แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปัญหาในโลกปัจจุบันนี้มันเกิดมาจากการที่มนุษย์มันไม่เป็นมนุษย์ ปัญหามันเกิดมาจากการที่มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ ฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหาในโลกปัจจุบันนี้ก็ต้องทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ ต้องช่วยกันทำทุกอย่างให้มนุษย์เป็นมนุษย์มากขึ้น องค์การสหประชาชาติที่ว่าจะจัดการโลก เป็นผู้จัดการโลกก็ไม่ ไม่นึกถึงข้อนี้ ไม่นึกถึงข้อที่ว่าเดี๋ยวนี้มนุษย์มันไม่เป็นมนุษย์กันมากขึ้น มันเป็นคนของกิเลสกันมากเกินไป เขาไม่เป็นมนุษย์ของธรรมะกันเสียเลย เขาเป็นคนของกิเลสกันมากเกินไป เขาก็ใช้กิเลสของคนนี่ประหัตประหารกัน สติปัญญาเขามีเท่าไรก็มอบให้แก่กิเลสหมด กิเลสก็ใช้สติปัญญามากมายเหล่านั้นในทางที่จะเอาเปรียบกันประหัตประหารกัน ก็มีปัญหาใหญ่หลวง เช่น ปัญหาสงครามนี่ปัญหาที่รอกันอยู่ว่าเมื่อไรนี่มันจะระเบิดออกมา เมื่อไรสงครามนิวเคลียร์มันจะระเบิดออกมา สงครามชนิดนี้มันก็มาจากความโง่หรือกิเลสตัณหาของคนซึ่งไม่มีธรรมะ นี่เรียกว่ามันเป็นปัญหาเหนือปัญหาหรือปัญหายอดสุดของปัญหามนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ ทีนี้จะพูดอีกแบบหนึ่ง มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ก็คือมนุษย์มันไม่มีศีลธรรม ถ้ามันมีศีลธรรมคนก็เป็นมนุษย์กันหมด พอไม่มีศีลธรรมคนก็เป็นคนมากขึ้น เป็นคนที่มีกิเลสมากขึ้น ไม่เป็นมนุษย์เลย นี่เพราะไม่เป็นมนุษย์มันจึงสร้างปัญหาโลก พร้อมที่จะเบียดเบียน พร้อมที่จะเอาเปรียบ พร้อมที่จะทำลายผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตน นี่เรียกว่าความไม่มีศีลธรรม มันต้องแก้ด้วยความมีศีลธรรมกลับมา ศีลธรรมกลับมา แต่ผู้จัดการโลกเขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เขาพูดแต่จะแก้ปัญหาด้วยการเมือง ซึ่งเป็นที่ออแห่งนักการเมืองรวมอยู่ที่นั่น แล้วก็จะแก้ปัญหาด้วยเศรษฐกิจ มันก็ส่งเสริมแต่เรื่องเศรษฐกิจ ส่งเสริมแต่เรื่องเศรษฐกิจให้ได้เหยื่อของกิเลสตัณหามาก มากขึ้นในโลก เศรษฐกิจยิ่งเจริญเท่าไรกิเลสตัณหาของคนในโลกยิ่งได้เหยื่อมากขึ้นเท่านั้น หรือว่าเขาจะแก้ปัญหาด้วยปืน ด้วยอาวุธ ด้วยการฆ่ากันมันก็ไม่มีทาง โลกนี้มันไม่มีทางที่จะรอดได้โดยไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องกลับมา ต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องกลับมา มีศีลธรรมกลับมา แล้วปัญหามันก็จะหมดไปเอง เพราะว่าปัญหามันเกิดมาจากการที่ไม่มีศีลธรรม พอศีลธรรมกลับมาปัญหามันก็หมดเอง มันจะปรับปรุงตัวกันเอง หมดไปได้เอง เดี๋ยวนี้พวกหนึ่งเขาจะแก้ปัญหาของโลกด้วยลัทธินายทุน พวกหนึ่งเขาจะแก้ปัญหาของโลกด้วยลัทธิกรรมกร ชนกรรมาชีพ อาตมาไม่เชื่อว่าทั้งสองอย่างนี้หรืออย่างไหนก็ตามมันจะแก้ปัญหาได้ นายทุนก็เป็นนายทุนเพราะกิเลส กรรมกรผู้โหดร้ายก็เป็นกรรมกรเพราะกิเลส นายทุนก็แก้ปัญหาของโลกไม่ได้ กรรมกรก็แก้ปัญหาของโลกไม่ได้ ต้องศีลธรรมกลับมา พอศีลธรรมกลับมานายทุนตายหมด กรรมกรอันโหดร้ายก็ตายหมด มีแต่มนุษย์ที่สุภาพ ราบ เรียบร้อยทั้งนั้น นี่ศีลธรรมกลับมา มันก็แก้ปัญหาในตัวของมันเอง เพราะมันยกเลิกคู่สงครามออกไปหมดสิ้นไม่มีนายทุน ไม่มีกรรมกร ชนกรรมาชีพ นี่คือธรรมะ ธรรมะประเสริฐอย่างนี้ สำคัญอย่างนี้ จะต้องกลับมาทำคนให้มันเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์มีศีลธรรม ดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย ส่วนตัวก็ไม่มีปัญหาเพราะว่ามันควบคุมกิเลสไว้ได้ ส่วนสังคมก็ไม่มีปัญหาเพราะมันไม่มีความเห็นแก่ตัวที่จะไปเอาเปรียบผู้อื่น นี่เรามันเกิดมาโชคดี ในขณะที่มนุษย์เขาหลับตาแก้ปัญหา เอาตัวเหตุของปัญหามาแก้ปัญหามันจะโง่เท่าไร แล้วปัญหามันเกิดมาจากเศรษฐกิจ มันจะเอาเศรษฐกิจมาแก้ปัญหามันก็ไม่มีทาง ปัญหามันเกิดจากความไม่มีศีลธรรม เศรษฐกิจเกิดขึ้นเป็นปัญหาเพราะความไม่มีศีลธรรมของนักเศรษฐกิจหรือของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เขาโกง ปัญหาก็เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ เราต้องเอาศีลธรรมมาแก้ความคดโกง ก็ไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่มีปัญหาทุกทางแหละ ทางการปกครองก็ไม่มี ทางการเมืองก็ไม่มีถ้าคนมันมีศีลธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้วมันก็ตรงกันข้าม เป็นปัญหาไปหมดเลย ช่วยกันทำให้ธรรมะกลับมา คนก็จะเป็นมนุษย์กันหมด แล้วในที่สุดปัญหาก็จะหมด เหลือแต่ศาสนาที่ถูกต้องได้ ถ้ามาถึงยุคนี้แล้วมีศาสนาเดียวได้ แต่ถ้ายังมีคนโง่ คนงมงาย คนระดับต่ำอยู่เพียงไรและยังต้องมีหลายศาสนาเพื่อจะให้คนมันมีศาสนาดีที่สุดเท่าที่มันจะมีได้ตามแบบของตนๆ นั่นแหละคือความมีศีลธรรมทีละน้อย มีศีลธรรมทีละน้อย ก้าวหน้าทางศีลธรรมมากขึ้นๆจนกระทั่งมีศีลธรรมสมบูรณ์ โลกนี้มันก็จะมีความสงบสุขหรือสันติภาพ ทีนี้เขาไม่มองเห็นความจริงข้อนี้ เขาไม่มองเห็นความถูกต้องของความถูกต้องของธรรมชาติ คือความถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา เขามีแต่ความถูกต้องของกิเลสเรื่อยไป กิเลสว่าถูกต้องอย่างไรเขาก็จะเอาอย่างนั้น ความถูกต้องของธรรมะนั่นมันไม่มี เดี๋ยวนี้ก็มีนักปรัชญาเต็มไปทั้งโลก มัววินิจฉัยคำว่าถูกต้องคืออะไร ถูกต้องคืออะไรเขาก็ยังไม่พบความถูกต้อง เพราะว่าแยกความหมายมากออกไปจนไม่รู้ว่าจะถูกต้องกันที่ตรงไหน เป็นนักปราชญ์อย่างยิ่งที่มีความไม่รู้ว่าถูกต้องอย่างไร เอาตามหลักพุทธศาสนาก็แล้วกันความถูกต้องนั้นคือทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าถูกต้องๆนั้นน่ะคือทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ จะได้รับแต่ผู้นั้นผู้เดียวก็ไม่ถูกต้อง ต้องทุกฝ่ายทุกคนได้รับประโยชน์ การกระทำนั้นถูกต้อง หลักการนั้นถูกต้อง วิชาการนั้นถูกต้อง ถ้าทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ เดี๋ยวนี้ไอ้ความถูกต้องของมนุษย์ในโลกนี้มันถูกต้องคือฉันได้ประโยชน์ ฉันได้ครองโลก ฉันเอาประโยชน์มาเป็นของฉันได้ทั้งโลกนี่คือความถูกต้องของฉัน แล้วพวกนักศึกษา นักปราชญ์ก็สนับสนุน รัฐบาลของตัว ประเทศชาติของตัวในลักษณะอย่างนี้ว่าประเทศเราได้ครองโลกนั่นแหละคือความถูกต้อง โลกนี้เลยไม่มีวันที่จะพบกันกับสันติภาพ ถูกต้องนั้นมันต้องมีผลแสดงออกมาว่าทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ ถ้ามองดูให้ๆ ให้ใกล้เข้ามาว่าถูกต้องในการปฏิบัตินั้นน่ะมันก็เรียกว่าถูกต้องกันทั้งนั้นแหละ ถูกต้องสำหรับจะไปเป็นอันธพาลก็ได้ ถูกต้องสำหรับจะเป็นบัณฑิตก็ได้ ถูกต้องสำหรับจะมีความทุกข์ก็ได้ ถูกต้องสำหรับจะไม่มีความทุกข์ก็ได้ มันต้องถูกต้องเพื่อจะดับทุกข์ เดี๋ยวนี้เราไม่มีความถูกต้องในการศึกษาหรือแสวงหาสติปัญญา เราไม่มีความถูกต้องในการแสวงหาสติปัญญาเราก็ไม่มีสติปัญญาที่ถูกต้อง เรามีแต่ปัญญาเฉโก ปัญญาคดโกง ปัญญาเอาเปรียบคนอื่น เราไม่มีความถูกต้องในการแสวงหาปัญญา ความถูกต้องเพื่อได้ปัญญานี้มัน มันคนละชนิดกับความถูกต้องเพื่อได้ประโยชน์ของคนเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวเขาก็มีปัญญามากนะ แล้วเขาก็ถือว่าเขาได้ประโยชน์ตามที่เขาต้องการนั้นคือความถูกต้อง แล้วเขาก็มีความถูกต้องไปตามแบบของเขา จึงขอสรุปสั้นๆว่าถูกต้องสำหรับจะได้สติปัญญานั้นคนละอย่าง ต่างจากความถูกต้องสำหรับจะได้เงินได้ประโยชน์ได้วัตถุ ถูกต้องสำหรับจะได้ปัญญานี่คนละอย่างกับความถูกต้องสำหรับจะได้วัตถุเงินทอง อำนาจวาสนา ดังนั้นช่วยระวังความถูกต้องของตนๆให้ดีๆด้วยกันจงทุกคน ให้ความถูกต้องนั้นเป็นความถูกต้องจริงๆ ให้ได้มาเพื่อความถูกต้องที่จะถูกต้องสำหรับทุกสิ่ง
เอ้า, เวลาก็ล่วงไปมากแล้วอยากจะพูดให้จบข้อนี้แหละ เราเกิดมาพอดีกับได้เห็นสิ่งที่น่า น่าเวทนาสงสาร เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทกำลังกระทำต่อศาสนาของตนเองราวกับว่าพุทธศาสนานี้เป็นไสยศาสตร์ พุทธบริษัทกำลังกระทำต่อพุทธศาสนาอย่างกับว่าพุทธศาสนานี้เป็นไสยศาสตร์ อะไรเป็นไสยศาสตร์อะไรเป็นพุทธศาสตร์รู้จักแยกกันเสียให้ชัด ถ้าเป็นพุทธศาสตร์คือมีสติปัญญาเห็นถูกต้องตามที่เป็นจริง ตามกฎของอิทัปปัจจยตาถือหลักว่าต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องเพื่อสิ่งนั้นจึงจะได้สิ่งนั้นมา นี่เป็นพุทธศาสตร์ ยึดหลักอิทัปปัจจยตาเป็นหัวใจ ทีนี้ไสยศาสตร์น่ะเขาเอาสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไร ผีสางเทวดาพระเจ้าอะไรที่ไหนก็ไม่รู้ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นอะไรนั่นจะเอามาเป็นที่พึ่งเอามาเป็นหลัก แล้วก็หลับตาๆตรงคำว่า ไสยะ ไสยะ นี่แปลว่าหลับ พุทธะ พุทธะ แปลว่าตื่น เป็น พุทธะ ต้องตื่น เป็น ไสยะ ก็ต้องหลับ นี่หลับตาไม่รู้ว่าอะไรแล้วก็จะทำไปอย่างนั้นมันก็เป็นไสยศาสตร์คือศาสตร์สำหรับคนหลับ เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทกำลังทำแก่พุทธศาสนาของตน ราวกับว่าพุทธศาสนาเป็นไสยศาสตร์ คือมีการบวงสรวง บวงสรวงอ้อนวอน หลับหูหลับตา พิธีรีตองอย่างแบบไสยศาสตร์ต่อพุทธศาสนา แล้วพระตัวแดงๆนั่นแหละเป็นผู้ทำ พระตัวเหลืองๆแดงๆแหละเป็นผู้ประกอบพิธีรีตองเหล่านี้ ก็ถือว่าพุทธบริษัทนั่นเองกำลังกระทำพุทธศาสนาให้เป็นไสยศาสตร์ นี่เราควรจะทำไปในทางที่ว่าลืมหูลืมตา รู้จักประจักษ์ตามที่เป็นจริงของธรรมชาติ กฎธรรมชาติอันเด็ดขาดมีอยู่อย่างไรก็รู้ชัดตามที่เป็นจริง แล้วก็ทำให้ถูกต้องตามกฎนั้น อย่างเช่นว่าทุบลงไปมันก็ดังปังอย่างนี้มันเป็นเรื่องของธรรมชาติอย่างนี้ ไม่ต้องมีใครมาช่วยทำให้ดังปังที่ไหน หลักในพระบาลีที่สำคัญเกี่ยวกับข้อนี้ว่าพุทธบริษัทที่แท้จริงนั้นจะไม่ถือว่าสุขทุกข์นี้มาแต่อิศวร ไม่ถือว่าสุขทุกข์นี้มาจากอิศวร อิศวรคือพระเจ้า อิศวร อิศฺวร นั่นคือพระเจ้า พวกที่ถือว่าสุขทุกข์นี้มาจากอิศวรนั่นน่ะคือไสยศาสตร์ ถ้าถือว่าสุขทุกข์นี้ขึ้นอยู่กับการประพฤติกระทำถูกหรือไม่ถูกตามกฎอิทัปปัจจยตา คือสุขทุกข์นี้ขึ้นอยู่กับกฎอิทัปปัจจยตานี่เป็นพุทธศาสตร์ ถ้าสุขทุกข์นี้มาจากอิศวร บาลีใช้คำว่า อิศฺวร อิศฺร อิศฺวร ว่าในสันสกฤตนั่นอิศวรคำนี้แปลว่าพระเจ้า นั้นไม่ใช่พุทธศาสตร์ คือเป็นไสยศาสตร์ มีเหตุปัจจัยอยู่ข้างนอกเพราะหวังพึ่งผู้อื่นซึ่งมิใช่ตนเอง ระวังให้ดีถ้าไปถือหลักอย่างนั้นก็ทำพุทธศาสนาให้หมดความเป็นพุทธศาสนากลายเป็นไสยศาสตร์ไป เป็นข้อแรกที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสุขทุกข์นี้มิได้มาจากอิศวร ทีนี้ข้อถัดมาท่านตรัสว่าสุขทุกข์นี้มิใช่มาจากกรรมเก่า กรรมเก่า กรรมในชาติก่อน เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทส่วนมากทีเดียวถือว่าสุขทุกข์นี้เป็นผลกรรมในชาติก่อน แต่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ชัดเผงเลยว่าไม่ใช่ผลของกรรมเก่า สุขทุกข์นี้มันเกิดมาจากการประพฤติผิดหรือถูกตามกฎของอิทัปปัจจยตา ไม่ใช่เรื่องของกรรมเก่า เดี๋ยวนี้เราทำอย่างนี้โง่เมื่อมีผัสสะมันก็เกิดทุกข์ขึ้นมา แล้วว่าถ้าทำถูกเมื่อมีผัสสะตามกฎนี้ก็ไม่มีความทุกข์เลย จึงต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา จึงจะเกิดความสุขและไม่เกิดความทุกข์ สุขหรือทุกข์จะเกิดหรือไม่เกิดก็เพราะการกระทำผิดหรือถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา นี่จะท้าเลยว่าแม้ว่ากรรมเก่าจะมีมา กรรมเก่าจะมีมาจะส่งผลหรือพระเจ้าจะส่ง ลงโทษมา เราจะต้องรับด้วยการประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา สิ่งเหล่านั้นจะเป็นหมัน ผลกรรมเก่าจะเป็นหมันถ้าเราประพฤติที่นี่เดี๋ยวนี้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา หรือว่าผีสางเทวดาโชคชะตา ดวงดาวอะไรจะลงโทษลงมา เราต้อนรับด้วยกฎของอิทัปปัจจยตาให้ถูกต้องสิ่งเหล่านั้นจะเป็นหมัน จะหงายหลังกลับไป ไม่มีอะไรแก่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา พุทธบริษัทอย่าไปงมงายว่าสุขทุกข์มาจากกรรมเก่า สุขทุกข์มันมาจากการที่ทำผิดหรือทำถูกตามกฎของอิทัปปัจจยตา ถ้ามันจะมีมาอย่างไร ดีหรือร้ายอย่างไรเราต้อนรับด้วยการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา แล้วมันก็จะไม่มีความทุกข์เลย ทีนี้ข้อที่ ๓ พระองค์ตรัสว่าสิ่งทั้งหลายมีเหตุเป็นไปตามเหตุ อย่าถือว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีเหตุหรือมันเป็นไปเองโดยไม่ต้องมีเหตุ ทีนี้คนโง่อีกพวกหนึ่งเขาถือว่าสิ่งทั้งหลายเป็นไปเอง เป็นไปตามเรื่อง ไม่ ไม่ได้มีเหตุมีปัจจัยอะไร นี้มันผิดจากหลักอิทัปปัจจยตาที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันมีเหตุ มันจะต้องเป็นไปตามเหตุ เรายอมรับว่ามีเหตุ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้ตรงต่อเหตุของสิ่งที่เราพึงประสงค์คือฝ่ายดี เราอย่าไปประพฤติกระทำให้ตรงต่อเหตุของฝ่ายทุกข์ โทษ หรือฝ่ายความชั่ว นี่พุทธศาสนามีหลักอย่างนี้ว่าทุกสิ่งมีเหตุ ต้องประพฤติให้ถูกต้องตามเหตุ แล้วสุขทุกข์นั้นมิได้มาจากไอ้กรรมเก่า เดี๋ยวนี้จะเรา เราจะมีสุขทุกข์อย่างไรอย่าไปถือว่ามันมาจากกรรมเก่า มันอยู่ที่เราทำผิดหรือทำถูกต่อกฎอิทัปปัจจยตาเมื่อมีอะไรมาสัมผัส ถ้าผลของกรรมเก่ามาสัมผัส เอ้า, มาสัมผัส เราต้อนรับอย่างถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตามันก็เป็นหมันเป็นโมฆะไปทันทีอย่างนี้ แล้วเราไม่ถือว่ามีอิศวร อิศวรซึ่งบันดาลอะไรได้ตามชอบใจ สุขทุกข์มิได้มาจากอิศวร ไม่มีอิศวรชนิดที่บันดาลบังคับอะไรใครได้ตามชอบใจ ไม่มีในพุทธศาสนา มีแต่ว่าจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ดังนั้นกฎของอิทัปปัจจยตานั่นแหละเป็นอิศวรเสียเอง อิ อิทัปปัจจยตานั่นคือพระเป็นเจ้าอิศวรในพุทธศาสนา เราจึงถือว่ากฎอิทัปปัจจยตาคือพระเจ้าในพุทธศาสนา เป็นอิศวรในพุทธศาสนา ถ้าถืออิศวรอย่างนี้แล้วก็ได้ ถ้าถืออิศวรอย่างที่ชอบกินกุ้งแล้วก็ใช้ไม่ได้ ฉะนั้นต้องเป็นกฎที่เด็ดขาดเฉียบขาดตามกฎของธรรมชาติ เหตุผล เรียกสั้นๆว่ากฎอิทัปปัจจยตา เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทเพิกเฉยละเลยต่อกฎอิทัปปัจจยตา เพราะว่าไม่รู้ก็ได้ เพราะว่ารู้แล้วแกล้งทำไม่รู้เสียก็ได้ รู้ก็เพิกเฉยเสียก็ได้ อาตมาพูดให้ฟังก็ไม่สนใจก็ได้เรื่องกฎอิทัปปัจจยตา ก็เลยไม่รู้เรื่องกฎอิทัปปัจจยตา มันก็ไม่มีหลัก ไม่มีหลักไม่มีหัวใจหรือที่สำคัญสำหรับเป็นที่ตั้ง ก็เลยไม่มีพระเจ้าอิทัปปัจจยตามาช่วยคุ้มครองก็ต้องเป็นไปตามกิเลส เป็นอิทัปปัจจยตาฝ่ายกิเลสไม่ใช่อิทัปปัจจยตาฝ่ายโพธิ นั่นแหละพระเจ้าลงโทษให้แล้ว เพราะมันเป็นอิทัปปัจจยตาฝ่ายกิเลสมันก็ต้องได้รับทุกข์รับโทษ พระเจ้าลงโทษให้แล้วเพราะไม่ประพฤติให้ตรงตามกฏของอิทัปปัจจยตา
นี่ระวังให้ดีพุทธบริษัท อย่าทำพุทธศาสนาให้เป็นไสยศาสตร์เสียเลย ถ้าทำก็กลายเป็นคนปัญญาอ่อน ไปจัดไว้พวกหนึ่งถือไสยศาสตร์ต่อไปเถิด สร้างศาลพระภูมิให้รอบรั้วบ้านนั่นจะคุ้มครองได้หรือไม่ไปลองดู ไปลองดูก็แล้วกัน นี่ว่าเรากำลังคิดว่าจะพึ่งพระเครื่อง พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิธีรีตองนะ อาตมาก็ขอท้าทายว่าเอ้า, สร้างพระเครื่องให้เต็มบ้านเต็มเมือง ไปตรงไหนก็เหยียบแต่พระเครื่อง มันเต็มไปทุกหนทุกแห่งจะพ้นทุกข์ไหม จะปลอดภัยไหม สร้างพระเครื่องให้เต็มโลกนี่โลกจะมีสันติภาพไหม นี่อย่าทำพุทธศาสนาให้เป็นไสยศาสตร์เสียเลย เดี๋ยวนี้ก็สร้างพระเครื่อง สร้างพระเครื่องรางกันมาแยะแล้วแต่ยังไม่เห็นเงาของสันติภาพ เห็นแต่เงาของความงมงาย เดี๋ยวนี้ก็สร้างพระเครื่อง เครื่องรางของขลังของศักดิ์สิทธิ์อะไรเยอะแยะแล้ว แต่ไม่เห็นเงาของสันติภาพ เห็นแต่เงาของความงมงาย นี่มันจะไปถึงไหนก็ขอฝากไว้ดูกันต่อไป นี่ว่าอย่าทำพุทธศาสตร์ให้เป็นไสยศาสตร์เสียเลย เดี๋ยวนี้เป็นพุทธบริษัทกันแต่สำมะโนครัว เขาลงในสำมะโนครัวว่าเป็นพุทธ พ่อแม่เป็นพุทธ เกิดมาเป็นพุทธ มันเป็นพุทธ แต่สำมะโนครัวในใจไม่ ไม่เป็น ไม่มีศาสนาอะไรเลย คนว่างศาสนาอย่างนี้แหละที่ศาสนาอื่นเขามาชิงเอาไปได้ อย่าโกรธเขาเลยเพราะคนๆนี้ เด็กคนนี้มันว่างศาสนา หัวใจมันไม่มีศาสนา แล้วศาสนาอื่นเขาเอาขนมมาล่อนิดเดียวก็ไปแล้ว เขาก็เอาไปได้แหละ ฉะนั้นอย่าไปโกรธเขาเลยเพราะว่าเรามันบกพร่องเอง เพราะว่าเรามันไม่ได้ทำให้เด็กๆของเรามีศาสนาเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง เป็นพุทธบริษัทแต่สำมะโนครัว โดยเนื้อแท้ก็คนว่างศาสนา มันก็ไปแหละ มันก็ไปตามกิเลสแหละ ถ้าเขาเอาเหยื่อของกิเลสมาล่อมันก็ไปหาลัทธินั้นน่ะ หาลัทธิที่จะให้ได้อะไรตามไอ้ความต้องการของกิเลส ถึงเวลาแล้วถึงสมัยแล้วที่ควรจะจัดการเรื่องนี้กันเสียที ศึกษาธรรมะ รู้จักธรรมะ มีธรรมะกันเสียที อาตมาใช้คำพูดจำง่ายขึ้นมาใหม่ๆคำหนึ่งให้จำกันไว้ง่ายๆว่าธรรมประยุกต์ พุทธธรรมประยุกต์ ประยุกต์พุทธธรรมกันเสียที คำว่าประยุกต์ ประยุกต์นี้คือทำให้ใช้ประโยชน์ได้ ถ้ามันยังใช้ประโยชน์ไม่ได้มันก็ยังไม่ประยุกต์ พุทธศาสนายังไม่ประยุกต์เพราะว่ายังใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ เพราะเพราะว่าสมาชิกมันยังโง่ พุทธบริษัทไม่รู้จักใช้พุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์นั่นแหละคือยังไม่ประยุกต์ เราทำนาได้ข้าวเปลือกมา กินไม่ได้นะข้าวเปลือก ต้องประยุกต์ข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร เอ้า, เป็นข้าวสารแล้วก็ยังกินไม่ได้ มันก็ต้องประยุกต์ข้าวสารให้เป็นข้าวสุก กินได้หรือไม่ได้ นี่มันต้องประยุกต์จนมันสำเร็จประโยชน์ตามที่ควรจะปรารถนา เดี๋ยวนี้ยังมี เราน่ะยังมีพุทธศาสนาเหมือนกับข้าวเปลือกกินไม่ได้ บางคนดีหน่อยก็ยังมีพุทธศาสนาเหมือนข้าวสารซึ่งกินไม่ได้ ขืนกินเข้าไปก็ตายเหมือนกันแหละ ลองกินข้าวสารกันไปดูสิ ต้องทำให้ข้าวสารนี่ประยุกต์ให้เป็นข้าวสุกแล้วเราก็กินได้ การที่ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นประโยชน์แก่เราเต็มตามความหมายนั้นเรียกว่า พุทธธรรมประยุกต์ ถึงสมัยแล้ว ถึงเวลาแล้วที่เราจะประยุกต์พุทธธรรมให้สำเร็จประโยชน์แก่พุทธบริษัท ความเป็นพุทธบริษัทของเราก็จะได้ไม่เป็นหมัน
อาตมาขอชักชวนท่านทั้งหลายทุกคนที่นี่ว่าถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะประยุกต์พุทธธรรมคือพระพุทธศาสนาให้สำเร็จประโยชน์แก่จิตใจของเราเต็มตามความหมาย อย่าได้เป็นพุทธบริษัทแต่ตามสำมะโนครัวอยู่เลย มันถึงเวลาแล้วที่จะเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงกันเสียที เดี๋ยวนี้นะพระพุทธ พระเจ้า พระเป็นเจ้าจริงมี ที่จริงมีอยู่คือกฎอิทัปปัจจยตาก็ไม่รู้จัก แต่ไปรู้จักพระอิศวรบนสวรรค์นู่น หลายคนยังบูชาพระเจ้า พระอิศวร พระนารายณ์อะไรบนสวรรค์อยู่ อาตมาบอกว่าอย่าเลย พระพุทธเจ้าบนสวรรค์ก็ ก็เก็บไว้บนสวรรค์เถิด มีพระพุทธเจ้าในหัวใจของเราดีกว่า มีพระพุทธเจ้าในหัวใจของเราดีกว่า พระพุทธเจ้าอยู่บนสวรรค์ก็ให้ท่านอยู่ไปให้ตามสบายของท่านเถิด เรามีพระเจ้าในหัวใจของเราคือมีความรู้ มีการปฏิบัติกฎอิทัปปัจจยตาโดยถูกต้องในเนื้อในตัวของเรา ในใจของเรา อย่างนี้เรียกว่าเรามีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเรา นี้ดูว่าจะไม่รู้จักกันเสียทั้งสองพระเจ้านั่น เราไม่รู้จักทั้งสองพระเจ้า พระเจ้าอยู่บนสวรรค์ก็ไม่รู้จัก แล้วมันก็ยากที่จะรู้จัก พระเจ้าจะมีในหัวใจได้ก็ไม่รู้จัก ก็ไม่มีทั้งพระเจ้าบนสวรรค์ ไม่มีทั้งพระเจ้าในหัวใจของเราเอง นี่เรารู้จักพระเจ้าที่แท้จริงคือพระเจ้าในหัวใจของเราเอง โดยรู้ว่ากฎอันเฉียบขาดของอิทัปปัจจยตานั้นมีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ในทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล และในหัวใจของเรามันก็มีกฎนั้นบังคับควบคุมอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัวของเรา ถูกบังคับควบคุมอยู่โดยพระเจ้าองค์นี้ เราจงรู้จักพระเจ้าองค์นี้ที่มีอยู่ในตัวเราในหัวใจของเรา แล้วสนองพระประสงค์ของพระเจ้านั้นให้ถูกต้อง แล้วเราก็จะได้รับผลเต็มที่ รู้จักพระเจ้าที่แท้จริงในหัวใจของเราอย่างนี้เราจะมีที่พึ่ง กฎอิทัปปัจจยตาแสดงตัวออกมาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นพระธรรมก็ได้ เป็นพระสงฆ์ก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กฎอิทัปปัจจยตา ท่านดำรงตนอยู่ตามกฎอิทัปปัจจยตาท่านเคารพกฎอิทัปปัจจยตา กฎอิทัปปัจจยตาในฐานะเป็นพระพุทธเจ้า พระธรรมมันก็คือตัวกฎอิทัปปัจจยตาและทุกสิ่งที่เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา แล้วพระสงฆ์ก็คือผู้ที่เข้าใจกฎอิทัปปัจจยตา ดำเนินตนอยู่ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ก้าวหน้าๆไปตามลำดับ เรามีกฎอิทัปปัจจยตาอยู่ในใจก็เท่ากับว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในใจ ชีวิตนี้ดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา เราก็หมดปัญหา ความทุกข์ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้เพราะเรามีกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายที่จะดับทุกข์อยู่ตลอดเวลา เราต้องมีให้ถูกต้องตามที่มี อย่ามีตัวกู ตัวกู ตัวกูอยู่ในจิตใจ ท่ามกลางจิตใจอย่ามีตัวกู ตัวกู แต่ให้มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจคือพระเจ้าอิทัปปัจจยตา ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี ขอแทรกตรงนี้หน่อยเรื่องตัวกู ตัวกูนี่ สำนักวิปัสสนาสอนกรรมฐานเรื่องหนอ หนอ หนอนั่นน่ะเป็นหนอตัวกูทั้งนั้นแหละ หนอตัวกูทั้งนั้นแหละ ทุกสำนักสังเกตดูฟังดู หนอตัวกูทั้งนั้น ตัวกูเดิน ตัวกูย่าง ตัวกูเหยียบ ตัวกูนั่ง ตัวกูนอน ตัวกูกิน ตัวกูเคี้ยว หนอ หนอ หนอ หนอ หนอของตัวกูทั้งนั้น เพราะว่าอาจารย์ไม่ได้บอกให้ดีมาเสียตั้งแต่ต้น บอกแต่ว่าหนอ หนอ หนอ หนอ แล้วลูกศิษย์มันก็คิดว่ากู กูหนอ กูนั่นนี่อยู่ นั่งอยู่หนอ กูยกย่างหนอ กูเดินหนอ กูหนอ หนอของกูทั้งนั้น นี่คือฝัง ปลูกฝังให้ตัวตนให้หนักลงไปกว่าเดิม เขามาจากบ้านมีตัวกูเท่าไรก็ตาม แต่พอมาทำกรรมฐานหนอ หนอ หนอแบบนี้ตัวกูเพิ่มขึ้นกว่าเดิม แรงขึ้นกว่าเดิม มากขึ้นกว่าเดิม เพราะมันหนอ หนอของตัวกู ทีนี้มาสอนกันใหม่เสียให้ถูกต้องว่าหนอ หนอนั่นคือสติปัญญาบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ตัวกู ไม่มีตัวกู สักว่าการเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเท่านั้นหนอ สักว่าเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเท่านั้นหนอ เมื่อเดิน ตัวอิริยาบถเดิน ที่เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเท่านั้นหนอไม่ใช่กูเดินหนอ ถ้าไม่รู้เรื่องนี้มันก็รู้สึกเป็นกูเดินหนอมันก็เพิ่มตัวกู ทีนี้ละลายไอ้ตัวกูให้หมดไปว่าโอ้, นี่มันเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดอิริยาบถเดินขึ้นมาแล้วตามกฎของอิทัปปัจจยตานั้น เราก็เห็นแจ้งว่าเป็นอิริยาบถเดินตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ เดินตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ แล้วก็เดินหนอ เดินเท่านั้นหนอ เดินหนอ เดินเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกู หนอนี่อะไรกี่ๆ กี่ระยะๆก็ตามใจขอให้หนอด้วยสติปัญญาว่าอิริยาบถที่มันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเท่านั้นหนอ ไม่ใช่กูหนอ ไม่ใช่กูเดินหนอ กูนั่งหนอ กูยกหนอ กูย่างหนอ กูเหยียบหนอ กูกินหนอ กูใส่ปากหนอ กูเคี้ยวหนอ กูกลืนหนอ นั่นมันเพิ่มตัวกู เพิ่มเข้าไปมากกว่าเดิม เลยไม่ได้ผลอะไร ไม่เท่าไรก็ได้ตัวกูที่มากเกินไป แก้ไม่ตก นี้ขอให้ผู้ที่ชอบกรรมฐานหนอ หนอนั่นแหละรู้สึกเข้าใจกันเสียใหม่ ถูกแล้วไม่มีผิดหรอกที่ใช้คำว่าหนอนั่นแต่ว่าหนอให้มีความหมายถูกต้องว่ามันสักว่าเท่านั้นหนอ ไม่ใช่ตัวกูหนอ มันสักว่าเปลี่ยนไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเท่านั้นหนอ เป็นอิริยาบถตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ นี่ถ้าว่าข้อปฏิบัติที่มันมีอยู่ที่จะช่วยดับทุกข์ได้ แต่เรามันไปเข้าใจผิดต่อหลักปฏิบัติเหล่านั้นแล้วมันก็เกิดผลร้าย ดังนั้นไปการ ไปทำกรรมฐานวิปัสสนาก็เพื่อเพิ่มตัวกูมันเป็นผลร้าย มันต้องไปทำกรรมฐานวิปัสสนาเพื่อลดตัวกู เหลือแต่สักว่าธรรมชาติเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาเท่านั้นหนอ
นี่ที่พูดเรื่องนี้ก็เพราะว่าเห็นหลายๆคนนั่งอยู่นี้ดูหน้าดูตาแล้วรู้สึกว่าเคยทำกรรมฐานหนอมาเป็นแน่ จึงบอกเสียให้ถูกว่าคุณไปหนอเสียใหม่ให้ถูกต้อง อย่าไปเป็นหนอของตัวกู ให้เป็นหนอของอิทัปปัจจยตาเป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ ไอ้หนอ หนอ หนอนี่มันๆ มัน ๒ ความหมายได้เสมอ หนอจะเอาก็ได้ หนอสักว่าของขี้ริ้วขี้เหร่กูไม่เอาอย่างนี้ก็ได้ พูดว่าเงินหนอ เงินหนอ เงินหนอนั่น ไอ้คนหนึ่งมันจะเอาน่ะ เงินหนอกูจะเอา เงินหนอ เงินหนอ แต่อีกคนหนึ่งมันว่าโอ้, เงินนี่พิษร้าย อสรพิษร้ายกูไม่เอาเงินหนอ เงินหนอ มึงเป็นศัตรูกับกู มึงเป็นสิ่งเลวร้ายกูไม่เอาก็เงินหนอ เงินหนอเหมือนกัน พูดว่าเงินหนอ เงินหนอมันมีความหมาย ๒ อย่างตรงกันข้าม ยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งก็ได้ว่าโคคาโคล่าหนอ โคคาโคล่าหนอ ไอ้คนหนึ่งมันจะกิน ไอ้คนหนึ่งมันว่าเรื่องบ้ากูไม่กิน กูไม่กิน ไอ้โคคาโคล่ากูไม่กิน ปากมันว่าออกมาว่าโคคาโคล่าหนอ คนหนึ่งมันจะกิน อยากจะกินเต็มที่ แต่คนหนึ่งมันบอกว่าอ๋อ, ไอ้นี่ไอ้เรื่องบ้าเรื่องโง่เรื่องอะไรกูไม่เอากับมึง โคคาโคล่าหนอนี่ โคคาโคล่าหนอกูไม่เอากับมึง นี่ขอให้จำตัวอย่างนี้ไปไว้ดีๆ แล้วไปใช้หนอให้ถูกต้องในทุกๆอิริยาบถ ซึ่งเราจะต้องประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกอิริยาบถในบ้านในเรือน เข้าไปในครัวก็มันก็ ก็มีกินหนอนี่ กินหนอ เคี้ยวหนอ กลืนหนอก็หนอให้ถูกต้องอย่าให้หนอกิน เข้าไปในห้องน้ำถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะก็ว่าให้มันหนอให้ถูกต้องว่ามันเป็นอิริยาบถตามธรรมชาติ อย่าเป็นกูผู้ถ่ายอุจจาระ กูผู้ถ่ายปัสสาวะ กูผู้อาบน้ำ กูผู้นุ่งผ้า กูผู้แต่งตัว นี่อย่าให้มันหนอเป็นตัวกู นี่ช่วยจำไปด้วยว่าปรับปรุงหนอกันเสียใหม่ให้ถูกต้องตามความหมายเดิมของธรรมะ เดี๋ยวนี้มันเป็นยุคที่ๆ ที่จะเฉื่อยชา อยู่ไม่ได้แล้วมันเป็นยุคปรมาณูแล้ว ทำอะไรให้ถูกต้อง ทำอะไรให้รวดเร็ว ทำอะไรให้ถูกต้อง จึงต้องปรับปรุงแม้แต่การประพฤติปฏิบัติ หลักกรรมฐานที่มีอยู่นี่ทำเสียใหม่ให้ถูกต้อง ในที่สุดมันก็เดินถูกทาง มันก็เดินถูกทาง ใครๆ ใครจะไม่เดินถูกทางเราก็ช่วยให้เขาเดินถูกทาง ถ้าช่วยไม่ได้ก็ตามเรื่อง แต่เราคอยพร้อมที่จะช่วยอยู่เสมอ มีอุเบกขาคือเพ่งดูอยู่เสมอว่าเมื่อไรช่วยได้ต้องช่วยทันที อุเบกขานั้นไม่ใช่ว่าเฉยแล้วเลิกกัน ที่โรงเรียนมันสอนผิดๆ กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันคือ ช่วยไม่ได้มันเป็นไปตามกรรม คือถ้าเป็นตามกรรม เลิกไม่ช่วยนี่เขาเรียกว่าอุเบกขานี่ไม่ถูก อุเบกขาคือจ้องดูอยู่ต่อไปช่วยได้เมื่อไรเป็นช่วยทันที นั่นแหละอุเบกขาในพรหมวิหารที่ถูกต้อง ไม่ใช่เฉยเลิกไป นี่เราก็เหมือนกันแหละกับเพื่อนมนุษย์ของเรานี่เราอย่าอุเบกขาเป็นอันขาด แต่อุเบกขาให้ถูกต้องคืออุเบกขาคอยจ้องดูว่าช่วยได้เมื่อไรจะช่วยเมื่อนั้นนั่นแหละคืออุเบกขา คำว่าอุเบกขา อุเบกขามันแปลว่าเข้าไปเพ่งดูหรือเพ่งดูเข้าไป คือจ้องดูอยู่เฉยๆนั่นเอง ไม่ใช่เลิกกัน ไม่ใช่หลับตาแล้วเลิกกัน ลืมตาจ้องดูอยู่เพ่งดูอยู่ว่ามันจะช่วยได้เมื่อไรจะช่วยทันที นี่อุเบกขาในพรหมวิหารข้อที่ ๔ ซึ่งมักจะอธิบายกันผิดๆ เราจงมีการเพ่งดูจ้องดูอยู่ทุกโอกาสที่เราจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ของเราได้ เท่าไรเมื่อไรที่ไหนช่วยทันที นี่เป็นการช่วยกันสร้างโลกใหม่ให้ถูกต้อง คำว่าถูกต้องคือถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา มีการเห็นอิทัปปัจจยตาแล้วก็จะเห็นตถตา ตถตาเป็นผลของการมีอิทัปปัจจยตา การเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเรียกว่าอิทัปปัจจยตา เมื่อเห็นไอ้ความเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็จะเห็นว่าเสมอกันหมดคือเช่นนั้นเอง สวยก็ตถตา ไม่สวยก็ตถตาคือเช่นนั้นเอง อร่อยก็เช่นนั้นเอง ไม่อร่อยก็เช่นนั้นเอง น่ารักก็เช่นนั้นเอง น่าเกลียดก็เช่นนั้นเอง น่ากลัวก็เช่นนั้นเอง ไม่กลัวก็เช่นนั้นเอง เจ็บไข้เช่นนั้นเอง หายก็เช่นนั้นเอง ตายก็เช่นนั้นเอง อยู่ก็เช่นนั้นเอง ไม่มีจิตหวั่นไหวไปตามอะไร ดำรงจิตปกติแล้วปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาตลอดไปๆเรื่อยไปๆจนถึงที่สุด เห็นตถตานี้เป็นเครื่องรางคุ้มครองไม่ให้หวั่นไหวไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบคือไม่ยินดีไม่ยินร้าย ใครมีเครื่องรางนี้แขวนคอจะคุ้มครองได้มากกว่าแขวนพระเครื่องสักสิบกิโล เอาพระเครื่องมาแขวนคอสิบกิโลก็คุ้มครองไม่ได้เท่ากับว่าอิทัปปัจจยตาคำเดียวที่มีอยู่ในหัวใจ มีผู้นำมาแจก วันนี้เขาแจกสติ๊กเกอร์ตถตา รับไปติดไว้ที่หน้าอกจะคุ้มครองได้มากกว่าแขวนพระเครื่องสักสิบกิโล คือมันไม่ทำให้หวั่นไหว มันทำให้ไม่หวั่นไหวในสิ่งใด ผัสสะไม่เกิดโง่ขึ้นมา ผัสสะไม่เป็นพิษขึ้นมา ไม่หวั่นไหวไปเป็นยินดียินร้ายได้เพราะเห็นอิทัปปัจจยตา ผัสสะมันฉลาด เวทนามันฉลาดมันก็ไม่เกิดตัณหา เพราะน่ารักก็เช่นนั้นเอง น่าเกลียดก็เช่นนั้นเอง แล้วตัณหามันจะเกิดอย่างไรได้ มันก็ไม่เกิดตัณหาเพราะมีอิทัปปัจจยตาปรากฏอยู่ในความรู้สึก ถือว่าเป็นเครื่องคุ้มครองที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นหัวใจทั้งหมดของพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าท่านสอนอะไรๆมากมาย ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ สรุปแล้วก็คือให้เห็น ตถตา หรือ ตถาตา ก็เรียก ตถา เฉยๆก็เรียก ๓ คำนี้สิ่งเดียวกัน ตถา คือเช่น เช่นนั้น ตถตา หรือ ตถาตา คือความเป็นเช่นนั้น ความทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น เหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น ดับทุกข์ก็เป็นเช่นนั้น ไอ้ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เป็นเช่นนั้นคือมันเป็นเช่นนั้นตามแบบของมันเอง พอเรารู้เรื่องดีเราก็จัดการถูกต้อง ถ้าเห็นตถาแล้ว เห็นตถตาแล้วไม่มีทำอะไรผิดคือไม่ยินดียินร้ายอีกต่ออะไร มีทำให้ถูกต้องตามทางที่ควรจะทำคือเช่นนั้นเองฝ่ายที่มันจะดับทุกข์ได้ แม้จะดับทุกข์ได้มันก็ยังเป็นเช่นนั้นเองอยู่นั่นแหละ อย่าไปยินดีลิงโลดอะไรเลยกับความสุข อย่าไปเกลียดไปกลัวกับความทุกข์ให้มันเหนื่อยเปล่าๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง ตถา ตถา แปลว่า เช่นนั้นๆ ผู้ใดถึงความรู้ข้อนี้ มีความรู้ข้อนี้ผู้นั้นเป็นตถาคต ตถาคต แปลว่าผู้ถึงซึ่งตถา ได้แก่พระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวง มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำเป็นองค์แรก เป็นจอมโจก การถึงตถาทำให้เป็นตถาคตคือเป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้เรายังไม่ถึงนั่นก็เดินตามไปเถิด ทำตามรอยพระอรหันต์ไปคือเห็นตถา ตถาหรือตถตา ตถตานี่ให้มากขึ้นๆแล้วก็จะเดินถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ได้สักวันหนึ่งเป็นแน่นอน คืออยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง นี่เดี๋ยวนี้เราเกิดมาพอดีได้พบเห็นสถานการณ์ที่น่าเวทนา น่าสงสารหรือเลวร้ายน่าขยะแขยงก็มี เราจะทำอย่างไร เราจะทำอย่างไรที่เกิดมาพอดีกับยุคนี้ที่เป็นเช่นนี้ อาตมาตอบง่ายๆว่าจงเป็นพุทธบริษัทต่อไปให้ถูกต้อง เป็นพุทธบริษัทของตนๆต่อไปให้ถูกต้อง มีธรรมะถึงขนาดที่จะเห็นตถตาเช่นนั้นเองของทุกสิ่งแล้วไม่หวั่นไหวอยู่ในสิ่งใดๆ ต่อสิ่งใดๆ ในที่ไรๆ นี่เป็นตถตาคงที่ต่อสิ่งทั้งปวง นี่อายุต้องมาถึงนี่ ชีวิตต้องมาถึงนี่ชีวิตต้องมาถึงจุดที่เรียกว่าตถตา ตถาตา เห็นความเป็นเช่นนั้น ประจักษ์ต่อความเป็นเช่นนั้น ประพฤติอยู่ในความเป็นเช่นนั้นอย่างถูกต้องแล้ว ผู้ๆนี้ชื่อว่าถึงตถาคือเป็นตถาคตแล้ว จบ เรื่องจบ นี่เราได้มาประสบพบเข้ากับสิ่งที่มันไม่ควรจะมี ที่มันเกิดมาจากอวิชชาของมนุษย์ที่ก้าวหน้าในทางของอวิชชา ไม่ก้าวหน้าในทางของวิชชาเสียเลย
เอาละเอาชีวิตนี้มาล้อกันวันนี้ เอาชีวิตนี้ อายุนี้มาล้อกันเสียวันนี้ เอามาอาบน้ำ เอามาถูขี้ไคล เอามาขัดล้างกันเสียอย่างดีในวันที่เรียกว่าล้ออายุนี้ ธรรมบรรยายเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาในโลกนี้ที่เราเกิดมาพอดี ประสบกันเข้ามีอยู่อย่างนี้ อาตมาขอยุติการบรรยายตอนนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อน ขอให้ท่านทั้งหลายยินดีในการได้ล้ออายุคือได้ชำระชะล้างอายุให้มันสะอาดหมดจดกว่าที่แล้วๆมา จะได้ไปเจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางของพุทธบริษัทเราอยู่ทุกทิพาราตรีกาล การบรรยายสมควรแก่เวลา ขอยุติการบรรยายในงวดแรกไว้แต่เพียงเท่านี้