แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปาฐกถาพิเศษ โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านอาจารย์ปัญญา นันทภิกขุ ในวัดชลประทานรังสฤษดิ์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เนื่องในวันล้ออายุของท่านอาจารย์พุทธทาสที่เรือนใหญ่ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ เวลา ๑๙ นาฬิกา
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ต่อนี้ไปก็จะได้ฟังเรื่องอะไรบางสิ่งบางประการเท่าที่เวลาอำนวยให้ ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาพูดอะไร เพราะว่าขณะนี้เสียงมันไม่ค่อยจะดี คอมันชักจะอักเสบ แห้งๆ ไอ้เรื่องคอแห้งนี่ก็เนื่องจากว่าไปต่างประเทศ ไปต่างประเทศทีไรกลับมาก็เสียงแห้งทุกที จับเหตุได้ว่าที่ต่างประเทศที่ไปนั้นอากาศหนาว สบายดีเวลาอยู่ที่นั่น สบาย เดินเที่ยวเดินเตร่ ไปไหนมาไหน ร่างกายก็แข็งแรง ปวดหัวเข่าเคยเป็นก็ไปอยู่ที่โน่นมันก็ไม่เป็น เดินในป่า เดินบนถนน ขึ้นสูงๆ บันไดสูงก็ไม่รู้สึกปวดอะไร พอกลับมาถึงเมืองไทยนี่อากาศมันร้อนจัด ร้อนปีนี้นี่นับว่าร้อนมากเลยกระทบร้อนแรง มาถึงก็เป็นหวัด ไอมาก ไอมากก็เลยเสียงแห้ง
ตั้งแต่กลับมาเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคมแล้ว ก็ยังไม่ได้ปาฐกถาเพราะเสียงมันไม่ค่อยมี แต่เมื่อวานนี้เป็นวันวิสาขบูชา ที่วัดคนมาประชุมกันมากก็เลยต้องพูดเอา ๒ ครั้ง ก็ยังพอพูดไปได้ เดินทางมาวันนี้ก็นึกว่าจะมาฟังมากกว่าที่จะมาพูด แต่ว่าเมื่อให้พูดก็ต้องพูดเหมือนกัน แต่ว่าจะพูดเรื่องที่ไม่ใช่ธรรมะลึกซึ้งอะไร เพราะว่าเรื่องธรรมะลึกซึ้งนั้นท่านเจ้าคุณท่านก็พูดให้ญาติโยมฟังมามากแล้ว ถ้าพูดอีกก็เรียกว่ามันจะเป็นการเฟ้อไป เพราะฉะนั้นพูดเรื่องใหม่ พูดเรื่องที่ญาติโยมไม่ได้พบได้เห็น คือเรื่องเกี่ยวกับในต่างประเทศ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในต่างประเทศที่ได้ไปพบ ไปเห็นมา
การเดินทางไปต่างประเทศนั้นได้ไปหลายครั้ง แต่ว่าในปี ๒๕๒๖ นี่ไปเมื่อเดือนตุลาครั้งหนึ่ง ไปในงานผูกพัทธสีมาที่วัดพุทธประทีป ซึ่งเป็นวัดที่รัฐบาลสนับสนุนสร้างขึ้นในประเทศอังกฤษ ได้มีโอกาสไปร่วมงานผูกพัทธสีมาด้วย ความจริงก็ต้องการจะไปพูดอะไรให้ญาติโยมฟังในงานนั้น แต่เมื่อไปถึงเข้าจริงๆ ก็พูดไม่ไหวเพราะเขาจัดที่ให้พูดในเต๊นท์ซึ่งมีการขายของกัน ขายผักบ้าง ขายผ้าบ้าง ขายอะไรบ้าง คล้ายๆ กับเอาไปเปิดเทศน์ที่ตลาดนัดไชยาอย่างนั้น
เลยพูดนิดหน่อย ๑๕ นาทีก็บอกว่าพอแล้ว เพราะขืนพูดต่อไปก็ทั้งคนเทศน์ ทั้งคนฟังก็จะไม่ได้เรื่องอะไร ความจริงที่เต๊นท์ที่ว่างก็มี แต่ว่าคนจัดจัดไม่เป็นเลยก็ไม่ได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ก็ได้ไปเห็นเหตุการณ์อะไรบางสิ่งบางประการที่เขาทำกันอยู่ แล้วก็ได้มีโอกาสไปเยี่ยมวัดวัดหนึ่งซึ่งน่าดู วัดนี้คือวัดป่าจิตตวิเวก อยู่ห่างไปจากนครลอนดอนประมาณ ๕๐ ไมล์ ๕๐ ไมล์ ก็ ๗๐ - ๘๐ กิโลฯบ้านเรา เป็นวัดที่ตั้งขึ้นเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา
พระที่อยู่ที่วัดนั้นเป็นฝรั่งทั้งหมด ไม่มีพระไทยเลยแม้แต่รูปเดียว แต่ว่าพระฝรั่งนั้นเคยบวชในเมืองไทย โดยเฉพาะท่านสมภารนั้นชื่อท่านสุเมโธ เป็นชาวอเมริกันเคยเป็นทหารไปรบสงครามเกาหลีอย่างโชกโชน เมื่อเสร็จสงครามแล้วก็ไปทำงานในหน่วย เขาเรียกว่าหน่วยส่งเสริมวัฒนธรรมอะไรที่เมืองไทยเรียกว่าพีชคอลล์ ไปทำงานแถวเกาะบรูไน เกาะบอร์เนียว ต่อมาก็มาเมืองไทยสนใจในพระพุทธศาสนาก็เลยบวชที่วัดศีรษะเกศจังหวัดหนองคาย
บวชแล้วจำพรรษาที่นั่น ๑ พรรษา ท่านอุปัชฌาย์ก็เลยส่งไปอยู่วัดหนองป่าพงกับหลวงพ่อชาซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติที่มีชื่อมีเสียงอยู่ แต่เวลานี้หลวงพ่อชานี่น่าเสียดายมาก เพราะเป็นโรคอัมพาตทางสมอง นอนลุกไม่ขึ้น เคลื่อนไหวได้เพียงซีกเดียวแล้วก็พูดไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะว่าเป็นพระที่ดีมีประโยชน์ อบรมฝรั่งให้เข้าถึงพระพุทธศาสนาได้อย่างดี แต่ว่าตัวท่านเองนั้นไม่สามารถจะทำอะไรได้ นอกจากนอนให้ลูกศิษย์ที่เป็นฝรั่งป้อนข้าวป้อนน้ำไปตามเรื่อง พระที่ไปอยู่ที่นั่นก็ได้รับการอบรมบ่มนิสัยให้เคร่งครัด ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามพระวินัยทุกประการ แล้วก็ได้สร้างวัดขึ้นที่อุบลฯวัดหนึ่ง เรียกว่าวัดนานาชาติ
วัดนานาชาตินี่เป็นชาวฝรั่งทั้งนั้น สมภารก็คือท่านสุเมโธเป็นอเมริกัน แล้วมีพระฝรั่งชาวแคนาดา ชาวออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส สวิส หลายชาติ หลายภาษามาอยู่กัน พระเหล่านั้นพูดไทยได้ทุกรูป เพราะว่าท่านหลวงพ่อชานี่ท่านเมื่อบวชกับท่านให้อยู่กับท่าน ๑ พรรษา เสร็จแล้วก็ส่งไปบ้านนอกซึ่งไม่มีใครพูดภาษาฝรั่งเลยแม้แต่คนเดียว ให้ไปอยู่อย่างลำบาก กินข้าวเหนียวกับปลาร้าปลาแจ่วอะไรไปตามเรื่อง เพื่อหัดให้มีความอดทนหนักแน่นแล้วก็จะได้พูดภาษาพื้นเมืองเป็น พระเหล่านั้นก็ไปอยู่ได้ เมื่ออยู่ได้แล้วท่านก็เรียกกลับมาอยู่ที่วัดเดิมทำงานอะไรต่ออะไรไป
พระเหล่านี้เป็นพระที่มีความอดทน มีความหนักแน่นจึงได้ส่งไปช่วยทำงานการพระศาสนาในต่างประเทศ ที่ประเทศอังกฤษนั้นเขามีสมาคมอยู่สมาคมหนึ่งเรียกว่าสังฆสมาคม สังฆสมาคมนี่เป็นสมาคมของชาวบ้านที่ตั้งขึ้นเพื่อบำรุงพระที่ไปปฏิบัติกิจพระศาสนาในประเทศนั้น มีสมาชิกทำกิจการให้กว้างขวางออกไป ท่านอาจารย์ชาท่านก็ไปที่นั่นโดยสมาคมนิมนต์ไป เขามีที่ให้พระพักอยู่ในกรุงลอนดอน อยู่คนละทิศกับวัดไทยคือวัดพุทธประทีป คนละที่เมือง คือพระที่อยู่วัดนั้นเรียกว่า แฮมสเตท เป็นตึก ๔ ชั้นแต่ว่าเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมมาก
ทางสมาคมเห็นว่าจะอยู่ต่อไปก็ไม่ไหวคิดว่าจะขายแล้วไปหาที่ใหม่ ทีนี้พระที่ไปอยู่ที่แฮมสเตทนี่ ตอนเช้าๆก็ออกบิณฑบาต เมืองฝรั่งนี่เขาไม่ให้ออกบิณฑบาต เวลาออกไปก็ตำรวจเขามาถามว่าไปเที่ยวขอทานอะไร พระท่านก็บอกว่าไม่ได้ไปขอทานแต่ว่าไปทำหน้าที่ของลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้านี่ต้องไปบิณฑบาตเพื่อไปโปรดชาวบ้านให้ได้ถือหลักธรรมะ เป็นแนวปฏิบัติเพื่อความสุขในชีวิตประจำวัน พูดให้ฟังจนตำรวจเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วบอก เอ้า...ไม่เป็นไรไปได้ เพราะว่าไม่ได้หยุดทุกบ้าน เดินไปตามบ้านที่เป็นชาวพุทธเขาก็เอาอาหารมาใส่ให้ในบาตร ทำอย่างนั้นเป็นครั้งแรกในประเทศนั้นก็ทำกันมาโดยลำดับ
วันหนึ่งพระออกไปบิณฑบาตได้พบฝรั่งคนหนึ่งอายุราว ๔๐ ปี ชื่อนาย พอล เจมส์ นายพอล เจมส์นี่แกเป็นชายโสด ยังไม่มีครอบครัวอยู่กับคุณแม่ เป็นคนมีฐานะดี เมื่อเห็นพระไปอย่างนั้น แกก็ถามว่าอยู่ที่ไหนพระ บอกว่าอยู่ที่บ้านเลขที่เท่านั้น แกว่าพระในพุทธศาสนานี่เขาอยู่ป่าแล้วทำไมมาอยู่ในตึกอย่างนี้ พระท่านบอกว่าแหมก็อยากจะอยู่ป่าเหมือนกันแต่ว่าไม่มีป่าจะอยู่ ไม่รู้จะทำอย่างไร แกก็บอกว่าผมมีป่านะจะให้ไป จะอยู่ไหมล่ะจะถวายป่าให้ แล้วก็พระบอกก็ดีเหมือนกันถ้าถวายป่ามันก็ดี แต่ว่าไปอยู่ในป่านี่ไปสร้างบ้านไม่ได้นะเพราะฝรั่งเขาสงวนป่าแม้เป็นของเอกชนเขาก็ไม่ให้สร้างอะไรลงในป่านั้น ให้เป็นป่าตามธรรมชาติเพื่อจะได้รักษาต้นไม้
อันนี้มันผิดกับบ้านเรา เรามีป่าก็ชวนกันถางมันซะให้เตียนโล่งไปเลย แล้วก็น้ำก็จะได้แห้งฝนก็จะได้ไม่ตกกันไปตามๆกัน ที่โน่นน่ะเารักษาป่าธรรมชาติ แล้วก็มีหนองน้ำใหญ่ในบริเวณป่านั้น เขาทำทำนบกั้นไว้ ทำนบนั้นอายุยืนกว่ากรุงเทพมหานครที่ฉลอง ๒๐๐ ปีด้วยซ้ำไปยังคงมั่นคงถาวร ผลที่สุดนายเจมส์ คนนั้นแกก็ถวายป่าให้แก่พระ แต่ว่าพระจะไปอยู่ในป่าไม่ได้ก็คิดว่าจะไปซื้อบ้านซึ่งอยู่ใกล้ๆกับป่านั้น
ไอ้บ้านในเมืองนี่จะขาย ตกลงก็ขายบ้านในเมืองเป็นจำนวนเงิน ๑๑๕,๐๐๐ ปอนด์ เงินปอนด์อังกฤษ ๑ ปอนด์ ก็เท่ากับ ๔๐ บาทเวลานี้ เมื่อขายได้เงินแล้วก็จะไปหาบ้านที่จะซื้อ ก็พอดีในบริเวณนั้นมีบ้านโบราณอยู่อายุ ๑๑๘ ปี เป็นบ้านที่ฝาผนังทำด้วยหิน แล้วก็ชำรุดทรุดโทรมมาก หลังคารั่วเป็นแห่งๆ เพดานทะลุมาเป็นแห่งๆ พื้นบ้านก็ไม่ค่อยดี ห้องน้ำก็ไม่มี ส้วมก็ไม่มี มีคนสองคนอยู่คือตากับยายซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน อยู่ไปก็ทนภาษีไม่ไหวแล้ว แล้วจะซ่อมใหม่ก็ไม่ได้เพราะไม่มีเงิน
