้บวชใหม่ เออ, ตามที่เคยกระทำมา แต่ละปี
คือความมุ่งหมาย ก็เพื่อภิกษุบวชใหม่โดยเฉพาะ ภิกษุบวชเก่าก็ฟัง ในฐานะย้ำความรู้ ความเข้าใจ เออ, ตามที่จะสมควร ก็ถือเป็นระเบียบ หรือว่า เออ, เป็นประเพณี ที่ต้องบรรยายสำหรับภิกษุผู้บวชใหม่ ชุดหนึ่งเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ ภิกษุราชภัฎ ซึ่งส่วนมากก็ไม่เคยบวชเณร หรือไม่เคย เออ, ศึกษาอะไรมาก่อน เพื่อให้ได้รับ ประโยชน์ ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ยังมีการบรรยายจุดนี้ ขอได้ตั้งใจฟัง ให้สำเร็จประโยชน์ มันเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไป ของเรื่องทั้งหมด คือ การบรรยายโดยหัวข้อว่า “ชีวิตนี้มันควรจะได้อะไร”
ครั้งที่หนึ่งนี่ เรามีหัวข้อว่า “ชีวิตนี้มันควรจะได้อะไร” ที่จริงมันก็กินความไปถึงว่า เกิดมาทำไม นั่นแหละ แต่คำถามว่าเกิดมาทำไมนั้น มันไม่ค่อยจะตรง อ่า, กับข้อเท็จจริงอยู่บางอย่าง เช่นว่า บางคน หรือส่วนมากนี่ ไม่ได้ตั้งใจที่จะเกิดมา ไม่ได้มีความรู้สึกตัว มาก่อนแต่ที่จะเกิดมา จึงไม่มีการเตรียม สำหรับว่า เราจะเกิดมา เพื่อได้อะไร เพื่อเอาอะไร ในการถามว่าเกิดมาทำไมนี่ มันจึงไม่ค่อยตรงจุด หรือว่ายังแคบไป แต่เดี๋ยวนี้ เออ, มันก็เป็นที่แน่นอน เห็นชัดอยู่แล้วว่า เราได้เกิดมาแล้ว และเราก็ได้มีความรู้สึกจริง ๆ ว่า เราก็ได้เกิดมาแล้ว นั่นนะมันจึงเกิดปัญหาขึ้นมา อย่างถูกต้องตามเรื่องของมัน ว่าเราควรจะได้อะไร ถ้าว่าเราได้ ได้ทำให้ได้รับอะไร เป็นตามที่ควรจะได้รับ แล้วมันก็เป็นการตอบปัญหาย้อนหลัง ไปถึงว่าเกิดมาทำไม เออ, ได้ด้วยเหมือนกัน คือ เกิดมาเพื่อจะได้สิ่งที่ควรจะได้นั่นเอง
สำหรับเราพุทธบริษัท ก็มีปัญหา หรือหลัก หลักการ หลักเกณฑ์ก็ตามเฉพาะ เพราะว่าเราไม่ได้ถือลัทธิ ว่าพระเจ้าสร้างเรามา อะไร ๆ ก็ต้องเป็นไปตามที่พระเจ้า ท่านจัดให้ บังคับให้ นี้ถ้าว่าเป็นลัทธิอื่น หรือศาสนาอื่น ที่เขามีพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด เขาก็จะมีหลักไปในทำนองนั้นว่า เกิดมาตามต้องการของพระเจ้า แล้วเราก็ไม่มี ทางเลือก นอกจากจะได้ สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ แต่คำตอบอย่างนี้ มันใช้กันไม่ได้กับพุทธศาสนา ถ้าจะใช้ได้ มันต้องแปลความ แปลความ คำว่า พระเจ้าหรืออะไรเหล่านี้กันเสียใหม่ ซึ่งเห็นว่ามันเกินจำเป็น ดังนั้นเราก็แยก กันดีกว่า ถ้าถือพระเจ้า ก็เกิดมาตามความต้องการของพระเจ้า แล้วก็จะได้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ หรือว่าจะต้อง ปฏิบัติให้เป็นที่พอใจพระเจ้า แล้วก็ได้รับสิ่งนั้น
ที่นี้พุทธบริษัทเรานี่ ไม่มีพระเจ้า ถือว่ามันมีมนุษย์เกิดขึ้น โดยวิวัฒนาการ ตามวิวัฒนาการ อยู่ภายใต้กฎของวิวัฒนาการ ถ้าจะเอากันตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ที่มีจะมนุษย์ขึ้นมาในโลก มันก็เป็นวิวัฒนาการ เป็นมนุษย์คนแรก ขึ้นมาแล้วคล้าย ๆ คนครึ่ง ปลาครึ่ง มันก็ยังมีวิวัฒนาการ ก็มีวิวัฒนาการ ภายใต้กฎของ วิวัฒนาการเรื่อยมา ๆ นั่นก็แล้วแต่ ความรู้ ความรู้สึก หรือการศึกษา ที่มันจะมีอยู่อย่างไร มันก็คิดนึกไปทำนองนั้น ดังนั้นมันจึงมีอะไรตรง เกือบจะตรงกันข้าม ที่ว่าเรา ไม่ได้เป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างมา เราเชื่อว่าอย่างนั้น กับผู้ที่เขา เชื่อว่าพระเจ้าสร้างมา เขาก็ต้องมีหลักการอย่างอื่น
บอกกันเสียเลยก็ดีเหมือนกันว่า เขาแบ่งคนเป็น ๒ พวก กันโดยหลักเกณฑ์อย่างนี้ พวกหนึ่งเขาเรียกว่า creationist creation ที่แปลว่า การสร้าง การเนรมิตนะ creationist พวกนี้ถือว่า มีผู้สร้าง มีพระเจ้าสร้าง ก็มีอยู่ ในโลกไม่น้อย ไม่รู้ว่าใครมากกว่าใคร ทีนี้มีพวกหนึ่งไม่เชื่ออย่างนั้น ไม่ยอมเชื่ออย่างนั้น โดยถือว่ามันเป็นมาตาม วิวัฒนาการ พวกนี้เขาเรียกว่า evolutionist evolution นะ วิวัฒนาการ evolutionist ก็คือ ผู้ที่ถือว่ามันมีวิวัฒนาการ ไม่มีพระเจ้า มันแยกกันได้ง่าย ๆ เลย เช่น บางที่เขาจะถามเราเป็นคำแรก คุณเป็นพวกไหน creationist หรือ evolutionist เราก็รู้ รู้ตัวเราเอง เราก็รู้จักผู้อื่น พวกที่เป็น creationist บางทีจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป
นี่คือข้อที่มัน จะรู้สึกเหมือนกันไม่ได้ หรือว่าต้องการเหมือนกันไม่ได้ ประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน อ่า, ไม่ได้ แต่ว่ามันน่าหัวที่ว่า ดูจะหวังผลเหมือนกัน ในจุดหมายปลายทาง คือ ความสงบสุขชนิดซึ่งเป็นที่พอใจ โดยความหมายเป็นอย่างนั้น แต่โดยคำพูดหรือเนื้อหาของเรื่องก็ ก็ไม่อาจจะเป็นอย่างเดียวกันได้อีกแหละ เพราะว่า บรรดาลัทธิศาสนาทั้งหลาย ที่มีพระเจ้านั้นนะ เขาก็สอนกัน ให้มุ่งหมายการไปอยู่ ร่วมกันกับ พระเป็นเจ้า เป็น เอกีภาพอยู่ในเซ็ตกัน (นาทีที่ 11:02)กับพระเจ้าเลย จุดหมายปลายทางเป็นอย่างนั้น
ส่วนพวกที่ไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น เช่น พุทธศาสนาอย่างนี้ ก็มีวิธีของตัว มีหลักเกณฑ์ของตัว คือ ไปจบลงที่ภาวะสุดท้าย ไม่มีความทุกข์ใดๆ เหลืออยู่ แล้วก็เมื่อดับชีวิต ดับแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาแล้ว ก็ไม่มี คำตอบอีก แต่ว่าให้พยายามศึกษา ประพฤติ ปฏิบัติ จนจิตของเราน่ะ รู้จักกันกับภาวะแห่งจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีความทุกข์เลย ไม่รู้จะเป็นทุกข์กับใครได้ เพราะได้อบรมจิตนั้น จนความทุกข์เกิดขึ้นในจิตไม่ได้ อีกต่อไป หรือว่าได้อบรมจิตนั้น จนกิเลสเกิดขึ้นในจิตไม่ได้อีกต่อไป เมื่อกิเลสไม่เกิด ความทุกข์ก็ไม่เกิด ความหมายก็เดียว ๆ กันแหละ ถ้าไม่เกิดกิเลส ก็ไม่เกิดทุกข์ ถ้าไม่เกิดทุกข์ก็เพราะว่ามันไม่เกิดกิเลส จุดหมาย ปลายทางอยู่ที่จิตเป็นอย่างนั้น จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย คือ ร่างกายแตกตายทำลายลง จิตก็ปิดตัวเอง แต่เพื่อจะพูดให้มันเป็นลักษณะ positive สักหน่อย เขาก็พูดว่า จิตนั้นเข้าถึงสภาพนิรันดร คือ ความไม่มี ทุกข์นิรันดร แล้วก็กลายเป็นสภาพนิรันดร อย่างใดอย่างหนึ่งของธรรมชาติไป แต่ผมเองรู้สึกว่าการพูดอย่างนี้ มันเป็นการพูดเพื่อหวังดี เพื่อโฆษณาอะไรอยู่มาก แต่ถ้าดูตามพระบาลีแล้ว สิ่งที่มีเหตุ มีปัจจัย พอสิ้นเหตุ สิ้นปัจจัย มันก็ดับไป อย่างที่เรียกว่า ตอบไม่ได้ว่าไปไหน เหมือนกับไฟอย่างนี้ พอหมดน้ำมัน หมดเชื้อ หมดไต้ ไฟนั้นมันก็ดับไป ก็ไม่มีใครตอบได้ ไฟนั้นไปไหนอย่างนี้ จึงไม่ต้องถามแล้วก็ไม่ต้องตอบ มันก็แปล มันถึงที่สุด จบเรื่อง ถามไปทำไมป่วยการ เอาแต่ว่าให้ได้รับ ไอ้สิ่งที่ไม่มีความทุกข์เลยนั่นแหละ อ่า, ก็แล้วกัน ทันในชีวิต นี่ก็แล้วกัน
ที่นี้ปัญหายุ่งยากปลีกย่อย มันออกไปจากบางพวก มันเชื่อว่ามีการเกิดใหม่ มีอะไรก็ด้วย ก็เลยยืดออกไป ยืดออกไป กี่ชาติก็ได้ กี่ชาติก็ได้ จนกว่าจะได้บรรลุไอ้ภาวะอย่างนี้ อย่างนี้ ก็ได้ ไม่เป็นไร ก็ไม่ผิดอะไร มันคงยึดถือ ไว้ได้ ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ว่า จะต้องได้บรรลุถึงสภาพสูงสุด ไม่มีความทุกข์เลย ก็ ก็เรียกกันว่า พระนิพพานนี่ บรรลุถึง พระนิพพาน ฝ่ายโน้นเขาก็ว่า ถึงพระเป็นเจ้า อยู่กับพระเป็นเจ้า เป็นอันเดียวกันกับพระเป็นเจ้า ฝ่ายนี้ก็พูดว่า ลุถึงนิพพาน หรือจะพูดให้มันเป็นบุคคลสักหน่อย ก็จะเข้าสู่พระนิพพาน แต่คำว่า เข้าสู่พระนิพพานนี่ไม่มีนะ ในพระภาษา ในภาษาคัมภีร์ ในพระบาลีมันไม่มีนะ ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า เข้าสู่พระนิพพานอะไร ในพระบาลี ในหลักธรรมะแท้ ๆ มันไม่มี เข้าสู่อะไรที่ไหน มันดับไป ตโช ตะเสวะ นิพพานัง (นาทีที่ 15:38)
นั่นแหละคำสุดท้าย ตโช ตะเสวะ นิพพานัง (15:48) ดับไปเหมือนกับการดับไฟฉะนั้น ถ้าชีวิตมัน ยังอยู่ มันก็เหมือนกับไฟยังลุกอยู่ ถ้าไฟมันดับ ไอ้เรื่องมันก็จบ มันก็ควรจะจบ มันไม่ปัญหาแล้วนี่ เดี๋ยวนี้ ปัญหาอยู่ที่ความทุกข์นี่มันยังมีกิเลส ชีวิตนี่มันยังมีกิเลส ชีวิตมันยังมีกิเลส มันก็ยังไฟลุกอยู่ มันก็มีความร้อน ในตัวชีวิต แล้วไฟนั้นก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน มันเป็นเรื่องที่จิตมันสร้างขึ้นเอง มันเป็นกิเลสที่จิตมันสร้างขึ้นมาเอง เป็นราคะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ ๓ อย่างนี้เรียกว่า ไฟ
ในหลักธรรมะ ไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ แล้วมันก็เกิดขึ้น ด้วยความโง่ของชีวิตนั้น หรือจิตนั้น ในขั้นที่มันไม่รู้อะไร มันเป็นจิตธรรมดาสามัญเกินไป พออะไรเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก เป็นต้น ได้รับสัมผัส แล้วมันโง่ มันก็หลงรักที่น่ารัก ก็หลงเกลียดที่น่าเกลียด มันก็เลยปรุงเป็นกิเลส เป็นราคะ โทสะ โมหะขึ้นมา เป็นไฟ โดยสมบูรณ์ กว่าไฟนั้นมันจะดับ พอไฟเรื่องนี้ดับ ไฟเรื่องอื่นมาอีก อย่างนี้เรื่อย ๆ ไปในชีวิต เดี๋ยวเข้ามา ทางเรื่อง ของตาเรื่อง เดี๋ยวเข้ามาทางเรื่องของหู เดี๋ยวก็ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางจิตใจเอง ทำให้เกิดไฟได้อยู่บ่อย ๆ เป็นปกติวิสัย ซึ่งไม่ต้องทำอะไร มันเป็นของมันเอง ตามประสาคนธรรมดาที่ยังไม่รู้อะไร ที่มันเกิดมาแล้วมันไม่รู้ มันเกิดมาแล้ว มันได้เกิดขึ้นมาแล้วมันก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยสู้กับไฟ เรื่อยไป ๆ จนกว่าจะสามารถดับไฟ เสียได้ นั่นนะเรื่องจบ กลายเป็นว่าเกิดมาเพื่อได้สิ่งนั้นแหละ ได้ภาวะที่ปราศจากไฟ ปราศจากความทุกข์ ที่นี้มันคงจะน่าหัว ถ้าสมมติว่า เรารู้แต่ก่อนที่จะมาเกิด รู้ก่อนที่จะเข้าท้องมารดา จะมาเกิดนี่ เรารู้ว่า เกิดมาแล้ว มันจะต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ คือ ไฟ หรือความทุกข์ในโลกนี้ คงไม่อยากเกิดก็ได้ คงไม่มาเกิด คงไม่อยากเกิด คงหยุดเสียเพียงเท่านั้น ไม่อยากเกิด ไม่มาเกิด มันอาจจะเป็นถึงขนาดนั้น แต่เดี๋ยวนี้ เราก็ไม่รู้ เรื่องนี้นี่ เราก็เกิดมาโดยที่มีบิดา มารดาเป็นแดนเกิด โดยที่เราก็ไม่ได้รับรู้อะไร ไม่ได้อยากเกิด แต่มัน มันปฏิเสธ ไม่ได้ เพราะว่ามันได้เกิดมาแล้ว มันได้เกิดมาแล้ว มันได้เป็น ได้เกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่งขึ้นมาแล้ว มันก็หลีก ปัญหานี้ไม่พ้นว่า จะต้องทำอะไร จะต้องทำอย่างไร จึงจะไม่เสียทีที่เกิด
ทีนี้ถ้าสมมติว่า ใครคนใดคนหนึ่ง มันยอมเสียทีเกิด เสียชาติเกิด เอ้า, ก็ไม่ต้องทำอะไรสิ ไม่ต้องเรียนอะไร ไม่ต้องศึกษาอะไร ปล่อยไปตามเรื่อง แล้วมันก็จะมีแต่ความทุกข์ ทนไม่ไหวก็ได้ อย่างน้อยมนุษย์ มันก็ต้องศึกษา เรื่องที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์ ตามที่จะทำได้ แม้ว่าไม่เกี่ยวกับศาสนาเลย เราก็มีเรื่องที่จะดับทุกข์ ไปตามประสา ชาวบ้าน พอมีความรู้เรื่องศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราก็ดับทุกข์ได้มากขึ้น ได้ลึกขึ้น ได้สูงขึ้น ทางจิต ทางวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น นี่เป็นสิ่งที่ควรจะทราบกัน ผมจึงเอามาพูดเป็นเรื่องแรก ถ้าพูดกันตามธรรมเนียม วัดไหน ธรรมเนียม ตามธรรมเนียมเขาก็จะพูดวันแรก เรื่องพระพุทธ เรื่องพระธรรม เรื่องพระสงฆ์ เรื่องศีล เรื่องอะไรตามเรื่อง เรื่องที่พูดวันแรก ผมก็เคยพูดอย่างนั้นเหมือนกันแหละ
แต่เดี๋ยวนี้ เมื่อทำมามากเข้า ๆ มันก็เห็นว่า ไอ้เรื่องแรกที่ควรจะรู้นะ ก็คือเรื่องที่กำลังพูด ว่าเราเกิดมาแล้ว ควรจะได้อะไร หรือจะต้องทำอย่างไร หรือจะพูดย้อนกลับไปทางหลังก็ว่า เกิดมาทำไม เพื่อจะได้อะไร แต่เมื่อไม่ ยอมรับว่าเราตั้งใจจะเกิดมา ก็ยอมรับในตอนหลังนี้ว่า เมื่อเกิดมาแล้ว เราจะต้องทำอะไร จะต้องทำอย่างไร นี่คือเรื่องที่จะต้องรู้ เป็นจุดตั้งต้น เพื่อให้มันเดินไปถูกทางยังไง ในที่สุดมันก็หนีไม่พ้นที่ว่าจะไปหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปข้างหน้านั้น หนีไม่พ้น ถ้าเรารู้ว่าเกิดมาทำไมจริง คือ เกิดมาเพื่อจะไม่มีทุกข์ จะดับทุกข์ จะได้สิ่งที่ดีที่สุด แล้วมันก็แสวงหาเองแหละ มันก็แสวงหา ชีวิตเติบโตขึ้นมาถึงขั้นที่จะแสวงหา มันก็แสวงหา แสวงหา
ซึ่ง เราควรจะมองว่า ไอ้ที่มาบวชนี่ ก็เพื่อแสวงหานั่นแหละ แต่โดยเหตุที่ไม่รู้เรื่องนี้ มันก็ไม่ได้แสวงหา มันกลายเป็นบวชตามประเพณี ก็เลยมีการบวชตามประเพณีขึ้นมา คือ บวชเพราะว่าบิดา มารดา ต้องการให้บวช อย่างนี้ก็มี หรือเพราะเหตุผลอย่างอื่นก็มี แต่ไม่ได้บวชเพื่อแสวงหาความดับทุกข์โดยตรงหรอก ดังนั้นเรามาเข้าใจ กันเสียให้ถูกต้อง ให้ทันแก่เวลาว่า มันมีเรื่องที่จะต้องแสวงหาให้พบ ไอ้สิ่งสูงสุดที่มนุษย์เราควรจะได้ คือ ความดับทุกข์ แม้ว่าเราไม่บวช เราอยู่ที่บ้าน มันก็ยังต้องแสวงหาอยู่ดี แสวงหาไปตามมีตามเกิด นี้เราเกิดมารู้ว่า บวชนี่เป็นการแสวงหาได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า เร็วกว่า ก็เลยบวช เลยเกิดการอยากบวช เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้า ท่านครองเมือง แล้วท่านก็อยากบวชออกไป ก็เพื่อแสวงหาเหมือนกัน แสวงหาสิ่งที่ดีกว่า ครองเมืองจนสั่นหัว ไม่เห็นมันมีอะไรวิเศษวิโส อะไรตรงไหน ก็เลยออกบวช สละบ้านเมือง ออกไปบวช ก็เพื่อแสวงหา นี่เราก็เหมือนกัน เมื่อมันมีความรู้สึกคิดนึกมากพอสมควรแล้ว มันก็รู้สึกว่า มัน มันควรจะได้อะไรที่ดี กว่าที่เราเบื่อแล้ว หรือว่าให้มัน ดีที่สุดเข้าไว้ก็แล้วกัน
ไอ้เรื่องนี้ดูจะตรงกันหมดนะ ขอให้สังเกตด้วยว่า มนุษย์ชาติไหน ภาษาไหน ศาสนาไหน ลัทธิไหน ก็ตาม มันล้วนแต่ต้องการไอ้สิ่งที่ดีที่สุด ที่สูงสุดด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่ว่าเขาก็ต้องทำไปตามแบบ ลัทธิ ศาสนาที่เขาเชื่อ ที่เขารับเอาไว้ เขาก็ต้องทำไปตามแบบนั้น แต่ว่าจุดมุ่งหมายก็ให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้ ดังนั้นเราก็ตอบ ได้ด้วยข้อนี้ แม้ว่าจะเป็นการตอบอย่างกำปั้นทุบดิน คือ ไม่มีทางจะผิด ถ้าถามว่าเกิดมาทำไม หรือเกิดมาแล้ว ควรจะได้อะไร นี่ก็ตอบว่า เพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่มันก็ตอบได้นะ เพราะมันมีความรู้ในส่วนที่ว่าดี ๆ ก็ให้ได้ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นับถือศาสนาอื่น เขาก็ตอบอย่างนี้ได้ ไม่ถือศาสนามันก็ยังตอบได้ ถ้ามันมีความเชื่อในเรื่องการเกิดหรือได้เกิดมา มันก็ ก็ตอบได้ หรือว่ามันไม่เชื่อศาสนา ไม่เชื่อเรื่องเกิดเอาเสียเลย มันมีความรู้สึกตามธรรมดาสามัญมนุษย์ มันก็จะต้องรู้สึกได้ว่า เราควรจะได้ไอ้สิ่งที่ดี ที่สุด ที่ประเสริฐที่สุดอยู่เอง อยู่นั่นเอง คนเหล่านั้น แม้จะเป็นอันธพาล มันก็แสวงหาสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้ด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อดูแล้ว มันก็จะมองเห็นว่า ทุกชีวิต มันกำลังดิ้นรนไปในทางนั้นทั้งนั้น ทางที่จะได้ไอ้สิ่งที่เขาคิด ว่าดีที่สุดที่เขาควรจะได้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะว่า อ่า, มันคงจะเป็นสัญชาตญาณมาแล้ว ในบรรดาสัญชาตญาณ ทั้งหลายที่สัตว์มีชีวิตมันมี มันก็จะมีสัญชาตญาณอันหนึ่ง คือ ดิ้นรนไปให้ดีที่สุด ให้สูงสุดเท่าที่มันจะดีได้ อันนี้มันก็จะเป็นรากฐานของวิวัฒนาการ ถ้าไม่มีกำลังอันนี้มันก็จะไม่มีวิวัฒนาการ และก็ไม่มีอะไรที่จะช่วย ให้มันดีขึ้น นั้นเรามีความรู้สึกอันนี้ เป็นเครื่องกระตุ้นใจอยู่เสมอ ว่าเราควรจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะได้ แล้วก็ ขวนขวายไป อย่างน้อยที่สุด พอ พอ พอเกิดมาจากท้องแม่ มันก็ได้รับการแวดล้อมอบรม ให้เกิดความคิดนึก อย่างนี้ทั้งนั้น คือ ให้ชอบดี ให้ยึดถือในความดี เด็ก ๆ พอรู้ภาษีภาษษ มันก็อยากดีทั้งนั้นน่ะ เพราะว่าการอบรม แวดล้อม ของสิ่งแวดล้อมของบิดามารดา มันก็แวดล้อมไปในทางให้เด็กรู้สึกว่า เราต้องได้ดี เราต้องดี พอใครว่าดี ก็ตื่นเต้น ก็กระโดดโลดเต้นเพราะได้ดี อันนี้มันไม่ถอยหลังแล้ว มันก็จะเป็นไปแรงขึ้น ๆ ที่จะได้ดี แม้ว่ายังไม่รู้เลย ว่าจะดีไปถึงไหนกัน มันก็ยังต้องการดีอยู่นั่นแหละ
ดังนั้นจึงต้องใช้คำเผื่อ เผื่อไว้ว่าเรา ต้องได้ไอ้สิ่งที่มันดีที่สุด ที่เราอาจจะเอาได้ แต่เราบางคนอาจจะ ไม่สนใจเรื่องนี้เลยก็ได้ ทั้งที่ว่าในส่วนลึก มันเป็นอย่างนั้น ในส่วนจิตใจมันเป็นอย่างนั้น แต่เขาไม่สนใจก็ได้ เขาปล่อยไปตามกรรมก็ได้ เขาปล่อยไปตามยถากรรมก็ได้ ก็ ก็เป็นได้ แต่แล้วมันก็ต้องมีผลต่างกันแหละ ไอ้คนที่ปล่อยไปตามยถากรรม ก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามเรื่อง กับคนที่มันรู้ว่าต้องทำอย่างไรนี่ มันก็ทำอย่างที่ควรจะทำ มันก็ไปได้เร็วกว่า เพราะว่ามันถูกต้อง เราไปในทางที่ถูกต้อง เร็วกว่า เพราะว่าสนใจอยู่เสมอ ที่จะทำให้มันดีที่สุด เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุด เขาก็จะต้องพยายามทำไอ้สิ่งที่ดีที่สุด คิดค้น คิดนึก สนใจอยู่เสมอ ไม่ปล่อยปละละเลย มันก็ต้องได้ดีเร็วขึ้นเป็นธรรมดา
เพราะเขามีความรู้พื้นฐานถูกต้อง ว่าทำไมเราจะต้องทำอันนี้ ทำความดีนี่ ทำไมเราจะต้องทำ เพราะมัน ยึดติดเสียแล้ว ว่าเราเกิดมาเพื่อจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะได้ ดังนั้นเราจึงต้องทำ นี่แปลว่า มันรู้เสียแล้วว่า ทำไม จึงต้องทำ นี่ทำอย่างไร ทำอย่างไร มันก็รู้อีก ทำอย่างที่เราจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่เราต้องการ ที่นี้ทำเท่าไร ทำเท่าไร ทำหมดเลย ทำหมดสติปัญญา หมดกำลังเลย แล้วก็ทำเมื่อไร มันก็ทำทุกเวลา นาที ที่มันทำได้ ทำที่ไหน ทำที่เนื้อ ที่ตัวนี่ นั้นคนเหล่านี้มันเห็นแจ่มแจ้งหมดว่า ทำไม ทำไม ทำทำไม ทำอย่างไร ทำเท่าไร ทำเมื่อไร ทำที่ไหน มันรู้หมดแหละ ถ้าว่ามันมีความประสงค์ โดยแท้จริงว่าให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์เราควรจะได้
ผมจึงพูดเพื่อปรับความเข้าใจ ในวันแรก ขอให้แต่ละท่าน แต่ละองค์ แต่ละรูป นึกถึงเรื่องนี้ แล้วก็ปลง ความเชื่อ ปลงความคิด ปลงสติปัญญาอะไรลงไป ให้มันแน่นอนว่า เราจะทำอะไร แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ไอ้มาบวชนั่นแหละ เนื้อแท้มันก็เพื่อจะได้ทำสิ่งนี้โดยเร็วและโดยสะดวก ถ้าไม่มาบวชอยู่ที่บ้านนะมันทำยาก จึงมาหาโอกาสทำง่าย คือ มาบวช ความจริงมันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าคนเราไม่ได้เป็นมาตามหลักเกณฑ์ของความจริง เพราะว่าไม่ทราบเรื่องนี้ ไม่อยากบวชนะ แต่ต้องบวชตามประเพณีบ้าง อะไรบ้าง อย่างนี้ก็มี
ถ้าว่าเราไม่เคยรู้เรื่องนี้ หรือเคยเข้าใจผิดในเรื่องนี้ ก็รีบเข้าใจถูก หรือรู้เสียสิว่า เราจะต้องรีบ ใช้เวลา ของเราอย่างไร เมื่อเราก่อนบวช เราเรียนหนังสือ เราเรียนวิชา ใน เออ, สถานที่ศึกษา มันก็เรียนมาตามลำดับแหละ ตั้งแต่รู้หนังสือ รู้วิชาชีพ รู้อะไรขึ้นมาตามลำดับ มันก็เพื่อจะได้ไอ้สิ่งที่ เราต้องการทั้งนั้น แต่เมื่อเห็นว่ามันไม่ ไม่ ไม่ใช่ดีที่สุด มันไม่ถึงที่สุด เราจึงเลื่อน ๆ ขึ้นมา จนมาเรียน เรื่องทางจิตทางใจ จึงได้มาบวช จึงกลายเป็น เข้าโรงเรียนบวช ก็ขอให้ได้ทำให้ อ่า, สำเร็จประโยชน์ ให้ได้รับประโยชน์ ที่จะได้จากการบวชนี่ ให้เพียงพอ นั่นนะจะเป็นอันว่า ถูกต้องและปลอดภัย หรือว่าชีวิตนี้ เออ, มันจะไม่เป็นหมัน หรือแม้ที่สุดแต่ว่าชีวิตนี้ มันจะไม่ ต้องคลานงุ่มง่าม ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนให้คลานงุ่มง่าม อย่างนี้มันก็ไม่ควร มันเฉื่อยชา เนิ่นช้ามากเกินไป
เราควรจะจัดให้ เวลาของชีวิตนี้ เป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว เรียบร้อย มันก็พอจะได้ถึง ไอ้จุดที่ต้องการ แล้วเวลามันก็จะเหลืออยู่มากพอ สำหรับจะเสวยผลอันนี้ ได้ก่อนแต่ที่จะแตกดับ มันจะมีเวลาเหลืออยู่มากพอ หลายปี อยู่ก็ได้รับผลอันนี้ก่อนกว่าจะแตกดับ แม้ว่าจะไม่ถึงจุดปลายทางอันนี้ ก็ยังได้อะไรดี ๆ สำหรับจะอยู่ใน โลก อย่างที่ดีกว่าที่ไม่รู้เรื่องนี้ เอ้อ, ตรงนี้นึกได้ก็อยากจะพูดให้มันชัดขึ้นเสีย อีกสักข้อหนึ่ง คือ ข้อที่เขาพูดกันผิด ๆ ว่า บวชหนีโลกบวชหนีโลก ถ้าคุณเคยได้ฟัง และเคยเชื่อ เคยยึดถือหลักเกณฑ์อย่างนี้ละก็ ก็เลิกเสียดีกว่า เพราะว่าการบวชนั้น มันไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องหนีโลก ไอ้คนนั้นมันไม่รู้ มันหลับตาพูด เขาจะหาวิธี ไปหาวิธีเพื่อจะ ควบคุมโลก จะต่อสู้โลก จะอยู่ในโลก โดยที่ว่าไอ้โลกนั้นทำอันตรายเราไม่ได้ โลกนี้จะหนีไปไหน มันไม่มีทาง จะหนีแล้ว มันมีแต่ว่าจะอยู่ในโลกอย่าง มี มี มีชัยชนะเหนือโลก นี่ช่วยจำไว้ด้วย อย่าให้เป็นเรื่องบวชหนีโลก มันก็จะเป็นเรื่องน่าหัว
ไอ้โลกนั้น เออ, คือ สิ่งที่มากระทบเราทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่โลกใน ในทางธรรมะคือสิ่งนี้นะ ถ้าโลก ในทางวิชาโลก วิชา เอ่อ, เด็ก ๆ โรงเรียนนั้น โลกคืออะไรก็พูดกันไปอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าโลกในทางธรรมะนะก็คือ สิ่งที่มันจะเข้ามากระทบเรา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิตใจ ๖ ทางนั่นแหละ คือ โลก มันจะหนี ไปไหน บวชหรือไม่บวช มันก็ยังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันก็ยังมีปัญหา ที่มากระทบแล้วจะทำอย่างไร นั้นเราจะต้องมีความรู้ความสามารถจัดหรือกระทำไป อย่าให้เกิดเป็นความเสียหายขึ้นมา เพราะโลกมันมากระทบ
นี้เมื่อรู้ว่าโลกในทางธรรมะคืออะไรแล้วก็ รู้เสียด้วยว่า มันแปลกจากไอ้ความรู้ของชาวบ้าน ความรู้เรื่อง โลก ๆ ที่เรียนในโรงเรียน ชั้นประถม มัธยม ไอ้โลกคืออย่างนั้นนะ นี้โลกคืออย่างนี้แล้ว แล้วโลกอย่างนี่ โลกที่เข้ามา ที่เกิดขึ้นมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันแปลกที่ว่า มันเกิดดับ ๆๆๆ ได้ ไม่มีที่สิ้นสุด อันนี้ดับไป อันนั้นเกิดมา อันนี้ดับไป อันนั้นเกิดมา ไม่มีที่สิ้นสุด อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ แล้วปัญหามันก็มีไม่มีที่สิ้นสุด ไม่สิ้นสุด จนกว่าเราจะควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราได้เสียก่อน จึงเห็นได้ว่าเพื่อชนะโลก ไม่ใช่ยอมแพ้หรือหนี อ่า, มันไม่มีที่หนีอีกแล้ว หรือจะยอมแพ้แล้ว คิดดูสิ เรายอมแพ้แล้ว หมายถึงอะไรล่ะ หมายถึง ตกความทุกข์ อยู่ในความทุกข์ เหลือที่จะทนไหว ยอมแพ้ไม่ได้
