แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะ ความพากเพียรแก่ท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา กว่าจะยุติลงด้วยความสมควรด้วยแก่กาลเวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุวิสาขบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็พอจะทราบได้เป็นอย่างดีอยู่เองแล้ว การทำพิธีใดๆก็ตาม ผู้กระทำจะต้องรู้ความมุ่งหมายเป็นต้นแห่งการกระทำนั้น ให้เป็นอย่างดีที่สุด จึงจะกระทำได้ถูกต้องและสมบูรณ์ เราจึงมีการทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นก่อนแต่ที่จะประกอบพิธีนั้นเสมอมาทุกปี เพื่อเตรียมใจโดยเฉพาะ ให้เหมาะสมสำหรับประกอบพิธีวิสาขบูชา ท่านทั้งหลายมาจากที่ไกลเป็นส่วนมาก เป็นจำนวนมาก ก็ควรจะได้ทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่าทำไมจึงต้องมาถึงที่นี่? ความมุ่งหมายก็คือจะได้ทำวิสาขบูชาแบบป่า ในป่า แต่เผอิญวันนี้ธรรมชาติไม่อำนวย ฝนมันขัดคอเสีย เลยจะต้องทำพิธีวิสาขบูชาบนภูเขา อย่างที่เคยทำมาทุกปีนั้นก็ไม่ได้ จึงมาทำกันในรูปอย่างนี้ ก็ขอให้อดกลั้น อดทนกันหน่อย เพราะธรรมชาติไม่อำนวยดังที่กล่าวแล้ว ถึงอย่างไรก็ดี ขอให้มีความตั้งใจให้ดีให้ถูกต้อง ให้ครบถ้วนในความหมายของการกระทำพิธีวิสาขบูชา และยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ ให้ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ทุกปี ก็จะไม่เสียทีที่ได้มาไกล มาเหนื่อยลำบาก หรือมาแพง
ทีนี้ เราจะทำในใจกันอย่างไรจึงจะมีผลดีที่สุด? มันก็คือจะต้องเข้าใจถึงความหมายของวิสาขบูชา ซึ่งจะได้วิสัชนากันอีกต่อไปโดยความหมายทั้ง ๓ ประการ แล้วก็จะเข้าใจได้ถึงที่สุด แล้วก็จะทำในใจให้ถูกต้องและดีที่สุด ในชั้นแรกนี้เราจะนึกถึงชื่อที่ใช้เรียก ชื่อที่ใช้เรียก เราเรียกพิธีนี้ว่า พิธีวิสาขบูชา หมายถึงเหตุการณ์แห่งวันวิสาขะปุรณมี คือวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็ญ เดือนวิสาขะอย่างนี้ก็มี หรือจะเรียกว่าเหตุการณ์แห่งการ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน อย่างนี้ก็ได้ เพราะเราถือกันว่าเหตุการณ์ทั้ง ๓ นั้นมีในวันวิสาขะปุรณมี ก็เพ่งเล็งถึงกาลเวลาเป็นหลักก็เรียกว่าเป็นเหตุการณ์แห่ง วันวิสาขะปุรณมี ผู้ที่ยึดถือทางเวลาทำนองนั้น ก็ถือเป็นเวลา คือ กาละ ที่ขลัง ที่ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ถ้าอย่างนี้ก็ผิดหลักพระพุทธศาสนา เรื่องขลัง เรื่องศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับกาลเวลา เกี่ยวกับสถานที่ เกี่ยวกับบุคคล เป็นต้นนั้น ไม่มีในหลักพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาถือหลักเกณฑ์ที่สิ่งต่างๆต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ที่เรียกกันว่า กฎอิทัปปัจจยตา มีรายละเอียดที่ได้พรรณนามามากพอสมควรแล้ว อิทัปปัจจยตา ความที่มีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัยสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น ความที่มีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆก็เกิดขึ้น ถ้าดูถึงเหตุการณ์วันวิสาขะปุรณมี ก็มีเหตุปัจจัยต่างๆครบถ้วนบริบูรณ์ที่ทำให้เกิดการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันนั้น เป็นไปตาม กฎอิทัปปัจจยตา ตามกฎธรรมชาติโดยแท้ แต่ถ้าใครจะมาถือว่าเป็นวันขลัง เป็นวันศักดิ์สิทธิ์พิเศษอย่างนี้เขาก็ถือได้ แต่ว่ามันไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนาเลย พระพุทธศาสนาไม่เกี่ยวกับขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเกี่ยวกับความขลังหรือความศักดิ์สิทธิ์มันก็เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ไม่ใช่พุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์ไม่ใช่ไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์ไม่ต้องมีขลังมีศักดิ์สิทธิ์เข้ามาช่วยเหลืออะไร เพราะพุทธศาสตร์นั้นเป็นวิทยาศาสตร์ ความขลังความศักดิ์สิทธิ์นั้นมันเป็นไสยศาสตร์ มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ไปได้ พุทธบริษัทนี้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระพุทธเจ้า จึงไม่มีเรื่องไสยศาสตร์ จึงไม่มีเรื่องขลัง เรื่องศักดิ์สิทธิ์ แม้ข้อนี้จะต้องทำในใจ ว่าเราไม่ได้ยึดถือ ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ ของเวลา ของบุคคล อะไรเลย เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยโดยชัดแจ้ง โดยครบถ้วน โดยสมบูรณ์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ขอบอกกล่าวทั่วๆกันว่า อย่าได้นำ เรื่องขลัง เรื่องศักดิ์สิทธิ์เอาเข้ามาใส่ในพุทธศาสนา จะเป็นการทำลายพุทธศาสนาซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ มีความจริงอยู่ในตัวเอง ไม่ต้องมีขลังมีศักดิ์สิทธิ์อะไรมาช่วย ถ้าเอาเรื่องขลัง เรื่องศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใส่ลงไปในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็เท่ากับทำลายพุทธศาสนานั่นเอง คือ ทำลายให้หมดความเป็นวิทยาศาสตร์ กลายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ไป มันก็ได้ผลลมๆแล้งๆอย่างไสยศาสตร์ แล้วก็เฉพาะบุคคลนั้นๆ ผู้ใดทำคนนั้นก็ต้องได้รับ ผู้ใดเอาความขลังความศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใส่ลงไปในพุทธศาสนา ทำพุทธศาสนาให้กลายเป็นไสยศาสตร์ไปแล้ว ผู้นั้นก็จะได้รับผลอย่างไสยศาสตร์ หาความแน่นอน มั่นคงอันใดไม่ได้ ถ้าถือตามหลัก อิทัปปัจจยตา มันก็ทำให้ถูกต้อง ตรง จริง ครบถ้วนตามกฎแห่งเหตุและปัจจัย ก็จะได้รับผลครบถ้วน
เดี๋ยวนี้เราก็จะต้องรับรู้ในข้อนี้ มีความแจ่มแจ้งในข้อนี้ ถ้าว่าจะมาจะชวนกันมาทำพิธีวิสาขบูชาที่สวนโมกข์ ก็อย่าได้นึกถึงไปในทำนองขลังหรือศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใด ขอให้คงเป็นไปตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ คือ ตามของกฎของ อิทัปปัจจยตา ดังที่กล่าวมาแล้ว ทั้งนั้นมันก็ต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ถูกต้อง และให้ครบถ้วน เพียงแต่ถูกต้อง ถ้าไม่ครบถ้วน ไม่บริบูรณ์ มันก็ใช้ไม่ได้ มันต้องถูกต้องด้วย แล้วมันก็ต้องครบถ้วนด้วย เราจึงมีการบรรยาย ชี้แจง อธิบาย เพิ่มเติม เพิ่มขึ้นทุกปี ทุกปี เดี๋ยวนี้จะพูดกันถึงเหตุการณ์แห่งการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
