แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์นักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย ขอแสดงความยินดีในการขวนขวายเพื่อมาสู่สถานที่นี้ เพื่อศึกษาสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เลยคิดว่าจะพูดเรื่องการศึกษากับการรับปริญญากันให้ชัดเจนถี่ถ้วนสักครั้งหนึ่ง แยกพูดเป็น ๒ เรื่อง คือ เรื่องการศึกษา และการรับปริญญาในพระพุทธศาสนา พูดอย่างนี้ก็แปลกสำหรับคนทั่วไป และจะคิดไปในทางที่ว่าแกล้งพูดโยกโย้ ขอบอกว่าเป็นการพูดตรงตามเรื่องที่มีอยู่ในพระบาลี คือมีทั้งการศึกษาและมีทั้งการรับปริญญา หมายความว่าบุคคลศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนาครบถ้วนแล้ว ปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว แล้วก็มีการรับปริญญา ถ้าไม่เคยได้ฟังก็จะบอกว่า ให้ฟัง บอกให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายปริญญามีอยู่ ๓ อย่าง ๓ อย่างคืออะไร ๓ อย่างคือความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี่คือปริญญาสาม โดยเค้าเงื่อนก็พอจะมองเห็นแล้วว่าเมื่อได้ศึกษาในศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา ถึงที่สุดด้วยการปฏิบัติ เพราะคำว่าสิกขาหรือศึกษาในทางธรรมะนั้นหมายถึงการปฏิบัติ ตัวการปฏิบัติเป็นตัวการศึกษา เมื่อศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา ครบถ้วนแล้วมันก็มีผลแห่งการปฏิบัติคือ ความสิ้นไฟแห่งราคะ ความสิ้นไฟแห่งโทสะ ความสิ้นไฟแห่งโมหะ ที่เรียกว่าปริญญานั่นเอง นี่ขอให้ทราบเค้าเงื่อนโดย เออ, โดยย่อของเรื่องอย่างนี้ก่อน เห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรเอามาพูดสำหรับนักศึกษาครูบาอาจารย์ที่มีการศึกษาและมีการรับปริญญา ที่นี่ก็รู้ว่าน่าจะมีชื่อเรียกเหมือนกันแต่ตัวจริงนั้นไม่ได้เหมือนกัน เรื่องการศึกษาของชาวโลกก็เป็นอย่างหนึ่ง การศึกษาทางธรรมะในพระพุทธศาสนาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง การรับปริญญาแผ่นกระดาษที่รับกันตามแบบชาวโลกนั่นมันก็อย่างหนึ่ง การรับปริญญาทางธรรมในพระพุทธศาสนาก็เป็นอีกอย่างหนึ่งแล้วเราจะได้เปรียบเทียบกันดู จะพูดถึงคำว่าการศึกษาก่อน ที่ท่านทั้งหลายศึกษากันในชั้นต้นก็เรียนหนังสือ เรียนอักษรศาสตร์ แล้วก็เรียนวิชาชีพโดยเฉพาะๆ วิชา แล้วจบการศึกษาก็ได้รับปริญญา การศึกษานี้มันก็มีแต่เรื่องเรียนหนังสือและก็เรียนวิชาชีพแล้วมันก็จบ ส่วนการศึกษาในทางธรรมะนั้นถือเอาคำพูดคำนี้เป็นหลัก นั่นคือว่า คือคำว่าสิกขาในภาษาบาลี หรือว่าศิกฺษา(นาทีที่ 6:16) ในภาษาสันสกฤต หรือว่าศึกษาในภาษาไทย ออกเสียงเพี้ยนกันบ้างแต่เป็นคำเดียวกัน เอาคำบาลีเป็นหลักว่าสิกขา และคำว่าสิกขานี้ประกอบขึ้นด้วยคำคือ สะกับอิกขะ(นาทีที่ 6:46) สะคำหนึ่ง อิกขะคำหนึ่ง สะนั้นแปลว่าเอง เอง เองในทุกความหมาย คำว่าอิกขะ อิกขะนี้แปลว่าเห็น ทีนี้รวมกันเป็นสิกขา สะอิกขะรวมกันเป็นสิกขะ ออกเสียงเป็นสิกขา เป็นรูปศัพท์ที่เป็นอิตถีลิงค์ (นาทีที่ 7:20) นั่นก็แปลความหมายได้หลาย หลาย หลาย หลายทาง เช่นว่า เห็นซึ่งตนเองนี้ก็ได้ เห็นโดยตนเองนี้ก็ได้ เห็นเพื่อประโยชน์แก่ตนเองนี้ก็ได้ และยังได้มากกว่านี้อีก เอาแต่สาม สาม สามความหมายนี้ก็พอ เห็นซึ่งตนเองก็พิจารณาดูว่าเห็นอะไร สิ่งที่สมมติเรียกกัว่าตนเองนั้นน่ะก็คืออัตภาพนี้ ซึ่งมีทั้งร่างกาย มีทั้งจิตใจที่รวมเรียกกันว่าชีวิตๆ เห็นซึ่งตนเองก็คือเห็นตัวเองเห็น ชีวิตของตัวเอง มองดูลงไปที่ตัวเองแล้วก็เห็นตัวเอง คนไม่เคยศึกษามันก็ มันก็มองเห็นยากว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง มองดูตัวเองก็เห็นแต่ร่างกาย มีรู้สึกจิตใจได้บ้าว่ามันคิดนึกอะไรได้ แต่แล้วไม่ได้เห็นส่วนที่ลึกกว่านั้น คือว่าการปรุงแต่งต่างๆ นานาในร่างกายนี้ ร่างกายนี้ เห็นซึ่งตนเองนี่เมื่อวิจารนัยกันโดยละเอียดแล้วก็จะมีว่า เห็นว่าตัวเองประกอบอยู่ด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ รวมเป็น ๖ อย่าง ๖ ประการด้วยกัน คือ ๖ ธาตุ ทีนี้ถ้าว่าเห็นจริงยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ก็เห็นว่า ไอ้ที่มันเป็นรูปธรรมคือตา อ่า, รูปธรรมคือดิน น้ำ ลม ไฟนั้น ประกอบกันขึ้นเป็นเนื้อหนังร่ายกาย เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ไอ้ก้อนลูกตาพร้อมทั้งประสาทตานี้มันก็เป็นวัตถุ ประกอบขึ้นด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ นี้คือการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง หูประกอบด้วยประสาทหู นี้มันก็เป็นส่วนของดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันขึ้นเป็นระบบหู จมูกก็เหมือนกันพร้อมทั้งประสาท อาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันเป็นระบบจมูก ลิ้นก็อาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันเป็นระบบลิ้น กายผิวหนังทั่วไปทั้งกายก็อาศัยดิน น้ำ ลม ไฟประกอบกันขึ้นเป็นกายเป็นร่างกาย เป็นผิวหนังเป็นทั่วไปทั้งกาย นี่คือการปรุงแต่งในอัตภาพนี้ ที่นี้ส่วนจิตหรือใจ นี้ประกอบอยู่ด้วยวิญญาณธาตุ วิญญาณธาตุ เป็นระบบที่รู้สึกได้ในทางฝ่ายจิตใจหรือฝ่ายนามธรรมนี่เป็นระบบพิเศษ ให้ ๕ อย่างข้างต้นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นเป็นฝ่ายกายหรือฝ่ายวัตถุ ส่วนจิต จิตใจหรือมะโนนี่เป็นฝ่ายนามธรรม ประกอบกันเข้าเป็นอัตภาพนี้ ส่วนอากาศธาตุหรือที่ว่างนั้นน่ะหมายถึงว่า มันมีที่ว่างอยู่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งด้วย แล้วสิ่งต่างๆ ก็อาศัยอยู่ในที่ว่างนั่นเอง ซึ่งมีที่ว่างไอ้ร่างกายนี้มันจึงอยู่ได้ ถ้ามันไม่มีที่ว่างร่ายกายนี้มันจะอยู่ได้กับอะไร ร่างกายทั้งหมดก็ตั้งอาศัยอยู่บนธาตุว่าง หรือความว่าง ที่ว่าง แม้จิตมันก็อาศัยอยู่บนธาตุว่างอันละเอียด แล้วก็มีอยู่เป็นระบบจิต นี่แปลว่า ธาตุที่รวมกันเป็นกายและเป็นใจนั้นตั้งอาศัยอยู่บนธาตุว่าง เข้าใจคำว่าว่างนี้ให้ดีๆ ทั่วไปทั้งสากลจักรวาลน่ะมันมีที่ว่าง มีส่วนที่มี เออ, เป็นความว่าง แล้วก็ให้สิ่งต่างๆที่เป็นวัตถุสิ่งของใดๆ นั้นน่ะอาศัยอยู่ในที่ว่างอันนั้น และถือว่าไอ้ความว่างนั้นแหละเป็นเครื่องรองรับ รองรับทั้งหมดสิ่งต่างๆ ตั้งอยู่บนความว่าง บนธาตุว่าง ไอ้ความว่างเป็นที่รอง รองรับสิ่งทั้งปวง นี้จะเห็นว่ามันประกอบกันอยู่มีลักษณะอาศัยซึ่งกันและกันอยู่อย่างนี้ แล้วทีนี้เรามองซึ่งตนเอง มองตัวเอง มองซึ่งตนเองคืออัตภาพนี้ ชีวิตนี้คือร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี่และก็ยังมีชีวิตยังเป็นๆอยู่นี่ ก็มองดูที่อัต อัตภาพนี้ก็จะมองเห็นอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ประกอบอยู่ในธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ประกอบกันอยู่อย่างเหมาะสมจนทำหน้าที่ต่างๆได้ ส่วนกายนั้นเป็น ๕ ระบบคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สำหรับจะรู้อารมณ์ที่มากระทบ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ในระบบจิต ระบบใจ ระบบมโนนี่สำหรับจะรู้สึกในความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นทางจิต นี่ที่ว่าเห็นซึ่งตนเอง เห็นซึ่งตนเอง แล้วขอให้ทุกคนมองซึ่งตนเองแล้วก็เห็นซึ่งตนเองว่าประกอบกันอยู่อย่างนี้ มีการปรุงแต่งอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยทุกอย่างทุกประการ ที่ทำให้มีลักษณะเป็นของเป็นมีชีวิตหรือมิได้ตาย และมันยังสามารถที่จะรับอารมณ์ทุกอย่างที่จะมีให้ในโลกนี้ได้แก่ รูปซึ่งจะรู้สึกได้ด้วยตา หู เออ, เสียงซึ่งจะรู้สึกได้ด้วยหู กลิ่นซึ่งจะรู้สึกได้ด้วยจมูก รสซึ่งจะรู้จักได้ด้วยลิ้น และโผฏฐัพพะที่จะกระทบผิวหนังอันจะรู้สึกได้ด้วยระบบประสาทของผิวหนังทั่วไปทั้งกาย นี่มองดูในส่วนที่เป็นรูปธาตุหรือฝ่ายกายอย่างนี้ แล้วก็มองฝ่ายที่เป็นจิต เป็นวิญญาณ หรือเป็นนาม ก็เห็นว่ามีจิต มันก็แล้วแต่จะเรียกนะ ไอ้เป็นวิญญาณธาตุเป็นวิญญาณธาตุมีอยู่ เมื่อทำหน้าที่คิดนึกก็เรียกว่าจิต เมื่อทำหน้าที่รู้สึกก็เรียกว่ามโน ส่วนคำว่าใจนั้นเป็นภาษาไทย เล็งถึงคำว่ามโน นี่ดูซึ่งตนเองก็เห็นซึ่งตนเอง ว่าประกอบกันอยู่ด้วยส่วนประกอบเหล่านี้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่จะพึงมี จนกล่าวได้ว่ามันเป็นสิ่งที่มีชีวิตเป็นตัวชีวิตให้ดำรงอยู่ นี่เรียกว่าเห็นซึ่งตนเองดูที่ตนเองแล้วเห็นซึ่งตนเองโดยลักษณะง่ายๆ เบื้องต้น
ทีนี้ก็ดูต่อไปให้ละเอียดให้ลึกซึ้งลงไปว่ามันยังมีกลไกซับซ้อนกันอยู่หลายชั้น พูดเรื่องตาก่อน ตามันเป็นอวัยวะมีระบบประสาทสำหรับเห็นได้ แล้วข้างนอกก็มีรูป มีรูปต่างๆ พอเข้ามากระทบตา คือว่า ไอ้รูปกับตาน่ะถึงกันเข้ามันก็เกิดวิญญาณทางตา คือวิญญาณธาตุทำหน้าที่ของวิญญาณทางตา เขาเรียกว่าวิญญาณทางตาหรือจักษุวิญญาณ นี่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่งตา เป็นรูปเกิดจักษุวิญญาณ คือการเห็นแจ้งในทางตา นี้ขั้นตอนหนึ่ง เมื่อวิญญาณธาตุทำหน้าที่เป็นวิญญาณทางตา เห็นรูปอยู่อย่างนี้เค้าเรียกว่า ผัสสะ ผัสสะแปลว่ากระทบ ก็คือวิญญาณธาตุน่ะ วิญญาณทางตาน่ะกระทบกันเข้ากับรูป รู้สึกอยู่หรือเห็นอยู่เรียกว่า ผัสสะ แล้วก็เป็นผัสสะทางตา นี้ก็ต้องดูให้เห็นซึ่งเป็นส่วนของตนเอง เมื่อมีผัสสะอย่างนี้แล้วมันก็เกิดความรู้สึกออกมาเป็นเวทนา เช่นว่ารูปนั้นสวยถูกใจก็เกิดความรู้สึกพอใจ ถ้ารูปนั้นไม่สวยไม่เป็นที่ตั้งแห่งความพอใจมันก็ไม่พอใจ หรือว่าถ้าไม่มีความหมายในสองอย่างนั้นมันเฉยๆ มันก็เป็นกลางๆอยู่ ก็เรียกว่ามิใช่พอใจหรือมิใช่ไม่พอใจ ก็เรียกว่าอทุกขมสุข ถ้าพอใจก็เรียกว่าสุขเวทนา ถ้าไม่พอใจก็เรียกว่าทุกขเวทนา ถ้าว่าไม่เป็นทั้งสองอย่างก็เรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา ทีนี้เวทนาจะเกิดขึ้นทุกคราวที่มีการสัมผัส นี้ก็คือตัวเรา คือเรื่องในตัวเรา คือลักษณะการปรุงแต่ง ปรุงแต่งอยู่ในตัวเรา นี่เรียกว่า ตอนนี้เรียกว่าเวทนา ทีนี้ความรู้สึกที่เป็นเวทนาเกิดขึ้นอย่างนี้แล้วมันก็มีความรู้สึกต่อไปคือสำคัญมั่นหมาย สำคัญมั่นหมาย เพราะว่าเป็นเวทนาเช่นไร มีอะไรเป็นอย่างไร เป็นสุขขะ เป็นสุขก็เรียกว่าสุขสัญญา สำคัญมั่นหมายว่าสุข เออ, เป็นทุกข์ก็เรียกว่าทุกขสัญญา สำคัญมั่นหมายว่าเป็นทุกข์ อทุกขมสุขสัญญาสำคัญมั่นหมายว่าไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์ ให้มีความรู้สึกว่าเป็นสัญญาอย่างไร เพราะมันเคยเกิดขึ้นและรู้สึก เกิดขึ้นและรู้สึกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก มันจึงจำได้ว่าอย่างนี้คือสุขสัญญาอย่างนี้ไอ้ทุกข์สัญญา รวมความว่าความจำได้ว่ามันเป็นอะไรและมั่นหมายลงไปว่ามันเป็นอะไร นี่ก็เรียกว่าสัญญาๆ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในอัตภาพนี้แหละ ในร่างกายในชีวิตนี้ และทีนี้เมื่อสัญญาถึงที่สุดแล้ว ก็ปรุงความคิดนึกขึ้นมาจะทำอะไรกับสิ่งเหล่านั้น นี่เป็นความคิดนึก นี่เรียกว่าสังขาร ถ้ามีความมั่นหมายว่าสวย ความคิดนึกก็ปรุงขึ้นมาเป็นความคิดว่าจะเอา ถ้าไม่สวยก็ปรุงความคิดนึกขึ้นมาว่าจะไม่เอาหรือจะทำลายเสีย ถ้ามันไม่ ไม่ ไม่เป็นทั้งสองอย่าง คือมิใช่สวยหรือมิใช่ไม่สวย มันก็ยังสงสัยข้องใจอยู่นั่นเอง นี่เรียกว่าเป็นสังขาร ทีนี้สิ่งที่เรียกว่าสังขารนี่มีหลายขั้นตอน มีความอยากจะได้ที่มันสวยน่ารักน่าพอใจ มีความอยากที่จะทำลายเสียซึ่งส่วนที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจนี่ความอยากมันก็เลยเกิดขึ้น ความอยากนี่ก็เรียกว่าเป็นสังขารเหมือนกัน ฉะนั้นความอยากเป็นไปถึงที่สุดแล้วมันก็ปรุงต่อไปอีก ปรุงให้เกิดความรู้สึกสำคัญมั่นหมายว่ามีตัวเรามีตัวกูซึ่งเป็นผู้อยาก แล้วก็อยากจะเอามาเป็นของกู เรียกว่าปรุงถึงที่สุดจนเป็นอุปาทาน เป็นอุปาทาน รวมอยู่ในคำว่าสังขารทั้งนั้นแหละ เพราะว่าถ้าแจกเป็น ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็มีเพียง ๕ แต่ถ้าจะแจกไปให้มันมาก เป็นแบบปฏิจจสมุปบาท มันก็แจกไปได้ถึง ๑๑ อย่าง ๑๒ อย่าง แต่เรื่องนั้นไม่เป็นไร เอาแต่เพียงว่ามันปรุงอย่างไร รู้สึกอย่างไร นับตั้งแต่ตาเห็นรูปมันก็ปรุงจักษุวิญญาณเกิดขึ้น วิญญาณ เออ, จักษุวิญญาณทำหน้าที่อยู่ สิ่งที่เรียกว่าผัสสะก็เกิดขึ้น ผัสสะเกิดขึ้นแล้วก็ปรุงให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าเวทนา เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เวทนาเกิดขึ้นแล้วก็ปรุงให้เกิดความรู้สึกเป็นสัญญา สำคัญมั่นหมายว่าอย่างไร ว่าสุขสัญญา ว่าทุกขสัญญา แล้วแต่มันจะรู้สึกคิดนึก เมื่อเป็นสัญญาอย่างนี้แล้วมันก็ปรุงต่อไปเป็นสังขาร คือความคิดนานาประการ เอาโดยสมควรแก่สัญญานั้น จนคิดว่าจะได้ เกิดความอยากขึ้นมาว่าจะได้ ไอ้ความอยากนี้เป็นตัณหา มีตัณหาถึงที่สุดอย่างนี้แล้วก็ปรุงไอ้ความรู้สึกว่าตัวกูเป็นผู้อยาก ซึ่งเรียกว่าอุปาทาน มันก็มีความรู้สึกว่าตัวกูหรือของกูตามสมควรแก่กรณี เมื่อเกิดความรู้สึกการเป็นตัวตนเช่นนี้ ด้วยความโง่เขลาอะไรๆ ก็เอาเข้ามาเป็นตัวตน มันก็เป็นของหนัก หนักแก่จิตใจนั้นเอง เหมือนกับว่าเราจับเอาอะไรขึ้นมาหิ้วไว้ ถือไว้อชู้ไว้มันก็เป็นของหนัก การจะเป็นของหนักนั้นเรียกว่าเป็นความทุกข์ อย่างนี้มีอยู่ในตนเองในตัวเอง ก็มองดูให้เห็นซึ่งตนเอง เห็นซึ่งตนเอง ดูซึ่งตนเอง เห็นซึ่งตนเองนี่เรียก สิกขา ศึกษา ศึกษา ศึกษาตนเองเห็นอะไรๆ ที่มีอยู่ในตนเอง นี่เรื่องตาอย่างที่ว่ามาแล้ว เรื่องหูก็เหมือนกันอีก เมื่อเสียงมาถึงกันเข้ากับหูก็เกิดการได้ยินทางหู เรียกว่าวิญญาณทางหู เมื่อวิญญาณทางหูรู้สึกต่อเสียงนั้นอยู่ด้วยหูด้วยระบบหู ก็เรียกว่า ผัสสะทางหู ผัสสะก่อให้เกิดเวทนา คือสุขหรือทุกข์ เกิดเวทนาแล้วก็ให้เกิดสัญญามั่นหมายว่าเป็นอะไร แล้วก็เกิดสังขาร ความคิดว่าเราจะเอาเราอยากจะได้ อยากจะได้ในสิ่งที่น่าพอใจ อยากจะทำลายที่มันไม่น่าพอใจ เมื่อความอยากนี้เป็นไปถึงที่สุดแล้วก็ปรุงเป็นความรู้สึกว่ามีตัวตน มีตัวกูผู้อยาก อย่างนี้เหมือนกับเรื่อง เรื่อง เรื่องตากับรูป เรื่องหูกับเสียงก็เหมือนกัน เรื่องจมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส เออ, กายกับสิ่งที่มากระทบกาย ก็เหมือนกันมีหลักเกณฑ์อันเดียวกัน นี่เรียกว่าที่เป็นของหยาบ เป็นทางรูปธรรมทางกายนี่ มีอยู่๕, ๕ ชุดด้วยกัน แล้วก็อยู่ในตนเอง มีส่วนจิตลึกๆ เข้าไป เพราะว่ามันได้อารมณ์ แล้วเช่นมีสัญญาหรือมีเวทนา เป็นต้น