เรามาหาความรู้ของพระพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะ ธรรมะ ธรรมะนั่นแหละ มีอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็ไปจัดการ กับไอ้โลก โลกทุกชนิด โลกทุกความหมาย ทุกความหมายแหละ ถ้ามันมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแล้ว ธรรมะนี่มันจะ ช่วยแก้ได้ นั้นควรศึกษาธรรมะไปเสียให้มากพอ ถ้ามันจะต้องกลับไปเป็นเพศฆราวาสอีก มันต่างกันนะ ไอ้เพศฆราวาสนี่ ไอ้โลกมันรุนแรง อ่ะ, ไอ้เรื่องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันรุนแรงมากกว่า ที่อยู่ในโลกบรรพชิต ก็อยู่ในโลกชาวบ้านนะ ไอ้โลกมันรุนแรงมาก มันมีพิษสงรุนแรงมาก มันต้องมีธรรมะควบคุมได้ ช่วยเหลือให้ มันบรรเทา ให้มันพออยู่สบาย หรือว่าถ้าอยู่เหนือปัญหาได้มากที่สุดเท่าไรก็ยิ่งดี ดังนั้นเราจึงมีความรู้ติดออกไป กลับออกไป เพื่อจะใช้ต่อสู้กับปัญหาในชีวิต ให้ดีกว่าที่แล้วมา ให้ดีกว่าที่เรายังไม่มีธรรมะ ไม่รู้ธรรมะ ให้ดีกว่า กันให้มากจนเป็นที่น่าพอใจ นี่เรียกว่า ไม่เสียทีที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา และก็มีพระพุทธศาสนาอยู่กับเนื้อกับตัว สำหรับจะต่อสู้สิ่ง ทุกสิ่งที่มันจะทำให้ชีวิตนี้เป็นทุกข์
จึงขอให้เตรียมตัว เพื่อจะสะสม สะสมรวบรวม สะสมวิชาความรู้เรื่องนี้ เข้าไว้ ๆๆ เออ, สำหรับจะได้ เอาไปใช้ในการณ์ข้างหน้า ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อกลับไปสู่เพศฆราวาสอีก ไอ้การเก็บสะสมความรู้ ให้มีอยู่นี่ มันก็ทำได้หลาย ๆ ทาง จำไว้ก็ได้ แต่มันไม่ค่อยอยู่ อ่ะ, มันลืมเก่ง จดไว้ยังดีกว่า จดไว้บางที มันก็ยัง ไม่ค่อยคล่องแคล่ว ในการที่จะหยิบออกมาใช้ สู้ว่าประพฤติปฏิบัติ มันเสียให้เคยชิน ให้มันคล่องแคล่ว อยู่กับเนื้อ กับตัวของเรา คือ ปฏิบัติ เก็บมันไว้ในการปฏิบัตินะ ดีกว่าเก็บไว้ในสมุด เก็บไว้ในสมุดยังดีกว่า จำไว้เฉย ๆ ซึ่งลืม ง่าย ลืม ลืมหมด คิดทบทวนอยู่เสมอ ให้แจ่มแจ้งอยู่เสมอ ดีกว่าต้องจด ต้องบันทึก ก็จดไว้แน่นอน ให้มันสะดวก อยากรู้เมื่อไร เปิดดูได้ทันทีอย่างนั้นน่ะ ขอให้เป็นอย่างนั้น ไอ้ที่ประพฤติ ประพฤติปฏิบัติได้ ก็ประพฤติปฏิบัติเสีย จนเป็น เป็นเรื่อง เป็นเนื้อ เป็นตัว เป็นชีวิตไปเลย อย่างนี้ไม่มีลืม มันก็ได้ชีวิตใหม่ หรือได้อะไร ก็ตามแล้วแต่จะ เรียก เครื่องคุ้มกันชีวิตก็ได้ ได้ชีวิตใหม่ก็ได้ ที่จะออกไปเผชิญกับชีวิตฆราวาส อย่างที่ว่าไม่มีปัญหา
ในครั้งพุทธกาล อ่ะ, เขามีหรอก ไอ้ที่จะมาบวชกัน ๓ เดือน แล้วกลับออกไปเป็นชาวบ้าน มันไม่มี พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสความรู้เรื่องธรรมะนี้ แก่คนผู้ฟังแล้วแต่มันจะเป็นพวกไหน เขาก็เอาไปศึกษา ไปประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหา ที่มันมีอยู่เป็นประจำวันด้วยกันทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เราก็นับว่า เราควรจะนับว่า มันเป็นโชคดี ที่เรา ได้มีขนบธรรมเนียมประเพณีบวช ๓ เดือนขึ้นมา เราได้มาศึกษากันให้จริง ๆ โดยเฉพาะ แล้วก็รวบรวม เก็บเอาไปใช้ เมื่อไปเป็นฆราวาสต่อไปอีก จะได้แสดงบทบาทให้ดีกว่าเก่า ดีกว่าฆราวาส ที่ไม่เคยบวช ถ้าบวชแล้ว มันไม่มีอะไรดีขึ้น อย่างนี้ก็เรียกว่า ป่วยการบวช มันขาดทุน มันต้องอย่าประมาท อย่าทำเล่น ๆ กับมัน เขาให้ทำ จริง ๆ จับตัวปัญหาจริง ๆ ให้ได้ แล้วแก้ไขให้ได้ จดจำไว้อย่างแม่นยำ จดจำไว้อย่างแม่นยำ ทุกเรื่องที่มันได้เกิดขึ้น มาทดสอบเรา มาเล่นงานเรา ก็จะได้อานิสงส์ของการบวช แม้ว่าจะเป็นการบวชชั่วคราวก็ไม่เสียหายอะไร พวกที่ เขาบวชตลอดไป ก็ไม่มีปัญหายิ่งขึ้นไปอีก เขาก็ไปข้างหน้าตะพึด แต่ถ้ายังต้องสึก ลาสิกขา ออกเป็นฆราวาสอีก มันก็ต้องมีแบบหนึ่ง มีอีกระบบหนึ่งที่จัดไว้โดยเฉพาะ ให้ได้สำเร็จประโยชน์ตามนั้น
นี่ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ควรจะเข้าใจกันเป็นเรื่องแรก เป็นเรื่องพื้นฐาน เป็นเรื่องแรก แล้วมันมี ความสำคัญที่สุด อย่างยิ่ง อยู่ตรงที่ท่านทั้งหลาย แต่ละคน แต่ละองค์ แต่ละรูป ต้องทำให้ดีที่สุดอย่างที่ว่านี้ ผมช่วยอะไรไม่ได้หรอก ก็ได้แต่พูดกันพักหนึ่งแหละ ถ้าไม่เก็บเอาไปใช้เป็นประโยชน์ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ สวนโมกข์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ การมาอยู่สวนโมกข์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ทำอย่างที่ว่า มีความรู้ถูกต้อง มีการทดลอง ปฏิบัติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วก็บันทึกไว้เป็นหลักเป็นฐาน อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่กับชีวิตจิตใจ แล้วมันก็ช่วยได้