พอดีสังฆสมาคมนี่เขาไปถามซื้อ แกก็บอก แหม...อยากจะขายมานานแล้วแต่ไม่มีใครมาซื้อ ท่านจะซื้อก็ดีแล้วเอาสัก ๑๒๐,๐๐๐ ปอนด์ก็พอแล้ว นี้เขาขายบ้านโน้นได้ ๑๑๕,๐๐๐ ปอนด์ หาอีกห้าพันก็เรียกว่าพอซื้อบ้านนั้นได้ แต่พอสังฆสมาคมมาถามซื้อ ไอ้พวกเขาเรียกว่าเอเย่นต์ซื้อบ้านมาติดต่อ ให้เงินแกขึ้นไปมากกว่านั้น นายคนตากับยายคนนั้นเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในศีลในธรรมบอกว่าไม่ได้ ฉันบอกขายแก่สังขะสมาคมแล้วในจำนวน ๑๕,๐๐๐ ปอนด์ (ที่จริงเป็น ๑๒๐,๐๐๐ ปอนด์) ท่านจะให้ฉัน ๑๕๐,๐๐๐ ปอนด์ ก็ไม่เอาละบอกขายเขาแล้ว ๑๒๐,๐๐๐ ปอนด์ ท่านจะให้เพิ่มฉันก็ไม่ไห้ มันเสียวาจา เสียคำพูด
แน่ะ... เขายังเคารพศีลธรรมยังมีจิตใจละอายบาปอยู่ไ ม่บิดไม่เบี้ยว ถ้าเป็นที่อื่นเขาก็เบี้ยวไปแล้ว ไอ้นี่ให้มากกูขายมันเลย เพราะว่ายังไม่ได้ทำสัญญา ยังไม่ได้มัดจำอะไร แต่แกถือว่าคำพูดนั่นคือสัญญาแล้ วการมัดจำด้วยคำพูดนั่นแหละคือสัญญาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็แสดงว่าถือศีลข้อที่ ๓ เรียบร้อย แล้วก็ไม่โลภมากอยากได้ในทรัพย์สมบัติซึ่งเขาให้มากกว่านั้น ผลที่สุดก็ขายให้แก่สังฆสมาคมในจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ ปอนด์ ที่ที่ซื้อนี่เป็นเนื้อที่ดินกว้างขวางประมาณสัก ๗๐ กว่าไร่ แล้วก็มีบ้านหลังใหญ่หลังเล็กอยู่ในบริเวณนั้น
เมื่อซื้อแล้วก็พระมาอยู่ อยู่อย่างน่าสงสารทีเดียว พระมาอยู่นี่ชาวบ้านไปเห็นว่าต้องเที่ยวหลบฝนเวลาฝนตก เพราะว่าฝนมันรั่วลงมา พื้นบ้านก็ไม่ดีต้องเอาไม้มาทำเป็นเตียงเล็กๆนอนไปบนปูนซีเมนต์ที่แตกๆ อาหารการขบฉันก็ไม่ค่อยมีอะไรฉัน โยมคนหนึ่งที่ไปเยี่ยมบ่อยๆได้ไปพบพระฉันอาหาร คือฉันขนมปังกับเกลือ ได้ยินเสียงเคี้ยวกร้วมๆๆ เลยเข้าไปถามว่าท่านเคี้ยวอะไร บอกว่าเคี้ยวขนมปังกับเกลือว่าอย่างนั้น ท่านก็ทนอยู่ได้ทนอยู่อย่างนั้น
โยมคนนั้นก็เห็นว่า อ่อ...พระท่านตั้งใจอยู่ ก็เลยช่วยซื้อกระเบื้องไปซ่อมหลังคาให้แล้วก็บอกคนที่มีสตางค์อยู่บ้างที่เป็นคนไทย คนไทยที่มีสตางค์ไปซื้อบ้านในอังกฤษมีอยู่หลายคน เลยก็บอกว่าเราอยู่สบายแล้วพระอยู่ไม่สบายไปช่วยกันหน่อยก็เลยช่วยกันซ่อมแซม ออกแต่เงินพระท่านทำกันเอง พระที่นั่นเหมือนกับพระสวนโมกข์เรา คือถือว่าการทำงานคือการปฏิบัติธรรม เวลาท่านทำงานก็ทำกันจริงจัง ออกไปทำงานกลางแจ้งผ่าฟืนบ้าง หัดซ่อมกุฏิ ทำนั่นทำนี่ กุลีกุจอช่วยกัน ถ้าเข้าไปถึงเห็นทำงานก็นึกว่าไม่ใช่นักบวชน่ะ นึกว่าฝรั่งมันมาทำงานกัน แต่ว่าท่านนุ่งสบง ใส่จีวร ยังเห็นว่าเป็นพระ แต่ก็ทำงานกันอย่างจริงจัง พัฒนาบ้านช่องให้ดีขึ้น
เมื่อไปปลูกพัทธสีมาก็มีวันว่างอยู่วัน ก็เลยถือโอกาสบอก สีรานันทะ (นาทีที่ ๑๗.๐๖) ว่าอยากจะไปที่ชิตเฮิร์ท วัดนั้นตั้งอยู่ที่หมู่บ้านชื่อชิตเฮิร์ท อยากจะไปดูหน่อยว่าเขาอยู่กันอย่างไร ก็เลยไปทันเวลาฉันอาหาร ไปถึงก็เขายังไม่ฉันกัน พระที่ไปบิณฑบาตก็กลับมาบ้าน ไปเปิดดูว่าไปบิณฑบาตได้อะไรมาบ้างองค์หนึ่งได้ขนมปังมาสองชิ้น แล้วก็อีกองค์หนึ่งได้แอปเปิ้ลมาสองผล อีกองค์หนึ่งเปิดดูบาตรไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง เลยถามว่าไปบิณอย่างไรไม่ได้อะไรบอกว่าวันนี้ไม่มีใครใส่แต่ก็ไปตามหน้าที่ ไปเพื่อเกิดความคุ้นเคยกับชาวบ้านแถวนั้น
เพราะว่าไปยืนอยู่หน้าบ้านเขา เขาก็เห็นแปลกนี่แต่งตัวไม่เหมือนใคร ศีรษะก็โล้นแล้วก็แต่งตัวด้วยผ้าจีวร เขาก็ออกมาถามแล้วว่ามาทำอะไร ท่านก็ชวนเขาสนทนาพาทีอะไรกันไปตามเรื่อง ตามแบบโบราณเหมือนพระพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์อย่างนั้น เมื่อสนทนากันเป็นที่ถูกอกถูกใจเขาก็นิมนต์เข้าไปในบ้าน เลี้ยงน้ำชาถ้วยหนึ่งก็นับว่าดีถมไปแล้ว แล้วเวลาจะกลับเขาก็นำแอปเปิ้ลใส่บาตรไปสองผล ให้ขนมปังไปสองชิ้นอะไรอย่างนั้นล่ะ นั่นคือการไปบิณฑบาต แต่ว่าบางวันก็ไม่ได้ แต่ถึงไม่ได้ก็ไม่ละความพยายาม ยังพยายามไปกันเรื่อย
วันหนึ่งถามพระที่ไปบิณฑบาตว่าไประยะไกลเท่าไหร่ ๖ ไมล์ ไปกัน ๖ ไมล์ เราคิดดูว่าขนาดไหน ไมล์หนึ่งมัน ๔๐ เส้น หกสี่ยี่สิบสี่สองร้อยกว่าเส้นเดินไปบิณฑบาต อาตมาก็ว่า เอ้า...ไกลอย่างนั้นกลับมาไม่ต้องฉันนะ บอกว่าขากลับไม่เป็นไรเขาเอารถมาส่ง พอไปถึงบ้านเขาแล้วเขาก็เอารถยนต์มาส่งมาถึงบ้าน เพราะในบริเวณนั้นมีชาวพุทธอยู่บ้าง แต่ว่าอยู่ห่างกัน อยู่ไกลๆกันเหมือนกับอยู่ที่วัดธารน้ำไหลอยู่สักเรือนหนึ่ง แล้วไปอยู่วัดแก้วสักเรือนหนึ่ง ไปอยู่ที่วัดเวียงสักเรือนหนึ่งอะไรอย่างนั้นไกลกัน พระท่านก็เดินไปเยี่ยมไปเยียนกันไปตามเรื่อง
อันนี้ก็เวลาฉันอาหารเขาทำอย่างไ รเขามีโรงครัว พระอยู่กันเวลานี้ ๑๔ รูป แม่ชี ๕ อุบาสกอีก ๔ แม่ชีน่ะเป็นฝรั่งทั้งนั้น สละความเป็นอยู่แบบชาวบ้านมาโกนหัวเกลี้ย งนุ่งขาวห่มขาวแบบแม่ชีบ้านเราน่ะ แต่ว่าแม่ชีไม่ได้อยู่บริเวณที่พระอยู่ อยู่ห่างออกไป จากวัดที่พระอยู่ไปที่แม่ชีอยู่เนี่ยเดินประมาณ ๑๕ นาที อาตมาเดินไปผ่านทางนั้นบ่อยๆ วันหนึ่งถามแม่ชีว่าแม่ชีอยู่บ้านนี้แล้วเดินไปวัดวันหนึ่งๆกี่เที่ยว แกบอกว่าวันหนึ่งบางทีก็ ๕ – ๖ เที่ยว แต่ที่เดินประจำนั้นคือเดินตอนเช้ามาฉันอาหาร แล้วก็ก่อนใกล้รุ่งตีสี่น่ะเดินมากลางคืน หน้าหนาวก็เดินหน้าร้อนก็เดิน แต่เดินหน้าหนาวนี่สวมท๊อปบูท รองเท้าท๊อปบูทสวมเหยียบหิมะได้ แล้วก็เดินมาสวมเสื้อคลุมสวมหมวกเดินมาทำวัตรตอนตีสี่ นั่งสมาธิภาวนา แล้วก็แต่เช้าก็กลับไปที่อยู่ไปทำกิจส่วนตัว เสร็จแล้วราว ๓ โมงก็กลับมาฉันอาหาร แล้วก็ฉันอาหารเสร็จแล้วก็กลับไป แล้วก็กลับมาช่วยทำงานอะไรต่ออะไรในวัด
กลับไปกลับมาอย่างนี้วันหนึ่งหลายเที่ยว แล้วถามว่าไม่เหนื่อยหรือ แกก็ยิ้มแล้วบอกว่าก็เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำอย่างนั้น เป็นคำตอบที่น่าฟังพอสมควร แม่ชี ๕ คน แล้วการมาเป็นชีนี่ไม่ได้เป็นง่ายนะ ไม่ใช่มาถึงแล้วบอกว่าดิฉันอยากมาเป็นแม่ชีค่ะ แล้วก็ให้ไปโกนหัวนุ่งขาวห่มขาวไม่ใช่อย่างนั้น ต้องมาอยู่วัด ๒ ปี ถึงจะให้เป็นแม่ชีได้ ให้มาอยู่อย่างชาวบ้าน ๒ ปีจึงจะให้โกนหัวให้นุ่งขาวห่มขาวได้ พระนี่ก็เหมือนกันนะ เป็นผู้ชายนี่มาถึงต้องโกนหัวนุ่งขาวห่มขาวเรียกว่าเป็นอุบาสกคนละ ๒ ปี แล้วจึงจะให้บวชเป็นพระได้ เขาทดสอบกันก่อน ถามว่าที่มาทดสอบนี่ได้บวชทุกคนไหม ท่านสุเมโธบอกว่าบางคนก็ได้ ๖ เดือนก็หายไปก็มีเหมือนกัน แต่ว่าที่ทดสอบแล้วได้บวชนั้นมีจำนวนเปอร์เซ็นต์มากกว่า
ทีนี้สังเกตดูว่าเวลาฉันอาหารนี่ เขายกกับข้าวมาจากในครัวเป็นถาดๆ เอามาถึงประเคนพระวางไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งมีที่วางไว้ แล้วก็พระนั่นแหละยกอาหารที่มีนั้นไปถึงให้พระตักเอาเอง พระที่จะฉันก็เอาช้อนตักใส่ในบาตรอาหารนี้ใส่ เอาถาดโน้นมาตักใส่ๆ ตักทั่วไปในหมู่พระ แจกพระผู้ใหญ่ก่อน อาตมาไปอยู่นั้นก็เป็นผู้ใหญ่เพราะว่าแก่กว่าเพื่อน นอกนั้นเขาอ่อนทั้งนั้น ก็มาถวายอาตมาก่อนแล้วก็ถวายท่านสุเมโธไปตามลำดับไปถึงตักให้แม่ชี แม่ชีนั้นนั่งอยู่ เวลาพระตักก็จะมีคล้ายกับขัน คล้ายบาตรแต่ว่าทำด้วยอลูมิเนียมยกชูขึ้น ชูขึ้นไว้อย่างนี้ พระก็ตักใส่ลงไปๆ พ้นแม่ชีก็ไปตักให้อุบาสก พอตักอุบาสกเสร็จแล้วถาดนั้นก็ไปหาพวกที่ยังไม่ได้โกนผม เป็นคนมาช่วยวัดช่วยวาเอาไปฉันกันในครัวต่อไป
ไม่มีการเติม ได้เท่าใดให้เท่านั้นระเบียบที่นี่เวลาฉันอาหารเรียกว่าฉันในบาตรหรือ การฉันอาหารแบบจานแมว มีอะไรก็ใส่โละลงไปแล้วก็ฉันกัน เวลาฉันก็ฉันกันอย่างสำรวมเงียบไม่มีเสียงพูดเสียงคุยอะไรกัน ต่างรูปต่างฉันนั่งกันเรียบร้อย ตามปกติเวลาเข้ามาสู่ที่ประชุมเมื่อมาถึงก็นมัสการพระพุทธรูปซึ่งเป็นประธาน เสร็จแล้วทุกรูปก็ต้องนั่งสมาธิ นั่งเงียบไม่พูดไม่คุย มาถึงไม่พูดไม่คุยนั่งเงียบๆ ฉันอาหารเสร็จแล้วก็นั่งเงียบๆ
แต่ว่าก่อนฉันมีการให้พรก่อน ถ้ามีชาวบ้านมาก็ยถาสัพพี ท่านสวดได้ทั้งนั้น พระเหล่านั้นสวดยถาสัพพี บทอนุโมทนาทานอะไรนี่ลองว่าดูก็ว่าได้ทุกองค์ว่าได้เหมือนกัน ว่าเรียบร้อย ว่าได้เพราะพริ้งทีเดียว เพราะคำบาลีฝรั่งเปล่งเสียงได้ง่าย ไม่มีวรรณยุกต์เอกโทตรีจตึงเปล่งเสียงได้เรียบร้อย เมื่อฉันเสร็จแล้วก็ต่างรูปต่างก็เอาบาตรไปล้าง เช็ดถูเรียบร้อย แล้วก็ไปทำหน้าที่ของตัวต่อไป
ปกตินี่เขาตื่นกันตี 4 ท่านก็ลงมาในห้อง ห้องพระสวดมนต์ สวดมนต์เหมือนกับพระที่บ้านเราสวด ทำวัตรเช้าก็สวด อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ แหละ แต่ว่าไม่ได้แปลเพราะว่าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษมันก็จะวุ่นวายกันใหญ่ เลยก็ว่าแต่คำบาลี แต่ท่านเหล่านั้นก็เข้าใจความหมาย ทำวัตรเย็นก็ทำเหมือนกับที่พระไทยเราทำกัน ทำเหมือนทุกอย่าง ทำวัตรเสร็จแล้วก็นั่งสมาธิกัน นั่งประมาณสักชั่วโมง นั่งสงบชั่วโมง แล้วตอนทำวัตรนี่เย็นมักจะมีชาวบ้านที่อยู่ไกลบ้างใกล้บ้างมากัน
