แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย พวกเราที่นี่มีความยินดีที่จะช่วยเหลือผู้ที่สนใจหรือใฝ่ใจในการที่จะศึกษาธรรมทุกเมื่อ เพราะว่ามันเป็นการทำประโยชน์ร่วมกันแก่ทุกฝ่าย แม้แต่สถานที่นี้มันก็ต้องการจะทำงานที่เป็นประโยชน์ มันก็ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ท่านทั้งหลายผู้ฟังก็ได้รับประโยชน์ และความรู้และการปฏิบัตินี้มันก็เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ หรือว่ามันจะเลยไปถึงโลกทั้งโลกก็ได้ ถ้าหากว่าการศึกษาและการปฏิบัตินี้เป็นที่เข้าใจกันกว้างไกลออกไปจนทั่วโลก การพยายามช่วยโลกให้มีสันติภาพเป็นหน้าที่ของทุกคน แต่บางคนก็ไม่สนใจหรือไม่ยอมรับ ที่จริงนั้นเราสามารถจะทำพร้อมๆ กันไปได้ในความมุ่งหมายเหล่านี้ ถ้าเห็นแต่ประโยชน์ตัวเท่านั้นก็เรียกว่าจิตใจคับแคบไม่สมกับเป็นพุทธบริษัทหรือไม่สมกับเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำไป
เป็นมนุษย์ต้องใจสูงใจกว้างกว่าคนธรรมดา ฉะนั้นเราจึงต้องมีการทำอะไรชนิดที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ที่เขาเรียกรวมๆ กันว่ามนุษยชาติ ชาติแห่งความเป็นมนุษย์ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นมีเพียงชาติเดียวเท่านั้นแหละ นี่มันจักรวาลนี้ มนุษยชาติ ชาติที่เป็นมนุษย์ ชาติแห่งมนุษย์มันมีชาติเดียว ฉะนั้นจะทำอะไรขอให้นึกถึงมนุษยชาติกันบ้าง อย่านึกถึงแต่ตัวกูของกูหรือพรรคพวกของกู เป็นชมรมนั้นชมรมนี้ จำกัดเขตมากเกินไป ถ้าเรามีความปรารถนาอย่างนี้ พยายามกันอย่างนี้ก็จะมีประโยชน์มากแหละ คือพุทธศาสนาจะไม่เป็นหมันและก็แผ่กระจายไปเป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลกได้ ขอให้สนใจมีปณิธานในการกระทำอย่างนี้
มีข้อปลีกย่อยที่ควรทำความเข้าใจกันเป็นส่วนประกอบพื้นฐาน คือว่าเดี๋ยวนี้คนเขาก็เที่ยวแสวงหาหรือพยายามให้เกิดสันติภาพ อ้างตัวเองว่าเป็นนักศึกษา เป็นปัญญาชน ก็ขวนขวายเพื่อให้เกิดสันติภาพแก่สังคม อย่างนั้นมันถูกแหละ แต่ว่าโดยทั่วไป ทั่วๆ ไปจะทั้งโลกก็ว่าได้มันกำลังเที่ยวคลำหาสันติภาพอย่างงุ่มง่ามเงอะงะ ไม่มีโอกาสจะพบ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือหาผิดๆ จนสร้างเรื่องผิดๆ ขึ้นมาอีก นี่เรียกว่าผู้ที่เรียกตัวเองว่านักศึกษาหรือปัญญาชนนั่นแหละกำลังงุ่มง่ามที่สุดเลย และบางทีมันก็เตลิดเปิดเปิงไป แม้คอมมิวนิสต์มันเกิดขึ้นในโลกมันก็เป็นผลของการที่คนพวกหนึ่งเขาคลำหาวิถีทางสันติภาพ และมันก็ไม่ได้และไม่ถูก กลับสร้างปัญหาวุ่นวายขึ้นมาเพราะคอมมิวนิสต์ซึ่งอ้างตัวเองว่าจะเกิดขึ้นมาเพื่อสร้างสันติภาพ นักศึกษาฝ่ายซ้ายของเราก็เคยไปเงอะงะตามเขาพักหนึ่ง ซึ่งควรจะรับรู้กันไว้และมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรนี่ ขอให้สนใจว่ามันทำไม่ถูกเรื่องของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ
ขอพูดอย่างสรุปความกันเสียก่อนว่า ในที่นี้ในหมู่พวกเราทั้งหมดนี้เรามีหลักสั้นๆ ว่า ปัญหาทุกอย่างแก้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะเพียงคำเดียว บางคนอาจจะนึกค้านหรือไม่เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างจะแก้ได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะเพียงคำเดียว ยังไม่เชื่อก็ได้ เดี๋ยวนี้ยังไม่เชื่อก็ได้ แต่ขอให้เอาไปคิดดู ไปใคร่ครวญดูอย่างละเอียดลอออยู่เถิด ก็จะพบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง เพราะว่าคำว่า “ธรรม” หรือ “ธรรมะ” นี่มีความหมายกว้างขวางหรือว่าจะมีความหมายเดียว อย่างเดียว แต่มันก็กว้างพอที่จะครอบคลุมความหมายอย่างอื่นๆ ได้ทั้งหมด เดี๋ยวนี้ ต่อไปนี้เราก็ได้จะพิจารณาดูกันในแง่นี้
เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาอยู่ที่ว่ามนุษย์เที่ยวคลำหาสันติภาพอย่างเทอะทะ ลงทุนไปมากมายมหาศาลก็เพื่อสันติภาพตั้งลัทธินั้นลัทธินี้ขึ้นมาด้วยทุนมหาศาลก็เพื่อสันติภาพ แล้วโลกนี้เป็นอย่างไร โลกนี้กลับไม่มีสันติภาพยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งขึ้นไปกว่าแต่ก่อนโน้นซึ่งไม่ได้มีลัทธิหรือว่าอะไรพวกนี้เกิดขึ้น ขอให้เรามองดูกันให้ดีๆ ถ้าท่านทั้งหลายคิดว่าจะใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ ไม่เป็นหมันละก็จะต้องนึกถึงเรื่องนี้กันมากทีเดียว
ก็พอที่จะเชื่อได้กระมังว่าที่สนใจธรรมะศึกษาธรรมะขวนขวายธรรมะกันนี้ ก็เพื่อประโยชน์ในการที่จะใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด โดยคิดว่าอาศัยธรรมะเป็นเครื่องมือแล้วก็จะปฏิบัติสิ่งที่เป็นประโยชน์ได้กว้างขวาง เข้าใจว่านักศึกษาธรรมะทุกคนมุ่งหมายจะใช้ชีวิตของตนให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด จึงได้มาสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ทีนี้ก็ต้องทำให้มันถูกต้อง ต้องมีการกระทำที่ถูกต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นแหละให้ถูกต้อง และใช้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นแหละให้เป็นประโยชน์โดยแท้จริง เดี๋ยวนี้ไม่สำเร็จประโยชน์นะ ความพยายามของนักสันติภาพทั้งโลกนี่ยังไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะมันคลำไม่ถูกวิธีการที่จะสร้างสันติภาพได้โดยแท้จริง
พูดกันโดยสรุปสั้นๆ ก่อน ก็คือว่ามันมองหากันแต่ด้านนอกคือทางวัตถุ มันก็เลยคิดได้อะไรได้ก้าวหน้าได้ในทางวัตถุมากๆ แล้วก็หลงไปว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยวัตถุ เช่น อุดมคติของคอมมิวนิสต์ที่ว่าถ้าวัตถุเจริญแล้วก็ จิตใจก็เจริญแล้วสันติภาพก็จะมี ฉะนี้มันค้านกับหลักทางศาสนาที่ว่าจิตใจเจริญแล้ววัตถุมันจึงจะเจริญ ถ้าจิตใจไม่เจริญวัตถุก็เจริญผิด ผิดไปหมด ผิดไปในทางเป็นอันตราย จิตใจนำวัตถุไม่ใช่วัตถุนำจิตใจ ฉะนั้นเราจึงสนใจจัดการกันกับสิ่งที่เรียกว่าจิตใจ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องด้านในข้างใน คือมองกันเข้าไปในภายในแห่งตัวคน ไม่ได้มองไปที่ภายนอกที่วัตถุทั้งหลาย ที่กำลังขวนขวายพัฒนากันอยู่
ทีนี้แม้จะมองดูแคบเข้ามาถึงพวกพุทธบริษัท พุทธบริษัทก็ยังไม่รู้จักตัวเอง ยังไม่รู้จักวิธีที่มีอยู่สำหรับตัวเอง ว่าจะจัดการกับสันติภาพนี้อย่างไร นี้เราพูดกันเองโดยไม่ต้องเกรงใจใคร แม้ว่าทุกคนเป็นพุทธบริษัท ก็ยังพูดว่าพุทธบริษัทเองมันก็ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักวิธีของพุทธบริษัทโดยเฉพาะ มันก็เลยไม่สำเร็จประโยชน์ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นข้อแรกในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัท เราก็จะต้องจัดการกับความไม่ถูกต้องหรือความรู้ที่ไม่เพียงพอของพุทธบริษัทนี่แหละก่อน เสียก่อน ทีนี้เราก็จะได้พูดกันให้เป็นแนวเป็นทางต่อไป ว่าพุทธบริษัทนี้โดยส่วนใหญ่ โดยหลักเกณฑ์ใหญ่ๆ นั้น มันมีวิถีทางปฏิบัติอย่างไรกัน
