แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ขอโอกาสบรรยายธรรมะในรูปธรรมดาปกติ คือ ปาฐกถาธรรม แทนการแสดงธรรมเทศนาตามประเพณี ทั้งนี้ เพื่อว่ามันจะได้ง่าย จะได้สะดวก จะได้ฟังง่าย จะได้จำง่าย จะได้เข้าใจง่าย วันนี้เป็นวันที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าเป็นวันส่งตายาย ให้รับอย่างไร ส่งอย่างไร ก็ดูจะเข้าใจกันแล้วพอสมควร หากข้อนี้ ขอให้ถือว่าเป็นประเพณีที่ตั้งขึ้นไว้อย่างดี มีประโยชน์ จะมาจริง หรือรับจริง จะส่งจริง หรือไม่นั้น อย่าไปคิดเลย แต่ว่าประเพณีมีอยู่สำหรับอย่างนั้น เราก็ปฏิบัติให้ดีที่สุด แล้วก็หมั่นสำเร็จประโยชน์เต็มที่แก่ทุกคนหรือแก่ทุกฝ่าย ตายาย มาก็ต้อนรับ ยินดีต้อนรับ ทำให้พอใจ ด้วยความรักด้วยความกตัญญู ทีนี้วันส่งตายาย ก็ทำให้ตายายยินดีในการกลับไป เมื่อมาก็ให้ได้ยินดีเพราะการมา ในการมา เมื่อไปก็ให้ได้รับประโยชน์ยินดีเพราะการไป ถ้าทำได้ตามนี้ก็จะเป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างใหญ่หลวง ให้อยู่ในตัวการกระทำนั้นๆ ขอให้สนใจให้ตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ควรจะทำให้ทุกขั้นตอนถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง สำเร็จประโยชน์ตามความหมายนั้นๆ
ขั้นแรก ก็จะต้องพูดกันถึงเรื่องจริง ใจจริงเสียก่อนว่าโดยหัวใจนี้ มันรู้สึกว่าเป็นลูกหลานทั้งตายายจริงหรือไม่ ถ้าว่าเป็นลูกหลานของตายายจริง มันก็จะได้ทำให้สมกับที่เป็นลูกหลานตายายจริงๆ เดี๋ยวนี้กลัวจะเล่นตลก เล่นตลก เป็นลูกหลานแต่เพียงจะรับมรดกเท่านั้น ตายายจะไปตายโหงตายที่ไหนก็ไม่รู้ไม่ชี้ กูเอาแต่มรดกก็แล้วกัน นี่กลัวมันจะเป็นลูกหลานเสียอย่างนี้นั่น ขอให้คิดดูให้ดีว่ามันเป็นลูกหลานโดยแท้จริงหรือไม่ ดูให้ดีว่ามันเกิดมาจากโพรงไม้ หรือมันเกิดได้เอง หรือมันต้องเกิดมาจากบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย แต่ถ้าว่ามันเกิดมาจากปู่ย่า ตายาย มันก็ควรจะรับรองความเป็นลูกหลาน เป็นลูกหลานกันให้ถูกต้อง หากควรจะสอนเด็กๆ ลูกเล็กเด็กให้มันรู้ความหมายข้อนี้ ว่ามันไม่ได้เกิดเอง มันไม่ได้เกิดจากโพรงไม้หรือทางอื่นใด แต่ว่าเกิดมาจากบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย มาเป็นลำดับๆ ดังนั้นทุกคนจึงมีภาวะลักษณะเป็นลูกหลาน และเป็นลูกหลานไม่เท่าไร ไม่เท่าไร แก่เข้า แก่เข้า มันก็เป็นตายาย เป็นบิดามารดา ปู่ย่า ตายายต่อไปอีก คนเดียวมันก็เป็นได้ ถ้าเป็นลูกหลาน และโตขึ้นก็เป็นบิดามารดา ก็เป็นปู่ย่าตายาย ตายไป เป็นได้ทั้งสามขั้นตอน ในชั้นนี้ขอให้ยอมรับความเป็นลูกหลานโดยแท้จริง โดยบริสุทธิ์ใจ ให้เกิดความรัก ความกตัญญูต่อบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย โดยแท้จริง อย่าให้กิเลสพาไป ไปหาสิ่งที่ชอบใจ จนลืมหน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติต่อบิดามารดา ปู่ย่าตายาย อย่างเลวที่สุด อบายมุขมันก็พาไป ดื่มน้ำเมา เทื่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน เล่นไพ่ อบายมุขเหล่านี้ก็พาไปหมด ไม่มานึกถึงตายาย เลยไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ทว่าเป็นลูกหลานที่ถูกต้องโดยเฉพาะวันเช่นวันนี้ก็จะต้องมาบำเพ็ญหน้าที่กันให้ดีที่สุด ชนิดที่เรียกว่าเป็นพรหมจรรย์ทีเดียว คือประพฤติอย่างดีที่สุด อย่างสูงสุด อย่างแท้จริงที่สุด เขาเรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ได้ทั้งนั้น มาทำหน้าที่ลูกหลานที่ดีแก่ตายายที่ล่วงลับไปแล้ว
ที่จริงก็มีคนเป็นอันมากหรือส่วนมาก รักบิดามารดา ปู่ ยา ตายาย บางคนถึงกับอยากเห็น อยากติดต่อด้วย ไปจ้างอาจารย์วิปัสสนาให้นั่งทางในเสียเงินเสียทองเยอะแยะก็มี อย่างนี้ก็มีอยู่จริง อาจารย์วิปัสสนาก็นั่งทางใน บิดามารดาตายไปอยู่ที่ไหน เป็นอะไร จะทำอะไร เขาก็ทำพิธีให้ตามที่มันอยาก มันแสดงว่ารักบิดามารดา ปู่ ยา ตายาย มากเหมือนกัน แต่จะรักด้วยอะไรไม่รู้ จะรักด้วยกิเลส รักด้วยความโง่ รักด้วยสติปัญญา หรือรักด้วยอะไรนี้ มันก็ยังมีปัญหาอยู่เหมือนกัน ฉะนั้น ขอให้เรารักด้วยความรู้ ด้วยสติปัญญาที่ถูกต้องว่ามันเป็นเรื่องจริง เป็นหน้าที่ที่ผูกพันอยู่ ที่จะต้องประพฤติกระทำให้ดี ลูกหลานเกิดมาสำหรับทำให้บิดามารดา สบายใจ รู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า อบรมลูกเล็กเด็กแดงให้มันรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าพ่อแม่มันไม่รู้ ไม่รู้สึก มันก็ไม่มี ไม่มีทางที่จะไปอบรมลูกเด็กๆให้มันรู้สึก มันต้องอบรมเด็กๆเล็กๆให้มันรู้สึกว่า ลูกเด็ก ลูกมันเกิดมาสำหรับทำให้พ่อแม่สบายใจ มันถูกต้องที่สุด ตรงตามความประสงค์ของมนุษย์ ตรงตามความประสงค์ของธรรมชาติที่กำหนดไว้ หรือจะพูดว่าพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าก็ต้องการอย่างนั้นแหละ ให้บุตรเกิดมาเพื่อทำความสบายใจให้แก่บิดามารดา นี่เราก็จะต้องรับรู้สัจธรรม เมื่อบิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ก็ทำให้สบายใจที่สุด เมื่อบิดามารดาล่วงลับไปแล้วก็กระทำชนิดที่เรียกว่าถ้าบิดามารดาเหล่านั้นรู้เข้าเห็นเข้าก็สบายใจยิ่งขึ้นไปอีก ให้มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ก็แล้วกัน จงสอนลูกเด็กๆเล็กๆที่เพิ่งคลอดมา เขาก็จะรู้ความหมาย ให้มันค่อยๆรู้ ค่อยๆรู้ ค่อยๆ รู้ทีละนิดๆว่า ลูกนี่เกิดมาเพื่อทำให้พ่อแม่สบายใจ ดูสิ พอลูกคลอดออกมา บิดามารดาก็สบายใจ เป็นสุขใจว่าได้มีลูก ได้มีผู้สืบมรดก ได้มีผู้ที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ นี่ทารกพูดออกมาเป็นคำแรกว่าแม่หรือพ่อ แม่หรือพ่อก็ตื่นเต้น ขนลุก ยินดี เพราะความรักลูกปรากฏชัดอยู่ในตัวนั้นแล้วว่า ลูกได้ทำให้พ่อแม่สบายใจ บิดามารดาต้องการมีบุตรก็เพื่อความสบายใจ แน่ใจ นอนใจ ได้ในเรื่องนี้จึงปรารถนาบุตร ครั้งได้บุตรมาแล้วก็พอใจ ก็ยินดีไปตามลำดับ ไปตามลำดับ ฉะนั้น จึงมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวว่าลูกเกิดมาสำหรับทำให้พ่อแม่สบายใจถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ใช่ลูก มันบอกไว้อย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นเป็นเพียงก้อนสกปรกอะไรก็ไม่รู้ ก้อนหนึ่งออกมาเท่านั้น มันไม่ใช่ลูก ถ้ามันไม่ทำให้พ่อแม่สบายใจ ขอให้ถือเป็นหลักตลอดชีพ ตลอดนิรันดรเลย ลูกคนไหนก็ตามออกมาเพื่อทำให้พ่อแม่สบายใจ ทำให้พ่อแม่สบายใจ ทำให้พ่อแม่สบายใจต่อไปๆไม่มีที่สิ้นสุดเลย นั่นเป็นหน้าที่ของลูก เพราะว่ามันเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย และเพราะว่ามันเป็นการตอบแทนพระคุณอยู่ในตัว แม้ว่าลูกยังทำอะไรยังไม่ได้ พ่อแม่ก็สบายใจเสียแล้ว มันก็เป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อของแม่อยู่บ้างแล้วที่ได้ทำให้พ่อแม่สบายใจ เพราะมันเติบโตขึ้นมา มันรู้นั่นรู้นี่ขึ้นมา มันก็มีเจตนาที่จะทำให้พ่อแม่สบายใจ นั่นแหละคือบุญ กุศลอันใหญ่หลวงของลูกที่ได้กระทำ นั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือเป็นหลักไว้ในการที่จะทำให้พ่อแม่สบายใจ เราจึงมีคำพูดขึ้นมาว่าการสนองคุณบิดามารดา และก็การสนองคุณบิดามารดานั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าที่ทำให้พ่อแม่สบายใจ
เดี๋ยวนี้พ่อแม่รุ่นก่อนนั้นก็กลายเป็นตายายไปแล้ว เดี๋ยวนี้เราก็มายังนึกถึงอยู่ แม้ว่าตายไปแล้วก็ยังมาทำประกอบพิธีทำฝึกสติปัญญาสามารถ อย่างน้อยก็ ๒ วาระโอกาส คือรับตายาย และส่งตายาย โดยความหมายที่ว่าจะทำให้ตายายสบายใจ สบายใจ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น จะได้รับหรือไม่ได้รับก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ได้ทำ ได้ทำสุดความสามารถที่จะให้เกิดความสบายใจ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องถือเป็นหลักหรือเป็นหัวใจของเรื่องที่กระทำในวันนี้ หรือเรื่องที่กำลังพูดอยู่นี้ก็มีความหมายอย่างนี้
เอ้า, ทีนี้ก็มาถึงคำว่า “ทำให้สบายใจ” ทำอย่างไรทำให้สบายใจ มันก็ตอบได้ว่า ทำให้ตรงตามที่ต้องการ อย่างนี้ไม่มีทางผิด ทำให้ตรงตามที่ตายายต้องการนั่นแหละ คือ ทำให้ตายายสบายใจ ทีนี้ก็ดูต่อไปอีกหน่อยว่า ตายายต้องการอะไร ตายายต้องการอะไร ถ้าไม่รู้ว่าต้องการอะไร ถ้าผู้ใดไม่รู้ว่าต้องการอะไร จะเรียกว่าเป็นคนโง่ขนาดไหน จะเรียกว่าบรมโง่ได้หรือไม่ ถ้าไม้รู้ว่าตายายต้องการให้ทำอะไร ลองคิดดูว่าตายายต้องการให้ทำอะไร รู้หรือไม่ ถ้าไม่รู้มันก็จะเป็นลูกหลานที่บรมโง่ แล้วมันก็จะไม่มีความหมายอะไร จะไม่เป็นลูกหลาน จะไม่เป็นตายายกันด้วยซ้ำไป ดังนั้นจึงต้องรู้กันทุกคนแหละว่าตายายต้องการอะไร แม้จะไม่รู้ทั้งหมดก็ให้รู้พอสมควร ให้รู้พอที่จะทำได้
อาตมาอยากจะพูดว่าสรุปโดยย่อๆสั้นๆที่สุด มันก็จะพูดได้ว่าตายายต้องการให้ลูกหลานรับช่วงการกระทำ ความดีงามทั้งหลายที่ตายายได้กระทำไว้แล้ว ตายายรับอะไร สร้างสรรค์อะไรไว้ ก่อสร้างอะไรไว้ มีความหวังอะไรไว้ นั่นแหละตายายต้องการ ฉะนั้น ลูกหลานก็สืบต่อสิ่งเหล่านั้นที่ตายายทำไว้ไม่สำเร็จแต่ตายไปเสียก่อน ลูกหลานทั้งหลายก็พยายามทำสืบต่อสิ่งเหล่านั้นเรื่อยไปให้สำเร็จ ตายายต้องการให้สืบต่อ ให้ทำสืบต่อในหลายเรื่อง หลายชั้น หลายระดับ นับตั้งแต่ว่าให้สืบรักษามรดกไว้ให้ดีๆ เห็นหรือไม่บางคนตายายตายไม่กี่ปี มันเอาไร่เอานาไปขาย ซื้อเหล้ายากินหมด นี่จะเป็นลูกหลานหรือไม่เป็นลูกหลานเล่า นี่ข้อแรกต้องสืบรักษามรดก ที่ดิน วัวควาย ไร่นา อะไร ไว้ให้ดีๆ ให้สืบรักษาชื่อเสียงของตระกูลไว้ดีๆ ให้รักษาความดี ความงามขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมทุกอย่างที่ตายายได้ทำมาแล้วอย่างไร ขอให้ทำไว้สืบต่อๆกันไป อย่าให้เลิกละ สูญหายไป แม้แต่ประเพณีทำบุญตายาย ก็อย่าให้มันสูญหายไป
ทีนี้ก็จะบอกว่า สิ่งสูงสุดที่ตายายรักที่สุด พอใจที่สุด ที่จะให้ลูกหลานสืบต่อกันไว้นั้นคืออะไร ท่านทั้งหลายลองคิดดูสิว่าคืออะไรที่ตายายหวังที่สุด รักที่สุด จะให้ลูกหลานสืบต่อ คือะไร แล้วต้องพูดว่าถ้าไม่รู้คือโง่ โง่เหลือที่จะกล่าวอีกนั่นแหละ แต่คงจะรู้ อาตามาคิดว่าคงจะรู้ นั่นก็คือการสืบพระศาสนาไว้อย่าให้สูญหายไปได้ เท่ากับว่าตายายฝากพระศาสนาไว้ในมือของลูกหลานให้ช่วยสืบต่อๆๆกันไว้ อย่าให้สูญหายได้ สิ่งที่รัก ที่หวงแหน ที่บูชาที่สุดของตายายก็คือศาสนาที่ตายายเขาได้สืบสานกันมาแล้ว และก็ตายไป ก็หวังว่าลูกหลานจะสืบต่อ จึงฝากศาสนาไว้ในมือของลูกหลาน เช่นเดียวกับที่ได้ฝากมรดก ฝากทรัพย์สมบัติ ฝากตระกูล ฝากอะไรไว้ ทุกอย่างทุกประการ แต่มันไม่สูงสุดเท่ากับที่ว่าตายายฝากศาสนาไว้ให้ช่วยกันสืบต่อไว้ให้เป็นอย่างดี อย่าให้สูญหายไปได้ นี่จะเอาหรือไม่ จะยอมรับหรือไม่ บางคนจะแก้ตัวว่า โอ้ยเรามันสืบไมได้ เราไม่สามารถจะสืบ เราไม่สามารถจะสืบศาสนาได้ เราเป็นฆราวาส ระวังให้ดี ถ้าคิดอย่างนี้ ก็จะเป็นคนโง่อีกนั่นแหละ จะโง่กี่มากน้อย จนถึงบรมโง่หรือไม่ ถ้าถือเสียว่าเป็นฆราวาสสืบศาสนาไม่ได้ ต้องไปบวชเป็นพระ ก็ขอให้สนใจกันตรงนี้สักหน่อยว่าจะสืบศาสนาไว้ตามความประสงค์ของตายายได้อย่างไร คำว่า “สืบศาสนา” นั้นมักจะเข้าใจกันแต่เพียงว่าไปบวชเป็นพระแล้วก็สืบศาสนา และคุณก็ดูให้ดีสิว่าพระบางองค์มันสืบศาสนาหรือมันทำลายศาสนา บางองค์ นี่มันก็ไม่แน่นี่ว่าถ้าบวชแล้วมันจะเป็นการสืบอายุศาสนา ที่ไม่สืบมันก็มี ที่เรียกว่าสืบอายุพระศาสนานั้นมันมีใจความนิดเดียว คือว่าให้ศาสนายังอยู่ คือมีการปฏิบัติ ศาสนาอยู่ เราปฏิบัติศาสนาตามฐานะของเรา เป็นฆราวาสก็ปฏิบัติสูงสุดตามฐานะของฆราวาส เป็นบรรพชิตก็ปฏิบัติสูงสุดตามฐานะของบรรพชิต เมื่อมีการปฏิบัติศาสนาอยู่ ศาสนามันก็มี ทำไมจะต้องพูดว่าบวชเท่านั้นที่จะสืบศาสนาได้ เดี๋ยวนี้มันทำได้ ฆราวาสก็เรียนได้ ฆราวาสก็ปฏิบัติได้ ฆราวาสก็สอนได้ ทำตัวอย่างให้ดูได้ ทำได้เท่าไร ทำเท่านั้น ทำหมดความสามารถของตน ของตน ในการเรียนรู้ศาสนา แล้วก็ปฏิบัติศาสนา แล้วก็สอนต่อๆกันไป ฆราวาสก็ทำได้ ขอให้สนใจศึกษาธรรมะที่ควรจะศึกษา ที่เท่าที่มันจะดับทุกข์ได้ ไม่ต้องมากมายมหาศาลอะไรนัก เท่าที่มันจะดับทุกข์ได้ ให้เข้าใจเป็นอย่างดี แล้วก็ปฏิบัติอยู่เป็นอย่างดี เพียงเท่านั้นก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาแล้ว คือว่าเด็กๆมันเห็นเข้ามันเอาอย่างเอง
ในครั้งโบราณพุทธกาล ก็ไม่ได้สืบอายุพระศาสนากันด้วยการสั่งสอนท่าเดียว เพียงแต่อยู่ให้ดูเท่านั้น เป็นพระที่ดี เป็นพระที่ถูกต้อง มีความสุขแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวให้เห็น พอคนเห็นแล้วก็เอาอย่าง เอาอย่าง แล้วเราปฏิบัติตาม มานับถือศาสนานี้ก็มีอยู่เป็นอันมาก ดังนั้น จงปฏิบัติธรรมะ แสดงว่าเป็นผู้มีความสุขอยู่ให้ชัดเจนอยู่ที่เนื้อที่ตัว ใครเห็นแล้วอยากจะทำตาม นั่นแหละคือการสืบอายุพระศาสนาอย่างยิ่ง บวชหรือไม่บวชไม่เป็นประมาณ แม้จะบวชถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่ถือว่าสืบอายุพระศาสนาหรอก มันสืบอะไรของมันก็ไม่รู้ จงเคารพการปฏิบัติ ศาสนา มีหิริ มีโอตตัปปะ ให้เพียงพออยู่ที่เนื้อที่ตัว นั่นแหละเป็นการสืบอายุพระศาสนา เราอาจะพูดได้ว่ารุ่นปู่ย่าตายายนั้น มีความเคร่งครัด มีการปฏิบัติ มีความหนักแน่นในพระศาสนาอยู่ไม่น้อย น่าเคารพนับถือ เดี่ยวนี้มันยังอยู่หรือมันหายไป นี่ขอให้พยายามเถิดว่า ปู่ย่าตายายได้สืบอายุพระศาสนาไว้อย่างไร แล้วก็จะสืบไว้อย่างนั้นให้ยังคงอยู่ แล้วเป็นไป เป็นไป ตลอดกาลนิรันดร ปู่ย่า ตายายของเราเป็นฆราวาสก็มี เป็นพระก็มีนะ ไม่ใช่ว่าเป็นพระแล้วจะหมดความเป็นปู่ย่าตายาย เมื่อเราพูดว่าปู่ย่าตายาย เราก็รู้ได้ว่าปู่ย่าตายายของเราเป็นฆราวาสก็มาก เป็นพระก็มีปู่ย่าตายายเหล่านั้นแหละก็สืบอายุพระศาสนา ปู่ของอาตมานี่บวชเป็นพระจนตาย ทั้งสองปู่ ก็สืบอายุพระศาสนามาอย่างเต็มที่ เราจงมองดูกันในข้อนี้ว่าท่านได้สืบไว้ ท่านได้สืบไว้ ทำมาด้วยดีในทางศาสนา ในทางจิต ทางใจ ก็สืบไว้อย่างดี ในทางวัตถุท่านก็ทำไว้อย่างดี วัดวาอารามใครสร้าง ปู่ย่าตายายสร้างทั้งนั้น อย่าพูดถึงวัดวาอารามเลยแม้แต่ถนนหนทาง ห้วยหนอง คลองบึง บาง ตายายก็ได้มีส่วนสร้างทำไว้ให้ลูกหลานใช้สอยโดยสะดวก นี่ก็เป็นมรดกทางวัตถุ ก็ยังต้องการให้ลูกหลานช่วยสืบรักษากันไว้ อย่าทุจริต ทำลายสิ่งเหล่านั้น คดโกง ฉ้อฉล ถนนหนทาง ห้วยหนอง คลองบึง บาง อะไรเหล่านี้ จะสูญหายไปหมด นี่ว่าตายายได้ฝากศาสนาไว้กับพวกลูกหลานทั้งหลายให้ช่วยสืบต่อกันไปให้ดีๆ เมื่อสืบได้แล้วปู่ย่าตายายจะสบายใจอย่างยิ่ง ชื่นใจอย่างยิ่ง พอใจอย่างยิ่ง เป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง
อาตมาคิดว่าจะพูดแทนตายายสักอย่าง แต่กลัวท่านทั้งหลายอาจจะไม่เชื่อว่าตายายนี้หวังให้ลูกหลานสืบพระศาสนายิ่งกว่าสืบสกุล จริงหรือไม่ เชื่อหรือไม่ ตายายนี้หวังว่าถ้าลูกหลานจะละเลิกการสืบสกุล ไม่สืบสกุลทางโลกๆแล้ว จะมาสืบอายุศาสนาทางฝ่ายบรรพชิตนี้ตายายจะยิ่งดีใจ ลูกหลานจะเลิกละการสืบอะไรบ้าๆบอๆเสียหมด มาตั้งใจสืบศาสนาโดยตรงแล้ว ตายายก็จะยิ่งดีใจแน่ กล้าพูดแทนตายายอย่างนี้แหละ ขอให้นึกดูกันให้ดีๆ เอาละ, เป็นอันว่าตายายได้ฝากศาสนาไว้กับพวกเราให้สืบต่อๆกันไป สืบกันได้เท่าไรก็พอใจ ชื่นใจ ยินดีเท่านั้น ถ้าตายายได้มาเห็นลูกหลานสืบศาสนาไว้เป็นอย่างดี นี่จะดีใจเท่าไรในวันรับ ตายายมาเห็นลูกหลานสืบศาสนาไว้เป็นอย่างดีพร้อมหน้ากันอย่างนี้ จะยินดีสักเท่าไร พอวันจะกลับไปก็เชื่อแน่ว่าลูกหลานจะสืบอายุพระศาสนาไว้อย่างดีอีก ก็จะพอใจสักเท่าไร ก็แปลว่ายินดีปรีดาปราโมทย์ทั้งมาทั้งไป นั่นแหละทำบุญตายาย อย่างอื่นดูเป็นเรื่อง เรื่องตลก ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ทำให้ตายายสบายใจในหลักที่ว่าลูกเกิดมาเพื่อทำให้พ่อแม่สบายใจ แล้วก็สบายใจตลอดเวลา ทำให้สบายใจ ให้ตายายสบายใจ แล้วผลมันได้แก่ใคร ผลมันได้แก่ใคร ขอใช้คำพูดตรงๆว่ามันอยู่บนหัวลูกหลานนั่นแหละ มันมาตกอยู่บนหัวลูกหลานนั่นแหละ ผลที่ได้ทำขึ้นมา ตายายได้ก็ได้ไป ก็ได้ไป แต่ว่าส่วนใหญ่มันตกอยู่บนหัวลูกหลานนั่นแหละ ทำไมไม่สนใจอย่างนี้บ้าง มันก็แปลกอยู่ที่ว่าทำบุญให้ตายาย แต่ผลมาได้กับบนหัวลูกหลาน ถ้านึกกันได้อย่างนี้ มันก็คงจะเต็มใจ พอใจ พยายามอย่างสุดยอดที่จะทำบุญตายายให้ถูกต้องตามความหมาย
ภาวนาไว้เถิดว่าตายายเขาฝากศาสนาไว้กับลูกหลานยิ่งกว่าที่จะฝากตระกูล เกียรติยศ ชื่อเสียง มรดก วัวควาย ไร่นา อาตมาคิดว่าอย่างนี้ ตายายคิดอย่างนี้ อาตมาคิดว่าตายายคิดอย่างนี้ คือคิดว่าจะฝากศาสนาไว้มากกว่าฝากตระกูล หรือฝากมรดกทางวัตถุ เพราะว่าตายายมีความจริง เป็นคนจริง จริงต่อลูกหลาน เพราะว่าศาสนามันยังอยู่ มันมีประโยชน์แก่ลูกหลานนั่นแหละ มากกว่าที่ว่าทรัพย์สมบัติหรือวงศ์ตระกูลยังอยู่เสียอีก มันเป็นประโยชน์กว้างขวางแก่คนทั้งโลก ถ้าศาสนามันมันมีอยู่มันเป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลก เงินทอง ข้าวของ วงศ์ตระกูล มันก็อยู่ในวงจำกัด แคบอยู่ในวงจำกัด เมื่อเห็นประโยชน์อันใหญ่หลวงแล้วก็จะต้องนึกถึงสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงทั่วโลก ถ้าทำให้ศาสนายังมีอยู่ได้ ประโยชน์ก็ได้รับทั่วโลก ทั่วโลก ทั่วทุกโลกด้วยซ้ำ มีสิ่งที่มีชีวิตรู้สึกคิดนึกได้อยู่ที่ไหน จะพลอยรับประโยชน์ทุกโลกทั่วจักรวาล นี่ขอให้คิดอย่างนี้ ถ้าสืบศาสนาไว้ได้ ประโยชน์จะเป็นไปทั่วทั้งจักรวาล ส่วนสืบตระกูล เงินทอง ข้าวของ มรดกนั้นมันอยู่ในเขตจำกัด แต่ว่าก็จำเป็นเหมือนกัน มันเป็นฐานที่ตั้งของชีวิต เมื่อชีวิตมันมีอยู่ ได้รับความสะดวกสบาย มันสามารถจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนทั่วโลก
ตรงนี้จะขออวดสักหน่อย จะเรียกว่าอวดดี อวดว่าอะไรก็ตามใจ อยากจะขอพูดว่าเรามีความคิดอย่างนี้ที่จะเผยแพร่พระธรรมหรือศาสนาให้มันไปทั่วโลก กำลังสร้างสวนโมกข์นานาชาติ ฝั่งถนน ฝั่งโน้นสักกิโลกว่าๆ ฝั่งโน้น เพื่อให้สะดวกที่จะเผยแผ่ธรรมะหรือศาสนานานาชาติ ระหว่างชาติ หรือทั่วโลก ให้มันเป็นจริงเป็นจัง แม้ว่าทำอยู่ที่นี้ก็มุ่งหมายอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าความสะดวกยังไม่พอ ก็เลยคิดว่าจะทำให้สะดวกให้พอ นี่จึงสร้างสวนโมกข์นานาชาติ ฝั่งโน้น นี่ก็ด้วยความหวังว่าจะให้ธรรมะเป็นประโยชน์แก่โลก ทั่วโลกเท่าที่ทำได้ พูดไปก็เหมือนอวดดีนั่นแหละ แต่ขอยอมให้เขาด่าว่าอวดดี เพราะมันตั้งใจจะทำจริงๆนี่ เพราะมันคิดจะทำจริงๆนี่ ใครจะว่าอวดดี ก็ว่าไป เพราะดูเหมือนอวดดีจริงเหมือนกัน คิดมากคิดกว้างก็เท่ากับอวดดี แต่เราก็ตั้งใจจริงที่จะทำว่า ทำอย่างไรให้ธรรมะนี่มันแผ่ไปทั่วโลกอย่างถูกต้อง พูดว่าอย่างถูกต้อง คุณๆช่วยฟังให้ดีๆนะ แผ่ไปทั่วโลกก็ได้แต่มันต้องอย่างถูกต้องด้วย เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาแผ่ไปทั่วโลกนะ มีส่วนที่ไม่ถูกต้อง พูดแล้วก็เหมือนอวดดีอีกแหละ อวดดีอีกแล้ว พูดอวดดีเสียอีกแล้วว่ามันยังไม่ถูกต้อง ยังไม่ถูกต้องถึงที่สุด มันยังมีผิดๆ มันยังถูกตู่ ถูกกุ ถูกปล้น ถูกยักยอก ถูกอะไรก็ไม่รู้ หนังสือบางเล่มก็เขียนพุทธศาสนาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่จริงเป็นศาสนาฮินดูเสียตั้งแยะเลย มันไม่เป็นพุทธศาสนาบริสุทธิ์ผุดผ่อง เราต้องการให้เป็นศาสนาที่ถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง พูดไปเดี๋ยวก็จะเกิดเรื่อง ว่าอย่าว่าทั่วโลกเลย แม้ในเมืองไทยนี่ ทั่วเมืองไทย มันก็ยังมีส่วนที่ไม่ถูกต้อง พูดเบาๆ หน่อย ไม่งั้นจะถูกด่า พูดกระซิบเบาๆว่ามันยังมีส่วนที่ไม่ถูกต้อง มันยังมีส่วนที่ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง นี่มันเป็นอย่างนี้ ความถูกต้อง ถูกต้องนี้ไม่ใช่ของเล็กน้อย แม้จะมีมากมายมหาศาลเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ถ้าไม่ถูกต้องแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ลองดู ลองดูสิ ให้มีพุทธบริษัทตั้งแสนตั้งล้าน แต่ถ้ามันปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้วมันก็ไม่ต้องเสร็จประโยชน์อะไรเลย มีไม่กี่คน แต่ว่ามันถูกต้องทั้งเนื้อทั้งตัวนั่นแหละมันดี เพราะว่ามันมีประโยชน์ เพราะมันดับทุกข์ได้ นั้นขอให้สนใจว่าความถูกต้อง ความถูกต้องนี่แหละสำคัญ จะมุ่งหวังให้มันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ให้มันเป็นลูกหลานให้ถูกต้อง เดี๋ยวนี้เป็นลูกหลานถูกต้องแล้วยัง เป็นลูกหลานแต่เพียงจะรับมรดกเท่านั้นใช่หรือไม่ ตายายว่าต้องการอย่างไรก็ไม่รู้ ฉันต้องการแต่จะรับมรดก นับถือว่าเป็นพ่อเป็นแม่เพียงแต่จะรับมรดก ตายแล้วก็เลิกกัน แล้วก็ทะเลาะกัน ทะเลาะกัน แย่งมรดกกัน ไม่ต้องคิดว่าพ่อแม่จะคิดอย่างไร พ่อแม่จะตายอยู่หยกๆแล้ว มันยังทะเลาะแย่งมรดกกัน มีลูกหลานน่าอัศจรรย์บางคน ที่มันมีจริงนะ ที่ได้ยินเขาเล่านะ มันอยากให้พ่อแม่ตายเร็วๆ มันจะได้มรดก มันอยากให้พ่อแม่ตายเร็วๆ มันจะได้มรดก ลูกหลานอย่างนี้มันก็มีจริง เพราะมันได้ยิน ได้ยิน ได้ยิน แล้วก็มีเหตุผลที่มันจะมีจริง เพราะมันโง่ เพราะมันโง่ เพราะมันไม่มีความถูกต้อง พ่อแม่มีทรัพย์สมบัติเป็นล้านๆ อยากจะตายเร็วๆ แล้วจะได้เอามาแบ่งกัน มันไม่มีความถูกต้อง เราจงเป็นลูกหลานให้ถูกต้อง ฉะนั้นลูกหลานจะถูกต้องมาได้อย่างไร มันต้องบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ถูกต้องเสียก่อนแล้วก็อบรมสั่งสอนลูกหลานให้มันถูกต้อง และมันก็จะค่อยๆถูกต้องขึ้นมา ลูกเกิดมาแล้วบิดามารดาไม่รับอบรมให้รู้ดีรู้ชั่ว มันรู้จักแต่ได้ ได้ กูได้ แล้วก็ดี ถ้าอย่างนี้ระวังเถิดลูกหลานแบบนี้จะเป็นลูกหลานไม่ถูกต้อง มันอยากให้พ่อแม่ตายเร็วๆ จะได้มรดก ถ้าอบรมสั่งสอนลูกหลานให้รู้จักที่ถูกต้องแท้จริงว่าเป็นอย่างไร เป็นอย่างไร ควรจะเป็นอย่างไร มันก็จะได้ประพฤติปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้อง นี่เป็นลูกหลานที่ถูกต้อง แล้วก็ต้องเป็นให้ถูกต้องขึ้นมาจนเป็นบิดามารดาที่ถูกต้อง เป็นปู่ย่าตายายที่ถูกต้อง ถูกต้องกันไปทั้งหมด
เรามีหลักที่จะให้จำกันไว้ง่ายๆ ง่ายๆ ว่าให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา สมกับว่าเป็นบุตรที่ทำให้บิดามารดาสบายใจ ให้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ คือครูบาอาจารย์สอนได้ พาไปได้ นำไปได้ เดี๋ยวนี้มันเป็นศิษย์ที่เลวกันอยู่มาก มันไม่เคารพครูบาอาจารย์ ที่มันจะทำร้ายครูบาอาจารย์เสียก็มี พูดไม่ชอบใจมันก็ด่าครูบาอาจารย์เสียก็มี มันก็ไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ในข้อที่สาม มันต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน คือเพื่อนที่จะชักจูงกันไปในทางทำดี มันมีแต่เพื่อนเล่นเพื่อนกินเท่านั้น มันต้องการจะกิน มันต้องการจะเล่น มันจึงเป็นเพื่อน นั่นมันเพื่อนคดโกง ถ้ามันเป็นเพื่อนที่จะช่วยกันทำความดีให้รอดตัวไป มันก็เป็นเพื่อนที่ดี เป็นเพื่อนที่ถูกต้อง เขาพูดว่าเพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก มันก็ถูกแล้ว เพราะทุกคนมันชอบกิน มันชอบกิน เพื่อนๆกินมันจึงหาง่าย เพื่อนที่จะทำดีกันจนตายมันก็หายาก เพราะไม่มีใครชอบความถูกต้อง เพื่อนที่ดีของเพื่อน ฉะนั้น เรายังจะต้องเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ นี่มัน เดี๋ยวนี้มันก็หายากเหมือนกันแหละ ปากมันว่ารักชาติ แต่ใจมันรักตัวกู มันต้องการหวังจะได้อะไรนั่น ไม่ใช่ว่าต้องการจะให้ มันต้องการแต่จะเอา และมันจะต้องเป็นสาวกที่ดีของศาสนา เป็นพุทธบริษัท สาวกที่ดีของพระศาสนา คือปฏิบัติศาสนาให้ยังมีอยู่ ไม่สูญหายไปจากโลก นี่เป็นสาวกที่ดี ไม่ใช่อาศัยพระศาสนาหากิน หาประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเขาก็เบื่อกันมากขึ้นๆนะ ฟังข่าวดูจากหน้าหนังสือพิมพ์หรืออะไรก็ตาม เขาเบื่อนักบวชที่อาศัยศาสนาหากินกันมากขึ้น หรือว่าแม้แต่ฆราวาสพุทธบริษัทนี่ ไม่เป็นอุบาสกอุบาสิกาโดยแท้จริง เป็นกันสักแต่ว่าปาก เป็นสักแต่ว่าสำหรับเครื่องบังหน้าอะไรอย่างนี้ ไม่มีใครชอบ นี้ข้อที่ห้า เรื่องเป็นสาวกที่ดีของศาสนา หากข้อที่หก จะต้องเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ที่ดี ที่เต็มเปี่ยม ถูกต้องตามความหมายของคำว่ามนุษย์ คือมีจิตใจสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น ไปในทางที่อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง เหนือกิเลส เหนือความทุกข์
หนึ่งเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา
สองเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์
สามเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน
สี่เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
ห้าเป็นสาวกที่ดีของศาสนา
หกเป็นมนุษย์ที่ดีของมนุษย์ มนุษย์ที่เต็ม มนุษย์ที่ถูกต้อง
ถ้าลูกหลานเป็นได้อย่างนี้แล้ววิเศษๆ เป็นลูกหลานที่ถูกต้อง มันจะถูกต้องไปทุกแง่ทุกมุม จะเหลียวไปทางไหนมันถูกต้องหมด จะเหลียวไปทางไหน ซ้ายขวา หน้าหลัง บนล่าง อะไรก็ ถูกต้องไปหมด ขอให้ช่วยกันเป็นลูกหลานที่ดีอย่างนี้เถิด และก็ช่วยอบรมลูกเด็กๆลูกหลานที่มันกำลังออกมานั้นให้มันเป็นลูกหลานที่ดีที่ถูกต้องอย่างนี้ด้วยกันทุกคนเถิด แล้วใครจะสบายใจ ใครจะสบายใจ ก็พ่อแม่นั่นแหละ ปู่ย่าตายายนั่นแหละจะเป็นผู้สบายใจ ถ้ามาเห็นลูกหลานเป็นอย่างนี้ ถ้ามาเห็นลูกหลานอบรมลูกหลานเหลนเป็นอย่างนี้ ก็ยิ่งสบายใจ ทำให้ตายาย สบายใจ คือการตอบแทนพระคุณตายายอันสูงสุด ครั้นเด็กๆเหล่านี้เขาเป็นผู้ที่มีความถูกต้องอย่างที่ว่านี้แล้ว คือทั้งหกประการนี้แล้ว ปัญหามันก็หมด เขาก็ช่วยกันสร้างโลกนี้ สร้างศาสนา สร้างอะไร ให้มันถูกต้อง อยู่กันเป็นผาสุข ไม่มีวิกฤตการณ์เดือดร้อนวุ่นวายอะไร นี่ตายายก็สบายใจ สบายใจจนบอกไม่ถูก ถ้าตายายได้เห็นลูกหลานที่อยู่ข้างหลังเขาทำกันอย่างนี้ ทำกันอย่างนี้ นี่เครื่องสนองคุณตายาย นี่กล้วย ขนม อะไรเหล่านี้ ถ้าสมมติส่งให้ตายายได้ ตายายจะกินได้หรือไม่ ตายายไปเกิดเป็นอะไร จะกินกล้วยได้หรือไม่ จะกินขนมนี้ได้หรือไม่ มันยังไม่แน่ เพราะฉะนั้นมันต้องความดี ความถูกต้อง หรือบุญ หรือกุศล ที่จะทำให้ตายายอิ่มใจ เพราะว่าลูกหลานก็รับมรดกไว้ทุกอย่างทุกประการ มรดกทางวัตถุก็รับไว้อย่างดี เจริญทางวัตถุ มรดกทางธรรม ทางจิต ทางใจ ทางศาสนา ทางอะไร ก็รับไว้อย่างถูกต้อง ตายาย กินได้ ชื่นใจ พอใจ ตายายจะไปเกิดเป็นอะไรก็กินได้ พอใจ ชื่นใจ เพราะว่าได้ความถูกต้องของลูกหลานเป็นอาหาร ทำอย่างไรจะได้เปลี่ยนสิ่งของเหล่านี้ให้เป็นที่พอใจของตายาย คุณคิดหรือไม่ว่าของเหล่านี้ทำอย่างไรจึงจะส่งไปถึงตายายได้ อาตมาคิดว่าไม่มีทางอื่นหรอก ต้องให้พระฉัน ไม่ได้หรอก ไม่ถึงตายายหรอก เพระต้องมีความถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง ให้มันเกิดความถูกต้องขึ้นมาในโลกนี้ ตายายรู้เข้าก็ชื่นใจ ชื่นใจ นั่นแหละตายายกินได้ กินของเหล่านี้ทั้งหมดได้ เพราะว่าของเหล่านี้มันได้ไปเปลี่ยนเป็นความถูกต้องโดยภิกษุสามเณรผู้ประพฤติปฏิบัติสืบอายุพระศาสนา แล้วทว่าการสืบอายุพระศาสนานี้มันทำให้คนสบายใจกันทั้งโลก ตายายก็ยิ่งสบายใจ ยิ่งอิ่ม ยิ่งอิ่มไม่มีที่สิ้นสุด อิ่มอกอิ่มใจ ตายายกินได้ ถ้าจะรักตายายจริงก็ขอให้รักให้มันบริสุทธิ์ ให้มันถูกต้อง ถ้าจะกตัญญูจริงก็ขอให้กตัญญูให้มันถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริตจริง ก็ซื่อสัตย์สุจริตให้มันถูกต้อง คือเป็นที่พอใจ อิ่มอกอิ่มใจแก่ตายาย ตายายหวังให้เรารักษาอะไร สืบอายุอะไรไว้ ก็สืบให้ได้ ข้อสำคัญที่สุดมันก็ต้องรวมเรียกว่า ธรรมะ ธรรมะ
“ธรรมะ” แปลว่าอะไร ทุกคนนั้นรู้ธรรมะอย่างอื่นตามความเข้าใจของตน ธรรมะอย่างนั้น ธรรมมะอย่างนี้ แต่อาตมานี้มีความรู้ มีความเข้าใจ ยึดถือเป็นหลักว่าธรรมะคือ “ความถูกต้อง” ธรรมะคือการกระทำที่ถูกต้องแก่ความดับทุกข์ การประพฤติหรือการกระทำที่มันถูกต้องแก่การดับทุกข์ คือดับทุกข์ได้นั้นแหละคือธรรมะ เดี๋ยวนี้เขาไปมีธรรมะกันที่อื่น มีการธรรมะที่พิธีรีตอง ทำบุญให้ทานอะไรก็ตามใจ ไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไปทำไมด้วยซ้ำไป ทำบุญนี่ไม่รู้ว่าทำไปทำไมด้วยซ้ำไป ไม่รู้ว่าจะเป็นบุญอย่างไร แต่ทำบุญเพราะรู้สึกว่าอาจจะได้กำไร จะได้กำไร จะได้เป็นกำไรเกินควร ตักบาตรสักช้อนหนึ่ง ได้วิมานหลังหนึ่ง คิดดูสิ ตักบาตรช้อนเดียวก็พอ แล้วไม่ต้องทำอะไรจนตาย ตักบาตรสักช้อนหนึ่ง ได้วิมานหลังหนึ่ง มันกำไรเกินควรกี่เท่า กำไรเกินควรกี่ร้อยเท่า กี่พันเท่า ถ้าทำบุญจะคิดว่าอย่างนี้แล้วไม่ถูกต้อง มันยังไม่ถูกต้องหรอก เพราะมันทำเพื่อเห็นแก่กิเลส เพื่อเห็นแก่ได้ มันไม่ได้ดับกิเลส ถ้าถูกต้องมันต้องลดกิเลส มันต้องลดความเห็นแก่ตัว ช่วยจำไว้เถิดว่าถ้ามันถูกต้องแล้วมันไม่เป็นโทษอะไรขึ้นมา แล้วก็จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายและทุกคน ไม่เป็นโทษแก่ใคร แต่จะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายและทุกคน ทำบุญตักบาตรช้อนหนึ่ง ได้วิมานหลังหนึ่ง ได้ประโยชน์แก่ใคร คิดดู ได้ประโยชน์แก่ใคร ตัวเองก็จะเป็นบ้านั่น ตัวเองแท้ๆจะกลายเป็นคนบ้า พอได้วิมานหลายหลังเข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บ้าเลย วิมานแต่ละหลังๆ ก็มีบริวารมากมาย ทำบุญสิบช้อน วิมานสิบหลังก็บ้าเลย ขออย่าได้คิดว่าทำบุญนี้เพื่อกำไรๆๆ เกินควรกันแบบนี้ ทำบุญนี้ต้องให้มันเกิดความถูกต้อง แล้วมันดับทุกข์ได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็ว่าให้มันละกิเลส ไม่ใช่มันเพิ่มกิเลส ถ้าทำบุญตักบาตรช้อนหนึ่งได้วิมานหลังหนึ่ง คุณช่วยคิดดูว่ามันเพิ่มกิเลสหรือมันลดกิเลส คิดกันตรงๆ คิดกันง่ายๆ ทำบุญช้อนเดียวได้วิมานหลังหนึ่งนี่ แล้วเต็มไปด้วยบริวารในวิมานนั้น มันเพิ่มกิเลสหรือมันลดกิเลส ถ้ามันเพิ่มกิเลสแล้วมันจะเป็นอย่างไร มันจะดับทุกข์ หรือมันจะเพิ่มทุกข์เล่า มันไม่ถูกเสียแล้วกระมัง มันต้องทำบุญชนิดที่มันลดกิเลส ทำบุญชนิดที่ลดความเห็นแก่ตัว ทำบุญที่ลดความเห็นแก่ตัว นั้นแหละบุญแท้ต้องลดความเห็นแก่ตัว ถ้าเพิ่มความเห็นแก่ตัวไม่ใช่บุญแท้ บางทีก็ไม่ใช่บุญเสียด้วย ถ้าทำแล้วมันเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันจะไม่ใช่บุญแท้หรือไม่ใช่บุญ ต้องลดความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวนี่คือความเลวร้ายที่สุด เป็นอันตรายที่สุด เห็นแก่ตัว มันก็ฆ่าเขา ประทุษร้ายชีวิตและร่างกายเขา เห็นแก่ตัวมันก็ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติเขา ขโมยของเขา เห็นแก่ตัวมันก็ละเมิดประทุษร้ายของรักของผู้อื่น ทำกาเม เป็นต้น เห็นแก่ตัวมันก็โกหกเป็นพยานเท็จ เป็นอะไร เห็นแก่ตัวมันก็กินเหล้าให้ผู้อื่นรำคาญ สูบบุหรี่ให้ผู้อื่นรำคาญ มันทำอะไรๆที่เป็นของเมาให้ตัวเอง สิ้นสติสมประดี ข้อนี้เราเรียกว่าประทุษร้ายสติสมประดีของตนเอง ถือศีล ๕ ให้รู้จักหัวใจของศีล ๕ อย่าถือเอาอย่างงมงาย คับแคบ แล้วก็มีข้อแก้ตัวเสมอ
ศีลข้อที่ ๑ ไม่ประทุษร้ายร่างกายและชีวิตของผู้อื่น พอหรือไม่ ไม่ประทุษร้ายชีวิตร่างกายของใคร ใครทั้งหมดทั้งสิ้น พอแล้วข้อเดียวเท่านั้น ไม่ต้องแจกเป็นฆ่า เป็นแกง เป็นอะไร ไม่ประทุษร้ายชีวิตหรือร่างกายให้เขาตาย ให้เขาเจ็บปวด ข้อที่ ๒ ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้ใด ไม่ขโมยของเขา ไม่ยักยอกของเขา ไม่ทำให้ของเขาเสียหาย ข้อที่ ๓ ไม่ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น ทุกคนมีของรักทั้งนั้น แม้เด็กเพิ่งโตมันก็มีของรัก ไม่ใช่เรื่องชู้สาว แต่มันก็มีของรัก อย่าไปประทุษร้ายของรักให้มันเสียใจ ยิ่งเป็นเรื่องขั้นชู้สาวด้วย เป็นของรักขั้นนั้น ก็ยิ่งโกรธแค้นมากเสียใจมาก ของรักทุกระดับต้องไม่ไปประทุษร้ายของเขา อย่าไปประทุษร้ายความเป็นธรรม ความถูกต้อง ความชอบธรรมของเขา ด้วยคำเท็จ ด้วยของเท็จ นี่เรียกประทุษร้ายความยุติธรรมของผู้อื่น และข้อที่ ๕ ประทุษร้ายสติสมประดีของตัวเองให้มันกลายเป็นคนบ้า สติสมประดีมันมีอยู่ดีๆ เอาของเมาเข้าไป มันก็ประทุษร้ายสติสมประดีกลายเป็นคนบ้า เป็นคนเมา เป็นคนหลง เป็นคนทำอะไรผิดหมด นี้เพราะความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ทั้ง ๕ นี้มันไม่มี ไม่เกิดหรอก ถ้าคุณถือศีลตัวเดียว ถือศีลไม่เห็นแก่ตัวเถิด ศีลทั้งหมดกี่ ๑๐ สิบกี่ ๑๐๐ มาหาหมดแหละ ที่วิทยาศาสตร์สมัยนี้ สมัยวิทยาศาสตร์อย่างนี้ ถือศีลข้อเดียวพอ ไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันจะมีครบ ๕ ครบ ๘ ครบ ๑๐ ครบ ๒๒๗ ๓๑๑ หมดเลย ไม่เห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละ แล้วก็ถ้าอยากจะเพิ่มอีกสักข้อก็ได้เหมือนกัน ตั้งใจว่าเราจะทำให้ผู้อื่นสบายใจ ศีลข้อนี้ ว่าเราจะทำให้ผู้อื่นสบายใจ อย่างน้อยวันละครั้ง จะทำให้ผู้อื่นสบายใจ ให้เขาสบายใจอย่างใดก็ตาม เขาเป็นสุขอย่างใดก็ตาม ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เอาข้าวให้มดกินก็ได้ มันก็ยังได้สบายใจ จะมีหลักว่าเราจะต้องทำให้ผู้อื่นหรือสัตว์อื่นสบายใจ ให้หมาให้แมวกินก็ได้ ช่วยคนด้วยกันได้ก็ยิ่งดี ช่วยพระศาสนา ช่วยโลก ช่วยอะไรก็ได้ก็ยิ่งดี ให้มันสบายใจ นี่ถ้าลูกหลานชั้นยุคปรมาณูนี่ถือศีล ๒ ข้อพอ ไม่เห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง และก็ตั้งใจทำให้ใครสบายใจอยู่เรื่อยไปอีกข้อหนึ่ง โลกนี้ก็เป็นโลกพระศรีอาร์ย หรือยิ่งกว่าโลกพระศรีอารย์เสียอีก
ลูกหลานจะเอาหรือไม่ ลูกหลานตายาย มาถึงยุคนี้ มาถึงขั้นนี้แล้วจะเอากันหรือไม่ ยึดความถูกต้องเป็นหลัก ถ้าถูกต้องก็ไม่เห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่เกิดปัญหาใดๆทั้งสิ้น นี่ปัญหาทุกอย่างมันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว เช่น มันขี้เกียจ ขี้เกียจทำงาน นั่นมันก็เห็นแก่ตัวนะ มันนอนเสียไม่ไปไถนา มันเห็นแก่ตัว ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว มันก็ขยันทำงานกันทั้งนั้นแหละ แล้วปัญหาทางเศรษฐกิจมันก็ไม่มี ที่มันไปหาความเพลิดเพลิน อบายมุขทั้งหลาย เพลิดเพลินอย่างโง่เขาเบาปัญญา มันหลอกลวงทั้งหลายก็เพราะเห็นแก่ตัว พอไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีใครทำอบายมุขหรอก ที่มันเบียดเบียน เบียดเบียนกันจนอันธพาลเต็มไปทั้งท้องถนน เต็มไปทั่วหองระแหง เป็นอันธพาลไปหมดก็เพราะมันเห็นแก่ตัว ที่มันฉ้อโกงกันระดับไหนก็ตาม ระดับประชาชน ระดับรัฐบาล หรือระดับไหนก็ตาม ถ้ามีการฉ้อโกงนะก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ในโลกนี้มันมีความเห็นแก่ตัวมาก มันจะครองโลก มันคิดจะครองโลก มันก็สร้างอาวุธปรมาณูบ้าง อะไรบ้าง มันจะครองโลก ก็เพราะเห็นแก่ตัว ไม่รักผู้อื่นเลย พอไม่เห็นแก่ตัว มันก็รักผู้อื่น รักความถูกต้อง รักธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้อง ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็รักกิเลส ไม่เห็นแก่ตัวมันก็รักธรรมะ รักความถูกต้อง ทุกอย่างก็ถูกต้อง ถูกต้องทางกาย ถูกต้องวาจา ถูกต้องทางจิต ถูกต้องทางอะไรถูกต้อง มันก็ไม่มีปัญหา ความไม่เห็นแก่ตัวคือความถูกต้อง พูดโดยใจจริงโดยบริสุทธิ์ใจกันจริงๆ ใครกล้าตัดสินหรือไม่ว่าปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วกับลูกหลานที่ยังอยู่ เดี๋ยวนี้ใครเห็นแก่ตัวมากกว่ากัน ลูกหลานที่อยู่เดี๋ยวนี้เมื่อเปรียบกับตายายที่ตายไปแล้ว ใครเห็นแก่ตัวมากกว่าใคร ใครกล้าตัดสินหรือไม่ อาตมาเชื่อเอาตามเหตุผลว่า ไอ้ลูกหลานเดี๋ยวนี้มันเห็นแก่ตัวมาก เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่ามันมีสิ่งยั่วให้เห็นแก่ตัวมาก ในยุคปู่ย่าตายายนี้มันไม่ค่อยมีอะไรจะยั่วให้เห็นแก่ตัว เห็นแก่กิเลส สมัยตายายมันมี มีโทรทัศน์หรือไม่ ตายายก็ไม่ต้องการเงินมาซื้อโทรทัศน์ดู ก็ไม่ต้องเห็นแก่ตัวในข้อนี้ สมัยลูกหลานมีโทรทัศน์ มีดนตรี มีอะไรสารพัดอย่าง ซึ่งมันยั่วความเห็นแก่ตัว ดังนั้น เราพูดได้โดยกำปั้นทุบดินไม่ผิดว่า สมัยลูกหลานนี้มีแต่ความเห็นแก่ตัวมาก สมัยปู่ย่าตายายเห็นแก่ตัวน้อยเพราะมันไม่มีอะไรยั่วให้เห็นแก่ตัว แล้วตัวมันก็อยู่อย่างง่ายๆอย่างเงียบๆเรียบๆ มันก็ไม่ต้องเห็นแก่ตัวมาก ถูกหรือไม่ถูก สมัยปู่ย่าตายายมีความเห็นแก่ตัวน้อย สมัยลูกหลานมีความเห็นแก่ตัวมาก ถ้ามีความเห็นแก่ตัวน้อยมันจะเบียดเบียนกันมากหรือน้อย ถ้ามันเห็นแก่ตัวน้อยมันจะเบียดเบียนกันน้อย ถ้ามันเห็นแก่ตัวมาก มันก็ต้องเบียดเบียนกันมาก ดังนั้น การเบียดเบียนสมัยลูกหลานนี้มันจึงมีมาก มันจึงมีมาก เป็นอย่างไร เป็นลูกหลานที่ดีของตายายหรือเป็นลูกหลานที่เลวของตายาย เพราะไม่สามารถจะรักษาสถานะที่ถูกต้องอย่างที่ตายายเคยมีไว้ได้ ตายายเป็นอยู่อย่างถูกต้อง เป็นอยู่อย่างถูกต้อง เป็นอยู่อย่างพอดี ไม่เกินดี ตายายไม่ได้กินดีอยู่ดี ตายายกินอยู่แต่พอดี มีความถูกต้อง ลูกหลานรักษาไว้ได้หรือไม่ ลูกหลานรักษาไว้ได้หรือไม่ ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ก็หมายความว่ามันเลวกว่าตายาย ระดับการเป็นอยู่การประพฤติภูมิธรรมทางจิตใจ มันก็เลวหรือต่ำกว่าตายาย นี่เอามานึกกันดู เพราะเราจะต้องต่อสู้ในเรื่องนี้มากกว่าตายาย เพราะว่าตายายไม่มีเครื่องยั่วกิเลสมากเหมือนยุคลูกหลาน ลูกหลานมันเกิดมาในยุคที่มีกรรม มีบาป โลกมันเจริญด้วยวัตถุ สร้างสรรค์วัตถุยั่วยุยวนกิเลสทั่วไปทุกหองระแหง จนเด็กๆเมื่อเกิดขึ้นมาก็เมา เมาความเจริญทางวัตถุ ไม่รู้ว่าดีชั่วอย่างไร มันก็ยากเหมือนกันที่จะดำรงความถูกต้อง มันก็เป็นภาระหนักของเด็กๆเหล่านั้น แล้วก็เป็นภาระหนักของบิดามารดาที่จะควบคุมรักษาป้องกันอย่าให้ลูกเด็กๆของเราไปตกเป็นเหยื่อของสิ่งที่ยั่วยวนเหล่านั้น
นี่คือสิ่งที่เราจะต้องนึกกันให้ดีๆว่าตายายฝากศาสนาไว้กับเรา เราจะสามาารถรักษาไว้ได้หรือไม่ ถ้าเราไม่ยึดถือความถูกต้องเป็นหลักแล้ว ไม่มีทางหรอก มันค่อยโน้มเอียงไปทางผิดโดยไม่รู้ตัว ก็กลายเป็นเรื่องหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นตกหลุมอบาย ความทุกข์ ความลำบาก ความยุ่งยาก ยิ่งกว่าสมัยตายาย เดี๋ยวนี้คิดดู มันมีอะไรที่ต้องใช้เงินซื้อมันมากนัก แล้วส่วนมากมันก็เป็นเรื่องเกินทั้งนั้น เรื่องสวยเรื่องงาม เรื่องสนุกสนาน เรื่องเอร็ดอร่อย จะเกือบทั้งนั้นที่ต้องซื้อแพงๆ เรื่องที่ถูกต้องหรือสงบสุขนั้นมันไม่ค่อยต้องซื้อหรอก เพราะมันทำเอาได้โดยไม่ต้องซื้อ นิพพานให้เปล่าไม่มีใครเชื่อ ถ้าต้องการนิพพานไม่ต้องลงทุนแม้แต่สักสตางค์หนึ่ง ขอให้ปฏิบัติความถูกต้อง ดับกิเลสให้ได้ ก็เป็นนิพพาน แต่ถ้ามันต้องการความเอร็ดอร่อย สนุกสนานทางเนื้อทางหนัง แล้วมันต้องซื้อ โทรทัศน์เครื่องหนึ่งตั้งพัน ตั้งหมื่น มันก็ซื้อ ซึ่งตายายไม่มีปัญหาอย่างนี้ ไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้า ไม่ต้องเสียค่าแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่ต้องเสียค่าอะไรต่างๆ สารพัดอย่างที่มันเกินจำเป็น เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเกินจำเป็นคืออย่างไร เพราะไปวาดไว้สูงว่า ต้องการสูงมันก็เห็นเป็นไม่เกินจำเป็นหมด พอดีเสียหมด หรือจำเป็นไปหมด นี่อวิชชากำลังครอบงำ บิดามารดาต้องรู้จักความพอดี ความถูกต้อง ความจำเป็นหรือเกินจำเป็น หรือไม่จำเป็น จะได้ดำรงความถูกต้องไว้ได้
เราเกิดมาในยุคนี้ มีบาปกรรมยิ่งกว่าเกิดในยุคตายาย เพราะว่ามันมีสิ่งยั่วของมัน มีกิเลสยั่วของมัน มันมาก มากกว่าสมัยตายาย เราต้องต่อสู้มาก จนต่อสู้ไมได้ ส่วนมากก็พ่ายแพ้ไป มีความทุกข์มากกว่าสมัยตายาย ก็เลยต้องถือว่าสมัยนี้ เกิดมามีบาปกรรมยิ่งกว่าสมัยตายาย ตายายก็สบายหน่อยไม่ต้องทำงานมากเหมือนคนสมัยนี้ ไม่ต้องยุ่งยากลำบากเหมือนสมัยนี้ ไม่ต้องมีเรือบินใช้ อย่าว่าแต่เรือบินเลย รถจักรยานก็ไม่ต้องใช้ ก็อยู่ได้ก็สบาย ไม่ตาย อยู่ได้ สมัยนี้มันต้องใช้ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่มีรถเครื่องแล้วมันแทบจะอยู่ไม่ได้ แล้วมันจะต้องทำงานเท่าไร หาเงินเท่าไร มันต้องยุ่งเท่าไร จะไม่เรียกว่าบาปกรรมอย่างไรเล่า ชีวิตที่มีบาปกรรมยิ่งกว่าสมัยปู่ ย่าตายาย แก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้ บิดามารดาแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ คือมันถูกต้อง มันพอดี ไม่ใช่ว่าจะให้ปฏิเสธหรือเลิกเสียเลย แต่ว่าขอให้มันทำแต่พอดีที่มันถูกต้องหรือพอควร อย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ได้อยู่สบาย เอาไม่ตายด้วยกันแหละ แล้วก็พอสะดวกสบายด้วยกันแหละ อย่าให้มีความทุกข์เกินจำเป็น นี่มามองปัญหาว่า สมัยตายายกับสมัยลูกหลานนี่ ปัญหามันต่างกันมาก ตายายก็หวังเหลือเกินว่าให้ลูกหลานอยู่สบาย แต่ลูกหลานก็ดูจะหมดปัญญาหรือความสามารถที่จะอยู่สบาย พอตายายมาเห็นสภาพอย่างนี้ ตายายจะรู้สึกอย่างไร จะยิ้มออกหรือไม่ ตายายคงยิ้มไม่ออก กลับสงสารลูกหลานเสียอีก ยิ้มไม่ออก ลูกหลานทำอย่าให้ตายายต้องคับอกคับใจ เสียใจเลย ให้ตายายยิ้มได้ ยิ้มได้ ก็ดี พยายามทำความถูกต้อง รักษาความถูกต้อง ก็คือมีธรรมะ ธรรมะและความถูกต้อง
ความถูกต้องคือธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้อง ไม่ใช่ว่าธรรมะอยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในโบสถ์ อยู่ในวัด อยู่ในธรรมะ มันอยู่ที่ความถูกต้อง อยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่กาย วาจา ใจ ของคนแต่ละคนๆนั่น ธรรมะอยู่ที่นั่น ธรรมะไม่ได้อยู่ในตู้พระธรรม ธรรมะไม่ได้อยู่บนธรรมมาสน์ ธรรมะไม่ได้อยู่ที่อื่น นอกจากว่ามันอยู่ที่เนื้อที่ตัวของบุคคลผู้มีการกระทำอย่างถูกต้อง นั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะ จงมีธรรม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ด้วยการระวังให้มันเกิดความถูกต้อง ถูกต้องอยู่ที่การกระทำ แม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆก็ให้มันถูกต้องเถิด จะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนอน จะเปลี่ยนอิริยาบถให้มันถูกต้อง มันเป็นธรรมะทั้งนั้น ถ้าจะทำนา จะขุดดินอยู่ จะไถนาอยู่อะไร ก็ให้มันเกิดความถูกต้อง มีความถูกต้องอยู่ที่นั่น ทำสวนก็เหมือนกัน ค้าขายก็เหมือนกัน ทำราชการ ทำกรรมกร ทำอะไรก็สุดแท้ให้มันรู้สึกว่ามันมีความถูกต้องอยู่ที่การการะทำ อย่าให้มีความคดโกง หลอกลวงผิดพลาดอยู่ที่การกระทำ พอเห็นว่ามันมีความถูกต้อง มันก็พอใจ มันก็พอใจ มันก็สบายใจ ชาวนาขุดดิน ฟันจอบลงไปทีหนึ่ง ถ้ามันรู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้อง มันก็พอใจ มันก็พอใจ เป็นสุขเมื่อฟันดินอยู่ทุกครั้งที่ฟัน เพราะมันเห็นความถูกต้อง ถูกต้องคือธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้อง มันเห็นความถูกต้องอยู่ที่นั่น มันก็พอใจและเป็นสุข เหงื่อออกมาก็เป็นน้ำมนต์ รดเย็นฉ่ำไปเลย เหงื่อที่ออกมาจากความถูกต้อง ทีนี้ ถ้ามันไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ โอ้ย, มันไม่ไหวเลย จะมาขุดดินอยู่ทำไม ไปจี้ปล้น ไปขโมยดีกว่า ทีเดียวรวย คนอย่างนี้มันก็เลือกไปจี้ไปปล้น คนอย่างนี้ทำงานไม่ได้เพราะเหงื่ออกมามันร้อน เป็นน้ำร้อน เหงื่อไม่เป็นน้ำมนต์ ฉะนั้น จงทำให้ว่า บอกให้แก่ตัวเองว่าถูกต้อง ถูกต้อง ทุกลมหายใจเข้าออก ข้อนี้ทำได้โดยมีสติสัมปชัญญะ ก่อนแต่ที่จะทำ ระลึกว่าต้องถูกต้องที่สุด ถูกต้องที่สุด คือดีที่สุดที่ฉันจะทำได้ ไม่ว่าทำอะไรก็ทำเถิด จะรู้สึกพอใจและเป็นสุขทั้งนั้น จะล้างถ้วยล้างชาม จะกวาดบ้าน จะถูเรือน ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาที มีสติสัมปัชชัญญะ ทำให้รู้สึกว่ามันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้องเถิด แล้วมันจะพอใจ แล้วมันจะเป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างถ้วยล้างชาม กวาดบ้านถูเรือน ใครทำได้ ใครทำได้ ใครเคยทำอย่างนี้ หรือตัวเองไม่อยากจะทำใช่หรือไม่ อยากจะให้คนอื่นทำ หรือทิ้งให้มันสกปรกรุงรัง แล้วมันก็ไม่ได้ความสุขด้วย แล้วมันก็เสียหายด้วย มีสติสัมปัชชัญญะ ทำทุกอย่าง นี่ยกตัวอย่างที่มันทำได้ แล้วมันไม่ทำ มันเสียไปเปล่าๆ มันควรจะได้ความสุขพอใจ ชื่นใจ ตลอดเวลาที่ล้างถ้วย ล้างชาม กวาดบ้าน ถูเรือน มันก็ไมได้ แล้วมันก็ทำด้วยโมโหโทโส ด่าคนนี้ไปพลาง บ่นคนโน้นไปพลาง อย่างนี้มันก็ตกนรกไปพลาง ล้างถ้วยล้างจานไปพลาง ถ้ามันพอใจ ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ มันก็เป็นสุขไปพลาง เป็นสุขไปพลาง ล้างถ้วยล้างชามไปพลาง แล้วอีกอย่างมันมีสวรรค์ ขึ้นสวรรค์ไปพลาง ล้างถ้วยล้างจานไปพลาง ทำอย่างเดียวกันแท้ ทำอย่างเดียวกันแท้ๆ คนหนึ่งตกนรกไปพลาง คนหนึ่งขึ้นสวรรค์ไปพลางเพราะว่าคนหนึ่งมันไม่มีความถูกต้อง มันไม่มีความรู้สึกว่าถูกต้อง คนนี้มันมีความรู้สึกว่าถูกต้อง พอใจ ชื่นใจตัวเอง มันถูกต้องไปหมด
ขอพูดไว้อย่างนี้ ย้ำๆทีว่าตื่นนอนขึ้นมา ล้างหน้าถูฟัน มีจิตใจอยู่ที่นั่น สติสัมปัชชัญญะอยู่นั่น ทำดีที่สุด ทำดีที่สุด รู้สึกว่าทำดีที่สุดก็พอใจ พอใจก็เป็นสุข เลยเป็นสุขตลอดที่ล้างหน้าและถูฟันทุกวัน ทุกวัน ใครมันทำได้ ทว่าเมื่อมันล้างหน้าถูฟัน จิตใจมันอยู่ที่ไหน มันโกรธอะไรใครอยู่ กิเลสอะไรมันครอบงำมันอยู่ มันล้างหน้าถูฟันไปพลาง มันก็ไม่สามารถที่จะล้างหน้าถูฟันไปพลางเป็นสุขไปพลาง หรือมันจะไปอาบน้ำก็เหมือนกัน ถ้ามันทำด้วยความรู้สึกอย่างนี้ มันเป็นสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ เดี๋ยวนี้มันก็ทำไปโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งนั้น ไม่ได้รับความสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ อย่างต่ำที่สุดที่จะไปถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ตั้งใจทำให้มันถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว ทุกเวลา มันจะถ่ายสะดวกหรือถ่ายไม่สะดวก อะไรก็ตามใจ ตั้งใจทำให้มันดีที่สุด ให้มันถูกต้องที่สุด มันก็จะพอใจ มันก็มีความสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ใครเคยได้รับ เปล่าเลย มันทะเลาะกับอุจจาระ มันก็ไม่มีทางที่จะมีความสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ยกตัวอย่างขนาดนี้ มันกินอาหาร สติสัมปัชชัญญะทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาทีถูกต้อง ตักข้าวใส่จาน ตักข้าวใส่ปาก จะเคี้ยวจะกลืนอะไรให้มันถูกต้อง ถูกต้อง ถ้าจะบอกตัวเองว่าถูกต้อง ถูกต้อง มันก็พอใจ อิ่มใจเป็นสุขตลอดเวลาที่รับประทานอาหาร ไม่ต้องโกรธนั่น ไม่ต้องโกรธนี่ จะอร่อยก็ตาม ไม่อร่อยก็ตาม มีแต่ถูกต้องและพอใจ ถ้าไม่อร่อยมันก็เช่นนั้นเอง ถือว่ามันเป็นอาหารอีกอย่างหนึ่ง มันมีรสอีกอย่างหนึ่ง ไม่ต้องขัดใจ มันก็พอใจและถูกต้องได้ ถ้าว่าแตงโมลูกนี้มันไม่หวาน ก็คิดว่ามันพันธุ์นั้นเอง มันพันธุ์หนึ่ง มันอีกพันธุ์หนึ่ง รสมันอย่างนี้ ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องขัดใจ ถ้าส้มลูกนี้มันเปรี้ยว พันธุ์มันอย่างนี้ ไอ้ลูกนี้ไม่ต้องขัดใจ มันมีแต่ความถูกต้องและพอใจ นี่เรื่องประจำวันแท้ๆ ไม่มีทุกข์เลย มีแต่ความถูกต้องและพอใจ
ที่นี้ เรื่องทำงานอาชีพ ทำนา ทำสวน จะทำอะไรก็ตาม ทุกกระเบียดนิ้วของการงาน ตั้งใจทำด้วยสติสัมปัชชัญญะ ให้บอกตัวเองได้ว่าฉันทำดีที่สุด ถูกต้องที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วมันก็พอใจของมันเอง พอใจก็เป็นสุข นี่อัตโนมัติ ถ้าให้บอกตัวเองได้ว่าถูกต้องและพอใจ ถูกต้อง และพอใจ แล้วมันก็เป็นสุขโดยอัตโนมัติ กอบโกยความสุขได้ทุกๆวินาที ทุกๆอิริยาบถ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะทำงานอะไร แม้ที่สุดเราจะเป็นกรรมกรแบกหาม เหงื่อไหลอยู่ท่วมตัว ถ้าในใจมันบอกตัวเองได้มันถูกต้องแล้ว มันเหมาะสมกับฐานะของเราแล้ว มันอยู่ในฐานะที่ต้องทำอย่างนี้ มันถูกต้องแล้ว มันก็พอใจแหละ เหงื่อก็กลายเป็นน้ำมนต์เยือกเย็นไปแล้ว ถ้าจะเป็นกรรมกรอาบเหงื่อ กรรมกรแบกหาม กรรมกรแจวเรือจ้าง จะถีบสามล้อ จะล้างท่อถนน มันก็มีความสุขได้ ถ้ามันรู้จักใช้ธรรมะ มีความถูกต้อง บอกได้แก่ตนเองว่ามันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ทีนี้ ทำอยู่อย่างนี้ มันไม่ผิดพลาด กิจการมันเจริญ มันก็จะพ้นจากความเป็นลูกจ้าง พ้นจากความเป็นกรรมกรที่ทำงานหนัก แม้ว่าจะเป็นขอทานอยู่ ไม่เท่าไรมันก็จะพ้นจากความเป็นขอทาน เพราะมันทำหน้าที่ได้ดี มีผลดีเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น มันพอใจและเป็นสุขตั้งแต่ระดับต่ำสุดขึ้นมา อย่างสูงสุดมัน ก็พอใจหรือถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง จนมาเป็นคนมีทรัพย์สมบัติ เป็นเศรษฐีก็ได้ จากคนขอทานมากลายเป็นเศรษฐี มันก็มีความพอใจถูกต้องตลอดกาล และใครมันเคยใช้ ใครมันเคยทำ ใครมันเคยยึดหลักนี้ มันมีแต่หวังวิมานในอากาศทั้งนั้น และมันก็ทรมานใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ประสบความสำเร็จเสียโดยมากทั้งที่มันอยากประสบความสำเร็จ ทีนี้ เมื่อมันไม่ประสบความสำเร็จทันเวลา มันก็ใช้วิธีโกง วิธีคดโกง อันธพาล แล้วก็จะไปจบกันอย่างไรก็ดูเอาเอง ถ้ามันใช้วิธีอันธพาลคดโกง
กฎของความถูกต้องนี้ หลอกลวงไม่ได้ ปากหลอกลวงได้ แก้ตัวได้ แต่ว่ามันจะหลอกลวงข้อเท็จจริงของธรรมชาติไม่ได้ หรือว่าเราจะพูดว่าหลอกลวงมนุษย์ด้วยกันได้ แต่เราจะไปหลอกลวงยมบาลนี้คงไม่ได้ อย่าไปคิดอาศัยความหลอกลวงเป็นที่พึ่งเลย อาศัยความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องก็ไม่ใช่ธรรมะ ถ้าเป็นธรรมะมันต้องถูกต้อง ธรรมะมันคือสิ่งที่ทรงผู้ปฏิบัติไม่ให้พลัดตกลงไป นั่นแหละมันจึงถูกต้องสำหรับส่งการที่ส่งผู้ปฏิบัติไว้ไม่ให้พลัดตกลงไป ถ้ามันไม่ถูกต้องในเรื่องนี้ มันก็ไม่ใช่ธรรมะ คือ มันไม่ถูกต้องนั่นแหละ มันจะมีธรรมะหรือหน้าที่ ธรรมะกับหน้าที่นี้เป็นสิ่งเดียวกัน หน้าที่ก็คือการกระทำที่ถูกต้องเพื่อความรอด ธรรมะคือการกระทำที่ถูกต้องคือความรอด จะเรียกเป็นบาลีหรือจะเรียกเป็นไทยก็แล้วแต่ มันหมายถึงการกระทำที่ถูกต้องแก่ความรอด เมื่อมีความถูกต้องมันก็ต้องมีความรอด ที่มันจะผิดพลาดไปบ้างครั้ง ก็ไม่เป็นไร มันเป็นอย่างนั้นเอง ๙ ครั้ง ๑๐ ครั้งผิดพลาดไปสักครั้งก็ไม่เป็นไร มันยังถูกต้องอยู่ตั้ง ๗ ครั้ง ๘ ครั้ง มันก็ดีขึ้นๆ แล้วอย่าเข้าใจผิดจนเกลียดความพลาดพลั้งหรือผิดพลาดนะ นี่เป็นความลับที่สุดอันหนึ่งนะ ช่วยฟังให้ดีๆว่าความผิดพลาด ขาดทุนเสียหายนั้น ความพลาดนั้น มีค่ายิ่งกว่าที่ได้กำไรเสียอีก ก็ได้กำไรมันทำให้เหลิง ให้หลง ให้บ้า ให้เมา ในความผิดพลาดขาดทุนมันเจ็บปวด มันสอนให้คิดใหม่ ให้ฉลาดขึ้นมาใหม่ ให้ลึกซึ้งกว่าเก่า ความผิดพลาดมันเป็นอาจารย์ที่ดี แต่เราไม่ต้อนรับมันอย่างอาจารย์นี่ ไปสาปแช่งมันแล้วก็เป็นบ้าเสียเอง ถ้ามันเกิดความผิดพลาดขาดทุนอะไรขึ้นมา ต้อนรับมัน ในฐานะที่เป็นอาจารย์ เพราะมันมาสอน เมื่อไม่ยอมรับก็ตามใจสิ ฉันมาสอนให้แกรู้จักทำให้ถูกต้อง แก้ปัญหา ให้มันได้ ให้มันละเอียดละออ ให้มันสุขุมรอบคอบ ไอ้ที่ว่าขาดทุนเสียหายกลายเป็นเรื่องได้ ได้ยิ่งกว่ากำไรเสียอีก นี่แต่ไม่มีใครมองอย่างนี้ใช่หรือไม่ ไปนั่งบนผีสางเทวดาอย่าให้ขาดทุน อย่าให้ขาดทุน ใช้แก้ปัญหาด้วยไสยศาสตร์ ไม่แก้ปัญหาด้วยความจริง หรือของจริงที่ว่าทำให้มันถูกต้อง เมื่อมันไม่ถูกต้อง เป็นธรรมดามันก็ต้องผิดพลาด มันก็ต้องได้รับผลตรงข้าม แต่ต้อนรับไว้เป็นครู เพื่อฉลาดยิ่งๆขึ้นไป คนนี้เลยกลายเป็นคนวิเศษ พิเศษมีแต่ได้ ไม่มีเสีย เขาจะทำอะไรๆกี่อย่างมีแต่ได้ ไม่มีเสีย กำไรก็ได้ ขาดทุนก็ได้ ผิดไปก็ได้ ถูกไปก็ได้ มันมีแต่ได้ เป็นมนุษย์พิเศษ มีแต่ได้ ไม่มีเสีย ต้อนรับความผิดพลาดหรือความทุกข์ในฐานะที่มันมาสอนให้ฉลาด กลายเป็นของได้ ได้ ได้ยิ่งกว่ากำไรหรือความสุขไปเสียอีก เรารู้จักประโยชน์ของมันบ้างที่ว่าความฉลาดของเรานั่นมันเกิดมาจากอุปสรรค หรือความผิดพลาดทั้งนั้น เรามีอุปสรรคทีหนึ่ง เราก็ฉลาดกว่าเดิมขึ้นทีหนึ่ง เราก็ได้รับประโยชน์ได้รับคุณค่าจากความผิดพลาด หรืออุปสรรค หรือความทุกข์ ต่อให้เป็นความเจ็บไข้ เจ็บไข้ มาดูโอ้นี่มันทำให้เรารู้จักแก้ไข รู้จักรักษา รู้ความจริงของธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันมาสอน มาให้ประโยชน์นะ ความเจ็บไข้ ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะความเจ็บไข้ ยินดีต้อนรับ ย่อมฉลาดเพราะความเจ็บไข้ ความทุกข์ก็มาสอนให้ฉลาด ความสุขก็มาชวนให้เหลิงเจิ้ง ดูให้ดีๆ ไอ้ความได้อย่างใจ เอร็ดอร่อย สนุกสนานชนิดนั้นชวนให้เพ้อ ให้เหลิงเจิ้ง ให้ประมาท ให้มัวเมา ความทุกข์นี่มันสอนให้ฉลาด ให้คิดเสียใหม่ให้ดีๆ แต่คนไม่ต้อนรับ กลับเห็นเป็นของร้ายกาจ ด่าว่า สาปแช่ง ทะเลาะ แล้วก็ความชั่วหรือความทุกข์ นี่เรื่องนี้เป็นความลับ
เราจะสังเกตเห็นได้ว่า ปู่ย่า ตายาย ของเรามีความเยือกเย็น เชื่องช้า แช่มช้อย มากกว่าคนสมัยนี้ เพราะว่าเขาทนได้ อดกลั้นได้ บังคับได้ ทนได้ ในการที่ว่าไอ้ความทุกข์มันจะมาบีบคั้น ไอ้ความขาดทุน ความผิดพลาดมันจะมาบีบคั้นให้เขา ยิ้มแย้ม ต่อสู้ และทนได้ เขาเลยได้รับประโยชน์ ขอให้เรารักษามรดกอันนี้ไว้ให้ดีๆ ให้เป็นลูกหลานของตายายที่เคยฉลาด เคยหนักแน่น เคยสุขุม เคยรอบคอบ เคยบึกบึน นี่จะเป็นลูกหลานทั้งตายายที่ดี เป็นการสืบมรดกวัฒนธรรมหรือคุณธรรมของตายายไว้อย่างยิ่ง อย่างยิ่ง นี่จะไม่ผิดหวังไม่เสียทีที่ว่าตายายได้ฝากอะไรไว้กับเรา ให้เราทำอะไร เราก็จะได้ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด ดีที่สุด แล้วเราก็จะได้รับผลดีไม่แพ้ตายาย หรืออาจจะก้าวหน้ายิ่งไปกว่าตายาย เพราะว่ามันมีเครื่องมือ หรือเครื่องใช้ อุปกรณ์อะไรต่างๆ ดีกว่าสมัยตายายนู่น เอาละ เป็นว่าลูกหลาน ลูกหลานทั้งหลาย ควรจะรู้จักตัวเอง ควรจะรู้จักตายายให้ดี ให้ถูกต้อง ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น มานึกถึงตายายกันในวันเช่นนี้ แล้วก็ต้องให้ได้รับประโยชน์จากการที่เรารับมรดกอะไรจากตายาย ที่ตายายฝากไว้เป็นมรดกวัตถุ วัวควาย ไร่นาก็ดี เป็นของธรรมดาสามัญ เกียรติยศ ชื่อเสียง วงศ์ตระกูลก็ดี และสิ่งสูงสุดคือ ศาสนา ที่ตายายฝากกับเราไว้ ขอให้เราสืบทอดมรดกเหล่านี้ให้ดีๆ ตายายก็จะชื่นใจ ยิ้มแปล้ไปทั้งเมื่อมาและเมื่อกลับ สมมติว่าวันนี้ตายายกลับ ตายายก็ยิ้มแปล้ไปเพราะว่าลูกหลานทำถูกต้อง มีแต่ความสุข ความเจริญ ทั้งเพื่อตนเอง ทั้งเพื่อผู้อื่น ทั้งเพื่อตายายที่ตายไปแล้ว เพื่อโลกทั้งโลก เอาละ เป็นอันว่า วันนี้ก็ขอให้มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับตายายให้มากขึ้นกว่าปีกลายหรือปีก่อนๆ ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตายายมากขึ้นไป ยิ่งๆขึ้นไป ทุกปีๆข้างหน้า แล้วก็จะไม่เสียทีที่เป็นลูกหลานของตายายเป็นแน่แท้ จะสามารถสืบมรดกของตายายไว้ได้ทั้งหมดทุกอย่าง ทีนี้ พูดอย่างธรรมชาติหน่อย จะเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้นๆในความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง จนกว่าจะเป็นยอดของมนุษย์ คือ เป็นพระอรหันต์ เป็นลูกหลานที่ดีที่ถูกต้องของตายายเถิด จุดจบของมันก็อยู่ที่ความเป็นพระอรหันต์เป็นแน่นอน จะได้ตามหลังตายายไปในทางที่ว่าสูงสุดคือไปเป็นพระอรหันต์กันทั้งนั้น
เอาละ เป็นอันว่าเราได้พูดกันถึงตายายในลักษณะอย่างนี้ ในวันนี้ ก็ขอให้จำให้แม่นๆ ที่จริงก็ไม่ต้องจำหรอก ถ้าเข้าใจ มันก็อยู่ในใจ มันไม่ลืม จำๆนี่มักจะลืม ถ้าเข้าใจมันไม่ลืม เดี๋ยวเข้าใจอย่างเดียวมันก็ยังไม่พอ ต้องทำด้วย ประพฤติด้วย ปฏิบัติด้วย ยิ่งไม่ลืมใหญ่ ยิ่งได้ผล ได้ประโยชน์เกิดขึ้นมา เราเป็นลูกหลานของตายาย มีหน้าที่ทำให้ตายายอิ่มอกอิ่มใจและพอใจ ตายายฝากทุกอย่างไว้กับลูกหลานให้เสริมสร้างให้ดียิ่งๆขึ้นไป แล้วเราก็เป็นลูกหลานที่ดีเสริมสร้างให้ดียิ่งๆขึ้นไปในทุกทิศทุกทาง อะไรเป็นความดีที่ตายายเขาได้ทำไว้แล้ว รักษาไว้ให้ได้แล้วทำให้มันดียิ่งไปกว่านั้น สามารถจะมีธรรมะ เป็นสุขทุกอิริยาบทอย่างที่กล่าวมาแล้ว เป็นลูกหลานชั้นยอดชั้นเลิศของตายาย ตายายยิ้มกลับไป ลูกหลานอยู่ข้างหลังก็เจริญรุ่งเรือง ตายายก็ยิ้มกลับไป ลูกหลานอยู่ข้างหลังก็เจริญ ก็เจริญ อย่าลืมว่าตายายฝากศาสนาไว้กับลูกหลาน ไม่พูดว่าฝากสวนโมกข์ไว้กับลูกหลานนะ พูดว่าฝากศาสนาไว้กับลูกหลาน ขอให้ช่วยกันทำให้พระศาสนามั่นคงรุ่งเรืองเป็นประโยชน์แผ่ไพศาลออกไปสากลโลก ทุกๆจักรวาล คนเหล่านั้นจะได้มีความสุข อยู่ทุกทิพาราตรีกาล ซึ่งไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ กล้าท้าทายอย่างนี้ ไม่มีอะไรจะเป็นความดียิ่งไปกว่านี้ และการบรรยายธรรมะในวันนี้ก็สมควรแก่เวลา ขอแสดงความหวังว่า จะไปคิด ไปนึกให้เข้าใจยิ่งขึ้น แล้วทำให้มันเกิดเป็นผลดียิ่งขึ้น จะได้มีความสุขอยู่ทุกวินาที ทุกกระเบียดนิ้วของชีวิต ขอยุติการบรรยาย