แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก่อนอื่นทั้งหมดขอแสดงความรู้สึกยินดีพอใจ อนุโมทนาในการที่ท่านทั้งหลายได้มาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ โดยสรุปในแง่หนึ่งก็ว่าเป็นเกียรติสูงสุดแก่สถานที่นี้ กระผมเวลานี้อยู่ในลักษณะทุพพลภาพ สบายดีไม่เจ็บป่วยอะไร แต่ว่าไม่มีแรง บางเวลาแม้แต่ลุกจากที่นอนก็ยังลุกไม่ค่อยจะไหว ไม่มีแรงเท่านั้นเองคล้ายๆกับว่าถึงคราวที่หมดแรง แต่มันไม่มีโรคภัยไข้เจ็บอะไรที่ปรากฏรบกวน ไม่มีแรง ก็ขอแสดงความยินดีอนุโมทนาไปตามแบบผู้ที่ไม่มีแรง และขออนุโมทนาและขออภัยในการที่ไม่มีอามิสปฏิสันถาร ก็ขอต้อนรับด้วยธรรมะปฏิสันถาร ตามที่จะทำได้ด้วยการพูดจาและขอถวายหนังสือเล็กๆองค์ละเล่ม ทุกคนจะเป็นอุบาสกอุบาสิกาในฐานะเป็นธรรมะปฏิสันถาร ขอให้อ่านให้หลายเที่ยวจะเข้าใจ อ่านครั้งแรกอาจจะไม่เข้าใจ เมื่ออ่านหลายเที่ยวก็จะเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ลองพยายามปฏิบัติดูทีละนิดๆ ขอทีละนิดๆ ไม่ใช่ทีเดียวตลอดไป จะทำไม่ได้ด้วยทีละนิดๆ เป็นขั้นๆไป ตอนนี้มันจะสอนดีที่สุดเพียงแต่อ่านหรือฟังมันก็ได้นิดเดียว คือจำได้แล้วก็ลืม มาคิดๆๆๆจนเข้าใจ นี้มันก็ได้ในขั้นที่ว่าเข้าใจ ต่อเมื่อใส่ลงไปในการปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติแล้วมันจะมาถึงขั้นที่เรียกว่า รู้แจ้ง ซึ่งมีความหมายสูงสุด ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า วิปัสสนา ปัสสนา แปลว่า เห็นแจ้ง ในที่นี้ที่เป็นการรู้แจ้งก็เป็นเรื่องเดียวกัน รู้แจ้งด้วยความรู้สึก ถ้ามันเกิดความรู้สึก มันรู้แจ้งต่อความรู้สึก อย่างนี้มันสูงสุด ไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจ ขออภัยที่ว่าไม่ได้ต้อนรับด้วยอามิสปฏิสันถาร ใดๆ มีแต่ธรรมะปฏิสันถาร เท่าที่จะทำได้
ทีนี้ผมก็ขอแสดงความยินดีปรีดาปราโมทย์อนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ในการจัดการทำที่เป็นไปเพื่อความเจริญรุ่งเรืองมั่นคงแห่งกิจกรรมที่เรียกว่า วิปัสสนา ในการจัดธุระนี่เป็นเบื้องต้น แล้วมันจะไม่มีผลถึงที่สุด ถ้ามันไม่มีวิปัสสนาเราก็ช่วยกันส่งเสริมให้มันถึงที่สุดด้วยการมีวิปัสสนา เรื่องนี้ผมอุทิศชีวิตมาตลอดเวลาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เท่ากับว่า ๕o กว่าปีมาแล้ว ๕๗ ปีมาแล้ว ที่ผมสนใจขวนขวายส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า วิปัสสนา เพราะความเห็นว่าการจัดธุระกำลังเป็นหมันมันไม่ได้งอกงามไปถึงวิปัสสนา สมัยนั้นตอนนั้นเมื่อ ๕๗ ปีมาแล้วเกือบจะไม่มีใครพูดถึงคำว่า วิปัสสนา มีกระเซ็นกระสาย อยู่บ้างทางภาคอีสาน ภาคกลางภาคใต้นี่ไม่มีใครได้ยินหรือสนใจหรือว่าจะมีสำนักวิปัสสนาก็ไม่มี วิปัสสนาแบบเก่าแก่โบราณก่อนกาลโน้นก็สูญสิ้นไปแล้ว วิปัสสนาแบบโบราณที่อาจารย์แต่โบราณเค้าทำกันก็เป็นแบบหนึ่ง