คุณจะต้องนึกถึงโลกทั้งโลก ทุกคนในโลกล้วนแต่มีลัทธิศาสนา วัฒนธรรมอะไรที่เขาถือกันอยู่ แต่ละคนๆ มากมายนับไม่ไหว ถ้าจะแจกจำแนกเป็นตัวคนแต่ละคนนี่ แต่ว่าเราสามารถที่จะแบ่งแยกโดยหลักเกณฑ์ คือทำการกำหนดโดยหลักเกณฑ์ว่าในโลกนี้มันมีคนอยู่ ๒ พวก เมื่อแบ่งแยกไปตามหลักลัทธิที่เขาถืออยู่เป็นหลัก มันจะมีสักสี่พันล้านคนกว่าแล้วเดี๋ยวนี้ มันก็แบ่งได้เป็น ๒ พวก ว่าพวกทีแรกนั้นน่ะเขาถือว่ามีพระเจ้าหรือมีผู้สร้าง ผู้ควบคุมสิ่งทั้งปวง ดังนั้นเราต้องเคารพและอ้อนวอนผู้สร้าง นี่พวกหนึ่งซึ่งมีมากดู จะมากกว่าพวกอื่น ถือว่ามีพระเจ้าผู้สร้างต้องเคารพและอ้อนวอนพระเจ้า ทีนี้อีกพวกหนึ่งมันว่าไม่มีพระเจ้าชนิดนั้น มีแต่การที่คนทุกคนจะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่ากฎ evolution พวกนี้ไม่มีพระเจ้าไม่นับถือพระเจ้า ทำอะไร จะทำอันไหนก็จะนึกถึงแต่เรื่องกฎของ evolution แล้วก็จะทำให้ถูกต้องตามกฎ และก็จะแก้ปัญหาได้
นี่เรารู้เรื่องนี้กันก่อน มันมีความสำคัญมากเหมือนกัน ว่าคนในโลกมีเพียง ๒ พวก พวกหนึ่งเชื่อการสร้างของพระเจ้า เขาใช้คำเรียกพวกนี้ว่า creationist creation ที่แปลว่าการสร้างหรือสิ่งที่ถูกสร้าง creationist บรรดาผู้ถือศาสนามีพระเจ้าสร้างทุกศาสนาแหละเขาเป็นพวกนี้ นี่อีกพวกหนึ่งเป็น evolutionist คือเชื่อตามกฎของ evolution วิวัฒนาการ พุทธศาสนาหรือพุทธบริษัทนี่อยู่ในพวกหลังนี้ ดังนั้นเรารู้จักตัวเราเองเสียก่อนว่าเราอยู่ในพวกไหน ในบรรดา ๒ พวกทั้งหมดของโลกนั่น เราเป็นพวก evolutionist พูดเป็นฝรั่งมันก็ฟังดูก็ชอบกลแต่ว่ามันก็สะดวก มิฉะนั้นเราจะต้องพูดคำยาวๆ ว่าพวกที่ถือตามกฎแห่งวิวัฒนาการ เรียกว่า evolutionist ไอ้พวกตรงกันข้ามพวกหนึ่งนั่นเขาเป็น creationist ถือตามคำสั่งของพระเจ้าผู้สร้างสิ่งทั้งปวงมา
คำสองคำนี้เป็นคำสากลแล้ว ถึงคุณจะจำไว้ก็ไม่มีประโยชน์ มันเป็นที่ใช้กันเป็นสากลแล้วว่า creationist กับ evolutionist มีสองคำเท่านั้นแหละ และในโลกนี้มันก็มีคนเพียง ๒ พวกเท่านั้น ถึงพวกที่มันไม่นับถือศาสนาอะไร ไม่นับถือพระเจ้านะ ไม่นับถือศาสนาอะไร มันก็ยังเชื่อว่ามันเป็นไปเหตุตามปัจจัย ตามกฎ เป็นไปตามเรื่องตามราว มันจะพูดว่าเป็นไปตามเรื่องตามราว คือไม่ใช่พระเจ้าสร้างก็แล้วกัน ดังนั้นพวกที่ไม่นับถือศาสนาอะไรนัก หรือจะไม่มีศาสนาเลย มันก็มาอยู่ในพวกที่ถือว่าเป็นไปตามเรื่องตามราวคือ evolutionist มันไม่อาจจะไปเป็น creationist เพราะว่ามันไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง
ทีนี้เมื่อเราแบ่งแยกคนในโลกเด็ดขาดออกไปเป็น ๒ พวกอย่างนี้แล้ว และเราก็รู้ว่าเราอยู่ในพวกไหนอย่างนี้แล้ว เราก็จะสนใจแสวงหาวิธีการสำหรับพวกนี้ พวก evolutionist พวกที่ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งวิวัฒนาการคือ evolution แล้วเผอิญมันก็มาตรง มีความหมายตรงกันกับคำในทางพุทธศาสนา ที่เราเรียกกฎแห่งอิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตาคำนี้เป็นคำสำคัญเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ถ้าเป็นพุทธบริษัทไม่รู้เรื่องนี้ ไม่รู้เรื่องนี้คือเรื่องอิทัปปัจจยตาแล้ว เรียกว่ายังหลับอยู่ยังไม่ลืมตาเป็นพุทธบริษัท แต่ว่าบางคนอาจจะรู้เรื่องนี้พอสมควรแล้วแต่ไม่รู้ว่าเรียกชื่ออย่างนี้ก็ได้ แต่ในพระบาลีเขามีไว้ชัดว่าชื่อมันอย่างนี้ อิทัปปัจจยตา แปลว่าเพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ฉะนั้นว่า ว่าไปสักกี่หนกี่เดือนกี่ปี มันก็มีคำเพียงเท่านี้แหละว่าเพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
นั่นล่ะคือหลักวิทยาศาสตร์แท้ๆ ซึ่งมีความเห็นว่าเพราะมีสิ่งนี้จึงมีสิ่งนี้ หรือเพราะเอาสิ่งนี้มาช่วยมาทำมาประกอบกันเข้าจึงเกิดสิ่งนี้ วิถีทางวิทยาศาสตร์ยังเป็นเรื่องของอิทัปปัจจยตาทั้งนั้นเลย ถ้าวิทยาศาสตร์ยิ่งเจริญขึ้นเท่าไรมันยิ่งเพิ่มน้ำหนักเพิ่มความหมายเพิ่มกำลังให้แก่พุทธศาสนา นี่คอยดูต่อไปว่าวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไกลออกไปเท่าไร ยิ่งเพิ่มกำลังให้แก่พุทธศาสนา หรือศาสนา evolutionist ทั้งหลาย แล้วมันจะลดกำลังแก่ฝ่ายที่เป็น creationist คือมีพระเจ้าอย่างบุคคล มันมีพระเจ้าอย่างบุคคลเป็นคนมีความรู้สึกอย่างคน โกรธ รัก เกลียด กลัว อะไรได้อย่างคน พระเจ้าอย่างคนของพวกนั้น ทีนี้ฝ่ายนี้ ฝ่ายพวกเราถ้าจะมีพระเจ้ากันบ้าง ก็มีกฎอิทัปปัจจยตาเป็นพระเจ้าจึงไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่บุคคลเป็นกฎของธรรมชาติซึ่งไม่ใช่เป็นคน ก็มีกฎนี้เป็นพระเจ้า เรามีพระเจ้าอย่างไม่ใช่บุคคล แต่เราก็ไม่ ไม่เรียกว่าพระเจ้า เราเรียกว่าธรรม หรือพระธรรม สิ่งมีอำนาจสูงสุดให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป เรียกว่าพระธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ เรียกชื่อว่ากฎอิทัปปัจจยตา
เรื่องมันจึงมีว่าเราต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา เราจึงจะประสบความสำเร็จอย่างที่เราต้องการ อย่างเช่น จะสร้างสันติสุขส่วนตัวเองก็ตาม จะสร้างสันติภาพของโลกก็ตาม ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาจึงจะสำเร็จ ดังนั้นอย่าอวดดี ทำอะไรหวัดๆ ศึกษากันสองสามคำแล้วก็วิ่งเข้าป่า ตั้งกองต่อสู้ปฏิวัติ มันไม่มีทางจะสำเร็จหรอก ถ้ามันไม่ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่รู้อะไรมันเป็นเหตุอันแท้จริงที่ทำให้คนมีความคิดผิดๆ ก็หาวิถีทางที่ทำให้มันเกิดความคิดที่ถูกต้อง มันก็จะเป็นไปได้ นี่พวก creationist เขาว่าแล้วแต่พระเจ้า อ้อนวอนพระเจ้า ขอจากพระเจ้า พวก evolutionist มันก็แล้วแต่ความผิดถูกที่เรากระทำตามกฎอิทัปปัจจยตา ถ้าทำฝ่ายถูกต้องมันก็เกิดสันติภาพ ถ้าทำฝ่ายผิดมันก็เกิดวิกฤตการณ์ อย่างนี้ นี้เรามาดูในชั้นนี้ ก็เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นพวกไหน เราอยู่ในสถานะอย่างไร มีหลักเกณฑ์อย่างไรโดยกว้างๆ คล้ายๆ ว่าโลกนี้ผ่าเป็น ๒ ซีกแล้วก็พวกหนึ่งเป็น creationist อีกพวกหนึ่งเป็น evolutionist เมื่อเป็นพวก evolutionist ก็ต้องใช้วิถีทางของพวกนี้ให้ถูกต้องให้สำเร็จประโยชน์
พวกถือพระเจ้านั้นมันมีมาก่อน เพราะมันเกิดได้ง่ายตามสัญชาตญาณ กลัวสิ่งที่ไม่รู้จักหรือมีสิ่งที่ไม่รู้จักเป็นสิ่งสูงสุด ดังนั้นพวก creationist มันจึงมีมาก่อน ก่อนพวก evolutionist จึงพูดได้ว่าตั้งแต่สมัยคนป่าโน้นมาก็ได้ ก็เริ่มมีสิ่งที่เขาไม่รู้จัก ลึกลับ มันก็เรียกว่าพระเจ้า แล้วก็บูชาบวงสรวงอ้อนวอนเรื่อยๆ มา แล้วก็ขยับปรับปรุงความหมายดีขึ้นๆๆ จนเป็นพระเจ้าชนิดที่แยบคาย แต่ก็มีพระเจ้า และคือมีคนอื่นมาสร้างเรา ทุกอย่างต้องขึ้นกับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นกับเรา เรียกว่าเขามีศาสนาชนิดพระเจ้าผู้สร้างกันมาแล้วเป็นพันๆ ปีก่อนหน้านั้น ก่อนหน้านี้ก็มันไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ขอให้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างหนึ่งก่อน
ทีนี้เราพวกพุทธบริษัทไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นพุทธบริษัทจริงนั้นจะต้องไม่มีลักษณะอย่างนั้น คอยดูจากคำสอนของพระพุทธเจ้า คือจะยึดหลักอิทัปปัจจยตานี้แหละเป็นหลัก บางทีก็เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท พวกเราอาจจะเคยได้ยินเพียงคำว่า “ปฏิจจสมุปบาท” กัน โดยมากไม่ค่อยได้ยินคำว่า “อิทัปปัจจยตา” เพราะคำนี้เพิ่งแพร่หลายออกมาเมื่อเรามีการเผยแพร่หนังสือของเรามีคำว่า “อิทัปปัจจยตา” ทำให้แพร่หลายในสังคมนักศึกษา ก่อนนี้ได้ยินคำว่า “ปฏิจจสมุปบาท” กันอยู่โดยทั่วๆ ไป ขอทำความเข้าใจในส่วนนี้ว่าถ้าใช้คำว่า “ปฏิจจสมุปบาท” นั้น ความหมายมันจำกัดอยู่ในวงที่แคบกว่า คือเฉพาะสัตว์ที่มีชีวิตมีความรู้สึกคิดนึก รู้สึกเจ็บปวด เป็นทุกข์ ทรมานเป็นนั้นแหละใช้คำว่า “ปฏิจจสมุปบาท” แต่ถ้าออกไปถึงสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ก้อนหิน ก้อนดิน ตัวโลกๆ แท้ๆนี้ จะใช้คำว่า “อิทัปปัจจยตา” กฎอิทัปปัจจยตาควบคุมโลกอยู่ทุกๆ ปรมาณูที่มันประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลนี้ นี่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา ดังนั้นต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา จึงจะไม่เกิดเรื่องคือไม่เป็นทุกข์ หรือต้องการความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎนี้ แล้วก็มีความสุขได้สมหวัง
เรายังไม่ทำได้อย่างนั้น เพราะยังไม่รู้จัก เพิ่งได้ยินได้ฟังก็มี ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเลยก็มี ดังนั้นจะต้องแตกฉานในเรื่องของอิทัปปัจจยตาจนเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ นี่ขอให้กำหนดไว้ในขั้นแรกนี้ มีอยู่อย่างนี้ จะได้มีความแน่ใจลงไปว่าเราต้องแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการกระทำของเราเอง ไม่แก้ปัญหาต่างๆ ด้วยการอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย
จะบอกได้เลยว่าในพระไตรปิฎกมันไม่มีคำว่า “ขลัง” หรือ “ศักดิ์สิทธิ์” ส่วนในวงพุทธศาสนาไม่มีคำว่า “ขลัง” ว่า “ศักดิ์สิทธิ์” เพราะเราเป็นพวก evolutionist ไปตามเหตุปัจจัยอย่างที่กล่าวแล้ว ต้องพวกนอกไปจากนั้น พวก creationist จึงจะมีคำว่า “ขลัง” ว่า “ศักดิ์สิทธิ์” ดังนั้นการที่เอาพระเครื่องมาแขวนคอ พิธีบนบาน บวงสรวงอะไรต่างๆ นั้น ไม่ใช่ evolutionist แม้กระทำกันอยู่ในพวกพุทธบริษัท มันเผอิญกระทำมาอย่างนั้น ตั้งแต่ก่อนได้รับพุทธศาสนา อันนี้มันเป็นเรื่องประวัติศาสตร์แต่ก็ควรจะทราบไว้บ้างเหมือนกันว่า ก่อนแต่พุทธศาสนาจะเข้ามาสู่ดินแดนนี้ ดินแดนแหลมทองนี้ ศาสนาพราหมณ์เขาเข้ามาก่อน แล้วมาสอนไว้ตามหลักลัทธิพราหมณ์อย่างยิ่ง คือมีพระเจ้า เมื่อมีพระเป็นเจ้ามีเทวดา มีอะไรก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีความขลังหรือความศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนคนไทยก่อนแต่นับถือพุทธศาสนาก็ถือลัทธินี้ ดังนั้นจึงมีความยึดมั่นในเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ พอได้รับพุทธศาสนาแล้วก็ยังละไม่ได้ เอาเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์มายัดใส่ให้แก่พุทธศาสนาอีก มันก็เลยเลอะเทอะหมด
ความขลังความศักดิ์สิทธิ์นี้เอาไว้ให้พวก creationist การทำไปตามเหตุผลนี่มาเอาไว้ให้กับพวก evolutionist อย่างที่เราแยกกันเด็ดขาดแล้ว ดังนั้นเราจึงพูดได้ว่าเดี๋ยวนี้เรายังไม่ทำถูกตรงตามหลักของพุทธศาสนา ในข้อที่ว่ายังยึดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ก็นั่งอ้อนวอนสิ่งที่ขลังที่ศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ต้องทำอะไร เมื่อไม่ทำอะไรมันเป็น evolutionist ไปไม่ได้ กลายเป็น creationist ไป ถ้าพุทธบริษัทนี้เอาแต่นั่งอ้อนวอนของขลังของศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เป็นพุทธบริษัท มันก็เป็นพวก creationist มีพระเจ้า มีเทพเจ้า มีอะไรไปทำนองนั้น แต่ถ้าเราปฏิบัติให้ถูกตรง แก้ปัญหานั้นตามเหตุของปัญหานั้น จึงจะเป็นพุทธบริษัทผู้มีความรู้ ผู้มีการกระทำ และกระทำด้วยตนเองเพื่อแก้ปัญหาของตนเอง ไม่ต้องเอาพระเจ้าหรือว่าเทวดาไหนมาช่วย นี่เห็นจะพอแล้วใช่ไหมที่ว่าเราเป็น evolutionist เราจะต้องทำอย่างไร ถ้าเราทำผิด มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์แล้วมันยังจะกลายเป็นพวกอื่นไป ถ้าถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอกจากตน มันก็เป็นลัทธิ creationist เป็นศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอิสลาม อะไรไปตามเรื่อง แต่ถ้าถือเหตุปัจจัยโดยตรง แก้ไขที่เหตุปัจจัย คือสร้างเหตุปัจจัยขึ้นมาให้ถูกต้อง มันก็เป็นพวก evolutionist ดังนั้นไอ้หลักสำคัญอันนี้อย่าลืม เพื่อไปพูดจาให้ถูกต้อง หรือเพื่อไปจัดคำพูด ระบบของการสอน ให้มันถูกต้อง อย่าให้มันไขว้เขว ปนเปกันไปเสียหมด
ทีนี้ก็ดูเฉพาะปัญหาที่มีอยู่เฉพาะหน้า คือพุทธบริษัทนี่ไม่ ไม่สามารถใช้วิธีของพุทธบริษัท พุทธบริษัทนี่ยังไม่รู้ หรือยังไม่สามารถที่จะใช้วิธีของพุทธบริษัท จึงใช้วิธีอื่นที่ผิดไป จึงกลายเป็นเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์เป็นศาสนาอื่นไปโดยไม่รู้ตัว เช่น มีหลักว่าถ้าพึ่งเหตุปัจจัยภายนอก เช่น พระเจ้า เป็นต้น ก็เป็นลัทธิ creationist ทีนี้ถ้าว่าจะแก้ปัญหาด้วยการกระทำของตนเองก็ยังต้องรู้หลักที่ว่า ระหว่างจิตกับวัตถุนั้นอะไรมันเหนือกว่ากัน ถ้าว่าจิตเหนือวัตถุนำวัตถุปรับปรุงจิตให้ถูกต้องอย่างเดียวก็วัตถุก็พลอยถูกต้อง มันก็หมดปัญหานี้ เป็นวิธีของพุทธบริษัท แต่มีบางพวกเชื่อวัตถุเหนือจิต เช่น พวกคอมมิวนิสต์ จะเอาวัตถุไปบังคับจิต มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์อย่างที่เราเห็นอยู่แล้ว ดังนั้นแม้มันจะเป็นพวก evolutionist มันก็ไม่ถูก มันยังไม่ถูก แม้พวก evolutionist มันก็ยังมีส่วนที่จะผิดในข้อที่ว่าหลักพื้นฐานมันผิด คือหลักที่ว่าจิตนำวัตถุหรือวัตถุนำจิต อย่างนี้เป็นต้น เรามองเห็นข้อนี้แล้วแยกแยะกันให้ดีๆ อย่าให้ปนเปกันจนยุ่งไปหมด เราจะต้องรู้ให้ถูกต้อง และประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วก็ได้รับผลความถูกต้องอยู่ จึงจะเป็นพุทธบริษัท
