แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายครั้งสุดท้ายนี้ ซึ่งเป็นเหมือนกับการปิดการบรรยายด้วย จะได้พูดด้วยหัวข้อว่า อุปสรรคในการมีธรรมะ ครั้งแรกที่สุดเราพูดถึงการเตรียมตัวเพื่อจะศึกษาธรรมะ และถัดมาพูดเรื่องธรรมะคืออะไร และถัดมาพูดเรื่องธรรมะทำไม และถัดมาพูดเรื่องธรรมะโดยวิธีใด และถัดมาก็พูดเรื่องอานิสงส์อย่างยิ่งของสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เป็นที่รู้กันว่ามันดีวิเศษอย่างไร ทีนี้ครั้งสุดท้ายนี่ก็พูดเรื่องอุปสรรคที่ทำให้คนมีธรรมะไม่ได้ รวมทั้งเราด้วย เดี๋ยวนี้ก็สังเกตดูเองก็แล้วกัน คนทั่วไปไม่สนใจธรรมะเลยก็มี ไม่สู้จะสนใจก็มี เพราะไม่ได้เข้าใจมาแต่ต้นว่ามันมีประโยชน์อย่างไร และทีนี้มันมีสิ่งที่ทำให้ไม่สนใจอยู่อีก คือความยินดีไปตามอำนาจของกิเลสนี่ทุกคนมี อันนี้ยึดตัวยึดใจของคนไว้ ทำให้ไม่สนใจธรรมะ หรือไม่อยากจะมีธรรมะ ไม่ปรารถนาธรรมะ เพราะว่ามีสิ่งที่ดึงดูดเอาไว้ คือสิ่งที่ทำให้สนใจในอารมณ์เป็นที่ตั้งของกิเลส พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อาลยารามา ปชา หมู่สัตว์มีอาลัยเป็นที่มายินดี นี่เป็นคำสรุปความว่าหมู่สัตว์ คือ คนทั้งหลายมีอาลัยเป็นที่มายินดี เขายินดีในอาลัย แล้วเขาก็ไม่สนใจในธรรมะ อาลัยมีน้ำหนักดึงดูดมากกว่า ก็ดึงดูดไปหาอาลัย ไม่อาจจะมาสู่ธรรมะได้ นี่คือตัวอุปสรรค
สิ่งที่เรียกว่า อาลัย ในภาษาบาลีนั่นนะ มันมีความหมายพิเศษกว่าในภาษาไทย คำว่า อาลัย ก็หมายถึงสิ่งซึ่งเป็นที่มายินดีนั่นเอง คือมันชอบ มันรัก มันพอใจในสิ่งใดจนเป็นปกติวิสัย สิ่งนั้นเรียกว่าอาลัย ในหมู่สัตว์ก็มีกามารมณ์หรือกามคุณแล้วแต่จะเรียก เป็นที่มายินดีอยู่ตลอดเวลา จนกลายเป็นอาลัย หรือจะเรียกว่าเป็นชีวิตจิตใจไปเลยก็ได้ มีกามคุณเป็นชีวิตจิตใจไปเลยก็ได้ ข้อนี้ท่านอุปมาไว้ว่าเหมือนกับปลามีน้ำเป็นที่อาลัย ที่อยู่ ปลามันก็คอยแต่จะลงไปในน้ำ ดิ้นรนแต่จะลงไปในน้ำ แม้เขาจะจับโยนขึ้นมาบนบก มันก็กระเสือกกระสนแต่ที่จะลงไปในน้ำ คือในอาลัยนั่นเอง นี่เรียกว่ามันมีอาลัยเป็นที่ยินดี คือเป็นที่อยู่แห่งจิตใจ ที่มนุษย์นี้มันก็มีน้ำคือ กามคุณเป็นอาลัย เป็นที่มายินดี เท่าๆกับที่ปลามันมีน้ำเป็นอาลัย สังเกตดูให้เห็นว่าปลานี่มันติดน้ำกี่มากน้อย คนมันก็ติดน้ำติดกามคุณพอ ๆ กัน นี่คือบทที่ท่านตรัสไว้ว่า อาลยารามา ปชา หมู่สัตว์ทั้งหลายมีอาลัยเป็นที่มายินดี ถ้ามันเป็นปลาก็คือน้ำ ถ้ามันเป็นคนก็คือกามคุณซึ่งเปรียบเสมือนน้ำ คนทั้งหลายมีอาลัยเป็นที่ยินดีอย่างนั้นแล้ว แม้จะได้ฟังธรรมะ มันก็ไม่เป็นที่พอใจ มันไม่เป็นที่พอใจ ไม่พอใจ ไม่ยินดี ก็กลับไปหาอาลัย แต่มีสัตว์จำพวกที่มันเกี่ยวข้องกับอาลัยนานพอสมควรที่จะรู้ว่า เต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบาก ผูกพัน ทนทุกข์ทรมานต่างๆนานานี่ มันจึงจะค่อยชะเง้อไปทางอื่น แต่ก็เป็นไปได้แสนยาก และก็เป็นไปได้ในระยะปลายของชีวิตเสียโดยมาก และก็ไม่ค่อยจะทันแก่เวลาที่จะกลับตัว ที่จะรู้จักอาลัย และถอนตัวออกจากอาลัยตั้งแต่หนุ่มๆนั้นมีน้อย แต่ก็มีเหมือนกัน เรามาพูดเรื่องอาลัยกันให้เป็นที่เข้าใจ บางทีอาจจะมีประโยชน์แก่ผู้ที่ยังมีอายุน้อย อย่าลืมคำว่า อาลัย แปลว่าที่อาศัย ที่นอน ที่ยินดีซึ่งทำกันมาจนเคยชิน เคยชินเป็นนิสัย เป็นที่มานอนแห่งความยินดี นี้ก็เรียกว่า อาลัย
ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้อย่างเพียงพอก็ต้องดูกันมาตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่ เมื่ออยู่ในท้องแม่ ความรู้สึกต่างๆไม่สมบูรณ์ ยังไม่เป็นที่ตั้งแห่งอาลัย ทีนี้เขาก็คลอดออกมาจากท้องแม่ ก็เป็นโอกาสที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเขาทั้ง ๖ อย่างนั้น ได้สัมผัสกับอารมณ์ครบทั้ง ๖ อย่าง ตาก็ได้เห็นรูป หูก็ได้ฟังเสียง จมูกก็ได้ดมกลิ่น ลิ้นก็ได้รู้รส กายก็ได้สัมผัสทางผิวหนัง ใจก็ได้เกิดความคิดนึกรู้สึกที่เป็นอารมณ์
ทีนี้ เมื่อทารกเขาเกิดมาจากท้องแม่แล้ว คนทั้งหลายเขาก็บำรุงบำเรอทารกนั้นอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาก็ให้ทารกนั้นได้เห็นสิ่งสวยงาม สบายตาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น เขาเอาอะไรไม่รู้มาแขวนๆให้ทารกดู ทารกนั้นจะได้ฟังเสียงซึ่งทำให้เกิดพอใจเท่าที่จะเป็นไปได้ คือ เขาจะร้องเพลง จะขับกล่อม จะอะไรต่างๆที่จะทำให้หูของทารกนั้นได้รับความสบายตลอดเวลาเรื่อยๆมา เขาให้ทารกนั้นได้รับกลิ่นเป็นที่พอใจอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าไม่จำเป็นเขาก็ไปหาของหอมของอะไร มาลูบมาทา มาวางไว้ได้กลิ่น รสนั่นก็คือ ให้ของกินที่จะเป็นที่อร่อย ที่ถูกใจแก่ทารกนั้นตลอดเวลา ตั้งแต่น้ำนมของมารดาเรื่อย ๆ ขึ้นไปจนถึงสิ่งต่างๆที่โตขึ้น โตขึ้นมาก็ได้รับการบำรุงบำเรอ ได้รสอร่อย ทางผิวหนังทางกายนี่ เขาก็ประคบประหงมกันเต็มที่ ทำให้ได้รับความสบายนิ่มนวล อ่อนละมุนละไมด้วยเครื่องราชอาสนะ ด้วยเครื่องลูบด้วยเครื่องทา ให้ผิวหนังมันได้รับความละมุนละไม นิ่มนวลตลอดเวลาเหมือนกัน แล้วทางจิตนั่นนะค่อยๆรู้สึกคิดนึกได้เอง เมื่อสิ่งต่างๆทางการรู้กาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันได้รับการประคบประหงมแล้ว จิตมันก็รู้สึกได้เอง จิตมันก็ตกอยู่ภายใต้รสของการประคบประหงมให้สะดวกสบายที่สุด จิตมันก็เสวยอารมณ์เป็นที่สบายแก่จิตเรื่อยๆมาตลอดเวลา แปลว่าทั้ง ๖ ทางแหละ ทารกเขาได้รับการแวดล้อม บำรุงบำเรอประคบประหงมอย่างดีที่สุดที่คนเลี้ยง หรือพ่อแม่จะทำให้ได้ ไม่มีใครเอาสิ่งหยาบคายไม่สบายมาให้เลย ทารกมันก็เคยชินแต่กับสิ่งที่สบายเรื่อย ๆ มาอย่างนี้ จนเป็นนิสัยว่ามันต้องได้อย่างนี้ มันต้องได้อย่างนี้
ทีนี้ก็ดูให้ลึกลงไปในส่วนที่ลึกก็คือว่า เมื่อมีอารมณ์ที่ว่าสวย หอม ไพเราะ สวย หอม อะไรก็ตามมาแวดล้อมเด็กทารกนี้แล้ว มันก็เกิดความรู้สึกในสิ่งเหล่านั้น มันก็มีผัสสะในสิ่งเหล่านั้น มันก็มีเวทนาเกิดขึ้นในสิ่งเหล่านั้น เมื่อมันมีแต่แวดล้อมกันอย่างดี มันก็เกิดสุขเวทนาเป็นส่วนมาก เด็กนั้นก็หลงใหลในสุขเวทนา ก็เกิดตัณหา คือ ความอยากในสุขเวทนาชนิดนั้นยิ่งๆขึ้นไป เมื่อเกิดตัณหา คือ ความอยากแล้ว มันเกิดความรู้สึกว่าตัวกู ตัวกู ตัวกูเป็นผู้อยาก เป็นผู้ได้ตามที่กูต้องการ กูต้องได้ตามสิ่งที่ต้องการ อย่างนี้เขาเรียกว่าเด็กนั้นมันเกิดอุปาทาน