แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นี่ผมก็จะยังคงพูดเรื่อง เอ่อเกี่ยวกับวิธีการไปตามเดิม โดยถือว่าเป็นเรื่องวิชาการนั้นก็พออยู่แล้ว เรื่องที่อยากจะพูดวันนี้ก็คือฝ่ายที่จะรับตำสั่งสอนหรือว่าปัญหาเนื่องจากฝ่ายที่จะรับคำสั่งสอน มันต้องมีผู้สั่งสอนมีผู้รับคำสั่งสอน ซึ่งก็ต้องถูกฝาถูกตัวแก่กัน จะต้องถูกฝาถูกตัวแก่กัน ปัจจุบันนี้เราต้องถือว่าโลกนั่นแหล่ะโลกทั้งโลกจะเป็นผู้รับคำสั่งสอน แต่ก็ต้องดูออกไปตามลำดับขั้นมันเป็นส่วนบุคคล เป็นส่วนบ้านเมืองเป็นส่วนประเทศชาติ แล้วจึงถึงโลกทั้งโลกเป็นส่วนรวม ผู้ที่จะเผยแผ่ธรรมะ ควรจะมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ อย่างถูกต้องอย่างเพียงพอ การที่จะให้มันสำเร็จประโยชน์เต็มที่นั้นมันต้องเล็งถึงคนส่วนใหญ่ เราจะเผยแพร่กันอยู่เพียงแค่คนสองคนหรือไม่กี่ร้อยคนนี้มันไม่พอ มันต้องเล็งถึงคนทั้งหมดหน่ะ จึงจะสมกับค่าของธรรมะ เพราะธรรมะมีคุณค่าใหญ่หลวงจนคำนวณไม่ได้ แล้วจะใช้เป็นประโยชน์แต่เพียงคนไม่กี่คน มันก็ไม่คุ้มหรือเรียกได้ว่ามันไม่สมกัน เราจะต้องเพ่งเล็งให้ใช้ประโยชน์ได้แต่คนจำนวนมากที่สมควรกัน อย่างที่เราได้ยินในพระพุทธภาษิตแล้วก็ได้ยินว่าเพื่อประโยชน์ของมหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ หรือเท่าที่เราจะมองเห็นปัญหาในเวลานี้ เราก็เห็นชัดกันเหลือเกินแล้วว่า มันมาจากปัญหาของโลก เพราะว่าเดี๋ยวนี้โลกมันเล็กนิดเดียว มีอะไรนิดหนึ่งก็ถึงกันหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารแป๊บเดียวก็รู้กันทั้งโลก การกระทำต่างๆก็รู้กันทั้งโลก หรือผลร้ายที่มันเกิดขึ้นที่ส่วนหนึ่งของโลกมันก็ไปถึงทั้งโลก เขาทำสงครามกันที่ส่วนหนึ่งของโลกแต่ผลร้ายจากสงครามนั้นมันก็ไปทั่วโลก เพราะว่ามันมีโดยอ้อมด้วย ที่เป็นโดยอ้อมนี่มันไปนี่มันไปได้ทั่วโลก โลกมันจึงเล็กนิดเดียว ซึ่งเราสามารถจะทำให้ได้รับประโยชน์ถึงกันก็ได้ หรือเราจะต้องป้องกัน เข้ามาป้องกันที่จะมาจากทุกส่วนของโลก ถ้าทำอย่างนี้ได้ในความหมายของคำว่าธรรมจาริกนี่ย่อมสมบูรณ์ ตามพระบาลีที่ได้เอามาอ่านให้ฟังแล้ว พระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายทั้งโลก ทั้งมหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์
ทีนี้เราก็จะต้องดูว่าปัญหามันมีอยู่อย่างไร ถ้าเรากล่าวอย่างที่เรียกว่า รวมๆกันผิวๆนี่มันก็ถึงกันหมด คนแต่ละคนก็มันประกอบกันขึ้นเป็นโลก โลกมันก็คือส่วนประกอบของคนแต่ละคน จะมาแยกดูโดยละเอียดแล้วนี่ไอ้คนแต่ละคนมันก็มีปัญหาต่างๆกัน เมื่อเป็นปัญหาระดับคน มันก็อยู่ในรูปอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเป็นปัญหาระดับชาติมันก็เป็นปัญหาที่อยู่ในอีกรูปหนึ่ง พอถึงปัญหาระดับโลก มันก็เป็นปัญหาอีกรูปหนึ่งทีเดียว นั้นพระธรรมจาริกควรจะต้องรู้สิ่งเหล่านี้อย่างเพียงพอ บางคนอาจจะคิดว่า โอ๊ย,ไม่ต้องมายุ่ง พระธรรมจาริกทำงานแต่ในวัดในวาในขอบเขตของพระ ไม่ต้องอาจเอื้อมไปถึงปัญหาของโลก กลัวจะเกินหน้าที่ แต่ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าทำได้แล้วก็ดีที่สุดเลย ถ้าทำเป็นการแก้ปัญหาของโลกแล้วก็ดีที่สุด แล้วก็ตรงตามพระพุทธประสงค์ด้วย ในสาวกด้วยกัน แก้ปัญหาของโลก ทั้งเทวดาและมนุษย์ นั้นพระธรรมจาริกก็ไม่ควรจะมองดูแคบๆ หรือว่าเจียมตัว เจียมตัวเกินไป ที่จริงความไม่เจียมตัวนั้นมันก็ผิด ไม่ใช่ของดี ความไม่เจียมตัวเป็นของเลว แต่ถ้าเราเจียมตัวอย่างงมงายอย่างโง่เขลามันก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน นั้นควรจะวางมาตรฐานกันมากน้อยเท่าไรกว้างแคบเท่าไร ก็ควรดูเอาเอง ให้มันถูกกับปัญหา ผมเองก็พยายามที่จะให้พระธรรมในพุทธศาสนาเป็นประโยชน์แก่โลก แพร่หลายไปทั่วโลก นี่ก็พยายามอย่างที่เห็นๆกันอยู่ แม้ว่ามันยังไม่ได้ แต่มันก็ยังต้องทำ แต่ดูแล้วไม่ใช่ว่ามันจะไม่ได้เสียเลย แต่มันได้ตามสมควรเหมือนกัน อืมเดี๋ยวนี้ก็มีคนรู้จักสวนโมกข์ไปทั่วๆโลกไม่ใช่ทุกคนแต่มันก็ประปรายไปทั่วๆโลก และเริ่มยอมรับว่าศาสนานั้นมันเป็นสิ่งจำเป็น ก่อนนี้คล้ายๆเขาจะถือเป็นหลักว่าไม่ต้องๆ ไม่ต้องยุ่งกับศาสนา เอาเรื่องการเมือง การเศรษฐกิจ การทหาร การอะไรว่ากันไปให้ถึงที่สุด ก็แก้ปัญหาของโลกได้ แต่เดี๋ยวนี้มันมาถึงขั้นที่ว่าเริ่มมองเห็นกันแล้วว่ามันจะไม่ได้ เขาก็เลยเหลือบดูไปทางธรรม ทางศาสนา ทางศาสนาของตนๆ เพราะว่าลัทธิการเมืองมันไม่อาจจะช่วยได้ มันพิสูจน์ความช่วยไม่ได้มากขึ้น แต่ว่าศาสนาหรือธรรมะจะเข้าไปช่วยโลกในรูปเดิมตามแบบเดิมก็คงไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันคนละยุค คนละสมัยเกินไป นั่นแหล่ะมันคนละแบบ คือมนุษย์เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนมนุษย์เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว มันจึงต้องเป็นธรรมะหรือเป็นศาสนาที่ได้รับการปรับปรุง อย่างที่เขาเรียกว่าการประยุกต์ คือทำให้มันเข้ารูปกัน ที่เรียกว่ามันถูกฝาถูกตัวกัน และศาสนาทุกศาสนามันจึงต้องได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้มันถูกฝาถูกตัวกันกับปัญหาโลกในยุคปัจจุบันนั่นแหล่ะจะเป็นหนทางให้สำเร็จ ก่อนนี้มันอาจจะเอาตามตัวหนังสือในพระคัมภีร์ โดยตรงก็ได้ก็ยังได้ถ้าเป็นในสมัยโบราณ แต่เดี๋ยวนี่มันไม่ได้ บางทีมันก็ไม่ได้มากๆเพราะคำกล่าวในพระคัมภีร์นั้นมันกล่าวไว้ในยุคหนึ่งหรือกล่าวไว้ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเหมาะสมกับคนในยุคนั้นแต่ไม่เหมาะสมสำหรับคนยุคนี้และมันก็ต้องการการตีความ ต้องการแปลความหมายของพระคัมภีร์นั้นๆ อย่างนี้เป็นปัญหาเหมือนกันทุกศาสนาเลย ยกตัวอย่างแค่เพียงสองศาสนาก็พอ ศาสนาคริสต์กับศาสนาพุทธ ในถ้อยคำที่เขาได้กล่าวไว้ในรูปความปาฏิหาริย์ มันผิดธรรมดามาก แต่คนเขาไม่เชื่อ ถ้าไม่ตีความให้มันพอจะฟังได้ กล่าวไว้ในรูปปาฏิหาริย์เป็นในรูปเทพนิยาย เขาเชื่อกันทำนองนั้น เมื่อก่อนนี้ก็ได้แต่เรื่องปาฏิหาริย์ทั้งหลายที่นี่ประดับประดาองค์พระพุทธเจ้าก็ดีองค์พระเยซูก็ดี ล้วนแล้วแต่มีปาฏิหาริย์กันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็เช่นที่ว่าประสูติออกมาก็เดินได้ พูดได้ อย่างนี้เป็นต้น พระเยซูก็ว่าไม่ต้องมีพ่อ แล้วก็ตายสามวันก็เป็นขึ้นมา ให้คนเห็นแล้วก็ไปสู่สวรรค์ต่อหน้าต่อตา หรือปาฏิหาริย์อื่นๆอีกมากมาย คนเดี๋ยวนี้เขาไม่ยอมรับ มักจะแปลความหมายนั้นให้เข้ารูปตามเหตุการณ์ต่างๆ มีคนเป็นอันมากก็โดนว่า เป็นนักศึกษานิสิตมาถามเรื่องนี้ก็ไม่รู้จะให้เขาทำอย่างไร เพราะเขาไม่อาจจะยอมรับหรือเชื่อตามปาฏิหาริย์เหล่านั้น ผมก็ได้บอกว่านั้นน่ะเขาพูดไว้ ชนิดที่ต้องแปลต้องตีความต้องแปล ซึ่งมันแปลได้ทุกข้อเลยไม่ว่าจะเป็นปาฏิหาริย์อย่างไร ข้อไหน กี่ข้อๆ ข้อไหนๆ ตีความหมายให้มันตรงตามเรื่องราวธรรมดาสามัญได้ทั้งนั้น นี่ก็อย่างหนึ่ง เราบอกให้เขารู้ว่ามันจำเป็นที่พระศาสดาทุกองค์ต้องมีปาฏิหาริย์ ไม่ว่าศาสดาในศาสนาไหนต้องออกมาในรูปของปาฏิหาริย์ทั้งสิ้น การจะเกิดขึ้นมาการจะเป็นอยู่เป็นไปล้วนแต่เป็นปาฏิหาริย์ทั้งนั้น เพราะว่าพระสาวกแห่งศาสนานั้นๆก็ต้องการให้ศาสนาของเขามั่นคง ต้องการให้ศาสดาของเขามั่นคงด้วยการมีปาฏิหาริย์ นั้นพอพระศาสดาตัวจริงของเขาล่วงลับไปแล้ว เขาก็ใส่เสริมเริ่มปาฏิหาริย์ให้ก็ได้ ให้มันมีความมั่นคงโดยเฉพาะให้มันเหมาะสมกับมนุษย์สมัยนั้น ซึ่งเชื่อก็เลยชอบปาฏิหาริย์ และก็ระบายถึงศาสดาของตนๆ ให้เต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ มันจำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันจึงเหลืออยู่เพราะอย่างนั้นเราอย่าเอามันมาเป็นข้อขัดขวาง สำหรับจะไม่เชื่อไปเสียหมด เป็นความจำเป็นว่าเขาต้องพูดอย่างมีปาฏิหาริย์เราก็ต้องเห็นใจเขาสิ เราก็แปลปาฏิหาริย์นั้นออกไปให้เป็นคำธรรมดาเป็นเรื่องธรรมดาเอาเอง
ทีนี้ผมก็พูดเลยไปถึงว่า ไม่สำคัญจะไม่สนใจก็ได้ไอ้เรื่องปาฏิหาริย์น่ะ เพราะไม่ว่าจะมีปาฏิหาริย์หรือไม่มีปาฏิหาริย์ตามหลักพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้เชื่อในทันที แต่เอามาพิจารณาดูว่าถ้าดับทุกข์ได้จึงจะยอมรับเอา หรือจะพูดให้มันแรงกว่านั้นก็ปาฏิหาริย์หรือไม่มีปาฏิหาริย์ก็ไม่รู้ไม่ชี้ แต่ถ้าข้อนี้มันดับทุกข์ได้หรือไม่คุณดูเอาเองสิ ถ้าคำสอนนี้มันดับทุกข์ได้ก็เอาไปแก้ดับทุกข์สิ จะมีปาฏิหาริย์หรือไม่มีก็ไม่เห็นเป็นอะไรมานั่งเสียเวลาเถียงกันเปล่าๆนั่น พูดกับนักศึกษาสมัยใหม่ก็ต้องพูดแบบนี้ พระพุทธเจ้าจะมีปาฏิหาริย์หรือไม่มีปาฏิหาริย์ไม่สำคัญหรอก แต่ไอ้ที่ท่านสอนมันดับทุกข์ได้หรือไม่ ถ้ามันดับทุกข์ได้ก็นำไปดับทุกข์ ก็ได้ประโยชน์พอแล้ว แล้วก็บางคนนะนักศึกษาบางคนเขาตั้งข้อหามากกว่านั้นว่าไอ้เรื่องเหล่านี้ไม่จริงถึงกับว่า พระพุทธเจ้าก็มิได้เกิดขึ้น แล้วพระคัมภีร์นี่ก็แต่งขึ้นเองโดยที่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เกิดขึ้น อย่างนี้ก็มี ผมก็บอก เอ้าๆไม่เป็นไรพระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด แต่หลักคำสอนเหล่านี้มันดับทุกข์ได้หรือไม่คุณก็ดูเอาเองสิ คำสอนมันมีอยู่อย่างนี้ จึงอย่าไปฝากไว้ว่า พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด พระคัมภีร์นี่มาจากสวรรค์หรือมนุษย์เขียนขึ้นนี่ไม่ต้องขอให้ดูที่พระคัมภีร์นี่แหล่ะว่ามันช่วยดับทุกข์ได้หรือไม่ ถ้าปฏิบัติตามนั้นแล้วมันดับทุกข์ได้ก็เอาแหล่ะ ครั้งแรกยังไม่เชื่อก็ลองดูสิ พิจารณาเห็นว่าน่าจะดับทุกข์ได้ก็เอาสิลองแล้วดับทุกข์ได้ ก็เอาตามนั้น ฉะนั้นเราจึงไม่เห็นว่าจะต้องมาตั้งปัญหาว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นจริงหรือเปล่านายนั่นก็นิ่งไป แล้วพระไตรปิฎก พระคัมภีร์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนั้นจริงหรือเปล่า ตรัสจริงหรือเปล่าก็เลยตัดบทออกให้หมดว่าไม่ต้องๆ คุณดูแต่ว่าตัวคำกล่าวนั่นมันเป็นคำกล่าวที่มีใจความเนื้อหาสาระดับทุกข์ได้หรือยุติกัน
นี่เป็นตัวอย่างที่ว่านักศึกษาปัจจุบันมันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ จนเป็นเหตุให้พาโลไม่เชื่อไปซะหมด จนเปลี่ยนศาสนาก็มี จนพวกที่ถือศาสนาคริสต์มาก่อนเขาก็ไม่เชื่อไม่ชอบแล้วเขาก็มาเปลี่ยนศาสนาอื่นก็มี แต่ก็ช่วยไม่ได้มันมาโดนปาฏิหาริย์ในศาสนาอื่นเข้าอีกมันก็ต้องมีทุกศาสนา ไม่มากก็น้อย ปาฏิหาริย์ไม่น่าเชื่อมันต้องมีทุกศาสนา นี่แสดงว่าไอ้การศึกษาในโลกปัจจุบันมันไปทำให้ชาวโลก นี่มีทิฐิความคิดความเชื่อเปลี่ยนไปมากจากยุคเก่าโน้น ถ้าผู้เผยแผ่ศาสนาไม่รู้พอไม่เก่งพอก็ไม่ทำให้คนเหล่านี้ยอมรับได้ หรือแม้ที่ที่สุดจะยอมฟัง เขาอาจจะไม่ยอมฟังเลยก็ได้อย่าว่าแต่จะยอมรับ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าภิกษุเราควรจะศึกษาธรรมะ หรือมีความรู้ธรรมะให้มันทันสมัยให้มันทันโลกให้มันทันสมัย ถ้าจะศึกษาอยู่แต่ในหลักสูตรนั้นมันไม่พอแน่ เพราะมันยังมีปัญหาเรื่องหลายเรื่องเช่นปัญหาเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นเป็นต้น มันไม่มีอะไรมาพิสูจน์ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นจริง ได้สอนอย่างนั้นจริง นี่คือข้อที่ว่าต้องศึกษาให้มันทันสมัย จะต้อนรับผู้ฟังแห่งยุคปัจจุบันได้ นี่สรุปความกันเท่านี้ทีหนึ่งก่อนว่าเราต้องศึกษา มีความรู้ทันสมัย สามารถเผชิญหน้ากับนักศึกษาในโลกยุคปัจจุบันนี้ได้ มีเรื่องความรู้
คราวนี้เรื่องที่สอง เรื่องสถานการณ์ สถานการณ์ในปัจจุบันมันเป็นอย่างไร นี่มันฝ่ายโลกฝ่ายชาวโลกแท้ๆโดยตัวโลกแท้ๆมันมีสถานการณ์อย่างไร เราต้องปรับปรุงธรรมะคำสั่งสอนในศาสนาให้มันตรงกับสถานการณ์ สถานการณ์ในโลกเวลานี้ ต้องเรียกได้ว่าน่าเป็นห่วงมากหรือเลวร้ายมาก ถ้ามัวแต่ก้มหน้าอ่านแต่หนังสือหลักสูตรธรรมะบาลีอยู่มันไม่รู้หรอกว่าโลกมันเป็นอย่างไร คือเรื่องเกี่ยวกับการเมืองนั่นแหล่ะ มันทำให้เกิดสถานการณ์ใหม่ๆในโลก ไอ้ปัญหายืดเยื้อเรื้อรังของโลกก็คือปัญหาระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจนนั่นเอง มันเพิ่งเกิดปัญหาขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ เมื่อไม่ๆกี่ร้อยปีมานี้ ความคิดมันแตกแยก ในทางที่จะไม่เป็นเพื่อนมนุษย์แก่กันและกัน คนจนก็มองเห็นว่าคนมั่งมีเป็นอันตรายเป็นภัยที่เลวร้าย เขาก็ต่อต้าน นี้คนมั่งมีเขาก็เห็นคนจนเป็นศัตรู มันก็ต้องทำการปราบปราม นี่ที่เรียกกันว่าเป็นฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา ฝ่ายขวาก็ของคนมั่งมีหรือของคนมีอำนาจ ฝ่ายซ้ายก็ของคนยากจน คนไม่มีอำนาจ สองฝ่ายนี้มันก็แตกแยกกันทุกที ที่เขาเรียกกันว่ามีช่องว่าง ห่างๆๆไกลกันออกไปทุกที ไม่เหมือนสมัยก่อนสมัยโบราณ คนยากคนมั่งมีเขาอยู่ใกล้ชิดกันมากแล้วเขาช่วยกันซึ่งกันและกัน คนยากจนก็ฝากเนื้อฝากตัวกับคนมั่งมี คนมั่งมีก็ยังมีความคิดที่จะเอาบุญเอากุศลกับคนยากจน ตั้งโรงทาน ก็อย่างที่พูดว่าเศรษฐีต้องมีโรงทานมันก็เต็มไปด้วยโรงทานที่ช่วยเหลือคนยากคนจน ก็เพราะคนยากจนคนมั่งมี อยู่ใกล้ชิดกันไม่มีเกิดช่องว่างที่ตรงนั้น พอมาถึงเดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ต่างคนต่างเห็นต่างๆ ขัดประโยชน์ซึ่งกันและกัน มันแยกตัวออกจากกันจนกระทั่งว่าเป็นศัตรูกัน อย่างที่เขาเรียกว่าขวาสุดซ้ายสุดไปเลย มันเกิดช่องว่างที่ตรงกลางขึ้นมา ที่เป็นฝ่ายซ้ายมันก็เป็นของฝ่ายของคนจนถือประโยชน์ของคนจนเป็นใหญ่ แม้มันจะมีเงินมีอำนาจมีอะไรมันก็จะจับประโยชน์ให้แก่คนจนเป็นใหญ่นั่นแหละฝ่ายซ้าย หรือมันจะเรียกว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ ที่มีรัสเซียเป็นผู้นำ นี้ทางฝ่ายมั่งมีก็กลายเป็นคนมั่งมีที่เห็นแก่ตัวซะแล้ว ไม่ใช่คนมั่งมีเศรษฐีโรงทานไปซะแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีโรงทานแล้ว แล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์แก่คนมั่งมี เพื่อจะรวมกำลังกันได้มันต้องแสดงประโยชน์ที่มันผูกพันแก่กันได้ แล้วก็ฝ่ายขวาซึ่งมีอเมริกาเป็นผู้นำ แล้วเชื้อชาติไหนมันชอบชนิดไหนหรือประชาชนในชาตินั้นมันมีอำนาจในการเลือกคนปกครองประเทศชาติขึ้นมา ชอบชนิดไหนมันก็ไปเข้าฝ่ายนั้น ชาติหลายชาติก็เข้าฝ่ายซ้าย หลายๆชาติก็ไปเข้าฝ่ายขวา คราวนี้ยังมีบางชาติซึ่งก็ไม่มากนัก มันไม่จำเป็นที่จะไปเข้าซ้ายหรือขวา มันก็อยู่ตรงกลาง ประกาศตัวแยกออกมาอีกพวกหนึ่งเรียกว่า ไม่ฝักใฝ่กับฝ่ายใด ดังนั้นเดี๋ยวนี้โลกก็มีการแตกเป็นสามเสี้ยว ฝ่ายขวามั่งมีร่ำรวยอำนาจ ฝ่ายซ้ายยากจน ฝ่ายที่ไม่เข้ากับฝ่ายใด ก็ประกาศตัวไม่เข้ากับฝ่ายใดแต่แล้วก็ไม่แน่นอนหรอก มันประกาศว่าไม่เข้ากับฝ่ายใดแต่มันมีการกระทำชนิดที่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเห็นชัดอยู่เสมอ เพราะมันแล้วแต่ประโยชน์ของมัน นี่โลกกำลังแตกเป็นสามเสี้ยว แล้วจะเอาอย่างไร การสอนธรรมะแต่อย่างเดียวนั้นมัน เขาไม่เอาล่ะ เขาไม่ได้ประโยชน์แก่ฝ่ายเขาเขาก็ไม่เอา หรือเราจะคิดรวมทั้งสามฝ่ายให้มันถืออย่างเดียวกันฝ่ายเดียวกัน มันก็ไม่กล้า แล้วมันก็ไม่กล้าที่จะเอา เพราะมันเสียเปรียบนี่ ถ้าว่าฝ่ายไหนถือธรรมะเคร่งครัดต่อธรรมะต่อศาสนา อีกฝ่ายมันไม่ถือมันก็ได้เปรียบสิ แล้วไอ้ฝ่ายที่อยากจะถือธรรมะถือศาสนามันก็ไม่กล้า เพราะฉะนั้นมันก็คาราคาซังกันอยู่อย่างนี้ จะให้ฝ่ายขวาถือศาสนา ก็เสียเปรียบฝ่ายซ้าย จะให้ฝ่ายขวาถือศาสนาก็เสียเปรียบฝ่ายซ้าย และธรรมดามันก็ไม่เอาอยู่แล้ว ไอ้ที่ว่าฝ่ายซ้ายนี่มันเป็นฝ่ายยากจน ฝ่ายการศึกษาต่ำฝ่ายอะไรต่างๆ ซึ่งมันก็ไม่รู้จักศาสนาอยู่แล้ว นี้ฝ่ายที่เป็นกลางมันก็แล้วแต่ประโยชน์
ทีนี้ก็ยังมีบางประเทศที่ยังไม่มีข้อผูกพันหนาแน่นไปนัก ทมันก็ยังพอจะเลือกได้บ้าง เช่นประเทศไทยเรา เราก็เลยพิจารณาประเทศไทยเรากันดู นี่บอกให้รู้ว่าไอ้สถานการณ์ในโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ ซึ่งผู้เผยแผ่ศาสนาจะต้องรับรู้ มันจะต้องอบรมสั่งสอนให้เป็นประโยชน์แก่คนพวกนั้น ที่มีสถานการณ์อย่างนั้น เขาถึงจะยอมรับเอา นี่เรียกได้ว่ามันเป็นเรื่องกลาง เรื่องกลางระหว่างชาติหรือว่าทั้งโลก ทีนี้เดี๋ยวนี้ที่เป็นภายในชาติเช่นประเทศไทย หรือบางประเทศที่คล้ายกันกำลังลำบากยุ่งยาก ส่วนใหญ่เกี่ยวกับความไม่มีศีลธรรมของประชาชนนั้นเอง ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีศีลธรรมเห็นแต่ประโยชน์ตัวกู มันก็เลยทำการที่เรียกว่าอาชญากรรมเลวร้าย บางทีก็คดโกง ขูดรีด ปล้น จี้ ข่มเหง ข่มขืน มากขึ้นๆ เพราะว่าไอ้ศาสนามันก็ลดลงหายไปเสียมากไอ้คนเลวมันก็มากขึ้น เพราะฉะนั้นอาชญากรรมมันก็มากขึ้นๆ ถ้าเราเปรียบเทียบกันดูระหว่างห้าสิบปีหกสิบปีก็เห็นว่าผิดกันไกล อาชญากรรมเมื่อห้าสิบปีหกสิบปีมีไม่มาก ไม่มากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ อาชญากรรมเดี๋ยวนี้มันก็ต้องกลางเมืองกรุงซะด้วย แต่ก่อนอันธพาลโจรมันมักจะอยู่ในป่าในที่ไม่ค่อยเจริญ เดี๋ยวนี้มันยกพวกไปอยู่กลางกรุง ทั้งอาชญากรรมที่กลางกรุงกลับมากกว่าในป่าคิดดู สถานการณ์มันเปลี่ยนอย่างนี้ คนไม่สนใจในศีลธรรม เพราะมันไม่สนุก ไม่อร่อย เขาบูชาความสนุกสนานเอร็ดอร่อย เลยต้องบูชา ซึ่งก็เป็นปัจจัยความสนุกสนานความเอร็ดอร่อย ฉะนั้นมันจึงต้องการเงินเป็นพระเจ้า ก็บูชาเงิน มุ่งหมายจะได้เงินอย่างเดียว เรื่องผิดถูกชั่วดีไม่ต้องรู้กัน จะเอาเงินอย่างเดียว แล้วก็ได้มาซื้อหาสิ่งเลวร้ายทั้งนั้น เอามาทำอบายมุข ที่เขาปล้นจี้อะไรเอาไปได้นั้นน่ะเขาเอาไปทำอบายมุขกันทั้งนั้นแหละตามที่มันปรากฎอยู่จริงๆ มันก็เกิดปัญหาขึ้นภายในวงประเทศ ภายในประเทศไม่ว่าจะทำอย่างไร เมื่อประชาชนเลวร้ายลงไป ไม่มีศีลธรรมอย่างนี้มากขึ้นๆ ทางฝ่ายศาสนาจะทำอย่างไร
ผมเองก็รู้สึกว่าการสอนธรรมะสอนศาสนาสมัยนี้ มันยากลำบากกว่าสมัยเมื่อสี่ห้าสิบปีมาแล้ว มันยากลำบากต่างๆกัน เช่นว่าสมัยก่อนเด็กๆมันยังว่าง่าย เรียกตัวมาฟังมาสอนได้ เดี๋ยวนี้เรียกมามันก็ไม่เอา คนหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งไม่เอา คนแก่เฒ่ารุ่นนี้ก็เปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนคนแก่เฒ่ารุ่นก่อน ในการสอนธรรมะสอนศาสนาให้แก่คนปัจจุบันนี้มันก็ยาก ไม่มีมาฟัง เด็กๆหรือวัยรุ่น หรือว่าหนุ่มสาวก็ไม่ค่อยมาฟัง ก็ได้แต่สอนคนแก่ที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วคนเหล่านั้นก็หาว่าพระสอนแต่เรื่อง ครึคระคร่ำครึก็ไม่อยากฟัง เด็กๆก็พูดอย่างนั้น หนุ่มสาวมันก็พูดอย่างนั้น มันก็ไม่อยากฟัง นี่จะทำอย่างไร พระผู้มีหน้าที่เผยแผ่ศาสนาจะทำอย่างไรให้กับปัญหาภายในประเทศ ภายในประเทศที่มีพลเมืองเลวลงไปอย่างนี้
ทีนี้มันยังมีปัญหากับรัฐบาลมันเองอีกด้วย คือเมื่อรัฐบาลเขาไม่ได้ต้องการแก้ปัญหาด้วยศาสนาหรือด้วยศีลธรรม เขาจะแก้ปัญหาด้วยเศรษฐกิจ ด้วยการเมืองด้วยการทหาร รัฐบาล เรามาชวนเขาให้แก้ปัญหาด้วยศาสนา ศีลธรรมเขาไม่เอาด้วยหรอก นี่สิ่งที่มันชะงักงันมันก็เป็นแบบนี้ จะแก้ปัญหาทางศีลธรรมด้วยเศรษฐกิจด้วยการเมืองมันทำไม่ได้ จะชวนแก้ปัญหาด้วยศาสนา ด้วยธรรมะรัฐบาลเขาก็ไม่กล้า เขาก็ไม่เห็นว่ามันจะทำได้ เขาจึงเรื่อยๆปล่อยเฉยๆ ไปรีบเร่งแต่เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร เป็นต้น นี่คือปัญหาคาราคาซังที่ว่าพระผู้เผยแผ่ศาสนานั้น จะสอนธรรมะสอนศาสนากันอย่างไร ถ้าคุณนั่งพูดนั่งสอนอยู่ที่นี่มันก็ได้แหละ มันก็พอจะคิดออก แต่ถ้าจะต้องพูดให้มันกว้างไกลออกไป เป็นปัญหาของประเทศชาติ มันจะ มันจะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ ครั้นจะไปพูดวิทยุกระจายเสียงทีเดียวฟังกันทั้งประเทศ แล้วให้ได้ความรู้ที่จะแก้ปัญหาของประเทศนั่นล่ะก็ต้องพูดอีกชนิดน่ะ ก็ไม่ใช่ว่าพูดกันอยู่ที่วัดหรือที่หมู่บ้านเพียงสองสามคน ซึ่งคนฟังเหล่านั้นมันมีปัญหาอย่างอื่นไม่เหมือนกับปัญหาที่รัฐบาลกำลังเผชิญหน้าอยู่ เดี๋ยวนี้รัฐบาลก็จะต้องหาเงินให้พอใช้ นี่เป็นปัญหาหนักอกของรัฐบาล งบประมาณไม่พอใช้ จนต้องยอม ยอมว่าเป็นคนหาเงินด้วยอบายมุข รัฐบาลปล่อยให้อบายมุขเป็นไป แล้วเก็บภาษีอบายมุข เช่นภาษีสุรา ภาษีมหรสพ ภาษีอาบอบนวด กระทั่งภาษีการพนัน ล็อตตารี่เป็นต้น แต่ว่ารัฐบาลเขาหมดหนทางเข้า ก็ต้องหาเงินมาช่วยประเทศชาติโดยวิธียอมให้อบายมุขมีอยู่ แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะไปบอกให้เขาเลิกสิ่งเหล่านี้ได้เหรอ ถึงบอกเขาก็หัวเราะเยาะให้อีก นี่ก็คือปัญหาล่ะเห็นไหม พระธรรมจาริกถึงต้องรอบรู้ไปถึงจริงที่มีอยู่จริงในวงกว้างของประเทศ นี่ผมต้องรู้สิ ผมต้องพูดทางวิทยุอยู่บ่อยๆ แล้วผมต้องพูดให้ถูกเรื่อง ไม่ใช่พูดให้พอแล้วๆไปทีเหมือนบางองค์ ไม่ใช่ว่าจะดูถูกคนอื่น แต่ต้องพูดว่าผู้พูดวิทยุบางองค์เขาพูดพอแล้วแล้วไปเท่านั้นแหล่ะ พอให้ครบ ครบหกแต้มเท่านั้นเอง เราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ไอ้นิสัยถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะต้องพูดให้มันถูกแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ แล้วก็ใช้ประโยชน์ได้ นั้นจึงต้องศึกษาสังเกตอะไรมากมาย พูดให้มันตรงเรื่อง บางทีจะไม่ถูกใจรัฐบาลก็ต้องพูดก็มี ไม่ถูกใจประชาชนก็มี ไม่ถูกใจเจ้าของอบายมุขทั้งหลายก็มี อย่างเช่นเราพูดว่าอบายมุขมันคือพลัง เป็นขุมทรัพย์ของนายทุน อบายมุขมันคือขุมทรัพย์ของนายทุน เพราะนายทุนเขาร่ำรวยอยู่โดยการมีอบายมุขออกจำหน่าย วัตถุปัจจัยแห่งอบายมุข แห่งกามารมณ์ แห่งอะไรเหล่านี้ เขาเอาออกจำหน่ายแล้วก็ร่ำรวยจากปัจจัย อบายมุขนี่เป็นขุมทรัพย์ของนายทุน คราวนี้นายทุนเขาก็เกลียดขี้หน้าผม ที่เขารู้สึกอย่างนี้เขาก็ไม่ช่วยเราไม่ให้เงินเราไม่ทำบุญกับเราก็ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรื่องนี้ไม่เป็นไร เราก็พูดไปตามที่สมควรจะพูด แต่แล้วเราก็ไม่ได้พูดหยาบคาย เราจะต้องพูดเรื่องที่ไม่หยาบคาย พูดด้วยความหวังดีแนะประโยชน์ก็พูดไป นั่นแหละพระธรรมจาริกจะต้องสามารถพูดถึงขนาดนั้น ไม่ใช่พูดตามหลักสูตรที่เล่าเรียน ของนักธรรมบาลี แต่คราวนั้นมันก็พูดไม่ได้หรอก ไม่มีโอกาสพูด เพราะสถานการณ์ของผู้ฟังมันเปลี่ยนไปแล้ว มันต้องพูดให้ตรงกับปัญหาของผู้ฟัง ต้องพูดเป็นเรื่องจริง มีอยู่จริงในหมู่ประชาชนเหล่านั้น นี่คุณลองคิดดู ไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่เรื่องตื้น มันเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องลึก เรื่องละเอียดประณีตในการจะที่จะพูดให้สำเร็จประโยชน์ ถ้าองค์ไหนคิดว่าทำได้ง่ายๆ ผมว่าองค์นั้นก็คงจะนั่งหลับตา ทำไม่สำเร็จ ศึกษาสองสามวันแล้วจะเก่ง จะพูดได้ มันทำไม่ได้ มันต้องทำกันเป็นปีๆ เป็นสิบๆปี กว่าจะพบปัญหาที่แท้จริง แล้วพูดให้ถูกเรื่องถูกราว ของปัญหาเหล่านั้น นี่เรียกว่าสถานการณ์ภายในประเทศของเราแท้ๆมันก็ยังมีปัญหาถึงขนาดนี้ เป็นการเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่ศาสนา มันทำโดยยาก
ทีนี้แม้ว่าเราจะลดลงมาในส่วนเล็ก เพียงส่วนจังหวัด อำเภอ หมู่บ้าน ตำบลรอบๆวัด เราก็ยังทำได้ยาก ประชาชนรอบๆวัด เขานิยมอบายมุข เราจะทำให้เขาเลิกไม่ได้ เห็นไหม บางแห่งมีปัญหาถึงกับว่าประชาชนนิยมอบายมุข ขนาดพระสอนไม่ได้แหละ ไม่อยากฟัง ไม่ยอมฟัง ถ้าพระไปสอนให้เลิกกินเหล้า เขาก็ไม่ใส่บาตรให้พระฉัน พระก็ทำไม่ได้อยู่ บางคนว่าถ้าไม่ยอมให้กินเหล้าก็ไม่เข้าวัดก็เท่านั้นเอง ต้องยอมให้กินเหล้าในวัด บางแห่งจึงมีเอาเหล้าไปกินกันในๆๆในโบสถ์ก็ยังมี พูดแล้วไม่น่าเชื่อ วัดบางวัดในกรุงเทพมีคนเอาเหล้าไปกินในโบสถ์ วัดเล็กๆริมๆออกไป เพราะประชาชนมีอำนาจเหนือพระ เหนือเจ้าอาวาส คือเหนือวัดนั่นเอง วัดยังต้องง้อประชาชน ประชาชนเขาจะทำอบายมุข ทางวัดก็ห้ามเขาไม่ได้ แล้วคนที่มันชอบอบายมุขนี่มันต้องรู้ไว้เลยว่าคนโง่ทั้งนั้น มันคนโง่ทั้งนั้นที่เราจะไปสอน แล้วคนโง่ไปสอนคนโง่นี่มันยาก ยากเยอะที่จะกล่าว ถ้าสอนคนฉลาดก็พูดกันรู้เรื่องง่ายเข้าใจง่าย ถ้าสอนคนโง่มันยากที่สุด ได้ยินเขาว่ากันว่า ผมไม่เห็นตัวคำสอน เขาว่ากันว่าขงจื๊อเป็นผู้พูดว่า ทะเลาะกับคนโง่นี่ไปทะเลาะกับเสือซะดีกว่า ทะเลาะกับคนโง่นี่ไปทะเลาะกับเสือซะดีกว่า มันไม่สิ้นสุด มันมีความลำบากเปล่าๆ ลำบากเปล่าๆ ไม่สำเร็จประโยชน์ ไปทะเลาะกับเสือซะดีกว่า อย่างไรเสือก็กัดตายมันแล้วก็แล้วไป มันไม่ลำบากยุ่งยากมากเท่าทะเลาะกับคนโง่ หรือบางทีมันอาจจะปราบเสือได้ง่ายกว่าปราบคนโง่ นี่ประชาชนที่หลงใหลในอบายมุขก็เป็นคนโง่ มันก็เลยยากในการจะให้เขาละอบายมุข มันจึงมีปัญหาทั้งนั้น น่าจะรอบวัดก็มีปัญหา คือผู้ฟังที่อยู่ใกล้ๆวัด รอบๆวัดนี่มีปัญหา ทีนี้มันก็ขยายออกไปถึงจังหวัด ถึงระดับชาติ อย่างนี้ยิ่งมีปัญหามหาศาล ปัญหามหาศาลยิ่งกว่าปัญหารอบๆวัด นี้ถ้าว่าดูไปถึงนอกนอกประเทศเป็นระหว่างประเทศ เป็นระดับประเทศแล้วก็ยิ่งมีปัญหา เรียกว่ายิ่งกว่าภูเขา มันเป็นปัญหาเท่าฟ้าท่วมฟ้ามาทีเดียว ครอบงำหมดเลย ดึงไปไม่ได้ สอนให้ปรับตัวแล้วทำไม่ได้ นี่ปัญหาที่จะทำให้เราเผยแผ่ธรรมะไม่ได้ พระธรรมจาริกทั้งหลายอย่าโง่ อย่าอวดดี อย่าประมาท ว่าทำได้ง่ายๆ ทำได้หวัดๆเล่นๆ จะทำด้วยมือซ้ายก็ได้ เป็นไปไม่ได้ ก็เพราะปัญหามันมีอยู่อย่างนี้ แต่ผมพูดนี่ไม่ใช่พูดให้ท้อถอย ไม่ได้พูดให้เลิกความตั้งใจ แต่พูดให้เห็นข้อเท็จจริง แล้วก็ให้มันต่อสู้ให้ได้ ต่อสู้ต่อไป ต่อสู้ต่อไป เราไม่หวังให้คนทั้งโลกเปลี่ยนหมดทั้งโลก มันทำไม่ได้ เพราะไม่มีทางจะทำได้หรอกเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ยังทำไม่ได้เห็นไหม พระพุทธเจ้าก็ยังทำให้คนทั้งอินเดียเปลี่ยนหมดไม่ได้ แล้วเราจะดีอะไรที่ไหนมาที่จะทำให้คนทั้งโลกเปลี่ยนได้ มันมีแต่ว่าเขาจะเปลี่ยนได้เท่าไรกี่คน มันก็เอาทั้งนั้นแหละ ก็เอาเท่านั้น มันคล้ายกับเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ หาแนวร่วม ทางคอมมิวนิสต์เรียกหาแนวร่วม หาคนที่เห็นด้วย หาแนวร่วมไปเรื่อยๆ ค่อยๆมากขึ้น แล้วถ้ามันได้สามสิบเปอร์เซ็นต์ ของคนทั้งหมดที่หวัง เพราะมันจะชนะได้ในวันข้างหน้า ถ้ามันชนะได้สักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยิ่งมีหวังมากขึ้น แต่มันจะก่อรูปก่อตัวมันจะเข้มแข็ง มันจะอะไรขึ้นในอนาคตแล้วก็เอาชนะได้ ที่จะหวังให้คนทั้งหมดคือร้อยเปอร์เซ็นต์เห็นด้วย มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางทำได้ ถ้าว่าคนห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในโลกมันดี โลกก็ไม่ล่มจมหรอก เพราะมันก็ยังพยุงไว้ได้ คนดี คนถูกต้อง นี่มันมีกำลังมาก มีอำนาจ มีความมั่นคงมาก ให้เขาจับกลุ่มขึ้นมาสักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนทั้งหมดเถิด มันก็จะได้ความปลอดภัย อย่างประเทศไทยที่ผมคำนวณดู เอ่อคนที่อ่านหนังสือสวนโมกข์ หรือว่าชอบหนังสือสวนโมกข์นี่ อย่างมากที่สุดก็สักห้าเปอร์เซ็นต์ผมก็พอใจแล้ว คนห้าสิบล้านคน ห้าเปอร์เซ็นต์ได้กี่คน ได้ไม่กี่คน ไม่กี่พันคน ไม่กี่หมื่นคน ผมก็พอใจแล้ว เพราะว่าของดีมันต้องเข้มแข็ง ของดีๆเหมือนเพชรเหมือนทอง ที่มันเข้มแข็ง ขอให้มันเป็นเพชรเป็นพลอยเป็นทองสักห้าเปอร์เซ็นต์ มันจะคุมทั้งหมดไว้ได้ เราหวังได้ เท่านี้แหละ เท่านี้ หวังได้เพียงเท่านี้แหล่ะ จะเอาหมดไม่ได้ ยิ่งเร็วๆนี้ทำไม่ได้ ในอนาคตพูดไม่ถูก ในอนาคตมันอาจจะทุกข์ มันอาจจะบังเอิญ มีคนเขาเห็นดีกันเอง เขาช่วยกันเอง จับกลุ่มกันเองก็ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่ไม่ใช่ฝีมือเราซะแล้ว ฝีมือของเราสักห้าเปอร์เซ็นต์ก็นับว่าเหลือหลายแล้ว พระธรรมจาริก อย่าวางมาตรการไว้มันสูงนักสิ เดี๋ยวทำไม่ได้ขึ้นมา เดี๋ยวก็ท้อถอย โดนสึกดีกว่าอีก มันได้สักห้าเปอร์เซ็นต์ก็ควรจะยินดีแล้ว ต่อสู้ไปเถอะ ต่อสู้ไปเถอะ มันจะได้เท่าไร อย่ากล้าคิดว่าจะเอาห้าสิบเปอร์เซ็นต์ หรือร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกมันทำไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ได้ห้าเปอร์เซ็นต์ก็วิเศษอยู่แล้ว มันจะค่อยๆฟักตัวมากขึ้นไปเอง ถ้ามันจับกลุ่มกันส่งเสริมกันขยายตัวออกไปๆ โดยการปลุกใจๆให้เห็นให้เห็นโทษ ให้เห็นอันตรายให้เห็นอันตราย แล้วกลัวอันตราย และเห็นประโยชน์ และทางออกของอันตราย แล้วออกไปได้จากอันตรายแล้วคนมันทำกันเอง เราจะไปจับเขาเปลี่ยนทีเดียวนั้นทำไม่ได้ มันก็ได้แต่ว่าทำแสงสว่างทิ้งไว้ แล้วแสงสว่างนี้มันก็จะค่อยๆขยายตัวทำให้คนพอใจมากขึ้น คนพอใจมากขึ้น บางทีเราก็ไม่ได้มีชีวิตจะอยู่ทำซะแล้ว แต่ว่าธรรมะเอง ธรรมะนั้นเองมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง ธรรมะมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง ทำให้คนพอใจเพิ่มขึ้น ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยอำนาจของธรรมะนั้นเอง นี่มันจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของมันเองในอนาคต
เดี๋ยวนี้มันก็ดูสิ ในความเสื่อมโทรมเสื่อมทรามเสื่อมสลาย มันบุกเข้ามาถึงในวัดซะแล้ว เพราะว่าในวัดบางวัดนะไม่ใช่ดูถูกดูหมิ่นเพื่อนกัน แต่ในวัดบางวัดมันมีอบายมุขเสียเองมันมีอะไรเสื่อมโทรมเสียเอง โดยพระเป็นผู้ทำเสียเอง เป็นผู้นำเรื่องอบายมุขเสียเอง มันมีโรคร้ายลุกเข้ามาถึงในวัดซะแล้ว จะทำอย่างไรมันก็ได้แต่กัดฟันต่อสู้ไป ต่อสู้ไป หากฝ่ายที่เป็นธรรมะวาที ก็จับกลุ่มกันให้ดีๆ ผนึกกำลังกันให้ดีๆ ค่อยๆขับไล่ ฝ่ายอธรรมะวาทีออกไป ออกไป มันก็หวังได้เพียงเท่านี้ เมื่อเรารู้สึกตัวนี่ โอ้ย,โรคร้ายมันเข้าลึกซะแล้วเข้ามาถึงในวัดแล้ว การเสื่อมเสียศีลธรรม คือว่าพระบรรพชิตนักบวชตกเป็นทาสของอารมณ์เสียแล้ว มากด้วย ไม่ถือธรรมะเป็นใหญ่แล้ว ถืออารมณ์เป็นใหญ่ ถือไอ้ความสุขสนุกสนานสะดวกสบายเอร็ดอร่อยเป็นใหญ่แล้ว นี้จะไปสอนประชาชนให้ถือธรรมะเป็นใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อพระเองก็เป็นแบบนั้นซะแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าเราจะมานินทาใคร กล่าวร้ายใคร แต่เราพูดไปตามสถานการณ์ที่มันมีอยู่จริง มันเป็นดังนี้ แล้วคุณจะเห็นว่ามันเป็นหน้าที่หรือไม่ ถ้าพระธรรมจาริกยังเห็นว่าเป็นหน้าที่แล้วต่อสู้ก็ดี กลัวว่าจะยอมแพ้ หนีไปเลยหรือไปเข้าพวกกับเขาเลยดีกว่า นี่มันคือความล้มละลาย ก็อยากขอให้เตรียมตัวเถิด ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้จริงๆ เตรียมตัว
เอาล่ะเอาเป็นว่าพระธรรมจาริกต้องรู้จักปัญหาที่มันเกิดในระดับบุคคลๆแต่ละคน แล้วก็ในหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้าน ตำบลแต่ละตำบล จังหวัด กระท่งระดับประเทศชาติของเรามันมีปัญหาที่มันเผชิญหน้ากับเรา แล้วพอมันมองออกไปนอกโลกเป็นระดับโลกแล้วก็ ฮู้,จะเห็นว่าเป็นปัญหาเท่าฟ้า ปัญหาครอบลงมาเท่าฟ้า แต่เราก็ยังไม่คิดที่ถึงขนาดที่จะไปเผยแผ่กันทั่วโลก ก็ยังไม่มีปัญหา ถ้าคิดจะไปเผยแผ่กันทั่วโลกมันถึงจะมีปัญหา เดี๋ยวนี้จัดการปัญหาภายในประเทศ รอบๆวัดกันก่อนเถิด ปัญหาระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ต้องแก้ไขให้มันถูกฝาถูกตัว โดยจะต้องศึกษาให้เข้าใจปัญหาเหล่านั้นให้แจ่มแจ้งชัดเจนครบถ้วนถูกต้อง แล้วก็วางแผนการที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น โดยอาศัยธรรมะเป็นเครื่องมือ โดยถือว่าเป็นกิจกรรมของธรรมจาริกซึ่งจะต้องช่วยเพิกถอนชำระชะล้างไปตั้งแต่เบื้องต้น ถ้าปัญหาเบื้องต้นชำระชะล้างไม่ได้แล้วปัญหาเบื้องปลายก็ทำไม่ได้ ปัญหาเบื้องต้นเดี๋ยวนี้มันก็มีอยู่ว่า ประชาชนยากจน ประชาชนไม่พอกิน ซึ่งรัฐบาลเขาก็หยิบเป็นปัญหาใหญ่เหมือนกัน เขาก็คิดช่วยไปตามความคิดความเห็นของเขา แต่สำหรับผมเห็นว่าการที่ประชาชนยากจนเป็นเพราะประชาชนไม่มีศีลธรรม ในความไม่มีศีลธรรมของมันจึงทำให้ยากจน แต่ถ้ามันมีศีลธรรมก็จะไม่ยากจน ไอ้คนยากจนมันฟ้องตัวเองอยู่ว่ามันไม่มีศีลธรรม ก็คือว่ามันไม่ทำงานไม่ทำหน้าที่ ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด มันไม่อยากทำงานแต่มันอยากจะกินอยู่เล่นหัวอย่างสนุกสนานอย่างยิ่ง แต่งานเป็นของน่าเบื่ออย่างยิ่ง นี่คือความไม่มีศีลธรรม มันก็ไม่อะไรจะกิน ก็ทำให้ยากจนก็เป็นปัญหาอย่างแรก ในมันยากจนเสียแล้วมันก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ก้าวหน้าขึ้นไป กลายเป็นว่าเราต้องช่วยแก้ไขถึงขนาดปัญหาระดับแรกที่สุดคือความยากจน ที่ผมเคยพูดว่าทำงานให้สนุก แล้วเป็นสุขเมื่อทำงานนั่นแหละ แล้วไม่ต้องเสียเงินซื้อหาความสุขที่ไหนอีก เขาก็ทำกันไม่ได้หรอก ไอ้คนธรรมดาปุถุชนธรรมดามันทำงานให้สนุกไม่ได้ เพราะมันเกลียดความเหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เล็กๆมา มันต้องเกิดใหม่ มันต้องศึกษาธรรมะ เกิดใหม่มีชีวิตใหม่ หลักการใหม่ จนบูชาการงาน เห็นได้ชัดว่างานคือธรรมะ ธรรมะนั้นคือการงาน ทำงานคือการปฏิบัติธรรม อย่างนี้เสียก่อนถึงจะทำงานสนุก แล้วถึงจะเรียกว่า เป็นคนที่เรียกว่ามีศีลธรรม มันก็ทำงานสนุกมันก็ไม่ยากจน ซึ่งการแก้ปัญหายากจนของประชาชนก็ต้องแก้ด้วยศีลธรรม ไม่ใช่รอให้เขามีกินมีใช้เสียก่อนถึงจะมาสอนธรรมะ มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเขาไม่มีศีลธรรมอยู่อย่างนั้นไม่มีวันหรอกที่จะมีกินมีใช้ มันก็จะยากจนอยู่ตลอดไป มันต้องเอาศีลธรรมนั่นเอง เอาธรรมะนั่นเองมาแก้ปัญหาความยากจนให้มันทำงานสนุก ทั้งวันทั้งคืนทำงานสนุก ใช้แผ่นดินบริเวณบ้านของตนเป็นประโยชน์ เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด อย่างที่ผมพูดให้ฟังหลายคนแล้ว บ้านเนื้อที่ประมานหนึ่งไร่ ล้อมรั้ว ในหนึ่งไร่นั้นมันจะช่วยได้ ทำให้แผ่นดินนี้เป็นพืชผลไปหมด ในรั้วบ้านมันมีพืชเลี้อยคลุมรั้วบ้าน เก็บกินเก็บขายได้เป็นถั่วพลู เป็นยอดตำลึง เป็นอะไรก็ได้ ไอ้รั้วบ้านโดยรอบบ้านนั้นแหละสี่ด้านของบ้านนั่นแหละ โอ๊ย,มันเก็บเหลือจะพอกินเสียแล้ว ถ้าลูกเด็กๆมันทำหน้าที่อย่างนี้เต็มที่ก็ประหยัดได้มาก นี่ทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูกเด็กๆมันก็ไม่ทำ ไอ้รั้วบ้านมันจะไม่มีด้วยซ้ำไป ถ้ารั้วบ้านมีก็ทำรั้วบ้านให้เป็นพืชผล ไอ้ที่มันชนิดเลื้อย เก็บฝักเก็บลูกเก็บดอกมาขาย ทำที่โคนรั้วทั้งหลายมันเป็นกอตะไคร้ไปเสียให้หมด ทำให้เป็นกอตะไคร้ทั้งสี่ด้านสองด้านให้หมด โอ้ย,มันเหลือกินเหลือใช้ เพราะเดี๋ยวนี้ตะไคร้ห้าสิบสตางค์สามต้น ตะไคร้สามต้นตั้งห้าสิบสตางค์ แล้วของเรามันรอบรั้วบ้าน จะไม่เหลือกินเหลือใช้อย่างไรล่ะดูสิ ตะไคร้รอบรั้วบ้าน แล้วถ้ามันมีคู ในคู คูบ้านก็เลี้ยงปลา เลี้ยงผักน้ำ ผักบุ้งผักกระเฉด เลี้ยงปลาเลี้ยงอะไรก็ไปตามเรื่องของมัน ก็ได้ปลา ได้อาหารได้ขายได้กิน แล้วบริเวณบ้านก็ให้มีกล้วยมีอ้อยมีอะไรชนิดที่เหมาะสม แล้วให้มันมีเล้าไก่เล้าเป็ดเล้าหมูที่เหมาะสม แล้วก็ยังมีวัวควายก็ได้แล้วแต่เรื่อง มันก็เหลือกินทุกบ้านแหล่ะ ทำไมจะพูดว่าไม่มีจะกิน เด็กๆมันไปเที่ยวเล่นไปเป็นอันธพาลกันหมด ถ้าเด็กๆมันทำอย่างยิ่งพ่อแม่สนับสนุนอย่างยิ่ง แล้วทำกันได้สนุกทั้งกลางวันและกลางคืน ทำเหนื่อยก็หยุดหายเหนื่อยก็ทำ แม้กลางคืนก็ทำได้ จะปลูกอะไรง่ายๆ สวนครัวข้างบ้าน ข้างบันไดมันก็ปลูกได้ หรือจะเลือกผักเก็บผัก สำหรับเอาขายในวันรุ่งขึ้นก็ได้ เรียกได้ว่าทำงานได้จนกว่าจะนอน จนกว่าจะนอนมันก็ทำงานได้ ทำงานทั้งวันและทั้งคืนจนกว่าจะนอน แล้วมันจะจนได้อย่างไร เดี๋ยวนี้มันไม่ทำนี่ ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กมันทำอบายมุขกันทั้งนั้นเลย แล้วมันจะมีเงินเหลือมากินได้ไม่ได้ มันก็ต้องคิดขโมย มันก็ต้องคิดขโมย หาเงินมาสำหรับทำอบายมุขเรื่อยไป ขนาดที่ว่าเอาไม้ขอนมาขวางจนรถยนต์พลิกคว่ำแล้วก็เก็บหมด จนทั้งถอดเสื้อถอดกางเกงของคนบนรถไปหมด เดี๋ยวนี้มันทำได้ ก่อนนี้ทำไม่ได้ เมื่อก่อนคนไม่อำมหิตถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ทำได้ คนนอนครางจะตายอยู่แล้วมันก็ถอดทรัพย์สมบัติออกจากตัวออกไปได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันวิ่งเข้าไปช่วยกันถ้าใครมีอุบัติเหตุมันจะวิ่งเข้าไปช่วยๆ มันไม่ลำบากไม่เป็นไม่ตาย เดี๋ยวนี้มันจะไปเอากันหมดเลย ถ้าถลกหนังได้มันก็คงถลกเอาไปเลยนี่คนสมัยเดี๋ยวนี้ ถึงได้เรียกว่าศีลธรรมมันเสื่อม ถ้ามันมีศีลธรรมรู้หน้าที่ทำงานเป็นธรรมะมันก็ทำงานสนุกเป็นสุขที่ได้ทำ มันก็ไม่มีใครยากจน มันก็อยู่สบายได้พออยู่สบายแล้วก้าวหน้าต่อไปสูงขึ้นทำจิตใจให้บรรลุนิพพานก็ได้นี่เป็นอันดับสอง อันดับหนึ่งให้รอดชีวิตอยู่ได้ อันดับสองบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่คือธรรมะที่มนุษย์จะต้องมีแล้วก็ถามตัวเองนี่เราจะสอนได้ไหม พระธรรมจาริกทั้งหลายจะสอนได้ไหมจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ไหม ดูเอาเอง ถ้าไม่ได้มันก็ยังไม่มียังไม่ใช่ยังไม่มี ยังไม่เป็นธรรมจาริกตามหลักการ ตามพระพุทธประสงค์
เอาละเป็นอันว่าวันนี้ผมพูดถึงฝ่ายโน้น คือฝ่ายที่จะรับคำสั่งสอน เราจะต้องรู้จักเขาให้ดี เพื่อจะให้เขาให้มันถูกฝาถูกตัว ตั้งแต่บุคคลแต่ละคน ตั้งแต่บุคคลกลุ่มเป็นหมู่บ้านเป็นตำบลเป็นประเทศชาติ จนกระทั่งเป็นโลกเป็นทั้งโลก ดู ฝ่ายที่จะรับการเผยแผ่คืออะไร มีปัญหาอย่างไร มีอุปสรรคอย่างไร ถ้าเราแก้ไม่ได้เราก็ไม่สามารถที่จะเผยแผ่แน่นอน เอาละเป็นว่าผมพูดเพียงเท่านี้วันนี้ ชั่วโมงเลยแล้ว พูดถึงฝ่ายที่จะเป็นผู้รับการเผยแผ่ ให้พระธรรมจาริกทั้งหลายศึกษาเขาให้ดีๆให้สามารถไปเผยแผ่ได้สำเร็จ ขอยุติการบรรยายวันนี้เพียงเท่านี้