บทสวดมนต์ที่มีไว้สวดกันน่ะก็แปลไว้ดีแล้วนะ เขาพูดแล้วนะว่าพุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะกลับกันเสียก็ได้ว่า ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบานก็ได้ เพราะมันพูดได้ทั้งสองทาง และว่าเรารู้ก่อนแล้วจึงตื่น เรารู้แล้วเราจึงตื่นจากหลับคือความโง่ หรือว่าเราตื่นจากหลับคือความโง่เสียก่อนแล้วจึงรู้ก็ได้เหมือนกัน แล้วแต่วิธีที่จะอธิบาย แต่ขอให้ตื่นจากหลับคือความโง่ที่หลับอยู่ตลอดกาล นั่นคือความหลับแล้วก็ตื่นมาเสียก็มีความรู้ ก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรแล้วก็ทำไปมันจึงเบิกบาน จิตใจก็เบิกบาน ร่างกายก็เบิกบานอยู่เป็นสุข ดังนั้นจึงต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จึงจะเรียกว่าเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงและเต็มแล้ว ไม่รู้จักความเป็นพุทธบริษัทในลักษณะอย่างนี้แล้วจะเป็นพุทธบริษัทได้อย่างไร มันก็ยังหลับอยู่ตลอดเวลาจึงไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เพราะไม่รู้จักเหตุแห่งปัญหา และไม่รู้จักเหตุของสิ่งทั้งปวงที่มันปรุงแต่งให้เกิดผลไป ไปตามกฎอิทัปปัจจยตา นี้ก็ไม่รู้ นั้นแหละคือไม่รู้อิทัปปัจจยตา พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า ถ้ารู้อิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาทนี่ นั่นแหละคือเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นพระพุทธเจ้าจริง ผู้ใดเห็นธรรมะเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท เรียกว่าจะเห็นพระพุทธเจ้าองค์จริง ต้องเห็นปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตา ที่กำลังเป็นไปตามธรรมชาติ จงพยายามศึกษาเรื่องอิทัปปัจจยตาว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร แล้วความทุกข์จะดับลงไปอย่างไร เห็นข้อนี้อย่างชัดเจนแล้วก็จะเห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นคือเห็นพระพุทธเจ้า
ทีนี้ก็จะขอแทรกพูดตรงนี้ว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ เห็นพระพุทธเจ้าหรือเห็นธรรมะนี่มันเป็นอย่างไรกันแน่ คุณช่วยจำให้ดี พวกที่ขี้เกียจจดช่วยจำให้ดีเพราะมันสำคัญมาก พระพุทธเจ้าพวกที่ ๑ เป็นพระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง พระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง ทุกคนเคยอ่านพุทธประวัติ นั่นคือพุทธประวัติ พบแต่พระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง หนึ่งพระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง
ทีนี้สอง พระพุทธเจ้าสำหรับรู้จัก ไอ้รู้เรื่องน่ะไม่เคยเห็นตัวก็ได้ ถ้ารู้จักก็เห็นกันอย่างต่อหน้า พระพุทธเจ้าสำหรับรู้จักก็ต้องเห็นอันที่ว่านี่ ดับทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรทุกข์ดับลงไปอย่างไร ในจิตนั้นเป็นอย่างไร ถ้าเห็นอันนั้นด้วยปัญญา ด้วยวิปัสสนานั้น รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่ใช่รู้เรื่องพระพุทธเจ้า ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยของคุณน่ะ มันเรียนกันแต่พระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง พุทธประวัติเป็นหอบๆ เลยก็เพียงแต่พระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง แต่ไม่มีพระพุทธเจ้าสำหรับรู้จัก ดังนั้นต้องรู้จักจิตที่เผลอแล้วความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ที่ไม่เผลอแล้วมีสติปัญญาแล้วความทุกข์ดับลงไปอย่างไร รู้จักความที่จิตมันสว่างแจ่มแจ้งแล้วทุกข์ดับลงไป จิตนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า จงรู้จักจิตชนิดนั้นว่าเป็นพระพุทธเจ้า นี่คือพระพุทธเจ้าสำหรับรู้จัก ๒ องค์แล้วหนึ่ง คือพระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง นี่เรียนกันอ่านกันก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าสำหรับรู้จักนั้นไม่สำเร็จด้วยการอ่านหนังสือ ต้องไปกระทำทางจิต
ทีนี้พระพุทธเจ้าที่สาม คือพระพุทธเจ้าสำหรับอยู่กับเรา พระพุทธเจ้าสำหรับมีไว้ในตัวเรา เพียงแต่รู้เรื่องและรู้จักนั้นไม่พอ ต้องเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม คือพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในเราสำหรับมีอยู่ในเรา ดังนั้นก็คือมีความรู้ที่ดับทุกข์ได้ มีการปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้ มีผลของการปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้อยู่ในใจของเรา นี่เรียกว่ามีพระพุทธเจ้าชนิดที่เรามีไว้ในเรา เอาไปเปรียบเทียบกันให้ดีว่ามันคนละชั้นเลย พระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่องก็อ่านไปสิ เล่าฟังกันไปสิ และพระพุทธเจ้าสำหรับรู้จักต้องเห็นด้วยปัญญาด้วยดวงตา พระพุทธเจ้าสำหรับมีไว้ในเรานี่ต้องทำเสร็จแล้ว ต้องทำเสร็จแล้ว จนมีจิตชนิดนั้น จนมีผลของการกระทำชนิดนั้นอยู่ในเรา เป็นความสะอาด เป็นความสว่าง เป็นความสงบ ปรากฏอยู่ในใจของเรานั้นแหละคือพระพุทธเจ้าสำหรับมีอยู่ในตัวเรา
ทีนี้ก็ลองเปรียบเทียบดูว่าพระพุทธรูปในโบสถ์น่ะเป็นพระพุทธเจ้าชนิดไหน พระเครื่องที่เอามาแขวนคอน่ะเป็นพระพุทธเจ้าชนิดไหน เอ, นี่ไม่เห็นแขวนพระเครื่องกันเลยนะ ไม่มีพระพุทธเจ้าเลย มันเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าที่เตือนอย่าให้เราลืมเรื่องนี้ เพียงเท่านี้ก็ดีนะ เป็นอนุสติเอามาแขวนกันลืม แต่ถ้ามาแขวนเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์สำหรับอ้อนวอนแล้วไม่ใช่พุทธแล้ว ไม่เป็นพุทธแล้ว มันเป็นลัทธิอื่นนอกจากพุทธ ถ้าจะมาแขวนกันบ้างก็เพียงว่ากันลืม กันลืมพระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง พระพุทธเจ้าสำหรับรู้จัก พระพุทธเจ้าสำหรับมีอยู่ในตัวเรา เอาพระเครื่องมาแขวนไว้
