แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันครั้งนี้มีหัวข้อว่า คือธรรมะจะให้อะไรแก่เราในที่สุด นี้ก็คืออานิสงส์ของธรรมะนั่นเอง ในครั้งแรกเราพูดกันถึงว่าการเตรียมตัวสำหรับศึกษาธรรมะ เราพูดกันแต่ถึงหัวข้อว่าธรรมะนั้นมันคืออะไร ทำไมจึงต้องธรรมะ และธรรมะโดยวิธีใด แล้วธรรมะจะให้อะไรแก่เรา อันที่จริงถ้าเรารู้ว่าธรรมะคืออะไรโดยแท้จริงแล้ว มันก็จะไม่ต้องเสียเวลาพูดกันถึงเหตุปัญหาข้อหลังๆ ถ้ารู้ว่าธรรมะมันคืออะไรแล้วก็มันจะเห็นได้เองแหละ มันจะให้อะไรแก่เรา หรือว่ามันจะเกิดอย่างไร จะดับอย่างไร อะไร มันๆ มันมีแสดงอยู่ในตัวธรรมะนั้น การที่เราแยกพูดเป็นข้อปลีกย่อยน้อยๆอย่างนี้ก็เพื่อจะชี้ระบุ ชี้เฉพาะส่วนที่จำเป็นจะต้องรู้หรือจะต้องทำ แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดนะ มันไม่ใช่ทั้งหมด เราพูดกันแต่เฉพาะเรื่องที่เราจะต้องทำ ทั้งหมดนั้นมันทำไม่ได้ เราไม่ได้กินทั้งหมด เราไม่ได้ใช้ทั้งหมด ไม่ได้อะไรทั้งหมด เรากิน เราใช้ เราเกี่ยวข้องแต่เท่าที่มันจำเป็น เราจึงต้องแยกออก พูดกันให้เห็นว่าธรรมะคืออะไร ทำไมจึงต้องมีธรรมะ และมีกันโดยวิธีใด
ถ้าเรารู้ว่าธรรมะคืออะไรโดยสมบูรณ์นั่น มันรู้หมดเลย ธรรมะคือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น ธรรมะคือกฎของธรรมชาติเหล่านั้น ธรรมะคือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลจากการปฏิบัติ ในธรรมะคำเดียวมี ๔ ความหมายถึงอย่างนี้ ที่นี้เรารู้สิ่งที่เป็นธรรมะคำเดียวมันก็รู้หมด แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ศึกษากันในรูปแบบนั้น เราแยกพูดคนละที เมื่อพูดว่าธรรมะคือธรรมชาติ คุณคิดดูสิ มันจะเป็นอย่างไร เมื่อธรรมะคือตัวธรรมชาติ นั่นมันจะเป็นอย่างไร ก็ธรรมะมันก็คือตัวเราเอง ธรรมะก็คือตัวเราเอง ตัวเราเองทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งกายทั้งใจ ทั้งอะไรทั้งหมดคือธรรมชาติ ธรรมะก็คือตัวเราเอง คือชีวิต คือธรรมชาติ ฉะนั้นธรรมะมันก็คือตัวชีวิตนั่นเอง ถ้าจะพูดว่าธรรมะเป็นของจำเป็นสำหรับชีวิต เป็นของคู่กันกับชีวิต มันยังน้อยเกินไป เพราะว่าโดยที่แท้แล้วธรรมะมันคือตัวชีวิตนั่นเอง ชีวิตมันก็ประกอบขึ้นด้วยธรรมชาติ มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ชีวิตมีหน้าที่ที่จะต้องประพฤติกระทำตามกฎของธรรมชาติ และกำลังได้รับผลของการประพฤติปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา ชีวิต คือ ธรรมะ อย่างนี้สิ ธรรมะ คือ ชีวิต ชีวิต คือ ธรรมะอย่างนี้ เรากล้าท้าว่าไม่มีที่ไหนในโลกเขาสอนกันอย่างนี้ มันจะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรายไหนในโลก มันก็ไม่ได้ได้ยินคำสั่งสอนอย่างนี้ หรือเรียนกันอย่างนี้ เพราะเขามีอะไรที่เขาจัดไว้ กำหนดไว้ บัญญัติไว้ตามแบบของเขา
เดี๋ยวนี้ เรามันศึกษากันตามแบบของพุทธศาสนาที่มีหลักเกณฑ์ลึกลงไปถึงว่ามันมีความหมายอย่างนี้ถึง ๔ ความหมาย ธรรมะมีความหมายถึง ๔ ความหมาย และเป็นเรื่องของธรรมชาติทั้งนั้นเลย เราจะมีคำตอบได้ตามแบบของเราว่า ธรรมะก็คือธรรมชาติ คือธรรมชาติทุกเรื่อง ทุกชนิด ทุกแง่ ทุกมุม คือธรรมะ มันก็ไม่มีใครพูดกันอย่างนี้หรือสอนกันอย่างนี้ที่ไหนในโลก ทีนี้เราก็บอกให้เห็นว่า พุทธบริษัทเขามองกันอย่างนี้ เขาเห็นกันอย่างนี้ ตามหลักที่จัดไว้สอนไว้เอามาพิจารณาดู ถ้ามันจะเห็นอย่างนี้นะ ธรรมะมันเป็นตัวชีวิตเสียเองเลยพูดได้อย่างกำปั้นทุบดินว่าถ้ามีธรรมะก็คือมีชีวิต ถ้ามีธรรมะก็คือมีชีวิต ถ้ามีชีวิตอยู่ก็คือมีธรรมะที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีธรรมะที่ถูกต้องมันก็ตายแล้ว มันก็ไม่มีชีวิต นี่จะเห็นได้อยู่ในตัวมันเอง มองดูได้ที่ในตัวมันเองครบทุกอย่างว่า ธรรมะคืออะไร ธรรมะมาจากอะไร ธรรมะเพื่ออะไร ธรรมะโดยวิธีใด มีผลอย่างไรนั้น ได้บอกให้อย่างนี้ ก็เพื่อถ้าคุณเข้าใจธรรมะโดยแท้จริงแล้วมันจะมองเห็นอย่างนี้ ถ้ายังไม่มองเห็นถึงขนาดนี้ก็ยังไม่รู้ธรรมะโดยสมบูรณ์ กระผมบางทีก็นึกสงสารตัวเองเหมือนกันนะ ว่ามันเป็นคนบ้า หรือคนอื่นเขาก็จะมองเห็นว่าผมก็เป็นคนบ้า มันสอนอะไรมากเกินความจำเป็น สอนอะไรลึกเกินความจำเป็น มันกว้างเกินจำเป็น มันทำให้ผู้ฟังมานั่งโงก สัปหงกๆอยู่บ่อยๆ แต่แล้วมันก็ช่วยไม่ได้ มันช่วยไม่ได้ มันทำได้แต่อย่างนั้น มันทำอย่างอื่นไม่ได้ เห็นก็สอนตามที่มองเห็น เรื่องทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นก็มีส่วนที่เกินจำเป็นอยู่บ้าง มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เพียงแต่ มันลึก มันลึก เกินกว่าที่เขาพูดกันอยู่ หรือเขาสอนกันอยู่ ธรรมะ คือ ระเบียบปฏิบัติที่จำเป็นแก่ชีวิตหรือแก่มนุษย์นี่ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขาก็ไม่ค่อยพูดกันหรอก ก็ไม่ค่อยพูดกัน ไปดูเอาเองเขาพูดกันที่ไหนเล่า เมื่อธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลจากหน้าที่นั้นๆ มันก็ไม่ได้สอนกันนะ คือมันไปเอามาทั้งหมด ไม่เอามาแยกแยะคราวเดียวทั้งหมดแล้วก็แสดงให้เห็น จนกระทั่งเห็น ก็อ้าว ถ้าอย่างนั้น มันก็คือ คือเรื่องทั้งหมดในสากลจักรวาลหรือแล้วแต่จะเรียก ไม่รู้จะเรียกด้วยคำไหนดีที่จะให้มันหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดามีในสากลจักรวาลหรือนอกไปจากสากลจักรวาล ก็เรียกว่าเป็นเรื่องสากลจักรวาลหรือนอกสากลจักรวาล ก็ยังคงเป็นเรื่องธรรมะอยู่นั่นเอง ธรรมะคือตัวธรรมชาติ มันก็ได้แก่ร่างกายเรา ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ก็ได้แก่กฎเกณฑ์ที่ควบคุมร่างกายเราอยู่ ธรรมะเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ มันคือการประพฤติกระทำที่ร่างกายชีวิตของเรากระทำอยู่ ธรรมะคือผลจากการปฏิบัติหน้าที่ แล้วก็กำลังได้รับอยู่ตลอดเวลา ในเมื่อมันมีการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา เรื่องกิน เรื่องอาบ เรื่องถ่าย เรื่องเจ็บ เรื่องตาย เรื่องสุข เรื่องทุกข์อะไรก็ตาม มันก็ได้รับอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๔ ความหมายนั้น มันก็รวมอยู่ในคนๆนั้น แต่ละคนๆ และก็ทุกคนไปแล้วสิ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานด้วยซ้ำไป สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องมีตัว เนื้อ ร่างกายของมัน ทั้งหมดนั้นอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ สัตว์เดรัจฉานก็ดิ้นรนต่อสู้เพื่อการเป็นอยู่ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะของมัน แล้วสัตว์เดรัจฉานก็ได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ เช่น ควายมันไปกินหญ้า มันก็ได้อิ่ม ได้มีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างนี้ เป็นต้น ทีนี้ผมว่าไม่มากเกินไป แต่คนเป็นอันมากเขาเห็นว่ามันสอนมากเกินไป มันเอามาอธิบายมากเกินไป นอกขอบเขต แต่ผมก็ว่าไม่นอกขอบเขต เพราะขอบเขตมันมีอยู่เท่านี้ ที่ว่าควรจะรู้จนถึงกับว่ามันจะรักธรรมะ มันจะพอใจในธรรมะ มันจะถือเอาธรรมะเป็นที่พึ่งโดยแท้จริง แล้วก็มีอยู่บ่อยๆ ถ้าพูดละเอียดถึงขนาดนี้ มันกลายเป็นเป่าปี่ให้เต่าฟัง คือผู้ฟังมานั่งโงก นั่งสัปหงกอยู่เป็นแถวๆเลย นี่มันก็มีอาการเป่าปี่ให้เต่าฟังอยู่บ่อยๆ เขาว่าก็ถูกเหมือนกัน
นี่เราจะพูดกันเฉพาะวันนี้ในแง่ที่ว่า อานิสงส์ของธรรมะนั้นเป็นอย่างไร มีธรรมะแล้วเป็นอย่างไร ก็ดูเอาเองสิ ที่พูดมาแล้วนะทุกตอน มันบอกให้เห็นชัดอยู่แล้วนั้นว่าเป็นอย่างไร ธรรมะมันจำเป็นที่จะให้รอดชีวิต มันคือตัวชีวิต ธรรมะคือสิ่งที่ทำให้รอดชีวิตอยู่ได้อย่างดีที่สุด นี่คือธรรมะในส่วนที่ควรจะได้ หรือจะเรียกว่า ต้องได้เสียดีกว่า คือถ้ามันไม่ได้มันก็ตายนะ ฉะนั้นมันต้องได้ ที่ส่วนที่ดีไปกว่านั้นควรจะได้ แล้วมันไม่ตายแล้ว แต่มันควรจะได้อะไรยิ่งขึ้นไปอีกมันก็ควรจะได้ ธรรมะส่วนนี้เราจะพูดว่าสิ่งที่ควรจะได้ ธรรมะส่วนแรกเราจะพูดว่าต้องได้ถ้าไม่ได้มันก็ตาย นี่คือธรรมะส่วนหนึ่งส่วนแรกนั่นก็คือ สิ่งที่ควรต้องได้ ต้องมี ถ้าไม่ได้ไม่มี มันก็ตาย เช่น ถ้าไม่มีการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วมนุษย์คนนั้นมันก็ต้องตาย ที่นี้มันมีแล้ว มันไม่ตายแล้ว ควรจะทำให้ดียิ่งๆขึ้นไป ให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่เสียทีที่เกิดมา หมายความว่าเกิดมาครั้งหนึ่ง มันอาจจะได้อะไรมากมายถึงที่สุด มันควรจะได้ ถ้ามันสามารถทำได้ มันอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ เราก็ควรจะได้ แต่แล้วก็ดูเถิด มนุษย์กี่คนมันไปถึงจุดๆนี้ คือสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ ถ้าพูดอย่างชาวบ้านในภาษาคนธรรมดา ถามว่ามีกี่คนที่บรรลุพระอรหันต์ มันมีกี่คน ถามอย่างนั้นก็ได้ แต่มันไม่รู้ว่าพระอรหันต์คืออะไร มันก็เป็นคำพูดเพ้อๆไปเหมือนกัน เราจึงมักจะพูดว่ามีกี่คนที่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้เต็ม จริยธรรมสากลเขาไปรวบรวมเอามาจากที่นั่นที่นี่ เขาเรียกว่า ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ อย่างนี้ก็มี จริยธรรมสากลเขาก็เล็งถึงสิ่งสูงสุด หรือสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ มันเรียก Summum Bonum ภาษาสากลนั้นเขาก็ใช้ภาษาละติน เขาใช้คำว่า Perfectionism man perfected คือมนุษย์ที่เต็ม ที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ แสดงว่าเขารู้เหมือนกันนะว่า มนุษย์ต้องไปจนถึงนั้นน่ะจึงจะเป็นมนุษย์ที่เต็ม มีความสุขด้วย และก็มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ด้วย และกลายเป็นคนทำหน้าที่เพียงเพื่อหน้าที่ คือไม่มีตัวกูของกูสำหรับจะเอาอะไร เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวกูของกู มันกลายเป็นเพียงว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ Duty for duty success ก็ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เหมือนพระอรหันต์ท่านทำอะไร ท่านทำเพื่อหน้าที่ ไม่ได้ทำเพื่อตัวกู แต่คนธรรรมดาสามัญทั้งหลายจะทำอะไรก็ทำเพื่อตัวกูทั้งนั้นแหละ มันจึงอยู่กันคนละระดับ ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าถ้าไม่มีตัวกู มันก็ไม่ๆเห็นแก่ตัว มันว่างต่อความเห็นแก่ตัว นี่เขาเรียกว่าความรักผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ความรักผู้อื่นหรือเมตตาชั้นสูงสุดนะ มันต่อเมื่อไม่มีตัวตนของตน คือไม่มีอะไรจะเป็นตัวกูของกู ที่จิตมันไม่มีการกระทำหรือมุ่งหมายในตัวกูของกู มันก็ทำไปตามหน้าที่อย่างที่ว่า มันก็เกิดผลขึ้นมาอย่างครอบจักรวาล จริยธรรมสากลเขาเรียกความเมตตาอันนี้ว่า The universal love ความรักสากล ความรักตลอดสากล นี่เรียกว่าผลของจริยธรรม คือ การประพฤติถูกต้องตามหลักของจริยธรรม นำมาซึ่งผลแก่จักรวาล แทนที่จะพูดว่าแก่บุคคล มันก็ได้แก่บุคคลทุกคนทั่วทั้งสากลจักรวาล มันมีความสุขข้อแรก อันนี้ความสุข ข้อสอง มันมีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ ข้อสามมันมีแต่การกระทำหน้าที่เพื่อหน้าที่อย่างสม่ำเสมอเหมือนนาฬิกาเดิน คุณเหลียวไปดูนาฬิกาทำหน้าที่เที่ยงแท้แน่นอน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ถ้ามันมีชีวิตนะ นาฬิกามีชีวิต ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เราก็เหลียวไปดูนาฬิกาแล้วมันละอายนาฬิกาทุกที ที่เรามันไม่ค่อยทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่เหมือนกับนาฬิกา และอันสุดท้ายก็เกิดความรักสากล เมตตาอันไม่มีขอบเขต ข้อนี้มันมีความหมายอันละเอียดอยู่ที่ว่า อันเมตตาด้วยเจตนาจะรักมันยังหลอกลวงอยู่ มันจะเป็นไปเพื่อตัวมันเอง ที่มันรักคนอื่นเพื่อตัวแก่ตัวมันเอง ถ้ามันยังมีตัวตนอยู่ มันยังเห็นแก่ตัวตนอยู่ มันก็เจตนาที่จะรักผู้อื่นเพื่อจะได้ประโยชน์แก่ตนเอง ถ้าเพียงเท่านี้มันยังเป็นเมตตาหลอกลวงอยู่นั่นแหละ เขาก็ถือกันโดยมากว่าแค่นี้ๆ ไม่มีใครเคยนึกไปถึงว่าเมตตาแท้จริงนะ มันก็ มันก็ถึงขั้นที่ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนจะเห็นแก่ตัวตนแล้ว มันก็เลยรักสากล ไม่มีเจตนาจะรัก รักโดยอัตโนมัติ นั่นแหละเมตตาบริสุทธิ์ ที่ว่าเมตตา เมตตากรุณานี้มันยังมีตัวตนนะ ถึงแม้พรหมวิหารมันก็ยังมีตัวตนนะ พวกพรหมทั้งหลายยังมีตัวตนนะ ต้องเป็นพระอรหันต์ไปแล้วมันถึงจะไม่มีตัวตน อันเมตตากรุณาของพระอรหันต์จึงสูงกว่าเมตตากรุณาของพวกพรหมที่ยังมีตัวตน ทีนี้เมตตากรุณาของชาวบ้านธรรมดานี่ ยิ่ง ยิ่ง ยิ่ง ยิ่งเลว ยิ่งเลวลงไปกว่านั้น มันมีตัวตนจัด รักผู้อื่นเพื่อได้ประโยชน์แก่ตัวตน เพื่อไปหาเอาความเป็นพวก แล้วก็มาหาประโยชน์ด้วยกัน อย่างนี้ไม่ต่าง เมื่อรู้จักคำว่าเมตตาสากล ไม่มีขอบเขต ไม่มีเจตนากันเสียบ้าง ซึ่งเป็นเมตตาของพระอรหันต์ผู้หมดตัวตน เรื่องนี้เราเคยเขียนตอบให้แก่คนๆหนึ่ง ที่เขาเขียนมาจากอเมริกา เขียนถามมายังเจ้าคุณอนุมานราชธน เจ้าคุณอนุมานราชธนไม่รู้จะตอบอย่างไร โยนมาให้ผมช่วยตอบ ผมก็เขียนอย่างนี้ล่ะ อันเมตตาแท้จริงคืออย่างนั้น ก็เข้าใจว่าไม่มีประโยชน์อะไรหรอก คำตอบนั้นคง ก็ตายด้านไม่มีใครฟังเข้าใจ อันเมตตาที่แท้จริงเป็นเมตตาดี ไม่ได้เจตนาเพราะมันไม่มีตัวตนของบุคคลผู้ไม่มีตัวตนแล้ว เข้าใจว่าฝรั่งฟังไม่ถูก เพราะเขาไม่ได้เรียนกันถึงเรื่องมันไม่มีตัวตน
นี่ ต้องการจะพูดนิดเดียวว่า อานิสงส์หรือประโยชน์ของธรรมะนั่น เมื่อปฏิบัติจนถึงที่สุดแล้วมันจะได้อะไร มันได้มากอย่างนี้ มันได้มากๆจนเหลือประมาณอย่างนี้ ได้ความสุขที่แท้จริง และก็ได้ความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ และก็ได้การทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ไม่ใช่เพื่อตัวกู แล้วก็ได้ความรักสากล ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ผู้ที่เห็นแก่ตัวก็ บ้า บ้าแล้ว บ้าแล้ว เอาไปทำอะไร กูไม่ต้องการหรอกประโยชน์ขนาดนี้ เพราะว่ายังต้องการเงินทอง ข้าวของ ทรัพย์สมบัติ กามารมณ์อะไรอยู่ เขาก็ไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ เราก็พูดเหนื่อยเปล่า แต่เรามันก็อดไม่ได้ เพราะว่าเรามันต้องพูดตามความจริงที่มันมีอยู่ จะพูดเพียงเพื่อประโยชน์ของใครบางพวกนั้นทำไม่ได้หรอก มันจึงพูดหมด ว่ามันจะได้รับประโยชน์ถึงขนาดนี้ เสร็จแล้วไม่มีใครต่างหาก มีแต่คนสั่นหัว แล้วบางทีก็ไม่เข้าใจด้วย นี่มันมาจากธรรมชาติ มันมาจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่ใช่ว่ามนุษย์ผู้มีความเห็นแก่ตัวคนใดคนหนึ่งจะบัญญัติกฎเกณฑ์นี้ขึ้น ถ้ามนุษย์ธรรรมดาบัญญัติกฎเกณฑ์อะไรขึ้นมา มันจะไม่เป็นอย่างนี้ มันจะไม่เป็นอย่างที่ว่านี้ มันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่มนุษย์ผู้มีปัญญา เช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น ท่านได้ค้นพบว่ามันมีกฎเกณฑ์อย่างนี้ เสร็จแล้วมันก็อยู่เหนือวิสัย เหนือระดับที่ใครจะต้องการ ไม่มีใครต้องการ มันก็เป็นหมัน ไม่ต้องสงสัยใครพูด เรื่องมัน แต่มันก็ขัดกันอยู่ในตัว พูดเรื่องที่ไม่มีใครต้องการ เพราะมันดีเกินไป เอาละ เรารู้ไว้ก็แล้วกัน ถึงว่า ธรรมะนี่มันมีเรื่องของมัน ลึกๆไกล ถึงขนาดนี้ ถ้าพูดกันไม่หมด มันก็ต้องพูดอย่างนี้ ตัดลัดเอาเฉพาะที่มนุษย์จะเกี่ยวข้องได้ ก็ลดลงไปสิ อย่างเช่นว่า ความสุขมีอรรถรสเท่าที่ตัวเองต้องการ ในความสุขของชาวบ้านนะ มันเป็นความรู้สึกที่หลอกลวง ความสุขของปุถุชน คือ ความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีความเอร็ดอร่อยตามต้องการของกิเลส แล้วเขาก็เรียกว่าความสุข นั่นเอาความสุขกับปุถุชนมาหลอกลวงแล้วมันจะต่ำ แล้วมันจะเลวก็ได้ ถึงขนาดมันทำให้หลงใหล มันคือความหลงใหลชนิดหนึ่ง สูงขึ้นมากว่านั้นมันก็คือ ความไม่ทุกข์หรือความสงบเย็น ไม่ต้องไปยินดี ไม่ต้องไปเอร็ดอร่อยให้เหนื่อย พูดแล้วมันใช้คำหยาบโลนว่า ไม่ต้องไปเอร็ดอร่อยให้เหนื่อย เมื่อไม่เอร็ดอร่อยมันก็เหนื่อยชนิดหนึ่ง คือมันไม่ได้ มันโกรธขึ้นมา เมื่อได้ไปเอร็ดอร่อย มันก็ไปหลงใหลไปตามความเอร็ดอร่อย มันก็เหนื่อยอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า คนโง่มันเห็นว่าอย่างนั้นดี มันก็หลงใหลในความเอร็ดอร่อยกันทั้งนั้น ทีนี้สูงขึ้นไปที่เป็นความสุขที่แท้จริงมันไม่ต้องเอร็ดอร่อยก็ได้ มันเป็นสงบรำงับเสียมากกว่า ในความอยาก ความต้องการ ความหิวอะไรต่างๆ มันสงบรำงับไป ไม่ต้องมีคำว่า เอร็ดอร่อย มันสงบ รำงับ มันหยุด มันพัก มันเย็นนะ มันเย็น นี่จึงจะเรียกว่าความสุขที่สูงขึ้นมา คือ เป็นความสุขที่แท้จริง ไม่หลอกลวง
ความเอร็ดอร่อยนั้นเป็นสิ่งที่ร้อน ดิ้นรน เหน็ดเหนื่อย นั่นเขาเรียกว่าความเอร็ดอร่อย อย่าเรียกว่าความสุข เช่นคนจำนวนมากเขาทำงานเหน็ดเหนื่อย อาบเหงื่อต่างน้ำ แล้วเขาก็เอาเงินไปซื้อเหล้ากิน ไปเที่ยวกามารมณ์ ไปเที่ยวสถานบำรุงบำเรอต่างๆ จนเงินก็หมดไม่พอใช้ เขาว่าเขาได้รับความสุข คนโง่มันรู้สึกอย่างนั้น ที่จริงมันได้รับเพียงความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาเรียกกันอีกชื่อก็เรียกความเพลิดเพลินเท่านั้นแหละ เรียกว่าเพลิดเพลินเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ความสุขเลย เขาไปทำงานสายตัวจะขาดอยู่แล้วเอามาซื้อหาความเพลิดเพลิน แล้วก็หลงว่าความสุข ใช้คำว่าความสุขผิดความหมาย นี่เราดูให้ดีๆแล้วว่า คนชนิดที่เป็นปุถุชนหลับหูหลับตาอยู่ด้วยอวิชชานั้นนะ มันรู้สึกอย่างนี้ เอาความเพลิดเพลินมาเป็นความสุข ครั้นต่อมาได้รับความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาๆตามลำดับจึงจะเห็นว่าอันนี้ไม่ใช่ความสุข นี่เป็นเพียงความเพลิดเพลิน เพราะเร่าร้อน เหน็ดเหนื่อย โลดเต้น กระวนกระวาย จะศึกษากันใหม่ ภพใหม่ โอ้ย มันต้องเป็นเรื่องความพอใจ ความหยุดเย็น โดยที่ไม่ต้องกินเหยื่อนะ ไม่ต้องกินเหยื่อ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีความพอใจเกิดขึ้นในธรรมะเป็นตัวธรรมะ คือ รู้อยู่ว่าธรรมะ ธรรมะ คำนี้มันหมายถึงหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเรียกว่าธรรมะ พอได้ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็พอใจ พอใจว่าเราได้ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่าธรรมะ เราเป็นคนมีธรรมะคือสิ่งที่มีค่าสูงสุดแล้วก็พอใจ จึงพอใจในหน้าที่ เพราะเขาเห็นว่าหน้าที่คือธรรมะ คือสิ่งสูงสุด เขาจึงพอใจในหน้าที่ ดังนั้น พอได้ทำหน้าที่เขาก็พอใจ ขึ้นชื่อว่าความพอใจแล้วย่อมเป็นความสุขเสมอ พูดได้ไม่กลัวคัดค้านเลย ความพอใจหลอกๆมันก็เป็นความสุขหลอกๆ ความพอใจเลวๆมันก็เป็นความสุขเลวๆ ความพอใจแท้จริงและถูกต้องมันก็เป็นความสุขที่แท้จริงและถูกต้อง ฉะนั้นความพอใจในธรรมะมันจึงเป็นความสุขที่แท้จริงและถูกต้อง เราได้รับเสียแล้วเมื่อกำลังทำการงาน คือทำหน้าที่ของมนุษย์ ทีนี้คนธรรมดาทำไม่ได้จะมีความพอใจในหน้าที่การงานอันเหน็ดเหนื่อย คนธรรมดามันทำไม่ได้ นั่นแหละคือความต่ำแห่งจิตใจของปุถุชนคนธรรมดา จึงต้องศึกษากันเสียใหม่ ต้องอบรมกันเสียใหม่ ต้องปรับปรุงกันเสียใหม่ คือทำความเจริญในทางจิตใจจนเขามีจิตใจชนิดใหม่ชนิดที่สามารถจะพอใจในเมื่อทำหน้าที่ของมนุษย์หรือประพฤติธรรมะ เพราะทำหน้าที่ของมนุษย์หรือธรรมะในความหมายนี้แล้วเขาก็พอใจ เขาก็เป็นสุข มันเป็นการพักผ่อนอยู่ในตัวการงานนั่นเอง ไม่เหมือนกับคนโง่ซึ่งเขาไม่อยากทำงานนะ ที่จริงนะ ความจำเป็นบังคับให้เขาทำงาน ทำนา ทำสวน ทำอะไรต่างๆ เหงื่อไหลไคลย้อย เขาไม่ชอบ เขาโกรธ เขาคิดอยู่เสมอว่าป่วยการ เหนื่อยอย่างนี้ไปปล้น ไปขโมย ไปอะไรดีกว่า นี่คนธรรมดามันไม่อาจจะรู้สึกเป็นสุขในการงานได้ เว้นเสียแต่ว่าจิตใจนั้นต้องไปอบรมกันเสียใหม่ เมื่อเห็นความจริงข้อนี้แล้วก็พอใจในการงานได้ ก็มีความสุขอยู่ในตัวการงาน มันจึงเป็นความพักผ่อน สบาย อยู่ในตัวการงาน คือไม่เหนื่อย จะไม่รู้สึกเหนื่อยถ้าจิตใจชนิดนี้ทำการงาน เหมือนกับว่าผีเสื้อก็ดี แมลงผึ้งก็ดี มันทำการงานด้วยการเที่ยวบินโบกไปมา ดูดน้ำหวาน เยื่อเกสรดอกไม้ เอาไป งานของมันน่าอิจฉาใช่ไหม งานของแมลงผึ้ง ผีเสื้อ ก็เที่ยวดูดน้ำหวาน ดูดเยื่อเกสรดอกไม้ เอาไปกิน ไปใช้ ไปทำอะไรต่างๆ งานของมันเป็นสุขอยู่ในตัวการงาน นี่เราพูดแบบธรรมดาสามัญนะ เป็นการงานที่น่าอิจฉา มันไม่ทนทรมานอยู่ในการงาน แต่การงานของมนุษย์ธรรมดาสามัญ คือมันตกนรกทั้งเป็น มันฝืนทำการงานด้วยความจำเป็นบังคับ มันทนทำไป ทำไป เมื่อไรจะถึงเวลาหยุดงาน ๔ โมงหรือยัง จะหยุดงานไปโรงอาบอบนวดอย่างนี้ แต่ถ้าเราสามารถทำจิตใจกันเสียใหม่ มีความรู้ที่ถูกต้องตามเรื่องราวของธรรมชาติแล้วก็จะพอใจเป็นสุขเมื่อทำการงาน แม้ว่าการงานนั้นจะทำให้เหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ แต่ในภายในใจนั้นมันรู้สึกว่านี้มันถูกต้อง อันนี้มันเป็นการปฏิบัติธรรมะ เป็นสิ่งที่มีค่า มีเกียรติ มีความดีความงามอยู่ในการงานนั้น แล้วมันก็พอใจ พอใจในการงาน แม้เหงื่อท่วมตัวแต่ในใจนั้นยังเยือกเย็น พอใจในการงาน
เมื่อผมยังเล็กๆ ผมสังเกตเห็น ยุคโน้นกับยุคนี้หาดูยาก คนชาวนาแก่ๆนี่ คนอายุมากแล้ว เป็นลุง เป็นตาแล้ว เขาก็ไถนา ไถจนสาย จนแดดเปรี้ยง เหงื่อท่วมตัวก็ยังไถนา ลืมเวลาที่จะไปกินข้าว ถ้ามันเป็นสุขอยู่กับการไถนา นี่ไม่รู้เขาอบรมกันมาอย่างไร เขาพอใจ ถ้าเราจะถามเขาว่าทำนาไปทำไมลุง ลุงทำนาไปทำไม กูจะทำนาเอาข้าวใส่บาตรสักช้อน นี่คำตอบ ดูสิ ไม่ใช่ว่ากูจะเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน คำตอบมันกลายเป็นว่า กูจะเอาข้าวใส่บาตรสักช้อน แล้วก็ไถนาต่อไป ไถนาเรื่อยไป นี่เรื่องมันเปลี่ยนแปลงมากนะ ตามความเปลี่ยนแปลงของโลกมาสู่วัตถุนิยม เป็นทาสของกิเลส มาหาดูไม่ได้แล้ว เชื่อว่าเราจะไปดูชาวนาชนิดนี้เวลานี้ที่ไหนก็ไม่ได้แล้ว ก่อนนี้มันมีให้เห็นทั่วๆไป เหงื่อไหลท่วมตัวกลางแดดเปรี้ยงๆข้าวก็ยังไม่ได้กินสักที สายเหลือประมาณแล้ว มันก็ยังทำอยู่ได้ด้วยความพอใจ นี่ประโยชน์หรืออานุภาพของธรรมะ ทำให้เป็นได้อย่างนี้ ฉะนั้น ขอให้คุณจำไว้เถิดว่า ถ้าจิตใจมันมีการพัฒนาขึ้นมาสูงกว่าธรรมดาแล้ว มันจะรู้สึกเป็นสุข คือพอใจ และเป็นสุขในการงานนั่นเอง แล้วมันก็ทำสนุกสิ ในการงานก็ทำได้มาก ทำได้มากจนเหลือกินเหลือใช้ สามารถที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ชั้นดีเลิศของเศรษฐีได้ เศรษฐีเป็นผู้ประเสริฐที่สุด คือ ทำงานมาก สนุก พอใจ ได้ผลงานมาก กินและใช้แต่พอดี มีส่วนเหลือเก็บไว้สำหรับบำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น คำว่า เศรษฐี ในความหมายพระบาลีพระคัมภีร์ในครั้งพุทธกาลนะ เขาไม่ได้หมายถึงนายทุนที่มีเงินมากพร้อมที่จะสูบโลหิตคนทั้งเมือง เขาไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่เศรษฐีคือคนที่ทำอย่างมีความประเสริฐที่สุด เขาเลี้ยงข้าทาสกรรมกรเหมือนเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ไม่ใช่เลี้ยงทาสอย่างขูดรีดสูบโลหิตทาส ทาส ในความหมายของธรรมะนี่ มัน มันเป็นเพื่อน เศรษฐีเขาเลี้ยงทาสกรรมกรมากด้วยความรักอย่างลูกอย่างหลานเลย เท่ากันเลย มันก็มีความสามัคคีกลมกลืนกันดี และทุกคนรู้ว่าการทำงานนี่ คือ การปฏิบัติธรรม ฉะนั้น ไปทำนาทั้งหมู่ ทั้งคณะ ทั้งพวกทั้งอะไรมันก็สนุกสนานในการทำ มันก็ได้ผลมากเป็นธรรมดา ได้ผลมากแล้ว กินใช้กันแต่พอดี คือมีความหวังว่าในส่วนที่เหลือกินเหลือใช้เหลือเก็บนี่ เหลือจากเก็บอีกนี่ ก็เอาไปใช้บำเพ็ญประโยชน์ผู้อื่น อ้าว ถ้าจะเก็บ ก็เก็บไว้ทำไม ถามว่าจะเก็บไว้ทำไม ก็ไม่รู้จะเอาไปไหน มันมีกินมีใช้ มันก็เก็บไว้เพื่อทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ดังนั้น คำว่าเศรษฐีนี่ มันจึงคู่กันกับคำว่าโรงทาน โรงที่มีไว้สำหรับให้ทาน ใครลำบากยากเข็ญ ไม่มีจะกิน ก็ไปเอาที่โรงทานได้ โรงทาน คำว่าเศรษฐีมันจึงคู่กับโรงทาน คำว่านายทุนแห่งปัจจุบันนี้ไม่มีคู่กับโรงทานและเขาจะไม่รู้จักโรงทานก็ได้ ดังนั้น เศรษฐีนั่นนะ ระบบเศรษฐีนี่คือระบบสังคมนิยมอันสูงสุด เป็น ธรรมิกสังคมนิยม คือสังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะ สำหรับสังคมอยู่เป็นสุข เขามีลัทธิดีๆถึงขนาดนี้อยู่แล้ว มนุษย์มันเลิกกันเสียเอง มันมาเป็นทาสของกิเลสกันเสียเอง มาบูชากิเลส มาบูชาความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ทำไม่ได้สิ แล้วมันจะทำอะไร ทำอะไรก็มาบำรุงบำเรอกิเลสทั้งนั้นเลย มันจึงเป็นเศรษฐีไม่ได้ ฉะนั้น เขาจึงมาสอนให้รู้ว่าเรื่องอายตนะนั้นมันเป็นเรื่องหลอกลวง มันเป็นเพียงความเพลิดเพลิน ทำให้เกิดกิเลส เดี๋ยวก็เห็นแก่ตัว เดี๋ยวก็ทำลายผู้อื่น เดี๋ยวก็สูบเลือดผู้อื่น เขาก็ไม่เอา มาเห็นว่าธรรมะนี้มันเป็นสิ่งประเสริฐ ไม่มีอะไรที่จะประเสริฐกว่าการทำหน้าที่ของมนุษย์ให้สมบูรณ์ ตั้งแต่ต่ำที่สุดจนสูงสุดนะ รอดชีวิตอยู่ได้แล้วก็ทำต่อไปจนบรรลุมรรคผล ถ้าไม่ต้องการการบรรลุมรรคผลก็รอดอยู่ได้อย่างเป็นปุถุชนที่ดี เป็นอริยสาวกที่ดี ไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ก็ได้ ก็อยู่ในโลกนี้ ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ในโลกนี้ ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นเหมือนกับเครื่องจักร มันทำเหมือนกับเครื่องจักร มันทำได้มาก มันทำได้สม่ำเสมอ นี่เราจะเรียกว่า ธรรมิกสังคมนิยม Socialism สังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรม ประกอบอยู่ด้วยธรรม
อ้าว คุณ คุณลองคิดดูสิ ไปถึงไหนกันแล้ว ผลของธรรมะนี่ไปถึงไหนกันแล้ว ไปเลยพ้นเรื่องส่วนตัวบุคคลไปแล้วนะ ส่วนตัวบุคคลก็ได้รับประโยชน์สูงสุดเต็มที่ สูงสุดเต็มที่อยู่แล้ว ที่มันออกไปอีก ไกลออกไปอีกจนถึงประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ผู้อื่นและประโยชน์ทั้งหมดนะ คำว่าโรงทาน โรงทานของเศรษฐีนะ เขาไม่ได้เฉพาะคน ใครไปเอาก็ได้ มันเป็นสังคมที่ไม่มีขอบเขตจำกัดเหมือนกัน เหมือนอานิสงส์ของธรรมะมันจึงทำให้เกิดประโยชน์ไม่เฉพาะบุคคล แต่ทุกคน ทั้งฝ่ายตนและฝ่ายผู้อื่น หรือว่านี่มันเกี่ยวพันกันทั้งโลก นี่ประโยชน์ของธรรมะ ในส่วนบุคคลล้วนๆก็ไปได้ถึงความเป็นพระอรหันต์ ในส่วนสังคมมันก็มีโรงทานที่จะเลี้ยงโลกนี่ มันไปสุดโต่ง สุด ไปเต็มที่อย่างนี้ นี่คืออานิสงส์ของธรรมะ
อยู่ที่ถามว่าธรรมะมันจะให้อะไรแก่เรา มันจะให้ประโยชน์อะไรแก่เรา มันจะให้ประโยชน์แก่มนุษย์ถึงขนาดนี้ แต่แล้วไม่มีใครมองกันอย่างนี้ ไม่มีใครสอนกันอย่างนี้ เขาสอนกันแต่ประโยชน์ตัวกูประโยชน์ของกูกันทั้งนั้นแหละ มีประเทศชาติของกู เป็น เป็นที่สูงสุดนะ ดังนั้น เขาจึงแข่งขันกันเพื่อตัวกูเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติของกู เมื่อไม่ได้ก็รบกันสิ ก็รบราฆ่าฟันอย่างยืดเยื้อ สงครามกันอย่างยืดเยื้อ สงครามเปิดเผย สงครามเร้นลับ สงครามใต้ดิน สงครามบนดินตลอดเวลาด้วยความคิดจิตใจทั้งหมดจะทำสงคราม เพื่อเอาประโยชน์อย่างวัตถุ อย่างโลกๆนี่มาเป็นตัวกู มา มาเป็นประโยชน์ของกู นี่คือสภาพของโลกที่ปราศจากธรรมะ และมันก็จะได้แก่โลกปัจจุบันนี่แหละ โลกปัจจุบันที่บูชาวัตถุนี่ สมัยพุทธกาลนั้นนะ มันยากที่จะบูชาวัตถุ เพราะวัตถุมันไม่เจริญ มันจะมีบ้างก็อย่างที่ธรรมชาติอำนวยให้ ต่อมาก็มีความเจริญทางวัตถุ มีสติปัญญาก้าวหน้าแต่ในทางวัตถุ ไม่ก้าวหน้าไปตามทางจิตใจ ไม่ก้าวหน้าไปตามทางของธรรมะ สติปัญญาของเขาก้าวหน้าไปแต่ทางวัตถุ เขาก็คิดค้นพบ ความก้าวหน้าทางวัตถุ เจริญด้วยวัตถุ มันก็เกิดวัตถุที่ยั่วยวนมาก จับใจมาก จนคนมาลุ่มหลงกันอยู่แต่เรื่องของวัตถุไม่สามารถจะดำรงจิตใจไว้ในทางธรรม โลกปัจจุบันนี้มันก็บูชาวัตถุ เพราะความก้าวหน้าของสมองของวิชานั้นมันไกลจนถึงกันว่ามันมีเครื่องทุ่นแรง ที่เรียกกันว่า เครื่องจักรอุตสาหกรรม และเขาก็ใช้ อุตสาหกรรม หรือความหมายของอุตสาหกรรมนี่ เพื่อจะสร้างวัตถุชนิดที่เป็นที่ต้องการของกิเลส เขาจึงผลิตวัตถุโดยเครื่องมืออุตสาหกรรมออกมาสนองกิเลสของคนทั้งโลกให้เมามายในเรื่องของกิเลสมากขึ้นๆนี่ เราดูทั่วไปสิ จะผลิตแต่สิ่งที่ให้ความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี่ของสวยงามที่ทำให้จิตทรามนะเต็มไปทั้งโลกเลย เสียงไพเราะยั่วยวนก็เต็มไปทั้งโลก ของหอม ของอร่อย ของนิ่มนวล ของส่งเสริมกามารมณ์นี่เต็มไปทั้งโลก โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ เราจะเห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็น ไม่ต้องมีก็ได้ สวยงามเหล่านี้ ไพเราะเหล่านี้ไม่ต้องมีก็ได้ ถ้าพระองค์ไหนซื้อเครื่องสเตอริโอมาเปิดฟัง มันก็บ้าสุดขีดนั่นแหละ ขอให้คิดดูให้ดี เพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็นนี่ มันไม่ใช่เรื่องส่งเสริมความสุขสงบแห่งจิตใจ มันควรไปคิดกันเสียใหม่ ว่าโลกมันกำลังหมุนมาในทางความลุ่มหลงเรื่องทางวัตถุ มันก็เป็นอย่างนี้ มันก็มีผลเป็นอย่างนี้ ไม่ได้รับผลเป็นความสุขสงบเย็น ก็เลยไม่ได้รับผลจากธรรมะไม่ได้รับผลจากธรรมะ ผลจากธรรมะเป็นอย่างไรก็ได้พูดแล้ว แล้วทำไมมนุษย์ไม่ได้รับผลอันนั้น เพราะว่าโลกมันหันเหไปจากทางที่ถูกต้องของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ไปบูชาสิ่งที่เป็นธรรมะดำ ธรรมะฝ่ายดำคือกิเลส ทั้งโลกกำลังบูชากิเลส ทั้งโลกกำลังผลิตเครื่องมือหรือเหยื่อของกิเลสยิ่งขึ้นๆ นี่นะเรียกว่าโลกปัจจุบันเขาไม่ได้รับประโยชน์อานิสงส์ของธรรมะ เพราะว่าเขาสมัครไปเป็นทาสของกิเลส บูชากิเลส ถือกิเลสเป็นพระเจ้า ถือกิเลสเป็นสิ่งสูงสุด ก็ห่างไกลกันจากธรรมะเหมือนกับว่าอยู่กันคนละทิศทางทีเดียว
ทีนี้ คุณจะมาศึกษาธรรมะทำไม ถ้าจิตใจมันยังบูชากิเลส ถ้าจะศึกษาธรรมะกัน มันก็ต้องรู้สึกให้ถูกต้องตามความที่จริงว่า กิเลสนั่นมันเป็นอันตราย ความเห็นแก่ตัว กิเลส คือ ความเห็นแก่ตัว เป็นอันตราย ก็จูงกันไปแต่ในทางเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ธรรมะ เลยไม่ได้รับประโยชน์จากธรรมะ ไม่ได้รับอานิสงส์ของธรรมะ ดังนั้น เราจะต้องเผชิญหน้ากับกิเลสในฐานะเป็นข้าศึกศัตรูต่อกัน พยายามทำลายกิเลสทุกวิถีทาง การมาศึกษาธรรมะในระดับนี้นั้นก็เพื่อรู้จักกิเลสและการทำลายกิเลส ไม่เป็นทาสของกิเลสอีกต่อไป จนกว่าจะไม่มีกิเลส คือ ไม่เห็นแก่ตน ทีนี้เห็นแก่ธรรมะและมีความเป็นคนที่ถูกต้องมาแล้ว มันก็เห็นแก่ธรรมะตามความสุขที่แท้จริง เห็นความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ มีความรักสิ่งมีชีวิตทั่วไปหมด เรียกว่า มีความรักสากลได้จริง เอาละ ประโยชน์ที่จะได้จากธรรมะมันมีอย่างนี้ จะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ เราพูดกันนี้ก็พูดไปตามความจริงของธรรมชาติตามธรรมชาติ นี่ก็พยายามพูดให้เข้าใจ พยายามอย่างยิ่งที่จะให้เข้าใจกันอย่างยิ่ง เพื่อมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือว่าขึ้นศักราชกันใหม่สักที อย่าลุ่มหลงด้วยเหยื่อของกิเลสตัณหามากนักเลย นี่คือความถูกต้อง นี่คุณเป็นนักเรียนเป็นนักศึกษา เรียนแล้วสอบไล่ได้แล้วก็ไปทำงาน เอาเงินมาเลี้ยงกิเลส ไม่พอก็คอร์รัปชั่น เดี๋ยวนี้คุณกำลังจะเป็นนักคอร์รัปชั่นในอนาคตก็ได้ ที่นั่งอยู่นี่ อาจจะไปเป็นนักคอร์รัปชั่นในอนาคตก็ได้ ทว่าคุณไม่มีธรรมะพอที่จะควบคุมตนเอง ฉะนั้น เรามารู้กันเสียดีๆเถอะว่า อย่าเรียนแล้วหวังว่าที่จะไปเป็นทาสของกิเลส จนเงินเดือนไม่พอใช้กันตั้งแต่ต้นมือ เราจะเป็นคนรู้จักความเป็นมนุษย์ รู้จักทุกสิ่งอย่างถูกต้อง ดำเนินชีวิตให้เป็นไปอย่างสงบเย็น สงบเย็น เป็นชีวิตเย็น ไม่เป็นชีวิตร้อน นี่ก็คือธรรมะ อานิสงส์จะรักษาธรรมะ ชั่วโมงกว่าแล้ว ผมเห็นว่าพูดเรื่องประโยชน์ของธรรมะนั่นเพียงพอแล้ว สมควรแก่เวลาแล้ว แล้วคนฟังน้อยนัก พูดไม่สนุก เอ้า ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ อีกสามชั่วโมงจะถึงเทศน์ถ้าคนฟังมีมากๆ