เหตุการณ์แห่งการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ที่ใครๆก็จำได้พูดกันว่า วิสาขบูชานี้เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายที่มีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง ขอให้สังเกตให้ดีๆ ฟังดูให้ดีๆ จะได้พูดให้ชัดเจนลงไปว่ามันยังเข้าใจผิดกันอยู่อย่างไร? ถ้าพูดว่าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า นี่มันต้องถือว่าเป็นการพูดตามแบบภาษาคน ภาษาของคนที่ไม่รู้ธรรมะ มันเป็นแต่คนธรรมดามันก็รู้จักพูดแต่เพียงธรรมดา จงรู้เถิดว่ามันพูดอย่างนั้น มันพูดอย่างแบบภาษาคน ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมก็ต้องพูดอย่างอื่น ถึงแม้จะพูดอย่างนั้นก็ต้องมีความหมายอย่างอื่น จะพูดอย่างย่อให้ฟังเสียทีหนึ่งก่อนว่า ถ้าพูดอย่างภาษาคนนะ ภาษาคนธรรมดา ปุถุชนธรรมดา หรือคนไม่รู้อะไรนี่ มันก็หมายถึง เรื่องของร่างกายของพระสิทธัตถะ ถ้าขอย้ำว่าถ้าพูดอย่างภาษาคนนะ การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานก็เป็นเรื่องทางร่างกายของพระสิทธัตถะ ทีนี้ ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมมันก็กลายเป็น เรื่องจิตใจของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่น เห็นไหมว่าพูดถึงพระสิทธัตถะก็พูดไปอย่างหนึ่ง พูดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ท่านทั้งหลายก็ต้องรู้จักเทียบเคียงกันให้ดีๆ จะพูดเป็นตัวอย่างสักหน่อยหนึ่งก่อนก็ได้ว่า ว่าพระพุทธเจ้านั่นประสูติไม่ได้หรอก อย่าโง่ถึงกับเรียกว่า ประสูติจากพระครรภ์มารดา ที่ประสูติจากพระครรภ์มารดานั้น พระสิทธัตถะ คือ บุคคลที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้เรียกว่า พระสิทธัตถะประสูติจากพระครรภ์มารดา คำว่าประสูติในที่นี้หมายถึง ของพระสิทธัตถะ เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นประสูติไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะตั้งครรภ์ จะอยู่ในครรภ์ หรือจะตั้งครรภ์ จะคลอดออกมา จะใหญ่โตมาตามลำดับนี้ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงเด็กทารกนั้นซึ่งเป็นพระสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นโดยวิธีที่เรียกว่า โอปปาติกะ พอมีการตรัสรู้ ก็มีการเกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาทันที อย่างนี้ไม่ใช่ ประสูติ เขาไม่เรียกว่า ประสูติ เขาเรียกว่า การอุบัติ อุบั-ติ อุบัติ ขึ้นมา พระพุทธเจ้าทรง อุบัติ ขึ้นมาในโลก ไม่มีใครพูดว่าพระพุทธเจ้าทรงประสูติขึ้นมาในโลกหรอก เว้นไว้ว่าจะพูดแต่ผิดๆ แต่ว่าพระสิทธัตถะละก็ได้ ประสูติขึ้นมาในโลกก็เกิดจากครรภ์มารดา ออกมาเป็นทารก แล้วก็โตขึ้น โตขึ้นตามลำดับ อย่างนี้เรียกว่า ประสูติ ได้ แต่พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้หมายถึง องค์ หรือ ตัวเด็กนั้น หรือ ตัวบุคคลนั้น หมายถึง คุณธรรม ที่เป็นธรรมะพิเศษอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ตัวบุคคล ดังนั้น จึงประสูติไม่ได้ได้แต่เกิดขึ้นมาอย่างเป็น โอปปาติกะ คือ เกิดทางจิตใจ เกิดผลุงขึ้นมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะแห่งการ ตรัสรู้นั่นเอง
นี่คือเกิดในภาษาคนของพระสิทธัตถะ อุบัติในภาษาธรรม ธรรมะเป็นของพระพุทธเจ้า ทีนี้มันยังมีข้อเปรียบเทียบที่ว่า ถ้าพูดกันอย่างภาษาคนมันก็เป็นเรื่องของพระสิทธัตถะ ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมะ มันก็เป็นเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดอย่างภาษาคน มันก็เป็นคนละเรื่อง และคนละที ประสูติทีหนึ่ง ตรัสรู้ทีหนึ่ง ปรินิพพานทีหนึ่ง มันคนละที แล้วมันก็ห่างกันเป็นสิบๆปี เช่นว่า ประสูติขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วต้องรอถึง ๓๕ ปี จึงจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เกิดมาเป็นพระสิทธัตถะแล้ว ต้องรออีก ๓๕ ปี จึงจะได้มีการตรัสรู้ จึงจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็สั่งสอนต่อไปอีก ๔๕ ปี จึงจะมีการปรินิพพาน นั่นถ้าพูดกันภาษาคนมันจะห่างกันเป็นสิบๆปีอย่างนั้น แต่ถ้าพูดกันภาษาธรรมแล้วก็มันคนละอย่างเลย ในขณะเดียวกันเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นสิ่งเดียวกัน คือ การตรัสรู้นั่นแหละทำให้เกิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา โดยชนิด โอปปาติกะ เกิดผลุงขึ้นมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วในขณะนั้น ก็มีการ ปรินิพพาน แห่งกิเลส ปรินิพพาน แห่งกิเลส ปรินิพพาน ความดับสนิทแห่งกิเลสด้วย ในขณะเดียวกันนั่นแหละมีการเกิด การตรัสรู้ แล้วก็มีการเกิดแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มีการ ปรินิพพาน แห่งกิเลส ในขณะเดียวกัน เป็นเรื่องเดียวกันในขณะเดียวกัน หรือพูดว่าในวินาทีเดียวกันนั่นแหละ มีทั้งประสูติ มีทั้งตรัสรู้ มีทั้งปรินิพพาน ถ้าเราพูดกันอย่างภาษาคน ถ้าเราพูดกันอย่างภาษาธรรม ภาษาธรรมะจึงแยกออกจากกันชัดเลยว่า ถ้าพูดกันอย่างภาษาคนเป็นเรื่องของพระสิทธัตถะ ถ้าพูดกันอย่างภาษาธรรมเป็นเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นเรื่องของพระสิทธัตถะก็เป็นเรื่องทางร่างกาย เอาร่างกายเป็นหลัก คือ พระสิทธัตถะประสูติจากพระครรภ์มารดา นี่พูดได้ แล้วพระสิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นี่ก็พูดได้เป็นเรื่องของพระสิทธัตถะ แล้วกายของพระสิทธัตถะที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนั่นแหละ อยู่ต่อมามันจึงดับลงไป เป็นเรียกว่า ปรินิพพาน ไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน มันเป็นร่างกายของพระสิทธัตถะที่เป็นพระพุทธเจ้า แล้วถูกเรียกสมมติให้ว่าเป็น นิพพาน แต่นี้ก็ยังไม่ถูก ขอให้ตั้งใจฟังให้ละเอียดต่อไป
คือ เรื่องทางภาษาธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้คำพูดอย่างเดียวกันแต่ว่าความหมายคนละอย่าง ถ้าเอาอันหนึ่งเป็นหลัก อันหนึ่งก็ผิดเป็นธรรมดา เช่น พูดว่าพระสิทธัตถะประสูติอย่างนี้ ก็ถูกต้องสิเพราะว่าท่านหมายถึงคนธรรมดา เกิดจากครรภ์มารดาโดยวิธีเกิดตามธรรมดา พูดว่าพระสิทธัตถะประสูติมันก็ถูกแล้ว แต่พูดว่า พระพุทธเจ้าประสูตินี้มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่บุคคลที่จะมาคลอดจากครรภ์มารดา พระพุทธเจ้าคลอดจากธรรมะ เกิดจากธรรมะ เกิดจากครรภ์ของธรรมะโน่น ไม่ใช่ครรภ์ของบุคคล คือ ท่านเกิดด้วยวิธี โอปปาติกะ เกิดทางจิตใจ ก็เกิดผลุงขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า นี่ คือการประสูติในภาษาธรรม ซึ่งไม่ควรเรียกว่าประสูติหรอก แต่ถ้าไม่เรียกว่าประสูติก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไร เพราะคนทั่วไปเขาเรียกว่าการประสูติทั้งนั้นแหละตั้งแต่เกิดออกมา ทีนี้ ขอให้ตั้งข้อสังเกตไว้ทีหนึ่งก่อนว่า พระพุทธเจ้านั้นประสูติไม่ได้หรอก ได้แต่อุบัติขึ้นมาโดย โอปปาติกะ กำเนิดเกิดผลุงขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า
ทีนี้ ครั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จะตรัสรู้อะไรกันอีกเล่า มันถูกไหม? พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่ มันเป็นคำที่ขัดกันอยู่ในตัวเองนะ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะตรัสรู้อะไรกันอีกเล่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่ต้องตรัสรู้อีกหรอก ถ้าเป็นการเกิดแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละคือการตรัสรู้ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ที่ตรัสรู้แล้ว ก็เลยแยกกันไม่ได้ เมื่อตรัสรู้ก็เกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เขามายึดเอาคำพูดธรรมดาว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่มันฟังแล้วก็มันก็ไม่ถูกกับเรื่อง เพราะว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องมาตรัสรู้อีกแล้ว
ทีนี้ก็พูดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานนั้น นี่เป็นคำผิดที่ร้ายกาจ เลวร้ายที่สุด ถ้าอนุญาตให้พูดตรงๆก็ว่ามันบ้าเลย ไอ้คนที่มันพูดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานนี่มันบ้าเลย มันเป็นคนบ้าพูด เพราะพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไม่ได้ นี่ช่วยจำกันไว้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพานไม่ได้ พูดง่ายๆว่า ท่านต้องยังอยู่ ยังอยู่เดี๋ยวนี้ ยังอยู่กับพวกเราที่นี่ พระพุทธเจ้านะ แต่ถ้าว่าร่างกายของพระสิทธัตถะที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วอย่างนั้นนะได้ ดับได้ ดับขันธ์ ดับร่างกายของพระสิทธัตถะ เรียกว่า ปรินิพพาน พระสิทธัตถะในระยะที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วปรินิพพาน อย่างนี้พูดได้ แต่ถ้าจะพูดว่าพระพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนั้นมันไม่ได้ เพราะว่าการปรินิพพานที่แท้จริงนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส การปรินิพพานที่แท้จริงมันเป็นเรื่องของกิเลสดับสนิท แต่เรามาเรียกกันว่า นิพพาน แล้วเอามาให้กลายเป็นเรื่องการดับร่างกายของพระสิทธัตถะเลยปนกันยุ่ง นี่จำไว้ให้ชัดเจนว่า พระพุทธเจ้านั้นประสูติไม่ได้ มีแต่เกิดมาโดย โอปปาติกะกำเนิด โดยจิตใจเป็นพระพุทธเจ้าเลย แล้วก็ไม่ต้องตรัสรู้อีกแล้ว ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มันก็คือตรัสรู้อยู่แล้ว การตรัสรู้ที่เกิดขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละคือ การตรัสรู้เสร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าไม่ต้องตรัสรู้อีก ทีนี้อยู่มา อยู่มา จนร่างกายมันปรินิพพาน นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน มันร่างกายที่ถูกสมมติให้ว่าเป็นร่างกายของพระสิทธัตถะที่อยู่มาจนถึงเป็นพระพุทธเจ้านั้นแหละนิพพานต่างหาก พระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่ได้ ที่จะปรินิพพาน ดับสนิทได้นั้นมี ๒ อย่าง ก็คือ ร่างกายของพระสิทธัตถะนั่นอย่างหนึ่ง หรือ กิเลส อีกอย่างหนึ่งนั้นมันดับได้ ร่างกายก็ดับได้ เรียกว่า ดับขันธ์ กิเลสดับได้ ก็เรียกว่า ดับกิเลส นั่นมันดับได้ ขันธ์ก็ดับได้ กิเลสก็ดับได้ แต่พระพุทธเจ้าจะดับไม่ได้ อย่าไปกล้าคิดว่าพระพุทธเจ้าดับได้ หรือพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ พูดง่ายๆก็ว่า พระพุทธเจ้านั้นปรินิพพานไม่ได้ ท่านตายไม่ได้ ท่านตายไม่ได้ อย่าพูดผิดๆอย่างที่สอนลูกเด็กๆในโรงเรียนว่า ปรินิพพาน คือ การตายของพระอรหันต์ นี่มันผิดทั้งนั้น พระอรหันต์ตายไม่ได้ พระพุทธเจ้าตายไม่ได้ พูดกันมาผิดๆ แล้วก็ผิดกันมามาจนบัดนี้
ฉะนั้น ใครพูดว่าพระพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนั้น คือคนไม่รู้ หรือว่ารู้แต่ภาษาคนมันก็หลับตาพูดอย่างภาษาคน ให้จำไว้ว่าพระพุทธเจ้านี้ปรินิพพานไม่ได้ คือ ตายไม่ได้ ดับขันธ์ไม่ได้เพราะว่าขันธ์มันไม่ใช่พระพุทธเจ้า ขันธ์ก็ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ขันธ์ที่เคยเป็นที่เคยเป็นที่ตั้งอาศัยของพุทธภาวะนี้ดับได้ แต่พระพุทธเจ้าดับไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะดับไปตามขันธ์มันไม่ได้ ขอให้มองดูกันให้ละเอียดอย่างนี้ ที่ว่า พระพุทธเจ้านิพพานไม่ได้นั้นก็เพราะเหตุว่า ท่านไม่ใช่ขันธ์ ท่านไม่ใช่นามรูป ไม่ใช่กาย ไม่ใช่ใจที่มันดับได้ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ขันธ์ ไม่ใช่กาย ไม่ใช่ใจ ขอให้นึกถึงที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นเรา นี่เคยพูดกันไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา แม้ผู้ใดจะเห็นร่างกายนี้มาเกาะขา เกาะแข้ง จับจีวรอยู่นี้ก็ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้า คือ ยังไม่เห็นเรา ต่อเมื่อให้เห็นธรรมะนั้นจึงเห็นเรา เราในที่นั้นท่านทรงหมายถึงธรรมะที่ไม่รู้จักตาย ตายไม่ได้ ธรรมะที่ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้านั้นตายไม่ได้ แล้วก็จะอยู่เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายตลอดไป ตลอดมา จนถึงบัดนี้ ตายไม่ได้ พระธรรมนั้นตายไม่ได้ ส่วนขันธ์หรือร่างกายที่เคยเป็นที่ตั้งแห่งการตรัสรู้นั้นตายได้ กิเลสก็ดับได้ ตายได้
อีกอย่างหนึ่งพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ จิต นะ อย่าเข้าใจผิดพระพุทธเจ้านั้นเป็น จิต นะ จิตนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่ว่าจิตนั้นมันสัมผัสความเป็นพระพุทธเจ้า หรือว่ารองรับภาวะที่เป็นพระพุทธเจ้าได้ แต่ตัว จิตนั้นไม่ใช่ตัวพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า เป็น พุทธภาวะที่จิตเข้าถึงได้ หรือว่าจิตรองรับไว้ได้ ดังนั้น จิตดับได้ จิตดับได้ แต่พระพุทธเจ้าดับไม่ได้ แยกออกจากกันเสียอย่างนี้
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เกิดอย่างพวกเรานี้ พวกเรา หรือว่าอย่างพระสิทธัตถะได้ พวกเรานี้ก็ดี พระสิทธัตถะก็รวมอยู่ในพวกเราก็ดีที่เกิดอย่าง ชลาภุชะ เกิดในน้ำ ในครรภ์ของบิดา-มารดา เพราะการถึงกันแห่งบิดา-มารดาอย่างนี้ นี่คือ เกิดอย่างคน หรือสัตว์ธรรมดา พระสิทธัตถะก็เกิดได้ เกิดอย่าง ชลาภุชะ ในครรภ์มารดา แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดอย่างนั้น เกิดอย่างนั้นไม่ได้ ท่านเกิดโดย โอปปาติกะ วิธี โอปปาติกะ ของธรรมชาติ เมื่อท่านไม่ได้เกิดอย่างเนื้อหนังอย่างคนเราท่านตายไม่ได้สิ เพราะท่านไม่ได้เกิดอย่างวิธี ชลาภุชะ เหมือนอย่างคนทั่วไป เรียกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้มีวิธีการเกิด การตาย ท่านมีเกิดทางฝ่ายธรรมะ ฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณที่ถึงธรรมะ
ดูอีกวิธีหนึ่งก็ว่า พระพุทธเจ้านั้นมิใช่ เจตสิก ไม่ใช่ เจตสิก คำว่า เจตสิก ในที่นี้หมายถึง ปัญญาเจตสิก มีบางคนหรือครูบา-อาจารย์บางคนชอบสอนว่า พระพุทธเจ้า คือ ตัวปัญญา องค์ปัญญาที่ตรัสรู้นั้นคือพระพุทธเจ้า ถ้าเขาสอนอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาเอาตัวปัญญา เจตสิก ปัญญาที่เป็น เจตสิกธรรม นั้นเป็นองค์พระพุทธเจ้า อย่างนี้ไม่ใช่ ปัญญานี้มันเป็นคุณสมบัติของจิต อยู่กับจิต รู้อยู่กับจิต รู้จากพระพุทธเจ้าได้ แต่ตัวปัญญานั้นจะเป็นองค์ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะว่าตัวปัญญานี้มันเป็น เจตสิกธรรม อยู่กับจิต เป็น สังขารธรรม มีเกิด-ดับเหมือนกับจิต เจตสิก มันก็เกิด-ดับเหมือนจิต ปัญญามันก็เป็นเพียง เจตสิก พระพุทธเจ้ามิได้เป็น เจตสิก อย่างนั้น อย่างที่เขาชอบพูดกันนักว่า พระพุทธเจ้า คือ องค์ปัญญา ให้นึกถึงว่าพระพุทธเจ้าก็มิใช่จิต แล้วก็ไม่ใช่ เจตสิก แล้วก็ไม่ใช่ร่างกายของพระสิทธัตถะ เป็นธรรมชาติ ท่านเป็นพุทธะ พุทธะ เป็นธรรมชาติแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า พุทธภาวะ เป็นภาวะแห่งความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ธรรมชาติอย่างนี้ตายไม่ได้ ตายไม่ได้ แล้วจะมีอยู่เสมอ จะมีรออยู่เสมอ ใครปฏิบัติถึงขนาด ถึงที่สุดแล้ว จิตของเขานั้นก็จะถึงซึ่ง สัมผัสพุทธภาวะ แล้วก็รู้ พุทธภาวะ แต่จะถูกคนทั่วไปสมมติให้ เรียกว่า เขาเป็นพระพุทธเจ้า นี่เรารู้กันมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ควรรู้เสียทีว่า จิตนั้นก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า เจตสิกธรรม คือ ปัญญาของจิตที่รู้อย่างตรัสรู้นั้นก็ไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้า ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้า ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตายไม่ได้ นิพพานไม่ได้ แต่จะยังอยู่ตลอดไป ยังอยู่สำหรับพวกเราในเวลานี้ ในบัดนี้
ใครว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ ไอ้คนนั้นฆ่าพระพุทธเจ้า คนนั้นแหละมันฆ่าพระพุทธเจ้าเสียเอง เป็นบาปหนักยิ่งกว่าทำ อนันตริยกรรม ใดๆเป็นคนฆ่าพระพุทธเจ้าเสียเอง แต่มันทำได้โดยการพูดเท่านั้น มันทำไม่ได้หรอก ตามความเป็นจริงมันทำไม่ได้ แต่ว่าคำพูดเหมือนมันฆ่าพระพุทธเจ้าเสียแล้ว โดยพูดว่า พระพุทธเจ้าหรือพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้านั้นปรินิพพานได้ หรือดับขันธ์ได้นี้ก็ไม่ถูก มันจะต้องดูให้ละเอียดถึงเรื่อง ดับขันธ์ ทีนี้ร่างกายนั้นก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ดังนั้นองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าแท้ๆ ซึ่งเกิดโดย โอปปาติกะกำเนิด นั้น ตายไม่ได้ ดับขันธ์ไม่ได้ ปรินิพพานไม่ได้ ให้ตายก็ไว้สำหรับร่างกายสิ ปรินิพพานก็เอาไว้สำหรับกิเลสสิกิเลสดับได้อย่างสนิท เป็น ปรินิพพาน การดับขันธ์ ไม่ใช่ เป็นการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าเกือบทั้งหมดที่นั่งอยู่ที่นี่ คิดว่าการดับขันธ์ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ทีนี้มันผิดกันหมด ปรินิพพาน ไม่ได้หมายถึง ดับขันธ์ มันหมายถึง ดับกิเลสโน่น มันดับกิเลส กิเลสดับจึงจะเป็นปรินิพพาน พระพุทธเจ้าก็ดับขันธ์ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้ามิใช่ขันธ์ ขันธ์มิใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามิใช่ขันธ์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงดับขันธ์ไม่ได้ เพียงแต่ว่าขันธ์กลุ่มหนึ่งนั้นมันเคยเป็นที่ตั้งอาศัยแห่ง พุทธภาวะ ไอ้ขันธ์นั้นมันไม่ใช่ พุทธภาวะ ขันธ์ดับก็ดับไป พุทธภาวะก็ต้องยังอยู่ ทีนี้แต่คนก็มาพูดผิดๆ หลับตาพูดว่า พระพุทธเจ้าดับขันธ์ พระพุทธเจ้าจะดับขันธ์ไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้ามิใช่ขันธ์นะ และพระพุทธเจ้ามิได้เป็นเจ้าของแห่งขันธ์ อย่าไปปรับ ไปลดความหมายของพระพุทธเจ้าว่าเป็นตัวขันธ์บ้าง เป็นเจ้าของขันธ์บ้าง นี่พูดให้ดีก็จะต้องพูดว่า ไอ้ขันธ์ ขันธ์นี้มันเป็นของใครไม่ได้คงจะไม่เชื่อใช่ไหม? ขันธ์ ขันธ์นี้เป็นของใครไม่ได้ ก็นึกถึงพระบาลีที่ว่า รูปปัง อนัตตา เวทนา อนัตตา สัญญา อนัตตา สังขารา อนัตตา วิญญาณัง อนัตตา นี้ มันเป็น อนัตตา มันไม่มีตัวตน มันไม่เป็นตัวตน ดังนั้น ขันธ์มันก็ไม่เป็นแม้แต่ของขันธ์เอง ขันธ์มันไม่มีตัวตนของมันเอง ขันธ์จึงไม่ได้มีตัวตนของมันเอง เพราะฉะนั้น ขันธ์จึงเป็นของขันธ์ไม่ได้ เพราะมันไม่เป็นตัวตน มันไม่เป็นของใครได้ ทีนี้ การดับขันธ์ก็เพราะปัจจัย เหตุปัจจัยของมันสิ้นไปตาม กฎอิทัปปัจจยตา มันก็ดับเท่านั้น ฉะนั้นดับขันธ์ ดับขันธ์นี้จะเป็นของพระพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นของใครก็ไม่ได้ จะเป็นของขันธ์เองก็ไม่ได้ เพราะว่า ขันธ์ เองมันก็เป็น อนัตตา พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วจะมายึดถือขันธ์ มาเป็นของท่านนี้มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นคนโง่ช่วยพูดให้ มันไม่มีความหมายอะไร พระพุทธเจ้าจะเป็นตัวขันธ์มันก็ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็น ปัญญาขันธ์ เป็นอะไรขันธ์ มันก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่เป็นตัวปัญญา ตัว เจตสิกธรรม พระพุทธเจ้ามิใช่เป็นตัวขันธ์ และพระพุทธเจ้ามิได้เป็นเจ้าของขันธ์ และขันธ์นี้ก็ไม่ได้เป็นของใครแม้แต่ตัวมันเองมันก็เป็นของมันไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ
ขันธ์ ขันธ์นี้จะเป็นของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ทั้งในแง่ของบุคคล หรือของธรรมะนะ คือขันธ์นี้จะเป็นของพระสิทธัตถะก็ไม่ได้ มันเป็นของธรรมชาติ ขันธ์นี่จะเป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากที่ตรัสรู้แล้วก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การดับขันธ์นั้นไม่เกี่ยวกันกับพระสิทธัตถะ ไม่เกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เดี๋ยวนี้เราพูดกันโดยสมมติ โดยภาษาคนว่า การดับขันธ์ของพระสิทธัตถะ เมื่อพูดอย่างสมมติอย่างนี้ก็พูดได้ แล้วก็เป็นภาษาคน ภาษาคน ฟังไว้ให้ดีๆว่า ภาษาคน ไม่ใช่ภาษาธรรมะ ถ้าเป็นภาษาธรรมะแล้วมันก็เป็นการดับขันธ์ของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ
ดังนั้น จึงไม่มีพระพุทธเจ้าที่ดับขันธ์ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงปรินิพพานไม่ได้ จะเป็นของที่เป็นอสังขต ที่ไม่รู้จักดับนะพระพุทธภาวะนี่ เป็นธรรมชาติไป สังขตะ ที่ไม่รู้จักดับ ถ้าใครประพฤติปฏิบัติถูกต้องถึงเข้าก็ได้รับ จิตก็ได้รับ จิตก็ได้รู้สึก เรียกว่า มันเป็นของที่อยู่ตลอดกาล ดังนั้น พระพุทธเจ้าที่แท้จริงนะ ไม่ใช่ทางกาย ไม่ใช่เนื้อหนัง ที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ดับไม่ได้ และอยู่ตลอดกาล และอยู่จนถึงพวกเราเดี๋ยวนี้ จนพวกเราเดี๋ยวนี้ก็มีพระพุทธเจ้าได้ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งได้ ถึงพระพุทธเจ้าได้ รู้จักพระพุทธเจ้าได้ มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งได้ นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าไม่ปรินิพพาน ไม่ใช่ตาย ขอท่านทั้งหลายอย่าได้ฆ่าพระพุทธเจ้าด้วยความโง่ของตน โดยพูดว่าพระพุทธเจ้า นิพพาน ได้ หรือพระพุทธเจ้า ดับขันธ์ ได้ หรือพระพุทธเจ้า ตาย ได้นี่มันไม่มีทางจะพูด เพียงแต่ว่าขันธ์กลุ่มหนึ่งที่เคยเป็นที่ตั้งของ พุทธภาวะ ที่เราสมมติเรียกว่า พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า นั้นนะ ขันธ์นั้นมันก็ดับได้ ตามแบบของขันธ์ซึ่งเป็นอนัตตาอย่างที่พูดมาแล้วว่า ขันธ์ไม่เป็นของใครได้ เป็นของตัวมันเองก็ไม่ได้ เพราะมันเป็น อนัตตา คือ มันไม่มีตัวตน
คำพูดใหม่ๆนอกพระบาลี ในคัมภีร์ชั้นหลังนั้น เขาพูดกันแปลกๆนะ เขาก็มีคำพูดเกิดขึ้นมาว่า ขันธนิพพาน ธาตุนิพพาน นี่ขอเอามาเล่าให้ฟังซะเลยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น เขาเรียกว่า กิเลสนิพพาน นี่ถูก ข้อนี้ถูก เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้มีการ ปรินิพพานของกิเลส เรียกว่า กิเลสนิพพาน ต่อมาร่างกายที่เคยเรียกว่า พระพุทธเจ้านั้นดับลง เขาเรียกว่า ขันธนิพพาน นิพพานของขันธ์ อย่างที่เราเรียกพระพุทธเจ้านิพพานและถวายพระเพลิงนั่นแหละ คัมภีร์นี้หลังๆนี่เขาเรียกว่า ขันธนิพพาน เอานิพพานมาใช้กับขันธ์ซึ่งมันไม่ถูก โดยหนังสือ โดยอะไรทุกอย่างแหละ ไอ้ขันธ์มันก็เป็นขันธ์ มันก็ดับไปตามประสาของขันธ์ มันจะไม่ใช้คำว่า นิพพาน เขาใช้คำว่า ขันธนิพพาน นี้มี แล้วต่อมาเหลืออยู่แต่พระธาตุแล้วก็ หนังสือที่เขาก็จะเขียนคำว่าพระธาตุมี ในโลกนี้ในสากลโลกนี้มีพระธาตุที่ไปประดิษฐานอยู่ในที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่งในโลก พระธาตุทั้งหมดนี้จะรวมตัวกันถึงวันหนึ่ง สมัยหนึ่งนั้น พระธาตุเหล่านี้จะรวมตัวกันขึ้นมาเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธรรม แสดงธรรมอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็นิพพานไป เรียกว่า ธาตุนิพพาน ธา-ตุ นิพพาน ธาตุนิพพาน อันจะมีข้างหน้าในอนาคตนั่น ไม่รู้ว่าเมื่อไรหรอก มีคำพูดไว้อย่างนี้ ถ้าเราเชื่ออย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องอย่างนี้ ถ้าเราตีความหมาย แปลความหมายมันก็เป็นอย่างอื่นแหละ แต่ให้ได้รู้ไว้เถิดว่า อาการพวกหนึ่งนั้นเขาแยกแจกนิพพานไว้เป็น ๓ นิพพาน
ครั้งแรกเรียกว่า กิเลสนิพพาน มีในเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็น กิเลสนิพพาน
เข้ามาพระสรีระ ร่างกายที่เคยสมมติให้เป็นพระพุทธเจ้านี้นิพพานอีกที อย่างนี้เขาเรียกว่า ขันธ์นิพพาน ขันธนิพพาน คือ ขันธ์ที่เป็นพระพุทธเจ้านิพพาน
แล้วต่อมาๆอีกนานจึงจะมี ธาตุนิพพาน คือ พระธาตุทั้งหลายของพระพุทธเจ้าจะมารวมเป็นองค์พระพุทธเจ้าแล้ว ปรินิพพาน อีกครั้งหนึ่ง น่าจะหวังนะว่าพระธาตุทั้งหลายจะรวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธเจ้าและแสดงธรรมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงจะปรินิพพาน ทีนี้สูญสิ้นเลยไม่มีอะไรเหลือเลย นี่พูดอย่างตามตัวหนังสือเป็นอย่างนี้ แต่ตีความหมาย ตีความหมายได้อีกเป็นความหมายอื่นก็ได้ แต่อย่าตีเลย เดี๋ยวจะเวียนหัวเปล่าๆ มีแต่ว่าเขาถือกันอย่างนี้ เขาเชื่อกันอย่างนี้ เขาสอนกันไว้อย่างนี้ในหนังสือชั้นหลัง เช่น หนังสือปฐมสมโภช เป็นต้น
นี่เราถือว่าพระพุทธเจ้านั้นปรินิพพานไม่ได้ กิเลส เท่านั้นล่ะที่มัน ปรินิพพานได้ ทีนี้จิตนั้นตรัสรู้แล้วทำลายกิเลสหมดไป นี่แหละ กิเลสนิพพานในขณะนั้น ขณะที่ตรัสรู้ก็พระพุทธเจ้านี้ มาดูกันให้ถึงข้อนี้ ถึงตัวจริง ถึงภาษาธรรมะ ว่าเมื่อมีการตรัสรู้ขึ้นในจิตของบุคคลที่เราสมมติเรียกว่าพระพุทธเจ้านี้ มีการตรัสรู้ขึ้น เมื่อนั้นแหละมี กิเลสนิพพาน เรียกว่า ปรินิพพาน เมื่อพูดตามภาษาธรรม พระพุทธเจ้าไม่มี ปรินิพพาน แล้วก็ไม่มีการประสูติอย่างในความหมายของคำว่าประสูติ แต่มีการบังเกิด หรือ อุบัติขึ้นโดย โอปปาติกะกำเนิด คือ การตรัสรู้ การตรัสรู้ นั่นแหละคือ การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าเกิดแล้วไม่ต้องตรัสรู้อีกหรอก มันจึงเป็นสิ่งเดียวกันเสียกับการเกิดของพระพุทธเจ้า กับการตรัสรู้ การตรัสรู้กับการเกิดของพระพุทธเจ้ากับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งเดียวกันเสีย ถ้ามีการปริพานในขณะนั้นในสิ่งเดียวกันนั้นก็มีการปรินิพพานของกิเลส เพราะว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นสิ่งเกิดดับ เกิดดับ แต่พูดว่า นิพพานของขันธ์ ขันธ์นั้นก็ไม่ปรินิพพาน เพราะเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก็ยังอยู่ ไม่ได้ตาย ไม่ได้ดับขันธ์ไปไหน มันจึงเป็น ปรินิพพานของกิเลส นี่
นี่พูดมาถึงขั้นนี้แล้วมันก็คงจะงงกันหลายๆคนนะ นี่พูดภาษาธรรมะเรื่องประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานนั้นมีความหมายอย่างอื่น ไม่เหมือนกับภาษาคนที่เราพูดกันว่า ประสูติ-พระสิทธัตถะคลอดจากท้องแม่ ตรัสรู้-พระสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ปรินิพพาน-ร่างกายของพระสิทธัตถะหรือพระสิทธัตถะโดยสมมตินั้นตายลงไป อย่างนั้นได้ อย่างนี้ ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน ภาษาคนพูดเล็งหมายถึง กิริยาอาการของ สังขารกลุ่มที่ถูกสมมติเรียกว่า พระสิทธัตถะ เพราะฉะนั้น พูดในภาษาธรรม ภาษาธรรมะไม่พูดถึงตัวบุคคล พูดถึงตัวธรรมะแล้ว คำที่เราเรียกว่า ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน มีความหมายเป็นสิ่งเดียวกันหมด มีในขณะเดียวกันหมด ไม่ห่างกันแม้แต่หนึ่งวินาที ถ้าพูดอย่างภาษาคนเป็นเรื่องของพระสิทธัตถะแล้ว ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานนี้ห่างกันเป็นสิบๆปี คนละที คนละเรื่อง แต่ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมะ คือ ภาษาความจริง เล็งไปถึงตัวสิ่งที่แท้จริงแล้ว ก็เป็น การตรัสรู้ เท่านั้นแหละ
ตรัสรู้ นั้นคือ เกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ นั้นคือ ปรินิพพานของกิเลสทั้งหลายทั้งปวง มันก็ได้มีในขณะเดียวกัน การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แล้วก็การตรัสรู้ และการปรินิพพาน มีแล้วโดยที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องตาย ไม่ต้องนิพพาน ปรินิพพานมีแล้วโดยที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องตาย ไม่ต้องปรินิพพาน ดังนั้นเป็นอันสรุปความได้ว่า พระพุทธเจ้านั้นปรินิพพานไม่ได้ นอกจากคนไม่รู้มันว่าเอาเอง ใครว่าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าคนนั้นฆ่าพระพุทธเจ้าเสีย มันก็ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง สมน้ำหน้ามัน พูดอย่างนี้เลย สมน้ำหน้ามันที่มันอยากฆ่าพระพุทธเจ้าเสีย นี่ ขอให้พวกเราทุกคนมีความรู้เรื่องนี้ให้ถูกต้อง อย่าให้มันสับสน ผิดพลาด ไปๆมาๆแล้วก็ฆ่าพระพุทธเจ้าเสียเอง พูดว่าพระพุทธเจ้านิพพานเสียแล้ว พระพุทธเจ้านิพพานไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ใช่จิต ไม่ใช่เจตสิก ไม่ใช่ขันธ์ ไม่ใช่อะไร มันเป็น พุทธภาวะ ที่มัน นิพพาน ไม่ได้ ปรากฏแก่จิตที่อบรมดีถึงที่สุดแล้วเป็นคราวๆเป็นคนๆเป็นเรื่องๆไป พระพุทธเจ้าปรินิพพานไม่ได้ ตายไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่เนื้อหนังร่างกายที่เดินไปเดินมาได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา เห็นเพียงร่างกายที่เดินไปไหนมาไหนได้ไม่ใช่ที่ว่าเห็นตถาคต ต้องเห็น ธรรมะที่ไม่รู้จักตาย จึงจะเรียกว่า เห็นตถาคต
เป็นอันว่ามันมีภาษาที่จะต้องพูดอยู่ ๒ ภาษา ภาษาคน สำหรับ คนไม่รู้พูด ภาษาธรรม สำหรับ ผู้รู้พูด ต่างกันอย่างไร? ก็ต่างอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าพูดภาษาคน-ก็มีพระพุทธเจ้าประสูติจากครรภ์มารดา แล้วก็ตรัสรู้ แล้วก็ตายได้ นี่ภาษาคน พูดภาษาธรรมแล้วไม่ มีแต่การตรัสรู้ ซึ่งมีลักษณะแห่งการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า และการนิพพานแห่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวง มีในขณะเดียวกัน วินาทีเดียวกัน นี่เรียกว่า พูดโดยภาษาธรรมะ ภาษาคนมันเล็งไปถึงวัตถุร่างกาย ภาษาธรรมะมันเล็งถึงเรื่องจิต หรือธรรมะที่ยิ่งไปกว่าจิต คือ อสังขตธรรม ทั้งหลาย มันเพ่งเล็งไปที่สิ่งที่ต่างกันมาก เวลาพูดมันจึงพูดไม่เหมือนกัน แต่เมื่อเราไม่รู้ก็มาปนกันจนยุ่งไปหมด เพราะฉะนั้น ขอให้ชำระสะสางสรุปความกันให้เสียดีๆว่า ถ้าพูดภาษาคนก็เป็นเรื่องของพระสิทธัตถะทั้งนั้น ถ้าพูดเป็นเรื่องภาษาธรรมก็เป็นเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้จริง ซึ่งไม่รู้จักตาย เป็น พุทธภาวะ ที่ไม่รู้จักตาย จะอยู่ยืนยาวมาถึงบัดนี้ และจะอยู่กับเรา จะเป็นที่พึ่งกับเรา ถ้าเราทำจิตของเราให้รองรับ พุทธภาวะ เหล่านั้นได้ ทำอย่างไร? ทำอย่างไร? ก็ทำให้มี โอปปาติกะกำเนิด เกิดแก่เราสิ โอปปาติกะกำเนิด เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ผลุงขึ้นมาอย่างไร เราก็ทำให้มี โอปปาติกะกำเนิด เช่นนั้นในจิตใจของเรา มีความรู้แจ้งเห็นแจ้งในธรรมะผลุงขึ้นมาเป็นอย่างนั้น แล้วก็เกิดเป็น พุทธบุคคล ขึ้นมา ไม่ใช่จะเป็นเรื่องอวดดีหรือทำเทียมพระพุทธเจ้า-ไม่ใช่ เป็นเรื่องของจริงตามธรรมชาติ ถ้าจิตนี้ได้รับการอบรม ศึกษา ปฏิบัติถูกต้องถึงที่สุดแล้ว โอกาสหนึ่งนะมันก็จะมี โอปปาติกะกำเนิด ผลุงขึ้นมาสำหรับจิตนั้นเกิดเป็น พุทธบุคคล พุทธบุคคล ทั่วไปที่เรียกว่า อนุพุทธะ พระพุทธะ ตามพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตรัสรู้เองนี่เป็น พุทธภาวะมาปรากฏในจิตของเรา ใช้คำว่า เรา ก็เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างอื่นอย่างไรได้ ก็คือ ผู้ปฏิบัติ นั่นแหละ ก็เกิดโอปปาติกะกำเนิด ขึ้นในจิตนั้น พุทธภาวะ ก็เกิดขึ้นในจิตนั้น เราก็มีพระพุทธเจ้าทันที เราก็มีพระพุทธเจ้าอยู่กับจิตนั้น จิตนั้นก็พ้นจากทุกข์ จิตนั้นก็อยู่อย่างที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ นี่คือ อยู่กับพระพุทธเจ้า ถ้าได้อย่างนี้จะเรียกว่า ผู้นั้นอยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พูดแต่ปากเปรยๆ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพระพุทธเจ้าถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรม แล้วก็ไม่ได้ถึงอะไรเพราะมันพูดแต่ปาก ปากมันว่า ปากว่าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ แต่จิตใจนั้นมีสตางค์ มีเงินนั้นเป็นสรณะกันทั้งนั้นแหละ บูชาเงินกันยิ่งกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ปากมันว่า มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ
นี่ทำกันเสียใหม่ ให้จิตใจมันมีความเจริญในธรรม เจริญงอกงามก้าวหน้าในธรรม จนบรรลุธรรมที่เรียกว่า บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็จะสามารถสัมผัสกับ อายตนะ นั้นคือ พระนิพพาน อายตนะ คือ พระนิพพาน นั้นมีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อายตนะ นั้น อายตนะ นั้นมีอยู่ ซึ่งมิใช่ มิใช่อะไรเป็นที่ดับแห่งทุกข์ทั้งปวงมันมีอยู่ ทำจิตให้ถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา และจิตนี้ก็จะสัมผัสกับ อายตนะ นั่นคือ นิพพาน นั่นแหละ ตอนนั้นล่ะเกิดเป็นพระพุทธเจ้ากันแล้ว มีพระพุทธเจ้าจริง อยู่กับพระพุทธเจ้าจริง แล้วจะว่ายังไง เรื่องมันจะจบเท่านั้นแหละ นี่เรารู้จักพระพุทธเจ้า ว่าท่านประสูติ ไม่ได้ประสูติอย่างคนเกิดจากท้องแม่ ท่านประสูติอย่างวิธี โอปปาติกะกำเนิด และเราทุกคนก็มีสิทธิ มีความถูกต้องเหมาะสมที่จะเกิดอย่าง โอปปาติกะกำเนิด ตามรอยพระพุทธเจ้าด้วยนั้น แต่เราไม่สนใจเอง เราไม่สนใจเพราะเราไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเรารู้เรื่องนี้เราคงจะสนใจกันบ้าง ในการที่จะมีการเกิดอย่าง โอปปาติกะกำเนิด แบบนั้น แล้วก็กลายเป็น พุทธบุคคล บุคคลที่สมมติว่า พุทธบุคคล นะ มันไม่ใช่บุคคล เขาจึงเรียกให้มันชัดสักหน่อยว่า พุทธภาวะ จิตนั้นจะถึงซึ่งพุทธภาวะ สมมติเรียกว่า จิตนั้นมันได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เราทุกคนอาจจะเกิดเป็น โอปปาติกะกำเนิด ได้ เหมือนที่พระพุทธเจ้าได้เกิด หรือได้อุบัติขึ้นมา
อ้าว, ทีนี้มันมีปัญหาแทรกเข้ามา ตรงข้อที่ว่า กำลังเข้าใจคำๆนี้ผิดพลาด เข้าใจ โอปปาติกะกำเนิด ว่ามันเป็นสัตว์ ผีสาง อะไรไม่รู้ชนิดหนึ่ง เที่ยวลอยเกิดอยู่ เชื้อเชิญมาก็ได้ เขาเชื้อเชิญ โอปปาติกะกำเนิด มาใช้อย่างนั้น ใช้อย่างนี้ ถามนั่นถามนี่ก็ได้ เป็นหลวงพ่อ เป็นเจ้าพ่อ เป็นอะไรก็ได้ มาช่วยขับรถให้ก็ได้ มาช่วยปิดตาแล้วขับรถก็ได้อย่างนี้ เขาเข้าใจว่า โอปปาติกะกำเนิด เป็นอย่างนั้น ที่จริง โอปปาติกะกำเนิด นั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลชนิดนั้น เป็นวิธีเกิด เป็นชื่อของวิธีเกิดที่เกิดผลุงขึ้นมา ในพระบาลีมีคำอีกคำหนึ่งว่าสัมภเวสี คือ สัตว์ที่ยังหาที่เกิดไม่ได้ ยังเที่ยวล่องลอยอยู่อย่างนั้นอย่างนี้ เขาเรียกว่า สัมภเวสี เขาไม่ได้เรียกว่า โอปปาติกะ เดี๋ยวนี้กลับยังเอามาเรียกว่า โอปปาติกะ มันผิดทั้งตัวหนังสือ-ผิดทั้งเรื่อง ขอให้เข้าใจคำว่า โอปปาติกะ เสียใหม่ว่าเป็น วิธีที่เกิดเท่านั้น ไม่ใช่เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เกิดผลุงขึ้นมาโดยทางจิตใจ ไม่ต้องเข้าจากท้องแม่ ไม่ต้องเกิดเป็นเด็กก่อน คือ การบรรลุธรรม นั่นเอง การบรรลุธรรมชนิดไหนก็ตาม มันเป็นการเกิดโดย โอปปาติกะกำเนิด ทั้งนั้น ถ้าพูดให้เป็นเรื่องธรรมดา พูดเป็นเรื่องธรรมดาว่า สังขาร จิตใจนี่มันปรุงกันอย่างไร แล้วมันจะเกิดเป็นอย่างนั้น ถ้าจิตใจมันปรุงแต่งเป็นความคิดนึก-รู้สึกอย่างสัตว์ มันก็เกิดเป็นสัตว์แหละ ในร่างกายคนนี่ แต่มันได้เกิดเป็นสัตว์ไปเสียแล้ว ถ้ามันคิดนึก-ปรุงแต่งอย่างจิตอย่างเทวดา มันก็เกิดเป็นเทวดาแล้ว เป็นพรหมแล้ว มันจึงเกิดกันได้มาก มากมายหลายสิบอย่าง แต่เป็นเรื่องเกิดทางจิต เป็นอยู่ในทางจิตทั้งนั้น แต่แล้วมันก็ทะเลาะกันอีกล่ะ เขาว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันอยู่ที่โลกไหนก็ไม่รู้ มันอยู่ที่โลกอื่น โลกดาวดวงอื่นที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่ว่าเกิดในจิต เดี๋ยวนี้อยากจะยืนยันว่า มันมีอยู่ในจิต มันเกิดอยู่ในจิต มันจะเกิดเป็นอย่างไรก็ได้
เรื่อง ภพ นะ ภพ ๓๑ นะ ภพ ๓๑ ใน อบายภูมิ อบายภพ ๔ เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกาย นี้มัน ๔ ที่มันเกิดเป็นมนุษย์ ภพนี้ ๑ แล้วมัน กามาวัชรภพ คือ สวรรค์ชั้นสมบูรณ์ด้วยกามารมณ์ ๖ ชั้นนั้น ชั้น จาตุมหาราช ชั้น ดาวดึงส์ ชั้น ยามา ชั้น ดุสิต ๖ ชั้นนี่ มี ๖ ชั้น แล้วก็มีเป็น รูปพรหมอีก ๑๖ ชั้น แล้วก็มี อรูปพรหม อีก ๔ ชั้น รวมกันเป็น ๓๑ ชั้น เป็น ๓๑ ภพ ๓๑ โลก เพราะว่ามันอยู่ที่นั่นที่นี่ต่างกัน เช่นว่า อบายภพ อยู่ใต้ดินโน่น มนุษย์อยู่ในโลกนี้ สวรรค์ก็อยู่บนสวรรค์ แล้วพรหมโลกก็สูงไปบนกว่านั้นอีก แล้วพรหมโลกชั้น อรูป ก็สูงไปกว่านั้นอีก นี่ ที่เขาพูด ไม่ถูก ไม่จริง มันอยู่ที่การเกิดแห่งจิตใจ คิดนึกอย่างไรก็เกิดเป็นอย่างนั้น อยู่ในร่างกายนี้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสว่า ไอ้เรื่องโลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับแห่งโลกก็ดี ทางถึงความดับแห่งโลกก็ดี มีอยู่ในร่างกายยาวประมาณวาหนึ่งนี้ที่ยังมีสัญญาและใจ คือ ในร่างกายที่ยังเป็นๆ ร่างกายตายแล้วใช้ไม่ได้ ในร่างกายที่ยังเป็นๆนี้จะมีโลก โลกทุกชนิด มีเหตุให้เกิดโลกทุกชนิด มีความดับโลกทุกชนิด ใน ภพ ๓๑ หรือโลก ๓๑ โลกนี้มีในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ เพราะคนนั้นมันคิด หรือมันรู้สึกร้อนเป็นไฟเพราะความทุกข์ มันเกิดเป็นสัตว์นรกแล้วในร่างกายนี้ ในร่างกายนี้มันเกิดมีสัตว์นรกแล้ว ไม่ได้อยู่ในนรกใต้บาดาลใต้โน่นหรอก อยู่ในคนนี่แหละ ในคนทุกๆคนนี้ พอมีความคิดผิดเป็นสัตว์ เป็นร้อน เป็นไฟก็เป็นสัตว์นรก เพราะมันโง่เหลือที่จะโง่ยังไงมันไม่รู้อะไรเสียเลยแล้วก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว ในร่างกายคนนี้มันเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว ไม่ต้องไปอยู่กลางทุ่งนา อยู่บนบ้านบนตึกบนอะไรนั่นแหละ มันเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว เมื่อจิตใจของมันมีความคิดปรุงแต่งเป็นอย่างสัตว์เดรัจฉาน เปรตที่มันเกิดเป็นเปรตเมื่อมันหิว หิวอย่างโง่เขลา หิวไม่มีที่สิ้นสุด หิวไม่มีประมาณ จิตเป็นอย่างนั้น มันเกิดเป็นเปรตแล้ว เปรตในร่างกายคนนี่แหละ ไม่ได้ไปอยู่ในโลกเปรตที่ไหน ในร่างกายคนที่ยังเป็นๆนี่แหละ แล้วเมื่อมันขี้ขลาด ขี้ขลาด กลัวขลาดอย่างไม่มีความหมาย มันเกิดเป็นอสูรกายแล้วในร่างกายที่มันยังเป็นๆนี่ มันก็เป็นอสูรกายแล้ว ยังเป็นมนุษย์ถูกทำไปตามแบบของมนุษย์อยู่แล้ว ยังยืนพื้นยืนโรงอยู่แล้วมันเกิดเป็นมนุษย์ ทีนี้ถ้ามันยินดีในกามเพราะมันทำอะไรไว้ มีโอกาสที่จะลุ่มหลงในกามารมณ์อย่างยิ่ง ก็มันเกิดเป็นเทวดาชั้นกามาวจร แล้ว จัดเป็น ๖ ลำดับตามความสมบูรณ์มาก สมบูรณ์น้อยแห่งกามารมณ์ เมื่อจิตมันมีกามารมณ์ถึงขนาดนั้น ก็เรียกว่าในสวรรค์ชั้นนั้น มีกามารมณ์ถึงขนาดนั้นก็เรียกว่าสวรรค์ชั้นนั้น ก็มีอยู่ ๖ ชั้นในพวกกามารมณ์
ทีนี้ เมื่อจิตนั้นเบื่อหน่ายต่อกามารมณ์แล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับกามารมณ์แล้วไปมีสมาธิบริสุทธิ์ มีสิ่งที่มีรูป มีที่กำหนดโดยรูปเป็นสิ่งที่เจริญสมาธิแล้ว มันก็เกิดเป็น พรหม คือ จิตที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ จิตสะอาดจากกามารมณ์ จัดได้เป็น ๑๖ ขั้นตอน ตามการปฏิบัติของ ฌาน หรือ สมาธิ หรือ สมาบัติ ที่เกี่ยวกับรูป มีถึง ๑๖ ขั้นตอน พรหมโลกชนิดรูปนี้มี ๑๖ ชั้น ๑๖ ชนิด ๑๖ โลก
ทีนี้ ถ้ามันสูงขึ้นไปอีก เป็นพรหมที่สูงขึ้นไปอีกไม่เกี่ยวกับรูป เขาเรียกว่า อรูป-อรูปพรหม นี้มีอยู่ ๔ ชั้น
ทั้ง ๓๑ ชนิด ๓๑ โลกนี้ มันอยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี่เอง นี่ขอให้ดูให้ดี เรามีทางที่จะเกิดโดยวิธี โอปปาติกะกำเนิด ได้ถึง ๓๐ อย่าง คือที่เป็น คน อยู่แล้วนั้นไม่พูดถึง ไอ้ ๓๑ อย่างนี่เอาออกสักอย่างคือที่เป็นคนอยู่แล้ว นี่เกิดเป็น อบาย ๔ เป็น กามาวจรสวรรค์ ๖ เป็น รูปพรหม ๑๖ เป็น อรูปพรหม ๔ ทั้ง ๓๐ อย่างนี้ เกิดในร่างกายนี้โดยวิธี โอปปาติกะกำเนิด แล้วแต่ว่าเราได้ปรุงแต่งจิตนั้นเป็นอย่างไร ในโอกาสไหน ทีนี้ ถ้าเกิดโดยวิธี โอปปาติกะกำเนิด เราสามารถจะเกิดเป็นอะไรก็ได้ อย่าไปเกิดเป็นชนิดนั้นเลย ไปเกิดในฝ่ายด้านที่เรียกว่า ทางฝ่ายที่เรียกว่า โลกุตระภูมิ ดีกว่า โลกุตระภูมิ นี่ไม่มีภพ ไม่จัดเป็นภพ ไม่จัดเป็นโลก แต่มีจิตใจที่สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ถึงขนาดที่เรียกว่า โสดาบัน บ้าง สกิทาคามี บ้าง อนาคามี บ้าง อรหันต์ บ้าง แล้วจะแยกเป็นคู่ๆ เป็น โสดาปัตติมรรค-โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค-สกทาคามิผล อนาคามีมรรค-อนาคามีผล อรหัตมรรค-อรหัตผล ก็ได้อย่างนี้มันก็กลายเป็น ๘
เพราะฉะนั้น ภูมิแห่งจิต อีก ๔ ชนิด เมื่อกล่าวโดยย่อ ๑๘ ชนิด เมื่อแยกออกไปให้พิสดารนั้นสามารถถึงได้ หรือมีการเกิดในภูมิชนิดนั้นได้ คือจิตเข้าถึงภูมิชนิดนั้น อุบัติในภูมิชนิดนั้นได้อีกโดย โอปปาติกะกำเนิด วิธีเกิดโดย โอปปาติกะกำเนิด นี้ จะทำให้เกิดใน ๓๑ ภพนั้นก็ได้ ให้ลุถึงอีก ๔ ภูมิซึ่งไม่ใช่ภพนี้อีกก็ได้ ซึ่งเรามีโอกาส มีสิทธิ มีความชอบธรรมที่จะเกิดโดย โอปปาติกะกำเนิด ตามเสด็จพระพุทธเจ้าซึ่งเกิดโดย โอปปาติกะกำเนิด แล้วก็เกิดไปในทางที่จะพ้นทุกข์ หรือเหนือโลก เหนือโลก เหนือโลก นี่คือเป็นสาวกที่แท้จริง เป็น อริยะสาวก ของพระพุทธเจ้า แล้วก็เลื่อนสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนถึงระดับ มรรค ๔ ผล ๔ นี้ มรรค ๔ ผล ๔ แล้วก็มาเรียก นิพพาน กันอีกหนึ่ง เหนือโลกเรียกว่า นิพพาน มันคือ กิเลสดับหมด นี่เรียกว่านิพพาน
นี่ยืนยันว่าเรานั้นเกิดโดยวิธี โอปปาติกะวิธี อย่างพระพุทธเจ้าก็ได้ แล้วก็มาศึกษากันเสียวันนี้ว่า ที่พระพุทธเจ้าประสูตินั้นไม่มีหรอก ไม่ใช่ประสูติจากท้องแม่ แต่ถ้าอุบัติขึ้นมาในโลกนี้โดยวิธี โอปปาติกะกำเนิด เกิดในจิตใจผลุงขึ้นมา แม้เราทั้งหลายนี้ก็ทำอย่างนั้นได้ ถ้าเราต้องการ ถ้าเราไม่โง่ ถ้าเราเสาะแสวงหาให้แท้จริง ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็มีวิธีที่จะเกิดอย่างนั้นได้ โดยวิธี โอปปาติกะกำเนิด เกิดเป็น พระโสดาบันผลุงขึ้นมาก็ได้ เมื่อประพฤติปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนแล้ว เกิดเป็น พระสกิทาคามี ผลุงขึ้นมาก็ได้ เกิดเป็น พระอนาคามี ผลุงขึ้นมาก็ได้ เกิดเป็น พระอรหันต์ ผลุงขึ้นมาก็ได้ ถ้าการปฏิบัตินั้นมันถูกต้องครบถ้วนแล้ว มันเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยของบุคคลผู้รู้ ผู้ตั้งใจปฏิบัติโดยแท้จริง และมันยิ่งกว่าเหลือวิสัยสำหรับคนโง่ คนไม่รู้ คนที่มันไม่รู้ว่าจะดำเนินไปอย่างไร มันก็กลายเป็นเรื่องเหลือวิสัย เพระฉะนั้น เรามาศึกษาเรื่องการประสูติ การตรัสรู้ การปรินิพพานของพระพุทธเจ้านี้ ศึกษาให้ดี ให้รู้ตามที่เป็นจริงว่ามันเป็นอย่างไร? มีความหมายในภาษาคนอย่างไร? มีความหมายในภาษาธรรมอย่างไร? แล้วความหมายในภาษาธรรมนั่นแหละ มันจะช่วยเราได้ คือ จะช่วยให้เรามีการเกิดชนิดนั้นได้ เกิดตามพระพุทธเจ้าไปโดยวิธี โอปปาติกะกำเนิด ได้เป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา เป็น พระอรหันต์ ตามไปได้ โดยประพฤติถูกต้องอย่างเดียวกัน ตาม มัคคะปฏิปทา ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เช่นที่เรียกว่า อริยะมรรคมีองค์ ๘ เป็นต้น นั่นแหละรอยทางที่จะตามไปได้ ปฏิบัติไปตามนั้นเถิด มันก็จะเกิดโดยวิธี โอปปาติกะ เป็น พระอริยบุคคล ขั้นใดขั้นหนึ่งได้ตามลำดับสืบต่อไป นี่คือความหมาย ๒ ความหมายที่มันต่างกันมาก อย่างหนึ่งเอาเนื้อหนัง ร่างกายเป็นหลักเรียก-ภาษาคน คนที่มีปัญญารู้จักแต่เนื้อหนัง ร่างกายก็พูดได้ แต่จะพูดภาษาธรรมไม่เป็น ทีนี้ภาษาธรรมก็เอาจิตใจภาวะ เอาจิตใจเป็นหลัก เป็นเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เรียกว่า-ภาษาธรรม
ดังนั้น วิสาขบูชานี้เราจะเรียกว่า วิสาขบูชา หรือ เหตุการณ์ในวิสาขบูชา ก็ได้ มันมีอยู่เป็นความหมาย ๒ ความหมายแล้ว คือ ความหมายในภาษาคน-เป็นเรื่องของพระสิทธัตถะ ความหมายในภาษาธรรม-เป็นเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจงรู้ความหมายของเหตุการณ์ในวันวิสาขบูชานี้ให้ดีๆ
ทีนี้ขอเติมอีกความหมายหนึ่งเป็นความหมายที่ ๓ นะ ความหมายที่ ๑ คือ ความหมายในภาษาคน ความหมายที่ ๒ คือ ความหมายในภาษาธรรม ความหมายที่ ๓ เป็น ความหมายทางประวัติศาสตร์ นี่ก็จะเป็นเรื่องของบุคคล หรือจะเป็นเรื่องของทำนองการเมืองก็ได้ แต่ไม่ถึงนั้นหรอก ไม่ใช่ทางการเมืองก็ได้ เราจะพูดว่า ฟังให้ดีๆนะเราจะพูดว่า การประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า ในวันวิสาขะนั้น มันเป็นวันชัยชนะ เป็นวันแห่งชัยชนะ เป็นวันแห่งการประสบชัยชนะของมนุษยชาติทั้งหลายที่กระทำโดยพระพุทธเจ้า เพราะว่าถ้าเราเมื่อมองทางร่างกายนะทางร่างกาย พระพุทธเจ้า ก็คือ พระสิทธัตถะ ซึ่งก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย แต่ว่าก่อนหน้านี้มนุษย์ทั้งหลายไม่เคยชนะกิเลส ไม่เคยชนะมาร ไม่เคยชนะศัตรูอันร้ายกาจ คือ กิเลสหรือมาร กระทั่งมาถึงวันหนึ่งคือพระพุทธเจ้านั้น ซึ่งโดยภาษาคนเราก็นับว่าเป็นบุคคลคนหนึ่งท่านชนะกิเลส ชนะมารหมดสิ้นเชิงเลย พลอยให้มนุษย์ธรรมชาติทั้งหลายเป็นผู้ชนะด้วย เพราะท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าชนะก็สำหรับมนุษย์ทุกคน พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นั้น ท่านตรัสรู้สำหรับมนุษย์ทุกคน เหมือนอย่างที่เราได้ยินได้ฟังในเรื่องในราวมาว่า ท่านตั้งใจจะโปรดสัตว์ทุกคน จะยกสัตว์ทั้งปวงขึ้นออกเสียจากกองทุกข์ เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีโดยหวังที่จะยกสัตว์ออกมาเสียจากกองทุกข์ แล้วท่านก็ทำจนสำเร็จ นี่เรียกว่า ชัยชนะของพระพุทธเจ้าในนามแห่งมนุษยชาติทั้งมวล ทั้งปวง ทั้งสิ้น มนุษยชาติจะมีเท่าไหร่มากมายเท่าไหร่ก็ตามใจเถอะ แต่ว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำ และท่านก็ชนะกิเลสและมารทั้งหมด ทั้งปวง ทั้งสิ้นได้ ในนามของมนุษยชาติ ดังนั้น เราจึงถือว่าวันวิสาขะนี้ คือ วันที่มนุษย์ได้ชนะกิเลสและมาร เป็นวันชัยชนะ ควรจะร่าเริงยินดี เพียงแต่ชนะกีฬานี้ก็โห่ร้องกันเต็มสนามบ้าๆบอๆ ไชโยโห่ร้องชนะกีฬา แต่ส่วนที่มนุษยชาติทั้งหลายชนะกิเลส พญามารได้นี้ มันไม่มีใครโห่ร้องยินดี เพราะมันไม่รู้เรื่อง มันโห่ร้องไม่เป็น เพราะมันจมอยู่ภายใต้อำนาจของพญามาร มันโห่ร้องไม่ได้ ทีนี้พุทธบริษัทเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ควรจะเห็นเหตุการณ์อันนี้ ควรจะชื่นชม ยินดี ร่าเริง ให้โอกาสแห่งวิสาขบูชานี้ ว่าเป็นวันชัยชนะแห่งมนุษยชาติโดยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าชนะในนามแห่งมนุษยชาติ เราควรจะโห่ร้องแสดงความยินดียิ่งกว่าไอ้พวกชนะกีฬาเป็นไหนๆ แต่ก็โห่ร้องยินดีไม่เป็นเพราะมันไม่รู้เรื่อง เอาแล้วไม่ต้องโห่ร้องด้วยเสียง ไม่ต้องกระโดดโลดเต้นด้วยแข้งด้วยขาอะไรหรอก ขอแต่ในจิตใจนั่น จงพอใจ จงมีความพอใจ ร่าเริง ยินดีว่า วันนี้ วันนี้ เป็นวันนั้น วันนั้น คือ วันที่พระพุทธเจ้าชนะกิเลสและมาร เราจงมาแสดงความปราโมทย์ยินดีในความสำเร็จอันนี้ของมนุษยชาติ แล้วก็ไม่ต้องแสดงความยินดีให้เป็นเรื่องบ้าๆบอๆไปทางไหนอีกหรอก แสดงความยินดี คือ รีบทำตามพระพุทธเจ้า รีบดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้า รีบทำให้เกิด การเกิดโอปปาติกะ เป็น อริยบุคคล หรือว่าเดินตาม อริยบุคคล ด้วยกันทุกคน ถ้าไม่ถึงขั้นที่จะเป็นเทวดา เป็นพระอรหันต์ ก็เป็นปุถุชนชั้นดี ตายจากปุถุชนชั้นเลวเสียที จงตายจากปุถุชนชั้นเลวเสียทีนะ เกิดโดย โอปปาติกะกำเนิด เป็นปุถุชนชั้นดีสิ เป็น กัลยาณะปุถุชน สิ เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ที่เรียกว่าเป็นการแสดงความยินดีต้อนรับชัยชนะของพระพุทธเจ้า ผู้ชนะมารในวันเช่นวันนี้
หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคน คงจะได้มองเห็นเรื่องนี้ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ และตั้งใจที่จะทำตามพระพุทธเจ้า คือ ปฏิบัติเพื่อชนะกิเลสและความทุกข์โดยแท้จริง โดยกฎแห่งธรรมะที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นเรื่องของขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะกลายเป็นไสยศาสตร์ไปเสีย ไสยศาสตร์เป็นที่พึ่งไม่ได้ มันเป็นเรื่องของความขลังความศักดิ์สิทธิ์ลมๆแล้งๆ มันต้องเป็นเรื่องของจริง เป็นธรรมะจริง ตามกฎของ อิทัปปัจจยตา เป็นกฎเด็ดขาด เฉียบขาดของธรรมชาติ หวังว่าจะได้อาศัยความรู้อันนี้ เรื่อง อิทัปปัจจยตา นี้ แล้วก็ประพฤติตนดำเนินตนให้ก้าวหน้าไปตามทางของพระบรมศาสดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งจิตอธิษฐานกันเป็นพิเศษในโอกาสเช่นนี้ เรียกว่า ทำจิตของตนให้ดำเนินตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อนุวัติ ต่อ พุทธภาวะ อนุวัติ แปลว่า เป็นไปตาม เดิมไปตาม พุทธภาวะ ภาวะแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้มี ธัมมานุวัตต์ ปฏิบัติธรรมะ เดินตามรอยที่จะลุถึง พุทธภาวะ ด้วยความตั้งจิตอธิษฐานอย่างมั่นคง ในโอกาสแห่งวันพิเศษ คือ วันวิสาขะปุณณมี เช่นวันนี้
เอาละ เป็นอันว่าอาตมาได้แสดงธรรม ลักษณะที่การชี้แจงให้เห็นแจ้งในเรื่องของวิสาขบูชา เป็นการเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะสมอย่างยิ่ง ในการที่จะประกอบพิธีวิสาขบูชา ถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจฟังมาตั้งแต่ต้นตามที่อาตมากล่าวมา ก็เชื่อว่าจิตใจของท่านก็จะได้เจริญงอกงามเปลี่ยนไปตามความจริงของเรื่อง ตามเหตุผลของเรื่อง มีจิตใจพร้อมที่จะทำวิสาขบูชา และยิ่งกว่านั้นมีจิตใจพร้อมที่จะเกิดโดยวิธีโอปปาติกะ เป็นจิตเป็นวิญญาณที่สูงยิ่งๆขึ้นไปตามรอยพระพุทธองค์ ขอให้ความประสงค์อันนี้เป็นการกระทำที่แท้จริง อย่าให้เป็นแต่เพียงความประสงค์นิ่งๆอยู่ในใจเลย
ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มี ด้วยประการฉะนี้