ในคืนวันพระนี่ลองนึกดู คืนนั้นเป็นคืนวันพระนับดูได้จำนวน ๔๓ คน ทั้งพระทั้งชาวบ้านจำนวนทั้งหมด ๔๒ คน แล้วถ้าเป็นวันพระนี่พระไม่จำวัด นั่งภาวนาตลอดรุ่งเลย นั่งภาวนาจนสว่าง พานั่งภาวนาบ้าง เดินจงกรมบ้างตลอดเวลา คือไม่หลับไม่นอน บำเพ็ญความเพียร แล้วชาวบ้านก็มาด้วยกัน ก็นั่งภาวนาบำเพ็ญความเพียรด้วยกัน ดูแล้วก็รู้สึกว่าเอาจริงเอาจังในเรื่องการปฏิบัติ เรียกว่าเป็นอยู่อย่างเคร่งครัด เป็นอยู่อย่างชนิดขูดเกลากันจริงๆ ท่านจึงอยู่กันได้ด้วยความเรียบร้อยเป็นอันเดียวกัน
อันนี้ที่วัดนี้เขาไปเปิดสาขาไว้ เขาเรียกว่าเซ็นเตอร์คือว่าเปิดศูนย์น่ะ เรียกว่าเปิดศูนย์ไว้ที่ตำบลนั้นที่เมืองนั้น เอามาแสดงนิทรรศการให้ดูนี่มีประมาณ ๒๐ แห่งในศูนย์ ๒๐ แห่งนี้ก็เป็นจุดรวมของชาวพุทธ แห่งหนึ่งก็มีสัก ๒๐ คนบ้าง ๑๕ คนบ้าง อย่างมากก็ขนาดนั้นน่ะ แล้วก็พระที่วัดนี้ไปให้การอบรมเดือนละ ๒ ครั้ง เดือนนี้ก็ไปศูนย์นั้น เดือนนั้นก็ไปศูนย์นั้น พระทุกรูปที่อยู่นั้นช่วยกันไปให้การอบรมการเจริญภาวนากับคนเหล่านั้น แต่ว่าคนที่อยู่ใกล้เขาก็มาเอง
วันหนึ่งเป็นวันพฤหัสบดี ก็มีคนคนหนึ่งมา มาถึงก็เข้ามากราบเรียบร้อยแล้วก็บอกว่าผมมาทุกวันพฤหัสฯ เดือนหนึ่ง ๔ ครั้ง ถามว่าทำไมมาวันพฤหัสฯ เพราะว่าวันพฤหัสฯนี้ว่างจากงาน ไม่ได้ทำงาน ก็เลยมาทุกวันพฤหัสฯ ชวนคุยแล้วก็ถามว่าท่านเป็นพุทธบริษัทมาตั้งแต่เมื่อไร แกบอกว่าผมพ่อผมก็เป็นพุทธบริษัท พ่อผมนี้เป็นพุทธบริษัทรุ่นก่อการว่างั้น รุ่นก่อการของพุทธศาสนาในประเทศอังกฤษ แล้วก็ผมเป็นลูกพ่อท่านก็สอนหลักพระพุทธศาสนาให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ผมได้อ่านได้ศึกษามาก็มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้นำหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่ามีความสุขสงบในครอบครัวในการงาน
เขาพูดอย่างนั้นก็พลอยสบายใจแล้วก็เลยให้หนังสือภาษาคนภาษาธรรมแก่เขาไปเล่มหนึ่ง แล้วถามเขาว่าเคยอ่านแล้วยังหนังสือชื่อนี้น่ะ เขาดูแล้วบอก อ๋อ...ยังไม่เคยอ่าน บอกว่าดีแล้วเอาไปอ่านไปศึกษาดูจะได้อะไรใหม่ๆจากหนังสือนี้บ้าง นี้เป็นตัวอย่างที่เขามาปฏิบัติกันเป็นครั้งเป็นคราว วันหนึ่งมีรถคันหนึ่งมารับพระ อุบาสิกาเป็นคนขับมาแล้วก็ถามพระว่าจะไปไหน อุบาสิกาเป็นคนขับรถแต่ว่าพระไปก็มีอุบาสกนั่งไปด้วยคนหนึ่ง บอกว่าจะไปที่ศูนย์แห่งหนึ่งห่างไปจากนี่ประมาณ ๑๐ ไมล์ ที่ศูนย์นั้นมีคนมาประชุมกันสักกี่คน ถามอุบาสิกาคนนั้นบอกว่าประมาณสัก ๑๑ คน แล้วแกก็พูดว่าเท่านี้ก็ดีถมไปแล้วว่างั้น บอกว่าได้เท่านี้ก็นับว่าดีแล้ว พระท่านก็ไปสอนไปอบรมคนเหล่านั้นให้ในทางปฏิบัติภาวนาตามที่พระท่านเคยปฏิบัติ
เขาได้ทำงานกันในรูปอย่างนี้ ไปโน่นไปนี่ แล้วท่านสุเมโธนี่ท่านเป็นหัวหน้าก็ต้องเดินทางบ่อยเหมือนกัน บางทีก็ไปประเทศฝรั่งเศส ไปประเทศฮอลันดา ไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ ๙ ก่อนที่อาตมาจะกลับมากรุงเทพฯนี่ท่านก็เดินทางไปสวิสต์ไปอยู่ ๑๕ วัน เขาเรียกว่ามีการปฏิบัติติดต่อ ฝรั่งเขาเรียกว่ารีทรีท (Retreat) ไปทำการปฏิบัติติดต่อกันทั้ง ๑๕ วัน มีคนรวมกลุ่มกันมาได้ชุดหนึ่งแล้วก็ไปสอนไปทำปฏิบัติกัน แล้วก็มีศูนย์ที่ส่งไปไกลๆนั้นก็มี ในแอฟริกาใต้ก็มี
แอฟริกาใต้นี่เขาเรียกว่าประเทศคนขาวปนกับคนดำ ประเทศนี้มันยุ่งมากในเรื่องผิวพรรณวรรณะ คนฝรั่งนี้เหยียดหยามคนผิวดำมาก กีดกัดคนผิวดำทุกอย่าง ตั้งที่ไว้ไอ้นี่มันที่สำหรับคนผิดขาวอยู่ อันนี้เป็นบริเวณผิวดำอยู่ ผิวดำจะไปอยู่ในเขตผิวขาวไม่ได้ เขาไม่ให้อยู่เป็นอันขาด เกิดปัญหากันบ่อยๆ ก็น่ายินดีว่าในที่นั้นก็มีสำนักพุทธศาสนาเกิดขึ้นเหมือนกัน ท่านเอารูปถ่ายมาให้ดูว่านี่เป็นสำนักงานทางพระพุทธศาสนา สร้างเป็นศาลาแล้วก็มีสวนประดับดอกไม้สวยงาม แล้วที่วัดชิตเฮิร์ทนี่ก็มีพระชาวอัฟริกันซึ่งเป็นฝรั่งน่ะมาบวชอยู่รูปหนึ่ง แล้วก็ต่อไปพระรูปนี้จะกลับไปอยู่ที่นั่นต่อไป ก็ทำงานออกไปไกลอย่างนั้น
พระฝรั่งไปทำงานมันได้ผลมากกว่าพระไทยไปทำงาน เพราะว่าเราให้ฝรั่งเรียนพระพุทธศาสนา เข้าใจพุทธศาสนาแล้ว เขาไปสอนกันเอง มันดีกว่าพระไทยเราไปสอน ดีกว่าอย่างไร คือหนึ่ง ผิวเดียวกัน รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แล้วก็ภาษามันถึงกันได้ง่าย เขารู้ภาษาของเขา เขาจะพูดจะอธิบายทำความเข้าใจกันมันสะดวก แล้วคนฝรั่งนี่พอเห็นคนฝรั่งนี่เขาก็นิยมชมชอบ ถ้าเห็นคนผิวเหลืองนี่มองแล้วคนผิวเหลืองน่ะ มันหยิ่งในชาติในคูต (นาทีที่ ๓๑.๔๙) อยู่เหมือนกันนะ มองแล้วมันอาจจะอะไรกันก็ได้ เพราะฉะนั้นฝรั่งเขาทำน่ะจะได้ผลมากกว่า
แล้วอีกอย่างหนึ่งพระฝรั่งที่ไปทำนั้น ไปอยู่อย่างชนิดเป็นตัวอย่างแก่คนชาวบ้าน เขาไม่ยุ่งด้วยเรื่องอะไร ยุ่งในเรื่องที่จะส่งเสริมพระพุทธศาสนาแล้วก็เป็นอยู่อย่างง่ายๆ ก็ไปสังเกตดูตามห้องหับที่อยู่ ไม่มีสมบัติอะไรนอกจากว่าที่หลับนอน บางห้องก็นอนสององค์ ก็นอนกับเตียงเตี้ยๆแล้วก็มีผ้าห่มกันหนาว สมบัติอื่นไม่มี อะไรอะไรเป็นเครื่องบริขาร ไม่มีอะไร มีแต่บาตรกับจีวรเท่านั้น อยู่กันอย่างง่ายๆ แล้วในที่อยู่ก็เหมือนกันไม่มีอะไรเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยฟูฟ่าหรูหราด้วยประการใด เขามาคนที่เขามาดูมาศึกษามาเห็นการเป็นอยู่แล้ว เขาก็ชักจะเลื่อมใสพอใจว่าพระเหล่านี้มาเป็นอยู่อย่างง่ายๆ เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ผู้อื่น แล้วก็เป็นผู้ทำงานไม่หวังอะไร
การไปเที่ยวอบรมเทศนาที่โน่นน่ะ ให้เข้าใจว่าไม่เหมือนบ้านเรา บ้านเรานี่ไปเทศน์มันมีหน้ากัณฑ์ บูชากัณฑ์มากบ้างน้อยบ้างมีกัณฑ์เทศน์นะไอ้ที่โน่นมันไม่มีน่ะ เขาไม่มีธรรมเนียมติดกัณฑ์เทศน์ ไปเทศน์ก็ไปบางทีต้องเสียค่ารถไปเองนะ เช่น พระวุฒิวัดพุทธประทีปไปเทศน์นี่ก็เสียค่ารถไปเอง เขาก็ไม่ให้อะไรหรอกนอกจาก แหม...ขอบใจมากที่ท่านได้มาช่วยให้แสงสว่างแก่ชีวิต อะไรพวกนั้นเขาก็กล่าวอย่างนั้น ค่ารถอะไรไม่มี ถ้าเราเคยเทศน์เมืองไทยแล้วไปเทศน์เมืองนอกนี่ใจมันชักจะเหี่ยวๆแห้งๆเหมือนกันนะ คือไม่มีน้ำกัณฑ์เทศน์รดนี่ใจมันเหี่ยวๆ เขาเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระที่ไปอยู่นี่จะไปหวังอะไรก็ไม่ได้ แล้วก็พระฝรั่งเขาไม่มีพิธี ไม่มีการไปสวดมนต์ที่บ้าน ไม่มีการไปบังสุกุลศพอะไรอย่างนั้น
แต่ว่ามีพิธีคนเคยมาแต่งงานที่วัดนั้น คือชาวพุทธน่ะ เด็กหนุ่มนี่มันถือพุทธ เด็กสาวที่ถือพุทธเขาอยากจะแต่งงานกัน อันนี้ถ้าเป็นคริสเตียนเขาก็ไปทำกันที่โบสถ์ เขาเป็นชาวพุทธแล้วเขาจะทำอย่างไร เขาก็มาถามพระที่วัดนั้น พระบอกว่าได้ทำแบบชาวพุทธก็ได้ ก็มาทำให้ รับศีล พระก็สวดมนต์อะไรนิดหน่อย แล้วก็พรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ แล้วก็สอนตามหลักธรรมะให้ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในชีวิตครอบครัว เขาก็ทำอย่างนั้น ก็เป็นแบบฉบับขึ้นในเรื่องการแต่งงาน ส่วนเรื่องอื่นนั้นยังไม่มีอะไร เห็นแล้วก็รู้สึกว่าเป็นที่น่าพอใจ
เมื่อกลับมาเมืองไทยจากการผูกพัทธสีมาแล้ว ก็มีคนมาชวน มาชวนว่าให้ไปร่วมทอดพระป่าที่วัดป่าจิตตวิเวกนี้ด้วย ไอ้ความจริงน่ะคนที่เขาจะไปนี่เขาเป็นพวกเงินถังเงินถุงทั้งนั้นนะ แต่เขาชวนอาตมาไปด้วยเพื่อจะได้ให้คนเขาเลื่อมใสศรัทธาจะได้ร่วมบุญร่วมกุศลกันด้วย อาตมาก็บอกว่าได้ ซื้อตั๋วให้ก็ไปได้ เลยเขาก็ตีตั๋วเรือบินให้ แต่ว่านึกในใจว่าไอ้เราจะไปเฉยๆ ไม่ได้เอาอะไรไปช่วยเลยมันก็กระไรอยู่ เลยก็ลองแย้มออกไปทางโทรทัศน์นิดหน่อยว่า วัดนั้นมีสภาพอย่างไร พระอยู่กันอย่างไร เขาเป็นทัพหน้าเราก็ควรจะเป็นทัพหนุน ไปช่วยเหลือเจือจุนเขาบ้างเป็นการให้กำลังใจ เหมือนกับเล่นฟุตบอลมันต้องมีกองเชียร์ ถ้านักฟุตบอลเตะกันอยู่ไม่มีใครโห่เลย มันก็จะเหี่ยวจะแห้ง
อันนี้พระไปทำงานนี่ไปจากเมืองไทย เราคนไทยไม่ได้ช่วยเหลือเลย มันก็ดูกระไรอยู่ แล้วใครจะร่วมอนุโมนาในงานนี้ก็ยินดี พูดออกไปทางโทรทัศน์ในวันอาทิตย์แรกของเดือนมีนาคม พอเดือนต่อรุ่งขึ้น ๒ วัน มีคนเอามาร่วมอนุโมทนา ๓๐,๐๐๐ แล้วเอามาเรื่อยๆได้เงินไป ๑๗๐,๐๐๐ บาท เป็นส่วนน้อยนะแต่ว่าไอ้ที่เขาหาได้มากกว่า ก็ได้ร่วมเดินทางไปกับเขาไปร่วมทอดพระป่าที่วัดนั้น อันนี้ไปคราวนี้ไปพักในวัดนั้นเลย คือไปพักวัดพุทธประทีป ไปถึงวันที่ ๓๐ วันเสาร์ก็พักที่นั้น
วันอาทิตย์ที่ ๑ ก็นึกว่าไปแล้วก็ควรจะเทศน์กับคนไทยที่อยู่ในอังกฤษบ้าง ก็มีการประชุมคนมาแต่ก็ไม่มากนัก เพราะว่าการป่าวร้องไม่ค่อยทั่วถึง ก็ได้ไปพูดธรรมะให้เขาฟังบ้างพอสมควร รุ่งขึ้นวันจันทร์ก็วันที่ ๒ ก็เดินทางไปวัดป่าจิตตวิเวก แล้วไปพักอยู่ที่นั้นตลอดเวลาจนถึงวันทอดผ้าป่า ไอ้วันทอดผ้าป่านี่ อยากจะเล่าให้ญาติโยมฟังสักหน่อยว่ามันเป็นภาพประทับใจอย่างไร
เมืองอังกฤษเป็นเมืองนี่เป็นเมืองที่ฝนตกบ่อยๆ หาแสงตะวันยาก วันหนึ่งๆนี่มันครึ้มๆอย่างนี้ ครึ้มเลย เดี๋ยวก็ฝนโปรยลงมา เพราะฉะนั้นเมืองนั้นนี่หญ้าเขาเขียวชอุ่มตลอดเวลา ต้นไม้ก็สดชื่นอยู่ตลอดเวลา มันน่ารื่นรมย์พอสมควรแต่อากาศมันหนาวหน่อย เมื่อไปเดือนที่ไปนี่มันเดือนพฤษภาฯ เอ้อ...ปลายเมษาฯพฤษภาฯ ควรจะร้อนแต่ยังไม่ร้อน ปรอทมันยังอยู่ในเลข ๙ ก็อยู่ในเขตหนาวเหมือนกัน แต่ไม่หนาวมากเพราะไม่มีหิมะตก ก็ไปพักอยู่ที่นั่นก็พระท่านจัดที่พักให้ ที่นั่นเขาไม่มีเครื่องทำความอุ่นสมัยใหม่เพราะเป็นวัดแบบโบราณ เขามีเป็นเตาเหล็กวางไว้แล้วเอาไม้ฟืนใส่เข้าไปให้มันเกิดความร้อน อบหม้อให้ร้อน
ไม้ฟืนนี่ไม่ต้องตกใจเพราะว่าวัดนั้นมีป่า ๑,๓๐๐ ไร่ แล้วก็มีป่าไม้ชนิดหนึ่งเขาเรียกว่าไม้เกาลัด ไอ้ที่เรากินลูกเกาลัดน่ะ ไม้ชนิดนี้นี่ถ้าเราตัดแล้วมันแตกแขนงขึ้นอีก มันต้นเดียวแต่ตัดแตกแขนงขึ้นเป็น ๑๐ ต้น จากโคนเดิมเลย เพราะฉะนั้นเขาตัดเอามาทำฟืนกันแล้วมันก็แตกหน่อต่อไป ไปดูที่เขาตัดดูต้นไม้แตกเห็นว่า อ๋อ...ไอ้นี่ไม้นี้ดีตัดแล้วไม่ตาย มันยังขึ้นมาชดเชยได้ นับว่าเป็นประโยชน์ ที่วัดนั้นจะต้องเตรียมไม้ฟืนไว้มากๆสำหรับใช้ในฤดูหนาว อาตมาไปพักอยู่นั้นพระท่านเอาใจใส่ เดี๋ยวเอาไม้ฟืนไปใส่เตาๆกลัวจะหนาว ความจริงนอนแล้วคลุมโปงก็ไม่หนาวเท่าใด แต่ว่าเขาก็ยัง พระท่านเอาใจใส่ตามหน้าที่ของผู้เป็นเจ้าของบ้าน ช่วยเหลือเจือจุนอย่างดี
ตื่นเช้าขึ้นเขามีการฉันน้ำชา น้ำชานี่ก็ต้มมาเป็นกาใหญ่ ต้มมาถึงก็วางไว้ พระทุกรูปก็มานั่ง มาถึงนั่งก็นั่งเรียบร้อย นั่งสำรวมทำสมาธิอยู่ แล้วก็หัวหน้าก็นั่ง อาตมาไปเขาก็จัดที่นั่ง นั่งบนสูงอย่างนี้ แล้วเขาก็เอาน้ำชาใส่ถ้วย น้ำตาลใส่เอาเองตามชอบใจ แจกไปทุกในหมู่พระ แจกพระแล้วก็แจกแม่ชี แจกอุบาสก แจกคนที่ยังเป็นชาวบ้านที่มาทำงาน ไปนั่งรวมดื่มแห่งเดียวกัน มันเป็นเอกภาพเพราะว่าดื่มน้ำร่วมกัน ฉันอาหารร่วมกัน ทำอะไรร่วมกันนี่ ดูแล้วมันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ประชุมกันอย่างนั้นทุกวันๆๆ ความสนิทสนมกลมเกลียวกันมันเกิด มีอะไรก็พูดกันเวลานั้น ปรารภเรื่องอะไรก็เอามาคุยกัน หัวหน้าท่านก็ปรารภเรื่องนั้นเรื่องนี่ สนทนากันในเรื่องที่ควรจะจัดจะทำ เช่นว่าวันพรุ่งนี้นี่เขาจะทอดผ้าป่า ใครควรจะทำอะไรเสียวันนี้ ควรจะทำตรงนั้น ทำตรงนี้ก็สั่งงานกันเวลาดื่มน้ำชาเช้าๆ อาตมาก็ไปนั่งดื่มกันแล้วก็สังเกตดูว่าเขาอยู่กันอย่างนี้มันเรียบร้อยดี ทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
และพอฉันน้ำชาเสร็จแล้ว อาตมาก็ชวนพระออกเดินไปตามถนนแคบๆ คือชาวบ้านแถวนั้นน่ะเขาสงวนความสงบ เขาอนุรักษ์ความสงบของเขามาก ถนนนี่รถยนต์คันเล็กวิ่งได้คันเดียวเท่านั้น จะสวนกันไม่ได้ รัฐบาลต้องการขยายถนน ชาวบ้านมันไม่ยอม เมืองฝรั่งนั้นเขาเคารพสิทธิของชาวบ้านมาก ถ้าชาวบ้านไม่ยอม เขาก็ไม่ขัดขืน เขาให้ถนนแต่ว่าถนนเล็กเขาก็ลาดยางเรียบร้อย และมีน้ำประปาไปถึงหมู่บ้าน มีไฟฟ้าไป มีโทรศัพท์ไป ติดต่อได้สะดวกสบาย
ก็เดินไปตามถนนนั้น ไม่ต้องกลัวรถเพราะไม่มีรถ มีอยู่แต่ม้าสวนทางบ่อยๆ ชาวบ้านแถวนั้นเขาชอบเลี้ยงม้าไว้ขี่ บางทีก็ผู้ชายขี่ม้ามา บางทีผู้หญิงขี่ม้ามา เวลาเราเดินไปเขาก็หยุดม้าจับไปให้มันเดินค่อยๆ เดี๋ยวมันจะไปเตะพระเข้าจะลำบาก เราก็ยืนสำรวมหน่อยอย่าให้ม้ามันตกอกตกใจ แล้วก็เดินไปจนกระทั่งไปในบริเวณป่า เดินชมป่าชมอะไรไปตามเรื่อง ออกเดินทุกวันออกกำลังกาย รู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเป่าสบายดี กลับวัดมาถึงก็อาบน้ำ เขามีน้ำอุ่นให้อาบ
อาบน้ำแล้วก็ถึงเวลา ๑๑ โมงก็ฉันอาหาร ฉันอาหารเรียกว่าฉันเพลน่ะบ้านเรา แต่เขาฉันอาหารหนักมื้อเดียว แล้วก็ตอนบ่ายเย็นนี่ประมาณ ๔ โมงนี่ก็เลี้ยงน้ำชาอีกเหมือนกัน มานั่งประชุมพร้อมกันแล้วก็แจกน้ำชา แล้วก็สนทนากันในเรื่องอะไรต่างๆ หนึ่งทุ่มนี่เป็นเวลาทำวัดเย็น นั่งเจริญภาวนา ราวสามทุ่มก็เลิกกันไปพักผ่อนหลับนอนกันไปตามเรื่อง นี่เป็นชีวิตประจำวันเขาเป็นอยู่กันในรูปอย่างนั้น
อันนี้เตรียมรับผ้าป่านี่เขามีเต๊นท์ใหญ่ยาว ยาวขนาดนี้ไปถึงบันไดนั้นน่ะ แต่ว่ากว้าง กว้างกว่า เอ...สักขนาดอย่างอย่างนี้จุคนได้ประมาณ ๒๐๐ เข้าไปนั่งในนั้น ก็ทำอาสน์สงฆ์ขึ้นเตี้ยๆให้พระนั่ง แล้วก็มีที่บูชาอะไรพร้อม ชาวบ้านที่ไปทอดกฐิน เอ้อ...ทอดผ้าป่า คือมันน่าสดชื่นใจที่ว่าฝรั่งเขามาร่วมเยอะทีเดียว ฝรั่งที่เป็นแม่บ้านพ่อบ้านเอาลูกน้อยๆมา ถือขันใส่ข้าว ถือภาชนะใส่ข้าวใส่ขนม แล้วก็ตักบาตร ได้บอกคนถ่ายรูปว่าถ่ายไอ้ไอ้เด็กน้อยฝรั่งนั้นไว้ด้วยนะ ไอ้ผู้ใหญ่ไม่ต้องถ่าย ถ่ายเอาเด็กไว้มันน่าเอ็นดู มันเดินเข้าคิวนะ เข้าคิวไปตามลำดับ เพื่อจะเอาข้าวไปใส่ในบาตรพระ เป็นภาพที่น่าดู ดูแล้วสบายใจทีเดียว
เขาถวายอาหารพระเสร็จแล้วก็ถวายผ้าป่าในตอนบ่าย ถวายผ้าป่าเสร็จแล้วอาตมาก็แสดงธรรมให้ญาติโยมฟัง เมื่อแสดงธรรมจบแล้วก็ได้บอกพระชื่อพระสันโน เป็นรักษาการ เป็นสมภารวัดนานาชาติ เป็นชาวแคนาดา บอกว่าให้แปลสั้นๆเรียกว่าบรี๊ฟ (Brief) ให้ฝรั่งเขาฟังบ้าง ท่านก็บรี๊ฟไปเสียยาวเหมือนกัน ใจความอย่างที่ได้พูดให้ฟังแล้วให้พวกฝรั่งเขาฟังกันต่อไป รู้สึกว่าน่าประทับใจพอสมควร แล้วก็ได้เงินจากการทอดผ้าป่านี่ ๗๐,๐๐๐ ปอนด์ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ ๒ ล้านเศษ
เงินนี่เอาไปทำอะไร คือพระท่านเขียนโครงการส่งมาบอกว่าต้องการจะซ่อมโรงม้า ผู้ดีฝรั่งนี่เข้าเลี้ยงม้าไว้สำหรับขี่เล่น โรงม้ายาวแต่มันชำรุดทรุดโทรม ก็จะซ่อมโรงม้าหลังนั้นให้เป็น ๒ ชั้น ชั้นบนนี่ให้พระอยู่ ชั้นล่างนี่เป็นที่ฉันอาหารแล้วเป็นที่ประชุมชาวบ้านเพื่อการฟังธรรม เพราะเวลานี้ที่ฟังธรรมก็อยู่ในห้องสวดมนต์ในอาคาร มันเล็ก มันแคบ เนื้อที่มันก็เท่าอาสน์สงฆ์นี่เท่านั้นเอง มันจำกัดเหลือเกิน แต่ว่ามีอาสนะสูงให้พระนั่ง นอกนั้นชาวบ้านนั่งที่ต่ำ มันไม่สะดวกคนมันเพิ่มมากขึ้น
งบประมาณที่จะต้องใช้นี่ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปอนด์ เขาเขียนแปลนไว้เสร็จเรียบร้อย ขออนุญาตแล้ว เรื่องขออนุญาตนี้เมืองฝรั่งนี้เขาคุมทั้งหมด แม้ในชนบทเขาก็คุมการก่อสร้าง ไม่ใช่ว่าใครจะสร้างอะไรตามชอบใจ ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องบอกเสนอแปลนไป สร้างตรงไหน สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร เขาต้องมาตรวจตราเรียบร้อยจึงอนุญาตให้สร้างลงไปได้ เขาติดต่อขออนุญาตเรียบร้อยแล้ว บ้านเมืองเขามีระเบียบ ไม่ใช่ใครจะทำอะไรได้ตามชอบอกชอบใจ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาคุมทุกสิ่งทุกประการ
ตัวอย่างเช่นต้นไม้ ต้นไม้อยู่ในบ้านเรานี่เมืองไทยเราโค่นตามชอบใจ ที่โน่นไม่ได้ ต้นไม้ในบ้านนี่โค่นไม่ได้นะ เวลาจะโค่นต้องไปบอกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ว่าจะโค่นต้นไม้ต้นนี้ ถ้าเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ๆอย่างนี้ ไม่ได้เป็นอันขาด โค่นไม่ได้ แล้วไม่ใช่เพียงแต่โค่นไม่ได้นะ ถ้ามันแสดงอาการเป็นโรคเหี่ยวแห้งนี่ต้องไปบอกด้วย บอกเจ้าหน้าที่เขาจะได้ส่งแพทย์ต้นไม้มาดูแลว่าต้นไม้นี่มันเป็นโรคอะไร ทำไมใบมันเหี่ยวมันถึงเฉา เขาจะต้องมาเยี่ยวยารักษากันเลยทีเดียวล่ะ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เพราะฉะนั้นป่าเขาเขียวชอุ่มทั่วๆไป เรานั่งรถไปตามถนนสายยาวๆชื่นใจ คือเห็นป่าเรื่อยไป เห็นหญ้าเขียวไป ไม่เหมือนบ้านเรานั่งแล้วมันจะเหี่ยวจะแห้งไป ดูภูเขาค่อยๆโล้นไปเรื่อยๆ
สมัยก่อนปักษ์ใต้นี่ยังเขียวมากนะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ช่วยกันตัดช่วยกันริดก็ชักจะโล้นๆไปมากแล้วในเวลานี้ ไอ้ภาคเหนือภาคอีสานไม่ต้องพูดน่ะโล้นเรียบร้อยไปนานแล้วเลยจึงเกิดเป็นปัญหา เขารักษามากในสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นต้องขออนุญาตทั้งนั้น จะทำอะไรในป่าแม้เป็นป่าของเราจะทำอะไรตามชอบใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นป่าจึงมีต้นไม้ใหญ่ๆสวยงามปลูกไว้อย่างเรียบร้อย เป็นสิ่งที่เขาควบคุมตามกฎหมาย อันนี้เอามาเล่าให้ญาติโยมฟังเห็นว่าเขามีสภาพอย่างไร เพราะฉะนั้นพระจะสร้างอะไรต้องขออนุญาต ทำอะไรตามชอบใจไม่ได้
แล้วอีกอย่างหนึ่งฝรั่งนี่เขาเคารพสิทธิของเขา ใครทำอะไรให้กระทบกระเทือนสิทธิไม่ได้ เช่นว่าวัดไทยที่ลอนดอนนี่พุทธประทีปนี่ ใบไม้มันแห้งๆเขาเรียกว่าต้นโฮลี่ ไอ้ต้นโฮลี่นี่ใบมันหนาและเป็นหนาม มันแห้งแต่จุดไฟเหมือนจุดลูกประทัดน่ะ มันดังเป๊าะแป๊ะๆ ดังแล้วเหมือนกับเปรี้ยงเป๊าะแป๊ะๆๆๆ ชาวบ้านตกใจ สมภารจุดไฟเผาชาวบ้านตกใจ บ้านใกล้วัดมันมี เขามีอะไรแต่เขาโทรศัพท์บอกตำรวจทันที ตำรวจของเขานี่เรียกง่ายใช้คล่องนะ พอเราโทรศัพท์ปุ๊ปเดี๋ยวมาแล้ว มาแล้ว มาไว ไม่เหมือนตำรวจบ้านเราไปช้าๆ ไม่รวดเร็ว ของเขามันว่องไวดี พอโทรศัพท์ปุ๊ปมาแล้ว
มาถึงถามนี่ท่านทำอะไร เผาขยะ อ้าว! รู้มั้ยเผาขยะนี่ทำให้คนอื่นเขารำคาญ ไม่ทราบ อ้าว!ไม่ได้ หาน้ำมาดับเดี๋ยวนี้ แหมท่านแรกเผาองค์เดียวต้องเรียกลูกน้องขนน้ำดับกันเป็นการใหญ่ เพราะตำรวจสั่งแล้วนี่ไม่ได้นะ สั่งแล้วไม่ได้ เขามันเป็นอย่างนั้น เขาสงวนสิทธิของเขา เขารักษาสิทธิของเขาตามสมควร เพราะฉะนั้นเราจะทำอะไรแปลกๆแผลงๆมันก็ไม่ได้ จึงต้องไปขออนุญาตส่งแปลนเอามาทำให้เรียบร้อย วันนั้นเอาแปลนมาวางไว้ ก็ทำดี รูปร่างหน้าตาเข้าทีแปลน เขาก็จะสร้างกัน นี่ป่านนี้คงลงมือสร้างแล้วนะเพราะว่าพระช่วยกันสร้าง มีช่างชาวบ้านมาช่วยกันมาก
คือมีพวกหนุ่มๆอาสาสมัครมี เขามาช่วย คนหนุ่มคนหนึ่งมาช่วยทำบัญชีรายจ่ายของวัด พระไม่มีสตางค์หรอก เงินมันอยู่ที่สมาคม เวลาเขาเอาเงินมาให้ คนที่เป็นอุบาสกก็ทำบัญชีรับจ่าย ซื้อนั้นซื้อนี้ให้เป็นหลักเป็นฐานให้เรียบร้อยก็มี ก็ทำดีการเงิน เขาเรียกว่าเป็นองค์การประเภทไม่มีกำไร ไม่ต้องเสียภาษี เขางดเว้น รายได้มาเท่าใดก็ใช้จ่ายไปไม่ต้องเสียภาษี เช่นคนทำบุญไป ๗๐,๐๐๐ ปอนด์นี่เขาไม่หักภาษี เพราะเป็นองค์การประเภทไม่มีกำไร เขาเรียกว่า Non-profit organization ภาษฝรั่งเขาว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องลำบากแต่ว่าต้องทำบัญชีเหมือนกัน แสดงตัวเลขให้รู้ว่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่เป็นสาระเป็นแก่นเป็นสาร เพราะฉะนั้นเขาพัฒนาให้ดีขึ้น
อาตมาไปพักอยู่ก็สบาย สงบจิตสงบใจไม่มีเสียงอะไรรบกวนเลย เมื่อก่อนสวนโมกข์เรานี้เงียบมาก แต่เวลานี้ถนนใหญ่ผ่าน ถ้าขึ้นไปนอนบนกุฏิบนเนินโน้นแล้ว แหมเสียงเหมือนกรุงเทพเลย มันดังมาตั้งแต่โน่นแน่ะแล้วดังไปตั้งแต่นี่ มันเร่งเครื่องขึ้นลงควน ลงจากควนมันก็ดังต่อ ไม่เหมือนเก่า แต่ที่นั้นเงียบฉี่ กลางวันก็เงียบกลางคืนก็เงียบไม่มีอะไรที่จะทำให้ฟุ้งซ่าน เพราะอารมณ์ไม่ค่อยกระทบเท่าไร รู้สึกว่าสบายน่าอยู่ พระฝรั่งก็อยากให้อยู่เหมือนกันแต่ว่างานที่เมืองไทยมันยังไม่เรียบร้อยก็ต้องรีบกลับมา ท่านบอกว่าปีหน้าหน้าร้อนนี่นิมนต์ท่านเจ้าคุณมาพักที่นี่อีก พักนานๆพักสักเดือนหรือเดือนกว่าแล้วจะพาไปดูตามศูนย์ต่างๆที่ได้ไปเปิดไว้ตามที่ต่างๆ เยี่ยมเยียนพุทธบริษัทอะไรเหล่านั้นบ้างตามสมควร
อันนี้ก็เวลาสวดมนต์ตอนเย็นเขาขอร้องให้เทศน์ บอกว่าให้พูดภาษาอังกฤษ บอกแหม...พูดภาษาอังกฤษนี่ไม่เหมือนกับพูดไทยเลย พูดไทยนี่มันพูดคล่อง พูดอังกฤษมันไม่ไหวนึกศัพท์ไม่ทัน พูดประโยคไม่ทัน อย่าเลยอย่าให้พูด พูดไทยดีกว่า แล้วก็พระแก่ผู้รู้ภาษาไทยดีอย่างพระพวกนั้นก็แปลให้ญาติโยมฟังกันในตอนสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว อันนี้คือความเป็นอยู่ภายในวัดที่ได้ไปพบไปเห็น
ทีนี้มีข่าวที่น่าสลดใจในอังกฤษอยู่ข่าวหนึ่ง คือนายคริส มัทฮัมฟรี่ย์ คนคนนี้นับถือพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่อายุ ๑๗ ปีสมัยเป็นนักเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแคมปริด เป็นนักเรียนเรียนอักษรศาสตร์และเรียนกฎหมาย แกได้ปริญญาทั้งอักษรศาสตร์และทางกฎหมาย ครอบครัวแกนี่เป็นครอบครัวนักกฎหมาย พ่อนี่มียศเป็นท่านเซอร์แล้วก็เป็นนักกฎหมายที่มีชื่อ คนไทยไปเรียนกฎหมายที่นั้นก็ได้ฟังเลคเชอร์ของท่านผู้นี้ ท่านฮัมฟรี่นี่เป็นนายกพุทธสมาคมมาตั้ง ๕๐ กว่าปี ทำงานมากเขียนหนังสือเยอะแล้วก็ส่งเสริมกิจการพุทธศาสนามากมาย ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วด้วยโรคหัวใจวาย
เห็นว่าทำงานอยู่หัวใจก็หยุดไปเฉยๆ เขาเรียกว่าหัวใจวายฮาร์ทแอทแทค (Heart Attack)เขาเรียกอย่างนั้น ตายไปแล้วก็พระวัดพุทธประทีปพระเสมา (นาทีที่ 53.21) ก็ไปเยี่ยมศพเหมือนกัน วันเผานี่พระไม่ได้ไป เขาเผา ๑๑ โมงพระติดฉันเพลไปไม่ได้ แต่เขาไม่ออกบัตรออกการ์ดอะไรหรอก ฝรั่งเขาไปเผาเขาคนไม่กี่คน เขาไปเผากันง่ายๆ
เวลาแกจะตายนี่แกทำเรื่องไว้อันหนึ่ง แกว่าชาวพุทธตายนี่ควรจะทำศพอย่างไร คุณหน่อยลูกของท่านชิดนี่เอามาให้ดู เลยขอมาเหมือนกัน เริ่มอะไรบ้าง เมื่อศพไปถึงป่าช้าแล้วก็ให้ทำสมาทานศีล ศีล ๕ เมื่อสมาทานศีล ๕ เสร็จแล้ว ก็ให้มีคนๆหนึ่งลุกขึ้นกล่าวข้อความจากพระสูตร คือคัดมาจากพระสูตรพูดถึงเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วก็ให้ยืนขึ้นไว้อาลัยต่อศพ แล้วต่อจากนั้นก็มีข้อความที่จะกล่าวต่อไปอีก กล่าวหลายเรื่องในงานศพนั้นมีแต่เรื่องพูดธรรมะให้คนที่มาในงานได้เกิดความรู้ความเข้าใจจากเรื่องนั้นๆ แล้วก็ทำการเผาศพ
เผาศพในเมืองอังกฤษนี่ ป่าช้าเขา ศีลานันทะก็บอกว่า เขาทำเรียบร้อยสวยงาม เวลาโลงจะเข้าไปในเตาก็ค่อยเลื่อนไปช้าๆ แล้วนายฮัมฟรี่นี่แกให้เปิดเพลงเพลงหนึ่งที่แกชอบ เพลงนั้นก็มีใจความว่าลาแล้วโลกนี้ที่มีความเปลี่ยนแปลง ใจความเป็นอย่างนั้น เป็นเพลงที่นักร้องชั้นดีร้องอัดเทปไว้ แล้วก็เปิดเพลงโลงก็ค่อยๆเลื่อนเข้าไป พอพ้นประตูเตา ก็ประตูเตาปิดปั๊ปไฟลุกพรึ่บ เผาเลย ไม่ต้องเอาไม้ดอกไม้จันทน์ไปวางกันเป็นการใหญ่เหมือนบ้านเรา ทุกคนไปก็ไปยืนสงบยืนฟังคำพูดที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ ถ้าพูดแบบภาษาไทยก็เรียกว่าสังเวคกถา กถาที่ให้เกิดการสังเวชสลดจิตจากการตายของบุคคลผู้หนึ่ง แล้วก็ทำอย่างนั้นท่านวางแบบไว้เป็นเครื่องใช้ในการเผาศพชาวพุทธต่อไป
นี่น่าเสียดายท่านผู้นี้ แต่ว่าก็อายุ ๘๒ แล้ว ทำงานมากไป คนอายุมากนี่ทำงานมากนี่ลำบาก คือว่าคนเรานี่ไม่ค่อยยอมว่าตัวแก่ ทำงานพักใหญ่ทำเรื่อย ร่างกายมันไม่อำนวย เลยก็ถึงแก่กรรมไป แต่ว่าถึงแก่กรรมด้วยการทำงานดีกว่าถึงแก่กรรมด้วยความเกียจคร้าน พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนอยู่ด้วยความขยันวันเดียวดีกว่าคนอยู่ด้วยความเกียจคร้าน ๑๐๐ ปี เพราะฉะนั้นทำไปเถิด ใครทำอะไรได้เรื่องดีมีประโยชน์ทำไป เป็นคุณเป็นการก็ทำไป อย่าไปกลัวตายมัน ให้มันตายขณะทำงานยิ่งดี นี่ความตายของท่านผู้นี้เรียกว่าน่าเสียดายเพราะยังเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอยู่ พุทธสมาคมเขาก็ไม่ล้มหรอก แม้ท่านผู้นี้ตาย พวกเขาก็ร่วมแรงร่วมใจปฏิบัติงานกันต่อไป
ขณะที่ไปประเทศอังกฤษคราวนี้ เมื่อไปถึงวันที่ ๓๐ วันที่ ๒ ก็ได้รับข่าวสลดใจข่าวหนึ่ง คุณหน่อยลูกท่านชิดมาบอกว่า ท่านรู้ไหมมีข่าวที่น่าสลดใจเกิดขึ้นแล้ว บอกว่ายังไม่รู้ แกบอกว่าท่านปรีดีน่ะถึงแก่กรรมเสียแล้วที่กรุงปารีส บอกว่าแหมเสียใจด้วย อยากจะคุยกับท่านผู้หญิงปัญญาแกหน่อย ช่วยต่อโทรศัพท์ เขาก็ต่อโทรศัพท์ให้ก็พูดไปแสดงความเสียใจ พูดธรรมะให้ฟังว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา อายุท่านก็ ๘๓ ปีแล้ว ไม่ครบดีน่ะอีก ๙ วันก็จะครบ ท่านเกิดวันที่ ๑๑ พฤษภาคมจะครบ ๘๓ บริบูรณ์ แต่ว่ายังขาด ๙ วันก็ถึงแก่กรรม เป็นการถึงแก่กรรมที่สบาย ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่กระวนกระวาย ไม่ต้องรักษาเยียวยา นั่งทำงานอยู่ตามปกติ
คือชีวิตท่านปรีดีนี่แกอยู่กับงาน ทำงานเหมือนกับทำราชการ ๘ โมงเช้านั่งโต๊ะทำงาน ค้นคว้าเรื่องนั้นเรื่องนี้ เขียนไปค้นไปทำเรื่อยไป เขียนภาษาไทยบ้าง ภาษาฝรั่งเศสบ้าง ทำงานไม่หยุด เที่ยงหยุดรับประทานอาหาร พักผ่อนนิดหน่อย บ่ายทำงาน ห้าโมงเลิก มากกว่าราชการ ราชการเรา ๔ โมงครึ่งแต่ความจริงเขาเลิกก่อน ๔ โมงกันทั้งนั้น เรียกว่าเวลาเลิกนี่เขาเร็วกันดี ทำงานอย่างนั้นทุกวันๆเป็นประจำไม่มีการพักผ่อน
แล้วก็ขณะนั่งเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะ ท่านผู้หญิงยืนอยู่ข้างๆ เขียนไปๆก็ถอดแว่นออกมาเช็ดแว่น เช็ดแว่นว่าทำไมแว่นมันมัว ความจริงแว่นมันไม่มัวตาแกมัว แต่มันมีอาการผิดปกติตามัว เช็ดแว่นเสร็จแล้วมันก็ยังไม่เกลี้ยงก็เช็ดขยี้ตา พอขยี้ตาก็ฟุบลงไป ท่านผู้หญิงก็ประคองแล้วก็เรียกคุณชัลลภ ชาไล พลางกูร (นาทีที่ 58.51) แกเป็นอาจารย์โรงเรียนดรุโณทยาอนุบาล (นาทีที่ 58.56) ปกติแกไปทุกปี ใกล้วันเกิดท่านปรีดีแกก็ไปช่วยเหลืออะไรต่ออะไร บอกว่าให้โทรศัพท์เรียกหมอที่เคยมาตรวจร่างกายรักษาอยู่บ่อยๆเป็นหมอประจำ หมอมาถึงก็พูดแต่คำเดียวว่าเสียใจช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ก็หมดเรื่องแล้วก็เลยจัดแจงทำศพไป วางไว้บนเตียง ๓ วันให้นอนอยู่อย่างนั้น ๓ วันจึงจะใส่หีบ