มโนหรือใจสัมผัสในเวทนา แล้วก็รู้สึกเป็นเวทนาอันใหม่ขึ้นมาอีก แล้วก็เกิดสัญญา เกิดสังขารอย่างเดียวกันอีก นี่มากมายถึงขนาดนี้ ที่เรียกว่าศึกษา ศึกษาเกี่ยวกับในเรื่องของตน ในภายในของตนนั้นน่ะ นี่ดูสิศึกษานี้เป็นอย่างไร มันต่างกันลิบกับว่าศึกษาในโรงเรียนศึกษา ในมหาวิทยาลัย เรียนอักษรศาสตร์ เรียนวิทยาศาสตร์ เรียนวิชาชีพ มันคนละแบบแต่เรียกว่าศึกษาเหมือนกัน นี่เป็นการศึกษาซึ่งตนเอง คือดูเข้าไปที่ตนเอง แล้วก็เห็นด้วยตนเอง ตนเองต้องศึกษาเอง อย่างนี้เรียกว่าเห็นด้วยตนเอง และการเห็นนี้ก็เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแล้วแต่มันจะเกิด ก็แก่ตนเอง คำว่าศึกษาหรือสิกขานี่จึงมีความหมายได้รอบครบถ้วนอย่างนี้ว่า ดูที่ตนเอง เห็นซึ่งตนเอง แล้วก็การเห็นนี่เห็นด้วยตนเอง คนอื่นมา มาดูแทนไม่ได้ แล้วสิ่งเหล่านี้เมื่อทำไปแล้วมันมีผลแก่ตนเอง คำว่าสิกขา สิกขาน่ะมีความหมายอย่างนี้
และทีนี้เมื่อได้มองเห็นว่า เกิดกิเลส เกิดความอยาก เกิดความยึดถือว่าตัวตนขึ้นมาแล้วมันเป็นความทุกข์ ก็ศึกษาถึงอาการที่เป็นทุกข์ ศึกษาถึงลักษณะที่เป็นความทุกข์จนพบรายละเอียดอีกมากมาย โดยย่อก็เช่นว่าเห็น เห็นได้ว่าพอมีความรู้สึกที่เป็นความอยาก คือที่เรียกว่าตัณหาเกิดขึ้น แล้วมันก็มีอุปาทาน จับฉวยเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นของตน เป็นของหนัก และก็เป็นทุกข์ เรียกว่าตัณหาให้เกิดอุปาทานน่ะ แล้วให้เกิดทุกข์ แล้วเรียกรวบทีเดียวว่าตัณหาให้เกิดทุกข์ก็ได้เหมือนกัน แล้วแต่จะพิจารณากันอย่างหยาบๆ หรืออย่างละเอียด เดี๋ยวนี้เห็นว่าเพราะมีตัณหาจึงมีทุกข์โดยผ่านทางอุปาทาน พอมีตัวตน มีตัวตน มี รู้สึกเป็นตัวตนแล้ว อะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เข้ามาเกี่ยวข้องกับตน ก็กลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับตน ยึดถือเอามาเป็นของตน เช่นมีความรู้สึกว่าได้อะไรไป เสียอะไรไป มีความรู้สึกต่อเนื่องกันไปถึงว่า เป็นผู้แพ้ เป็นผู้ชนะ เป็นผู้ได้ เป็นผู้ส่วนเสีย หรือแม้ที่สุดแต่ว่าอาการที่เป็นตามธรรมชาติ เนื่องอยู่ด้วยอัตภาพนี้ เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นต้น ก็หลงเอามาว่าเป็นของตน ความเกิดเป็นของตน ก็เป็นปัญหายุ่งยากลำบากเกี่ยวกับความเกิด ความแก่เอามาเป็นของตน ก็เกิดปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับความแก่ ความเจ็บเอามาเป็นของตน ก็เกิดปัญหายุ่งยากอันเกี่ยวกับความเจ็บ ความตายซึ่งเป็นของธรรมชาติตามธรรมดา ก็เอามาเป็นความตายของตน คือของจิตที่มันโง่ คำว่าตนในที่นี้คือจิตที่มันโง่ไปเองว่าเป็นตัวตน ความตายก็เป็นของตน เดือดร้อนอยู่มากมายหลายขั้นตอนที่เกี่ยวกับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นี้มันมีอยู่ในอัตภาพนี้ในชีวิตนี้ เกี่ยวกับศึกษา ศึกษาตรงลงไปที่อัตภาพนี้ ร่างกายนี้ ซึ่งยาวเพียงสักวาหนึ่งนี่ มันก็มีอะไรอยู่มากมายอย่างนี้ แล้วศึกษาให้รู้จักให้ทั่วถึง โดยเฉพาะไอ้ที่มันเกี่ยวกับเรื่องความทุกข์ ที่มันให้เกิดรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ก็ต้องศึกษากันอย่างละเอียด
ทีนี้ก็ทบทวนโดยย่ออีกทีว่า ในกรณีของตาเป็นตัวอย่าง ตาเห็นรูป แล้วก็เกิดจักษุวิญญาณ คือวิญญาณทางตา วิญญาณทางตาทำหน้าที่อยู่เรียกว่าผัสสะทางตา ผัสสะทำหน้าที่ให้ เออ, ผัสสะแล้วก็ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นเวทนา คือรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ แล้วเวทนานี่ก็ให้เกิดความอยาก ความต้องการนั่นแหละคือกิเลสแหละ เมื่อไอ้เวทนานั้นน่ารัก น่าพอใจ ก็เกิดความอยากจะได้ นั่นแหละคือความโลภ หรือว่าราคะ ความกำหนัดพอใจ นี่เป็นกิเลส นี้ถ้าว่ามันไม่ตรงกับความพอใจ คือมันไม่พอใจนั่นแหละ มันก็เกิดกิเลส คือโทสะ โกรธ ประทุษร้าย เรียกว่าโทสะบ้าง เรียกว่าโกธะบ้าง แล้วถ้ามันไม่ชัดลงไปว่าน่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ มันก็เกิดความสงสัย ความมัวเมา พัวพัน สงสัย ว่าจะเป็นตัวตนที่จะเป็นอะไร จะเป็นอย่างไรอยู่ นี้เรียกว่ากิเลส คือโมหะ นี่โลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ มันเกิดขึ้นได้ในใจอย่างนี้ ศึกษาให้ระเอียดชัดเจนว่า มันเกิดอย่างไร โลภะ หรือราคะ เกิดอย่างไร โทสะ หรือโกธะเกิดอย่างไร โมหะเกิดอย่างไร นี่เมื่อเกิดกิเลส เกิดกิเลสอย่างนี้แล้ว ก็เป็นความทุกข์ ทีนี้มันยังมีอะไรละเอียดลึกซึ้งมากไปกว่านั้นอีก คือว่า เกิดกิเลสครั้งหนึ่งเรื่องเป็นทุกข์ก็เป็นไป ก็แต่ว่าเกิดกิเลสขึ้นมาครั้งหนึ่งนั้นน่ะ มันสะสมไอ้ความเคยชินที่จะเกิดกิเลสเช่นเดียวกันนั้นแหละไว้ ครั้งหนึ่งหรือหน่วยหนึ่งด้วย นี่เขาเรียกว่า อนุสัย กิเลสเกิดขึ้นอย่างไร แล้วมันก็สร้างอนุสัย คือความเคยชินที่จะเกิดอย่างนั้นเอาไว้ในสันดาน เกิดความโลภครั้งหนึ่งมันก็สะสมไอ้ความเคยชินที่จะโลภต่อไปข้างหน้าเข้าไว้หน่วยหนึ่ง ส่วนนี้เรียกว่า อนุสัย ถ้าเกี่ยวกับความโลภเรียกว่า ราคานุสัย ถ้าเกี่ยวกับความโกรธ เรียกว่า ปฏิฆานุสัย ถ้าเกี่ยวกับความโง่ความหลง ก็เรียกว่า
อวิชชานุสัย นี่ลึกลับซับซ้อนอย่างยิ่งในชีวิต ในอัตภาพ ในสังขาร ในร่างกายนี้ ซึ่งมีทั้งกายและใจนี่มีเรื่องลึกลับซับซ้อนอย่างนี้ อนุสัยคือความเคยชินที่จะเกิดกิเลสเช่นนั้นอีก ทีนี้พอ พอเกิดกิเลสครั้งที่สองก็เพิ่มอนุสัยเข้าไว้อีกทีหนึ่ง ครั้งที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ก็เพิ่มอนุสัยเข้าไปทุกทีที่เกิดกิเลส นี่เมื่อเพิ่มความเคยชินที่จะเกิดกิเลสไว้มากเข้ามากเข้า ไอ้ความกดดันที่จะดันออกมันก็มีมาก มันก็มีมาก ส่วนนี้เรียกว่า อาสวะ อาสวะที่จะไหลออกมาเป็นกิเลส ตามชนิดของมัน เช่นมีความโลภ แล้วก็มีอนุสัยแห่งความโลภ เรียนว่า ราคานุสัย อนุสัยนี้มีมากเข้ามากเข้า ไอ้ความที่จะดันออกมันก็มีมาก เพราะฉะนั้นมันจึงง่าย ง่ายนิดเดียวที่จะเกิดความโลภ นี่เราจึงเกิดความโลภได้ง่ายที่สุด เกิดความโกรธได้ง่ายที่สุด เกิดความโง่ความหลงได้ง่ายที่สุด เพราะว่าเก็บกักอนุสัยไว้ในสันดานมากนั่นเอง ทีนี้ความลับยังมีต่อไปอีกที่จะต้องมองให้เห็นว่า ถ้าว่าเราบังคับกิเลสได้ กิเลสมันจะเกิดแล้วบังคับไม่ให้มันเกิด เช่นว่าความโลภมันจะเกิด มันควรจะเกิดความโลภ แล้วบังคับไว้ได้ไม่เกิดความโลภทีหนึ่ง มันก็ลดอนุสัยที่สะสมไว้แต่ก่อนน่ะ อนุสัยที่จะโลภที่สะสมไว้มากๆ น่ะมันจะลดลงไปหนึ่ง ลดลงไปหนึ่ง ลดลงไปหนึ่ง ทุกคราวที่บังคับกิเลสได้ นี่เรื่องความโกรธก็เหมือนกัน เมื่อมันจะโกรธมันควรจะโกรธอย่างยิ่ง แล้วก็บังคับไว้ได้ไม่ให้มันโกรธ มันก็ลดความเคยชินที่จะโกรธเสียหน่วยหนึ่ง ลดอนุสัยสำหรับจะโกรธคือหน่วยหนึ่ง โง่ก็เหมือนกัน ไม่โง่สักทีหนึ่งก็ลดอนุสัยแห่งความโง่ไว้เสียหน่วยหนึ่ง มันก็มีอนุสัยน้อยลง น้อยลง ถ้าทำได้อย่างนี้ไอ้ความเคยชินที่จะโลภ จะโกรธ จะหลงในสันดานน่ะมันก็ลดลง ลดลง ลดลง แล้วมันก็ไม่มีที่จะไหลออกมา ถ้าเผอิญกระทำไปจนถึงที่สุด มันหมด หมดอนุสัย แล้วก็หมดอาสวะที่จะไหลออกมา มันก็ไม่มีกิเลสอะไรที่จะออกมาอีก ก็เป็นบุคคลพิเศษ เรียกว่าผู้หลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ ไม่มีอนุสัยที่จะเกิดกิเลส ไม่มีอาสวะที่เป็นกิเลสที่จะไหลออกมา มันก็ มันก็สิ้นกิเลส สิ้นอาสวะ สิ้นความเคยชินที่จะเกิดกิเลส นี่เรื่องมากมายอย่างนี้ สำหรับจะต้องดูให้เห็น ที่เรียกว่า ศึกษา ศึกษา หรือสิกขานั้น จะต้องดูให้เห็นซึ่งตัวเองอย่างนี้ เป็นเรื่องของกิเลส แล้วทีนี้ไอ้เรื่องที่จะต้องศึกษาเพื่อตนเอง นั้นก็คือว่า ไอ้การที่จะควบคุมไม่ให้ความโกรธ ไม่ให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่ ก็มีการศึกษาอีก ส่วนหนึ่งซึ่งจะต้องปฏิบัติ คือปฏิบัติศีลให้ได้ ให้เป็นนิสัย ปฏิบัติศีลให้ได้เป็นศีลสิกขา มันก็ทำให้โกรธ เออ, มันก็ทำให้เกิดกิเลสได้ยากเข้า หรือศึกษาเรื่องสมาธิ บังคับจิตไว้ได้ตามที่ต้องการ มันก็จะเกิดกิเลสได้ยากเข้า เช่นมันเกิดเวทนาแล้ว มันจะเกิดกิเลส ถ้ารู้เท่าทันบังคับจิตได้ มันก็ไม่เกิด นี่เรียกว่า จิตสิกขา ทีนี้ก็มีปัญญา ที่จะรู้รอบคอบ ทั่วถึง และควบคุมมันไว้ให้ได้ มันก็ ก็เกิดไม่ได้ยิ่งขึ้น มันก็เกิดไม่ได้ยิ่งขึ้น
ศีลสิกขาก็ดี จิตสิกขาก็ดี ปัญญาสิกขาก็ดี ก็ล้วนแต่ป้องกันไม่ให้เกิดกิเลส แม้การเกิดครั้งแรก หรือแม้การที่มันจะเพิ่มอนุสัย มันก็ไม่มี นี่การศึกษาในทางธรรมมันเป็นอย่างนี้ ศึกษาให้รู้จักธรรมชาติ ทุกอย่าง ทุกประการ ที่ตั้งอาศัย ปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลง อยู่ภายในอัตภาพหรือชีวิตนี้ ทีนี้เมื่อศึกษาได้อย่างทั่วถึงอย่างนี้มันควบคุมได้ ควบคุมไม่ให้เกิดกิเลส แล้วก็ลดอนุสัย อาสวะก็สิ้นไป มันก็ไม่มี พอมาถึงขั้นนี้ ถ้ามาถึงขั้นที่ว่า รู้เท่าทัน ควบคุมได้ ไม่อาจจะเกิดกิเลสได้ จนอนุสัยสิ้นไป อาสวะก็ไม่มี นี่แหละคือรับปริญญา นี่เป็นตอนที่รับปริญญา ปริญญาว่า ไอ้ ราคกฺขโย ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสกฺขโย ปริญญาว่า ความสิ้นไปแห่งโทสะ โมหกฺขโย ปริญญาว่า ความสิ้นไปแห่งโมหะ คำว่าปริญญานี่คือความรู้แจ้ง ประจักษ์ แก่ใจ ภายในใจ ว่ามันเป็นอย่างนี้ ว่าไอ้ความสิ้นแห่งราคะเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ความสิ้นแห่งโทสะเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ความสิ้นแห่งโมหะเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ รู้จักด้วยใจอย่างซึมซาบแท้จริง แต่นี่เราไม่รู้หนิ เพียงแต่ฟังเขาว่าหรืออ่านหนังสือมีแต่เรื่อง ไม่ ไม่ ไม่รู้สึกด้วยใจจริง อย่างนั้นมันยังไม่ใช่ปริญญา ปริญญาต้องเห็นด้วยใจจริง รู้สึกด้วยใจจริง ว่าเป็นความสิ้นไปแห่ง ราคะ โทสะ โมหะ อย่างไรนี่ นี่คือรับปริญญา พวกเราที่เรียนหนังสือ เรียนวิชา รับปริญญาแผ่นกระดาษ แล้วก็ทำพิธีกันใหญ่โต ขนเอาพ่อแม่ไปร่วมดูด้วย ว่าเป็นสิ่งวิเศษประเสริฐสูงสุด นั่นก็เป็นปริญญาของชาวบ้าน แต่ปริญญาของพระพุทธเจ้านั้นน่ะกระทำจนรู้สึกด้วยตนเองว่า ราคะไม่มี โทสะไม่มี โมหะไม่มี นี่ถ้าถึงขนาดนี้ก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ไม่ต้องการให้เอาปริญญากระดาษมาเขียนว่าเป็นพระอรหันต์นะ ไม่ต้องการน่ะ ไม่ต้องการรับแผ่นกระดาษที่ลงชื่อให้ว่าเป็นพระอรหันต์ แต่รู้สึกอยู่ด้วยตนเองว่า ราคะไม่มี โทสะไม่มี โมหะไม่มี ทีนี้ถ้าไม่ถึงขนาดที่เรียกว่า สิ้น หมดสิ้น สิ้นเชิงน่ะ มันเป็นแต่สิ้นไปบางส่วนน่ะ เขาเรียกโดยชื่อที่ลดหลั่นกันลงมา เช่นเป็นอนาคามี เป็นสกิทาคามี เป็นโสดาบัน โสดาบันแปลว่าผู้ถึงกระแส ถึงกระแสแห่งปริญญา แต่ยังไม่ ยังไม่ได้รับปริญญาเต็มที่ แต่ถึงกระแสแห่งการ แห่ง แห่งปริญญา หรือแห่งการรอบรู้ พระโสดาบันนี่ละกิเลสหรือละอนุสัยได้ตามสมควร แต่ไม่หมดสิ้น ชั้นแรกเรียนปริญญา แล้วก็ละได้มากขึ้นไปกว่านั้นอีก เรียกว่า สกิทาคามี แล้วละได้มากขึ้นไปกว่านั้นอีกเรียกว่าอนาคามี แล้วละสุดท้ายก็เรียกว่าพระอรหันต์ รายละเอียดมีอยู่ในหนังสือหนังหาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหาอ่านดูได้ แล้วมันก็มากจนจะเอามาพูดคราวเดียวให้หมดนี้มันพูดไม่ไหว แต่ขอให้รู้เป็นหลัก เป็นหลักเป็นเกฑณ์ไว้ว่า เรานี่เกิดมาจากท้องบิดามารดาแล้วก็มีร่างกายมีชีวิตออกมา เป็นทารกออกมานี่ยังไม่มีปัญหา เพราะจิตยังรู้สึกคิดนึกอะไรไม่ได้ ตาหูจมูกลิ้ยกายใจก็ยังไม่ทำงาน แต่พอออกมาจากท้องแม่เป็นเวลาสมควรแล้วจะเกิดความรู้สึกทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายหรือทางใจเองได้นี่มันจะเริ่ม เริ่ม เริ่มปัญหา เริ่มต้นของปัญหา เด็กทารกซึ่งไม่เคยมีปัญหาอยู่ในท้องไม่มีปัญหา คลอดมาวันแรกก็ยังไม่มีปัญหาแต่พอมันเจริญ เจริญ เจริญขึ้น ระบบประสาทเจริญขึ้น ตาหูจมูกลิ้นกายใจมีระบบประสาทที่เจริญขึ้น ทีนี้มันก็ได้เห็นรูปทางตา ได้ฟังเสียงทางหู ได้กลิ่นทางจมูกได้รสทางลิ้นได้สัมผัสผิวหนังทางผิวหนัง แล้วรู้สึกคิดนึกไอ้เรื่องในทางจิตใจด้วยใจนี่ ทีนี้จะมีปัญหา ก็ปัญหาอย่างที่ว่า คือเป็นครั้งแรกที่ว่าเด็กทารถนี้เขาได้รับความรู้สึกที่อร่อย เช่นจะต้องนึกถึงว่ากินนมแม่ก่อน กินนมแม่รู้สึกอร่อยแล้วก็รู้สึกเรื่องไม่อร่อย รู้สึกว่าได้มากพอตามที่ต้องการได้ไม่มากพอตามที่ต้องการ อย่างนี้เป็นต้น มันก็เกิดความรู้สึกชนิดที่เป็นเวทนา เป็นความพอใจหรือไม่พอใจ เมื่อไม่ได้อย่างใจมันก็โกรธมันก็ร้องจ้า ถ้าได้อย่างพอใจมันก็สงบหรือปกติ เด็กเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนสมบูรณ์ทางอายตนะ มีความสมบูรณ์ทางอายตนะ คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ ทำหน้าที่ได้เต็มที่ ได้เต็มที่ ฉะนั้นเรื่องที่จะรักมันก็มีถึงที่สุด เรื่องที่จะโกรธมันก็มีถึงที่สุด เรื่องที่จะรู้สึก อะไรๆ มันก็มีถึงที่สุด นี่ใน ใน ใน ในตัวคนน่ะ ในตัวเรา ในตัวคนเราน่ะมันมีการเกิดขึ้นอย่างนี้ มีการปรุง ปรุง ปรุงแต่ง ปรุงแต่ง ปรับปรุง ปรุงแต่งกันอย่างนี้ จนกระทั่งมาเป็นตัวเราในบัดนี้ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ไวต่อความรู้สึก คิดนึก มาปรุงแต่งเป็นกิเลสได้เหมือนกับสายฟ้าแลบ ก็ควรจะรู้เรื่องนี้ด้วยการศึกษา ศึกษาด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ศึกษาทางศีล นี่โดยสรุปความแล้วก็คือว่า ให้มีความเป็นอยู่ที่ถูกต้อง สำหรับจะมีจิตถูกต้อง แล้วก็มีสมาธิถูกต้อง มีสมาธิสิกขา มีจิตถูกต้อง ก็สำหรับจะมีปัญญาถูกต้อง สำหรับจะศึกษา สอดส่อง ดูลงไปตามนัยยะที่กล่าวมาแล้ว มีปัญญาเพียงพอแล้วก็มองเห็นสิ่งเหล่านี้อย่างที่ว่ามา ปัญญาที่ได้อบรมมาดีเพียงพอแล้วก็เห็น เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เห็นเรื่องมาถึงกันเข้าแล้วเกิดวิญญาณ เมื่อวิญญาณทำหน้าที่อยู่ก็เรียกว่าผัสสะ ครั้นมีผัสสะแล้วก็มีเวทนา นี่ก็เห็นด้วยปัญญา เห็นด้วยปัญญา เห็นด้วยปัญญา ทุกขั้นตอน เกิดเวทนาแล้วจะเกิดปัญญาหรือสังขาร หรือจะเกิดปัญญาแล้วเกิดตัณหา เกิดอุปาทา เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์เป็นภพเป็นชาติไป ก็แล้วแต่จะมอง คือมันมีให้มองหมดดังที่กล่าวนี้ ถ้ามองเป็นขันธ์ ๕ เพียง ๕ อย่าง ก็เป็น เห็นเป็นขันธ์ ๕ ถ้ามองให้มากเป็นสาย ไปเป็นปฏิจจสมุปบาท เป็น ๑๑ อย่าง ๑๒ อย่าง มันก็เป็นปฏิจจสมุปบาท มีรายละเอียดตามเรื่องนั้นๆ ซึ่งจะหามาศึกษาดูได้
ในวันนี้เพียงแต่บอกให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มันมีหลักการหลักเกณฑ์อย่างนี้ ถ้าเราศึกษารู้ความจริงอันนี้หรือธรรมชาติอันนี้แล้วควบคุมไว้ได้ แล้วก็ควบคุมไว้ได้จนไม่เกิดกิเลสจนกิเลสหมดก็ได้รับปริญญา ปริญญาของพระพุทธเจ้า ปริญญามี ๓ อย่าง ปริญญาคือความสิ้นแห่งราคะ ปริญญาคือความสิ้นแห่งโทสะ ปริญญาคือความสิ้นแห่งโมหะ เรื่องมันก็จบ ตั้งต้นด้วยความโง่ ความไม่รู้อะไร ได้รับอารมณ์แล้วก็ปรุงแต่งเป็นกิเลสเกิดกิเลสทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานานเป็นระยะยาวจนกว่าจะโชคดีรู้สึกคิดนึกได้ ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระอริยเจ้าเอามาศึกษาเอามาปฏิบัติ รู้เรื่องนี้โดยแท้จริงแล้วควบคุมไว้ได้ มันก็เปลี่ยน มันก็มีและมีการเปลี่ยน เปลี่ยนจากไอ้การที่จะไหลไปหาความทุกข์ เปลี่ยนเป็นการหยุดที่จะไม่ไหลไปหาความทุกข์ นี่แหละมันเป็นวิวัฒนาการทางจิตใจอันประณีตอันละเอียดอันสุขุมอย่างยิ่ง เท่าที่พูดนี่เป็นเรื่องหัวใจของธรรมะล้วนๆ เรื่องปลีกย่อยทั้งหลายไม่ได้เอา ไม่ได้เอามาพูด พูดแต่เรื่องที่มันเป็นหลักเกณฑ์ที่เป็นชิ้นเป็นอันอย่างยิ่ง ว่ามันเป็นอย่างนี้ ว่ามันเป็นอย่างนี้ ถ้าจะศึกษาพุทธศาสนาพระธรรมในพุทธศาสนาแล้วก็ต้องศึกษาเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งแรกที่จะต้องศึกษา แล้วก็ศึกษาคู่ของมัน คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้อยู่ข้างใน คือในตัวเรา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อยู่ข้างนอกตัวเรา ที่มันเป็นคู่ๆกันน่ะ มันจับคู่กันทีไรแล้วมันก็มีเรื่อง เช่น ตาจับคู่กับรูป เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เลยเป็นทุกข์ เสียงจับคู่กันกับหู เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน และเป็นทุกข์ กลิ่นจับคู่กับจมูกเกิด วิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน และเป็นทุกข์ รสจับคู่กันกับลิ้น เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทานและเป็นทุกข์ กายผิวกายที่เต็มไปด้วยระบบประสาทจับคู่กันกับสิ่งที่มากระทบกาย เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน และเป็นทุกข์ ที่นี้ใจนี่มันมาทีหลัง มัน มัน มัน หลังจากที่มันได้รู้สึกอะไรทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายมากพอแล้ว มันเป็นอารมณ์ในอดีต นี่เอามาเป็นอารมณ์ของใจ เช่นเวทนาต่างๆ ที่เคยสัมผัสรู้สึกมาแล้วแต่ต้น เดี๋ยวนี้มาเป็นอารมณ์ของมโน มีมโนวิญญาณ มีผัสสะทางมโน มีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน แล้วก็เป็นทุกข์ นี่เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ แล้วก็มีเพียงเท่านี้ด้วย เรื่องจริงเรื่องแท้เรื่องสำคัญที่สุดของธรรมะมีเพียงเท่านี้ ในเรื่องปลีก เรื่องฝอย เรื่องย่อย เรื่องอะไรพูดกันให้มากเรื่องไป เป็นน่ะ เป็นภูเขาเลากา จะไม่มีประโยชน์อะไร จะพูดเรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องตายเกิดตายไม่เกิด เกิดเป็นอะไร เกิดเป็นอย่างไร เรื่องกรรม เรื่องอะไรมากมาย มันไม่ต้อง ถ้าว่าจะดับทุกข์ แล้วก็มีสติสัมปชัญญะ ปัญญาให้เพียงพอ ในเมื่อความมีการกระทบทางอายตนะนี่ อายตนะทางภายใน เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ ตอนนี้มีสติ มีปัญญา โดยสตินำมาอย่างถูกต้อง ได้รับเวทนาแล้วก็ไม่ปรุงเป็นตัณหาใดๆ ก็ไม่เกิดอุปาทาน และไม่เกิดทุกข์ เรื่องมีเท่านี้ ทีนี้เรามันสอนกันไอ้เรื่องปลีกย่อย เรื่องฝอยมากเกินไป จนไม่ได้มารู้เรื่องหัวใจหรือเรื่องแท้จริงนี่ นี่ศึกษาพระพุทธศาสนามาจนแก่ จะเข้าโลงอยู่แล้วก็ยังไม่รู้เรื่องอันแท้จริงของธรรมะที่แท้จริง ของพุทธศาสนาที่แท้จริง ก็อย่างเช่นว่า เอ้า, อยากจะทำบุญให้ทาน อยากไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ในวิมาน แล้วก็หารู้ไม่ว่า ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ในวิมานนั้นน่ะ มันยังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จะสัมผัสอารมณ์ จะรู้สึกต่ออารมณ์ แล้วก็เป็นทุกข์ เกิดกิเลสตัณหาเช่นเดียวกันนี่ นี่มัน มันเสียเวลาอย่างนี้ ไม่ ไม่เจาะจงลงไปที่ว่าจะดับทุกข์อย่างไร อ้อมค้อมไปว่าจะมีความสุข สนุกสนาน เบิกบาน บันเทิงอย่างไรในสวรรค์ชั้นนั้น ในสวรรค์ชั้นนี้ ในพรหมโลกชั้นนั้น ในพรหมโลกชั้นนี้ ซึ่งเขาก็ว่าดี ก็ดีแต่เรื่องเสียเวลาทั้งนั้น เป็นเรื่องเนิ่นช้าแก่การจะดับทุกข์
ดังนั้น วันนี้จึงพูดแต่เพียงว่า ศึกษา แล้วก็รับปริญญา อย่าให้เรื่องมันมากไปกว่าสองเรื่องนี้ ศึกษาซึ่งตนเอง ดูตนเอง เห็นตนเอง โดยตนเอง เพื่อตนเอง ให้รู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองที่เป็นภายในทุกอย่างทุกประการแล้ว ก็รู้จักควบคุมไม่ไห้เกิดกิเลส ไม่เกิดกิเลสก็ไม่เกิดทุกข์ จนไม่เกิดกิเลส จน จน จนกิเลสหมดสิ้นไป ทั้งกิเลส และทั้งความเคยชินของกิเลส มันก็เลยได้รับปริญญา เป็นผู้สิ้นราคะ เป็นผู้สิ้นโทสะ เป็นผู้สิ้นโมหะ นี่ปริญญา เรื่องมันมีเท่านี้ เอาแหละ, เป็นอันว่า วันนี้ได้พูดเรื่องสรุปให้มันสั้นที่สุด ของเรื่องทั้งหมดทั้งแปดหมื่นสี่พันธรรมขันธ์ พูดกันกี่ปี กี่ปี มันก็ไม่รู้จักจบ แต่ถ้าจะพูดให้รู้จักจบมันก็พูดอย่างนี้แหละ พูดกันชั่วโมงเดียวก็จบเห็นไหม เอาล่ะ, เป็นอันว่า ขอให้กำหนดจดจำ ไอ้เรื่องที่เป็นหลัก เป็นเกณฑ์ เป็นความลับของธรรมชาติ แล้วก็มีอยู่เพียงเท่านี้ รู้เรื่องการปรุงแต่งในภายใน ที่ตั้งต้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จนเกิดกิเลสและความทุกข์ ที่นี้ก็รู้จักทำให้มีสติปัญญา เมื่อกระทบกันกับสิ่งเหล่านี้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ควบคุมไว้ได้ ไม่ให้เกิดกิเลส แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ เรื่องมันจบ ดังนั้น ขอให้ทุกคนกำหนดจดจำ ไอ้เรื่องที่เป็นหัวใจของเรื่อง หัวใจของเรื่องคือหัวใจล้วนๆ ไม่มีเรื่องฝอย เรื่องกระพี้ มันมีเพียงเท่านี้ แล้วก็พยายามปฎิบัติให้ได้ตามหลักเกณฑ์อันนั้น ควบคุมกิเลสไม่ให้เกิด ก็ไม่มีอนุสัย ที่สำหรับจะเกิดกิเลสต่อไปข้างหน้า ทีนี้ว่าถ้ามันมีกิเลส มีอนุสัยมาแล้วตั้งแต่เล็ก เพราะเราไม่รู้เรื่องอะไร ตั้งแต่เล็กมันมีแล้ว ต่อไปนี้ก็ควบคุม อย่าให้เกิดกิเลส โลภะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี อย่าให้เกิดกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ละอย่างนี้ แล้วมันจะลดอนุสัย ที่สะสมมาไว้ แต่ แต่ แต่แรกเกิดน่ะ นี่เรียกว่าอนุสัยมีแล้ว มีเต็มมากพออยู่แล้วในสันดาน เป็นอาสวะไหลออกมาอยู่เรื่อยๆ นี่ ทีนี้มาตั้งต้นว่า จะระวังไม่ให้กิเลสเกิด เมื่อมันควรจะเกิด ระวังได้ทีหนึ่งมันก็ลดอนุสัยเสียหน่วยหนึ่ง ระวังไม่ให้โลภทีหนึ่งก็ลดราคาอนุสัยเสียหน่วยหนึ่ง ระวังไม่ให้โกรธทีหนึ่งก็ลดปฏิฆานุสัย เสียหน่วยหนึ่ง ระวังไม่ให้โง่หลงไปทีหนึ่งมันก็ลดอวิชชานุสัยเสียหน่วยหนึ่ง มันก็ ลด ลด ลด ลด จนกระทั่งว่ามันหมด รับปริญญา แม้ว่าจะยังไม่ถึงกับรับปริญญา มันก็ยังเป็นผลดี คือมีความทุกข์น้อยกว่าธรรมดา มันไม่ทุกข์มากเต็มที่ เหมือนกับที่ว่าไม่มีการประพฤติ ไม่มีการศึกษา ไม่รู้จักการควบคุมเอาเสียเลย เอาล่ะ, เป็นอันว่า คงจะเข้าใจเรื่องการศึกษา และผลสุดท้ายคือการรับปริญญาของพระพุทธเจ้าตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา จำเอาไป สำหรับเป็นเครื่องกำหนด กฎหมายใช้เป็นหลักสำหรับประพฤติปฎิบัติอยู่ ตามสมควรแก่อัตภาพของตน ของตน จะมีผลคือ ลดความทุกข์ ลดกิเลส แล้วก็ลดความทุกข์ ถ้าตั้งทำ ตั้งใจทำให้มันจริงๆ ถึงที่สุด มันก็ถึงกับว่า สิ้นกิเลสและความทุกข์โดยประการทั้งปวงได้ เป็นยอดสุด ถ้ายังไม่ถึงยอดสุด ก็ยังมีกิเลสและความทุกข์น้อยมาก น้อยจนไม่ค่อยจะมีตัณหาอะไร
การบรรยายนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว หวังว่าจะจดจำเอาไปเป็นเงื่อนต้น เป็นเงื่อนต้น สำหรับจะศึกษา ให้ขยายออกไปจนครบถ้วน สิ้นเชิง จนตลอด อยู่ตลอดเวลาที่จะมีชีวิตต่อไปข้างหน้า อย่าให้มันเป็นเสียเวลาเปล่า ให้มีการศึกษาตามแบบของพระพุทธเจ้า เพื่อรับปริญญาตามแบบของพระพุทธเจ้า ควบคู่กันไปกับการศึกษาและรับปริญญาตามแบบชาวโลก ซึ่งเปรียบเทียบกันแล้วเป็นเรื่องเล็กแค่นิดเดียว ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้