แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะพูดเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเรื่องอะไรนัก คือไม่พูด ไม่ได้พูดตัวธรรมะ เอ่อ, โดยหัวข้อว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ควรจะรู้กันเท่าที่จำเป็น ส่วนที่ไม่จำเป็นนั้นไม่ต้องรู้ และบางทีก็รู้ไม่ได้ด้วย ไอ้ส่วนที่จำเป็นนั้นนะมันต้องรู้ มันก็ไม่มีประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเรื่องที่จำเป็น นี่อย่างหนึ่ง แล้วก็เรื่องที่มีประโยชน์ แล้วก็เรื่องที่เห็นได้ด้วยตนเอง เรื่องที่ไม่จำเป็นท่านก็ไม่ตรัส เรื่องที่มันไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ก็ไม่ต้องตรัส เรื่องที่ผู้ฟังจะไม่เห็นได้ด้วยตนเองก็ไม่ตรัส ดังนั้นไอ้เรื่องที่เอามาตรัสมันจึงมีน้อย โดยปริมาณนะเรียกว่ามีน้อย จนถึงกับท่านตรัสว่า ถ้าเทียบกันกับใบไม้ทั้งป่า คือกำลังพูดกันอยู่ในป่านะ ถ้าเทียบกับใบไม้ทั้งป่า นั่นนะคือที่รู้ รู้ทั้งหมด ที่เอามาสอนนะ เท่ากับใบไม้กำมือเดียว นี่ท่าน ท่าน ท่านตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่าอย่างนี้ ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมากำมือหนึ่งชูให้เห็นว่านี่ที่สอนนะคือ กำมือเดียว ที่รู้นะเท่ากับใบไม้ทั้งป่า ส่วนที่เอามาสอนนั่นคือเรื่องที่จำเป็น ที่ควรรู้ ที่ต้องรู้ และเห็นได้ เข้าใจได้ และปฏิบัติได้ มันจึงมีน้อย นอกนั้นไม่ต้องรู้ก็ได้ หรือไม่อาจจะรู้ ทำอย่างไรก็ไม่อาจจะรู้ อยากจะพูดเรื่องที่ไม่อาจจะรู้นะ ไว้ให้เข้าใจกันบ้าง มีคำพูดคำหนึ่ง คือ คำว่าอจินไตย อจินไตยแปลว่าไม่อาจจะคิดได้ ตามที่เขากล่าวกันไว้ก็เป็นเรื่อง ๔ เรื่อง คือ พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบาก โลกะ โลกะจินตา โลกะจินดา โลกะจินตา โลกะจินก็ได้ เรื่องเหล่านี้มาก ไวมาก ยาวมากจนตามออกไปไม่ถึง หรือว่าตามออกไปไม่ได้ แหละว่าไม่ต้อง ไม่ต้องไปสนใจในส่วนนั้น พุทธวิสัยคือ วิสัยของพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าท่านจะรู้อะไรได้สักเท่าไร ความตรัสรู้ของท่าน มันกว้างไกลเท่าไร ท่านจะทำอะไรได้บ้าง นั่นก็กลายเป็นว่าเราไม่อาจจะรู้ได้นี่ วิสัยที่พระพุทธเจ้าท่านมี ท่านทำ เราไม่อาจจะรู้ถึงได้ ให้เราคาดคะเนเอาก็ยังถึงไม่ได้ เรียกว่าพุทธวิสัย ดังนั้น เราจึงไม่อาจจะรู้ทั้งหมดที่พระพุทธเจ้า ท่าน ท่าน ท่านตรัสรู้นะ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าท่านจะทำอะไรได้บ้าง ฟังดูคล้ายๆ ว่าเขาจะตัดเสียไม่ให้เราไปสนใจเรื่อง อ้า, เหลือเชื่อ เรื่องปาฏิหาริย์อย่างนั้น แต่ที่จริงก็ต้องการจะไม่ให้ไปเสียเวลากับเรื่องที่ไม่จำเป็นมากกว่า อย่างพระไตรปิฎกก็มีมาก มากแล้ว ก็เรียกว่าอย่างที่ท่านตรัส ไม้กำมือเดียวละก็ ที่รู้ทั้งหมดมันก็หลายหมื่นหลายแสนเท่าของพระไตรปิฎกนะ ไอ้เรื่องต่างๆ ที่มันเกี่ยวกันอยู่กับพระพุทธเจ้า เราจึงไม่อาจจะรู้ เราก็จะตั้งคำถาม คำถามที่ไม่มีประโยชน์ มันก็มีอยู่มากในปัจจุบันนี้ ว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือว่า อ้า, พระไตรปิฎกนั้นเป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นปัญหาที่ไม่ต้องถาม ไม่ต้องถาม ไม่ควรจะถาม สำหรับพระไตรปิฎกนั้น มันๆ มันมีหลักง่ายๆ ว่า ท่านไม่ได้ให้เชื่อตามตัวหนังสือในพระไตรปิฎก ท่านให้ใคร่ครวญดูว่ามัน ที่คำพูดเหล่านั้นนะ ถ้าปฏิบัติตามแล้วมันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ถ้าเมื่อใคร่ครวญแล้วรู้สึกด้วยตัวเองว่ามันอาจจะดับทุกข์ได้ก็ลองดู ลองปฏิบัติดู แล้วมันดับทุกข์ได้ นั้นคือเราเชื่อตัวเราเอง คือไม่ได้เชื่อพระไตรปิฎก คำว่าไม่เชื่อพระไตรปิฎกนี้ ดูเป็นคำที่รุนแรงอยู่ ชาวบ้านเขาจะหาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิก็ได้ที่จะไม่เชื่อพระไตรปิฎก แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสอย่างนั้น ก็ไม่ต้องเชื่อ เพราะว่ามันมีอยู่ในพระไตรปิฎก ให้เชื่อความรู้สึกของเรา ว่ามันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ถ้ามันจะดับทุกข์ได้ก็ลองดู ถ้าดับทุกข์ได้แล้วจึงค่อยเชื่อ ทีนี้เรื่องว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ นี่ก็ชอบถามกันนัก แล้วก็โดยเฉพาะไอ้พวกต่างศาสนาหรือว่าพวกฝรั่งนี้ เขาก็ตั้งปัญหาอย่างนี้กันเสมอ พระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ คือเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์จริงหรือไม่ หรือเป็นบุคคลสมมติว่า ว่าเอาเอง ถ้าเขาถามอย่างนี้แล้วก็เราก็ตอบอย่างเดียวกันอีกแหละ พระพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิดนั่นมันไม่ ไม่สำคัญ แต่มันสำคัญว่าท่านสอนว่าอย่างไร ขอให้ที่ท่านสอนไว้นั้นเป็นประโยชน์แก่เราก็แล้วกัน ถ้าเราเอามาปฏิบัติแล้วมันมีผลดับทุกข์ได้ นั่นนะคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้เกิด พระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้เกิด คำที่กล่าวว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างไร คุณไปพิสูจน์ดูเถิด ผิดถูกอย่างไร ในที่สุดก็ยิ่งพิสูจน์ก็ยิ่งเห็นว่ามีเหตุผลแหละ จะดับทุกข์ได้ก็ลองปฏิบัติดู แล้วดับทุกข์ได้ ถ้ามีใครปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้นั่นแหละคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดจริงอยู่ตรงนั้น นี่เรามีอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เรื่องทางรูปธรรม ในโลกในประวัติศาสตร์นี่เขาก็ยอมรับ เพราะว่าฝรั่งเขามักจะเชื่อหลักฐานทางรูปธรรม ทีนี้มันค้นพบอะไรในประเทศอินเดียเกี่ยวกับพระธาตุ พระอัฐิธาตุ นั่นนี่ หาได้พบครบถ้วนตามที่บันทึก เช่นบันทึกของพวกจีนเป็นต้น พวกจีนกับอินเดียบันทึกไว้อย่างไร เดี๋ยวนี้เขาก็ค้นหาพบสิ่งเหล่านั้นครบ กระทั่งว่าไอ้ ไอ้ผอบบรรจุพระธาตุ อยู่ใต้ดินลึกๆ ขุดขึ้นมาได้ อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเรื่องที่พวกฝรั่งมาทำกันเองมากมาย ดังนั้น ทางโบราณคดีก็ยอมรับว่าได้มีบุคคลพิเศษคนหนึ่งจริง ได้เกิดขึ้นแล้วก็ได้ทำอะไรต่างๆ แต่อย่างนี้ ไม่ ไม่อยู่ในหลักที่จะยึดเอาเป็นหลัก พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ถือหลักอย่างนี้ ว่ามันเป็นของที่จริง แล้วธรรมะที่ได้ตรัสไว้นะ ปฏิบัติดูดับทุกข์ได้ ก็จะ ให้ จึงจะให้ถือว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นจริง ทีนี้มันจะไปถึงว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดจริงหรือไม่จริง ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าไอ้คำพูดเหล่านี้มันเอาไปปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้ก็พอแล้ว ดังนั้น มันอยู่ที่ธรรมะ ที่มันดับทุกข์ได้ก็พอแล้ว พระพุทธเจ้าจะได้เกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสข้อความเหล่านี้ หรือไม่ได้ตรัสไม่เป็นไร ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความหมาย มันมีน้ำหนักมีความหมายอยู่ที่ตรงที่ว่า ไอ้ถ้อยความเหล่านี้เมื่อปฏิบัติดูแล้วมันดับทุกข์ได้จริง ปรากฏด้วยตนเอง ที่เรียกว่ามันพิสูจน์ความมีประโยชน์อยู่ในตัวมันเอง แล้วผู้ฟังก็เห็นได้ ผู้ปฏิบัติก็รู้สึกได้ ที่เรียกกันว่าสันทิฏฐิโก พอแล้ว ที่มันเลยนี้ไปมันไม่จำเป็น คือมันไม่มีประโยชน์อะไรนั่นแหละ มันมีเพียงเรื่องเดียว ที่มันจำเป็นคือ ดับทุกข์ให้ได้ เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับดับทุกข์มันไม่ ไม่จำเป็นจะต้องรู้ จะต้องมี แล้วก็มีพระพุทธภาษิตไว้ได้ด้วยเลยว่า ฉันพูดแต่เรื่องทุกข์กับความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าฉันบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์กับความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น ถ้าเรื่องอื่นที่มันไม่ใช่เกี่ยวกับความดับทุกข์มันจะมีมากมายก่ายกอง ก็ไม่ต้องรู้เหมือนกัน ไม่ต้องสนใจเหมือนกัน นี่เรียกว่าอจินไตย เกี่ยวกับพุทธวิสัย อย่าเอามาเป็นเรื่องไม่รู้จบ เอามาเป็นเรื่องที่จะถามกันไม่รู้จบ สงสัยกันไม่รู้จบ ทีนี้ เรื่องที่ ๒ ฌาณวิสัย ฌาณ ฌาณ สมาธิ สมาบัติ ฌาณ ฌาณวิสัย ก็เรียกว่า วิสัยแห่งฌาณ คือ การปฏิบัติทางจิตนะ มันจะทำอะไรได้บ้าง จิตนี่จะปฏิบัติได้เท่าไร อย่างไร จะทำอะไรได้บ้าง คำนวณไม่ได้ วัดไม่ได้ บัญญัติไม่ได้ ที่ว่าจิตนี้ฝึกดีแล้ว แสดงปาฏิหาริย์ได้ เท่านี้ก็ ก็ไม่พอ ยังน้อยไป จิตทำอะไรได้มากกว่านั้นมาก คือ เขาจะพูดให้เราเข้าใจได้ว่าจิตนี่ยังทำอะไรได้มาก มากกว่าที่ปรากฏอยู่แล้วในพระคัมภีร์ หรือเรื่องราวต่างๆ เราก็ไม่ต้องสงสัยอีกแหละ เราจะสนใจแต่ แต่การปฏิบัติที่มันดับทุกข์ได้ ปฏิบัติทางจิตอย่างไร อบรมจิตอย่างไร แล้วมันดับทุกข์ได้ เท่านั้นพอ เอาเท่านั้นพอ เอาประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าจิตเพียงเท่านั้นแหละมันพอ อย่าไปรู้ของมันให้หมดเลย ยิ่งไปถามว่าจิตคือ อะไร นี่บ้าเลย ไม่มีใครจะตอบให้ได้ ถึงจะตอบกันมากมายอย่างคัมภีร์อภิธรรมที่เขาชอบพูดว่าเขาตอบคำถามว่าจิตคืออะไรได้ นั่นเป็นอาการของจิตทั้งนั้นแหละ ไอ้ตัวจิตจริงๆ คืออะไร ก็ตอบไม่ได้ แต่ว่าเรื่องอาการของจิต แปลกๆ กี่ร้อยดวงนั้นเขาก็พูดได้ มันไม่ใช่ตัวจิตโดยตรง เป็น เป็นสิ่งที่จิตทำได้ แสดงบทบาทได้ ฌานวิสัยก็คือ อำนาจจิตที่เป็นสมาธิ มันจะทำอะไรได้ถึงเพียงไร คุณอย่าไปติดตามเลย ป่วยการ ติดตามแต่เพียงว่ามันจะดับทุกข์ได้อย่างไร ฝึกจิตอย่างไร แล้วดับทุกข์ได้อย่างไร ควบคุมได้อย่างไร เอาแค่นี้พอ อันที่ ๓ กรรมวิบาก คือผลกรรม ผลกรรมจะมีเท่าไร ไกลไปถึงไหน อย่างไร เท่าไร เพียงไรนี่ป่วยการ มันมากเกินกว่าที่จะคำนวณได้ ไอ้กรรมนั้นจะให้ผลในลักษณะที่แปลกประหลาด ลึกซึ้งไอ้ที่เรารู้ไม่ได้ คำนวณไม่ได้ เช่นว่าเราจะถามว่า นี่มันเป็นกรรมของอะไรแต่ชาติก่อน อย่างนี้มันก็ทำไม่ได้ แล้วมันมากเกินไป แล้วมันก็ปนเปกัน สับสนกัน ไขว้กันด้วยกันมากเกิน แล้วให้รู้เถิดว่าไอ้กรรมนี่มันให้ผล แน่นอน แน่นอน แต่ที่จะให้รู้หมดก็ทำไม่ได้ แล้วอันสุดท้ายก็เรียกว่าโลกะจิน โลกะจินตา ความคิด ในโลกความคิดของโลก ความคิดของชาวโลก จะไปสิ้นสุดลงที่ไหน ตอบไม่ได้ แล้วไม่มีประโยชน์ที่จะไปค้นว่าความคิดมันจะไปสิ้นสุดตรงที่ไหน เช่นว่าเดี๋ยวนี้ อ้าว, มันคิดเรื่องอะไรได้ เรื่องละเอียดอิเล็กโทรนิกส์ทั้งหลายได้ มากมายก่ายกอง ไปโลกพระจันทร์ได้ เอากำลังปรมาณูมาใช้ได้ นี่ก็เรียกความคิดของโลกเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นของเด็กเล่นไปแล้ว มันจะต้องคิดต่อไปจากนั้นอีกมาก อีกมากจนไม่รู้มันจะไปกันถึงไหน คิดไปก็ป่วยการ มันไม่มีที่สิ้นสุดที่จะเป็นประโยชน์ เรามายุติกันแต่เพียงว่าคิดอย่างไรที่นี่ และเดี๋ยวนี้ คิดอย่างไรดับทุกข์ได้กันดีกว่า เท่านี้พอ ความคิดของมนุษย์ ของโลกนี่ จะคิดกันแต่ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า คือ ความทุกข์มันเกิดขึ้นแล้วก็จะดับมันอย่างไร ถ้าดับมันได้มันก็พอแล้ว ครั้นจะไปคิดว่าต่อไปข้างหน้ามนุษย์เราจะคิดอะไรได้อีก ป่วยการ ท่านกล่าวไว้ว่า มันไม่มีที่สิ้นสุด มันจะออกไปได้เรื่อยไป ไม่ใช่ว่าจะหยุดอยู่เพียงแค่คิดเรื่องปรมาณู เรื่องอิเล็กโทรนิกส์ เรื่องไปอวกาศได้ แล้วหมดแล้ว ไม่ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ยังจะไปอีกมากจนไม่มีที่สิ้นสุด แล้วมันก็ป่วยการทั้งนั้น เสียเวลาทั้งนั้นคือไม่ดับทุกข์ ถ้าด้วยไปโลกพระจันทร์ได้มันมีผลอะไรแก่การดับทุกข์บ้าง บางทีมีผลแก่หนทางที่จะเบียดเบียนกันเสียมากกว่า ไอ้ของวิเศษวิโส เครื่องอิเล็กโทรนิกส์ทั้งหลายน่าอัศจรรย์ที่สุดแล้ว มันก็ไม่ดับทุกข์เลย บางทีมันจะชวนให้ยุ่งมากขึ้น แล้วเสียเวลามากขึ้น เพิ่มความทุกข์ขึ้นมากกว่า นี่เรียกว่าความคิดของโลกก็เป็นอจินไตย คือ คำนวณไม่ได้ว่ามันจะไปถึงไหนกัน อจินไตยแปลว่าสิ่งที่คิดไม่ได้ คือคำนวณไม่ได้ รู้ไม่ได้ และไม่ต้องรู้ก็ได้ หรือไม่ควรคิดจะดีกว่า อจินไตย แปลว่าไม่ควรคิดจะดีกว่า ควรคิดแต่เรื่องที่ไม่อจินไตยคือ คิดได้ คิดออกได้ ดับทุกข์ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้นั่นแหละควรคิด นี่รวมๆ กันแล้วมันก็พอจะเห็นได้ว่าไอ้เรามันอาจจะรู้ได้ในขอบเขตจำกัด ไม่จำเป็นจะต้องรู้กันให้เป็นบ้า รู้จนเป็นบ้าแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าพูดให้จบมันก็ต้องพูดว่า รีบมาปฏิบัติกันดีกว่า ไอ้เรื่องคิดให้รู้ ศึกษาให้รู้นั้น มันควรจะจำกัด ควรจะพอ ควรจะรู้ พอ แล้วเอาเวลา เอาแรงงาน เอาอะไรมาปฏิบัติกันดีกว่า ให้ได้ผลจนดับทุกข์ได้ ถ้าดับทุกข์ได้แล้วมันก็หมดปัญหา จะเรียนไปทำไม จะปฏิบัติไปทำไมอีกละ ถ้ามันดับทุกข์ได้แล้ว มันจึงเรียนพอสมควรที่จะปฏิบัติได้ แล้วก็มาปฏิบัติ อย่าไปบ้าเรียน บ้าคิด ให้มันไม่มีที่สิ้นสุด ครั้นปฏิบัติแล้ว ดับทุกข์ได้แล้วเรื่องก็มันก็จบ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องปฏิบัติในเรื่องชนิดนี้อีกต่อไป ก็เรียกว่าจบพรหมจรรย์ ภาษาธรรมะเรียกว่าจบพรหมจรรย์ คือเรื่องดีๆ ที่จะต้องคิด ต้องนึก ต้องศึกษานั้นจบแล้ว จบแล้ว เพราะเราดับทุกข์ได้สิ้นเชิงแล้ว ซึ่งในพุทธศาสนาก็หมายถึงว่ามันหมดกิเลส หมดกิเลส และหมดทุกข์ เรารู้ว่าดับทุกข์อย่างไร แล้วดับทุกข์ได้ นั่นนะหมด เรื่องจบ เรื่องหมด ไม่มีเรื่องอะไรที่จะเหลือค้างอยู่สำหรับเรียน หรือสำหรับศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติ ทีนี้ก็มัน มาดูกันต่อไปถึงข้อที่ว่า มันเห็นเอง เห็นจริง เห็นประจักษ์ในการปฏิบัติ และได้รับผลของการปฏิบัติ ไม่ต้องตั้งปัญหาว่าทำไมมันจึงมีผลอย่างนั้น หรือว่าจะไปให้มันละเอียดหมายถึงว่าไอ้แต่ละอย่าง ละอย่างนั้นมันเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่นร่างกายนี้ รู้กันว่าประกอบไปด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ ๖ ธาตุ แล้วก็รู้ว่ามันประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายอย่างไร จะใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างไร จะทำร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์อย่างไรก็ทำสิ ไม่ต้องไปศึกษาเรื่องธาตุแต่ละธาตุให้มันรู้ไกลไปจนเกินความจำเป็น มันก็เสียเวลาเปล่า เดี๋ยวมันก็ไม่ได้ใช้ร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์กันเท่านั้น ก็อย่าให้ไปหลายชั้นนักเลย ไอ้คำถามว่ามันมาจากอะไร มันมาจากอะไร มาจากอะไรนี้ มันก็มาก ไม่ ไม่มีสิ้นสุด ทำไม ทำไม ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ก็ถามได้ ก็เป็นร้อยชั้น พันชั้น มันก็เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ดังนั้น เราจึงรู้เรื่องรูปกายนี้ว่ามันทำหน้าที่อย่างไร สัมพันธ์กับจิตอย่างไร ควบคุมมันอย่างไร ให้กายกับใจนี้เป็นไปแต่ในทางที่ถูกต้อง ถ้ายิ่งไปถามว่าจิตคืออะไร แล้วจิตคืออะไรเรื่อยไปแล้ว เป็นบ้าเสียก่อน และไม่อาจจะรู้ได้ด้วย เหมือนกับที่ว่าไอ้วิทยาศาสตร์ มันก็ไม่ได้รู้ถึงที่สุดของแต่ละสิ่ง ของแต่ละเรื่อง มันยังมีที่ยัง ยังอาจจะรู้ได้ ค้นคว้าต่อไปได้ ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกัน แต่เรารู้เท่าที่เอามาใช้เป็นประโยชน์ สำเร็จประโยชน์จริงๆ ดีกว่า แล้วเดี๋ยวนี้มันก็ชักจะเฟ้อนะ ไอ้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์นี่ทำให้รู้ หรือประดิษฐ์สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีขึ้นมาในโลกมากเกินไปแล้ว เพิ่มความทุกข์ให้เปล่าๆ เหมือนอย่างว่าไฟฟ้าอย่างนี้ ใช้ประโยชน์กันไม่รู้ว่ามหาศาลอย่างไรแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจจะตอบได้ว่าตัวไฟฟ้าจริงๆ มันคืออะไร ธรรมดามันอยู่ที่ไหน เราทำให้มันปรากฏออกมาได้โดยทางไอ้ generator ก็ได้ โดยทางเคมีก็ได้ มันออกมาให้เราใช้ได้เหลือ เหลือที่จะกล่าวได้ เราก็ยังไม่รู้ไอ้ตัวแท้ๆ ของมันนั้นคืออะไร นี่มองดูเถิดว่า มันไม่จำเป็นจะต้องรู้ก็ได้ เพียงแต่เรารู้ชนิดที่เอาออกมาใช้ วิธีที่จะล่อมันออกมาใช้ได้ จนเฟ้อไปแล้ว จนทำให้มนุษย์ลำบาก หรือเป็นทุกข์ใหม่ๆ เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่มันเฟ้อเหล่านี้ คนป่ารู้เอาไม้ รู้วิธีเอาไม้มาถูๆ กัน ร้อนจัด แล้วก็ใส่ของเป็นขุยๆ ลงไป มันก็ลุกเป็นไฟ ก็ได้ใช้ไฟ คนป่านั้นก็รู้วิธีถู ก็พอแล้ว ตอบไม่ได้ว่าทำไมไฟมันจึงมาลุกขึ้นที่ตรงเราถู เมื่อก่อนนี้ไฟอยู่ที่ไหน หรือว่าไฟคืออะไร ไม่ต้องรู้ แต่เดี๋ยวนี้เราก็ได้ไฟมาใช้ตามที่เราต้องการแล้ว มันก็รู้กันแต่เรื่องว่าทำอย่างไรให้ไฟเกิดขึ้น แล้วก็ใช้มัน หรืออย่างน้อยก็จะคืบออกไปอีกหน่อยว่า จะใช้ประโยชน์อะไรได้อีกดีกว่า ไม่ต้องย้อนหลังว่ามันคืออะไร เช่นเดียวกับคนป่าก็ไม่รู้ว่าไฟนี้คืออะไร มาแต่ไหน เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่รู้ว่าไฟฟ้ามันคืออะไร มันมาที่ไหน บ้านมันอยู่ที่ไหนที่เรียกออกมาใช้ได้ไม่รู้จักหมดจักสิ้น ขอให้เราทำกับธรรมะอย่างนี้ เท่าที่มันเป็น สันทิฏฐิโก เห็นได้เอง แล้วก็ดับทุกข์ได้ ก็พอแล้ว อย่าตั้งคำถามให้มันมาก ไปกว่านั้นเลย ปัญหามันจะเกิดขึ้นมาจากการที่รู้เกินจำเป็น มันก็น่าขำ ดังนั้น คำว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า รู้เท่าไร ก็ท่านไปใช้คำกันว่ารู้ทุกอย่าง สัพพัญญู สัพพัญญูแปลว่ารู้ทุกอย่าง อย่าเข้าใจผิดว่าไม่รู้สิ่งที่ไม่ต้องรู้อย่างที่ว่ามานี้ มันเพียงแต่ว่ารู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้เราก็ถือตามหลักนั้นนะทุกอย่างที่ควรจะรู้ หรือต้องรู้ เดี๋ยวนี้ไอ้สิ่งที่มันควรจะรู้ มันกลับไม่รู้นะ เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นทุกข์ ทรมานอยู่ทั้งโลกแหละ มันไม่รู้สิ่งที่ควรจะรู้ แล้วมันไปรู้สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ อย่างเช่นไปรู้เรื่องทำให้สุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางวัตถุกันเสียไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่มีความรู้เลยว่า จะดำรงจิตไว้อย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ และยิ่งกว่านั้นที่มันน่าหัวเราะก็คือว่า มันไปรู้ในสิ่งที่ทำให้เพิ่ม เพิ่มปัญหา เพิ่มความทุกข์ อย่างความรู้ของปัจจุบันนี่มันไปขยายกันไปโดยเร็ว สร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาเพิ่มปัญหา หรือเพิ่มความทุกข์ ถ้าเพิ่มปัญหาก็หมายความเพิ่มความทุกข์ และเป็นความรู้ชนิดที่ทำลายโลกด้วย ที่เรารู้ว่าจะประดิษฐ์อะไรกันอย่างไร จะประดิษฐ์เรือบินอย่างไร เรือรบอย่างไร ประดิษฐ์มันอย่างไร รู้เข้าไปสิ มันก็ต้องไปขุดเอาทรัพยากรของโลกใต้ดินขึ้นมาทำลายทั้งนั้น โลหะนานาชนิดขุดขึ้นมาใช้ มาทำลาย น้ำมันขุดขึ้นมาใช้ มาทำลายเพื่อบำรุงบำเรอให้สนุกสนาน เอร็ดอร่อยส่วนหนึ่ง แล้วอีกส่วนหนึ่งก็ใช้เป็นอาวุธทำลายล้างผู้อื่นเพื่อจะเอาประโยชน์ของเขามาเป็นประโยชน์ของเรา ก็เอาขึ้นมาเป็นอาวุธสำหรับใช้ประหัตประหารกัน รบราฆ่าฟันกัน ล้างผลาญกัน นี่มันเป็นความรู้ที่ไม่ควรจะรู้ มันไม่ต้องรู้ รู้แล้วมันเพิ่มปัญหา มนุษย์ปัจจุบันที่มันมีอะไรมากอย่างนี้นะ เลยไม่มีความสุข ไม่มีความสงบสุข สู้มนุษย์ที่เขาไม่มีความรู้อย่างนี้ไม่ได้ อย่างครั้งพุทธกาลนี่ไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกันอย่างนี้ ถึงกระทั่งจะพูดว่าไม่รู้จักทำแม้แต่ส้วมซึม ส้วมที่เราใช้กันอยู่เดี๋ยวนี้ มันไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่ ที่กล่าวไว้ในพระบาลี พระคัมภีร์ว่า ครั้งพุทธกาลมีส้วมซึม มันมีแต่ส้วมธรรมดาที่ไปนั่งถ่าย และก็ต้องลำบากด้วยการจัดการอะไรกันต่างๆ อย่างนี้เป็นต้น ความเจริญยังไม่ถึงขนาดที่แม้จะมีส้วมซึม แล้วมันก็ไม่มี รถยนต์ รถไฟ เรือบิน อ้า, ไฟฟ้าอะไรต่างๆ มันก็ไม่มี แต่อยู่กันด้วยความผาสุกทางจิตใจมากกว่า แล้วเขาก็ไม่กลัวตาย ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ทำให้เขาเกิดความทุกข์ เพราะเขารู้วิธีที่จะทำให้ไม่มีความทุกข์ ไม่เป็นทุกข์เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ ตั้งจิตไว้อย่างไร แล้วมันก็ไม่มีปัญหาที่ต้องเป็นทุกข์กับเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันไม่มีปัญหาที่ว่าจะขาดแคลนอะไรคุณคิดดู ก็มันไม่ต้องการอะไรที่ส่วนที่เฟ้อ เหมือนที่เรามีกันจนเฟ้อ เขาก็ไม่ต้องการ มันจะมีพอดี พอดีกับที่ว่ามนุษย์ควรจะมีอะไรบ้าง มันก็มี ส่วนที่เหลือเฟือมันก็ไม่ต้องการ บางคนอาจจะคิดว่า อ้าว, ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีความเจริญ ไปไหนก็อืดอาด ช้าเหมือนเต่าคลานเพราะไม่มีรถยนต์ นั่นแหละคือ ความที่มันไม่ต้องเป็นทุกข์แหละ เท่าที่มันไปเร็วเหมือนกับรถยนต์พาไป หรือเรือบินพาไป กลายเป็นทำให้เกิดปัญหาขยายตัวมากจนเป็นทุกข์มาก คือเพิ่มงานที่ไม่จำเป็นขึ้นอีกมาก เราก็ต้องเป็นทุกข์หรือว่าลำบากหรือมีปัญหาเพราะเหตุนี้ เดี๋ยวนี้คนเขาจะเดินทางด้วยเรือบินกันวันๆ วันหนึ่งก็เป็นหมื่นๆ คน แสนๆ คน ถ้ามันไม่มีไม่ดีกว่าเหรอ ไม่ยุ่ง แล้วไอ้เรื่องเครื่องบินตก หรือรถชนกันมันก็ไม่ต้องมีเพราะมันไม่มี เดี๋ยวนี้มันมีแต่ไอ้สิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเพิ่มขึ้นๆ เราก็ไม่มีความสงบสุข อย่าเข้าใจว่ามันมีประดิษฐ์ ไอ้เครื่องประดิษฐ์ เครื่องทุ่นแรงอันนี้ เป็นความดี ความเจริญ เป็นประโยชน์แก่มนุษย์นะ ดูส่วนที่มันเพิ่มปัญหากันบ้าง เมื่อก่อนทำนาด้วยควายนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรนัก เดี๋ยวนี้ทำนาด้วยเครื่องจักร มันก็ต้องใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ต้องทะเลาะกันทุกวัน เรื่องน้ำมันไม่มี เรื่องปุ๋ยมันแพง เรื่องอะไรต่างๆ เป็นปัญหา อ้า, ได้ทะเลาะกัน ได้ด่ากัน ได้ด่ารัฐบาลกันทุกวันๆ ให้มันโดยขยายตัวไปในทางที่ไม่จำเป็น ถ้ามันไปเพิ่มในทางเลี้ยงควายให้มาก หรือทำงาน ทำนาแบบเดิมอยู่เรื่อยๆ ไปก่อน ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่มี เรียกว่ามันรู้มากยากนานแหละ ยิ่งรู้มากมันยิ่งผิดไกลไปโน่น นี่มันจะไปกันถึงไหน ก็ไม่มีใครทายถูกหรอก อย่างที่พูดเมื่อสักครู่นี้ว่า โลกะจิน โลกะจิน ความคิดของมนุษย์ในโลกจะไปกันถึงไหนไม่มีใครทายถูก ยังไปอีกไกล แต่แล้วมันน่าขำที่ว่ามันมีเพื่อจะทำตัวเองให้ลำบาก มันมีเพื่อจะสร้างปัญหาให้มากขึ้น หรือไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำให้มากขึ้น สรุปแล้วก็คือ ไม่มีความสุขสงบกันเลย โลกนี้จึงไม่มีความสงบสุขทางจิตใจเพราะว่ามันเป็นทาสของความอยาก ของความต้องการที่ขยายตัวไม่รู้จักจบ แล้วก็มีโทษทางวัตถุ ทางร่างกาย คือ มีร่างกายที่อ่อนแอ มีร่างกายที่มีโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่เคยเกิดที่แต่ก่อนไม่เคยมีนะ เพิ่งมีเมื่อมนุษย์มันเจริญแผนใหม่ โรคเยอะแยะเกิดขึ้นโดยเฉพาะโรคประสาท โรคจิตนี่มากขึ้นไม่ใช่ว่าพลเมืองมาก พลโลกมันมากแล้วโรคจิตโรคประสาทมันจะมากตามแต่นี่มันมากเกินส่วน เกินส่วนของการที่ว่าคนมันเพิ่ม แล้วยังจะเพิ่มเกินส่วนอย่างนี้อีก อีก ไปอีกไกล ที่คนจะเป็นโรคจิต โรคประสาท เพราะความเจริญนั่นแหละ เพราะความเจริญที่มันล้ำหน้าไกลเกินนั่นนะก็มีผลออกมาเป็นอย่างนี้ เมื่อยั่วยุกิเลสด้วยความเจริญนี้มาก ไอ้ผู้ที่มีกิเลสมันก็มีมากขึ้นในโลก แล้วผู้ที่ทำ ทำตามอำนาจกิเลสมันก็มีมากขึ้นในโลก เพราะฉะนั้น อันธพาล อันธพาลเลวร้าย อาชญากรที่เลวร้าย มันก็เพิ่มจำนวนขึ้นในโลก ดังนั้นในประเทศที่ว่าเจริญ ประเทศที่นำหน้า ที่ว่าพัฒนาอย่างยิ่ง เจริญอย่างยิ่ง ในประเทศเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยอาชญากรที่เพิ่ม โรคประสาทก็เพิ่ม อะไรก็เพิ่ม ปัญหาก็เพิ่ม จนไม่มีความผาสุก นี่เพราะว่าไอ้ความเจริญทางฝ่ายวัตถุไปไกล ไกลๆ จนเกิน เกินที่ควรจะมี แต่มนุษย์ก็ยังคิดว่าจะเอาอีกยังจะให้แปลกออกไปอีกจะเพิ่มอีก ไม่มีใครคิดว่าพอที หยุดกันที แค่นี้ที ยังคิดจะเพิ่มไอ้ความแปลกพิเศษทางฝ่ายวัตถุธรรมกันอีกมาก ไม่มีหยุดนะ แต่ก็ลองคำนวณกันดูเถิดว่า แม้ว่ามันจะเจริญจนมันจะสร้างมนุษย์ สร้างคนได้ มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ ถ้ามันก้าวหน้าจนว่ามันสร้างมนุษย์ได้ มันก็ไม่มีไอ้ทางที่จะสงบสุขได้ เพราะมันก็จะใช้สิ่งเหล่านั้นไปในทางที่จะเบียดเบียนกัน ไปในทางที่เป็นกิเลส เอาเปรียบกัน เบียดเบียนกัน มันยิ่งคนมีมากก็ยิ่งมีความทุกข์มาก เพราะว่ามันไม่มีความรู้ที่จะหยุดความทุกข์ คือไม่มีศีลธรรม ถ้าคนยิ่งเพิ่มมากมันมีศีลธรรมมาก มันก็ดีสิ ก็อยู่กันแบบผาสุกมากๆ เดี๋ยวนี้คนยิ่งเพิ่มมากแต่ความมีศีลธรรมมันหายไป กลายเป็นคนไม่มีศีลธรรมกันไปเสียหมดหรือเกือบหมด ไอ้คนไม่มีศีลธรรมเหล่านั้นมันก็ต้องเบียดเบียนกัน อย่างเดี๋ยวนี้ที่เราดูข่าวหนังสือพิมพ์แล้วมันน่าสังเวช อันธพาลอาชญากรเลวร้ายในกรุงเทพฯ มาก ต่อไปคงจะมากกว่ายุง คิดดูเถิด คำนวณเถิด อันธพาลในกรุงเทพฯ ต่อไปจะมากกว่ายุง สู้ประเทศล้าหลัง ในแอฟริกา หรืออะไรอย่างนั้น ก็ไม่ได้ มันไม่ มันไม่มีอะไรมายั่วให้มีกิเลส และใช้กิเลส มันจึงไม่เบียดเบียนกัน ที่เขาอยู่กันแทบจะไม่นุ่งผ้า เขาก็ยังไม่เบียดเบียนกัน ในทางเพศ นี้ยังเป็นที่ยืนยันกันอยู่ได้ ในส่วนที่มันล้าหลังในแอฟริกานะ คนเหล่านั้นยังแทบจะไม่นุ่งผ้า หญิงสาวแขวนพวงใบไม้หน้าหลัง ไปป่า ไปหาฟืนหาผัก ไม่มีใครทำอันตรายทางเพศอย่างนี้ แล้วในเมืองที่เจริญแล้วมันเป็นอย่างนั้นได้ที่ไหน ที่ว่าอะไร ประเทศบางประเทศมีอาชญากรรมทางเพศ อ้า, ทุกๆ ๗ นาที หรือ ๗ วินาที ก็ยังไม่แน่จำไม่แม่น ว่า เจ็ดๆ นี่ ทุก ๗ นาทีเหลือทนแล้ว มีอาชญากรรมทางเพศเกิดขึ้น ๑ ราย ในประเทศที่เจริญที่สุดแล้ว เป็นอย่างนี้ นี่เพราะว่ามันไปรู้ ไปเจริญในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องเจริญ หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นมันส่งเสริมกิเลส ให้เกิดกิเลส เป็นคนมีกิเลสหนา แล้วมันก็ใช้กิเลส ก็เกิดเป็นอาชญากรรมขึ้นมา เต็มไปทั่ว ทุกหัวระแหง แล้วมันก็ไม่ใช่ว่า มันจะโง่เพียงเท่านั้นนะ ไอ้ความโง่ เกี่ยวกับเรื่องนี้มันก็ ก็ ก็ก้าวหน้าเหมือนกัน มันก็เพิ่มขึ้นเหมือนกัน หนังสือพิมพ์เมื่อ ๒-๓ วันนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าขำ ว่า เป็นตำรวจนะ เมียของเขาเป็นชู้ เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง เขาก็เอามา มากอดแล้วใส่ลูกระเบิดไว้ในระหว่าง ๒ คน แล้วก็กดให้ระเบิด ความก้าวหน้าทางความคิดนะ มาคิดดูเถิดว่าทำไมจะต้องทำ ทำไมจะต้องทำ มันไม่ต้องทำก็ได้แล้วมันได้ผลอะไรละ ก็แปลว่ามัน มันโง่จนเรียกว่าเกินโง่ ไม่รู้กี่เท่าอย่างนี้ จึงไม่เชื่อว่ามันจะมีได้ ในหมู่มนุษย์ที่ยังไม่เจริญ เดี๋ยวนี้มันเจริญด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ แล้วมันเจริญด้วยความคิดชนิดที่อุตริแหวกแนว เพราะมันไปรู้ในส่วนที่ไม่ต้องรู้มากๆ มากๆ เกินเหลือที่จะกล่าวได้ไม่รู้ว่ากี่ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ในส่วนที่มันควรจะรู้ มันไม่รู้เลย เช่น มันจะรู้ไม่ต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ทำอย่างอื่นก็ได้ เรื่องที่คล้ายๆ กันนี้ ยังมีอีกมาก แต่ว่ามนุษย์มันถอยหลังทางด้านจิตใจ มันก้าวหน้าในทางด้านวัตถุ เพราะมันไปรู้ในสิ่งที่ไม่ต้องรู้ มันรู้เกินไปในส่วนที่ไม่ต้องรู้ ดังนั้น จึงว่า เราเอาเวลา เอาเรี่ยวแรงอะไรมารู้ในสิ่งที่ควรรู้พอสมควรแล้วรีบปฏิบัติกันดีกว่า รีบปฏิบัติกันดีกว่า มีหลักสั้นๆ อย่างที่เคยบอก ไม่ต้องมีอะไรมาก ควบคุมผัสสะไว้ให้ได้ ก็ไม่เกิดทุกข์ มันมีเท่านั้นนะมันจะเป็นประโยค ประโยคสั้นๆ ที่สุด ไอ้ผัสสะนั้นนะ ตัวการ ตัวร้าย จุดศูนย์กลางที่สุด อะไรๆ ที่เลวร้ายทั้งหมดก็มาจากผัสสะ ที่ปฏิบัติผิด ที่ถ้ามันจะดี ดีๆ ก็มาจากผัสสะที่ปฏิบัติถูก ดังนั้น อย่าศึกษาให้มันเกินจำเป็นจนไม่รู้เรื่องผัสสะ ไม่สนใจเรื่องผัสสะ แล้วไปรู้เรื่องอะไรมากมายนัก ผัสสะมันจะเกิดขึ้นอย่างไร แล้วมันจะสร้างอะไรขึ้นมา แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ศึกษาให้ถูกต้องที่สุด ละเอียดลออที่สุด ศึกษาจนควบคุมได้ เรารู้ว่าผัสสะเป็นสิ่งที่มีตามธรรมชาติ และต้องมีตามธรรมชาติ และก็มีอยู่ทั่วไปตลอดวันตลอดคืน ที่ยังตื่นอยู่ ไอ้หลับแล้วมันมีผัสสะใต้สำนึกที่เรียกว่าฝัน ฝันนี้ อันนี้เราไม่ต้องเอามาพูดไม่ต้องเอามารวม เอาแต่เพียงว่าที่มันว่าตื่นอยู่ที่มันรู้ว่ามีผัสสะ ทางตากระทบรูป ทางหูกระทบเสียง ทางจมูกกระทบกลิ่น ทางลิ้นกระทบรส ทางผิวหนังกระทบโผฏฐัพพะ แล้วมันก็เกิดอะไร ถ้าโง่ ถ้าผัสสะมันโง่ก็เกิดเวทนาโง่ ถ้าในขณะผัสสะไม่มีปัญญา ไม่มีสติ มันก็เป็นผัสสะโง่ แล้วมันก็เกิดเวทนาโง่ เวทนาโง่ก็ให้เกิดตัณหา คือความต้องการที่โง่ ความอยากที่โง่ แล้วก็เกิดอุปาทานยึดมั่นอย่างโง่ๆ มีตัวกู มีของกูขึ้นมา ไปคว้าเอาอะไรมา ไปคว้าเอาสิ่งนั้นหรือ สิ่งอะไรมาก็ตาม ก็เป็นของหนัก และเป็นความทุกข์ ดังนั้น ถ้าว่าเมื่อผัสสะ เมื่อเรามีสติ มีปัญญาทันเวลา ผัสสะนั้นก็ไม่โง่คือ ผัสสะที่มีปัญญา มีวิชา มันก็ไม่เกิดเวทนาโง่ มันเกิดเวทนาที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญา จึงบอกให้รู้ว่าเวทนาก็สักว่าเวทนา แล้วก็ไม่เกิดตัณหา ไม่อยากอะไรด้วยความโง่ ไม่เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นด้วยความโง่ แล้วก็ไม่เกิดภพ เกิดชาติ เกิดทุกข์ ในทางจิตใจนะ มันมีเท่านี้ แล้วเราก็สบายหรือ หรือว่าปกติก็แล้วกัน ไอ้ธรรมะแท้นะคุณ ช่วยๆ ช่วยจำไว้สักคำเถิด เอาความปกติก็พอแล้วอย่าเอาสุข เอาทุกข์ เอาดี เอาเด่น อะไรเลย เพราะว่าถ้าสุข มันก็คือกวนใจไปตามแบบของความสุข ถ้าทุกข์มันก็กวนใจไปตามแบบของความทุกข์ เราอย่าเอาสุข เอาทุกข์กันเลย เอาแต่ว่ามันปกตินี่ ถ้าปกติมันก็ไม่มีปัญหา มันก็สงบเย็นอยู่ตามธรรมชาติ ถ้าจะเข้าใจพระนิพพานถูกต้อง ก็รู้ว่าพระนิพพานคือ ปกติสูงสุดแหละ ไม่ใช่ยินดี ไม่ใช่ยินร้าย ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ คือไม่ใช่สุดเหวี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่ง สมดุลแหละปกติ จิตที่ไม่เป็นทุกข์คือ จิตที่สมดุลและเป็นปกติ เดี๋ยวนี้เราไม่ชอบนี่ปกติ เราชอบเอร็ดอร่อย สนุกสนาน โลดเต้น เป็นกิเลส ฝ่ายที่ปรุง ๆ ปรุงๆ เหมือนกับจุดไฟให้มันลุกโพลงๆ โพลงๆ มันมีเท่านี้แหละ มันมีว่า อย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ ทำให้ถูกต้องตามเรื่องของธรรมชาติตามกฎของอิทัปปัจจยตา ตามธรรมชาตินะ พอ วันหนึ่งๆ มันจะมี กี่สิบผัสสะ กี่ร้อยผัสสะก็แล้วแต่ ก็สุดแท้ เราฉลาดรู้เท่าทัน ควบคุมได้ เป็นผัสสะที่ถูกต้องอยู่เสมอ ไม่ให้โง่ที่ผัสสะ เป็นผัสสะผิด แล้วเกิดกิเลส และเป็นทุกข์ เราฉลาดทันเวลาผัสสะ เป็นผัสสะฉลาด ถ้าเรื่องที่มากระทบนั้นนะ จะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างก็ใช้ประโยชน์ไปเลย เมื่อไม่มีประโยชน์อะไรก็เลิกกันก็เฉยเสีย มันก็ดับไปเองพ้นเวลา พ้นระยะกาล มันก็ดับไปเอง เราก็ไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ ไม่ต้องมาเสียเวลากับไอ้เรื่องเป็นทุกข์ นี่ชีวิตนี้มันไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าเราไม่ปฏิบัติผิดเมื่อมันมีผัสสะ แล้วเราก็ทำหน้าที่ ที่มนุษย์ควรจะทำ แล้วแต่ว่ามันอยู่ในฐานะอะไร แล้วต้องมีหน้าที่ ที่กระทำให้ถูก ให้สมกับฐานะที่กำลังมีอยู่ เช่นเป็นเด็กทารกมันก็มีหน้าที่อย่างเด็กทารก เด็กวัยรุ่นมันก็มีหน้าที่อย่างเด็กวัยรุ่น คนหนุ่มคนสาวมันก็มีหน้าที่ตามคนหนุ่มคนสาว พ่อบ้านแม่เรือน คนแก่ คนเฒ่ามันก็มีหน้าที่ ทำหน้าที่ถูกต้องตามหน้าที่ ตามวัย ตามเวลา ตามเหตุการณ์ เพื่อว่าจะไม่ ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น มันจะมีอาหารกิน มันจะมีสุขภาพทางกายดี มีสุขภาพทางจิตดี ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ตามที่ควรจะทำ ถ้าทำอย่างนี้มันจะเหลือกิน เหลือใช้แหละ เพราะว่ามันไม่ได้เอาไปสนองกิเลส ที่เหลือกินเหลือใช้ก็เอาไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ต่างคน ต่างทำอย่างนี้ มันก็มีแต่คนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไอ้โลกนี้ก็เป็นโลกสันติสุข ที่เรียกว่า โลกพระศรีอริยเมตไตรย โลกที่สูงสุดด้วยเมตตา ศรีอริยเมตไตรย แปลว่า สูงสุดด้วยเมตตา คือความรักผู้อื่น เดี๋ยวนี้ยังมีมาไม่ได้ เพราะต่างคนต่างเห็นแก่ตัว เห็นแก่กิเลสของตัว ป้อนกิเลสของตัวก็ไม่รู้จักอิ่ม ยังไม่พอสำหรับจะป้อนกิเลสของตัว แล้วจะไปช่วยเหลือเพื่อนผู้อื่นอย่างไรได้ มันก็ทำไม่ได้ มันก็ไม่มีใครรักใคร มันมีแต่คนจะคอยจ้องจะเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเลี้ยงกิเลสของตัว คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่โลกพระศรีอริยเมตไตรย ไม่มีมิตรภาพสูงสุดได้ เพราะเห็นแก่ตัว กิเลสของตัวมากขยายตัวมากจนป้อน จนเลี้ยงไม่ไหว มันก็ไม่มีอะไรเหลือจะไป ไปช่วยผู้อื่น ทีนี้เมื่อหาหล่อเลี้ยงกิเลสโดย โดยสุจริตไม่ทัน มันก็ต้องทุจริต ทั้งทุจริต ทั้งหลาย ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางทำ มาจากการที่ว่าหาอะไรมา หล่อเลี้ยงกิเลสของตนไม่พอ ที่อันธพาลชั้นเลวมันก็ข่มขืนอย่างไรละ เพราะมันไม่มีทางหาอย่างอื่น เพราะฉะนั้น การข่มขืนมันจึงหนาขึ้นในโลก รกขึ้นในโลก เหลือประมาณ ทั้งที่เมืองไทยและ เมืองเทศ หรือทั่วกันทั้งโลก ที่พลเมืองมันควบคุมกิเลสไม่ได้ อันธพาลเหล่านั้นก็ใช่วิธีลัด คือ การข่มขืน หรือ การมีชู้ หรือ การมีอะไรก็ตามเถิด ซึ่งมันผิดหลักของศีลธรรม หรือศีลธรรมไม่อนุญาตให้ทำ เราก็ได้ ความทุกข์ร้อน เป็นโลกที่มีความทุกข์ร้อน สรุปความว่าเพราะเราไม่สนใจที่จะรู้หรือจะปฏิบัติ สิ่งที่ควรปฏิบัติ แล้วก็เตลิดไปรู้ไปปฏิบัติสิ่งที่มันไม่ควรจะปฏิบัติ คือมันส่งเสริมกิเลส ไอ้ส่วนที่มันจะควบคุมกิเลส ชนะกิเลสเราไม่สนใจ เพราะมันไม่สนุก มันไม่ มันไม่ ไม่ตรงกับเรื่องของกิเลส เรามีกิเลสเป็นเจ้าเรือนเสียแล้ว มีกิเลสเป็นนายเสียแล้ว จึงไม่สนใจเรื่องที่จะทำลายกิเลส ควบคุมกิเลส ไปสนใจกันแต่เรื่องที่ส่งเสริมกิเลส ก็ไปดูเอาเองเถิด หลักฐานพยานมันมีอยู่แล้ว ในบ้านเมืองที่เจริญนะ บ้านเมืองที่เจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองหลวงที่กรุงเทพฯ นั้นนะ คุณก็เห็นเองรู้เอง ผมยังรู้น้อยกว่าคุณ ว่าในกรุงเทพฯ มันมีสิ่งเหลือเฟือเท่าไร มีสิ่งที่เหลือเฟือ ผมก็รู้สึกเหมือนข้อความที่เคยอ่านมา คือคน คนหนึ่ง มันเข้าไปในร้าน เช่น ร้านสรรพสินค้าอย่างนี้เป็นต้นนะ เอาเงินไป แล้วไปเที่ยวดูๆ ดูจนทั่วทั้งร้าน ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร เพราะมันมีแต่ไอ้เรื่องที่มันไม่จำเป็นจะต้องใช้ สินค้าหลายร้อย หลายพันอย่างในร้านนั้นนะ มันไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องใช้ เลยไม่รู้จะซื้ออะไร เขาเขียนไว้ในหนังสือทางจิตวิทยา ทางไอ้ปรัชญานี้ บางทีผมเองก็เหมือนกันนะ ผมก็รู้สึกว่า ถ้าผมเข้าไปในร้านไอ้สรรพสินค้าอย่างนั้นนะ ผมก็ไม่รู้จะซื้ออะไรเหมือนกัน มันๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อนะ ไม่น่าเชื่อ แต่ผมเชื่อเอง เชื่อตัวเองว่าคงไม่รู้จะซื้ออะไร เพราะว่าไอ้บ้านเมืองที่มันเจริญไปด้วยวัตถุ ผลิตเพื่อกิเลส อุตสาหกรรม หรือเครื่องจักรทั้งหลาย ผลิตวัตถุเป็นเนรมิตมากมาย ล้วนแต่วัตถุเพื่อสนองกิเลส ส่งเสริมกิเลส ให้คนตกเป็นทาสของกิเลส ไปดูเอาเองมันหลายชั้นเหลือเกิน ที่จะกินก็เกินความต้องการ เป็นเรื่องของกิเลส ที่จะนุ่งห่มก็เป็นเรื่องเกินความต้องการ เป็นเรื่องของกิเลส ที่จะใช้สอย อาศัย นั้นก็เกินๆ เกินจนเป็นเรื่องของกิเลส เครื่องมือเครื่องใช้ไม้สอย บ้านเรือน อะไรก็ตาม มันเกินความจำเป็นตามธรรมชาตินะ เราทำบ้านเรือนพออยู่สบายตามธรรมชาติ ผมคิดว่าหลังหนึ่งคง คงไม่ ไม่กี่แสนหรือหมื่นๆ ก็คงพอจะอยู่ได้ เดี๋ยวนี้เขาต้องการบ้านราคาล้านทั้งนั้นนะ หรือหลายๆ ล้านยิ่งดี บางบ้านจะหลายสิบล้านเอา มันก็เพื่อให้กิเลสของมันอยู่ทั้งนั้นแหละ ดูเถิดว่ามันให้กิเลสเป็นเจ้านาย หรือดึงไป ดึงไปเพื่อสนองกิเลส นี่คือโลกปัจจุบัน แม้แต่หยูกยา แก้ไข้ปัจจัยที่ ๔ มันก็ต้องการจะให้วิเศษ พิเศษ เช่นไม่ขม หรือไม่เจ็บ หรือจะไม่รู้สึก เหมือนกับยา อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเป็นสมัยโบราณมันก็ต้องกินยาขมแหละ หรือมันก็ต้องทำอะไรที่เจ็บปวด แต่เดี๋ยวนี้มันจะต้องไม่ให้เหม็น ไม่ให้ขม ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด แล้วก็หายโรค แล้วต้องหายเกินหาย หมายความว่าหายในทางที่จะเกินหาย เพื่อมันก้าวหน้าในทางสนองกิเลส แต่แล้วในที่สุด ธรรมชาติมันก็ตอบแทนด้วยความทุกข์ที่มากกว่าเดิม ด้วยเรื่องกิน เรื่องนุ่งห่ม เรื่องอยู่อาศัย ใช้สอย หยูกยาอะไรก็ตาม กลายเป็นเรื่องเพิ่มความทุกข์อันมากกว่าเดิม เข้าใจว่าเรื่องเหล่านี้คงจะเห็นเอง กันทุกองค์ ทุก ทุกๆ คนนะ จะเห็นเอง รู้สึกเอง เห็นอยู่ด้วยตนเอง อย่าง สันทิฏฐิโก ด้วยกันทุกคน ว่ามันกำลังเป็นอย่างนี้อยู่จริงๆ สรุปความว่าเพราะเหตุไร เพราะเหตุอะไรเราจึงไม่สนใจส่วนที่มันควรจะรู้ และจะปฏิบัติ เราไปสนใจไอ้ส่วนที่มันไม่จำเป็นต้องรู้ และต้องปฏิบัติ เป็นส่วนเฟ้อ ดังนั้น เปลี่ยนเสียใหม่ถือหลักว่าจะรู้ จะปฏิบัติ ส่วนที่ควรรู้และควรปฏิบัติ ส่วนที่เกินนั้นเป็นอจินไตย อย่าไปเอากับมันเลย เรียนพุทธศาสนาก็เรียนให้รู้เรื่องที่ว่า ไม่ทำผิดเมื่อผัสสะ นั่นมันเป็นคำที่สั้น สั้นเกินไปจนใครไม่ชอบก็ได้ แต่ถ้าจะพูดให้มันยาว ถึงขนาดมาตรฐาน ก็จะพูดอีกคำหนึ่งนะ ว่าอยู่ มีชีวิตอยู่ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด มีชีวิตอยู่ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด จะพอหมด มันจะป้องกันผัสสะไม่ให้ผิด มันจะแก้ไขผัสสะที่ผิดแล้ว แล้วมันก็จะให้ดำเนินไปแต่ในทางที่ถูกต้อง ถึงที่สุดแห่งความดับทุกข์ คือพระนิพพาน นี่ทีนี้คำพูด คำเรียกมันมีหลายคำอย่างนี้ ถ้าเราพูดกันแต่ใจความแท้ๆ ก็คือไม่ทำผิดเมื่อผัสสะก็พอแล้ว มันจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้น แต่ถ้าจะพูดให้ ให้น่าสนใจกว่านั้นหรือว่าให้มันมีอะไรมากหน่อย ก็มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง เพียงมีชีวิตอยู่โดยหลักอริยมรรคมีองค์แปด นี่ก็ศึกษาให้ ให้พอ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อ้า, สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว นี้มันถูก ถูกต้อง ความถูกต้องทางฝ่ายวัตถุ ทางกาย ทางวาจา อ้า, สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่ถูกต้องทางจิต แล้วสัมมาสัง อ้า, ทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป นี่มันถูกต้องทางปัญญา ทางสติปัญญา หมดแล้ว หมดแล้ว ถูกต้อง ๓ ทาง แล้ว พอแล้ว ดังนั้น ก็จะพูดเสียใหม่ว่า อยู่อย่างมีความถูกต้อง ๓ ทาง ทางกาย ทางวัตถุนี้อย่างหนึ่ง และก็ทางจิตอีกอย่าง แล้วก็ทางสติปัญญาอีกอย่าง โดยหัวข้อเหล่านี้ พยายาม ศึกษาให้เข้าใจ อย่าให้เป็นเพียงตัวหนังสือมากๆ แล้วก็ไม่รู้อะไร ต้องเข้าใจๆ เข้าใจเป็นสันทิฏฐิโก เข้าใจกันจริงๆ ใช้ประโยชน์ได้คือ ใช้ปฏิบัติได้ นี่เรื่องที่จะพูดวันนี้ ผมว่า ก็ไม่มีเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องที่เคยพูดมาแล้ว แต่มันจะมาผสมผสานให้ชัดลงไปตรงที่ว่า เรากำลังทำผิดอยู่ในข้อที่ไปสนใจเรื่องเกินจำเป็น อยากรู้เผื่อไว้ เพื่อจะเอาให้มาก เพื่อจะเอาอะไรให้มาก เพื่อจะเอาไอ้ผล ของได้ ผลได้หรือเหยื่อของกิเลสมันมาก มันกลายเป็นเกิดปัญหา ทีนี้เราจะสนใจแต่ที่จำเป็น ที่มันควรและจำเป็น ให้ถูกกับเรื่อง อ้า, ของปัญหาของมนุษย์ มันไม่มากหรอก มันไม่มาก จนอย่างที่เขาพูดกัน ไอ้ธรรมะที่จำเป็นแก่ชีวิตมนุษย์นี้มันไม่มากมายอย่างที่เขาพูดกัน แล้วมันก็ ไม่เหลือวิสัยด้วย ถ้าธรรมะเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยแล้วก็ ไม่มีประโยชน์อะไร และพระพุทธเจ้าก็จะไม่เป็น พระพุทธเจ้าแหละ เพราะตรัสสิ่งที่เหลือวิสัย พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสสิ่งที่อยู่ในวิสัยที่ปฏิบัติได้ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ จึงสำเร็จประโยชน์แก่พวกเรา ท่านจึงเป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงแก่พวกเรา ก็ไม่เสียทีที่เรายังเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า สอนให้เรารู้พอดี พอดี ปฏิบัติให้ถูกต้องพอดี พอดี แล้วก็เราดับทุกข์ได้จริง ไม่มีเรื่องเฟ้อของกิเลส ยิ่งเจริญก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ ยิ่งเจริญยิ่งเพิ่มความทุกข์ ดู ดูๆ ดูตัวเองแต่ละคนๆ ดูของตัวเอง เรายิ่งเจริญชนิดที่ยิ่งเพิ่มความทุกข์ให้แก่เราหรือเปล่า ก็รีบจัดการเสียใหม่ให้ถูกต้อง โดยหลักที่ว่า รู้เท่าที่จำเป็น ปฏิบัติเท่าที่จำเป็น ที่มันเป็นอจินไตยนั้น อย่าเอาเลย เวลาหมดแล้ว อย่าท้อใจว่าไม่ ไม่ได้เรียน หรือเรียนได้ไม่กี่มากน้อย อย่าไปคิดอย่างนั้นแล้วท้อใจ ที่จริงมันจะเฟ้ออยู่แล้วทั้งนั้นแหละ เพราะว่าเราไม่ ไม่สนใจที่จะเข้าใจ ไอ้ที่ได้ยินได้ฟังนั้นนะให้เป็นเรื่องที่ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมา มันจะรู้สึกคล้ายๆ ไม่รู้อะไร ยังไม่รู้อะไร ยังทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้ารู้เพียงว่าอย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ รู้เรื่องผัสสะ รู้เรื่องการทำผิดเมื่อมีผัสสะ มันก็พอ หรือจะเรียกให้มันกว้างไปว่าเป็นอริยมรรคมีองค์แปด ถูกต้อง ๘ ประการ มันก็ ก็ยิ่งพอ ยิ่งชัดเจน มันป้องกันไม่ให้ทำผิดเมื่อมีผัสสะ ให้ทำถูกเมื่อมีผัสสะ ไอ้โลก โลกทั้งหมด หรือจักรวาลทั้งหมดมันมารวมอยู่ที่คำว่าผัสสะ เพราะมันเข้ามาสู่เราทางผัสสะ มันมารวมอยู่ที่ผัสสะ ถ้าเราควบคุมผัสสะได้ก็มันเท่ากับควบคุมโลกทั้งโลก หรือจักรวาลทั้งจักรวาลได้ ผีสาง เทวดาอะไร ก็ไม่มาทำอะไรเราได้ ถ้าเราควบคุมผัสสะได้ ไอ้โชคร้าย หรือผีสาง เทวดา แม้แต่เคราะห์กรรมมันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราควบคุมผัสสะไว้ได้ ถ้าอยากจะอยู่เหนืออำนาจผีสาง เทวดา เคราะห์กรรม โชคลางอะไรต่างๆ แล้วจงควบคุมผัสสะไว้ให้ได้อย่างเดียวพอ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ที่ว่าสุข ทุกข์นะ ไม่ใช่เพราะพระเจ้า สุข ทุกข์นั้นไม่ใช่เพราะกรรมเก่า เพราะกรรมทำผิดในผัสสะที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าว่ามี กรรมเก่าจริง มันจะมาให้ผล เราก็ป้องกันไว้ได้นะด้วยผัสสะ ทำผัสสะให้ถูกต้องไว้เรื่อยไปเถิด ไอ้กรรมเก่า กรรมร้าย กรรมชั่ว กรรมเก่าก็ไม่มาถูกต้องได้ เพราะมันไม่เกิดการปรุงแต่งที่ผิดและเป็นทุกข์ เมื่อมี กฎของอิทัปปัจจยตา ควบคุมผัสสะให้ผัสสะมันถูกต้องอยู่เสมอ อย่ารู้สึกว่ามัน อ้า, มันมากแล้วก็ปฏิบัติไม่ไหว แล้วก็อย่ารู้สึกว่านิดเดียวไม่น่าเชื่อ ควบคุมผัสสะให้ได้เท่านั้นพอ พอพูดอย่างนี้บางคนก็จะคิดว่าไอ้นี่มันนิดเดียวไม่น่าเชื่อ หลอกกันแล้ว ไม่จริงแล้ว อย่างนี้เป็นต้น ไอ้คำว่านิดเดียวนั่นเพราะมันรวมหมด ถ้าผมพูดว่าผัสสะอย่างเดียวควบคุมให้ถูกต้อง อย่าเข้าใจว่าเป็นเรื่องหลอก พูดนิดเดียว จะให้พูดกันมากๆ ก็ได้ มันก็เฟ้อ เพียงแต่พูดว่ามรรคมีองค์แปด นี่มันก็ชักจะมากไปแล้ว สู้ผัสสะอย่างเดียวไม่ได้ ควบคุมผัสสะอย่าให้มันเป็นผิดมันก็ไม่เกิดความทุกข์ หรือจะไม่เกิดอะไรอีกหลายๆ อย่างนะ จะไม่เกิดความเห็นผิด เชื่อผิด อะไรหลายๆ อย่าง อย่าให้ผัสสะมันหลอกหลอนได้ เราเกิดมิจฉาทิฏฐิเพราะว่าผัสสะมันหลอกให้เห็นไปว่าอย่างนั้น ถ้าเราจะเกิดสัมมาทิฏฐิก็เพราะว่ามีผัสสะถูกต้อง รู้ตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไรก็เกิดสัมมาทิฏฐิ ความทุกข์เกิดที่จิตเพราะทำผิดเมื่อผัสสะ พูดไปหลายวันแล้ว คุณอาจจำได้ ๓ บรรทัด ความทุกข์เกิดที่จิตเพราะทำผิดเมื่อผัสสะ แล้วอะไรอีก ความทุกข์จะไม่โผล่ถ้าไม่โง่เมื่อผัสสะ แล้วอะไรอีก ความทุกข์เกิดไม่ได้ถ้าเข้าใจเรื่องผัสสะ อะไรๆ อยู่ที่ผัสสะ ถ้าผัสสะโง่เกิดเป็นทุกข์ ผัสสะฉลาดก็ไม่มีความทุกข์ ผมพูดเองผมยังลืม คุณยังจำได้ ความทุกข์เกิดที่จิตเพราะทำผิดเมื่อผัสสะ ผัสสะเป็นสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันตลอดเวลา อย่าทำผิดเมื่อผัสสะ นี่ผมก็ ผมก็บอกตามจริงนะ อันนี้มันชักจะบ้า จะบ้าทุกที มีแต่เกินๆ เกินๆ ทุกที ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มี แล้วไม่รู้ใครเอามันมาวาง แล้วก็ไม่ได้ขอร้องให้เอามาวาง ไม่รู้เอามาวางเมื่อไร นี่ถ้ามันจะมากขึ้น มากขึ้นๆ ละก็ มันๆ มันงอกออกไปเป็นเปลือก เป็นพิธีรีตอง เมื่อพระพุทธเจ้าท่านอยู่กันในเชตวัน เวฬุวัน อะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่มี ไม่มี มันไม่มีสิ่งชนิดนี้ เหล่านี้ มันมีแต่ธรรมชาตินะ แม้แต่ลงอุโบสถก็นั่งลงกันกลางสนามหญ้า ไม่มีอาคารนะ ในบาลีพบหลายแห่ง ลงอุโบสถกลางสนามหญ้า ไม่ได้ในอาคารนะ พอฝนตกพายุมาก็ให้เลิกได้ เลิกอุโบสถได้ ไม่เป็นอาบัติอะไร แล้วไม่ได้ทำกันในโบสถ์ ท่านก็อยู่กันได้ ท่านก็ทำกันสำเร็จประโยชน์จนเกิดเป็นศาสนาขึ้นมาสำหรับโลก ทีนี้มันก็เปลี่ยนวกไปหาไอ้ส่วนที่เกิน หรือไม่ต้องทำ ก็มาเสียเวลายุ่งกันกับไอ้เรื่องเหล่านี้ เลยไม่ได้ทำสิ่งที่ควรจะทำ นิมนต์ ปิดประชุม กลับ