ทีนี้ก็ท่านผู้หญิงท่านปรารถนาเหลือเกินที่จะให้อาตมาไปอยู่งานเผาศพ ทำไมจึงต้องการให้ไป คือว่าพระมีเหมือนกันที่กรุงปารีสแต่ไม่ใช่พระที่คุ้นเคย พระลาวเขาหนีอพยพหลบภัยเหมือนพระลี้ภัยน่ะ ก็ยังไม่ชื่นอกชื่นใจ ควรจะเอาพระที่คุ้นเคยกัน ทีนี้ความคุ้นเคยมันเกิดขึ้น ความจริงน่ะก่อนนี้ท่านเจ้าคุณท่านเคยพาอาตมาไปพบท่านปรีดีที่บ้านแถววังท่าช้าง แต่คราวนั้นพบกันแล้วก็หายไปไม่มีอะไร แต่ตอนหลังมาท่านยังจำชื่อท่านปัญญานันทะได้ที่ได้ไปแนะนำให้รู้จัก ก็สนใจในผลงานอะไรต่ออะไรอยู่เสมอมา
แล้วก็เมื่อปี ๒๕๒๒ นี่ไปเดินทางไปต่างประเทศไปพักอยู่ที่ปารีส ท่านรู้ เอารถไปรับที่พักที่โรงแรมพามาที่บ้าน มาตั้งแต่เก้าโมงเช้าคุยจนสิบเอ็ดโมงฉันอาหารท่านก็นั่งคุย ฉันอาหารเสร็จแล้วคุยกัน สี่โมงเย็นจึงส่งกลับโรงแรม ก็เกิดความประทับใจกันในบางเรื่องบางประการก็คุยกัน เราก็คุยถามท่านนะ ไม่ใช่คุยให้ท่านฟัง ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องเก่าเรื่องแก่ ท่านก็คุยเป็นเปราะเป็นเปราะไป ยังจำสมองยังดีมากร่างกายยังแข็งแรงแล้วก็เกิดคุ้นเคย
ทีนี้มาลูกชายชื่อนายปาน พนมยงค์นี่มาป่วยที่กรุงเทพ เป็นโรคมะเร็ง ก็ต้องการจะพบอาตมาอยากจะฟังธรรม วันที่เขาต้องการพบมันไม่ว่างก็เลยส่งเทปไป พอว่างก็ไปเยี่ยมไปเยียนไปสนทนพาทีกันจนกระทั่งว่าเขาตายไป เพราะโรคมะเร็งนี่มันไม่ไหวหรอก ใครเป็นแล้วก็ยื่นคำขาดมัจจุราชเอาตัวกันไป นี่ตายแล้วก็เขามีพิธีจะยกศพให้โรงพยาบาลไป แต่มีพิธีไว้อาลัยทำที่สมาคมธรรมศาสตร์ วันนั้นน่ะเป็นวันที่รู้สึกว่า อ่อ...บารมีของพ่อนี่ยังหนักแน่นคนไปกันมากจริงๆ คนชั้นแก่อายุ ๘๐ ก็มี ชั้นกลางคน ชั้นน้อยเพื่อนนายปาน สมาคมธรรมศาสตร์ใหญ่โตยืนกันเต็มไปหมดเก้าอี้นั่งไม่พอ
เขาก็นิมนต์ให้อาตมาเทศน์ในงานนั้นก็พูดให้เขาฟัง จำได้ก็พูดว่าขอชมเชยน้ำใจท่านทั้งหลายที่มาร่วมพิธีในวันนี้ เพราะท่านทั้งหลายที่มานี่มาด้วยน้ำใจแท้จริงเพราะว่าบิดาของนายปานนี่ก็ไม่อยู่ แล้วก็ไม่มีพระคุณอะไรที่จะดลบันดาลหรือพระเดชอะไรที่จะทำอะไรกับท่านทั้งหลายได้ แต่ว่าท่านมาด้วยน้ำใจรักเคารพจริงๆจึงมา ก็พูดกันน้ำตาไหลกันไปตามๆกัน อาตมาพูดๆก็มันตื้นตันใจบางทีก็ต้องหยุดหายใจยาวสักหน่อยก่อนแล้วค่อยพูดต่อกันไป เขาก็ถอดเทปเอาไปพิมพ์เป็นหนังสืออนุสรณ์ด้วย ก็ส่งต้นฉบับไป
ทีนี้ท่านปรีดีนี่ถ้าแกเขียนอะไรขึ้นก็อุตสาห์ส่งมาให้อ่าน ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องส่งมาให้ เขาเรียกว่าเกิดความคุ้นเคยกันทางใจ ท่านผู้หญิงท่านก็นึกว่าถ้าท่านปัญญามาในงานศพแล้วก็จะสบายใจ แล้วก็ท่านปรีดีเกิดวันที่ ๑๑พฤษภา ตรงกับวันเกิดอาตมา ๑๑ เหมือนกัน แล้วท่านผู้หญิงก็อายุ ๗๒ ปีเท่ากันเหมือนกัน มันสัมพันธ์กันหลายอย่างก็เลยต้องไป แต่ว่ามันยากที่จะไป ฝรั่งเศสนี่มันเหลือทนนะ ถ้าเราไปจากเมืองไทยไม่วีซ่าไปที่เมืองไทยแล้ว จะไปขอวีซ่าในประเทศต่างๆมันไม่ได้ วิเวกานันทะเขาจะไปฝรั่งเศสไม่วีซ่าจากเมืองไทย ไปขอวีซ่าประเทศอิตาลีไม่ได้มาสวิสเซอร์แลนด์ไม่ได้ เบลเยี่ยมก็ไม่ได้ ฮอลแลนด์ก็ไม่ได้ มันไม่ให้ทั้งนั้น
มันบอกว่าเมืองไทยนี่มีทูตฝรั่งเศส ทำไมไม่มีพระ มาวีซ่าแค่นี้ให้ไม่ได้ แหม...ต้องเที่ยววิ่งรอบๆเมืองฝรั่งเศสอยู่นั่นเข้าไม่ได้ เขาไม่ค่อยให้คนไทยไม่ค่อย เขาไม่ค่อยให้ อาตมาก็นึกว่ามันจนปัญญาจะไปแล้ว แต่ท่านผู้หญิงท่านต้องการให้ไปก็มาพูดมากับคุณหน่อย คุณหน่อยวิ่งเต้นให้เอาท่านเจ้าคุณมาให้ได้ คุณหน่อยก็มาเอาพาสปอร์ตไป แกก็ไปพูดกับกงสุลฝรั่งเศสชักแม่น้ำทั้งห้า ผู้หญิงเขาเข้าใจพูด พูดไปพูดมามันเห็นใจ เห็นใจ บอกว่าเอาเถิดจะให้แต่ขอให้มีหนังสือทูตมาหน่อย เอาแล้วมาสถานทูต ทูตไม่อยู่ แต่เจ้าหน้าที่ทูตคนหนึ่งบอกไม่เป็นไร ผมเป็นเพื่อนนายปสนรักใคร่กันมากผมทำเอง เลยได้
ก็ขึ้นเรือบินวันอาทิตย์ที่ ๘ สี่โมงเย็น บินชั่วโมงเดียวก็ถึงปารีส ไปเยี่ยมท่านผู้หญิงไปเยี่ยมก็คุยกันอะไรกัน แล้วไปพักที่บ้านท่านทูตโอวาท สุทธิวาทนฤพุฒิ ท่านทูตก็ดีเอื้อเฟื้อดีมาก รุ่งเช้าขึ้นยังไม่ถึงเวลาเผาศพ ท่านทูตก็บอกว่าท่านเจ้าคุณนานๆมาปารีส อยากจะไปเที่ยวไหนก็นิมนต์รถมี เขาก็ขับรถพาไป เราไม่อยากจะไปดูตึกน่ะ อยากจะไปดูสวนในกลางกรุงปารีส เขาเรียกว่าสวนบัวโรม ใหญ่โตมาก ต้นไม้ต้นใหญ่ๆสวยงามเขาปลูกไว้ โบราณเก่าแก่เขารักษาสืบต่อกันมา ดูแล้วมันเรียบร้อยเป็นสวนจริงๆ กว้างใหญ่ไพศาล หากจะเดินรอบสวนนั้นมันต้องเดินกันวันหนึ่ง ถ้าเดินให้รอบวันหนึ่งถึงจะรอบ แต่ว่านั่งรถยนต์ชมไปสายนั้นสายนี้ดูตามสวน ต้นไม้ การปลูกต้นไม้
ถ้าเอามาเปรียบเทียบกับสวนในกรุงเทพเรา เช่นสวนลุมนี่เรียกว่าชิดซ้ายไปเลย ของเราชิดไม่ใช่ของเขาชิดไม่ใช่ ของเรามันไม่มีอะไรในสวน แล้วก็ชอบเอาอาคารอะไรไปสร้างเสียเรื่อยจนมันไม่เป็นสวนไปแล้ว ของเขานั่นเขาเป็นสวนจริงๆ ต้นไม้สวยงามเป็นตัวอย่างดีมาก ไอ้คนไทยเรานี่ก็ไปดูงานต่างประเทศไปกันจริงๆ แต่ไม่ค่อยเอามาทำอะไร ดูแล้วก็แล้วไป ของเขาน่าดู ดูสวน ดูอะไร แล้วก็ไปดูโบสถ์เขาเรียกว่าโบสถ์ใหญ่ในกลางกรุงปารีส โบสถ์นี่มันสูงอย่างนี้ มันสวยตรงหน้าต่าง กระจกสีเป็นภาพต่างๆสวยงามมากโบสถ์นี้ แต่พอเข้าไปแล้วมันทึมๆพิกล มันมืดตื้อ พระคาทอลิกกำลังสวดมนต์กันอยู่เราก็ไปเดินดู ดูไปอย่างนั้นล่ะ ไปดูโบสถ์เขา
บ่ายสองโมงก็ไปป่าช้า ศพไปถึงก็ยกศพขึ้นไปวาง เสร็จแล้วก็นิมนต์พระชักผ้ามหาบังสกุล แล้วก็อาตมาก็กล่าวคำไว้อาลัยเชิญชวนผู้ที่ไปประชุมกันประมาณ ๔๐๐ คน ฝรั่งบอกว่าตั้งแต่เผาศพมาไม่มีศพไหนมากเท่านี้ คนมาก ราชทูตจีนก็มา คนฝรั่งเศสเคยมาเป็นทูตเมืองไทยก็มา นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส นายมิเชล เดอเบร อะไรนั่น แกก็ส่งพวงมาลัยพวงหรีดมาวางที่ศพในเวลาเผา กล่าวคำไว้อาลัยเสร็จแล้วชวนให้ยืนไว้อาลัย เสร็จแล้วเอาศพเข้าเตาแล้วก็พูดต่อ ก็ต้องรออยู่ศพเป็นขี้เผาเสร็จเป็นขี้เถ้า
คือท่านปรารภไว้กับท่านผู้หญิงบอกว่า ถ้าฉันตายแล้วก็เผาให้เป็นขี้เถ้าไปเสียเลย แล้วเอาขี้เถ้านี้ไปโรยในน้ำแม่น้ำใดแม่น้ำหนึ่งในประเทศไทยก็หมดเรื่องไป แม่น้ำเจ้าพระยานั้นดีเพราะว่าอยุธยาอยู่ใกล้ อย่าเอาไปเที่ยวสร้างบรรจุไว้ตามวัดวาอาราม มันรกวัดรกวาเขามันลำบากเปล่าๆ ก็เลยทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น คนที่มาเผาศพวันนั้นนี่มาจากหลายประเทศ จากเยอรมัน จากฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สวิสเซอร์แลนด์ ฮอลแลนด์ แล้วมาไกลกว่าเพื่อนมาจากเกาะ เกาะคอร์ชิกายังอุตส่าห์มา คนไทยไปทำงานที่นั่นยังอุตส่าห์มามาร่วมเผาศพ แสดงว่าคนมีความจงรักภักดีพอสมควรในท่านผู้นั้น
ท่านถึงแก่กรรมในต่างประเทศ พอรู้ว่าถึงแก่กรรมแล้วนึกในใจว่า แหม...เมืองไทยนี่ไม่รู้จักใช้สิ่งเป็นประโยชน์ ถ้าเพียงแต่ว่าเอาศพท่านมาให้เป็นเกียรติเท่านั้นล่ะจะได้อะไร คือจะได้ความรักความสามัคคี ความร่วมแรงร่วมใจจากลูกศิษย์ลูกหา ความเศร้าหมองทางจิตใจที่มีอารมณ์ค้างอะไรมันก็จะหายไปหมด แต่ไม่มีใครนึกได้เพราะเวลานั้นกำลังฟอร์มรัฐบาลกันไม่เสร็จ ไม่มีใครนึกได้ว่าควรจะทำอย่างไรในรูปอย่างนั้น ก็เลยต้องเผากันที่โน่น
ท่านผู้หญิงบอกว่าคนมากแต่มันไม่เหมือนเมืองไทย ท่านยังน้อยใจอยู่ว่าไม่ได้เหมือนเมืองไทย บอกว่าจะเอาอย่างไร ถึงแม้เผาในต่างประเทศความงามความดีของท่านก็ยังปรากฏอยู่ในจิตใจคนไทย อย่าเสียอกเสียใจค่อยเอากระดูกไป วันที่ ๒๐ มิถุนานี้จะทำบุญ ๕๐ วันที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ท่านตามธรรมเนียมของคนไทย นี่มันเล่าติดต่อกันเพราะว่าไปเมืองฝรั่งแล้วมันมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างนั้นเอามาเล่าให้ฟังไปด้วย ญาติโยมได้ฟังแล้วก็ได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะในเรื่องพระพุทธศาสนานี่ ฝรั่งเขาไปทำงานได้ผล
ทีนี้พระไทยเราก็ไปสร้างวัดในอเมริกา เดี๋ยวนี้สร้างใหญ่ในอเมริกา วัดลอสแองเจลิส วัดซานฟรานซิสโก วัดที่นั่นที่นี่ ไปดูแล้วก็คือบ้านหลังหนึ่งนั่นเอง นอกจากลอสแองเจลิสกว้างหน่อย นอกนั้นก็ไปซื้อบ้านหลังหนึ่ง แล้วจะยกป้ายว่าเป็นวัดฝรั่งมันไม่ยอมให้ยก เช่นเมืองซานฟรานซิสโกนี่ พอซื้อบ้านแล้ว ผู้ที่ไปสร้างนี่ท่านเป็นหมอ ท่านดูฤกษ์ดีแล้วยกป้าย ฝรั่งมาเห็นบอก เอ้า...ยกป้ายไม่ได้แถวนี้มันเป็นเรสซิเด้นแอเรีย (Resident Area)ไม่ใช่ที่สร้างวัด วัดนี่มันต้องมีเนื้อที่จอดรถได้อย่างน้อย ๓๐ คัน ไอ้นี่มันบ้านอยู่เอาป้ายลงเสีย บอกแหมฤกษ์อะไรดูแล้วมันต้องยกลง ฤกษ์มันไม่ดีแล้ว ฤกษ์นั้น ดูฤกษ์ไม่ถูกซะแล้ว เขาสร้างกันไปอย่างนั้นแล้วก็ไปอยู่กัน
ก็ไปสังเกตดูเหมือนกันว่าที่ไปอยู่กันนี่ได้ทำอะไรบ้าง ก็ถามพระว่านี่ที่มาอยู่ๆนี่มีเทศนาสั่งสอนคนบ้างหรือเปล่า ก็มีเทศน์เหมือนกันในพรรษา ถามว่าเทศน์เรื่องอะไร เทศน์มหาชาติ อ่อ...แล้วกัน ไปเทศน์มหาชาติอยู่ที่เมืองฝรั่ง บอกเทศน์ให้คนไทยฟังแล้วก็แจกกัณฑ์ไป ก็ทศพรกัณฑ์หนึ่ง กันฑ์หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวศน์ จนถึงกัณฑ์นครกัณฑ์ รับไปคนละกัณฑ์ กัณฑ์หนึ่งก็มีเจ้าภาพหลายคนก็ทำอย่างนั้น เขาเรียกว่ายกธรรมเนียมประเพณีที่ไม่ใช่เรื่องจากเมืองไทยไปไว้เมืองฝรั่ง มันไม่ถูกต้องจำไว้ คือว่าเราไปสอนศาสนาเมืองฝรั่งนี่มันต้องเอาของเดิมไปใช้ของแท้ไปใช้ เอาไปอวด จะไปเปิดร้านทั้งทีเอาฟางไปขายแล้วมันจะได้เรื่องอะไร เรามันต้องเอาทองเมืองไทยไปขาย ดีบุกเมืองไทยไปขาย หรือเอาไม้สักไปขาย แต่นี่เอาฟางไปขายแล้วใครมันจะซื้อ ไม่เป็นที่ศรัทธา
ก็คนไทยน่ะ ทีนี้สังเกตดูคนไทยที่มาวัดก็มาดูหมอบ้าง มารดน้ำมนต์บ้าง มาสะเดาะเคราะห์บ้าง มาดูฤกษ์เปิดร้านบ้าง มันก็เหมือนวัดสุทัศน์ในกรุงเทพฯนั่นเอง มันไม่แปลกอะไร มันไปอยู่อย่างนั้น อุตส่าห์ลงทุนไปอย่างนั้น เพราะว่าการไปสร้างวัดนี่มันไม่ใช่เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ ใครพอใจก็ไปสร้าง ไปทำแล้วก็เอาพระไปอยู่ พระที่ไปอยู่ก็ไม่ได้คัดเลือกอะไรเท่าใด เป็นพวกฉันแล้วก็ส่งไปๆ ทำอะไรได้ไม่ได้ก็ตามใจ
เหมือนที่นิวยอร์คมีอยู่วัดหนึ่งในกุฏิ ยันต์เต็มไปหมด บนเพดานเขาทำไว้เรียบร้อยแล้วไม่พอ เอายันต์ติดบนเพดานคล้ายโรงมโนราห์สมัยเด็กๆ ภาคใต้เรามีมโนราห์แข่ง ฉันมันชอบดูมโนราห์แข่งโรงแพ้ โรงชนะไม่ดูคนมันมาก ได้ไปดูโรงแพ้นั่งถึงพนักเลย สังเกตว่าแหมยันต์ผืนใหญ่ติดเพดาน ยันต์เล็กยันต์น้อยแขวนแปดทิศด้วย แล้วก็ทำอะไรนะ แล้วก็มีหม้อใบหนึ่งใส่น้ำแขวนเอาคว่ำลง ตานี้ชาวบ้านว่าชิมน้ำหน่อย พอรำๆแล้วขึ้นไปดูดนั่นคือใช้ชิมว่างั้น เลยถามคนอุปถัมภ์ที่ได้เป็นด๊อกเตอร์เมื่อเร็วๆนี้บอกว่า ไอ้น้ำใส่หม้อแล้วขึ้นไปดูดมันทำอะไร คุณทำอะไร คอมันแห้ง รำนานๆคอแห้ง ขึ้นไปดูดน้ำกินเสียหน่อย เอ้า...ไม่ได้ใช้ผีหรอกเหรอ ไอ้ชาวบ้านมันเข้าใจอย่างนั้น แต่ความจริงเอาน้ำมาไว้ดื่ม ทำให้พิถีพิถันสักหน่อย ความจริงมันไม่มีอะไรหรอก
ไอ้นี่ก็เรียกว่าไปเปิดโรงมโนราห์ไว้ให้นิวยอร์คดู แหม...ทำพิธีกันใหญ่โตเลย แล้วอุตส่าห์นิมนต์พระสังฆราชไปพักด้วยนะที่วัดนั้น แต่วันพระสังฆราชไปพักนี่ปลดผ้ายันต์ออกเสียหน่อย แล้วพอพระสังฆราชกลับก็แขวนต่อไป คือว่ามันไม่ใช่พระที่จะไปเผยแผ่ธรรมะอะไร เพราะอยู่เมืองไทยก็ไม่ได้เผยแผ่อะไรได้ นอกจากว่าประกาศความงมงายกับประชาชนแล้วก็ส่งไปประกาศในต่างประเทศ มันจะไปประทับใจฝรั่งได้อย่างไรถ้าไปทำอย่างนั้น มันไม่ได้เรื่อง ไม่ได้เรื่อง ความรู้ก็ไม่มีการปฏิบัติก็ไม่เข้าท่าแล้วก็ไปทำอะไรได้ ไม่ไหว
แต่ถ้าเป็นแบบพระฝรั่งที่ไปอยู่ที่ป่าจิตตเวกนี่แล้วก็ได้ผล เพราะว่าเขาไปเผยแผ่จริงๆ เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริงๆ เขาได้ผลพอสมควร ทีนี้วัดพุทธปทีปล่ะเป็นอย่างไร วัดพุทธปทีปนี่เขาเรียกว่าเป็นวัดคนไทยเหมือนกัน เพราะคนมาวัดส่วนมากก็เป็นคนไทย ฝรั่งมาบ้างก็คือฝรั่งที่มีเมียไทย เมียพามาแล้วก็สอนให้กราบพระไปตามเรื่อง ฝรั่งมันก็ว่านอนสอนง่ายดี สุดแล้วแต่เมียจะว่า เอ้า...กราบกราบ เมียหาพระให้แขวนก็แขวนไว้ ฝรั่งแขวนพระเต็มคอเลยนะ แขวนนะเมียให้แขวนไว้ เอามาจากไหน เมียเขาให้ว่างั้น เมียเขาให้ก็เลยแขวนไป เลยมาถือศาสนาเมียไปด้วยแขวนพระเต็มคอ เมียให้รดน้ำมนต์ก็รดไปตามเรื่อง
ว่างๆก็มันเคราะห์ไม่ดีก็มาสะเดาะเคราะห์ พระก็สวดมนต์กี่จบเอาไม้ขีดไฟวางทีละอันๆๆ สวด ๑๐ จบวางครบ ๑๐ ก้านก็เลิกกันทีหนึ่งแล้วพรมน้ำมนต์ให้ฝรั่ง อย่างนี้มันก็มีเหมือนกันทำอยู่อย่างนั้น แต่ว่ามันไปไม่รอดถ้าไปสอนแบบนั้นมันไปไม่รอด ถ้าไปสอนแบบสำนักชิตเฮิร์ทไอ้ที่ป่าจิตตเวกนี่มีหวังพอไปได้ อาตมาก็คิดอยู่ว่าจะต้องช่วยต่อไป แต่ว่าต้องปรึกษากับคนไทยกรุงเทพทั่วๆไปว่าเรามาตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นสนับสนุนการเผยแผ่ธรรมะในรูปนี้ ให้เขาได้มีทุนรอนสำหรับดำเนินงานให้ช่วยเขา เพราะว่าฝรั่งยังมีน้อยที่นับถือ ไม่มาก เราก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ ได้ปรึกษากับญาติโยมไว้แล้ว แต่ว่ายังไม่พร้อมกลับกันยังไม่หมดคนที่เป็นหัวหน้าก็ยังไม่กลับ คิดว่าอย่างนั้น
นี่เอามาเล่าให้ฟังเป็นเรื่องพิเศษออกไปหน่อยในวันล้ออายุในวันนี้ อาตมานี่ก็ทำบุญแล้วเหมือนกันแต่ไม่ใช่ล้ออายุ เขาเรียกว่าทำบุญฉลองความชรา เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภานี้ วันเกิดมัน ๑๑ แต่มันทำไม่ได้วันนั้น คนมันไม่หยุดงาน เลยไปฉลองชรากันในวันที่ ๑๕ ก็ไม่ได้ออกบัตรการ์ดเชิญอะไรต่ออะไรหรอก ไม่ได้หวังอะไร ต้องการจะทำบุญศุลทานตามหน้าที่ นิมนต์พระที่เคารพนับถือในกรุงเทพบางรูปให้มา จุดหมายก็ให้ท่านมาดูบ้างว่าวัดชลประทานมันเป็นอย่างไร ทำอะไรบ้าง เพราะว่าท่านมากัน ๒๓ – ๒๔ ปีแล้ว พระผู้ใหญ่ท่านไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมไปเยียนก็นิมนต์ท่านมาบ้าง มาเฉยๆมันก็กระไรอยู่ ก็ถวายอะไรท่านไปบ้างตามเรื่อง สวดมนต์นิดหน่อย บอกว่าไม่ต้องสวดมากหรอกมันคนฟังไม่รู้เรื่อง เอานิดหน่อยก็พอ
ท่านก็สวดบทฉันเพลท่าน แต่ว่าคนมันก็มากวันนั้นคนมาก เจ้าคุณพระหนึ่งพระธรรมโลดม (นาทีที่ 1.18.41) บอกว่าไปงานทำบุญอายุของพระมาหลายรูปแล้ว ยังไม่เห็นการทำบุญอายุที่มีคนมากเหมือนวัดนี้เลย ท่านพูดยอหรือปล่าวก็ไม่รู้ แต่ว่ามันมากจริงๆคนวันนั้น มากจนไม่รู้ว่าใครบ้างมา อาตมาจำไม่ค่อยได้คนมันเยอะแยะมาเต็มไปหมด รถยนต์จอดเต็มวัดไปเลย มาฉลองความชรา คือชรามา ๗๒ แล้วฉลองสักทีหนึ่ง แล้วถ้าอยู่ไปได้ถึง ๘๔ แล้วก็ฉลองชราอีกทีหนึ่ง ๘๔ ไอ้ ๙๖ นี่ถ้าจะไม่ไหวแล้วนะ มันคงจะไปไม่ถึงนะนั่น
ถ้าอยู่ถึง ๘๔ ก็จะฉลองเสียหน่อย ก็พิมพ์หนังสือแจกแต่ก็ยังไม่จุใจ เพราะว่าไม่มีเวลาจะเขียนจะทำอะไรให้สมใจ ก็เอาหนังสือเก่าๆที่เทศน์อัดเสียงแล้วเขาคัดลอกไว้เอามาพิมพ์เป็นเล่มพิมพ์ ๓,๐๐๐ เล่ม ก็มีคนช่วยค่าพิมพ์สองแสนกว่า เขารับหน้าที่เอาไปเขาช่วยให้ ไม่เดือดร้อนอะไร นอกนั้นก็ทำบุญถวายพระอะไรบ้างนิดๆหน่อยๆ โยมมาทำบุญไว้บ้างก็บอกว่าไม่จ่าย จะเอามาทำเป็นทุนมูลนิธิ สำหรับบำรุงกิจการการศึกษาพระพุทธศาสนาของเด็กๆต่อไป จุดหมายเป็นอย่างนั้นฉลองความชรา ทำไปเรียบร้อยแล้วให้เป็นบุญเป็นกุศลตามสมควรแก่ฐานะ
นี่วันนี้พวกเราก็มากันชุมนุมกันมากขึ้นทุกปี ปีก่อนก็มาก ปีนี้ก็มามากขึ้น เพราะว่าการไปมาสะดวกขึ้น เราก็มาร่วมกันทำบุญล้ออายุท่านเจ้าคุณท่าน ก็น่าจะมาเพราะว่าในเมืองไทยนี่ถ้าพูดกันไปแล้ว ไม่ใช่จะยกย่อง ก็มีองค์เดียวเท่านั้นที่ได้ทำงานเพื่อศาสนาอย่างแท้จริง ศึกษาค้นคว้าเผยแผ่ธรรมะที่เป็นสัจธรรม เผยแผ่สัจธรรมจริงๆไม่มีอะไรปน ไม่มีการอะไรเข้ามาเจือปนแม้แต่น้อย บริสุทธิ์ น่าส่งเสริมสนับสนุน
นี่ญาติโยมที่มานี่ก็เรียกว่ามาด้วยปัญญา ไม่ได้มาเพื่ออื่น ไม่ได้มาเพื่อรับแหวน รับเหรียญ รับอะไร ที่อื่นเขาแจกกันฟุ้งไป งานอย่างนี้ละก็แจกลูกศิษย์ทำเหรียญไว้แจก แต่นี่ไม่ได้แจกเหรียญแต่แจกธรรมะ แจกมา ๒ กัณฑ์แล้วยังจะแจกอีกสักกัณฑ์หนึ่งเวลา ๓ ทุ่ม เวลานี้ ๒ ทุ่มครึ่งไปแล้วก็ยังจะฟังอีกสักกัณฑ์หนึ่งตอนกลางคืน ก็นับว่าเรามารับธรรมะ
ธรรมะนี่ต้องช่วยกันแจกมากๆ เวลานี้แจกกันน้อยมัวแต่แจกวัตถุ แจกเหรียญ แจกแหวน แจกอะไรกัน แจกกันจริงๆ อะไรสักนิดก็ต้องเสก อะไรสักนิดก็ต้องเสก เสกแต่วัตถุไม่ค่อยเสกคนให้เป็นคนขึ้นมาแล้วศาสนามันจะอยู่รอดได้อย่างไร อาตมาพูดบ่อยๆเขาก็หาว่าทำลายเหมือนกัน ไอ้เจ้าคุณปัญญาพูดทีไรมันด่าทุกที ไอ้ด่าคนที่มันโง่ๆนะไม่ได้ด่าคนฉลาด ไม่เป็นไรก็ว่าไปตามเรื่อง ก็ต้องการให้คนฉลาด ให้มีปัญญาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจจึงพูดไปตามความจริง
วันก่อนพูดวิทยุกับเขาให้ให้ปิดไปหนึ่งวัน ปิดไปเสียครั้งหนึ่งไม่ถึงสองครั้ง เดือนนั้นไม่ได้เทศน์วันที่ ๑ เอาสมเด็จวัดบวรมาเทศน์แทน ตานี้ก็เขามาบอกว่าท่านอธิบดีขอร้องให้หลวงพ่อหยุดไว้ก่อน เอ้า...ไม่เป็นไรหยุดก็ได้ พระนี่เขานิมนต์ก็เทศน์ เขาไม่นิมนต์ก็ไม่เทศน์ แต่ระวังนะอย่าให้หนังสือพิมพ์รู้เป็นอันขาดนะ ถ้าหนังสือพิมพ์รู้แล้วจะยุ่งนะ ประชาชนมันจะเอะอะมะเทิ่งขึ้นเพราะเขาชอบฟังท่านปัญญา ถ้าหนังสือพิมพ์มันรู้เข้าเอาไปจั่วหน้า กรมประชาสัมพันธ์ห้ามท่านปัญญานันทะเทศน์ทางวิทยุ เอาแล้ว...ก็ดังไปทั่วประเทศน่ะ
มีคนแก่คนหนึ่งอายุ ๘๒ อยู่สระบุรี ชื่อโยมพูน มากระหืดกระหอบมา มาธุระอะไรโยม แก่ป่านนี้แล้วมาทำไม อ่าว...ร้อนใจ ร้อนใจเรื่องอะไร เรื่องเจ้าคุณน่ะ อ่าว...ฉันทำผิดอะไรจึงร้อนอกร้อนใจ ผิดอะไร ผิดทำไมเขาห้ามไม่ให้เทศน์ทางวิทยุ อ้าว...ไม่ได้ผิดอะไร เขาห้ามไม่ให้เทศน์ ก็ไม่เทศน์เสียก็หมดเรื่องนะ ไม่ได้...ท่านเจ้าคุณจะต้องเทศน์ต่อไป ผมจะไปหานายกฯเขาว่างั้น จะเดินขบวน เดินไหวเหรอ ๘๒ แล้ว ขึ้นรถไปหาทำเนียบเลย ผมเอาคนมาจากสระบุรีสัก ๓ รถใหญ่คันใหญ่ไปหานายกฯ ถามว่าเรื่องอะไรไม่ให้ท่านปัญญาฯเทศน์ พระเทศน์ความจริงไม่ให้เทศน์ พระเทศน์ไม่ได้เรื่องให้เทศน์ บ้านเมืองมันจะอยู่อย่างไร
บอกโยมไม่ต้องไปหรอก ไม่ต้องไป เขาให้เทศน์เองแหละ กลับบ้านเถิด พอบอกยกมือไหว้ (นาทีที่ 1.23.56) ผมจะกลับแล้ว บอกเดี๋ยวก่อน นั่งพักเหนื่อยก่อนคุยกันก่อน จะเป็นอย่างนั้น แล้วโทรศัพท์บ้าง อะไรบ้าง อธิบดีก็ร้อนใจ ความจริงอธิบดีท่านก็คนไชยาเรานี่เอง คุณดนัย ศรียาภัย แต่ว่าท่านตกใจเพราะมีคนคนหนึ่งเขียนจดหมายมาบอกกรมฯ พิมพ์ดีเชียวนะ พิมพ์เรียบร้อย ตั้งปัญหาว่าทำไมกรมประชาสัมพันธ์จึงนิมนต์พระเอียงซ้ายมาแสดงธรรมทางวิทยุกระจายเสียงของกรมฯ แน่...จะเกณฑ์ให้อาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ให้ได้เลย
อธิบดีก็ตกใจเพราะคนที่ทำจดหมายนี้ ใช้ชื่อว่า ส.สุจริตกุล สุจริตกุลนี่สกุลใหญ่ น่ากลัว ทีนี้ก็นึกไม่ออกว่า ส. สุจริตกุลนี้คือใคร ก็สงสัยอยู่ วันหนึ่งไปเทศน์งานศพลูกเขยท่านอธิบดีศาลอุทธรณ์ คุณสรรเสริญ ไกรจิตติ ก็อาตมาก็ท่านมาส่งวัดก็ถาม เอ๊ะ...จะถามว่าเรื่องหลวงพ่อไม่ได้เทศน์วิทยุนี่เพราะอะไร ก็เพราะคนคนหนึ่งชื่อ ส.สุจริตกุล มันเขียนจดหมายประท้วง อาตมานึกไม่ออกว่าเป็นใคร อ้าว...หลวงพ่อนึกไม่ออกเหรอ ส. นี่คือ สุชาติ สุจริตกุล ไปอยู่เชียงใหม่สมัยหลวงพ่อไปอยู่เชียงใหม่ มันไม่ชอบหลวงพ่อ มันแอนตี้เรื่อย ผมไปกินข้าวกับมันทีไรมันด่าหลวงพ่อทุกที มันมีอารมณ์ค้างเรื่องอะไรกับหลวงพ่อ
มันไม่มีอะไรมันเกลียดพวกอื่นแล้วมันตีวัวกระทบคราดไปด้วย เขาเกลียดคนอีกสกุลหนึ่งไม่ถูกกันเรื่องการค้าขาย แล้วก็มาผูกอาตมาเข้าไปด้วย อ้อ...นายคนนี้เองแต่แล้วก็ไม่เป็นไร พอเดือนต่อมาท่านอธิบดีก็ให้ส่งคนมาขอนิมนต์ไปเทศน์ตามเดิม แต่ว่าเทศน์ปลายเดือนบอกงั้น คนมันงงนะเทศน์ปลายเดือนนี่ เอาไว้ก่อนเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน ค่อยขยับขยายใหม่ เลยเทศน์ปลายเดือนมา ๒ ครั้ง พอวันที่ ๑ มกราฯ ก็เทศน์ต้นเดือนต่อมาจนกระทั่งบัดนี้
ทำไมคราวนั้นจึงไปเทศน์แล้วก็ทำให้รำคาญ คือไปชนเสาหลักเมืองเข้า เทศน์ชนเสาหลักเมืองเข้า บอกว่าเราฉลอง ๒๐๐ ปีแล้วควรจะกลับมาหาพระพุทธเจ้ากันเสียที ทำไมจึงไปไหว้เสาอยู่ เสานี้ไหว้มา ๒๐๐ ปีแล้ว เคยพูดอะไรบ้าง เคยเตือนอะไรบ้าง เคยบอกอะไรดีๆให้แก่ชาติบ้านเมืองบ้าง ไม่มีเลย มีแต่ไหว้อยู่ท่าเดียว เสียเงิน เสียทอง แสดงลิเกให้เสาดู เสาก็ไม่เคยชมว่าลิเกวงนี้ดี วงนั้นดี ก็ไม่เคยแล้วเราไหว้กันทำไมนักหนา
แล้วเจ้าเมืองบางคนก็อุตริเหลือเกิน เมืองไหนไม่มีเสาหลักเมืองอุตส่าห์ไปสร้างลงทุนตั้งแสนสองแสน เมืองสมุทรสาครนี่ลงทุนแพงมากตั้งเจ็ดล้าน สร้างเสาหลักเมืองเสาเดียวสิ้นเงินเจ็ดล้าน บอกว่านี่เจ้าเมืองปัญญาอ่อนไปสร้างของอย่างนี้ เขาให้ปกครองบ้านเมืองกลับบไปสร้างสิ่งไม่สมควรให้คนไหว้ อันนี้แหละทำให้ต้องหยุดไปวันหนึ่ง เรียกว่าไปสะดุดเสาหลักเมืองเข้านั่นเอง คือว่าไม่มีอะไรหรอกต้องการจะพูดให้คนรู้ว่ามันเลิกไหว้เสากันเสียทีเพราะมันเป็นของเก่าตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ไอ้ไหว้ต้นไม้ไหว้ก้อนหินดินจอมปลวกนี่มันเก่าเต็มทีแล้ว สมัยคนไม่รู้จักนุ่งผ้า ไม่รู้จักหุงอาหารกิน ไอ้เราเวลานี้มันเจริญขี่ไอพ่นแล้วยังไปไหว้ของไม่เข้าเรื่องอยู่
นี่โยมที่นี่ใครยังไหว้อยู่บ้างก็เลิกมันเสียบ้างนะ เวลามีอะไรขึ้นอย่าไปถามเสาเลย เสาไม่ตอบ นอกจากไปสั่นติ้วหน่ะ ไอ้ใบติ้วหน่ะคนมันพิมพ์ขึ้น เจ๊กโรงพิมพ์มันพิมพ์ขึ้นมาเอามาจากจีน พิมพ์ไว้ได้ใบที่ ๒ หวังปองสมปรารถนา ถามลาภก็จะได้ลาภคู่ครองก็จะกลับมา โรคาก็จะหาย มันก็ว่าให้ดีทั้งนั้นน่ะเพราะเขารู้ว่าคนมันเป็นทุกข์ก็เลยปลอบใจ ใบเซียมซี ๑๐๐ ใบน่ะมีเรื่องร้าย ๕ ใบเท่านั้น ถ้าใครไปถูกไอ้ ๕ ใบนั้นละก็ซวยเต็มที เพราะมันมีตั้ง ๙๕ ใบดีๆมันไม่ถูก เขาเรียกว่าเชื่อไม่เข้าเรื่อง อย่างนี้นี่เรามาสวนโมกข์แล้วกลับไปฉลาดเสียบ้าง เลิกไหว้สิ่งเหลวไหล เลิกเชื่อสิ่งเหลวไหล
เราเป็นชาวพุทธนี้อย่าไป ๑) อย่าไปหาหมอดู ๒) อย่าไปหาพวกทรงเจ้าเข้าผี ๓) อย่าไปเสี่ยงทายกับสิ่งที่พูดกันไม่รู้เรื่อง อย่าไปต่อไป เรามีอะไรปรึกษาพระพุทธเจ้า ถามพระพุทธเจ้า ถามพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปสั่นกระบอกถาม เราต้องนึกถึงธรรมะว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไรแล้วเอาธรรมะมาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาชีวิต เป็นชาวพุทธมันต้องเป็นผู้รู้เสียบ้าง เป็นผู้ตื่นเสียบ้าง เป็นผู้เบิกบานแจ่มใสเสียบ้าง อย่างมงายกันในเรื่องที่ไร้สาระกันต่อไป มันจึงจะดีขึ้น
นี่ที่รูปหน้าที่โรงหนังฯนี่โยมเห็นไหม กลางวันไปดูข้างบนเขาทำ ท่านทำรูปอะไร แจกดวงตา แจกดวงตา เอาดวงตาใส่พานเต็มแจก วิ่งหนีเป็นแถวไม่มีใครรับดวงตาสักคนเดียว มีรับอยู่ ๒ คน รับแล้วมาใส่เข้าที่คอซึ่งไม่มีหัว เอาดวงตา... (นาทีที่ 1.29.43) แจกของดีของถูกมา ๕๐ ปีแล้ว มีคนเข้าใจไม่กี่คน มีแต่พวกคัดค้าน กลัวตัวจะเสียประโยชน์ ไอ้พวกไหว้ผีกลัวคนจะไม่ไหว้ผี กูจะไม่ได้ประโยชน์จากผี พวกทรงเจ้า กลัวจะเสียประโยชน์ พวกปลุกเสกลงเลขลงยันต์ก็กลัวจะเสียประโยชน์ เลยก็คัดค้านสิ่งที่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า
พวกนั้นน่ะมันเป็นพวกที่เรียกว่าอัปรีย์จัญไร เพราะว่าไปห้าม ดึงคนให้หลงให้มัวเมา ให้ประมาท ให้เข้าใจผิด ไม่ได้ส่งส่งเสริมพระพุทธศาสนา เรามันต้องช่วยกันปรับปรุงส่งเสริมพูดจาให้คนเข้าใจสิ่ง0ถูกต้องให้มากที่สุดที่จะมากได้ หนังสือจะพิมพ์ก็พิมพ์ให้คนมันรู้ความจริงความถูกต้อง พูดก็พูดให้คนรู้ความจริงความถูกต้อง ในครอบครัวเราถ้าหลงผิดอยู่ก็พูดกันใหม่ แก้ไขกันใหม่ ครอบครัวไหนที่เชื่อของเหลวไหล เชื่อไสยศาสตร์ เชื่อผีนี่เป็นประสาททุกคน พวกเป็นประสาทนี่มาศึกษาดูแล้วมาจากครอบครัวที่เชื่อผี เชื่อเทวดา เชื่อเจ้าพ่อ เจ้าแม่อะไรนั่น ยิ่งพระมันเก่ามันผุเพียงนิดหน่อย อูย...ครอบครัวจะล้มแล้ว พระเอียงแล้วมันไม่ได้สัมพันธ์กันเลย หิ้งเก่าไม่ดูบ้างว่าไว้กี่ปีแล้ว คิดไปในทางเหลวไหลไม่เข้าเรื่อง นี่เป็นตัวอย่างที่จะต้องแก้ไข
เรามาทำบุญในงานล้ออายุของท่านเจ้าคุณท่าน ก็มาเอาปัญญาไปใช้ มารับแจกดวงตา อย่าวิ่งหนี อย่าเพียงสักแต่ว่ามาแล้วไปบอกเพื่อน ฉันไปมาแล้วสวนโมกข์ ไปเห็นอะไรบ้าง เห็นโรงหนัง โรงหนังเขาฉายเรื่องอะไร เรื่องคิงคอง แล้วมันจะได้เรื่องอะไร อย่างนั้นมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร ต้องมาดูให้ละเอียด มาสวนโมกข์นี่ต้องมาพัก ๒ – ๓ วัน แล้วก็มาศึกษา มาอะไรต่ออะไร เดี๋ยวนี้พวกทัศนาจรก็เอาเข้าไปใส่ในใบโฆษณา แวะสวนโมกข์ แวะมา ๑๐ นาที พอลงรถนะ ขอเชิญขึ้นรถ ขอเชิญขึ้นรถ วิ่งออกจากโรงหนังเหมือนกับตัวแมงเม่าออกจากรูตอนฝนตกอย่างนั้น รีบไปขึ้นรถ แล้วไปคุยว่าฉันไปแล้วสวนโมกข์ ได้เห็นอะไรบ้าง เห็นโรงหนัง แล้วเขาฉายเรื่องอะไร ไม่ทราบ อ่าว...แล้วกัน อย่างนี้เขาเรียกว่ามาด้วยความเห่อ ไม่ได้เรื่องอะไร
เราต้องมาเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อเอาปัญญากลับไป ไม่ใช่มาเฉยๆ มาแล้วต้องให้ได้ความรู้ความเข้าใจกลับไปแจกเพื่อนต่อไปจึงจะใช้ได้ พูดมากนักคอมันก็แห้ง เรียกว่าเบ็ดเตล็ด พูดเบ็ดเตล็ดให้ญาติโยมฟัง อะไรดีมีประโยชน์ โยมก็เลือกเอาไปเถิดะ เรียกว่ามันปนกันอยู่ มีกากบ้าง ดีบ้าง เราก็เลือกกินแต่ของดี กากก็ทิ้งไป ก็เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป ตามสมควรแก่ฐานะของท่านจนทั่วกัน ขอจบเรื่องไว้แต่เพียงเท่านี้ ขออวยพรให้ทุกท่านจงเจริญด้วยปัญญา ตามหลักพระพุทธศาสนา จนทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