นี่พุทธศาสนามันเป็นเรื่องจริงตามธรรมชาติอย่างนี้แหละ ถ้าให้คนอื่นช่วย ให้ความศักสิทธิ์อย่างอื่นช่วย นั่นไม่ใช่พุทธศาสนา มันเป็นไสยศาสตร์ไปเสีย เชื่องมงายว่าสวนโมกข์จะช่วยได้ จะช่วยได้ อันนี้ก็เป็นไสยศาสตร์ ไปเสีย แล้วมันก็ล้มเหลว หรือว่าจะให้ผู้อื่นช่วย ให้บุญกุศลช่วย ให้อะไรช่วยก็เหมือนกันแหละ มันเป็นไสยศาสตร์ ไปไม่ทันรู้ นั้นเราจะต้องทำให้มันเป็นเรื่องถูกต้อง แล้วความถูกต้องนั้นแหละ มันช่วยไปในตัวมันเอง ตามหลัก ของวิทยาศาสตร์ มิใช่ไสยศาสตร์ ก็ถูก ถูกเรื่อง ถูกจุด ถูกพุทธศาสนา หรือถูกพุทธศาสน์ มิฉะนั้นมันก็เป็น ไสยศาสตร์ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องเหมือนกัน ขอพูดเสียเลยว่า อย่าทำอะไร ๆ ให้มันเป็นไสยศาสตร์ ให้มันเป็นพุทธศาสตร์ ถ้าคุณมานั่งทำวัตร สวดมนต์ อยู่อย่างนี้โดยคิดว่ามันจะช่วยให้ดีขึ้น อย่างนี้ก็เป็น ไสยศาสตร์ แต่ไม่ค่อยมีใครเชื่อหรอก ถ้าเขาพูดขึ้น ถ้าใครพูดขึ้น มันก็ไม่เชื่อ แล้วมันจะด่าเอาด้วยซ้ำไป ผมก็ไม่อยากจะพูดอยู่เหมือนกัน
แม้แต่จะถือศีล จะสมาทานศีล ถ้าคิดว่ามันจะมีความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้น แล้วจะช่วยคุ้มครองอย่างนี้ อย่างนี้มันเป็นไสยศาสตร์ ไอ้ศีลนะเป็นไสยศาสตร์ไปหมด ถ้าทำสมาธิภาวนา โดยคิดว่าจะเกิดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ มาคุ้มครอง มันก็เป็นไสยศาสตร์ไปหมดนะ อะไร ๆ ที่ทำอยู่ แม้ในวัดนี่ ยังเป็นไสยศาสตร์อยู่ มานั่งทำวัตร สวดมนต์ โดยคิดว่าจะได้บุญ แล้วบุญจะคุ้มครอง บุญจะช่วย อย่างนี้ก็ไม่พ้นจากไสยศาสตร์ มันต้องผ่านไป ทางภายนอก หรือปัจจัยภายนอก ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ภายนอก แล้วก็เป็นไสยศาสตร์หมด
บางองค์จะพูดว่า เราไปลงโบสถ์ ลงอุโบสถ แล้วก็จะเกลี้ยงไปจากบาป อย่างนั้นมันก็เป็นไสยศาสตร์ ที่ว่าไปลงอุโบสถ แล้วมันจะเกลี้ยง นั้นนะหมายความว่า มันต้องรู้เรื่องสิกขาบทแล้วไล่ไปทีละสิกขาบท เราไม่ต้อง อาบัติใด ๆ เลย เรารู้สึกว่า ไม่มีอาบัตินั่นแหละ คือ มันเกลี้ยง อย่างนั้นมันถูกแหละ มันเกลี้ยงไปจากอาบัติ เกลี้ยงไปจากโทษ แต่ถ้าเราเพียง แต่ไปนั่ง ๆๆๆ ให้มันครบเวลา ให้เขาลงกันเสร็จแล้วก็กลับออกมาแล้ว มันเกลี้ยง อย่างนี้ อย่างนี้มันเป็นไสยศาสตร์ ความโง่งมงายชนิดหนึ่ง เรื่องถือศีล เรื่องสมาธิ เรื่องภาวนาอะไรก็ตาม ถ้าว่ามัน ทำไป ในลักษณะที่เป็นความขลัง เป็นความศักดิ์สิทธิ์ จะช่วยในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นไสยศาสตร์หมด ศีลนั้นก็เป็นสีลัพพตปรามาส สมาธินั้นก็เป็นสีลัพพตปรามาส กรรมฐานนั้น ก็เป็นสีลัพพตปรามาส คือว่า ไอ้ความโง่น่ะ มันทำให้เป็น ไสยศาสตร์ไปเสียหมด
ขอให้จำไว้ว่าพุทธศาสนา ไม่มีหลักเกณฑ์อย่างนั้น ที่จะทำอะไรแล้ว มันจะขลัง มันจะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ด้วยการกระทำอย่างนั้น เหมือนอาบน้ำล้างบาปของพวกพราหมณ์ หรือพิธีล้างบาปของคนบางพวก นั้นมันเป็นไป ไม่ได้ ลงอุโบสถนี่ไม่ใช่พิธีล้างบาป แต่เขามีการกระทำที่ว่า ให้มีศีลนี่จนได้ ขึ้นมาสอบเรื่องศีลกันทุก ๆ ๑๕ วัน ว่าสิกขาบท มีอยู่อย่างนั้น ๆๆ ทีละข้อ ๆ คุณละเมิดไหม คุณผิดไหม ก็ไล่ไปจนรู้ว่ามันไม่ผิด ก็จะได้ระวัง สังวรณ์ รักษาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วก็เป็นคนมีศีล แล้วก็คุ้มกันกิเลสโน่น อย่างพิธีมานั่งสวดมนต์หรือว่ามานั่งอุโบสถ ลงอุโบสถนี่ เป็นของศักดิ์สิทธิ์คุ้มกันอะไรได้ อย่างนี้มันกลาย กลับไปเป็นศีลลัพพตปรามาส เป็นไสยศาสตร์
นี่พูดกันไว้เสียแต่วันแรก ๆ ก็ดีเหมือนกัน อย่าได้ปล่อยให้ความเข้าใจผิดเกิดขึ้น เป็นทำนอง มันเป็น ของขลัง เป็นของศักดิ์สิทธิ์ จะคุ้มครองเราโดยเหมือนพระเจ้า ไม่เห็นตัวอย่างนั้นนะ ถ้าอย่างนั้นเป็นไสยศาสตร์นะ ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนา พุทธศาสนามันเป็นเรื่องของอิทัปปัจจยตา ทำลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ทำลงไปอย่างนี้ ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ โดยไม่ต้องยืมมือพระเจ้า ไม่ต้องยืมมือเทวดา ไม่ต้องยืมมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ไหนมาอ้าง มันเป็นวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ทำลงไปอย่างนี้ ผลเกิดขึ้นอย่างนี้ อย่างแน่นอน แน่นอน จำกัดแน่นอน เหมือนกับว่าฟาดลงไป มันก็ดังโผงขึ้นมาอย่างนี้ เป็นต้น
เรื่องเอาพระมาแขวนคอ หรืออะไรทำนองนี้ มันกลายเป็นไสยศาสตร์เสียโดยมาก มันไม่ได้แขวนเพื่อ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า หรือให้เตือนสติ ให้เผลอสติยาก อย่างนี้ไม่ค่อยมี เขาแขวนเพื่อให้มันมีอำนาจ ศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองเสมอไป ถ้าทำอย่างนั้นมันเป็นไสยศาสตร์ มันไม่ใช่พุทธศาสตร์ แม้ว่าไอ้รูปที่แขวนคอนั้น รูปเป็นรูปพระพุทธเจ้า เป็นรูปพระพุทธเจ้า กลายเป็นทำให้พระพุทธเจ้ามีรูป มีรูปมีร่างไปเสีย พระพุทธเจ้า พระองค์จริง มีรูปไม่ได้ จะมีรูปเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ท่านไม่ได้จะเป็นรูปธรรม หรือของมีรูป แต่ถ้ายึดถือเข้า ด้วยความไม่รู้มันก็ทำได้ ก็ทำกันได้ต่าง ๆ นานา เขียนรูปพระเจ้า เขียนรูปพระพุทธเจ้า เขียนรูปโพธิสัตว์ เขียนอะไร กันเต็มไปหมด ยิ่งทำให้โง่ แต่ทว่าจะทำให้เป็นเครื่องระลึก เตือนให้ระลึก ให้เข้าใจถูก ระลึกได้ ไม่ลืมไม่เลือน ก็ยังมีประโยชน์ ก็พอจะมีประโยชน์ แต่ถ้าทำขึ้นมาเป็นของศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองแล้ว มันก็เป็น ไสยศาสตร์หมด นี่เริ่มรู้หลักกว้าง ๆ เกี่ยวกับพุทธศาสตร์ ไสยศาสตร์ กันเสียบ้างก็จะดี
ผมได้ยิน ได้เห็น ได้อะไร ผ่านมาเป็นเวลาหลาย ๑๐ ปีแล้ว เช่น บางคนหรือบางพวก ไอ้พอตักข้าวขึ้นมา จะเข้าปาก ก็ปัจเวกขณ์์ ปัจจเวก สังขาโย (นาทีที่ 56:52)อะไรนะ พำ พึมพำ ๆๆ นั่นนะ ไอ้คนพวกหนึ่ง เขาทำเพื่อ ให้มันขลัง ให้มันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพื่อปัจเวกขณ์ ธาตุปัจจเวก (นาทีที่ 57:00) หรือปัจเวกขณ์เขาทำว่า ทำให้มันขลัง ให้มันศักดิ์สิทธิ์ ก็เลยเรียกว่า เสกข้าวกิน กลายเป็นว่าเสกข้าวกิน ถ้าทำอย่างนี้แล้วไอ้ปัจเวกขณ์ ข้าวแต่ละคำ มันกลายเป็นไสยศาสตร์ ที่โรงฉันระวังให้ดี แต่ถ้าพิจารณาโดยความเป็นธาตุ เป็นปฏิกูล เป็นไม่ใช่ตัวตน ไปนั้นก็ดี ก็ถูกตามความประสงค์ของธรรมะ หรือความจริงของธรรมะ ที่ต้องการจะให้ถูกต้องอยู่ทุกเวลา ทุกสถานที่ อย่าให้มีความคิด เตลิดออกไปนอกแนวของไอ้เหตุผล หรือความมุ่งหมายเดิมแท้ของบทบัญญัติ เหล่านั้น ของศีล ของสมาธิเหล่านั้น
พูดได้ง่าย ๆ ว่าถ้ามันทำผิดความประสงค์เดิมที่แท้จริงแล้ว มันเตลิดออกไปเป็นไสยศาสตร์หมด เพื่อศีล เพื่อประโยชน์อย่างนี้ แล้วไปทำเป็นเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เป็นเรื่องขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเหลือ ก็ไปทำศีลนั่นแหละ มันออกไปผิดความหมายเดิม มันก็เป็นไสยศาสตร์หมด มันพูดได้ง่าย ๆ หรือจำไว้ได้ง่าย ๆ ว่าถ้าว่าได้ทำให้มันผิด ความมุ่งหมาย ถูกต้องของเดิมแล้ว การกระทำนั้นมันออกไปเป็นไสยศาสตร์หมด เรื่องทานก็ดี เรื่องศีลก็ดี เรื่องสมาธิก็ดี เรื่องปัญญาก็ดี เรื่องอะไรก็ดี มันออกไปนอกความประสงค์เดิมตามกฎของอิทัปปัจจยตา แล้วมันก็ จะไปเป็นไสยศาสตร์หมดนะ มันก็ไม่ได้เสียหายร้ายแรงอะไร แต่มันคลานงุ่มง่ามอยู่นั่นแหละ มันคลานงุ่มง่าม มันเป็นเครื่องทำให้เนิ่นช้า แก่การบรรลุพระนิพพาน
ผมเห็นว่าการพูดในวันนี้ ก็สมควรแก่เวลา เพราะเราจะพูดกันอีกหลายครั้ง ให้ครั้งละชั่วโมงก็พอ ขอให้ สรุปความให้ได้ โดยใจความแล้วเอาไปจดบันทึกไว้เป็นข้อ ๆๆๆ ได้กี่ข้อก็ตามใจ ว่าเรามันจะต้องรู้ว่า เราเกิดมา แล้วนะ ควรจะได้อะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดมาแล้วได้บวชอีกด้วย มันก็ควรจะได้อะไร ก็ควรจะเข้าใจ ถูกต้อง อย่าให้มันเป็นหมันเปล่า นั่นเป็นไปตามหลักของพุทธศาสตร์ อย่าให้เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ เราเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ มียึดถือหลักเป็น evolution ก็คือ อิทัปปัจจยตาเหมือนกัน แต่มันตัวใหญ่ เป็นไปตามกฎ ของมัน เรามิใช่พวก creationist ที่ถือว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด มีพระเจ้าสร้างเรามาอะไรทำนองนั้น แบบนั้น มันเป็นอีกพวกหนึ่ง เรียกว่า พวก creationist เราคงเป็น evolutionist เห็นชัดอยู่ว่ามันวิวัฒนาการตามกฎ แห่งเหตุ แห่งปัจจัย คือกฎอิทัปปัจจยตามาตามลำดับ ตามลำดับ เมื่อมีความถูกต้องเรื่อย ๆ ไป มันก็จะพบจุดหนึ่ง ซึ่งไม่มีความทุกข์เลย
ขอยุติการบรรยาย ในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ นิมนต์สิ จะกลับก็ได้ ปิดประชุมละ กำลังปิดประชุม จะกลับก็ได้นิมนต์