ความยึดถือว่าเป็นตัวกูของกูขึ้นมาแล้ว แล้วมันก็คบหากันอยู่แต่กับสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความพอใจอย่างนี้จนชินเป็นนิสัย ชินเป็นนิสัยนี้คืออาลัย เป็นที่มายินดี เป็นที่มานอนแห่งความยินดีซ้ำๆซากๆ ซ้ำๆซากๆตั้งแต่เกิดมาจากท้องมารดา กระทั่งวัยรุ่น กระทั่งหนุ่มสาว มันเลือกเอาข้างที่น่ารักน่าพอใจ เป็นที่ตั้งแห่งกิเลสนั่นนะเป็นฝ่ายที่พอใจเรื่อย ๆ เขาเกลียดชังฝ่ายตรงกันข้าม ดังนั้นมันจึงหลีกแต่ฝ่ายที่ไม่น่ายินดีนี่ มาอยู่แต่ฝ่ายที่น่ายินดี ฝ่ายที่น่ายินดี น่าพอใจน่าหลงใหล น่ากำหนัดนี่ เขาเรียกว่ากามคุณ ทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ ทางจมูกก็ได้ ทางลิ้นก็ได้ ทางผิวหนังก็ได้ แม้กระทั่งทางจิตใจก็ได้ แต่เขาไม่ค่อยพูดถึง เขาพูดถึงแต่ ๕ อย่างข้างต้นคือตา หู จมูก ลิ้น กายนี่ เพราะมันเป็นที่รับจากข้างนอก รับจากข้างนอก แล้วความรู้สึกนั้นเก็บไว้ภายใน สะสมไว้ในภายใน จะเอาไปใช้ในทางจิตใจเมื่อไรก็ได้ ที่มันเอาไปจากความจำ หรือสัญญาที่สะสมไว้ แต่แล้วก็เป็นกามคุณได้เหมือนกัน สุดท้ายว่าพูดถึงวัตถุโดยตรง วัตถุแห่งกามารมณ์โดยตรงแล้วก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ๕ อย่าง ที่สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ ทาง นี่คือกามคุณ เราจึงพูดได้เลยว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่เป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่ยินดีนั่นแหละคือ อาลัย ที่จิตลงไปนอนแช่ชุ่มอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวทางจมูก เปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ ทีนี้มันเติบโตขึ้นมาจนมาถึงระดับที่ว่าความรู้สึกในทางเพศ มันจะทำหน้าที่ของมัน คือต่อม gland ทั้งหลายในร่างกายคนนั้นนะ เจริญเติบโตมาถึงวัยนี้ มันขยายตัวเต็มที่ มันก็แสดงหน้าที่ แสดงความรู้สึกของมัน มันก็ขยายตัวออกไปเป็นความรู้สึกทางเพศ เพศตรงกันข้ามหมด รูปก็รูปของเพศตรงกันข้าม เสียงก็เสียงของเพศตรงกันข้าม กลิ่นก็กลิ่นของเพศตรงกันข้าม รสก็รสที่มาจากเพศตรงกันข้าม โผฏฐัพพะหรือสัมผัสทางผิวหนังก็มาจากเพศตรงกันข้าม ถ้าสำหรับหญิงก็เพศชาย ถ้าสำหรับชายก็คือเพศหญิง เขาก็จมลึกลงไปในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกทางเพศหมดทั้ง ๕ อายตนะ หรือทั้ง ๖ อายตนะเลย ก็เป็นอย่างนี้เรื่อยมาจนเป็นหนุ่มเป็นสาว นี่คือคำว่า อาลยรามา ปชา
อาลยรามา ปชา หมู่สัตว์ทั้งหลายมีอาลัยเป็นที่มายินดี เป็นที่นอนจมอยู่ที่นั่น เหมือนกับปลามันอยู่ในน้ำ มันจะเสพติดยิ่งกว่าติดอะไร ติดอารมณ์ทางเพศนี่มันรุนแรงมากกว่าเสพติดทางอะไร ยิ่งกว่าเฮโรอีน ยิ่งกว่าอะไรที่เราเรียกกันว่าเสพติด นี่มันก็รุนแรงเหมือนกันแหละ แต่มันยังไม่ลึกซึ้งใหญ่หลวงเหมือนกับติดอารมณ์ทางเพศ จึงได้เรียกว่าอาลัย เต็มตามความหมายคำๆนี้ สัตว์มีอาลัยเป็นที่มายินดี ติดในรสของอาลัย จึงไม่รู้เรื่อง หรือฟังไม่ถูกว่าจะพูดว่าความสะอาด ความสว่าง ความสงบ อันนี้ สัตว์เหล่านี้ฟังไม่ถูก ไม่รู้เรื่อง มันไม่เคยชิม รู้แต่ตัวหนังสือ รู้แต่เสียงพูด รู้แต่ความหมายชั้นผิวเผิน เขาจะรู้สึกว่าอารมณ์ทางเพศวิเศษประเสริฐกว่า กว่าความสงบ ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ จะพูดว่านิพพาน คือ ความเย็นแห่งจิตใจ เขาก็ฟังไม่ถูกอยู่ดี เพราะจิตมันลุ่มหลงเกินกว่าเสพติดเสียแล้วในอารมณ์แห่งกามคุณ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คิดดู เป็นอุปสรรคหรือไม่เป็นอุปสรรค มันก็เป็นอุปสรรคเกินกว่าที่จะเป็นอุปสรรค เพราะฟังไม่ถูกโดยประการทั้งปวง ในฝ่ายธรรมะที่เป็นความสะอาด สว่าง สงบ เขาจะฟังไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง แต่ถ้าในฝ่ายกามคุณ เขาก็ฟังถูก เข้าใจ ยิ่งกว่าฟังถูก หรือเข้าใจ เพราะว่าพอใจหลงใหลติดอยู่ตลอดเวลา มันจึงดึงมาไม่ได้ คือมาสู่ความสะอาด สว่าง สงบนี้ไม่ได้ เขาว่าจูงช้างลอดรูเข็มยังจะง่ายกว่าจูงสัตว์เหล่านี้ออกมาจากอาลัย คือ กามคุณ นี่คืออุปสรรค ฉะนั้น เราก็ควรจะดูให้ดี ของเราเองก็มีอยู่ พอให้ดู เมื่อดูเห็นแล้วก็จะเห็นของคนอื่น ของเพื่อนมนุษย์ของเราว่าเป็นเหมือน ๆ กันหมด
ทีนี้ มันยังมีเพิ่มเติมมาว่ามันไม่ใช่เพียงแต่เท่านั้น ที่ตามธรรมชาติเท่านั้น มันมีการกระทำส่งเสริมที่นอกไปจากธรรมชาติ เช่นเดี่ยวนี้มนุษย์เขาก้าวหน้าในทางวิชาการ ทางเทคโนโลยีอะไรต่างๆที่เขาจะสร้าง จะทำอะไรก็ได้ เขาก็ใช้ความรู้วิทยาการเหล่านี้ สร้างสิ่งที่จะส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมกามารมณ์ยิ่งๆขึ้นไป เขาจึงผลิตสิ่งเหล่านี้ออกมาขาย ขายดี ขายดีกว่าสิ่งใดๆ สินค้าที่ส่งเสริมกิเลสจะขายดีกว่าสินค้าประเภทใดๆ เดี๋ยวนี้เขาก็ได้ผลิตกันอย่างใหญ่หลวงแหละ ถึงขนาดเป็นอุตสาหกรรม เครื่องมืออุปกรณ์ส่งเสริมความรู้สึกทางเพศทั้งหลายนี่ มันผลิตกันด้วยโรงงานอุตสาหกรรมออกมามากมาย แล้วก็รุนแรง ส่งเสริมให้คนมีกิเลสได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ คนมันไม่ ไม่มีความรู้สึกลุ่มหลงในทางเพศตลอด ๒๔ ชั่วโมง แล้วก็ไปใช้สิ่งที่เขาคิดขึ้นมาส่งเสริมแล้วมันมีได้ เรียกว่านะ เรียกว่าตลอด ๒๔ ชั่วโมงหรือเมื่อไรก็ได้ ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก ยิ่งลำบากหนักเข้าไปอีกที่ว่าคนเราจะปลีกจิตใจออกมาจากเสียจากอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งกิเลส ก็เลยจมลงไปในกิเลสมากยิ่งขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง คือในชั้นที่ว่าส่งเสริมโดยการผลิตทางวัตถุสมัยใหม่นี่ สมัยโบราณโน้นมันไม่มีนะ การผลิตวัตถุส่งเสริมความรู้สึกกามารมณ์นี่ไม่มี นี่ปัญหาที่มันเกิดขึ้นมันก็มีเท่าที่ธรรมชาติมันอำนวยให้ เดี๋ยวนี้เราส่งเสริมเกินกว่าธรรมชาติ ก็เลยมีมากกว่าธรรมชาติ แล้วมันก็มีมาก แล้วก็ส่งเสริมกันจนไม่มีที่สิ้นสุด ยังจะส่งเสริมกันยิ่งกันไปกว่านี้อีก คนในโลกนี้ก็ยิ่งเป็นทาสของกามคุณมากขึ้นไปกว่าเดิม มากขึ้นๆๆ ไม่ต้องพูดถึงครั้งพุทธกาล ครั้งเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ รุ่นปู่ย่าตายายของเรานี่ เขาก็ไม่มีเรื่องส่งเสริมกิเลสมากเหมือนสมัยนี้ ทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางผิวหนังก็ดี มันไม่มีมากเหมือนสมัยนี้ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ว่าคนเขาทำงาน เหงื่อไหลไคลย้อย ได้เงินมาเท่าไรก็เอาไปซื้อสิ่งที่ส่งเสริมความรู้สึกทางกามารมณ์ทั้งนั้น ถ้าจะแพงที่สุด มันก็เอา ยอมอดอย่างอื่น เอามาส่งเสริมทางกามารมณ์ นี่คือสภาพที่กำลังมีอยู่จริงในโลกปัจจุบัน อย่างนี้มันก็ยิ่งเป็นอุปสรรค ยิ่งเป็นอุปสรรคแก่การที่จะมีธรรมะ เขาต้องการที่จะส่งเสริมกิเลสให้รุนแรง ให้สูงสุด ไม่มีที่สิ้นสุด คือไม่มีจำกัด นี่คืออุปสรรคของการที่จะมีธรรมะ มีธรรมะไม่ได้ เพราะจิตมันจมอยู่ในอาลัยที่ว่านี้ แล้วมันก็จมลึกลงไปๆๆ
การศึกษาไม่เพียงพอ ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ แม้แต่นักศึกษาที่จะมาเป็นนักศึกษาก็ยิ่งมีทิฐิ ความเห็นวิปริตผิดพลาด ในพวกนักศึกษานั่นเขาถือว่าไม่ให้บังคับ ไม่ให้มีการบังคับ ไม่ให้มีระเบียบวินัยบังคับ ต้องการให้ปล่อยไปตามสบายใจ ไม่มีการกดดันอะไร ๆ ปล่อยไปตามความสบายใจ มันก็ไปกันใหญ่นี่ การศึกษาบ้า ระวังในวิทยาลัยของพวกคุณก็จะเป็นอย่างนี้ก็ได้ คือไม่นิยมการบังคับด้วยระเบียบ ด้วยวินัยอะไรให้คนมันอยู่ในระเบียบ ต้องการเสรีภาพ ต้องการให้ปล่อยไปตามอารมณ์ นี่คือความยากลำบากอีกประเภทหนึ่งที่เกิดมาจากการศึกษา ที่นิยมความอิสระแห่งจิตใจก็คือกิเลสนั่นแหละ เพราะไม่ต้องการให้อะไรมาบังคับ ไม่ต้องการให้คนมาบังคับ ไม่ต้องการให้ระเบียบวินัยมาบังคับ ไม่ต้องการให้ศาสนามาบังคับ ต้องการจะปล่อยฟรี มันก็ยิ่งเป็นอุปสรรคในการที่จะมีธรรมะยิ่งขึ้นไปอีก เอาแล้ว จะพอกันทีใช่ไหมที่จะบอกให้เห็นว่าอุปสรรคของการมีธรรมะนั่นนะ มันมีอยู่อย่างไร
สรุปความแล้ว ธรรมะมันให้รสชาติแห่งความสงบสุขที่ดีเกินไป ไม่เหมาะสมกับจิตใจของปุถุชน ที่ยังเป็นทาสของกามคุณ จิตใจของคนธรรมดาเป็นทาสของกามคุณ มันมีรสอร่อยไปแบบหนึ่ง รสหรือความสุขที่จะเกิดได้จากธรรมะมันเป็นอีกแบบหนึ่ง มันตรงกันข้ามอยู่ก็ว่าได้ อันหนึ่งมันเป็นไปตามอำนาจของกิเลส อร่อยตามกิเลส ส่วนอันหนึ่งมันระงับกิเลส มันควบคุมกิเลส มันไม่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส ความเคยชินหรืออาลัยของเรามีแต่เรื่องของกิเลส ดังนั้นมันจึงทนไม่ได้ ปุถุชุนคนธรรมดาจึงทนไม่ได้ต่อระเบียบของธรรมะ ระเบียบที่จะมีธรรมะ หรือแม้แต่ผลความสุขที่เกิดมาจากธรรมะ เขาก็ไม่ชอบ เขาก็ไม่ชอบ มันคล้ายๆกับว่ามันเป็นนิสัย สันดานไปเลย สันดานของปุถุชนมันก็บูชากามารมณ์ ส่วนผู้ที่ไม่บูชากามารมณ์มันก็ไม่ใช่ปุถุชน มันเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว ในธรรมชาติแท้ๆมันก็มีแบ่งแยกกันอย่างนี้
เราเคยเอาลูกนกชนิดที่มันกินเนื้อเป็นอาหารมาเลี้ยง ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะมาเลี้ยง มันพลัดตกลงมา แล้วมันไม่มีใครช่วยได้ ก็เอามาช่วย ที่จะช่วยให้รอดชีวิต มันเป็นนก เป็นลูกนกของนกชนิดที่มันกินเนื้อเป็นอาหาร คือนกฮูก ก็บอกให้รู้นะ ทีนี้มันไม่มีอะไรให้กิน ก็จะให้มันกินผลไม้ คือกล้วยนี่ แต่มัน มันไม่ยอมกินน่ะ ยัดลงไปในปาก ลงค้นคอลงไปในท้องแล้วนะ เดี๋ยวมันก็อาเจียนออกมาเลย เดี๋ยวมันก็อาเจียนออกมา มันสำรอกอาเจียนออกมาเรื่อย มันไม่ยอมกิน สันดานของนกที่มันกินเนื้อนี่ มันไม่กินอาหาร ผักไม่ได้ ในที่สุดมันก็ต้องให้กินอาหารที่เป็นเนื้อ เป็นชิ้นปลา ชิ้นเนื้อ ชิ้นกุ้ง ชิ้นหมู ชิ้นต่าง ๆ อย่างนี้มันกินได้ มันพอจะกินได้บ้าง คืออยู่ได้ แต่เราก็เลี้ยงไม่ไหว ในที่สุดก็เอาขึ้น ขึ้นปล่อยไว้ในที่สูง ให้แม่มันมาเลี้ยง แม่มันมาเลี้ยงทุกคืนจนกว่ามันจะบินไปด้วยกันได้ นี่น่าอัศจรรย์ที่สุดนะ เอาอาหารที่ไม่ใช่เนื้อป้อนเข้าไป รีบยัดลงไปถึงในคอแล้ว ในกระเพาะแล้ว มันยังอาเจียนออกมาได้ มันสำรอกอาเจียนออกมาหมด นี่มันจะเหมือนกับปุถุชน สันดานหนา บูชากามารมณ์ เมื่อเอารสที่มิใช่กามารมณ์ให้ มันก็ไม่รับ ถึงบังคับให้รับมันก็อาเจียนออกมา นี่คืออุปสรรค ของการที่จะมีธรรมะสำหรับคนธรรมดาทั่วไป
ฉะนั้น มันมีอะไรที่นี้ มันมีทางอย่างไรที่จะมีธรรมะ โดยมากมันก็ปล่อยไปตามธรรมชาติน่ะ ให้มันเป็นทาสของกามารมณ์เสียจนเบื่อ ให้มันเป็นทาสของกามารมณ์ทุกวิถีทาง ทนทุกข์ทรมานนานาประการไป จนมีเมีย มีลูก มีหลาน มี แล้วมันก็ค่อยๆรู้ขึ้นมาได้ตามธรรมชาติ เพราะความเบื่อนั่นแหละ จึงออกไปแสวงหาธรรมะ แล้วก็ไปบวช ไปเรียน ไปรู้ธรรมะ ไปบรรลุผลของธรรมะกัน ก็มีนี่เป็นประเภทธรรมดาสามัญตามธรรมชาติ มันจึงมีแต่ในระยะสูงอายุทั้งนั้นเลย ไม่มีระยะหนุ่มสาว ทีนี้ถ้าหาก ว่า หากจะมีพิเศษกันบ้างก็คือ มีผู้แนะนำ สั่งสอน ชี้แจง ให้ศึกษา ให้สังเกต ให้รู้สึกขึ้นมาได้เองก่อน ก่อนวัย ก่อนอายุมาก มันก็มีเหมือนกัน มันก็สำเร็จประโยชน์ได้เหมือนกัน คือว่าผู้มีอายุน้อยเหล่านั้น บางคนก็มาบวช มาเรียน มาประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดอยู่ เขาก็รู้สึกโทษของกามารมณ์เหล่านั้นได้ เห็นชัดว่ามันเป็นสิ่งที่เลวร้าย ดุร้าย แล้วก็น่าเกลียดน่าชัง น่าระอา เขาเปรียบเทียบความเลวร้ายของกามารมณ์นี้ไว้มากมาย ไปหาอ่านเอาเองก็ได้ว่าเป็นของที่ทำร้าย ทำร้ายแก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของ อุปมาบางอันก็น่าสนใจ คือว่ามันเหมือนกับ ผู้ถือคบเพลิงทวนลม สมัยโบราณเขาไม่มีตะเกียง ไม่มีไฟฉาย ไม่มี เขาไปไหนก็ถือคบเพลิงที่ทำด้วยหญ้าเป็นลำๆ พอจุดแล้วก็ถือทวนลม เปลวเพลิงมันก็มาไหม้มือคนถือ ไหม้ตัวคนถือสิ เพราะมันถือทวนลม อุปมาของกาม หรือว่าเหมือนของยืมต้องใช้คืนนี่ ต้องสนองราคา คุณค่า หรือเหมือนว่าสัตว์ที่มันมีชิ้นเนื้อคาบอยู่ในปาก แล้วก็มันมีสัตว์อื่นตอม มายื้อแย่งแย่งชิง ทำร้ายสัตว์ที่มันมีชิ้นเนื้ออยู่ในปาก แล้วมันก็อีกมากมายแหละ ผมขี้เกียจจำแล้ว มันมากนัก แล้วมันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปจำ มันยังเลวร้ายไปถึงว่าทำให้ประทุษร้ายกันอย่างไม่น่าจะมีจะเป็น เช่น พ่อกับลูกนี่เกิดทะเลาะฆ่ากันตายเพราะกามารมณ์ก็ยังมี มันมีกล่าวในคัมภีร์นะ พ่อกับลูกมันมีความขัดใจกันในทางกามารมณ์ แย่งชิงกัน หรืออะไรกัน มันก็หมดความเป็นลูกเป็นพ่อกัน มันยังฆ่ากันตายเลย หรือว่าลูกกับแม่ หรือพี่กับน้อง น้องกับพี่ ทุกๆประเภทของบุคคลที่เป็นที่รักที่พอใจ เคารพนับถือ แต่แล้วกามารมณ์เข้ามาแทรกแซง นี่มันก็เปลี่ยนเป็นศัตรูกันไป
โทษของกามารมณ์มากมายเหล่านี้ นี่เขาเอามาสอน มาแนะนำให้กุลบุตรผู้ประพฤติพรหมจรรย์เห็นๆๆอยู่ จิตใจของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ก็ค่อยๆเบื่อหน่าย ค่อยๆถอยหลังจากกามารมณ์ ดำเนินมาในทางของธรรมะ นั่นพอดีกันกับว่าเขามาประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มีสมาธิขึ้นมาได้ในขั้นแรก เขามีสมาธิขึ้นมาได้ในขั้นแรกนี่ เขาได้รับความสุขอันเกิดจากวิเวก สุขเกิดแต่สมาธิ สุขเกิดแต่อุเบกขา ในเรื่องของสมาธิทั้งหมด พวกรูปฌานนี่มันมีสุขเกิดแต่วิเวก กามารมณ์ไม่รบกวนนี่ สุขเกิดแต่สมาธินั่นเอง ตั้งมั่นแล้วสบาย เยือกเย็น และสุขเกิดแต่อุเบกขา คือ วางเฉยได้ในสิ่งทั้งปวงแล้วมันก็มีความสุข เขาก็มาพบความสุขใหม่ๆเหล่านี้ จิตใจเขาก็ค่อยเปลี่ยน คือ เกลียด ขยะแขยง ความสุขที่เกิดจากกามารมณ์ แล้วก็มาสนใจยินดีอยู่ในสุขประเภทนี้ นี่จึงออกมาได้จากอำนาจบีบคั้นของกามารมณ์ หลุดพ้นอุปสรรคนั้นมาได้นี่เรียกว่าออกมาได้จากความเป็นทาสของกามารมณ์ กามารมณ์เป็นเหมือนกับคุกหรือตาราง หรือเครื่องผูกเครื่องล่ามอะไรต่างๆก็เลยไม่ทำอันตรายแก่เขา เขาออกมาได้ แล้วก็สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปในความสุขที่สูงขึ้นไปจนพ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง โอ้ ทีนี้ไม่กลับแล้ว ไม่กลับแล้ว
เอาหล่ะ เป็นว่าเรารู้จักอุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้เรามีธรรมะ ไม่ให้เราสนใจในธรรมะ ไม่ให้เราปฏิบัติธรรมะ เป็นต้น นี่ควรจะรู้ไว้ เพราะต่อไปมันก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคเหล่านี้ ถ้าต้องการจะมีธรรมะ เว้นไว้แต่คุณจะเรียนธรรมะตามธรรมเนียม ตามประเพณี เรียนเพื่อสอบไล่ได้ เรียนเพื่อ เพื่อ ไม่ปฏิบัติก็ตามใจ อย่างโรงเรียนเขาเกณฑ์ให้เรียนหรืออะไรทำนองนี้ มันไม่ได้เรียนเพื่อปฏิบัติ มันก็ไม่มีอุปสรรคหรือไม่เผชิญกับอุปสรรค แต่ถ้าว่าคุณต้องการจะปฏิบัติธรรมะเพื่อดับทุกข์โดยแท้จริงแล้ว มันจะเผชิญกันกับอุปสรรคเหล่านี้ แล้วเราก็รู้จักอุปสรรคเหล่านี้ไว้เสียที เพื่อจะได้แก้ไขมันให้ผ่านพ้นไปได้ จึงเอามาพูดเป็นเรื่องสุดท้ายไงว่าอุปสรรคของการมีธรรมะ การเข้าถึงธรรมะ การมีธรรมะ การเป็นอยู่ด้วยธรรมะ มันมีอุปสรรคอย่างว่านี้ว่า สัตว์ทั้งหลายมันมีอาลัยเป็นที่มายินดี เป็นพื้นฐานแห่งจิตใจ มีความรักใคร่ในกามคุณ เป็นที่มายินดี และเมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็โกรธเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมา มันก็ไม่ช่วยทำให้ความยินดีนั้นลดลงไปได้ ก็เกิดเรื่องใหม่เพิ่มเข้ามา มีความทุกข์ มีความเดือดร้อน เหมือนกับว่ากามคุณนั้นน่ะมันกัดเอา มันเผาผลาญเอา แต่ก็ไม่ทำให้คลายความรู้สึกยินดีได้ เพราะมันยังโง่อยู่อย่างเต็มที่ จึงจะต้องศึกษาต่อไปจนให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าเมื่อไม่ได้กามารมณ์ เป็นทุกข์แล้วมันจะค่อยคลายจากความหลงในกามารมณ์ มันกลับสร้างปัญหาอื่นขึ้นมาให้หนาแน่นยิ่งขึ้นอีก ความยินดีในอาลัยคือกามารมณ์มันก็ไม่คลายออก มันก็มีอยู่เท่าเดิมหรือว่ามากขึ้น เราจะต้องศึกษาชนิดที่ว่าให้มองเห็นความจริง ให้เห็นว่าเหมือนมันถูกขบ ถูกกัด ถูกแทะจนถึงกระดูกอยู่เสมอ หรือให้เหมือนกับว่า รู้สึกเหมือนไฟไหม้อยู่บนศีรษะ ไหม้อยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่เสื้อที่ผ้า ไฟมันไหม้อยู่อย่างนี้ แล้วก็อยากจะดับไฟเสียนั้นแหละ ถึงขนาดนั้นมันจึงจะออกมาได้ จึงควรจะศึกษากันไว้ ถ้าว่าต้องการจะมีธรรมะที่สูง ๆ ขึ้นไป
เดี๋ยวนี้ในโลกนี้เขามีมาตรฐานแต่เพียงว่ามีเงิน มีทรัพย์สมบัติ มีเครื่องใช้ไม้สอย มีบ้านเรือน มีอะไรสบายก็พอแล้ว ไม่มีการศึกษาที่ไหนที่จะสอนให้คนอยู่เหนือกามารมณ์ กลายเป็นสอนให้มีกามารมณ์สมบูรณ์เท่านั้นเอง นี่คนทั้งโลกจึงออกไปจากอำนาจของกามารมณ์ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกสมัยนี้ โลกสมัยที่โง่เง่า บูชากามารมณ์นี่ มันยิ่งไม่มีทางออกหรอก เพราะว่าการศึกษามันไปติดอยู่เพียงเท่านั้น การศึกษาของคนในโลกปัจจุบันนี้ มันมีเพียงว่าให้ได้รับปัจจัยแห่งกามารมณ์มาให้เพียงพอที่สุด ก็อยู่อย่างนั้นไปจนกว่าจะตาย จะต้องหัวเราะ จะต้องร้องไห้สลับกันไปก็ไม่เป็นไรละ เราอยู่กันอย่างนี้ได้ นี่เขาถือกันอย่างนี้ การศึกษาจึงมีเพียงเพื่อให้ได้ปัจจัยแห่งกามารมณ์มา โดยเฉพาะก็คือเงินนี่ เงินหรือสิ่งที่เหมือนกับเงิน อำนาจวาสนาหรืออะไรก็ตาม เป็นเหตุให้ได้ปัจจัยแห่งกามคุณมาบำรุงบำเรอชีวิตร่างกายก็พอแล้ว ก็ดูสิ เขามีเงินมาก มีรายได้มาก แล้วเขาใช้ทำอะไรกัน ในประเทศที่เจริญแล้ว บุคคลที่อยู่ในประเทศที่เจริญแล้ว ร่ำรวยนะ เขาใช้เงินเพียงเพื่อส่งเสริมความรู้สึกทางเนื้อหนังทั้งนั้นเลย ไม่มีใครจะใช้เงินเพื่อมาถึงความสุขเหนือกิเลส นี่โลกกำลังเป็นอย่างนี้ ประเทศที่มันเจริญก้าวหน้าก็ยิ่งเป็นอย่างนี้ ประเทศโง่เขลา ประเทศเล็ก ประเทศด้อยพัฒนาเช่นประเทศไทยเราก็ไปตามก้นเขา นี่พวกคุณก็อยู่ในจำนวนนั้น ระวังให้ดี จะต้องรู้ว่าเราเป็นชาวพุทธ เป็นไทยพุทธ หรือเป็นชาวพุทธนี่มันจะต้องไม่เป็นทาสทางปัญญากันมากถึงขนาดนั้น ไม่เป็นทาสทางอารมณ์กันมากเหมือนขนาดนั้น เราจึงมาศึกษาธรรมะเพื่อจะแก้ปัญหาชีวิต ไม่ใช่ศึกษาตามหลักสูตรที่เขาบังคับให้เรียนเพื่อสอบไล่ได้แล้วไม่ต้องปฏิบัติกันเลย
เอาแล้วว่าก็เป็นการแก่ครบถ้วนแล้วที่เราพูดกันเรื่องการเตรียมตัวสำหรับศึกษาธรรมะ แล้วก็ศึกษาธรรมะว่าธรรมะนี่คืออะไร ว่าธรรมะนี่ทำไมกัน มีทำไมกัน ว่าธรรมะนี้จะได้มาโดยวิธีใด และแสดงอานิสงส์ธรรมะอย่างสูงสุด และวันนี้ก็ได้แสดงถึงอุปสรรคที่จะทำให้ไม่เข้าถึงธรรมะอย่างพอสมควรแก่เวลาแล้ว ผมก็ขอยุติการบรรยาย และถือว่าเป็นการบรรยายครั้งสุดท้าย และเป็นการปิดการบรรยายในวันนี้ พอกันที ปิดประชุมด้วย
คนเป็นทาสของกามารมณ์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ก็ทราบกันแล้วนี่ รู้กันแล้ว พรุ่งนี้กลับใช่ไหม พรุ่งนี้กลับตอนเช้า ไปรถเร็วที่เขามาจากกรุงเทพฯ ขบวนใดขบวนหนึ่งที่สะดวก มันมีตั้งแต่ ๕ โมง ๖ โมง ๗ โมงที่ผ่านมาทางนี้ ก็ไปติดต่อให้รถที่จะรับส่งไปถึงสถานี แล้วก็เตรียมตัวให้พร้อมแต่เนิ่นๆ อย่าให้มีอะไรขลุกขลักๆ ร้อนอกร้อนใจ ลืมนั่นลืมนี่ ไม่เรียบร้อย เอาล่ะ ขอให้ประสบผลที่ต้องการในการบวชนี้ ในการศึกษาเล่าเรียนนี้ด้วยกันทุกๆคน ลาไว้เสียแต่เดี๋ยวนี้ เวลาไปมันไม่ต้องลา เดี๋ยวมันลาไม่ได้ ลาไว้แต่เดี๋ยวนี้ เป็นอันว่าเสร็จเรื่อง