ผู้ใดเห็นธรรมะนั้นจึงผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า เพียงแต่เห็นพระเครื่องนี่ไม่เห็นพระพุทธเจ้า เพียงแต่เห็นพระเครื่องนี่มันก็เพียงแต่เห็นเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนาไป การมีพระเครื่องแขวนคอนั้นมันจึงเกิดเป็นสองความหมาย ความหมายสำหรับขลังสำหรับศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นลัทธิอื่นไป ถ้าเป็นพุทธานุสสติสำหรับเตือนให้นึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่เสมอก็เป็นพุทธศาสนาได้ พอจะจัดว่าเป็นพุทธศาสนาได้ ขอให้เข้าใจว่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าที่เป็นเพียงสัญลักษณ์ พระพุทธรูปในโบสถ์ หรือถ้าออกมาอีก ออกข้างนอกมาอีกเป็นพระธาตุ เป็นกระดูกเป็นพระธาตุ นี่มันก็ยิ่งไกลออกมาอีกจากองค์พระพุทธเจ้า กระทั่งว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างอื่น องค์พระพุทธเจ้าแท้ๆ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านก็ไม่ให้ถือว่าเป็นองค์พระพุทธเจ้า ให้ถือว่าพระธรรมที่มีอยู่ในนั้นเป็นองค์พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต คนที่ไม่เห็นธรรมแม้เกาะพระพุทธเจ้าไว้ จับพระพุทธเจ้าไว้ คนนั้นก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ไม่เห็นตถาคต ต่อเมื่อเขาเห็นธรรมะอย่างที่ว่าแล้วจึงเห็นตถาคต ก็คือเห็นธรรมะที่ดับทุกข์ได้นั่นเอง
ขอให้เราทุกคนเห็นธรรมะที่ดับทุกข์ได้เป็นอย่างน้อย คือมีพระพุทธเจ้าที่เรารู้จัก พระพุทธเจ้าอย่างนี้มันมากกว่าพระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง ถ้าเรารู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นเครื่องดับทุกข์ได้แล้วมันก็ชวนให้ปฏิบัติโดยง่าย แล้วก็ประสพผลดับทุกข์ได้ ก็เห็นพระพุทธเจ้าชนิดที่ควรจะมีอยู่จริงในเรา เราเลยมีพระพุทธเจ้าถึงที่สุด ขอให้ทุกคนที่เป็นพุทธบริษัทนั่นมีความรู้มีความเข้าใจในเรื่องนี้ ในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้เราก็รู้จักว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นดับทุกข์ด้วยการรู้เรื่องความทุกข์ แล้วตัดต้นเหตุปัจจัยของมันเสียแล้วดับทุกข์ นี่พระพุทธเจ้าของเราเป็นนัก evolutionist ไม่เป็น creationist อย่างที่ว่ามาแล้ว ดังนั้นสาวกของท่านทุกคนก็ต้องเป็น evolutionist ด้วย เห็นว่าทุกข์อย่างนี้ เหตุของมันคืออย่างไรก็ตัดมันเสีย ก็หาวิธีที่จะตัดเหตุนั้นอย่างไร ก็ตัดอยู่ มันก็ตัดได้ ข้อนี้ต้องดูที่ตัวความทุกข์นั่นเอง เหตุให้เกิดทุกข์นั่นมันอยู่ที่ตัวความทุกข์นั่นเอง แล้วความดับทุกข์มันก็อยู่ที่นั่นเพราะมันต้องดับกันที่นั่น จะอุปมาง่ายๆ เช่นว่า ไฟ เราเห็นไฟลุกอยู่ ถ้าเราเห็นไฟลุกอยู่ เราก็จะต้องมองเห็นเหตุที่ให้เกิดไฟ เช่น ไม้ฟืน หรือถ่านหิน หรือน้ำมัน หรือแก๊ส หรืออะไรก็ตามที่มันเป็นเหตุให้เกิดไฟ เราก็ต้องเห็นเหตุของไฟ นี่ถ้าจะดับไฟ เราก็รู้ว่าดับเหตุนั้นเสีย แล้วก็พยายามที่จะดับเหตุนั้นเสีย แล้วเราก็จะเห็นไฟดับที่ไฟนั้นเอง เราจะต้องเห็นการดับไฟ เห็นที่ไฟนั้นเอง ดังนั้นเราจะต้องเห็นไอ้ความดับทุกข์ที่ความทุกข์นั้นเอง
เดี๋ยวนี้เขาถือกันอย่างงมงาย อย่างขลัง อย่างศักดิ์สิทธิ์ ความทุกข์อยู่ที่บ้าน จะมาดับทุกข์ที่วัด มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ มันมีความทุกข์ที่ตรงไหนต้องดับที่ตรงนั้น เมื่อความทุกข์มันมีอยู่ในจิตใจ เราก็ดับที่ใจสิ นี่ evolutionist เต็มขนาด เต็มมาตรฐาน ที่ชัดเจนที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ว่ามันมีเหตุอยู่ที่อันไหนก็ดับที่เหตุนั้น แล้วก็เห็นความดับของสิ่งนั้นที่นั่นเอง ดังนั้นเราจึงพูดได้ว่าเห็นความดับทุกข์ที่ความทุกข์ เห็นความดับไฟที่ไฟนั้นแหละ ถ้าเราทำถูกแล้วเราจัดการถูกแล้วกับไฟจนไฟมันดับก็เห็นว่าความดับไฟมันอยู่ที่ไฟ ความดับทุกข์มันอยู่ที่ทุกข์
ที่วัดนี้เราทำอุปมาหรือสัญลักษณ์อุปมาของเรื่องนิพพานไว้ที่สระนาฬิเกร์ ถ้าเดินเที่ยวรอบวัดแล้วไปยืนดูอยู่สักพักหนึ่งสิ ต้นมะพร้าวอยู่กลางสระใหญ่ มันทำขึ้นจากบทกล่อมลูกให้นอนของคนโบราณที่เขารู้ธรรมะดี แล้วเชื่อว่าคนโบราณในถิ่นนี้เมื่อสมัยพันกว่าปีมาแล้วรู้ธรรมะดี ในสมัยศรีวิชัย เพราะจึงสามารถพูดได้ว่าดับทุกข์ที่ความทุกข์ หรือความดับทุกข์มีอยู่ที่ความทุกข์ เป็นบทกล่อมลูกให้นอนว่า
"มะพร้าวนาฬิเกร์ ต้นเดียวโนเน กลางทะเลขี้ผึ้ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ"
นี่มะพร้าวนาฬิเกร์คือนิพพาน แล้วก็อยู่กลางทะเลขี้ผึ้งคือวัฏสงสาร คือความทุกข์นั่นเอง ดังนั้นดับวัฏสงสารก็มันอยู่ตรงนั้นน่ะ คือนิพพาน เหมือนกับว่าดับไฟที่ตรงไหน มันก็อยู่ที่ไฟ การดับไฟมันอยู่ที่ไฟที่มันดับลงไป ดังนั้นเราต้องดูที่สิ่งเดียวกัน ไปดูที่ทะเลขี้ผึ้งคือบุญบาปเป็นต้น ที่วนเวียนกันอยู่ แล้วก็เห็นมะพร้าวคือนิพพานอยู่ที่ตรงนั้นโดยที่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน จึงพูดว่าฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลขี้ผึ้ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ บุญและบาป บุญและบาปนั้นคือวัฏสงสาร กลางนั้นน่ะมีนิพพาน ดังนั้นมองให้เห็นความดับแห่งบุญและบาป ลงไปแล้วก็เป็นนิพพานอยู่ เหมือนว่าเห็นมะพร้าวนาฬิเกร์กลางทะเลขี้ผึ้ง
พวกนิกายเซน พูดอย่างโวหารนิกายเซนเขาว่า เย็นที่สุดอยู่กลางเตาหลอมเหล็ก กลางเตาหลอมเหล็กที่ร้อนเปรี้ยง เย็นที่สุดอยู่ที่ตรงนั้นก็หมายความว่าเมื่อมันดับไอ้ความร้อนขนาดสูงสุดนั้นได้ มันก็เย็นสูงสุดอยู่ที่ตรงนั้น นี่เราไม่เข้าใจ เราก็ว่าเขาโง่ ที่จริงเราโง่เอง เราไม่รู้ ดังนั้นจะฟังอะไรก็ฟังให้มันดีๆ แม้เขาจะพูดว่าไอ้จุดเย็นที่สุดอยู่กลางเตาหลอมเหล็ก เราก็ต้องฟังถูกสิ เพราะเตาหลอมเหล็กมันร้อนที่สุดนี่ ถ้าร้อนที่สุดมันดับลง ไอ้เย็นที่สุดมันก็เกิดขึ้นแทน อย่างนี้เราก็ฟังถูก ไม่เสียทีที่เราเป็นพุทธบริษัท เป็นอันว่าเรามีหลักเกณฑ์เป็นเรื่องอิทัปปัจจยตา สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง เราเป็น evolutionist ไม่ใช่ creationist นี่ขอให้จำไว้เป็นหลักพื้นฐาน
ทีนี้ก็จะดูกันถึงข้อที่ว่า ธรรมะนี้จะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้ ธรรมะสิ่งเดียวเท่านั้น คำเดียวเท่านั้นจะแก้ทุกปัญหาได้อย่างไร ซึ่งเป็นหัวข้อที่เราเริ่มต้นของการพูด ปัญหาทั้งหมดแก้ได้ด้วยสิ่งเดียวคือธรรมะ เพียงคำเดียว จะต้องรู้ว่าไอ้ธรรมะคำนี้เป็นภาษาพูด ที่ประหลาดที่สุดที่คนพูดเขาเรียกขึ้นมาแล้วมันก็กินความหมดเลย ธรรมะหมายถึงธรรมชาติทั้งหมด คือปรากฏการณ์ทั้งหมด เรียกว่าธรรม ธรรมชาติ ทีนี้กฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรมะอีกล่ะ ที่หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำก็เรียกว่าธรรม ธรรมะ มีผลออกมาจากการประพฤติปฏิบัติ ก็เรียกธรรม ธรรมะอีกล่ะ ธรรมะคำเดียวมันกินความถึงไอ้ธรรมชาติทั้งหมดและกฎของธรรมชาติทั้งหมด และหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติทั้งหมด และผลที่เกิดจากการหน้าที่นั้นทั้งหมด
นั้นน่ะคุณไปดูเถิด จะเห็นได้ว่า ธรรมะคำเดียวสิ่งเดียวแก้ปัญหาทั้งหมด เป็นสิ่งใช้ได้ทุกอย่างจนเรียกว่าสารพัดนึก สิ่งที่ใช้ได้อย่างสารพัดนึกก็คือธรรมะนั้นเอง จะใช้แก้อะไรก็ได้ จะใช้สร้างอะไรก็ได้ ฝ่ายดีก็ได้ ฝ่ายชั่วก็ได้ ธรรมะคำเดียวมันจะทำให้มีได้ เพราะหมายถึงตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติและตัวผลของมัน ถ้าเข้าใจธรรมะในความหมายอย่างนี้แล้วไปอธิบายได้เอง ต่อไปจะไปอธิบายที่ไหนๆ ก็อธิบายได้เองว่าธรรมะมันจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปัญหาการปกครอง ปัญหาอะไรในประเทศ หรือปัญหาสันติภาพ ปัญหาวิกฤตการณ์ในโลกทั้งโลก ไม่ว่าปัญหาอะไรนอกโลก ในโลก สากลจักรวาล และไม่ว่าปัญหาทางวัตถุ หรือปัญหาทางจิตใจ จะแก้ได้ด้วยสิ่งๆ เดียว คำเดียวคือธรรมะ
คำนี้สำคัญมาก ช่วยเอาไปคิดนึกตลอดเวลาต่อไปข้างหน้าว่าให้เห็นว่าธรรมะสิ่งเดียวมันแก้ปัญหาทั้งหมด รู้ธรรมะอย่างเดียวคือรู้ทั้งหมด อย่าลืมไอ้ ๔ คำที่พูดไปแล้วเมื่อตะกี้ ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ตัวผลที่เกิดจากการทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะเหนือ นอกเหนือไปจากความหมาย ๔ ความหมายนี้
เราไปดูให้เข้าใจ ๔ ความหมายนี้ แล้วให้รู้ว่าความหมายที่จะต้องใช้ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มากที่สุดคือความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติทั้งหมด กฎของธรรมชาติที่สิงอยู่ในธรรมชาติ และทำให้เกิดหน้าที่ที่จะต้องประพฤติปฏิบัตินั้นเรียกว่าหน้าที่ ความหมายนี้สำคัญที่สุดที่เราทำไม่สำเร็จ ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาก็เพราะเราไม่รู้ธรรมะในความหมายที่สามนี้ ดังนั้นขอให้สนใจ และเราจะมีคำบัญญัติเฉพาะในวงอันจำกัดว่า ธรรมะนั้นคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ และถ้าพูดให้สั้นอีก ก็สั้นว่าแต่เพียงว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าไม่มีชีวิตก็แล้วไป เพราะมันทุกข์ไม่เป็นนี่ บรรดาสิ่งที่มีชีวิต มีความรู้สึกเป็นทุกข์ได้แล้วล่ะก็ ขอให้รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่นั้นน่ะคือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต แล้วพวกเราในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยนี่ก็ตามมันได้ยินกันแต่ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วในปทานุกรมของเราก็เขียนว่าอย่างนั้น จริงหรือเปล่า
แต่ถ้าว่าไปเอาปทานุกรมในประเทศอินเดียมาสักเล่มหนึ่ง มาเปิดดูที่คำนั้น มันไม่แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรอก ธรรมะเขาแปลว่า duty เฉยๆ duty ก็คือ duty ของสิ่งที่มีชีวิตนั่นเอง เพราะว่าให้ตามประวัติศาสตร์ทั่วไปทางวิทยาศาสตร์ ทางชีววิทยาก็ได้ หรือแม้ในพระไตรปิฎกเองก็มีข้อความที่แสดงเห็นชัดว่าคำๆ นี้ คำว่า “ธรรมะ” ธรรมะนี้เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดนั่น จะมาเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวได้อย่างไร คำว่า “ธรรมะ” นี้มนุษย์รู้จักพูด รู้จักใช้ รู้จักประพฤติกันมาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด หากแต่ว่ามันยังอยู่ในระดับต่ำ มันไม่สูงถึงบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างสมัยที่พระพุทธเจ้าท่านเติมให้ สอนให้
เพราะฉะนั้นเราจึงถือได้ว่า พอคนป่าสมัยหินมันมีสติปัญญาพอสมควรทำมาหากินอย่างนั้น อย่างนี้แล้ว มันก็รู้จักไอ้สิ่งที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าหน้าที่ คนป่าในสมัยนั้นมันเริ่มรู้จัก สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ที่ไม่ทำไม่ได้ ที่ถ้าไม่ทำแล้วมันจะต้องตายน่ะ มันก็รู้ โอ้, มีสิ่งนี้ ทีนี้มันก็เรียกว่าธรรมะในภาษาอินเดียโบราณ ดึกดำบรรพ์ ธรรมะ ธรรมะนี่ แต่ในภาษาไทยเราเรียกว่าหน้าที่ ดังนั้นเขาเริ่มรู้จักสิ่งที่มันเป็นหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่จะต้องทำ ดังนั้นธรรมะจึงได้แก่หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตเท่านี้เอง ที่ชีวิตอย่างคนนี่ก็ต้องทำ ชีวิตอย่างสัตว์เดรัจฉานนี่ก็ต้องทำ ชีวิตอย่างต้นไม้นี้ก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำมันตาย สิ่งใดในระดับใดที่มันตายได้ มันต้องทำหน้าที่มันจึงรอด ดังนั้นหน้าที่ที่ทำให้รอดอยู่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ โดยแปลได้แต่เพียงว่าหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิต เมื่อทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตแล้วมันก็รอด
คำว่า “รอด” รอดนี่ เป็นคำประเสริฐสูงสุดของทุกๆ ศาสนา อย่าเอามาล้อกันเล่น อย่ารักษาตัวรอดเป็นยอดดีเป็นเรื่องคดโกงอันนี้มัน เราไม่รู้ความหมายคำนั้น เพราะคำว่า “รอด” รอดนี้เขาไม่ได้เป็นความหมายที่โลเล หลอกลวง หมายถึงความรอดที่แท้จริง แล้วก็มีอยู่สองชั้นหรือสองระดับ รอดระดับแรกคือรอดจากความตาย รอดทางกาย รอดจากความตายเป็นระดับหนึ่ง และระดับสองรอดจากความทุกข์ เป็นรอดทางจิตใจ รอดทางกาย รอดคือรอดจากความตาย รอดทางจิตใจ คือรอดจากความทุกข์ทั้งปวง เรามีหน้าที่ที่จะทำความรอดทั้งสองทางจึงถือว่าจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่แล้วก็รอด รอดทางกายคือไม่ตาย รอดทางจิตคือไม่มีความทุกข์ มิฉะนั้นจะต้องมีความตายอย่างใดอย่างหนึ่ง ตายทางกาย สิ้นชีวิตเข้าโลงก็ได้ หรือตายทางจิต มีอยู่อย่างเป็นทุกข์ทรมานไม่มีค่าอะไรก็ได้ นี้ก็เรียกว่าตายทั้งนั้น
ทีนี้จะดูกันรายละเอียดว่าธรรมะจะช่วยเราได้อย่างไร พูดด้วยหัวข้อเบ็ดเตล็ดที่มีคนบางคนเขาเคยตั้งข้อสังเกตไว้ เรามาพูดกันต่อไปก็ได้ มันไม่เสียเวลามากหรอก เพื่อจะเอาธรรมะมาใช้แก้ปัญหาของมนุษย์ ในชีวิตประจำวันก็แล้วกัน ข้อแรกก็พูดว่า ถ้าเขาเป็นมนุษย์เป็นคนที่เป็นนักธุรกิจ มีธุรกิจท่วมหัววันยังค่ำ จนแทบจะทำไม่ทันนี่ เขาต้องมีธรรมะประเภทสติ ประเภทปัญญา ประเภทอดทน และธรรมะนั้นจะช่วยนักธุรกิจงานท่วมหัวนั้น ไม่ให้เป็นบ้า ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องเป็นโรคประสาทอย่างนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นนักธุรกิจนั้นจะต้องเส้นโลหิตแตกตาย หรือว่าจะต้องเป็นบ้า ถ้าเขาเป็นนักธุรกิจ ธรรมะจะช่วยให้ ให้ธุรกิจนั้นไม่ทรมานเขาจนถึงกับเป็นบ้าหรือตาย
ทีนี้ถ้าเขาเป็นคนที่มักกลุ้มใจ อะไรๆ ก็เอามากลุ้มใจได้หมดเลย มันเป็นคนโง่นี่ เขาก็ต้องมีธรรมะในชั้นสูงเลยว่า โอ้, มันเป็นเช่นนั้นเอง เคยได้ยินคำว่า “ตถตา” ไหม ภาษาบาลีแปลว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง คือเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา หรือกฎของ evolutionist เช่นนั้นเอง ดังนั้นจะไปกลุ้มใจกับมันทำไมล่ะ มันต้องเป็นไปตามกฎเช่นนั้นเองของมัน เราก็ทำให้ถูกต้องตามกฎนั้น เราก็ไม่ต้องกลุ้มใจ ถ้าใครเป็นคนขี้กลุ้มใจก็ศึกษาธรรมะในแง่นี้
ทีนี้ถ้าว่าเขาเป็นคนที่มีปัญหาข้อสงสัยๆๆ อยู่ไม่มีที่สิ้นสุด เขาก็ควรจะมีธรรมะในข้อที่ว่า ที่ควรสงสัยน่ะมีแต่เรื่องดับทุกข์อย่างไร นอกนั้นอย่าเอามาสงสัยให้เปลืองหัว ตั้งข้อสงสัยว่าจะดับทุกข์อย่างไร ศึกษาไปจนดับทุกข์ได้หมดสงสัย อย่าสงสัยเป็นภูเขาเลากาเหมือนคนโง่บางคน ที่ถ้าว่าเขาเป็นคนที่ขาด ขาดความไว้ใจตัวเอง ขาดความเชื่อถือตัวเอง เป็นคนปมด้อย ก็มีธรรมะในข้อที่มันแสดงว่าดับทุกข์ได้อย่างนี้ ดับทุกข์ได้อย่างนี้ จนเขาเชื่อตัวเอง ไว้ใจตัวเองว่าดับทุกข์ได้ เขาก็ไม่เป็นโรคชนิดที่ขาดความเชื่อถือตัวเอง
ทีนี้บางคน บางคนมันอยู่ด้วยความกลัว กลัวอย่างโง่ที่สุด เป็นบ้าเป็นหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสงคราม มีอะไรที่มันน่ากลัวก็ยิ่งกลัวใหญ่ กลัวจนเป็นบ้า แต่ถ้าธรรมดามันก็กลัว สะดุ้งโหยงอยู่เรื่อยไป แม้แต่อะไรนิดก็สะดุ้ง แม้แต่จิ้งจก ตุ๊กแก ลูกหนูมันก็กลัว มันโง่ถึงขนาดไหนลองคิดดู ถ้าเรามีธรรมะ เราก็อ้าว, มันก็เช่นนั้นเอง ก็แค่นั้นเอง มันเท่านั้นเอง แม้กลัวสิ่งที่น่ากลัว เช่น ซากผีที่น่ากลัวหรืออะไรที่เราดูกันแล้วรู้สึกกลัว เขาก็ โอ้, มันก็เช่นนั้นเองนะ มันเป็นดินน้ำลมไฟ เช่นนั้นเอง ประกอบกันอยู่ในสภาพอย่างนั้นแล้วเรากลัว เราก็โง่เอง นี่เรามีธรรมะแล้วเราก็ไม่กลัว
ทีนี้เขาเป็นคนที่ว่าไม่ ไม่อิ่มใจ ไม่พอใจในสิ่งใดแม้แต่ในตัวเขาเอง ในชีวิตเขาเอง เขาก็ยังไม่พอใจไม่อิ่มใจ ถ้าเขารู้จักธรรมะแล้วเขาก็จะทำได้ ให้เขารู้สึกว่ามันถูกต้องแล้ว เป็นที่พอใจแล้วหรือการได้เป็นมนุษย์นี้เป็นที่พอใจแล้ว เพราะว่าเราจะได้รู้สิ่งที่สูงสุด ที่มนุษย์ควรจะรู้และควรจะได้
เอ้า, ทีนี้ถ้าเขาเป็นคนเกลียดธรรมะเสียเอง เกลียดศาสนาเสียเอง เกลียดแม้ขนบธรรมเนียมประเพณีที่คนทั้งหลายเขาถือกันอยู่เพื่อประโยชน์ของสังคมเสีย คนไม่มีธรรมะ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีนี่ มันก็จะต้องวินาศล่ะ แต่ถ้าเขามามองเห็นธรรมะ เห็นตัวธรรมะที่มันจำเป็นสำหรับที่จะต้องทำอย่างนั้น ที่ต้องทำอย่างนี้ตามหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตแล้ว เขาจะพบว่า โอ้, สิ่งนั้นล่ะประเสริฐที่สุดที่จะช่วยมนุษย์เรารอดอยู่ได้ทั้งทางกายและทางจิต เขากลับมาเป็นคนมีศาสนา มีศีลธรรม มีขนบธรรมเนียมประเพณี
ทีนี้บางคนเรียกว่าเป็นคนที่ใจละลาย เรียกกันว่าอะไร ใจละลาย หมดหวัง หมดหวังนี่ เศร้าโศก หมดหวัง หัวใจละลาย อยู่ในความทุกข์ทรมานทุกเวลานาที เรียกว่าคนหัวใจละลาย ไม่มีอะไรจะแก้ได้ ไม่มียาที่โรงพยาบาลไหนจะแก้ได้นอกจากธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่เขาเอามาศึกษาจนรู้ว่าเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร หรือถ้ารู้ลึกไปกว่านั้น ก็รู้ว่าเราอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวังเลย ซึ่งจะทำให้หมดหวังอยู่เรื่อยไป หรือไม่มีหวัง หรือไม่ได้ตามที่ใจหวังอยู่ เราอยู่ด้วยสติปัญญาเถิด แล้วเราก็ทำไปตามสติปัญญาเถิด นี่จะเป็นเหตุให้ไม่ผิดหวัง แล้วก็ไม่ต้องหัวใจละลายเพราะว่าอะไรๆ มันก็ล้วนแต่ผิดหวัง
ถ้าเป็นนักเรียน ดูด้วยถ้าเป็นนักเรียนทีนี้ ที่ไม่มีธรรมะมันก็ไม่รู้ค่าของการเรียน ไม่รู้ค่าของการศึกษา แล้วก็เรียนดีไม่ได้ ก็ต้องมีธรรมะของนักเรียน รู้ว่านักเรียนเป็นอย่างไร การเรียนคืออะไร มีธรรมะในทางด้านจิตใจ คือฝึกสมาธิ ฝึกสติ อย่างดียิ่ง อย่างที่พวกคุณก็ได้ยินว่าต้องการจะฝึกกันอยู่เหมือนกัน คือฝึกกรรมฐาน ก็เป็นนักเรียนดีนักเรียนเรียนได้ดี ประสบความสำเร็จในการเรียน
ทีนี้เขาว่าเขาประสบความสำเร็จในการเรียน การงาน การหน้าที่ทั้งหมดแล้วก็เป็นเศรษฐีเลย ถ้าเป็นมหาเศรษฐี ถ้าเขาไม่มีธรรมะเขาจะอยู่ในความกังวล วิตกกังวล ลังเลไม่มีความสงบใจ จะยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้นจนเครียดด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่มีความสุขเลย ต้องเอาธรรมะเข้ามาทำจิตใจให้สงบ ทำลายความเห็นแก่ตัวคนเดียวเสีย ใจคอปกติ เศรษฐีคนนี้ก็จะมีความสุขที่สุด ถ้าเขามีเงินมากแต่ไม่มีธรรมะแล้ว ความมั่งมีของเขาน่ะจะกัดกร่อนเขาให้แหลก ดังนั้นทางจิตใจและทางร่างกายถ้าเป็นเศรษฐีแล้วก็ยังต้องมีธรรมะ
ทีนี้ถ้าเขาเป็นคนขอทาน คนขอทานที่มีธรรมะนั้นน่ะมันก็ยินดีที่จะขอทาน พอใจที่จะขอทาน ขอทานอย่างดี มีความสุภาพ คนสงสารเมตตากรุณา มีธรรมะของคนขอทาน ช่วยจำไว้ด้วยนะ การที่เขานั่งขอทานนั่นก็คือธรรมะของคนขอทาน อย่าไปดูถูกเขาเลย เพราะว่าเขากำลังประสบสถานการณ์อย่างนั้น เขาไม่รวยโดยกำเนิดหรือว่าเขาไม่มีเหตุอย่างอื่นนอกจากเหตุอย่างนั้น เขาก็เป็นขอทานดีกว่าที่จะเป็นขโมย เขาก็อาศัยธรรมะให้เขาเป็นขอทานที่ดี ขยันในการขอทาน เก็บหอมรอมริบในการขอทาน ในการทำตัวให้น่าสงสารอะไรต่างๆ เขาก็รอดจากความเป็นคนขอทาน นี่คน เศรษฐีก็ต้องใช้ธรรมะ ขอทานก็ต้องใช้ธรรมะ
ถ้าเป็นคนหนุ่มกำลังคึกคะนอง มันจะลงเหว ต้องมีธรรมะ รู้จักยับยั้งความคึกคะนอง ความบ้า ความหลง ของคนหนุ่มนี่ มันก็ปลอดภัย ถ้าเขาเป็นพ่อบ้านแม่เรือนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วก็ต้องมีธรรมะของพ่อบ้านแม่เรือนจึงจะสามารถดำรงตนอยู่ในฐานะเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดี เรียกว่าจะอยู่ในฐานะอย่างไรก็ต้องมีธรรมะ
ทีนี้ข้อปลีกย่อยอย่างอื่น เช่นว่าเขาเป็นคนฉุนเฉียว ขี้โกรธ เขาเป็นคนฉุนเฉียว โกรธง่าย อ่อนไหว อารมณ์อ่อนไหวง่าย ก็ต้องมีธรรมะไปเตือนยับยั้งอารมณ์นั้น ถ้าเขาเป็นคนขี้ริษยา ความริษยามันกัดกินเขาให้ทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา คนที่ถูกเขาริษยาไม่รู้ไม่ชี้สบายอยู่เรื่อย แต่คนที่ริษยาผู้อื่นนี้มันถูกกัดกินด้วยความริษยาของตนเอง เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลา ถ้าเอาธรรมะมาไล่ความริษยานั้นออกไปเสียจากจิตใจ จึงจะไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เรียกว่าธรรมะมาล้างไอ้ความริษยา
เมื่อเขาเป็นทาสของอายตนะ เนื้อหนัง เป็นทาสเนื้อหนัง พอใจในความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกาย คือทางกามารมณ์นี่เป็นสรณะ นี่เขาเป็นทาสของเนื้อหนัง เขาต้องวินาศเพราะเหตุนั้น อาจจะตายตั้งแต่ยังเล็ก ก็ต้องมีธรรมะที่จะเข้ามาช่วยคุ้มครองป้องกันให้เห็นว่า ที่มันอร่อยก็มันเช่นนั้นเอง ไม่อร่อยก็เช่นนั้นเอง เป็นความรู้สึกทางระบบประสาทตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ทำไมจะไปหลงรักฝ่ายนี้ ไปหลงเกลียดฝ่ายนี้ เป็นบ้าเสียเอง นี่ความเป็นทาสของอารมณ์มันก็ลดลง ลดลง ไม่หลงใหลในกามารมณ์หรือในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหลเหมือนแต่ก่อน นี่ก็เพราะว่ามันมีธรรมะ
ถ้าเขาเป็นติดยาเสพติดอย่างร้ายแรง เสพติดทางกาย ทางวัตถุ เช่น เฮโรอีน เสพติดทางจิตใจ เช่น หนัง ละคร เช่น เริงรมย์ อะไรต่างๆ เขาติดยาเสพติด ซึ่งมันละได้ยากมาก มันก็จะมีธรรมะที่พอๆ กัน มีกำลังพอๆ กัน ธรรมะในส่วนนี้มันต้องเป็นเรื่องของปัญญา เพราะว่าไอ้การเสพติดนั้นมันเป็นเรื่องของโมหะ ของอวิชชา ธรรมะที่จะล้างออกได้ก็ต้องเป็นเรื่องของปัญญา ของวิชชา เขาจะต้องเสียสละมาศึกษาเรื่องของวิชชา เรื่องของความจริง เรื่องของปัญญา มันก็จะเกลียดยาเสพติด สิ่งเสพติดทางการเสพติดอะไรขึ้นมาได้เอง เลิกล้างไอ้การเสพติดได้ก็ด้วยธรรมะอีกเหมือนกัน
ถ้าเขาเป็นคนโง่ เป็นปัญญาทึบ เรียนอะไรก็ไม่สำเร็จ เขาก็ต้องแก้ด้วยธรรมะ เขารู้แต่เรื่องของธรรมะที่จะดับทุกข์เรื่องเดียวก็พอ มีปัญญาใช้แต่ในเรื่องที่จะดับทุกข์อย่างเดียว อีกร้อยเรื่องพันเรื่องมันยังไม่รู้ ไม่ต้องรู้เพราะว่าเราเป็นคนโง่ เป็นคนปัญญาทึบ ไม่อาจจะรู้มากเรื่องอย่างพวกนักปราชญ์ได้ ก็ทำได้อีกแหละ ค้นแต่ในเรื่องดับทุกข์อย่างเดียวมันก็ดับทุกข์ได้ ถึงแม้จะเป็นคนโง่อย่างไร โง่ดักดานอย่างไร ถ้าเขาเลือกเอาเพียงเรื่องเดียว จดจ่ออยู่แต่ที่เรื่องดับทุกข์ เขาก็พอที่จะประสบความสำเร็จ รู้เรื่องดับทุกข์ได้
ถ้าเขาเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหว อ่อนไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบได้โดยง่าย เช่น ได้ข่าวอะไร จิตใจก็อ่อนไหวไปตามนั้น ข่าวนี้มาก็อ่อนไหวไปตามอารมณ์นั้น ได้ฟังอะไรสักนิด ก็ตาขาวเหลือกขึ้นด้วยความสนใจ ประหลาดใจ อะไรนี่ เรียกว่าอารมณ์มันอ่อนไหว ก็แก้ด้วยธรรมะที่ว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง ทำไมจะต้องไปให้น้ำหนักกันมากถึงอย่างนั้น ถ้าเขารู้ธรรมะจริงแล้ว ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายก็ไม่มีความหมายอะไร ดังนั้นเขาก็ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์หรืออาเวค อย่างที่เป็นกันอยู่โดยมาก นี่ธรรมะแก้ได้
ในที่สุดข้อสุดท้ายจะพูดว่าแม้เขาเป็นคนฉลาด เรียกว่าธรรมชาติตกแต่งเขามาเป็นคนฉลาดโดยกำเนิด มี Intellect ดี อะไรดี ก็ไม่พ้นที่จะต้องมีธรรมะ เพราะว่าความฉลาดของเขานั้น ไม่ช่วยเขาอะไร ไม่ช่วยเขาได้ถ้าเขาไม่มีธรรมะเข้าไปใส่ในความฉลาด ถ้าเขาไม่เป็นคนฉลาดในกระแสของธรรมะแล้ว ความฉลาดนั้นไม่มีประโยชน์อะไร แล้วความฉลาดนั้นล่ะ จะเผลอนิดเดียวเป็นอันตรายแก่เขา เพราะว่าเขามันฉลาดมากเกินไป ถ้าธรรมะไม่เข้าไปเจือในความฉลาดแล้ว ไอ้ความฉลาดของเขาจะเชือดคอเขาให้วินาศไป เอาละมันจะสิ้นสุดกันที เพราะว่าแม้แต่ธรรมชาติจะสร้างมาฉลาดดีทุกคน ก็ระวังเถิดถ้าความฉลาดนั้นไม่ประกอบด้วยธรรมะแล้วก็เป็นโทษ เราหาธรรมะมาสวมใส่กับความฉลาดของเราแล้วความฉลาดของเราก็จะเป็นไปโดยถูกต้อง นี่ตัวอย่างนี้มันก็น่าจะพอกันทีว่าอะไรๆ มันแก้ปัญหาได้ด้วยสิ่งๆ เดียวคือธรรมะ
เรายังจะมีปัญหาอีกมาก เรายังต้องอยู่ร่วมโลกกับคนอันธพาล เราต้องอยู่ร่วมบ้านร่วมเมืองกับอันธพาล ในมหาวิทยาลัยของคุณมีอันธพาลไหม ในมหาวิทยาลัยแถวนั้นมันมีอันธพาลไหม ก็เรียกว่าเรายังต้องอยู่ร่วมกับอันธพาล ต้องมีธรรมะพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นกับคนอันธพาล ไม่มีอะไรนอกจากธรรมะ
เรายังต้องปะทะกับธรรมชาติ ธรรมชาติอันดุร้าย มันเปลี่ยนแปลงดูสิ เป็นน้ำท่วม เป็นอะไรก็ตาม เราก็ต้องมีธรรมะที่จะดำรงจิตใจไว้ถูกต้อง ที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ แม้เรายังโง่ไปทำลายธรรมชาติเสียเอง เช่นเดี๋ยวนี้ก็ทำลายป่ากันมาก ไปทำลายธรรมชาติ แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เป็นความทุกข์ มันก็ต้องแก้ได้ด้วยธรรมะ ธรรมะทำให้ไม่ทำลายธรรมชาติ และเมื่อประสบผลที่มาจากการทำลายธรรมชาติก็ดำรงจิตใจไว้ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์
ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ดังนั้นสรุปความว่า ธรรมะอย่างเดียวแก้ปัญหาทุกปัญหา ด้วยหัวข้อที่ว่าธรรมะจะช่วยเราได้อย่างไร ธรรมะจะช่วยอะไรแก่เรา นี่เวลามันก็พอสมควรแล้ว สรุปความสั้นๆ อีกทีหนึ่งว่า ธรรมะนี่จะช่วยเราในลักษณะที่เป็นของสารพัดนึก เขาเรียกอะไรกันก็ไม่รู้ แก้วสารพัดนึก เรียกแก้วสารพัดนึก wishing ring ของไอ้ฝรั่ง นึกอะไรก็ได้ นึกอะไรก็ได้ จะแก้ปัญหาอะไรก็ได้แล้วก็คือธรรมะ ขอให้ทุกคนมีธรรมะอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นแก้วสารพัดนึก เหมือนกับเรื่องพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าสำหรับรู้เรื่อง มีพระพุทธเจ้าสำหรับรู้จัก มีพระพุทธเจ้าสำหรับอยู่กับเรา เดี๋ยวนี้เราก็มีธรรมะสำหรับรู้เรื่องให้อ่าน ธรรมะสำหรับรู้จักที่ตัวธรรมะนั้นจริง และมีธรรมะที่จะอยู่กับเราแล้ว ปัญหาก็หมด ทุกคนก็หมดปัญหาเป็นมนุษย์ที่ไม่มีปัญหาหรือความทุกข์ครอบงำย่ำยี เรียกว่าเกิดมาทั้งทีได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ
เรื่องมันก็มีเท่านี้ และคำบรรยายนี้ ครั้งนี้มันก็เป็นคำบรรยายที่บอกให้รู้พื้นฐาน หลักพื้นฐานโดยกว้างๆ ว่าพวกเราเป็น evolutionist นะโว้ย! เราต้องทำตัวเราให้ถูกต้องตามวิถีทางของพวก evolutionist พวกเขาเป็น creationist ก็เป็นไป เราไม่ต้องทะเลาะกัน เราไม่ต้องปะทะ เอาแค่ว่าในโลกนี้ คนมีมาก บางคนเหมาะสำหรับ evolutionist บางคนเหมาะสำหรับ creationist มันจะทุกคนถืออย่างเดียวกันคงไม่ได้ เพราะว่าเรายังต่างกันมาก ต่างกันอย่างตรงกันข้ามก็มี ดังนั้นในโลกนี้ก็มีลัทธิให้เลือกให้ครบคน ถ้าแยกอย่างอื่นมีมากลัทธิ มากนิกายเราไม่อยากจะพูด เราจะพูดแต่เพียง ๒ อย่างว่า พวกหนึ่งเขาจะพึ่งพระเจ้า บุคคลภายนอกช่วย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย พวก creationist พวกพุทธบริษัททั้งหลายรวมอยู่ในพวก evolutionist ไม่มีพระเจ้า ไม่มีอะไรทำนองนั้น มีแต่กฎของอิทัปปัจจยตา ที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตั้งแต่ต้นจนปลาย แล้วเราก็ไม่มีความทุกข์เลย หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจความหมาย ๒ คำนี้อย่างดีที่สุดเป็นหลักพื้นฐานสำหรับจะพูดจา หรือจะประพฤติปฎิบัติอะไรก็ตาม ไม่ผิด ไม่ผิดหลักฐาน ไม่ผิดหลักของธรรมะนั้นๆ เราเป็นพุทธบริษัทแล้วไปถือพระเจ้าอย่างพวก creationist มันก็ไม่เป็นอะไรเลย มันก็เป็นหมันเปล่า เอาละเราจะไว้พูดกันทีหลังบ้างเรื่อง evolutionist ที่ละเอียดกว่านี้ วันนี้มันสมควรแก่เวลาแล้ว ต้องขอยุติการบรรยายไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน