แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน และบรรพชิตทั้งหลาย ผู้มีความสนใจในธรรม วันนี้มีเจตนาจะพูดกับภิกษุนวกะกลุ่มหนึ่งที่มาจากวัดชลประทาน ตามคำขอร้องของท่านเจ้าคุณปัญญา นอกนั้นก็ขอให้ถือเอาประโยชน์ร่วมฟังตามที่จะทำได้ นี่เป็นการบอกกล่าวให้ทราบกันเสียก่อน
อยากจะปรารภ เรื่องการเป็นบรรพชิตกับการเป็นฆราวาส กับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ถ้าเป็นสมัยโบราณโน้น ก็ไม่มีธรรมเนียมว่าคนหนุ่มจะต้องออกไปบวช เรื่องบวชเป็นเรื่องสุดท้ายของอายุ คือของคนแก่ เมื่อได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างชาวโลกทั่วไป จนเรียกว่า ประสบความสำเร็จ หรือสิ้นสุดความเป็นฆราวาสในโลก เขาก็ออกไปบวช และยังมีประเพณีอีกว่าไม่ต้องไปบวชเป็นฤาษีมุนีอยู่ในป่า แต่อยู่เป็นผู้ที่ไม่ต้องทำอะไร เสร็จกิจของฆราวาสแล้ว ยังอยู่ที่บ้านนั่นเอง นุ่งขาวห่มขวา ถือร่มขาว ไปเที่ยวตามวัดตามวาตามสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่ต้องทำงานอะไร คนแก่เหล่านี้ก็มีอยู่จำพวกหนึ่ง ในบาลีเรียกว่า สมุจเฉทโวหาร คือมีการค้าขายของชีวิตสิ้นสุดแล้ว นี่เป็นประเพณีโบราณที่สุดเท่าที่พบในพระคัมภีร์ ถือว่าชีวิตที่เกิดมานี้มันเหมือนกับการลงทุนค้า ธรรมชาติให้ชีวิตมาเป็นเดิมพัน เป็นต้นทุน ทุกคนก็ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันสำหรับการค้า เพื่อหาประโยชน์ หากำไรให้ถึงที่สุด เป็นชาวนา ชาวสวน เป็นอะไรก็สุดแท้แต่ เราก็ทำชีวิตนั้นให้เกิดผลกำไร จนกระทั่งว่าร่ำรวยที่สุด หมดเรื่องที่จะต้องทำ ก็ยกทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานที่จะสืบสกุล คนแก่คนนั้นเรียกว่าสมุจเฉทโวหา ชีวิตแบบสมุจเฉทโวหาร คำว่าโวหารแปลว่า การค้าขาย ทีนี้การค้าขายด้วยชีวิตสิ้นสุดแล้ว ก็บำเพ็ญตนเป็นคนอีกแบบหนึ่ง มันคล้ายกับนักบวช แต่ว่าอยู่ที่บ้าน ลูกหลานเลี้ยงคนแก่คนนี้ คนแก่ คนนี้ก็ไม่ต้องทำอะไร ใช้คำว่านุ่งขาวห่มขาว สวมรองเท้าขาว มีร่มขาว เที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ไปเดินอยู่ตามริมแม่น้ำ ในริมป่าละเมาะ หรือไปเที่ยวสนทนาตามวัดตามวา ศึกษาหาความรู้ในทางที่สูงยิ่งขึ้นไปไม่เกี่ยวกับฆราวาส อย่างนี้ก็มี
เดี๋ยวนี้เราก็มี วิธีเกิดขึ้นใหม่ ให้คนหนุ่มบวช ออกบวช ก็ศึกษาเรื่องของชีวิต คือการที่จะ ทำให้ชีวิตมีกำไร หรือมีประโยชน์ให้มากที่สุด ให้สมตามที่ธรรมชาติกำหนดมา เมื่อศึกษาเพียงพอแล้วก็สึกออกมาเป็นฆราวาส ทำหน้าที่ฆราวาส คือค้าขายด้วยชีวิตต่อไป จนกว่าจะพอใจ หรือจบสิ้น หมดธุระนี้แล้วก็ไปบวชอีกทีหนึ่ง ทีนี้ก็บวชเลย บวชตลอดชีวิต หาความเพลิดเพลินในการบวชจนตลอดชีวิต นี่เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีมีอยู่อย่างนี้ ใจความสำคัญก็อยู่ที่ว่ามีความรู้เรื่องธรรมะพอตัว สำหรับจะทำความก้าวหน้าให้ชีวิตในทางโลก คือเจริญด้วยทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง บริวาร แล้วจึงค่อยดำเนินชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เป็นเรื่องสุดท้ายปลายชีวิต รวมความแล้ว คือว่าขนบธรรมเนียมประเพณี เขาก็มองเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เรื่องของชีวิตนั่นแหละ ให้เพียงพอสำหรับดำเนินชีวิตให้สำเร็จประโยชน์ทั้ง ๒ ชนิด ทันแก่เวลา คือมีความเจริญตามแบบของชาวโลกถึงที่สุด นี่ตอนหนึ่ง และตอนสุดท้ายก็เจริญด้วยธรรมะของคนที่เหนือโลก มีชีวิตอยู่อย่างเหนือโลก อย่างไม่เกี่ยวข้องกับโลก อีกตอนหนึ่ง จนกว่ามันจะตายเข้าโลงไป ก็ขอให้มองอย่างกว้าง ๆ ว่า ความมุ่งหมายของการมีธรรมะมาแต่โบราณกาลนั่นน่ะ เขามุ่งหมายกันอย่างไร
สรุปความว่ามุ่งหมายว่าให้ใช้ตัวเดิมพัน คือตัวชีวิตนั่นเอง ลงทุนประกอบกิจกรรมให้เกิดกำไรสูงสุดในทางโลก ครั้นจบเรื่องทางโลกแล้ว ก็ดำเนินชีวิตที่เกี่ยวกับทางธรรม ที่เหนือโลก อีกขั้นตอนหนึ่ง จนกว่าจะสิ้นชีวิต ใครทำได้ดีทั้งสองขั้นตอนนี้ เรียกว่าไม่เสียชาติเกิด ถ้ามันทำได้เพียงอย่างเดียว เรื่องโลก ๆ แล้วมันก็ตายไปอย่างคนโลก ๆ ภายใต้ความทุกข์อย่างชาวโลกนี้ มันก็เรียกว่าไม่สมบูรณ์ ไม่ได้ใช้ชีวิตให้สมบูรณ์ถึงที่สุด ตามที่ธรรมชาติกำหนดมา นี่ อยากจะให้ดูข้อนี้กันเป็นหลักว่าเราจะศึกษาธรรมะกันไปทำไมกัน ตอบอย่างวิธีนี้ คือว่า จะได้สามารถใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์เต็มตามความหมายของธรรมชาติ ทั้งอย่างเรื่องโลก ๆ และอย่างเรื่องเหนือโลก ให้เสร็จทันก่อนแต่ที่จะเน่าเข้าโลงไป
เดี๋ยวนี้มันปรากฏว่าคนส่วนมากนี่ไม่รู้จักอิ่มจักพอในเรื่องของความสุขทางโลก ๆ และส่วนมากมันก็ยังอิ่มไม่ได้ เพราะมันยังบกพร่อง มันยังเหลวไหล มันเป็นคนเลวมาตั้งแต่ตอนต้น ๆ ของชีวิต ดำเนินชีวิตอย่างโง่เขลา เต็มไปด้วยอบายมุข เป็นต้น มันก็ไม่เจริญด้วยประโยชน์ของโลกทันแก่เวลา มันก็เลยไม่ได้ดำเนินชีวิตชนิดที่เหนือโลก สักครึ่งชีวิต หรือสักเสี้ยวของชีวิตก็ทำไม่ได้ ถ้าทำได้มันก็เรียกว่าไม่เสียชาติเกิด คือมันได้ทำให้ชีวิตนี้ได้รับประโยชน์ ทั้งอย่างโลก ๆ และอย่างเหนือโลก พูดให้มันฟังง่ายก็ว่า อย่างโลก ๆ คือมันอยู่ภายใต้โลก อยู่ภายใต้ความกดขี่ บีบคั้นของอารมณ์ในโลก หรือพูดให้ชัดก็คือ กิเลสนั่นเอง มันอยู่ใต้อำนาจของกิเลส อารมณ์ของกิเลสในโลกบีบคั้นคนนั้นอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นคนร่ำรวย สวยงามอะไรก็ตาม มันก็ถูกบีบคั้นอยู่ด้วยกิเลส หรืออารมณ์ในโลก อารมณ์ในโลก คือโลก สิ่งที่มาสัมผัสเราทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าอารมณ์ ถ้าเราพ่ายแพ้แก่อารมณ์ หลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียด หลงกลัวไปตามอำนาจของอารมณ์นี้ เรียกว่า คนนั้นมันอยู่ใต้โลก ต่อมามันเจริญด้วยความรู้ทางธรรมะ สามารถทำจิตใจให้อยู่เหนือการบีบคั้นของอารมณ์ในโลก จะมีอะไรเข้ามากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ไม่ทำให้บุคคลนี้ยินดียินร้ายได้ ไม่ทำให้เกิดความรัก โกรธ เกลียด กลัวได้ เพราะมีจิตใจอยู่เหนืออารมณ์ในโลก อย่างนี้เรียกว่าอยู่เหนือโลก
สรุปความอีกทีว่า มันเกิดมาชีวิต สมมุติว่า ๘๐ ปี มันอยู่ใต้โลกให้กิเลสย่ำยีสัก ๔๐ ปี อีก ๔๐ ปีหลังมันกลายเป็นคนอยู่เหนืออารมณ์ อยู่เหนืออำนาจของอารมณ์ อีก ๔๐ ปี นี่มันน่าชื่นใจ ถ้าใครเกิดมาได้อย่างนี้เรียกว่า ไม่เสียชาติเกิด ตามความมุ่งหมายแต่โบราณ เขาประสบความสำเร็จเป็น สมุจเฉทโวหาร คือมีการลงทุนค้าด้วยชีวิตอย่างสมบูรณ์ที่สุด เรื่องโลกก็ทำสำเร็จไป เรื่องเหนือโลกก็ทำสำเร็จอีก แล้วก็แตก ตาย ทำลายขันธ์ไป ได้รับประโยชน์เต็มที่ เราต้องการกันอย่างนี้หรือเปล่า ไม่ต้องการอย่างนี้ มันก็ไม่ต้องรู้อะไรมาก ไม่ต้องรู้ธรรมะมาก หรือไม่ต้องขวนขวายอะไรกันจริงจัง ปล่อยไปตามบุญตามกรรม มันก็ไปของมันเอง อยู่ใต้อารมณ์ในโลกเรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะตาย นี่เขาเรียกว่าปุถุชนแท้ ปุถุชนชั้นเลว ปุถุชนชั้นดิบไม่เคยสุก ตกอยู่ภายใต้ความกดขี่บีบคั้นของอารมณ์ไปจนเขาตาย คำว่าอารมณ์ในที่นี้ ก็มาหล่อเลี้ยงกิเลส กิเลสนั่นแหละเป็นผู้บีบคั้น ถ้าว่าโชคดีหน่อย อายุ ๘๐ ปี ถูกกิเลสกดขี่สัก ๖๐ ปี เหลือ ๒๐ ปี อยู่เหนือกิเลสได้ คือว่าพักผ่อนได้โดยไม่ต้องเป็นทาสของอารมณ์ ก็นับว่าโชคดีที่สุด เสี้ยวหนึ่งของชีวิตนี่เขาได้ใช้ในลักษณะสูงคืออยู่เหนืออารมณ์ ต่อมาได้ค้นพบการอยู่เหนืออารมณ์อย่างแท้จริง อย่างเฉียบขาด จึงบัญญัติระบบพระอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา คืออยู่เหนือกิเลสโดยแท้จริง ทีแรก ๆ เอาเพียงว่า ปล่อยวางเรื่องราวต่าง ๆ ในบ้านเรือนได้ ยกให้ลูกให้หลานทำงานกันไปตามธรรมเนียม ตัวคนแก่นั้นกลายเป็นคนอิสระ เป็นคน Free อย่างที่ว่ามาแล้วตามธรรมเนียม นุ่งผ้าขาว ใส่เสื้อขาว ห่มผ้าขาว มีร่มขาว มีรองเท้าขาว เดินฉุยฉายไปมาอยู่ตามสวนสาธารณะบ้าง ตามริมลำธารบ้าง ไปวัดไปวา วัดนั้นวัดนี้ตามสบายใจจนกว่าจะตาย เพียงแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ที่ไม่ต้องทรมานกันตลอดชาติ ไม่ได้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์หรอก แต่ว่าเขายังจัดชีวิตของเขาครึ่งหนึ่ง หรือเสี้ยวหนึ่งให้มันอยู่เหนืออารมณ์ในโลกได้
ทีนี้ต่อมาพุทธศาสนา มีวิธีจัดชนิดที่ว่าฆ่ากิเลส หรือเหนืออารมณ์ในโลกได้เด็ดขาดสูงสุด สูงขึ้นไปกว่าธรรมเนียมโบราณ ซึ่งมันมีแต่เพียงเท่านั้น ทีนี้เราสมัยนี้จะเอาอย่างไรกัน แต่อย่างไรก็ดี ขอให้มีเป้าหมายว่า เราจะไม่เป็นทาสของกิเลสจนตลอดชีวิต เราจะไม่พ่ายแพ้แก่อารมณ์ในโลกจนตลอดชีวิต เราจะมีส่วนของชีวิตเบื้องปลายนั้นน่ะ ที่ว่าไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของกิเลสกันตามสมควร ดังนั้นจึงขอพูดกับคนแก่ ๆ ว่า ระวังให้ดี เรามันหลายสิบปีเข้ามาแล้ว ถ้าไม่จัดให้ดี ไม่ทำให้ดี มันก็ไม่ทางที่จะได้ดำเนินชีวิต ชนิดที่อยู่เหนืออารมณ์กันเป็นแน่ มันจะต้องหัวเราะ มันจะต้องร้องไห้ มันจะต้องระคนอยู่ด้วยความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ทุกอย่างเลย มันมะรุมมะตุ้มกันหนักเข้า ก็เป็นโรคประสาทอย่างที่เห็น ๆ กันอยู่ เป็นกันได้ทั้งพ่อบ้านและแม่บ้าน แต่ได้ข่าวว่าแม่บ้านนี่จะเป็นโรคประสาทมากกว่าพวกพ่อบ้าน เพราะอะไร ๆ มันไปสุมอยู่ที่นั่น ถ้าไม่มีธรรมะพอมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้ามีธรรมะพอมันก็ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เรียกว่าธรรมะนี้มันจะช่วยให้เราอยู่ในโลกนี้ชนิดที่ว่าเหนืออารมณ์ แต่เราไม่รู้เรื่อง เราไม่เคยรู้เรื่อง ตั้งแต่เกิดมา แล้วก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรม มันก็ตกไปเป็นทาสของอารมณ์ ตั้งแต่หนุ่มจนสาว จนเป็นคนพ่อบ้านแม่เรือนแล้วมันก็ยังถอนออกไม่ได้ เป็นคนเฒ่าคนแก่ ๆ ตายไปเลย ไม่เคยรู้เรื่องของการที่จะอยู่เหนืออารมณ์ นี่เป็นชีวิตชนิดที่ขาดทุน ที่ธรรมชาติเขาลงทุนให้มาน่ะ มันมาใช้อย่างขาดทุน ตัวเต็มไปด้วยความทนทุกข์ทรมาน จึงขอให้สนใจกับสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตนี้แหละให้ดี ๆ มันจะไม่มีใครสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าชีวิต มันจะพูดกันบ้างถึงคำว่าชีวิต แต่ก็ไม่ได้สนใจที่ตัวชีวิตนี้ให้มันชัดเจนลงไปว่ามันคืออะไร ในโรงเรียนก็มักจะสอนกันแต่เพียงว่าชีวิต แปลว่าความเป็นอยู่ คือยังไม่ตาย นี่มันเด็กอมมือ สอนเด็กอมมือเขาสอนกันอย่างนี้ จะสอนผู้ใหญ่มีสติปัญญามันก็ต้องสอนให้เข้ารูปเข้ารอยกับที่ว่า เป็นสิ่งที่เขาให้มา ธรรมชาติให้ชีวิตมา ให้ชีวิตมาสำหรับลงทุนเป็นเดิมพัน ลงทุนค้าขายด้วยชีวิต ให้ชีวิตเจริญงอกงามรุ่งเรืองขึ้นถึงสภาพที่ดีที่สุด ที่เรียกว่าเหนือโลก เหนืออารมณ์นั่นเอง เหนือโลก เรียกว่าโลกุตระ ก็ได้ เหนือโลก คือเหนืออารมณ์ แต่เหนือในความหมายธรรมดาสามัญอย่างที่ว่า ไม่ถึงกับสิ้นกิเลส ต่อเมื่ออาศัยหลักธรรมในพระพุทธศาสนาสูงสุดมันจึงจะเหนือโลกจนหมดกิเลสเป็นโลกุตระ คือ สมบูรณ์
เดี๋ยวนี้เอาแต่ว่า โลกุตระ แบบธรรมดา ๆ ที่ชาวบ้านจะเป็นกันได้ อย่าให้อะไรมาข่มขี่น้ำใจ มากเกินไป เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ ตามแบบของคนโง่ จนตลอดชีวิตอย่างนี้เรียกว่ามันมากเกินไป เราจะเตรียมตัวที่จะมีชีวิตชนิดที่ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่มีความทนทรมาน เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ ให้มีปกติ เป็นชีวิตเย็น มันแน่นอนที่จะทำให้ชีวิตเย็นมาตั้งแต่ในท้องมันทำไม่ได้ พ่อแม่ก็ช่วยให้ไม่ได้ ทารกที่เกิดมาจากท้องพ่อแม่มันก็เริ่มมีความร้อน คือรู้จักมีกิเลส รู้จักมีตัวตน รู้จักมีของตนยิ่งขึ้น ๆ เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาวมันก็มีเรื่องที่จะทำให้ร้อนมากขึ้น ๆ ชีวิตมันไม่เย็น เมื่อยังนอนอยู่ในท้องมารดาเสียอีก มันจะพอเย็นบ้าง พอเกิดมาจากท้องมารดา มันก็เปลี่ยนหมด คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่มันเริ่มทำงาน มันเสวยอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ ซึ่งมันมากมายมันแปลกประหลาด มันมีอำนาจรุนแรง ในการยั่วยวน เด็กทารกที่เติบโตขึ้นมา ก็เติบโตขึ้นมาด้วยความหลงใหลในอารมณ์ ยินดี ยินร้าย มีอยู่ ๒ อย่าง ชอบใจหรือไม่ชอบใจ แล้วมันก็เกิดความอยากไปตามความรู้สึกนั้น ที่ชอบใจมันก็อยากได้ ที่ไม่ชอบใจมันก็อยากจะฆ่าเสีย อยากจะทำร้ายเสีย ได้อย่างใจมันก็หัวเราะร่า ไม่ได้อย่างใจมันก็นั่งร้องให้อยู่ ถ้ามันมากเกินไป มันก็ไปกระโดนน้ำตายตามแบบของคนโง่ การฆ่าตัวตายนั้นมันเป็นเรื่องของคนโง่ ถ้าเขาเป็นคนฉลาดก็ไม่ต้องฆ่าตัวตาย เขาพบหนทางออกที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นให้หลุดไป ก็ไม่ต้องฆ่าตัวตาย ฉะนั้นช่วยจำไว้ด้วยว่า ไอ้ฆ่าตัวตายเป็นเรื่องของคนโง่ มันไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใคร อย่าได้นึกน้อมใจไปในทางที่ว่าโมโหขึ้นมาแล้วก็จะฆ่าตัวตาย มันก็เพิ่ม เพิ่มความโง่ มันโง่จนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วมันก็โง่สูงสุดครั้งสุดท้าย คือ ฆ่าตัวตายเสีย ในชีวิตนี้ก็จะเต็มไปด้วยความโง่อย่างสมบูรณ์ที่สุด แล้วจะมีประโยชน์อะไรในการที่ได้เกิดมา ดังนั้นขอให้แพ่งเล็งในข้อที่ว่า เราจะต้องเอาชนะให้ได้ เอาชนะอารมณ์ในโลกให้ได้ ให้ชีวิตนี้เป็นการได้ที่ดี ให้การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เป็นการได้ที่ดี อย่าให้การเกิดมานี้เป็นการเกิดมาเพื่อทนทุกข์ทรมาน มันจะทำได้ก็เพราะมีธรรมะเพียงพอ ถ้ามีธรรมะไม่เพียงพอ มันก็ต้องมีชีวิตที่ทนทุกข์ทรมานอย่างช่วยไม่ได้ เดี๋ยวนี้เขาไม่มีใครสนใจในปัญหานี้ เพราะเกิดมาเป็นทาสของอารมณ์เสียแล้ว ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ มา ได้อร่อยทางตา สวยงาม ได้อร่อยทางหูไพเราะขับกล่อม อร่อยทางจมูกคือหอม อร่อยทางลิ้น คืออร่อย อาหารอร่อย เรื่องที่รับประทาน อร่อยทางผิวหนัง คือการประคบประหงมด้วยสิ่งที่นิ่มนวล ชวนให้เกิดความรู้สึก มันติดในความอร่อยเสียแล้ว แล้วมันมีมุ่งแต่จะให้อร่อยยิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยไม่มองดูว่ามันร้อนหรือมันเย็น เอาแต่ความเพลิดเพลิน เอาแต่ความเพลิดเพลินเป็นหลัก ถ้าเอาความเพลิดเพลินเป็นหลัก มันเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเอาความถูกต้องเป็นหลัก มันก็เป็นเรื่องของโพธิ
โพธิ คือปัญญา หรือ ความเฉลียวฉลาด มันมีอยู่ ๒ อย่าง ตรงกันข้าม ถ้าเพลิดเพลินสนุกสนานเอร็ดอร่อยเป็นที่ชอบใจ ก็เป็นเรื่องของกิเลส หรือเอาความถูกต้องเป็นหลักว่าควรจะทำอย่างไร ไม่เผลอ และไม่ตกเป็นทาสของความอร่อย อย่างนี้เขาเรียกว่า โพธิ เป็นเมล็ดพืชที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เราก็สนใจกันแต่เรื่องความสนุกสนานเอร็ดอร่อยซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส การศึกษาในยุคปัจจุบันนี้ก็สอนแต่เรื่องนี้ สอนแต่ให้เป็นทาสของอารมณ์ทั้งนั้น การศึกษาทั้งโลกเลย ทั้งโลกทุกประเทศในโลกเลย มันก็สอนแต่เรื่องหนังสือ กับเรื่องวิชาชีพ สอนหนังสือให้ฉลาด แล้วก็ไม่ได้สอนว่าให้ใช้ความฉลาดอย่างไร คนเขามีความฉลาด แล้วก็สอนอาชีพ มันก็ได้ปัจจัย คือเงินมาซื้อหาสิ่งที่ตัวต้องการ มันไม่มีความรู้ว่าอะไรควรต้องการ อะไรไม่ควรต้องการ มันก็โง่ มันก็ต้องการแต่สิ่งที่มาสนองกิเลสตามความรู้สึกของกิเลส นี่ในโลกนี้มีการศึกษาเพียง ๒ อย่าง คือ สอนหนังสือให้ฉลาด แล้วก็สอนวิชาชีพ เป็นเครื่องทำให้เกิดทรัพย์ เกิดปัจจัย คือ เงิน สำหรับจะไปซื้อหาสิ่งที่ต้องการ ส่วนการศึกษาที่ ๓ ไม่มี ศึกษาที่ ๓ คือ ธรรมะ ที่จะสอนให้รู้ว่าเป็นมนุษย์กันอย่างไร เป็นคนกันอย่างไร ชีวิตจึงจะเย็น คนมันไม่ได้เรียนความเป็นมนุษย์กันอย่างไร มันก็เป็นมนุษย์ไปตามอวิชชา ตามกิเลสตัณหา ทั้งโลกเป็นอย่างนี้ เรียกว่าการศึกษาในโลกมันมีลักษณะเป็นสุนัขหางด้วน เป็นการศึกษาด้วนเหมือนสุนัขหางด้วน หรือพระเจดีย์ยอดด้วน มันไม่น่าดูทั้งนั้นแหละ เมื่อไรจะมีการศึกษาครบทั้ง ๓ อย่าง คือ หนังสือก็เรียน อาชีพก็เรียน ธรรมก็เรียน นี่ยังไม่รู้ เดี๋ยวนี้มันก็มีการศึกษาชนิดหางด้วนกันทั้งโลก ประเทศไทยตัวเล็ก ๆ นี่ก็ไปตามก้นประเทศใหญ่ ๆ ที่มันมีอำนาจมีอิทธิพล มีการศึกษาอย่างเดียวกับประเทศเหล่านั้น ประเทศไทยเมืองพุทธก็ยังมีการศึกษาหางด้วนอยู่นั่นเองไม่สมบูรณ์ ทีนี้ท่านทั้งหลายสนใจที่จะศึกษาธรรมมะ นี่คือบุญกุศล คือมันจะต่อหางหมาไม่ไห้ด้วน เดี๋ยวนี้เราทุกคนนี่มาศึกษาธรรมะ เพื่อให้เกิดการศึกษาที่ ๓ คือ รู้ธรรมะ รู้ว่าจะเป็นคนกันอย่างไร แล้วก็เป็นให้ถูกต้อง ก็เป็นคนที่ถูกต้อง ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจกิเลสหรืออารมณ์ ก็เลยมีชีวิตเย็น ตามความหมายของคำว่านิพพาน ถ้าว่านิพพานนั้นแปลว่าเย็น ชีวิตที่เย็นนั่นแหละ คือชีวิตที่มีความหมายของนิพพาน เป็นนิพพานน้อย ๆ ไปก่อนก็ได้ เมื่อมันยังไม่สมบูรณ์ เป็นนิพพานชั่วขณะไปก่อนก็ได้ เมื่อมันยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็นนิพพานทันตาเห็นที่นี่ไม่ต้องรอเมื่อตายแล้ว หรือหลายกัปป์หลายกัลป์
นิพพาน แปลว่า เย็น เมื่อไรชีวิตเย็น เมื่อนั้นชีวิตมีนิพพาน แม้แต่มันเป็นของมันเองโดยบังเอิญ ตามธรรมชาติมันก็มีได้ เมื่อมันยังไม่เกิดกิเลสอยู่เพียงไร ชีวิตนี้มันก็เย็น เป็นชีวิตเย็นอยู่เพียงนั้น มันเป็นเองของมัน ก็มีอยู่ แต่คนโง่ทั้งหลายไม่สนใจ เราเห็นว่าไม่มีรสชาติไม่เอร็ดอร่อยอะไร สู้ชีวิตที่มีกิเลสไม่ได้ บางทีชีวิตมันว่างจากกิเลสไม่ร้อนด้วยกิเลส ตัวก็ไม่สนใจ พอมีความทุกข์ความร้อนขึ้นมาก็ดิ้นรน เลยไม่รู้จักนิพพาน ถ้ามันทำอะไรถูกต้องประจวบเหมาะทำให้ชีวิตเย็นได้ ก็เป็นนิพพานน้อย ๆ นิพพานโดยบังเอิญ เผอิญคิดถูก พูดถูก ทำจิตสงบได้บ้าง มันก็เป็น ชีวิตเย็น ชนิดที่ว่าโดยเหตุปัจจัยนั้น ๆ เรียกกันว่า “ตทังคนิพพาน” นิพพานด้วยองก์อันนั้น ที่มัน จะทำให้เย็นได้บ้าง ถ้ามันเป็นชั่วขณะก็เรียกว่า “สามายิกนิพพาน” นิพพานชั่วขณะชั่วสมัย คำเหล่านี้มีอยู่ในพระบาลี ในพระพุทธภาษิตนั่นแหละ แต่ไม่มีใครเอามาพูดไม่มีใครสนใจแล้วเอามาพูด แล้วก็หวังนิพพานอะไรกันที่ไหน อีกกี่กัปป์กี่กัลป์ หลายเกิด เกิดอีกกี่หลายร้อยชาติพันชาติจึงจะนิพพาน มันเป็นเรื่องเหลว ลม ๆ แล้ง ๆไปหมด ถ้าทำให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตเย็นได้ ที่ไหนเมื่อไหร่มันก็เป็นนิพพาน ตามขนาด ตามที่สมควรจะมี ได้ที่นี้และเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้ธรรมะ หรือการศึกษาที่ ๓ เพื่อจะรู้จักทำชีวิตนี้ให้มันเย็น ขอร้องให้ใคร่ครวญ กันอย่างละเอียดว่า เราเรียนหนังสืออักษรศาสตร์ เราก็ฉลาด แล้วก็ไม่รู้จะใช้ความฉลาดนั้นอย่างไร นี้เราประกอบอาชีพ เรียนอาชีพ ประกอบอาชีพก็ได้เงินมา ก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินนั้นไปใช้อะไร มันเอาเงินนั้นไปใช้ซื้อเหยื่อให้แก่กิเลส ให้กิเลสมานั่งอยู่บนหัวไปซื้อเงินสร้างกิเลสมานั่งบนหัว ให้คนเป็นไปตามอำนาจของกิเลส มันสนุก หรือไม่สนุกก็ลองคิดดู
ฉะนั้นเราต้องเรียนอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องธรรมะ เพื่อจะได้รู้ว่าจะใช้ความฉลาดของเราอย่างไร หรือว่าเราจะใช้เงินที่เราหามาได้ด้วยอาชีพนั้นอย่างไร ถ้ามีความรู้ข้อนี้แล้วก็ ดีมาก เกิดมาทีหนึ่งแล้วมันก็จะได้พบกับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไม่ตายเปล่า ระวังมันจะตายเปล่า มันเกิดมาหัวเราะ ร้องไห้ หัวเราะ ร้องไห้ เป็นทาสของกิเลสไปจนเข้าโลง อันนี้มันตายเปล่า ถ้ามันรู้จักทำชีวิตให้อยู่เหนืออารมณ์ เหนือกิเลสบ้าง แม้แต่สักเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเถอะ ก็เรียกว่ามันไม่เกิดมาเสียชาติ คือมันได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ อย่างน้อยสักเสี้ยวหนึ่งของชีวิต นี่ขอให้สนใจว่าเรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ ใครจะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ ถ้าไม่ต้องการเรื่องอย่างนี้ อาตมาจะพูดอย่างนี้เลยว่า เสียเวลามาสวนโมกข์ ไม่คุ้มอะไรกันเลย เสียเวลา เสียเงิน เสียเรี่ยวแรง เสียอะไรต่าง ๆ ลงทุนมาสวนโมกข์ แล้วก็ไม่สนใจในเรื่องที่จะทำชีวิตนี้ให้เย็น ยังคงร้อนกลับไปตามเดิม แล้วก็เป็นโรคประสาทกันให้ละอายแมว ไม่มีแมวตัวไหนเป็นโรคประสาท แต่ว่าคนเกือบทุกคนเป็นโรคประสาท เรียกว่ามันเป็นโรคประสาทให้ละอายแมว เพราะมันไม่มีธรรมะ ดังนั้นขอให้สนใจธรรมะ เพื่อที่จะคุ้มครองป้องกันทุกอย่าง ความผิดพลาดทั้งหลายจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ามีธรรมะประพฤติอยู่ในทางของธรรมะ จึงว่าขอให้ศึกษาส่วนที่ขาดนี่ ส่วนที่ ๓ คือ เรื่องธรรมะให้มันสมบูรณ์ เมื่อรัฐบาลเขาไม่จัดให้ ผู้จัดการศึกษาในโลกนี้ก็อยู่ในมือของรัฐบาล เขาให้เรียนแต่หนังสือกับวิชาชีพทั้งนั้นแหละ รัฐบาลไม่เรียนธรรมะ ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร เราก็ไม่ยอมแพ้ เราก็มาหาเอาเอง เมื่อเรียนอย่างนั้นมาแล้ว ต่อไปนี้ก็หาการศึกษาทางธรรมะเอาเอง บวชพระ บวชเณรก็ได้ บวชไม่ได้ ก็บวชชีก็ได้ หรือว่าศึกษากันอย่างที่ไม่ต้องบวชก็ได้เหมือนกัน ขอให้รู้ธรรมะเป็นการศึกษาที่ ๓ ให้การศึกษาของเราสมบูรณ์
อ้าว, ทีนี้ก็มาดูปัญหาตอนนี้กันอีกที ปัญหาตอนนี้มันก็มีว่า ท่านทั้งหลายพยายามเรียนธรรมะ พยายามศึกษาธรรมะแหละ แล้วก็ไม่รู้ธรรมะมีแต่เรียนมีแต่ศึกษา แทบทุกวัดทุกวาก็ว่าได้ แต่ไม่รู้ธรรมะ เรียนธรรมะแต่ไม่รู้ธรรมะ อาตมาพูดจริง หรือพูดเท็จ ก็ไปคิดดูเองเถิด คิดดูอย่างอิสระเองเถิดว่า เรียนธรรมะแล้วไม่รู้ธรรมะมันมีไหม เรียนเกือบเป็นเกือบตายมันก็ไม่รู้ธรรมะ มันมีไหม เรียนธรรมะแล้วไม่รู้ธรรมะ ทีนี้รู้ธรรมะ เรียนรู้ธรรมะในโรงเรียน รู้ธรรมะแล้วไม่มีธรรมะนี้ระวังให้ดี ท่านอาจจะรู้ธรรมะท่วมหัว ท่วมหูก็ได้ รู้ธรรมะ แต่ไม่มีธรรมะเลย ไม่มีตัวธรรมะเลย สักนิดหนึ่ง นี่ปัญหาหนัก คือ มันรู้ธรรมะ แต่มันไม่มีธรรมะตัวจริงอยู่ในตัวบุคคลนั้น
ทีนี้อีกขั้นหนึ่งก็ว่า มันมีธรรมะแหล่ะ แต่เผอิญมันมีธรรมะ แต่มันไม่รู้จักใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ หรือมันมีธรรมะชนิดที่ไว้พูดไว้อวดกันมากกว่า ไม่อาจจะใช้เป็นประโยชน์ คือ มีธรรมะแล้ว ไม่มีการใช้ให้เป็นประโยชน์ นี่ปัญหาเฉพาะหน้าในปัจจุบันนี้ ที่อาตมาสังเกตเห็นว่าพวกเรานี้เรียนธรรมะกันแล้วก็ไม่รู้ธรรมะ แล้วในพวกที่รู้ธรรมะก็ไม่มีธรรมะ ในพวกที่มีธรรมะก็ใช้แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เลยเหลวคว้าง ถ้าในโบสถ์ มันมีแต่พิธีรีตอง อ้อนวอน บวงสรวง บางทีก็มีเซียมซี มีอะไร ก็ให้รู้เถิดว่าในโบสถ์นั้นก็ไม่มีธรรมะ มีแต่คนโรคประสาท ไปสั่นเซียมซี ไปอ้อนวอน ไปบวงสรวง ไปอะไร แม้จะไปฟังเทศน์ก็ไปฟังเทศน์แก้กลุ้ม มันก็ไม่ใช่คนมีธรรมะ ในโบสถ์เสียอีกกลับไม่มีธรรมะ ถ้าประพฤติปฏิบัติให้ดีที่บ้านที่เรือนก็อาจมีธรรมะ ถ้าไปโบสถ์ ก็หมายความว่ามันต้องไปมีธรรมะ ไม่ใช่ว่าไปทำพิธีรีตอง บูชา อ้อนวอน บวงสรวง อธิษฐานกันตลอดเวลา ในโบสถ์บางทีมันก็ใช้เป็นที่แก้บาป แสดงอาบัติ ในโบสถ์ก็เต็มไปด้วยกองบาป กองอาบัติที่ไปแสดง ๆ กันไว้ ในโบสถ์จะมีธรรมะอย่างไร นี่ขอให้มองกันอย่างนี้บ้าง นี่มันเป็นคำตอบที่ว่าทำไมเราจึงเป็นโรคประสาทกันโดยมาก หรือว่าเราเจริญด้วยความเจริญ ด้วยการศึกษา แล้วทำไมต้องเพิ่มโรงพยาบาลประสาทเล่า โรงพยาบาลประสาทนี่ สถิติเขาบอกว่าสร้างไม่ทันเสียแล้ว สร้างไม่ทันกับที่พลเมืองมันเป็นโรคประสาท เพิ่มมากและเร็ว ทำไมต้องเพิ่มคุก เพิ่มตาราง เพิ่มนักโทษเล่า ทำไมต้องเพิ่มสถานีตำรวจ เพิ่มตำรวจเล่า จนเขาทำไม่ทัน เขาสร้างไม่ทัน เพราะมันไม่มีงบประมาณที่จะสร้างคุก หรือสร้างสถานีตำรวจ กระทั่งสร้างศาล สร้างตุลาการอะไรที่มันไม่ทันกับอาชญากร อาชญากรรมอย่างนี้ อย่าเพิ่งคุยโตว่าเจริญ มันเจริญสำหรับจะอยู่ใต้กิเลส เจริญสำหรับเป็นอบาย ไม่ใช่เจริญสำหรับเป็นสวรรค์
เรื่องของสวรรค์นี่ขอฝากไว้กับทุกคนนะว่า มันไม่ได้อยู่ต่อตายแล้ว หรือไม่อยู่บนฟ้า บนอากาศที่ไหน สวรรค์น่ะ สวรรค์น่ะมันอยู่เมื่อคุณยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อใครมันทำความดีความงามจนพอใจตัวเอง ขอบใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นคือสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ที่บ้านที่เรือนนั่นน่ะ วันไหนทำอะไรดี เป็นที่พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นคือ สวรรค์ ทีนี้เมื่อไรมันอยู่ใต้อำนาจกิเลส ทำอะไรไปตามอำนาจกิเลส มันดูแล้วมันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง มันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง นั่นแหละคือ นรก เมื่อไหร่มันไหว้ตัวเองไม่ลง มันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง ยิ่งมองยิ่งเกลียด ยิ่งมองยิ่งเกลียด เมื่อนั้นแหละมันคือ นรก อย่างเลวร้าย ทุกชนิด อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่มองดูสวรรค์และนรกที่แท้จริงอย่างนี้กันบ้างสิ มันเป็นสัณฐิติโก ไอ้นรกสวรรค์ที่ไม่เป็น สันฐิติโก มองเห็นไม่ได้ ต้องบอก ต้องคำนวณกันนั้น อย่างเพิ่งพูดถึงก็ได้ ไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะว่าถ้าเราไม่ตกนรกที่นี่แล้วมันก็ไม่ตกนรกต่อตายแล้ว ถ้าเรามีสวรรค์ที่นี่ ก็ต้องมีสวรรค์ต่อตายแล้ว ฉะนั้นใครทำให้ยกมือไหว้ตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ทุกวัน ๆ เป็นสวรรค์ที่นี่ และไม่ต้องกลัว ตายแล้วก็จะได้สวรรค์ อย่าทำผิดจนเกลียดตัวเองที่นี่ เมื่อตายแล้วก็ไม่ต้องลงนรก เพราะไม่ได้ทำผิดทำบาปอะไร ขอให้สนใจเรื่องใกล้ตัว ไปสนใจเรื่องไกลตัวเป็นคนโง่ เป็นคนบ้า เป็นคนใบ้ สนใจเรื่องไกลตัว แล้วก็ไม่ได้สำเร็จประโยชน์อะไร ถ้าเป็นคนดีมีปัญญา ต้องสนใจเรื่องใกล้ ๆ ตัวที่จะควบคุมได้ จัดการได้ เรื่องนรกสวรรค์เกิด ตายดี ตายเลวนี่เราต้องทำชนิดที่มันควบคุมได้ ขอให้หมดปัญหากันทีเถิด ไอ้เรื่องสวรรค์ หรือนรกนั้น ทำให้ดีจนไหว้ตนเองได้ เป็นสวรรค์ ทำผิดจนเกลียดชังตัวเองก็เป็นนรก ขออย่าได้มีเลย แต่ละวัน ๆ ก็ทำอะไรกันมากมายหลายอย่าง พอค่ำลง คิดบัญชีดู ถ้ามีแต่เรื่องยกมือไหว้ตัวเองได้ล่ะก็เป็นสวรรค์หมด ถ้ามันมีแต่เรื่องที่ไหว้ตัวเองไม่ลง ก็เป็นนรกหมด ถ้าเราถือหลักอย่างนี้ก็จะง่ายเข้าที่จะไม่มีนรก จะปิดนรกเสีย จะให้มีแต่สวรรค์
ถ้ามันเป็นเรื่องนิพพาน มันก็ไกลไปอีกขั้นหนึ่ง คือไม่ต้องมามัวเกลียด มัวรัก มัว ต้องการมัวไม่ต้องไหว้ตัวเอง หรือไม่ต้องเกลียดตัวเองกันอีกต่อไป มันเป็นเรื่องนิพพาน คือ มันดับตัวตนเสียได้ ไม่มีตัวตน มันเป็นความรู้ชั้นสูง มีแต่ในพระพุทธศาสนา ในลัทธิอื่นเขามีตัวตนเหลืออยู่ แม้เป็นอันสุดท้าย มันก็ยังมีปัญหา เพราะมันยังมีตัวตน ถ้าจะหมดปัญหา หมดทุกข์ทุกประการแล้วมันต้องดับตัวตนเสียได้ บุญบาป กรรมดี กรรมชั่ว มันเลิกล้างไปหมด เมื่อเราดับตัวตนเสียได้ ไม่มีอะไรที่เป็นที่ตั้งแห่งสิ่งเหล่านั้น นี่คือประโยชน์ของธรรมะ ถ้ารู้แล้วมันทำให้อยู่เหนือปัญหา ทั้งหมดทั้งสิ้น นี่เรื่องใหญ่โตมโหฬาร จะไปจัดกันที่ไหน จะไปทำกันที่ไหนโดยถือตามหลักธรรมะ ที่มีไหว้ชัดเจนว่า มันไปรวมอยู่ที่สิ่ง ๆ เดียวคือ จิต เรื่องผิดเรื่องถูก เรื่องนรกสวรรค์ เรื่องทั้งหลายทั้งสิ้น มันรวมอยู่ที่สิ่ง ๆ เดียว คือ จิต ดูกันชั้นนอก ร่างกายนี่เป็นเปลือก เป็นที่ตั้งของจิต ร่างกายนี่มันก็อยู่ใต้อำนาจของจิต เป็นไปตามอำนาจจิต ทีนี้อะไรที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย เป็นการประพฤติ เป็นการกระทำมันก็แล้วแต่จิต จิตมันเป็นเหตุให้กระทำ ฉะนั้นได้เสวยสุข ได้เสวยทุกข์ มันก็เรื่องจิตแหละเป็นผู้รู้สึก เสวยสุข หรือเสวยทุกข์ ถ้าเราควบคุมจิตสิ่งเดียวได้ เราก็ควบคุมได้ทุกสิ่งไม่ว่าอะไร เรียกว่าควบคุมโลกทั้งโลกก็ได้ ไอ้โลกทั้งโลกไม่มีอะไรหรอก นอกจากที่จะเข้ามาที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราควบคุมจิตได้ เราก็ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กายใจได้ ดังนั้นเราจึงควบคุมโลกทั้งหมด ทั้งจักรวาลก็ได้ ด้วยการควบคุมจิตเพียงสิ่งเดียว
ดังนั้นธรรมะสูงสุด ก็คือวิธีการควบคุมจิตให้ได้ ถ้าเราควบคุมจิตได้ ทุกอย่างมันจะเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ไม่มีความทุกข์เลย ฉะนั้นธรรมะ มันก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความถูกต้อง ขึ้นในจิตแล้วสิ่งต่าง ๆ ก็เป็นไปอย่างถูกต้อง มันจึงไปสำคัญอยู่ที่ความถูกต้องของจิต เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จักจิต ไม่มีใครสนใจที่จะควบคุมจิต ปล่อยไปตามกิเลส ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส ไม่สนใจจะควบคุมจิต มันก็ไม่มีความถูกต้องสำหรับจะมีความสงบสุข ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ จิตนี้มันก็เป็นที่ยึดครองของกิเลส ตัณหา ของอวิชา คือความไม่รู้ มันเป็นจิตที่ไม่รู้ เป็นโอกาสให้เกิดกิเลสตัณหา มันก็ได้เกิดความทุกข์ ถ้าเรารู้ธรรมะ เราก็สามารถควบคุมจิตไว้อย่างถูกต้อง ไม่ให้เป็นไปตามอำนาจชนิดนั้น คือไม่อยู่ในอำนาจของอวิชชา ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดตัณหา ก็ไม่มีความทุกข์
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ธรรมะนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องคู่กันอยู่กับชีวิต ใช้คำว่าธรรมะนั่นแหละคือสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องอยู่เป็นคู่กับชีวิต มันจะช่วยให้ชีวิตไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องร้องให้ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นอะไรทุก ๆ อย่างที่มันเป็นความทุกข์ พูดให้เป็นสำนวนโลดโผนสักหน่อย ก็ว่าธรรมะนั่นแหละคือคู่ชีวิต ธรรมะเป็นคู่ชีวิตโดยแท้จริง ชีวิตปราศจากธรรมะเมื่อไร มันก็ร้อนเมื่อนั้น มันเป็นทุกข์เมื่อนั้น ถ้าธรรมะยังอยู่เป็นคู่กับชีวิต มันก็เป็นชีวิตเย็น คู่ชีวิตที่เป็นคน ๆ น่ะระวังให้ดี ไม่เท่าไรมันก็กัดกัน อยู่ทุกวัน ๆ มันยัง ฮือ ๆ แฮ่ ๆ แก่กัน คู่ชีวิตอะไรอย่างนั้น คู่ชีวิตชนิดนั้นมันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของอวิชชา มันเป็นคู่ชีวิตของกิเลสตัณหา ไม่ใช่คู่ชีวิตของสติปัญญา หรือโพธิ ดังนั้นรู้จักเลือกคู่ชีวิต คือ ธรรมะ แล้วก็เอามาควบคุมคู่ชีวิตเนื้อหนังร่างกายนี่ ฝ่ายหญิงฝ่ายชายอะไรก็ตามใจ ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต ก็ไม่ทำผิดทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชาย คู่ชีวิตที่เป็นคน ๆ นั้นมันก็อยู่กันเป็นผาสุก ไม่ต้อง ฮือ ๆ แฮ่ ๆ แก่กัน ไม่ต้องทะเลาะวิวาทกัน ดูว่ามนุษย์ทะเลาะกันนี่มันจะมากกว่าสัตว์เสียอีก ข้อนี้ทำให้ละอายสัตว์ ขอให้มีธรรมะเป็นคู่ชีวิต คือควบคุมชีวิตให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ขอให้สนใจศึกษาเรื่องนี้ ถ้าได้มาบวชเรียนสักพรรษาหนึ่ง ก็รีบศึกษาเรื่องนี้ เรื่องอื่นไม่สำคัญ เอาธรรมะไปเป็นคู่ชีวิตตลอดชีวิต ถ้าว่าเป็นผู้หญิงบวชไม่ได้ ก็หาโอกาสศึกษา เวลาว่างก็ศึกษาธรรมะสำหรับจะเป็นคู่ชีวิต เดี๋ยวนี้สะดวกไม่เหมือนยุคก่อน เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันมีการสื่อสารมาก มีการพิมพ์เป็นเล่มหนังสือก็มากมาย ซื้อหาอ่านเมื่อไรก็ได้ ซึ่งสมัยก่อนมันไม่มี ยังมีวิทยุ ยังมีโทรทัศน์ ยังมีอะไรต่าง ๆ ที่เป็นการสื่อสารที่ดี ที่เขาสื่อธรรมะ แล้วก็ศึกษาได้ แต่ถ้ามันสื่อเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ก็ปิดเสียดีกว่า จะเป็นวิทยุ เป็นทีวี เป็นอะไรที่มันเป็นเรื่องส่งเสริมกิเลส ก็ปิดเสียดีกว่า ถ้ามันมีโปรแกรมที่จะให้รู้ธรรมะแล้วก็พยายามศึกษากันให้เต็มที่ อย่างน้อยมันก็มีหนังสือเพียงพอแล้วเดี๋ยวนี้ เมื่อ ๕๐-๖๐ ปี มาแล้วโน่น อาตมาได้ยินอยู่เสมอว่าไม่มีหนังสือจะอ่าน ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน นั่นมัน ๕๐-๖๐ ปี มาแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว หนังสือธรรมะนี้มากมาย แพร่หลายที่สุด เลือกให้ถูก หนังสือธรรมะ แล้วก็ไปศึกษา ไปอ่านดู เวลาที่ทำงานก็ทำงานให้สนุก ถ้าเป็นสุขเมื่อทำงาน พอเสร็จงานแล้วก็ศึกษาธรรมะ อย่าไปเที่ยวสถานเริงรมย์เลย อย่าไปคอฟฟี่ ช็อป อย่างที่เขาชอบไปกันเลย ทำงานให้สนุก แล้วเป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำงาน เพราะว่าการงานนั่นแหละคือธรรมะ นี่ไม่มีใครสนใจ ที่นั่งอยู่ที่นี่ อาตมากล้าท้าว่า ไม่รู้อ่ะ ที่นั่งอยู่ที่นี่ จะทุกคนก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าธรรมะนั้นคือการงาน ธรรมะ คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต จะทะนุถนอมชีวิตไว้ มันก็คือการงานนั่นเอง การงานนั้นทำไปเพื่อรอดชีวิต ดำรงชีวิตอยู่อย่างผาสุก แล้วการงานขั้นสูง เช่นกรรมฐานนี่ ก็ส่งเสริมให้บรรลุมรรคผลนิพพานไปเลย การงานนั่นแหละคือธรรมะ ในชั้นนี้ก็ทำงานให้สนุก ถ้าเป็นชาวนา ก็ทำนาให้สนุก ถ้าเป็นชาวสวน ก็ทำสวนให้สนุก จะเป็นแม่ค้า หรือพ่อค้า ก็ทำการค้าให้สนุก เป็นข้าราชการ ก็ทำราชการให้สนุก เป็นกรรมกร ก็ทำกรรมกรให้สนุก อย่าไปเข้าใจผิด ให้พอใจในการทำการงาน แม้ว่าจะเป็นกรรมกรชั้นอาบเหงื่อ แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ กวาดถนนอะไรก็ตาม ก็ทำให้มันสนุกเถอะ เพราะว่าหน้าที่นั้น คือธรรมะทั้งนั้น กระทั่งว่าเป็นขอทาน เป็นคนขอทาน ก็ขอทานให้สนุก ให้ถูกต้องตามระบบของการขอทานที่มันถูกต้อง มันก็เป็นธรรมะของคนขอทานก็ เจริญไม่เท่าไรก็พ้นจากสภาพขอทาน จะหลุดจากความเป็นคนขอทาน หลุดจากความเป็นคนยากจน มาเป็นคนที่จะปกติ มีอันจะกินอยู่เป็นสุขสบายได้ ทำงานให้สนุก เพราะงานนั้นคือธรรมะ และถือโอกาสเป็นสุขเสีย เมื่อทำการงานนั้นเอง คนโง่ทำไม่เป็น เพราะจิตใจของเขาไม่อาจจะสนุกเมื่อทำงาน จึงไม่อาจจะหาความสุขได้เมื่อกำลังทำงาน ถ้าเขาเป็นคนไม่โง่ เป็นคนฉลาด รู้ว่าธรรมะคืออะไร เขาก็จะพอใจในการงาน เพราะว่าการงานนั้นคือธรรมะ การทำการงาน คือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรม คือการประพฤติการทำการงาน ธรรมะกับการงาน คือสิ่งเดียวกัน
การงาน คือหน้าที่ของมนุษย์ ที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วหมดปัญญาไป ถ้ารู้ธรรมะจริง เป็นพุทธบริษัทจริง จะสนุกพอใจ เมื่อทำการงาน พอใจแล้วก็เป็นสุข ไม่ต้องสงสัย ความสุขจะต้องเกิดมาจากความพอใจเสมอ ถ้าพอใจโง่เขลา ก็เป็นสุขโง่เขลา พอใจหลอกลวง ก็เป็นความสุขหลอกลวง ถ้าเป็นความพอใจแท้จริง ก็เป็นความสุขแท้จริง เราจึงหาความสุขแท้จริงได้เมื่อทำการงานนั่นเอง แม้ยังเป็นนักเรียนอยู่ นักศึกษาอยู่ การศึกษานั่นแหละคือการงาน ขอให้ทำให้สนุก และเป็นสุขเมื่อกำลังทำอย่างนั้น นั่นคือการปฏิบัติธรรมให้อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างแท้จริง และเป็นสันฐิติโกด้วย ไม่ต้องรอกันต่อตายแล้ว จะให้ผลที่นี่แหละเดี๋ยวนี้ ให้มีความถูกต้องในการดำรงชีวิต
อาตมาขอพูดย้ำอีกทีหนึ่งว่า คนที่ไม่รู้ธรรมะนั้น มีจิตอีกชนิดหนึ่ง มันจะไม่สนุกในการทำงาน ต้องศึกษาจนรู้ว่าธรรมะคืออะไร จะมีจิตอีกชนิดหนึ่ง แล้วจะสนุกในการทำงาน ทำงานเหงื่อไหล มันกลายเป็นอาบน้ำมนต์ไปเลย มันก็ไม่เหมือนอันธพาล เหงื่อไหลไปทนทำงานทำไมไปขโมยดีกว่า ทิ้งงานไปขโมย ไปจี้ไปปล้นดีกว่า หรือไปทำอันธพาลเลวร้ายอย่างอื่นดีกว่า เพราะมันไม่รู้ว่าการงานคือธรรมะ ข้อนี้ต้องศึกษากันจนค้นพบความจริงว่า การงาน คือธรรมะ ธรรมะ คือการงาน เขาจะต้องรู้ว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละ คือธรรมะ ถ้าพูดกันอย่างสิ้นเชิง ก็ต้องพูดว่า ธรรมะคือเรื่องทุกเรื่องของธรรมชาติ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ตัวธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรมก็ตาม นี่ก็เป็นธรรมะ ธรรมะ คือธรรมชาติ แล้วในธรรมชาติก็มีกฎของธรรมชาติ สำหรับควบคุมธรรมชาติเหล่านั้น กฎของธรรมชาตินั้นก็คือธรรมะ ทีนี้กฎของธรรมชาติที่ควบคุมชีวิตทั้งหลายอยู่ มันทำให้เกิดหน้าที่ เกิดหน้าที่ขึ้นมาว่า สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำหน้าที่อย่างนั้น ๆๆ และชีวิตจะรอดอยู่ได้ และจะเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป หน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละ คือธรรมะ และธรรมะ ในความหมายที่จำเป็นที่สุดที่มนุษย์จะต้องมี นี่จึงเห็นได้ว่า ธรรมะ คือ หน้าที่ หน้าที่ คือ ธรรมะ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัตินั่นแหละคือธรรมะ ปทานุกรมในประเทศอินเดีย ธรรมะก็แปลว่าหน้าที่ ประเทศอินเดียเป็นเจ้าของภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตนะ คำว่าธรรมะ เขาแปลว่าหน้าที่ ในเมืองเรา ประเทศเรา คำว่า ธรรมะ ดูจะไม่ได้แปลว่าหน้าที่ ไปดูในปทานุกรม จะแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรืออะไรไปก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่ได้บอกว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร จะเขียนต่อไปอีกหน่อยก็ไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ทำหน้าที่ ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ก็คือเรื่องหน้าที่ ๆ มนุษย์จะต้องประพฤติปฏิบัตินั่นเอง นั่นคือคำสอนของพระพุทธเจ้า นี่ธรรมะ คือหน้าที่ เมื่อได้ทำหน้าที่ ก็คือปฏิบัติธรรมะ เราควรพอใจ และเป็นสุข ความหมายสุดท้าย คือผลของหน้าที่ ผลจากหน้าที่ นั่นก็คือธรรมะเหมือนกัน จะเป็นสุขเป็นทุกข์ หรืออะไรก็แล้วแต่ การปฏิบัติหน้าที่นั้นมันเป็นไปอย่างไร
ธรรมะ คือธรรมชาติ ธรรมะ คือกฎของธรรมชาติ ธรรมะ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะ คือผลที่ออกมาจากหน้าที่ ใน ๔ ความหมายนี้ ความหมายที่สาม คือหน้าที่นั่นแหละสำคัญ หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะต้องตาย คนที่ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันก็ต้องตาย สัตว์เดรัจฉานก็ต้องตาย ต้นไม้ต้นไร่ก็จะต้องตาย สิ่งมีชีวิตชนิดไหนก็ตาม เมื่อมันทำผิดหน้าที่ตามกฎธรรมชาติแล้วมันจะต้องตาย จึงกล่าวได้เลยว่า ถ้าทำถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันก็ไม่ตาย มันก็เจริญ ฉะนั้นธรรมะ คือหน้าที่ ๆ ถูกต้องแก่มนุษย์ทุกคน นี่จับใจความสำคัญให้รู้กันตรงนี้ ว่าธรรมะ คือหน้าที่ ๆ ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของทุกคน เดี๋ยวนี้ธรรมะเพ้อ ๆ ธรรมะท่องจำ ธรรมะไว้ทะเลาะกัน ธรรมะไว้เถียงกันว่า กูเก่งกว่าสู สูเก่งกว่า สูเลวกว่ากูนี่ ธรรมะอย่างนี้มันไม่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อทะเลาะกัน ธรรมะ คือการปฏิบัติที่ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอน แห่งวิวัฒนาการ ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น บทนิยามมันยาวหน่อย แต่มันสมบูรณ์ที่สุด ขอให้จำไว้ให้ครบถ้วน อย่าให้มันครึ่ง ๆ กลาง ๆ ว่าธรรมะ คือการปฏิบัติ ระบบปฏิบัติ ไม่ใช่ระบบความรู้ที่คุณจดไว้ในสมุด หรือไม่ใช่อยู่ในใบลาน
ธรรมะ คือระบบการปฏิบัติ ที่ปฏิบัติอยู่กับเนื้อกับตัว จึงพูดว่าธรรมะ คือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ เพื่อมนุษย์รอดอยู่ได้ ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ต้องเพื่อทั้ง ๒ ฝ่าย คือเพื่อเราด้วย เพื่อเพื่อนมนุษย์ของเราด้วย เพราะเราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราจำเป็นที่ต้องอยู่ร่วมกันกับเพื่อนมนุษย์ของเรา จึงต้องมีธรรมะที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ อย่าอวดดีไปเลยว่าเราอยู่ได้ตามลำพัง โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่น มันเป็นไปไม่ได้ อย่าอวดดีถึงขนาดนั้นเลย มันต้องมีการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับเพื่อนมนุษย์อย่างถูกต้อง มันจึงจะอยู่กันได้ แม้ในครอบครัวนะ มันอยู่คนเดียวเมื่อไรเล่า มันก็อยู่กันหลายคน มันอยู่คนเดียวไม่ได้ ในหมู่บ้านก็อยู่หลายคน ในบ้านในเมืองก็อยู่หลายคน ในประเทศก็อยู่หลายคน ในโลกก็อยู่หลายคน ถ้าเขาเกิดให้เราอยู่คนเดียวในโลกนี้ ไม่มีใครอยู่ด้วย เราก็อยู่ไม่ได้ เราก็ไม่กล้าอยู่ เราจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าอยู่คนเดียวในโลกนี่จะอยู่ได้อย่างไร ดังนั้นต้องมองให้เห็นชัดว่าต้องอยู่กันหลายคน เพราะฉะนั้นต้องมีธรรมะสำหรับที่จะอยู่กันได้หลายคน ในทางศาสนาจึงเน้นมากว่าทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองด้วย และแก่ผู้อื่นด้วย ธรรมะที่สมบูรณ์มันจะต้องเป็นอย่างนั้น ช่วยฟังให้ดี จำไว้ให้มั่น แม่นยำ มั่นคงว่าธรรมะนั้นคือระบบการปฏิบัติ ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเขาทุกขั้นทุกตอนแห่งวัฒนาการทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่น ไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความรู้เรื่องธรรมะ แล้วคนที่มาสวนโมกข์นี่ก็ไม่เอาไป ทิ้งไว้เกลื่อนที่นี่ วิ่งกลับไปหัวขาดเหมือนกับรูปภาพที่มุมตึกใหญ่ ดูสิ มาเป็นฝูง ๆ กลับไปหัวขาดเป็นฝูง ๆ มีสองสามคนรับลูกตา รับแจกลูกตามีเพียงสองสามคน นอกนั้นวิ่งกลับไปหัวขาด ไม่มีอะไรติดไป คือไม่มีลูกตาติดไป ถ้าใครไม่เคยดูรูปภาพนั้น พรุ่งนี้ขอร้องให้ดูเสียด้วย ที่ตึกมหรสพวิญญาณ อยู่ที่หัวตึก เป็นภาพแจกลูกตาไม่มีใครเอากี่คน พวกที่มาสวนโมกข์ ไม่มีใครรับลูกตากี่คน กลับไปหัวขาดเหมือนเดิม วิ่งไปเป็นฝูง ๆ ถลกก้นหลอกเสียด้วย นี่มันดีถึงขนาดนี้ ไม่ยอมรับลูกตา ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย คือให้เห็นธรรมะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษย์จะต้องมี ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ของเขา อย่างที่พูดเมื่อตะกี้นี้ว่า ธรรมะน่ะมันคู่ชีวิต คู่ชีวิตที่แท้จริงมันคือธรรมะ เราจะมีคู่ชีวิตเป็นคน ๆ ก็ได้ แต่ต้องมีธรรมะนะ ถ้าคู่ชีวิตที่เป็นคน ๆ ไม่มีธรรมะแล้วมันก็ต้องกัดกันใน ๒-๓ วัน แล้วมันก็ต้องหย่ากัน หัวเดือน ท้ายเดือน มันเป็นไปไม่ได้ที่ว่าจะอยู่โดยปราศจากธรรมะ นี่ขอให้สนใจในจุดสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ คือความถูกต้องของชีวิต ชีวิตก็ดี ธรรมะก็ดี อัตภาพก็ดี อะไร ๆ มันสำคัญอยู่ที่จิต
ดังนั้น ต้องสนใจเป็นพิเศษอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องจิต รู้เรื่องจิตให้พอ และควบคุมจิตให้ได้ ให้เดินถูกทาง จิตนั้นก็จะเกิดความสะอาด ความสว่าง และความสงบ มันจะได้หมดปัญหา ถ้ามีความรู้เรื่องจิต แล้วก็สามารถควบคุมเรื่องจิตให้เดินถูกทาง ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ มันก็มีความมืด มีอวิชชาครอบงำ จิตมันไม่อาจเดินถูกทาง เพราะอวิชชาครอบงำ นี่ก็ให้มีธรรมะเป็นแสงสว่าง เป็นชีวิตที่มีแสงสว่างของธรรมะกำกับอยู่ มันก็จะเดินถูกทาง สิ่งที่เรียกว่าชีวิตน่ะมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่จิต ดังนั้นจงจัดการกับจิต เราเกิดมาจากท้องมารดา มันก็เริ่มโง่ พอเกิดมาจากท้องมารดา ก็เริ่มโง่หนักขึ้น โง่หนักขึ้น โง่หนักขึ้น โง่หนักขึ้น เป็นผู้ใหญ่ก็โง่กันเต็มที่ เมื่ออยู่ในท้องมารดา มันไม่มีเรื่องที่ต้องโง่หรือฉลาด พอเกิดมาจากท้องมารดา ตา หู คอ จมูก ลิ้น กาย ใจก็ทำงาน ก็หลงรักรูปที่สวยงาม หลงรักเสียงที่ไพเราะ หลงรักกลิ่นที่หอมหวน หลงรักรสที่อร่อย หลงรักความนิ่มนวลแก่ผิวหนัง หลงรักอารมณ์ที่ถูกใจ ยิ่งใหญ่ยิ่งโง่ ยิ่งใหญ่ยิ่งหลงรักก็คือยังโง่ ยิ่งโตก็ยิ่งหลงรักในสิ่งที่มาแวดล้อม นี่เรียกว่ายิ่งโตขึ้นมาก็ยิ่งโง่ แต่คนเขาไม่รู้สึกอย่างนั้นนะ คนทั่วไปรู้สึกว่าได้อร่อย ได้หอม ได้สบายนี่ยิ่งดีมีโชค หารู้ไม่ว่ามันยิ่งมาทำให้เราโง่ ยิ่งมาทำให้เราโง่ ไปหลงรักสิ่งทั้ง ๖ นี้ เท่าไร มันก็เป็นความโง่เท่านั้นแหละ แล้วเราก็ชอบสอนเด็ก ๆ ให้โง่ คนที่เป็นพ่อเป็นแม่นั่นแหละ มันสอนลูกให้มันโง่ มันเอาอะไรมาบำรุงบำเรอลูกทารกให้หลงรัก หลงรักทางสวยงาม หลงรักทางไพเราะ หลงรักหอมหวน หลงรักทางเอร็ดอร่อย หลงรักทางนิ่มนวลชวนสัมผัส พ่อแม่พาไปให้กินอาหารที่อร่อย พาให้ไปดูของเล่นที่แพง ๆ แล้วก็ซื้อให้ หารู้ไม่ว่าทำอย่างนั้นมันทำให้ลูกโง่ มันไปตามก้นฝรั่ง ที่ว่าทำให้เด็กได้เล่นของดี ๆ แพง ๆ แล้วมันจะฉลาด เราเป็นคนโง่ตามก้นการศึกษาของฝรั่ง ซึ่งมันจะผิดมากขึ้น ผิดมากขึ้น อาตมาก็พูดตรง ๆ อย่างนี้ ฉะนั้นหยุดทำให้ลูกโง่กันเสียที ผู้ที่เป็นมารดาทั้งหลาย พยายามให้ลูกเด็ก ๆ มันรู้ว่า มันอย่างนั้นเองแหละ ถ้าไปทำผิดเข้ามันกัดเอาแหละ มันจะเป็นทุกข์ ถ้ามันทำถูกมันก็จะไม่มีความทุกข์ อย่าให้ลูกเด็ก ๆ ของเราเริ่มหลงใหลในอะไรเลย ให้รู้ตามที่เป็นจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น ไปทำเข้ามันจะเป็นอย่างนั้น สอนกันแต่อย่างนี้ คือให้มันรู้ตามที่เป็นจริงยิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าสอนให้ลูกไหว้ใครไปเสียตะพึด มันจะโง่ แล้วก็อย่าสอนลูกว่าอย่าไหว้ใครเป็นอันขาด มันก็ทำให้โง่ สอนลูกเด็ก ๆ รู้จักเลือกไหว้คนที่ควรไหว้ก็แล้วกัน แล้วเราสอนเขาว่า อย่างไรควรไห้วอย่างไรไม่ควรไหว้ ให้ลูกเด็ก ๆ ของเราก็เป็นคนฉลาด บางคนเขายุให้ไหว้ใครไปตะพึด แล้วก็มันดีอย่างอื่นนะ แต่มันไม่ดีสำหรับจะรู้ บางคนก็ไม่ให้ไหว้ใครเลย ไม่ให้ไหวใครเลย นี่มันก็ไม่ถูก สอนให้เด็กฉลาดก็ต้องสอนให้รู้จักเลือกไหว้ ว่าคนชนิดไหนมันมีอะไรดีที่ควรจะไหว้ เมื่อสอนอยู่อย่างนี้ไม่เท่าไรเด็ก ๆ ของเราก็ฉลาด มันรู้จักเลือก เลือกแยกออกเป็นฝ่ายที่ใช้ไม่ได้ กับฝ่ายที่ใช้ได้ ฝ่ายที่จะเป็นที่พึ่งได้ ฝ่ายที่จะไม่เป็นที่พึ่งได้ นี่เรากล่อมเกลาลูกเล็ก ๆ ให้มีจิตดำเนินมาอย่างถูกต้อง ครั้นมาถึงขั้นผู้ใหญ่อย่างนี้แล้วก็รู้จักควบคุมจิต ตั้งจิต ดำรงจิต ฝึกฝนจิต ให้มันถูกต้อง โดยหลักใหญ่ ๆ ก็คือว่าให้มีสติปัญญา คำพูดนี้ดูพูดเล่น ๆ ฟังดูคล้ายกับพูดเล่น ๆ แต่ว่ามันเป็นความจริงที่สุด สำคัญทีสุดหละ จงอบรมเด็ก ๆ ของเราให้มีสติปัญญา ถ้ามันไม่มีสติปัญญาแล้วมันทำผิดหมดแหละ ทำผิดทางตา ทำผิดทางหู ทำผิดทางจมูก ทำผิดทางลิ้น ทำผิดทางร่างกาย ทำผิดทางจิตใจ ไปหลงอยู่แต่กับเรื่องยินดียินร้าย ตามกิเลสตัณหา ไม่มีความสงบสุข
ทำให้เขามีสติปัญญา ก็คือว่าสอนในเรื่องของปัญญา อะไรดีอะไรชั่ว อะไรให้เกิดทุกข์ อะไรไม่ให้เกิดทุกข์ อะไรจะเป็นปัจจัยแก่อะไร ส่งเสริมอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เห็นว่าไอ้สิ่งทั้งปวงน่ะมันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เช่นนั้นเอง อย่าไปยินดียินร้าย เมื่อมันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างไปหลงรัก อย่าไปหลงโกรธ หลงเกลียด เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างนี้เรียกว่าส่วนปัญญา ทีนี้ก็เหลือส่วนสติ ส่วนสติ คือระลึกได้เร็ว ระลึกได้ทันท่วงทีนี้เป็นส่วนสติ เร็วกว่าสายฟ้าแลบ เพราะว่ากิเลสมันจะเกิดเมื่อสัมผัสอะไรนั่นน่ะ มันเร็วกว่าสายฟ้าแลบ ถ้าสติไม่เร็วพอไม่เอาปัญญามาทันเวลา มันก็ทำผิดหมด ฉะนั้นเราก็หัดฝึกให้มีสติเร็ว ตามแบบที่ว่าฝึกสติ ตามแบบวิปัสสนาในส่วนที่เป็นการฝึกสติ ฝึกไป ๆ มันก็มีสติเร็ว วิปัสสนาแบบที่ให้มีปัญญาก็ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร ก็มีความรู้ มีปัญญา พอเกิดอะไรขึ้นแก่บุคคลนั้น สติก็เอาปัญญามาทันท่วงที เหมือนกับสายฟ้าแลบ เร็วขนาดนั้น มาควบคุมผัสสะให้ถูกต้อง ผัสสะทางตา ผัสสะทางหู ผัสสะทางจมูก ผัสสะทางไหนก็ตาม พอมีผัสสะแล้วก็ให้สติ เอาปัญญามาทัน ควบคุมผัสสะอย่าให้ผิดพลาดได้ เราก็ไม่ทำผิดเรื่องผัสสะ เกิดเวทนาขึ้นก็ไม่หลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียด หลงกลัว เห็นเวทนามันเป็นสักว่าเวทนา ฉันไม่ยินดี ยินร้ายกับแก ฉันจะดูแต่ว่ามีอะไรที่จะต้องทำเกี่ยวกับกรณีนี้ ฉันก็ทำเกี่ยวกับกรณีอย่างถูกต้อง มันก็สำเร็จประโยชน์ไปเพราะการกระทำที่ถูกต้อง ไม่ให้เวทนามันหลอกเราให้เกิดตัณหา อยากตามความหลอกของเวทนา อยากได้ อยากมี อยากเอา อยากเป็น อยากอะไรยุ่งกันไปหมด จนกระทั่งอยากฆ่าตัวตาย ทีนี้เมื่อไม่มีตัณหา ไม่มีอยาก ก็ไม่มีอุปาทาน มันก็ไม่เกิดกูผู้อยาก มันก็ไม่ยึดถืออะไรเลย ความเป็นของกู เรื่องมันก็จบ ไม่มีความทุกข์ เพราะว่าเรามีสติปัญญาเพียงพอเอามาคุมผัสสะไว้ได้ ผัสสะมีทุกวัน วันละหลายสิบครั้ง เพราะไม่ได้รับการควบคุมด้วยสติปัญญา มันก็ผิดหมด มันไปส่งเสริมกิเลสตัณหาหมด เราก็ต้องเป็นทุกข์ อยู่ด้วยชีวิตชนิดที่ขุ่นมัวเศร้าหมอง เร่าร้อน มืดมน ไม่ใช่ชีวิตเย็น ไม่สมกับที่เป็นพุทธบริษัทเลย และเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ต้องสามารถอยู่ได้ด้วยความเย็น เป็นชีวิตเย็นมีความหมายของนิพพาน คือความเย็น ไม่ต้องร้อนเพราะกิเลส เพราะเรามีสติปัญญาควบคุมผัสสะไว้ไม่ให้เกิดกิเลส นี่ศิลปะสูงสุดของความเป็นมนุษย์ ของพระพุทธศาสนา
การปฏิบัติในพระพุทธศาสนาน่ะ ฝรั่งเขามามอง มองแล้วเขาเห็นว่าเป็นยอดของศิลปะ ศิลปะของการมีชีวิตชนิดที่ไม่เกิดความทุกข์ ไม่มีศิลปะใดในโลกที่จะเสมอด้วยศิลปะของการครองชีวิตอย่าให้เป็นทุกข์ แต่พุทธบริษัทไม่ทำอย่างนั้นนี่ พุทธบริษัทไม่มองกันในแง่นี้ ปล่อยตามบุญตามกรรม ร้องให้วันละ ๑๐ หน หัวเราะวันละ ๑๐ หน ไม่เท่าไรก็ไปอยู่โรงพยาบาลประสาท แล้วมันจะเป็นศิลปะกันอย่างไร นี่ขอให้ไปปรับปรุงกันเสียใหม่เถิด ให้เป็นพุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่มัวหลับอยู่ด้วยอวิชชา เป็นผู้ตื่นจากหลับ คืออวิชชา แล้วก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็เป็นผู้เบิกบานสดใสเหมือนกับดอกไม้บาน จึงเรียกว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือพุทธ ถ้าไม่ถึงขนาดนี้ก็ยังไม่เป็นพุทธบริษัท ไม่ใช่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นพุทธบริษัท มันก็สักว่าเกิดมาตามทะเบียน แม้จะมาบวชพระ บวชเณร ก็ไม่เป็นพุทธบริษัท ถ้ามันไม่มีความรู้ ความตื่น และความเบิกบาน จึงหวังว่าเราจะมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะจำเป็นแก่ชีวิต เป็นคู่ของชีวิต ธรรมะ คือความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ใครมีธรรมะเป็นคู่ชีวิตแล้วย่อมคุ้มครองไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์ทั้งหลายในโลก มีความเป็นอยู่เหนืออารมณ์ที่เรียกว่าโลกุตตระ แล้วก็สำเร็จได้ที่นี่ ไม่ต้องรออีกกี่ร้อยกี่พันชาติ เหมือนที่เขาพูด ๆ กัน เมื่อไรเราอยู่เหนืออำนาจของอารมณ์ที่มาบีบคั้น เรียกว่าเรามีภาวะเป็นโลกุตตระ คือเหนือโลก เมื่อไหร่เราอยู่ภายใต้อารมณ์ที่มาแวดล้อม เมื่อนั้นเราอยู่ใต้โลก คืออยู่ในนรก ใต้โลกลงไปก็คือนรก เป็นที่รู้กันอย่างนี้ เราอยู่ใต้อารมณ์ คืออยู่ใต้โลก มันก็อยู่ในนรก ถ้าเราอยู่เหนืออารมณ์ อารมณ์ไม่ครอบงำเราได้ มันก็อยู่เหนือโลก คืออยู่ในสวรรค์หรือ เลยสวรรค์ขึ้นไป ก็เป็นนิพพาน ถ้าเราไม่อยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ ไม่อยู่ใต้อำนาจของโลก เราก็อยู่เหนือโลก คือนิพพาน เป็นชีวิตเย็น ในบ้านเรือนนั่นแหละ เมื่อจิตใจมันอยู่เหนืออำนาจของอารมณ์แล้ว มันก็จะเยือกเย็น เมื่อทุกคนในครอบครัวนั้นรู้จักทำอย่างนี้ ครอบครัวนั้นก็จะเป็นครอบครัวที่เย็น เป็นครอบครัวที่มีแสงสว่างของพระพุทธเจ้า สำหรับจะมีชีวิตอยู่อย่างคุ้มค่า ไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งธรรมชาติได้ให้ชีวิตนี้เป็นเดิมพัน เป็นต้นทุนว่าทุกคนจงเอามาใช้จ่าย ทำการค้าให้เกิดประโยชน์ ให้เกิดกำไร คือให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ อย่าให้เสียชาติที่เกิดมา
รวมความว่าอาตมาได้พูดถึงสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตคือธรรมะ ขอให้ธรรมะนำชีวิต ให้พุทธธรรมนำชีวิต ธรรมะที่แคบเข้ามาก็คือหน้าที่ ที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนอย่างไรนั่นเรียกว่าพุทธธรรม แล้วก็นำชีวิต เราพูดกันเรื่องพุทธธรรมนำชีวิต พอสมควรแก่เวลาแล้ว ใครชอบก็เอาไปสนใจ ไปพิจารณาดู ใครไม่ชอบ ก็ทิ้งไว้ที่นี่ กลับไปหัวขาด ไม่คุ้มค่ามา อาตมาเห็นว่าเป็นการบรรยายที่สมควรแก่เวลาแล้ว เหลืออยู่แต่ฝากความหวังไว้กับท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงใช้คำบรรยายนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจงมีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอจบการบรรยาย