แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ดังที่ผมบอกให้ว่าผมไม่พูดเรื่องวิชาการ แต่จะพูดเฉพาะฝ่ายวิธีการ วันนี้ก็พูดถึงวิธีการที่จะเผยแผ่ตามพระพุทธประสงค์นั้นอย่างไร และอยากจะให้ได้เข้าใจไปถึงความหมายของการกระทำ ซึ่งเราจะเรียกชื่อว่าอะไร การที่เรียกชื่อสมาชิกนี้ว่าคณะธรรมจาริก ก็นับว่าเข้าทีมันเป็นการบังเอิญสบเหมาะหรือจะเรียกว่าฟลุคก็ได้ คือมันตรงกับถ้อยคำในบาลี เพราะเรื่องตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสด้วยถ้อยคำว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงเที่ยวไปสู่ที่จาริก คำว่าจาริกังคือจาริก เพื่อประโยชน์แก่มหาชน เราใช้คำว่าธรรมจาริกเข้ารูปพอดี ตามที่พระพุทธเจ้าท่านก็เคยใช้คำๆนี้ว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ เธอจงเที่ยวไปสู่ที่จาริกหรือเพื่อการจาริก ซึ่งเป็นการจาริก คำว่าจาริกดูตามตัวหนังสือ มันก็คือไอ้การไปนั่นแหละ จาระมันก็แปลว่าไปแต่ใส่ปัจจัยเข้ามา มันก็หมายความว่าไอ้การไปชนิดที่พิเศษที่เป็นประโยชน์ไม่ใช่ว่าไปเฉยๆ
บางคนจะคิดว่าจาริกนี่ขอให้ไปก็แล้วกันเรียกว่าจาริก ที่จริงคำว่าจาริกนั้นไม่ใช่ไปก็แล้วกันไม่ใช่ว่าไปเฉยๆ มันเป็นการไปที่มีประโยชน์ หรือการมีประโยชน์ที่เนื่องกันอยู่กับการไป นั้นการไปนั้นต้องเป็นการทำประโยชน์มีประโยชน์ พูดภาษาธรรมดาก็ว่าไปหว่านโปรยประโยชน์ ถ้าเราใช้ชื่อธรรมจาริกก็หมายความเที่ยวหว่านโปรยประโยชน์คือธรรมะนั่นเอง สมัยโน้นมันต้องไปเพราะมันไม่มีการสื่อสาร นี้คนมันก็ต้องไป คนอยากฟังก็ต้องไปคนอยากสอนก็ต้องไป แต่เดี๋ยวนี้มันประหยัดได้ด้วยเครื่องมือสื่อสารอยู่มาก นั้นก็ว่าไปด้วยเครื่องมือสื่อสารก็ได้ มันสำคัญอยู่ที่ว่าให้มันถึงก็แล้วกันน่ะ ให้มันถึงซึ่งกันและกันก็แล้วกัน มันจะไปด้วยคนหรือจะไปด้วยเครื่องมือสื่อสาร ขอให้มีการถึงระหว่างผู้สอนกับผู้ฟัง ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง นี่อยากจะให้ทราบว่าในพระบาลีท่านก็เรียกว่า เรียกด้วยคำว่าจาริก
ทีนี้ก็เล่าเรื่องกันให้สมบูรณ์ ถึงว่าสมัยนั้นมีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้วในโลก ๖๑ องค์ ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคจะเรียกภิกษุเหล่านั้นและตรัสว่า ตรงนี้พิเศษหน่อย ตรัสว่า มุตฺตาหํ ภิกฺขเว สพฺพปาเสหิ เย ทิพฺพา เย จ มานุสฺสา ภิกษุทั้งหลาย เรา เราตถาคตนะ พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลายทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ ตุมฺเหปิ ภิกฺขเว มุตฺตา สพฺพปาเสหิ เย ทิพฺพา เย จ มานุสฺสา แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย ทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ภิกษุทั้งหลายเธอจงเที่ยวจาริกไป พหุชนหิตาย เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก พหุชนสุขาย เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์โลก อตฺถาย เพื่อประโยชน์ หิตาย เพื่อความเกื้อกูล สุขาย เพื่อความสุข เทวมนุสฺสานํ แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย มา เอเกน ทฺเว อคมิตฺถ อย่าไปทางเดียวกันสองรูป เทเสถ ภิกฺขเว ธมฺมํ เธอจงแสดงธรรม อาทิกลฺยาณํ มีความไพเราะในเบื้องต้น มชฺเฌกลฺยาณํ มีความไพเราะในท่ามกลาง ปริโยสานํ ปริโยสานกลฺยาณํ มีความไพเราะในเบื้องปลาย สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถ เธอทั้งหลายจงประกาศพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ สนฺติ สตฺตา อปฺปรชกฺข ชาติกา สัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อยก็มีอยู่ อสฺสวนฺตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺติ สัตว์เหล่านั้นจะเสื่อมจากธรรมะเพราะไม่ได้ฟัง ภวิสฺสนฺติ ธมฺมสฺส อญฺญาตาโร พวกที่จะรู้ทั่วถึงซึ่งธรรมจักรมี อหมฺปิ ภิกฺขเว, เยน อุรุเวลา เสนานิคโม เตนุปสงฺกมิสฺสามิ ธมฺมเทสนายาติ แม้เราก็จะไปสู่อุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม นี่มีเท่านี้ พระบาลีที่เรียกว่า ส่งภิกษุออกไปประกาศพระศาสนา ที่เราจะใช้ชื่อธรรมจาริกมีฐานที่รองรับในพระบาลี
ทีนี้ก็จะได้วิจารณ์กันไปตามลำดับ ที่ว่าพ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย ทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ ดังนั้นจงไป นี่มันเป็นการตรัสแก่สาวกที่เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น ผู้พ้นจากบ่วงด้วยประการทั้งปวงนั้นคือพระอรหันต์ ดังนั้นท่านจึงตรัสเต็มมาตรฐาน ว่าฉันก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งจากบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ เพราะฉะนั้น จงไป จงไป จงไป เพื่อประโยชน์แก่มหาชน ทั้งเทวดาแลมนุษย์ นี้ปัญหาก็มีว่า เรายังไม่พ้นจากบ่วง ไอ้พวกเรามันยังไม่พ้นจากบ่วงนี่ มันจะสวมรอยกันได้อย่างไร นี่ก็รู้ไว้สิว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำหรับผู้พ้นแล้วจากบ่วง นั้นเราอย่าไปสวมคออย่ายื่นคอเข้าไปในบ่วงสิ จะไปเผยแผ่นี่ก็อย่าไปยื่นคอเข้าไปในบ่วงสิ บ่วงทิพย์มันคือกามารมณ์ชั้นเลิศ บ่วงมนุษย์มันคือกามารมณ์ชั้นธรรมดา ถึงว่าเรายังไม่พ้นแต่เราไม่เข้าบ่วงก็แล้วไป คือว่าเราจะไม่เข้าไปในบ่วงก็แล้วกันเมื่อเราจะทำหน้าที่อันนี้ เรียกว่าพ้นแล้วโดยสิ้นเชิงโดยจิตใจนั้นมันยังไม่มี แต่ก็ต้องทำให้เหมือนกับมี นี่ทำให้เหมือนกับมี ก็อาจารย์ผู้เผยแผ่ธรรมะของสำนักต่างๆนี่ มันสึกไปกี่องค์แล้ว มันเผยแผ่ไม่ทันไรไม่ๆกี่ที คุยโม้อยู่ไม่กี่ปีมันก็สึกไปแล้ว นั่นแหละคือมันไปยืดคอเข้าไปในบ่วง แล้วบางทีก็ไม่ใช่บ่วงทิพย์ บ่วงทิพย์อะไร มันเป็นบ่วงแม่หม้าย พวกคนธรรมดาแถมยังเป็นแม่หม้ายซะด้วย ถ้าเราไม่เป็นอย่างนั้นมันก็ใช้ได้สิ ไอ้บ่วงทิพย์มันก็หายากแหละ คนชั้นสูงชั้นที่มันจะต้องฟลุคเกินไปจะไปเจอบ่วงทิพย์ ข้อนี้ไม่เป็นไร เพราะว่าบางคนอาจจะค้านว่า โอ้,ยังไม่หลุดพ้นจากบ่วงยังไม่เป็นพระอรหันต์ อย่าเพิ่งไปเผยแผ่เลย รอให้เป็นพระอรหันต์เสียก่อน ในข้อนี้ก็บอกอย่างนี้บอกว่าเราก็จะเผยแผ่เท่าที่จะทำได้เพราะว่าเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันนี้มันต้องการธรรมะอย่างยิ่งแล้ว นั้นจะรอให้เป็นพระอรหันต์เสียก่อนมันเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะได้ และก็เรายังกำลังเป็นผู้มีอิสระไม่ติดบ่วง รับรองว่าจะไม่ติดบ่วง ถ้าว่ามันจะติดบ่วงแล้วก็อย่าทำ เห็นท่าไม่ดี สึกเสียก่อนก็ได้ คือเลิกเสีย เลิกเสียเลยดีกว่า ถ้ายังทำอยู่ตั้งใจจะทำก็อย่าให้มีอาการที่เรียกว่าไปเข้าบ่วงไปเข้าบ่วง ถ้ากำลังติดบ่วงก็ทำไม่ได้ ถ้าจิตใจมันติดบ่วงแล้วมันก็พูดไม่เป็นธรรมะ มันจะพูดเพื่อประโยชน์แก่ตน ทำนาบนหลังไอ้ทายกทายิกาเสียเรื่อยไป อย่างนี้มันก็ล้มเหลว มันก็ทำไม่ได้มันก็ไม่ใช่การเผยแผ่ นั้นเราต้องเป็นคนที่อิสระ ศึกษาดีแล้วว่าธรรมะเป็นอย่างไร อย่างไรเรียกว่าอิสระ กระทำให้ดีที่สุดในลักษณะที่เป็นอิสระ บางทีมันมากไปกว่านั้นมันไกลไปกว่านั้น คือว่ามันต้องทำหน้าที่ปลดบ่วงให้ผู้อื่นด้วย ตัวเรากำลังไม่ติดบ่วงแล้วก็จะต้องไปปลดบ่วงให้แก่ผู้อื่นที่กำลังติดบ่วงด้วย นี่เรียกว่ามันยากขึ้นไปอีกเท่าตัว นี้ขอให้ศึกษาให้ดีๆ สังเกตให้ดีๆ ให้มันเพียงพอที่ว่าจะไปช่วยปลดบ่วงให้ ให้เขา
ทีนี้คำว่าบ่วงทิพย์สมัยนี้ ผมคิดว่ามันก็มีอยู่ในความหมายอื่น คำว่าทิพย์น่ะ มันหมายความว่ามันถูกอกถูกใจ หรือได้อย่างใจไปเสียหมด เดี๋ยวนี้ประชาชนในบ้านในเมืองในโลกนี้ เขาก็มีชีวิตการเป็นอยู่ที่เรียกว่าได้อย่างอกอย่างใจพอใจไปเสียหมด มันก็มีอยู่จำนวนหนึ่งมีอยู่พวกหนึ่ง เป็นพวกนายทุนหรือพวกอะไรก็สุดแท้ แล้วแต่จะเรียก พวกนี้กินดีอยู่ดีแล้วก็สมบูรณ์ไปด้วยกินด้วยกามด้วยเกียรติ ๓ ก เพราะสมบูรณ์อยู่ด้วยเรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติ เขาก็ติดบ่วงทิพย์ แล้วเราจะสมัครตัวไปเป็นลูกสมุนของเขามันดี ดีได้หรือ เขาไหว้เราอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งเรากลับไปไหว้เขาของานทำ นี่มันมี นี่มันมี คนที่รู้จักคุ้นเคยกับผมเล่าให้ผมฟังมันเป็นขนาดนี้ มันเป็นพระอยู่สอนอยู่เราก็ไหว้เขาอยู่เป็นประจำ ต่อมาไม่กี่เดือน อ้าว,นี่คนนี้เองมากราบ กราบเราของานทำ มากราบผมของานทำ เขาว่านั่นแหละมันเป็นเรื่องของการเข้าไปติดบ่วง แล้วมันก็บ่วงทิพย์แหละ เพราะว่าจะได้ทำงานที่ดี เงินเดือนแพง เป็นอยู่ดีเหมือนกับว่าใช้คำว่าทิพย์ คือมันได้อย่างใจไปเสียทุกอย่าง เดี๋ยวนี้ในโลกเขากำลังเจริญด้วยการสร้างบ่วงทิพย์นี้ หลายคนค้นคว้าความก้าวหน้าการใช้เทคโนโลยีทั้งหลายเพื่อสร้างสิ่งสวยงามเอร็ดอร่อยสนุกสนานทั้งนั้น เพราะว่าเรื่องอื่นมันไม่ได้เงิน ถึงแม้ว่ามันจะสร้างเพื่อสงครามมันก็เอาสงครามไปบีบพวกอื่น ชนะพวกอื่น แล้วริบเอาความสนุกสนานเอร็ดอร่อยนี้เอามาเป็นของตัว นี่ก็ความก้าวหน้าของมนุษย์ปัจจุบันนี้มันเพื่อสิ่งเอร็ดอร่อยทางอายตนะทั้งนั้น นี่เรียกว่าบ่วงทิพย์ เขากินอย่างไร ไปดูสิเขากินอย่างไร อาหารเขาได้ยินว่าบางมื้อน่ะหมื่นบาท อาหารบางมื้อหมื่นบาท แล้วมาเทียบดูกับเรากินข้าวจานแมว นี่มันต่างกันอย่างไร เขามีบ้านเรือนสมบูรณ์ไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกสบายเหมือนกับวิมานมีบ้านราคาเป็นล้านๆ ที่นั่งที่นอนที่อะไรต่างๆ เรียกว่ามันมันเกินจำเป็นสำหรับมนุษย์ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ว่าไม่เกินจำเป็นแล้ว เขาจะหาให้มันสมบูรณ์อย่างนั้น เครื่องบำรุงบำเรอทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เต็มไปหมด ยิ่งเดี๋ยวนี้ดูกำลังเพิ่มขึ้นๆของแปลกๆใหม่ๆที่จะบำเรออายตนะนี่มากขึ้นๆ นี่จะเรียกว่าบ่วงทิพย์ไปทีก็ได้ เพราะการที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพ้นแล้วจากบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ นั่นก็หมายความว่าพระทั้งหลายที่นั่งที่ยืนกันอยู่ตรงหน้านี่คงไม่ได้เล็งถึงสวรรค์นะ นั้นบ่วงมนุษย์บ่วงทิพย์มันจะมีได้ในโลกมนุษย์ คือมันดีกว่ามนุษย์ธรรมดาเขาเรียกว่าบ่วงทิพย์ ถ้ามนุษย์ธรรมดาเขาเรียกว่าบ่วงมนุษย์ เย ทิพฺพา เย จ มานุสฺสา ทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และเป็นบ่วงมนุษย์ เราควรจะรู้จักไว้ให้ดี อย่าได้ย้อนกลับ กลับหลังหรือว่าถอยหลังหรือตกลงต่ำไปเข้าบ่วง เพราะว่าไอ้การที่ไปสอนธรรมะนี่มันก็คือการปลดคนออกจากบ่วง เรียกว่าปลดปล่อยสัตว์ออกจากบ่วง ที่ไปสอนธรรมะนี่ นั้นต้องระวังเวลานี้ต้องมีจิตใจที่ไม่เป็นทาสของอารมณ์ คือไม่ต้องการจะติดบ่วงไม่ต้องการจะเข้าไปในบ่วง แล้วก็แสดงธรรมให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ ก็จะเป็นความปลอดภัยแล้วก็ได้ผลตามที่ต้องการ ถ้าเรามีจิตใจอยู่นอกบ่วง แล้วไปสอนคนที่ติดบ่วงก็จะได้ผลตามที่ต้องการ
นี้แสดงธรรมเหมือนกับการปลดๆๆ ปลดสัตว์โลกออกจากบ่วงให้สำเร็จประโยชน์ หวังอานิสงค์ก็คือประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก เป็นการอนุเคราะห์โลกเพื่อความสุขทั้งของเทวดาและมนุษย์อย่างเดียว ให้เทวดาและมนุษย์ได้รับประโยชน์สุข นั้นก็หมายความว่าที่เขาอยู่กันอย่างร่ำรวยเหมือนกับอยู่ในสมบัติทิพย์มันก็ยังไม่มี ไม่มีความสุขหรอก เพราะความสุขนี่มันหมายถึงไม่มีทุกข์โดยประการทั้งปวง ไอ้เทวดาบนสวรรค์มันก็อยู่ในกองทุกข์ เพราะมันมีโลภะโทสะโมหะ กิเลสก็เผา เพราะมันจะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย และมันก็เป็นทุกข์และกลัว ถึงเดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน ไอ้พวกร่ำรวยนายทุนมหาศาลเป็นอยู่เหมือนเทวดา มันก็ยังมีความทุกข์ ทุกข์ตามธรรมชาติคือมันต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันต้องกระทบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่รัก น้ำตาไหลอยู่บ่อยๆ แม้จะเป็นมหาเศรษฐีชั้นไหนก็ตาม ที่มันมีโลภะโทสะโมหะ อยู่ในใจมันก็เผาให้ร้อนเหมือนกับคนทั่วๆไป จึงว่าทั้งเทวดาและทั้งมนุษย์ยังมีความทุกข์ ความมุ่งหมายจึงจะ ความมุ่งหมายจึงเล็งไปถึงช่วยทั้งเทวดาและมนุษย์ให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ เหมือนกับท่านสั่งว่าให้ไปปลดเปลื้องไอ้คนเหล่านี้ ทั้งเทวดาและมนุษย์ออกมาซะจากกองทุกข์ เรียกว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ เธอจงเที่ยวไป เที่ยวไปเพื่อปลดปล่อยคนเหล่านี้ออกมาเสียจากกองทุกข์ ทั้งชนิดเทวดาและมนุษย์ นั้นการที่เอ่ยขึ้นมาว่าเราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ มันก็มีความหมายนี้ เพราะต้องไปปลดปล่อยคนที่มันอยู่ในบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ แล้วแต่ว่าพวกไหนมันจะอยู่ในอะไร เราต้องไปปลดปล่อยเขาให้ออกมาเสียได้จากบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ แม้ว่าเราจะไม่สิ้นกิเลสจะไม่สิ้นอาสวะเป็นพระอรหันต์ แต่เวลานี้เราก็สามารถทำตัวให้เป็นผู้ไม่ติดบ่วง เพราะการศึกษานี่มันควรจะเพียงพอแล้วที่จะไม่หลงใหลในไอ้เรื่องของความสุขชนิดหลอกลวง ความสุขทางอายตนะที่เรียกว่าบ่วง ควรจะแน่ใจไม่ต้องรังเกียจกินแหนงตัวเองว่ายังเต็มไปด้วยกิเลสจะไปปลดปล่อยคนออกจากบ่วง มันขอแต่ว่าในระหว่างที่เราไปปลดปล่อยเขา เราไม่ติดบ่วงก็แล้วกัน สำหรับพระอรหันต์นั้นท่านจะไม่ติดบ่วงตลอดกาล ไอ้เรานี่เมื่อไปเผยแผ่ไปสั่งสอนจะต้องไม่ติดบ่วง แต่ไม่ได้ประกาศว่าจะไม่ติดบ่วงตลอดกาล เพราะยังไม่เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรังเกียจตัวเองที่ว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์แล้วก็จะไปเผยแผ่ธรรมะ ผมคิดว่านี่คงจะช่วยได้ไม่น้อย ช่วยให้เคารพตัวเองให้นับถือตัวเอง ไม่รังเกียจกินแหนงตัวเอง แล้วก็ไปทำหน้าที่ของพระอรหันต์ หน้าที่ของพระอรหันต์ ไม่ว่าจะไปสอนที่ไหน ไปแสดงธรรมที่ไหน ระลึกนึกถึงพระอรหันต์ ผู้เป็นเจ้าของเรื่องผู้มีลิขสิทธิ์ในเรื่องนี้ไว้ก่อนเสมอ อย่าได้ลืมตัว ผมเห็นดาไลลามะกราบธรรมาสน์ ธรรมาสน์ ตัวนี้ตัวที่ใช้อยู่นี่เสียก่อนแล้วจึงขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์ แล้วแสดงธรรม ระเบียบหรือธรรมเนียมของทิเบตมันมีอย่างนี้ เรายังไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น เห็นดาไลลามะทำแล้วรู้สึกชอบ คือว่าไอ้ธรรมาสน์ นั้นมันเป็นลิขสิทธิ์ของพระพุทธเจ้าที่จะขึ้นไปนั่งแสดงธรรม ทีนี้เมื่อเราจะขึ้นไปนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ นั้นซึ่งเป็นลิขสิทธิ์กรรมสิทธิ์ของพระพุทธเจ้า เราต้องกราบเสียก่อน ขอโอกาสขออนุญาตเสียก่อน จึงขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์ นั้นแล้วแสดงธรรม ข้อนี้ก็เหมือนกันแหละเมื่อเราจะไปเป็นผู้ปลดปล่อยมนุษย์ออกจากบ่วงนี่ เราจงนึกถึงเจ้าของเรื่อง ผู้มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะทำหน้าที่นี้ คือพระอรหันต์นั่นแหละกันเสียก่อน พระพุทธเจ้าด้วยก็ได้ นั้นจึงทำในใจนึกถึงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์อยู่ตลอดเวลา ขอให้ทำในใจระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าพระอรหันต์อยู่ตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะเต็มที่ ที่จะระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์อยู่ตลอดเวลา คือจะตั้งปัญหาถามอยู่ในใจเสมอว่า นี่ถ้าพระพุทธเจ้าทำหรือพระอรหันต์ท่านทำ ท่านจะทำอย่างไร นี่ตามปกติ ถ้ามันเกิดปัญหาอันใดขึ้น ก็ทำเหมือนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลถามว่าปัญหามีอย่างนี้ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดจะทำอะไรให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเสมอไป เหมือนที่มีแต่ส่วนถูกและสำเร็จประโยชน์ ผมเคยพูดอยู่เป็นประจำว่าทำอะไรให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเสมอ นี้การที่เราจะไปเผยแผ่อย่างไร วิธีใด ขนาดไหน เท่าใด เมื่อใด ขอให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเสมอ อย่าให้มันผิดไปได้ ถ้าไม่อยากนั้นแล้วมันเผลอ มันประมาทแล้วมันทำเกินพอดี มันก็จะเป็นตัวตลกไปไม่ทันรู้ เรียกว่าเราแน่ใจว่าเราควรทำ ทั้งที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ควรทำหน้าที่ของพระอรหันต์ แล้วก็จะไปช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ ทั้งชนิดที่เป็นอย่างเทวดาหรือเป็นอย่างมนุษย์ทั้งสองชนิดด้วย
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาว่าจะทำอย่างไร ก็ตามข้อความในพระบาลีต่อไป จงแสดงธรรม จงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด กลฺยาณํ แปลว่าไพเราะ เดี๋ยวนี้เขาไปเปลี่ยนไพเป็นหัว แสดงธรรมให้ไพเราะเป็นแสดงธรรมให้หัวเราะ แสดงธรรมให้หัวเราะในเบื้องต้น แสดงธรรมให้หัวเราะในท่ามกลาง แสดงธรรมให้หัวเราะในที่สุด มันเป็นอย่างนี้ไปหมด สมัยผมอยู่กรุงเทพฯ ผมได้เห็นกับตา นักเทศน์ที่ลือชื่อที่นิมนต์ไม่อยู่ติดวัดล่ะก็ทำให้คนหัวเราะ หัวเราะได้ตั้งแต่เบื้องต้น หัวเราะได้ในท่ามกลาง หัวเราะนาทีสุดท้าย เอวังเลย หัวเราะ แทนที่จะเป็นไพเราะ มันกลายเป็นหัวเราะ มันก็เลยไพเราะ เลยหัวเราะในเบื้องต้น หัวเราะในท่ามกลาง หัวเราะ พระธรรมกถึก ที่มีชื่อเสียงสมัยนั้นในกรุงเทพฯเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมก็ได้ไปด้วยได้เป็นลูกน้องติดไปด้วย ได้เป็นผู้แสดงธรรม ไปนั่งอันดับแจง เขาเรียกเอาไปเป็นสมุน ไปเป็นอันดับแจงไปนั่งอันดับแจง ๓ องค์เขาเทศน์ทำให้คนหัวเราะตลอดเวลา เราก็ได้ของถวายไตรแพรไตรหนึ่ง คุณคิดดูว่าเมื่อหัวหน้าของเราไปทำให้คนหัวเราะได้ตลอดสามเวลา และเราที่เป็นลูกน้องก็พลอยได้ลาภ ได้ไตรแพรไตรหนึ่ง คุณต้องคำนวณดูว่าไอ้คนที่นิมนต์เจ้าภาพที่นิมนต์เป็นคนร่ำรวยสักเท่าไร มันจึงสามารถถวายไตรแพรได้ทั้ง ๒๕ องค์ องค์ละไตร ถวายพระเทศน์นั้นต่างหาก เขาร่ำรวยขนาดไหน แต่แล้วเขาก็จ้างพระที่มาเทศน์ให้หัวเราะ จ้างพระมาทำให้เกิดการหัวเราะตลอดเวลา คิดดูสิ และการเผยแผ่ธรรมะหรือศาสนานี้มันจะตรงตามพุทธประสงค์ได้อย่างไร สมัยนี้ได้ยินว่าแย่มากแล้ว เขาไม่ค่อยเอากันแล้วไม่ค่อยมีใครหลงถึงขนาดนั้นที่นิมนต์พระไปเทศน์ให้หัวเราะทั้งสามเวลานี่ ไม่ค่อยมีแล้ว แต่เมื่อห้าสิบปีมาแล้วกระผมยังเป็นพระเรียนบาลีอยู่ที่กรุงเทพฯมี มีแยะ ก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งนั้น บางทีต้องนั่งเรือไปตั้งชั่วโมง สองชั่วโมงไปไกล เพราะมันระบือลือชาไปไกล เพราะเขานิยมอย่างนั้นเขาชอบอย่างนั้น ช่วยจำให้ดีว่าไพเราะไม่ใช่หัวเราะนะ ต้องแสดงธรรมให้ไพเราะในเบื้องต้น ในท่ามกลาง ในเบื้องปลาย อย่าไปแสดงแก่การหัวเราะในเบื้องต้น หัวเราะในท่ามกลาง หัวเราะในเบื้องปลาย เพราะมันไม่ใช่อย่างเดียวกัน ประกาศพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ นี่มันเนื่องกันหมดนี่ ที่ว่าไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลาง มันเนื่องมาถึงว่าประกาศพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ หมายความว่าถ้ามันบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะแล้ว มันก็ต้องไพเราะแหละ งดงาม งดงามในเบื้องต้น งดงามในท่ามกลาง งดงามในเบื้องปลาย ไอ้ตัวนี้มันแปลว่างดงาม จะมาใช้กับเสียงใช้คำว่าไพเราะ งดงามของเสียงเขาเรียกว่าไพเราะ คำว่างดงามนี่มันหมายถึงเป็นคำกลางๆ กลางๆ ไปใช้กับตาก็สวย ไปใช้กับเสียงก็ไพเราะ ไปใช้กับจมูกก็หอม ไปใช้กับลิ้นก็อร่อย นี่แหละคือคำว่า กัลยาณัง ไปใช้กับผิวหนังก็นิ่มนวล
นั้นเราทำอย่างไรจึงจะแสดงธรรมไพเราะทั้งสามสถาน ชนิดที่เป็นการประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ พรหมจรรย์ก่อน คำว่าพรหมจรรย์ไปประกาศพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คืออะไร ผมเคยแปลไว้ให้ในหนังสือไหนหรืออะไรก็ลืมแล้ว แต่ว่าแปลว่าระเบียบการดำรงชีวิตอันประเสริฐ แบบชีวิตอันประเสริฐ ระเบียบแบบแผนการครองชีวิตอันประเสริฐ เรียกว่าพรหมจรรย์ หมายความว่าที่เราไปเผยแผ่ธรรมะนี่คือเราไปชี้แนะให้เห็น ให้เข้าใจระเบียบการครองชีวิตชนิดที่ประเสริฐ ถ้าพูดกับชาวบ้านก็พรหมจรรย์ของชาวบ้าน ถ้าพูดกับชาววัดก็พรหมจรรย์ของชาววัด คำว่าพรหมจรรย์นี้ใช้ได้ทั้งบรรพชิตทั้งคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ก็มีพรหมจรรย์ตามแบบของคฤหัสถ์ หลายอย่างหลายข้อเหมือนกันแหละ บรรพชิตก็มีพรหมจรรย์แบบบรรพชิต บรรพชิตที่สูงขึ้นไปที่เฉียบขาดยิ่งขึ้นไปตามแบบของบรรพชิต แต่เรียกว่าพรหมจรรย์ได้ด้วยกันทั้งนั้น ความหมายมันตรงกันว่าพรหมจรรย์ฆราวาส พรหมจรรย์บรรพชิตก็เถอะความหมายมันตรงกัน ที่ว่ามันขูดเกลากิเลสทั้งนั้น ชีวิตที่ประเสริฐคือทำให้เกิดความสะอาดขูดเกลากิเลสซึ่งเป็นของสกปรก มันก็ทำให้กิเลสเบาบาง เมื่อกิเลสเบาบางมันก็ลดความทุกข์หรือดับความทุกข์ นั้นพรหมจรรย์มันก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากขูดเกลากิเลสขูดเกลาความชั่วขูดเกลาความทุกข์ เราไปประกาศพรหมจรรย์แก่เขา คือว่าไปสอนวิธีที่เขาจะได้ประพฤติปฏิบัติตนในการดำรงชีวิตอยู่นี้เสียใหม่ให้มันเป็นชีวิตที่เป็นการขูดเกลากิเลสและความทุกข์อยู่ตลอดเวลา เราพูดให้จนรู้สึกชัดเจนลงไปอย่างนี้สิ อย่าพูดศัพท์แสงอะไรให้มันมากมายนัก พูดให้มันเป็นคำพูดธรรมดาๆ เพราะเดี๋ยวนี้เราจะต้องมีชีวิตกันอย่างนี้มันจึงจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์มันควรจะได้ นั้นศีล ๕ นี่ถ้าประพฤติกันจริงๆก็เป็น พรหมจรรย์ ศีล ๘ ก็เป็นพรหมจรรย์ กรรมาบถ ๑๐ ก็เป็นพรหมจรรย์ หรือจะถือเฉพาะอย่างอะไรถ้าทำกันจริงๆ ก็เรียกว่าพรหมจรรย์ คือมันจะขูดเกลากิเลสได้ก็ต่อเมื่อมันประพฤติกันจริงๆ นั้นคำว่าพรหมจรรย์ มันหมายถึงการปฏิบัติที่มันจริงพอ มันไม่ใช่ผิวๆเผินๆไอ้ระดับต่ำๆ พระก็มีทั้งตามแบบของพระ คฤหัสถ์ก็มีตามแบบของคฤหัสถ์ แต่ในที่สุดมันก็เป็นการขูดเกลากิเลส แล้วผลสุดท้ายปลายทางมันก็ร่วมกันคือบรรลุมรรคผลนิพพาน จะเป็นพรหมจรรย์ของชาวบ้านหรือพรหมจรรย์ของบรรพชิต มันก็ผลปลายทางเหมือนกันคือบรรลุนิพพาน มันต่างกันแต่ว่าชาวบ้านมันจำเป็นต้องไปช้าๆ บรรพชิตมันไปได้เร็วๆเพราะคนไม่มีภาระรุงรัง ชาวบ้านมีภาระรุงรังมันสลัดออกไม่ได้ แต่มันจะหยุดอยู่ไม่ได้มันก็ต้องไป นั้นก็เลยไปช้าๆเหมือนคนหาบของหนักๆมันก็ไปช้าๆ คนเดินตัวเปล่ามันก็ไปเร็วๆ นั้นเราก็เลือกดูให้ดีอย่าไปสอนให้ทำเหมือนกันนั้นคงไม่ได้ ก็มีน้อยเต็มทีที่ชาวบ้านจะทำเหมือนหรือเท่ากันกับพระได้ ให้ชาวบ้านได้รับระบบปฏิบัติที่เหมาะแก่ชาวบ้าน บรรพชิตก็เหมาะกับระดับของบรรพชิต แต่แล้วก็ไปในทางเดียวกันไม่ใช่แยกกันเดินคนละทาง นั้นบางคนมันเข้าใจผิดมันแยกกันเดินคนละทางเลย ชาวบ้านกับชาววัดเขาเรียก คฤหัสถ์กับบรรพชิต มันไม่ใช่แยกกันคนละทาง ไม่ใช่ทำกันคนละอย่าง มันทำอย่างเดียวกันเหมือนกัน อย่างเดียวกันด้วย แต่ว่ามันทำไปช้าหรือเร็วต่างกันเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นบรรพชิตก็ทำได้ง่ายทำได้เร็วทำได้สะดวก ถ้าเป็นฆราวาสมันก็เหมือนกับว่าแบกของหนักเดินไป มันก็ไม่ยอมหยุดมันก็ไปเหมือนกัน ประกาศพรหมจรรย์นั้นให้บริสุทธิ์นี้มันง่ายแล้ว คือไม่หลอกลวงไม่คดโกง ไม่หลอกลวง แล้วก็บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรแฝง ไม่ใช่แสดงธรรมแฝงประโยชน์เพื่อเอาประโยชน์แก่ตัวกูนี่ เขาเรียกว่าไม่บริสุทธิ์ ธรรมะนั้นมันไม่บริสุทธิ์ มันต้องมีเจตนาบริสุทธิ์ก็ทำไปอย่างบริสุทธิ์ มีคำว่าบริบูรณ์ด้วย คือครบถ้วนด้วย บริสุทธิ์แต่ไม่ครบถ้วนยังไม่พอ มันถูกต้องก็ต้องครบถ้วนด้วย และยังมีคำว่าเกวละ เกวลัง เข้ามาอีก แปลว่าสิ้นเชิง มันไม่ปกปิดไว้คือขยักไว้ยังไม่สอน ต้องติดเครื่องกัณฑ์อีกบาทหนึ่งจึงจะเทศน์แหล่นี้ เพราะมันมีธรรมเนียมกันอย่างนี้ ไปขยักไว้ต้องติดเครื่องกัณฑ์ใหม่ เพิ่มให้เป็นที่พอใจแล้วก็จะพูดแหล่นี้ อย่างนี้มันก็เรียกว่ามันไม่บริสุทธิ์ไม่บริบูรณ์อย่างสิ้นเชิง นี้เราจะไม่ขยักไว้เพื่อประโยชน์ขูดรีดอะไร
ที่นี้มีอีกสองคำที่อธิบายยากคือ สาตฺถํ พร้อมด้วย สพฺยญฺชนํ พร้อมด้วยพยัญชนะนี่ ถ้าพูดกันง่ายๆก็ไอ้อรรถก็คือ เนื้อความใจความเต็มรูปแบบ คือพิสดารนั่นเอง พยัญชนะก็คือหัวข้อเป็นคำสั้นๆ เราให้หัวข้อสั้นๆพอได้ยินทีเดียวก็จำได้ เช่นเราพูดอยู่ทุกวันว่าอย่าทำผิดเมื่อผัสสะอย่างนี้ หัวข้อสั้นๆ แล้วอธิบายว่าอย่างไรๆ ก็เป็นอรรถ นี้ถ้าว่าจะเอาให้ละเอียดกว่านี้อีก พยัญชนะก็คือ ถ้อยคำถ้อยคำที่เราใช้นี่ เลือกถ้อยคำที่ดีให้ตรงให้เหมาะแต่ละคำ แต่ละคำ เป็นคำที่เหมาะถูกต้อง ง่ายแก่การศึกษา เราพยายามใช้คำพูดแต่ละคำให้มันดีที่สุด แล้วมันมีเนื้อความ คือมีอรรถมีเนื้อความประกอบอยู่ด้วยเนื้อความ แต่ที่จริงนั้นไอ้เนื้อความแหละสำเร็จประโยชน์ พยัญชนะไม่สำเร็จประโยชน์ เนื้อความสำเร็จประโยชน์ แต่ว่าเนื้อความมันจำไม่ไหว เนื้อความมันมากมันจำไม่ได้ ก็สรุปให้เป็นคำเป็นพยัญชนะแล้วก็จำได้จำง่าย คือมันจำคำหรือจำตัวพยัญชนะไว้ได้แล้วก็ถือเอาเนื้อความไป นี่สังเกตดูก็จะเห็นธรรมะทั้งหลายเนื้อความของมันใครจะจำไหวเพราะมันเป็นถ้อยคำมากมายหลายหน้ากระดาษเนื้อความ แต่ถ้าสรุปแล้วให้เหลือเพียงสองสามคำ คำเดียวก็ยิ่งดี ไอ้คำนั้นมันจำง่าย มันมีประโยชน์แก่การจำ พยัญชนะจำง่าย แต่ตัวมันเองไม่สำเร็จประโยชน์ มันสำเร็จประโยชน์เพราะมีอรรถรวมอยู่ในเนื้อความนั้น ซึ่งขยายออกไปเมื่อใดก็ได้เท่าไรก็ได้ นั้นความสำเร็จประโยชน์มันอยู่ที่อรรถ แต่พยัญชนะมันช่วย ช่วยเก็บช่วยรักษาช่วยรวบรวมอรรถเอาไว้ เลยต้องมาด้วยกัน พูดให้ชัดๆอีกทีก็คือว่าเราจงแสดงธรรมชนิดที่ให้เขาได้รับความสะดวกในการที่จะจดจำหัวข้อสั้นๆไว้ได้ และให้เขาสามารถเข้าใจเนื้อความโดยพิสดารด้วย เรียกว่าแสดงธรรมบริสุทธิ์บริบูรณ์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ นั้นจึงไม่ควรจะลืมที่ว่าไอ้เรื่องนี้ตอนนี้เราแสดงไปแล้ว สรุปความว่าอย่างไร เราก็สรุป สรุปความให้เขาสั้นๆ เป็นประโยคสั้นๆแล้วกะทัดรัด แล้วก็ให้เกิดความสนใจ สนใจ นั้นในคำบางคำประโยคบางประโยคที่เขาพูดกันไว้แต่ก่อนๆนั้น มันจึงเหลือมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ ไอ้คำที่ผมพูดอยู่เสมอว่า งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่ละ พระอยู่ที่จริง ไม่รู้ใครพูดครั้งไหนก็ไม่รู้ มันอยู่ของมันได้ ไม่รู้ใครพูดกันมาแต่ครั้งไหน มันก็อยู่กันมาได้จนเราต้องเอาไปพูดต่อ เพราะว่าความรัดกุมความสะดวกความง่ายของพยัญชนะที่เขาสรุปไว้ให้เป็นธรรมพิเศษ ไม่ตั้งใจจะจำมันก็จำนะ ถ้ามันสรุปไว้ดีๆ มันติดปากจำได้เอง และคำอธิบายของมันก็อยู่ในนั้นแหละ คิดไปเถอะมันก็ออกมา งามอยู่ที่ผี คือยังไง ดีอยู่ที่ละคือยังไง พระอยู่ที่จริงคือยังไง นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตายคืออย่างไร เราน่าจะให้เขาไปทั้งคู่ คือให้เนื้อความโดยพิสดารแล้ว ก็ให้พยัญชนะหัวข้อสรุปความอีกทีหนึ่ง นี่จะสะดวกสบายแก่ผู้ฟังแก่ทายกทายิกาทั้งหลาย ที่โดยมากมีการศึกษาน้อย ถ้าไม่ช่วยให้ความสะดวกแล้วก็ทำยาก ทำยากแก่เขา เขาอาจจะรับเอาไว้ไม่ได้คือรับแล้วรักษาเอาไว้ไม่ได้ ขอให้นึกถึงข้อนี้ให้มาก ถ้าเราทำได้อย่างนี้นั่นแหละมันจะงดงามทั้งเบื้องต้น งดงามทั้งท่ามกลาง งดงามทั้งเบื้องปลาย ไอ้คำว่างดงามสามสถานนี่มีอธิบายในอรรถกถา พระอรรถกถาจารย์ก็อธิบายไว้มากมายหลายรูปแบบหลายความหมายเหมือนกัน เพราะว่ามันอธิบายได้นี่ มันอธิบายได้ เช่นเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ อย่างนี้มันก็งดงามเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย สำหรับปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อย่างนี้มันก็งดงามเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย กระทั่งว่า ทุขติ สุขติ และก็โลกุตตระ มันก็งดงาม รู้จักแก้ทุขติ รู้จักให้สุขติและให้พ้นเสียทั้งหมดเป็นโลกุตตระมันก็ ๓ สถานเหมือนกัน แม้ในโอวาทปาติโมกข์มันก็แสดงลักษณะงดงามสามสถานนี้ สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา.สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะ สาสะนัง มันก็มีลักษณะของการงดงามใน ๓ กาล ๓ สถานอยู่เหมือนกัน นั้นเราแสดงให้ครบบริบูรณ์ ในเบื้องต้นจะต้องทำอย่างไร จะได้รับผลดี ต่อมาทำอย่างไรจะได้รับผลดี และสุดท้ายจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับผลดี ช่วยชี้แนะให้มันครบถ้วน
ตัวอย่างเช่นว่าเมื่อเรายังเป็นเด็ก เป็นเด็กทำอย่างไร เมื่อเป็นคนหนุ่มคนสาวทำอย่างไร เมื่อเป็นคนแก่คนเฒ่าทำอย่างไร จนชีวิตนั้นถูกต้องไปจนตลอดชีวิต ทั้งปฐมวัยทั้งมัชฌิมวัยทั้งปัจฉิมวัย ก็เรียกว่างดงามทั้ง ๓ สถาน เบื้องต้น ท่ามกลางเบื้องปลายนั้น ถ้าจะพูดอะไรสักเรื่องหนึ่งก็ขอให้มันสมบูรณ์ทั้งในประโยชน์ชั้นต่ำ ประโยชน์ชั้นกลาง ประโยชน์ชั้นสูง แม้ที่สุดแต่ว่าอธิบายอย่างง่าย อธิบายอย่างกลาง อธิบายอย่างลึกนี่ ก็ให้มันมีอธิบายโดยภาษาคนนี่ง่ายๆ อธิบายโดยภาษาธรรมมันก็ลึกไปกว่า อธิบายโดยภาษาว่างเปล่าเป็นสุญญตา เป็นอะไรไปมันก็สุดท้ายอันสุดท้าย อย่าลืมว่าต้องให้ได้รับผลดี ทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลาย ให้ไพเราะแต่อย่าให้หัวเราะ ถ้าชอบคำหัวเราะแล้วก็ขอให้เปลี่ยนเป็นคำว่าพอใจ ให้เขาได้รับความพอใจทั้งเบื้องต้น ทั้งท่ามกลาง และทั้งเบื้องปลายนี่ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่อย่าถึงกับต้องหัวเราะเลย มันจะชวนกันเขว และเมื่อหัวเราะมันก็เป็นเรื่องประมาทและลืมตัวทั้งนั้นแหละ ไม่สำเร็จประโยชน์มันก็ถือเป็นระเบียบทั่วไปในระหว่างลัทธินิกาย ในประเทศอินเดียตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา นักบวชไม่ควรหัวเราะ หัวเราะไม่ได้ ถ้านักบวชหัวเราะยังไม่ใช่นักบวช เพราะไม่สามารถบังคับอารมณ์ คนที่หัวเราะนั้นคือคนที่ไม่สามารถบังคับอารมณ์ ถ้ายังหัวเราะอยู่ก็ยังไม่สามารถบังคับอารมณ์ เพราะมันยังไม่จัดว่าเป็นนักบวช ไม่นับถือ เขาไม่นับถือ จึงมีคำกล่าวที่ว่าพระอรหันต์ไม่มีหัวเราะ อย่างมากก็มีแต่เพียงยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ไม่มีถึงกับหัวเราะ ฮาๆๆ ออกมา และก็ยังให้ความหมายที่มันกว้างไกลกว่านั้นนักบวชมันไม่ควรจะมีการหัวเราะอย่างเด็กๆ ในพระบาลีบางแห่งการหัวเราะนั้นถูกจัดเป็นอาการของเด็ก ภิกษุไม่ควรทำ ร้องเพลงคือร้องไห้ เต้นรำคืออาการของคนบ้า หัวเราะคืออาการของเด็กๆ ภิกษุต้องไม่ทำ เราก็ไม่ต้องให้ถึงกับหัวเราะแต่ให้ยิ้มด้วยความพอใจมันก็พอแล้ว มันเต็ม เต็มอัตราแล้ว ถ้าถึงกับยิ้มนี่อยู่ด้วยความพอใจ ให้เขาได้รับความพอใจทั้งเบื้องต้น ทั้งท่ามกลางและเบื้องปลาย เรียกว่าตลอดเวลา ตลอดการเทศน์ตลอดการบรรยายให้เขาได้รับความพอใจ นี่เรื่องที่ว่าแสดงธรรมกันอย่างไร ไปทำหน้าที่แสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์อย่างนี้ คือแสดงธรรมให้เป็นการประกาศพรหมจรรย์ ให้ถูกต้องบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงทั้งอรรถพยัญชนะ ให้งดงามทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลาย บางทีเราก็แปลคำว่าไพเราะมันฟังเพี้ยนไปก็ได้ ถ้าเอาตามคำพูดเดิมกัลยาณัง แปลว่างดงาม ให้งดงามทั้งเบื้องต้น งดงามท่ามกลาง งดงามเบื้องปลาย
ที่นี้มันยังมีคำว่า อย่าไปทางเดียวกันสองคน ข้อนี้หมายความว่าให้พยายามทำให้มากที่สุด เพราะว่าคนมันมีน้อย ให้แยกกันทำเป็นคนๆให้มันได้ผลงานมากที่สุด ถ้าไปกันเป็นกลุ่มมันก็ได้น้อย น้อยแห่ง ถ้าแยกกันเป็นคนๆไปทำมันก็ได้มากกว่า นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างรอบคอบถี่ถ้วนที่สุด ถึงกับว่าอย่าไปทางเดียวกันหลายคน นี้ท่านให้เหตุผลชักจูง ชี้ชวนว่า สัตว์ที่มีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อยก็มีอยู่ สัตว์พวกนี้จะเสื่อมเสียจากธรรม คือไม่ได้รับธรรมะเพราะไม่ได้ฟัง คือว่าสัตว์ที่มีดวงตา มีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย ก็หมายความว่ามันโง่น้อย มันพอจะเข้าใจได้ เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาว่าไอ้ธรรมะที่เราแสดงกันนี้เขาจะฟังถูกไหม มันฟังไม่ถูกหรอกสำหรับคนที่มีธุลีในดวงตามาก คือมันบ้า บ้าสวย บ้างาม บ้าเอร็ดอร่อย บ้ากาม บ้าสนุกสนาน บ้าอบายมุข สุดแท้แต่ที่มันจะบ้ากันได้ นั่นแหละธุลีในดวงตามากเกินไป อันนี้ก็ช่างมันสิ แต่ว่าสัตว์ที่มีธุลีในดวงตาน้อยมันยังมีอยู่ เราก็ตั้งใจจะทำกับสัตว์จำพวกนี้เพราะเขาอาจจะเข้าใจธรรมะได้ แต่ถ้าไม่แสดงเสียเลยไอ้คนเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสฟังเขาก็เสื่อมเสียจากประโยชน์ที่เขาควรจะได้รับ นี่แสดงว่ารับผิดชอบกว้างขวาง พระพุทธเจ้าท่านทรงรับผิดชอบอย่างกว้างขวาง เรียกว่ารับผิดชอบอย่างเบื้องหลังด้วย รับผิดชอบอยู่หลังฉากด้วย คนเหล่านั้นถ้าไม่ได้ฟังแล้วมันก็ไม่รู้ ไม่ได้รับประโยชน์อะไรทั้งที่เขาควรจะได้ฟัง ทั้งที่เขาอาจจะฟัง ฟังถูกฟังเข้าใจ เพราะว่าเขา มีดวงตา ธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย เขาก็เป็นอย่างนั้นของเขา ถ้าเขาไม่ได้ฟังเขาก็จะไม่ได้ นั้นเราอุตสาห์รับผิดชอบถึงกับว่าเราจะไปทำให้คนชนิดนี้ได้รับประโยชน์ชีวิตของเขาไม่เป็นหมัน ดังนั้นเราก็เสาะหาเอาเองสอดส่องเลือกเฟ้นเอาเองว่า ใครมันมีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย ที่พอจะฟังรู้เรื่องได้ ก็ตั้งใจสั่งสอนคนพวกนั้นแหละ
มันเป็นระเบียบหรือเป็นประเพณีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เช่นมีข้อความกล่าวว่าพระพุทธเจ้าตื่นบรรทมตั้งแต่ก่อนสว่าง และเล็งญาณส่องโลกส่องสัตว์โลก ก็คือไประลึกดูว่าไอ้คนไหนมันควรจะได้รับการสั่งสอนแล้วมันถึงขนาดที่ควรจะได้รับการสั่งสอนแล้ว ที่บ้านนั้นเรือนนั้นนึกดู พอพบว่าอยู่ที่นั่นก็เตรียมพระองค์สำหรับไปบิณฑบาตที่นั่นในวันรุ่งขึ้น ได้พบโอกาสได้สั่งสอนได้สำเร็จประโยชน์ คำว่าไปบิณฑบาตครั้งพุทธกาลนั้น มันผิดจากเดี๋ยวนี้ เพราะไปที่นั่นเขาก็นิมนต์ให้ฉันให้เข้าไปในบ้านให้หยุดให้นั่งให้ฉัน ก็ได้สนทนากันมาก ก็ได้สนทนากันมาก เขาก็อยากจะสนทนากับพระ พระก็อยากจะสอนเขาอยู่แล้วตามหน้าที่ นั้นการสอนมันก็มีขึ้นได้โดยง่าย แม้ว่าจะเป็นการบิณฑบาตอย่างเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เข้าไปนั่งฉันในบ้านในเรือน มันก็ยังมีโอกาสพูดกันหลายคำเหมือนกัน ถ้ามันมีเรื่องอะไรสนุกขึ้นมา มันก็ยืนพูดกันตรงนั้นแหละ ถ้าพูดเป็นพูดเก่งมันก็พลอยสำเร็จประโยชน์ได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ ธรรมเนียมที่ไปบิณฑบาตแล้วเข้าไปในบ้านเรือน ฉันในบ้านเลยนั้น ที่พม่า ที่ประเทศพม่ายังมีอยู่มาก เมื่อผมไปผมก็ได้เห็น แต่เขาบิณฑบาตกันสายๆ เข้าไปบนเรือนนั้นแล้วก็ไปนั่งคุยกับเจ้าของบ้าน จนฉันเลย จนเพลไปเลย แล้วจึงกลับวัด จะคุยกันสักเท่าใดก็ได้ นี่เรียกว่าโปรดสัตว์ ไปบิณฑบาตคือไปโปรดสัตว์มันมีความหมาย ไม่ใช่เพียงแต่ไปขออาหารฉัน แต่มันเป็นโอกาสที่ได้พูดจากัน แสดงการโปรดสัตว์ผู้นั้นให้รู้ธรรมะ ให้ได้หลุดพ้นไปเลยก็ได้แล้วแต่จะพูดจา แต่ก็น่าอันตรายนะสำหรับบ้านที่มีลูกสาวสวยๆ น่าอันตราย พระหนุ่มๆขนาดอย่างนี้ด้วยก็น่าอันตราย ไม่ทำดีกว่า
นี่เรียกว่าสัตว์ที่มีดวงตาธุลีน้อย ธุลีในดวงตาน้อยก็มีอยู่ ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งมีเพราะการศึกษามันดี แต่มันมีผลไปในทางตรงกันข้าม การศึกษาดีทำให้คนฉลาด สมัยนี้กลับทำให้คนตกเป็นทาสของอารมณ์ยิ่งกว่าแต่ก่อน เพราะคนฉลาดสมัยนี้มันฉลาดที่จะไปหาอารมณ์ของกิเลส สอนยาก เข้าใจยาก เถียงก็เก่ง เรียกว่าไอ้ความฉลาดนั้นมันฉลาดไม่ซื่อตรง มันเป็นความฉลาดที่ไม่ซื่อตรงต่ออุดมคติของมนุษย์ เช่น ฉลาด เดี๋ยวนี้ฉลาดที่จะรบราฆ่าฟันฉลาดจะเอาเปรียบ ฉลาดจะขูดรีด ฉลาด ฉลาดจะโกง กระทั่งฉลาดจะจี้จะปล้น มันก็เป็นความฉลาด นี้ต้องฉลาดชนิดที่จะเป็นไปได้ในทางธรรมะ ถึงจะเรียกว่ามีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย มันเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิอบรมมาดี เด็กๆนั้นถูกอบรมมาดีแต่เด็กๆเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต บูชาความจริง บูชาความดี บูชาความถูกต้อง ไอ้เด็กๆพวกนี้จะพอเรียกว่ามีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย จะสอนได้ ก็พยายามดูเอาเอง นั้นในความพยายามในส่วนนี้ก็ไม่ใช่ง่ายนักแล้วมันน่าเบื่อนะ ที่จะให้เราเป็นฝ่ายที่คอยจับตาดูว่าคนไหนควรจะสอนได้นี่ ไม่ใช่งานเล็กน้อย เป็นงานที่ยากเหมือนกันและก็น่าเบื่อด้วย เดี๋ยวก็ไม่ทำซะเท่านั้น ให้ทำงานหลายหน้าที่เกินไปเดี๋ยวก็ไม่ทำ คิดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ก็พยายามจะพูดกับบุคคลคนนี้ คนหนุ่มคนนี้จะพูดอย่างไรเตรียมไว้เสร็จแล้ว บางที่เตรียมไว้ล่วงหน้าเป็นวันๆเดือนๆก็ได้ ถ้าจะต้องไปพูดกับคนนั้นจะพูดว่าอย่างไร นี่เรียกว่าให้เห็นแก่สัตว์ที่มีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย แล้วสำเร็จประโยชน์จริงเหมือนกัน ผมคิดว่าจะต้องสำเร็จประโยชน์ได้มากแหละ ถ้าอดทนทำอย่างนี้ เสียสละกันอย่างนี้ เคารพต่อพระพุทธประสงค์กันอย่างนี้ คนที่มันขี้หงุดหงิด หุนหันพลันแล่นโมโหร้ายทำไม่ได้ ทำไม่ได้แน่ ต้องมีจิตใจชนิดที่เมตตากรุณาและละเอียดอ่อนไม่หยาบคาย ไม่กระด้างไม่หยาบคาย ถ้ามันกระด้างมันหยาบคายแล้ว มันเมตตากรุณาไปไม่ได้หรอก ไม่ไหวมันสลัดทิ้งไม่ทันรู้ มันต้องเป็นคนละเอียดอ่อนอดกลั้นอดทนเสียสละจริงๆจึงจะมีแผนการที่วางไว้และทำสำเร็จที่จะทรมาน ทรมาน เขาเรียกไปโปรดคือทรมานคนให้ละจากกิเลสเดิมสภาพเดิมมาเกิดใหม่ ตายจากปุถุชนมาเกิดเป็นพระอริยะเจ้ากันโดยโอปปาติกะกำเนิด
ทีนี้มันก็ยังมีอีกตอนหนึ่งที่ว่า แม้เราก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม นี่หนังสือมันปิด มันปิดซะแล้ว ก็ว่าอย่างนั้นแหละก็ไม่มีอะไร แต่พระบาลีนั้นน่ะมันไพเราะมาก เหมือนกับว่าท่านต่อรองคือท่านไม่ได้เอาเปรียบ ท่านไม่ได้เอาเปรียบ แม้เราก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม นี่เราจะสรุปความว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้มีแต่ใช้ให้ผู้อื่นทำ และท่านก็ทำด้วยเป็นการต่อรอง ทำให้สาวกสมัครใจทำด้วยความเห็นอกเห็นใจพระศาสดาที่ว่ายอมเหน็ดเหนื่อยด้วย ไม่ใช่ดีแต่ใช้เรา เราจงสังเกตให้รู้น้ำพระทัยของพระศาสดาว่าเป็นอย่างนี้ คือเสียสละจริงอดทนจริงเอาจริง แล้วท่านก็ได้เลือกเอาจุดที่สำคัญที่สุดที่ทำยากที่สุด คือไปปราบชฏิลอุรุเวลา เพราะว่าชฏิลพวกนี้เป็นพวกที่มีความรู้มีฐานะมีเกียรติมีอะไรจนคนเขาเคารพกันทั้งประเทศ พระเจ้าแผ่นดินก็เคารพอะไรก็เคารพ เขามีลัทธิของเขาอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงเลือกเอางานชิ้นที่ทำยากที่สุดงานชิ้นยากชิ้นลำบากที่สุด ไปทรงกระทำ นี่ก็มีความหมายมาก อย่าหลบหลีกไอ้ที่มันยากคือเลือกเอาแต่ที่มันง่ายๆ ยิ่งยากยิ่งดี นี่ไปเผชิญกับเจ้าลัทธิชั้นเลิศของยุคนั้นแหละก็ยิ่งดี เพราะว่าทำสำเร็จแล้วมันได้ประโยชน์มหาศาลอย่างที่ปรากฏอยู่ในพระพุทธประวัติ พอชฏิลยอมแพ้ขึ้นมา มันแพ้กันทั้งประเทศเลย ตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินลงมาถึงราษฎร ก็หันมาหาพุทธศาสนา นี่เรียกว่าเป็นอุบาย ถามว่าประชาชนเขานับถือใครอยู่เป็นอย่างมากแล้วเราทำให้คนนั้น มันมาถือธรรมะเป็นสาวกได้ มันก็จะพลอยได้ไปทั้งหมดเลยทั้งพวงเลย นี่ก็เป็นหลักการหรือนโยบายอันหนึ่ง ซึ่งควรจะสนใจและก็ใช้ด้วย คือสอดส่องพิจารณาหาจุดสำคัญที่มันเป็นขั้วเป็นพวง จับเอาไอ้หัวขั้วหรือหัวพวงหัวหน้ามันให้ได้แล้วมันก็จะง่าย อย่าไปคิดทำ ไม่มีปัญญาทำไปทีละคนตามลำดับ นี่ก็ได้เหมือนกันแต่ว่ามันได้น้อย มันไม่ใช่ฉลาดมันไม่เป็นอุบายที่ฉลาด
เอาล่ะเป็นอันว่าผมจะพูดเท่านี้ พูดตามพระบาลีที่ตรัสเมื่อส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา แล้วต่อจากนั้นก็เคยเรียนพุทธประวัติกันมาแล้วทั้งนั้น ว่ามันได้ดำเนินไปอย่างไร สำเร็จประโยชน์อันใหญ่หลวงในเวลาอันสั้น ทรงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่าภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ด้วยความอนุเคราะห์โลก อย่าไปทางเดียวกันสองคนเลย จงแสดงธรรมงดงามเบื้องต้น งดงามท่ามกลาง งดงามเบื้องปลาย จงประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงพร้อมทั้งอรรถพยัญชนะ สัตว์ที่มีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อยมีอยู่ สัตว์เหล่านี้จะเสื่อมจากธรรมะเพราะไม่ได้ฟัง ผู้ที่จะรู้ทั่วถึงธรรมจักมี ภิกษุทั้งหลายแม้เราก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม จบแล้ว ให้ผู้ที่จะเป็นธรรมจาริกทุกองค์กระทำไว้ในใจ พุทธภาษิตข้อนี้จงกระทำไว้ในใจ สำหรับผู้ที่จะเป็นธรรมจาริก แล้วก็ชื่อนี่ก็เป็นมงคลนามดีอยู่แล้วตรงตามพระบาลีที่ว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ จงไปสู่จาริก สู่การจาริก คือการเที่ยวที่ประกอบไปด้วยประโยชน์ จาริกํ แปลว่าการเที่ยวไปที่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ไม่ใช่เที่ยวเล่น มีความหมายมากสำหรับผู้ที่จะทำงานธรรมจาริก เรียกว่ามีหัวใจ หัวใจของเรื่องที่จับฉวยเอาไว้ได้ ดังนั้นเชื่อว่างานนี้คงไม่ล้มเหลว ผมขอยุติการบรรยายคราวนี้เพียงเท่านี้