สืบๆกันมาโดยไม่มีปริยัติ กระผมเคยขอฟังเค้าให้เค้าอธิบายให้ฟังบางองค์บางทั้งที่มีชีวิตอยู่ มันก็เป็นเรื่องสืบปรัมปรามากเกินไปไม่สำเร็จประโยชน์ เห็นสีเห็นดวงเห็นอะไรไปทางโน้นไม่ได้กำจัดกิเลสโดยตรง ทีนี้ก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี ไม่รู้จะไปหาครูบาอาจารย์ของวิปัสสนาที่ไหนก็เลยตั้งใจว่าเอาล่ะ สร้างสถานที่ขึ้นเพื่อกิจการนี้โดยเฉพาะคือสวนโมกข์แล้วจะเอาครูบาอาจารย์มาจากไหนที่เป็นบุคคลหาไม่ได้ ก็หาเอาจากพระไตรปิฎก แบบหลักเกณฑ์ต่างๆที่มีในพระไตรปิฎกเอามาร้อยกรองรวบรวมขึ้น เรียกว่า หนังสือตามรอยพระอรหันต์ เรื่องตามรอยพระอรหันต์นั้นเป็นเรื่องเพียงว่าพร้อมที่จะทำวิปัสสนา คือมีศีล มีธุดงค์ มีอะไรพร้อมเสร็จ แล้วก็พอถึงตอนวิปัสสนาแท้ๆใช้หนังสือที่เรียกเดี๋ยวนี้ว่า คู่มืออานาปานสติ ก็เอามาชนกันเข้าสองเรื่อง ก็จะเป็นสมบูรณ์ ตอนแรกก็สนใจสติปัฏฐาน ๔ มหาสติปัฏฐาน ๔ ต่อมาพบพระสูตรที่สั้น ที่เรียกว่าอานาปานสติสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่ออานาปานสติ ๑๖ ขั้นสมบูรณ์ สติปัฎฐาน ๔ ก็สมบูรณ์ สูตรนี้สั้นมีการปฏิบัติ ๑๖ ขั้น ติดต่อกันไปตามลำดับชัดเจนที่สุด ๔ หมวด หมวดละ ๔ ขั้น ส่วนมหาสติปัฎฐานสูตรนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรไม่ได้บอกหลักปฏิบัติ บอกแต่ชื่อธรรมะสำหรับปฏิบัติเป็นหมวดๆมากมายหลายสิบตั้งร้อยกว่า เพียงแต่อ่านมาสามชั่วโมงไม่จบก็เป็นอันว่าถือว่า อานาปานสติน่ะหัวใจของมหาสติปัฏฐาน แล้วก็จุดชนวนขึ้นอย่างนี้มันก็ค่อยๆมีค่อยๆมี จนกระทั่งไปนำมาจากพม่าบ้างหรือฟื้นฟูมาจากทางภาคอีสานบ้างแล้วก็ค่อยๆมีวิปัสสนากันขึ้นมาในประเทศไทย ท่านเจ้าคุณสมเด็จพุทธาจารย์เป็นผู้มีอำนาจว่าการปกครองก็ได้เปิดสำนักวิปัสสนาไปทั่วประเทศ วิปัสสนามันก็เกิดขึ้นแล้วก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับที่จะทำได้ ก็เรียกว่าหลายแบบจะเสียเวลาที่จะไปพูดว่าแบบไหนถูกแบบไหนผิด พูดได้แต่ว่าแบบที่ดับทุกข์ได้ถูก แบบไหนทำแล้วดับทุกข์ได้บรรเทากิเลสลดกิเลสดับกิเลสแบบนั้นถูกเอาแบบนั้นเป็นเกณฑ์ ไม่ต้องมีประกาศนียบัตรรับรองหรืออะไร นี่เรื่องของวิปัสสนาโดยรูปแบบก็เป็นที่น่ายินดีที่ว่าเดี๋ยวนี้ก็มีหลายรูปแบบให้เลือก แบบไหนดับทุกข์ได้แบบนั้นถูก
ทีนี้ก็อยากจะขอให้มันมากกว่านั้น ให้มันเป็นวิปัสสนาสำหรับทุกคนอยู่ที่เนื้อที่ตัวของทุกคน ไม่ต้องรูปแบบไม่ต้องสำนักนั้นสำนักนี้ก็ได้ ฉะนั้นขอให้มีวิปัสสนาที่บุคคลทุกคนๆๆ นั้นคือการเห็นพระพุทธเจ้า การมีพระพุทธเจ้าอยู่กับเนื้อกับตัวโดยแท้จริงเห็นพระพุทธเจ้าจนสามารถมีพระพุทธเจ้าอยู่กับเนื้อกับตัวโดยแท้จริง ขอให้ท่านที่เป็นวิปัสสนาและวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายสนใจเรื่องนี้ วิปัสสนาชนิดที่จะเป็นประโยชน์โดยแท้จริงอยู่กับเนื้อกับตัวโดยแท้จริง เห็นพระพุทธเจ้าอย่างไรก็สามารถทำให้มีพระพุทธเจ้าอยู่กับเนื้อกับตัวได้อย่างนั้น ถ้าเป็นวิปัสสนาจริงต้องทำได้ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ยังไม่ควรจะเรียกว่าวิปัสสนาหรือวิปัสสนาจารย์ ต้องสามารถที่จะเห็นแล้วก็มีพระพุทธเจ้าอยู่กับเนื้อกับตัว ด้วยอำนาจของวิปัสสนา คือไม่ได้เห็นด้วยตา เห็นด้วยจิตก็ยังไม่พอต้องเห็นด้วยปัญญา เห็นด้วยตามันองค์หนึ่งเห็นด้วยจิตองค์หนึ่ง เห็นด้วยปัญญาอีกองค์หนึ่ง
เรามาพูดถึงพระพุทธเจ้าสำหรับนักวิปัสสนากันสักหน่อย เพื่อถวายเป็นความรู้แก่ท่านศาสนิก ทั้งหลายที่อุตส่าห์มาถึงนี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม หากผู้ใดไม่เห็นธรรมแม้แต่จับมุมจีวรถืออยู่ไปไหนไปด้วยกัน เค้าไม่เห็นธรรม ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา ดูให้ดีๆฟังให้ดีๆ เห็นพระพุทธองค์ตัวจริงที่เดินอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่เห็นธรรม ก็ไม่ชื่อว่าเห็นพระองค์พระพุทธเจ้าจึงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ยังไม่ใช่องค์จริง ยังทรงปฏิเสธต้องเห็นธรรม พระพุทธเจ้าจึงเป็นตัวคนเดินไปเดินมาอยู่ในอินเดียเป็นลูกคนนั้นเป็นหลานคนนี้ตรัสรู้ประสูตินิพพานวันนั้นวันนี้ ตายแล้วเผาแล้วนั่นน่ะ ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ต่อเมื่อเห็นธรรมจึงจะชื่อว่าเห็นพระองค์จริง นี่ไปดูเคยเรียนกันมาแล้ว แม้แต่จับจีวรถืออยู่ไปไหนไปด้วยกันก็องค์นั้นแหละ ก็ยังปฏิเสธไม่ใช่เราไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง คือไม่ใช่เรา
ทีนี้เห็นธรรม คือเห็นอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวกับบุคคลนะ ก็หมายถึง จิต จิตที่บริสุทธิ์แล้ว ที่เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ และดับลงแห่งทุกข์ รู้แจ้งประจักษ์ในข้อนี้ เรียกว่าเห็นธรรมด้วยจิต เอาจิตนั้นเป็นองค์พระพุทธเจ้าก็ได้ ก็อยู่ในพวกเห็นธรรมเหมือนกัน แต่เป็นทางจิตเห็นจิตชนิดนี้โดยการมีจิตชนิดนี้ โดยการทำให้มีจิตชนิดนี้ นี้คือมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ลึกเข้าไปถึงเป็นองค์พระองค์ที่เป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้วตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าจึงเป็นจิตชนิดนี้ไม่เกิดไม่แก่ไม่ตายไม่ประสูติไม่ตรัสรู้ไม่นิพพานไม่ถูกเผา แล้วมันก็เป็นอยู่ตลอดไป ใครทำได้เมื่อไรมันก็ปรากฏออกมาเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นจึงมีพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นอันมากมีจิตชนิดนี้ จิตชนิดนี้เกิดเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อทำถูกวิธีแล้วก็เกิด แม้เดี๋ยวนี้ก็เกิด ขอให้ทำถูกวิธี จิตชนิดนี้ก็จะปรากฏออกมาเป็นพระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นจิตหลุดพ้น นี่ก็ยังเรียกว่าเห็นธรรมได้เหมือนกัน เห็นจิตที่บริสุทธิ์
ทีนี้องค์ที่ นั่นคือ ธรรม ธรรมะแท้ๆ มีพระบาลีแห่งหนึ่ง ไม่ได้อยู่แห่งเดียวกับมรรคสูตร ตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท เอาไปต่อเนื่องกัน ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเห็นพระพุทธองค์ชั้นลึกสุดโดยแท้จริงคือเห็นธรรมที่เป็นปฏิจจสมุปบาท คืออย่างนี้ ค่อนข้างละเอียดถ้าไม่ศึกษาให้ดีก็ยากที่จะรู้จักฃแต่สรุปได้สั้นๆว่า พอที่จะรู้จักกันได้ทุกคน ปฏิจจสมุปบาท นั้น คือะไร เห็นได้ที่ไหน ปฏิจจสมุปบาท นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งที่กว้างกว่า เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ใช้กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป นี้อีกหนึ่ง เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ใช้กับสิ่งที่มีชีวิตเป็นสุขเป็นทุกข์ได้เพราะมันมีจิตใจ นี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท แต่โดยเนื้อแท้ นั้นคือเห็นอาการที่มันอาศัยกันๆแล้วเกิดขึ้นอาศัยกันๆแล้วดับลง สองอาการนี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาท นี่ คือเห็นอย่างนี้ก็เรียกว่าเห็นธรรม วิปัสสนาเพ่งดูเห็นอาการที่มันอาศัยกันๆแล้วเกิดขึ้น แห่งวัตถุล้วนๆก็ดีแห่งจิตใจที่มีความทุกข์ก็ดี อาศัยกันๆแล้วดับลง นี้คือ ปฏิจจสมุปบาท พระวิปัสสนาจารย์เพ่งปฏิจจสมุปบาท จนเห็นอาการอย่างนี้ก็เห็นอย่างเดียวกับวันนั้น วันที่พระพุทธเจ้าอย่างบุคคลท่านตรัสรู้ คืนตรัสรู้นั้นท่านพิจารณาปฏิจจสมุปบาท โดยทุกอาการตลอดคืน รุ่งขึ้นก็ไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มองดูอาการที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นอาศัยกันแล้วดับลงของอาการทั้งหลายตลอดสายแห่ง ๑๒ อย่าง ๑๑ อย่าง แล้วแต่จะเรียก เห็นปฏิจจสมุป-บาท คือเห็นธรรม ขออ้อนวอนให้ท่านทั้งหลายจดจำคำกลอนนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอง เมื่อใดเห็น ปฏิจจสมุปบาท เมื่อนั้นเห็นธรรม เมื่อใดเห็นธรรม เมื่อนั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท
ด้วยอำนาจของวิปัสสนานี้ ง่ายมากที่จะมองเห็นอาการที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อาศัยกันแล้วดับลงก็จะป้อนความทุกข์ ดูทั้งโลกก็เป็นอย่างนี้ดูส่วนไหนก็เป็นอย่างนี้ ดูส่วนที่เป็นวัตถุก็เป็นอย่างนี้ แต่ที่สำคัญต้องดูส่วนจิตใจ รู้สึกเป็นทุกข์เป็นสุขได้ ถ้าเกิดขึ้นและดับลงไม่มีอะไรนอกจากเรื่องทุกข์ ถ้ามีการเกิดและดับก็เป็นเรื่องทุกข์ แต่อย่าลืมว่าตัวปฏิจจสมุปบาทนี่เห็นอาการที่อาศัยกันเกิดขึ้นอาการอาศัยกันดับลง มันจะมีอยู่ทุกปรมาณู คำว่า ปรมาณู ก็หมายถึง ส่วนละเอียดส่วนเล็กสุดท้ายที่แบ่งอีกไม่ได้ เป็นปรมาณูอย่างภาษาวิทยาศาสตร์ ปรมาณูทั้งหลายประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลเป็นทั้งหมด ทุกๆปรมาณูมีอาการอาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลงทุกๆปรมาณู ทีนี้ร่างกายคนเราก็มีปรมาณู ความเป็นอย่างนั้นก็มีอยู่ในร่างกายเรา เอาหยาบสักหน่อย ทุกขุมขน ทุกขุมขน ดูเถอะจะมีอาการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง ขอให้มองเห็นอาการอาศัยกันเกิดขึ้น ดับลง เค้าเรียกว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท จะดูที่ไหนก็ได้ แต่ที่ดีที่สุดดูที่เนื้อตัวในภายในทุกขุมขนมีอาการที่อาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันแล้วดับลง เห็นอาการอย่างนี้นั้นเท่ากับเห็นว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั่งแสดงธรรมอยู่ที่นั่นอย่างนั้น ถ้ามีอาการอาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลงเท่ากับเห็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั่งแสดงธรรมอย่างนั้น อาศัยกันเกิดขึ้นอย่างนี้ อาศัยกันดับลงอย่างนี้ มันบอกเราเราเห็นจะมีค่าเท่ากับพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนั่งบอกว่า อาศัยกันเกิดขึ้นอย่างนี้ อาศัยกันดับลงอย่างนี้ ทุกแห่งทุกหนทุกอณูทุกปรมาณูที่มีอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท เมื่อทุกขุมขนมันมีอาการอย่างนี้ก็กล่าวได้ว่ามีพระพุทธเจ้าให้เราดูให้เราเห็นให้เราพบ ว่านั่งแสดงอาการปฏิจจสมุปบาท อยู่ทุกขุมขน พระพุทธเจ้ามีทุกขุมขน
ถ้าเป็นนักวิปัสสนาจริงจะมองเห็นถ้าไม่เป็นนักวิปัสสนาจริงไม่รู้ แต่ถ้าเป็นนักวิปัสสนาจริง จะมองเห็นว่ามีอาการอาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลง เหมือนกับมีใครมานั่งบอกอยู่ตรงนั้นคือพระพุทธเจ้านั่นเอง อาการนั้นแหละคือ ธรรมะ ที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นเรา ถ้าเกิดมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั่งอยู่ทุกขุมขน คอยบอกเกิดขึ้นอย่างนี้ ดับลงอย่างนี้ จึงพูดว่าถ้าเป็นนักวิปัสสนาจริงสามารถเห็นพระพุทธเจ้าได้ทุกขุมขน เพราะแต่ละขุมขนมีอาการของปฏิจจ- สมุปบาท อันนี้มันหยาบไปหน่อยนะหยาบไม่ละเอียด ถ้าละเอียดก็จะทุกปรมาณู เพราะว่าในขุมขนมันมีหลายปรมาณูทุกปรมาณูมีอาการอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้ก็ทุกปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลกว้างขวาง ก็คือทั่วไปๆพระพุทธเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วไปในทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันอยู่เป็นจักรวาล ขอบอกเป็นส่วนตัวหน่อยว่า พวกเซนเค้าถือเอาใจความนี้ได้ก่อนเราเรายังโง่และล้าหลังตามอยู่ เพิ่งจะได้พูดเพิ่งจะได้ยินกัน เมื่อผมได้ยินคำแรกของคำสอนฝ่ายเซนของบางนิกายว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เค้าว่าอย่างนี้ สมัยนี้มัน บ้าแกล้งพูด พูดเล่น ค้างกันไว้อย่างนั้น ต่อมาผมมาพบพระพุทธภาษิตข้อนี้ เห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นธรรมะ เห็นธรรมะก็เห็นเรา อาการแห่งปฏิจจสมุปบาท คืออาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง มันมีทุกหนทุกแห่งจริงๆ ทุกแห่งทุกหนทุกแห่งไม่ว่าที่ไหน คือมันทุกปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาลมันละเอียดกว่าทุกขุมขนไปเสียอีก ถ้าเป็นนักวิปัสสนาจริงๆจะต้องเห็นถึงขนาดนี้ เห็นพระพุทธเจ้าได้ทุกขุมขนที่ประกอบกันอยู่เป็นคนหรือว่าทุกหนทุกแห่งทุกปรมาณู ขอให้ลับคมของวิปัสสนาให้คมถึงขนาดที่เช็ดแว่นตานักวิปัสสนาให้ใสกระจ่างให้เห็นถึงอย่างนี้ รวมกำลังจิตของสมาธิให้มากที่สุดจนเพียงพอจะเห็นอย่างนี้ แล้วก็จะเป็นนักวิปัสสนาโดยแท้จริง สามารถมองเห็นพระพุทธเจ้าได้ในทุกปรมาณูอย่างน้อยที่สุดก็ในทุกขุมขน ทั้งเนื้อทั้งตัวของเราจะมีกี่ขุมขนก็สุดแท้จะมีพระพุทธเจ้าอยู่ในธรรมะ คือ ปฏิจจสมุปบาท อยู่ที่นั่น เหมือนกับมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั่งแสดงธรรมอยู่ที่นั่น โดยอาการของปฏิจจสมุปบาท ว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ ดับลงอย่างนี้ นั่นแหละเห็นพระพุทธเจ้าทุกขุมขน คือทุกห่งที่มีอาการของปฏิจจสมุปบาท ที่ไหนบ้างที่ไม่มีอาการของปฏิจจสมุปบาท ก็หาดูในโลกนี้ ในจักรวาลนี้ กระทั่งสวรรค์ ภพ พรหม ทุกหนทุกแห่ง ที่ไหนบ้างที่ไม่มีอาการของปฏิจจสมุปบาท จึงพูดได้ว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่ทุกแห่งที่มีอาการของปฏิจจสมุปบาท เห็นปฏิจจสมุปบาท ก็เห็นธรรมะ เห็นธรรมะก็เห็นเรา
ขอฝากไว้ในฐานะเป็นธรรมะปฏิสันถารของผมผู้ยากจน ไม่มีอามิสปฏิสันถารจะต้อนรับท่านทั้งหลายเป็นบรรณาการของคนยาก ปฏิสันถารด้วยสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ตามที่ได้สังเกตศึกษามา รู้เห็นอย่างไรก็ขอถวายอย่างนั้น แก่เพื่อนสหธรรมิกด้วยกัน ฆราวาสก็ได้ บรรพชิตก็ได้ เพื่อนที่เป็นสหธรรมิก ปฏิบัติธรรมเสมอกันอย่างเดียวกัน
ได้โปรดรับเอาไปพิจารณาดูว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ทุกหนทุกแห่งจริงหรือไม่ หรือว่าอย่างน้อยที่สุดพระพุทธเจ้ามีอยู่ทุกขุมขนจริงหรือไม่ โดยสรุปสั้นๆว่าที่ไหนมีอาการแห่งปฏิจจสมุปบาทที่นั่นมีธรรมะ ซึ่งเป็นองค์พระพุทธเจ้า คือนั่งบอกธรรมะนั่งแสดงธรรมะอยู่อย่างนี้ และหวังว่าเพื่อนสหธรรมิก พระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลาย จะได้มีความแหลมคมแห่งวิปัสสนา เห็นได้โดยประจักษ์ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ทุกปรมาณูหรืออย่างน้อยก็ทุกขุมขน เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจิตเป็นอย่างไร เมื่อเห็นเป็นเพียงอาการเกิดขึ้นดับลงเพราะอาศัยเป็นปัจจัยแก่กันแล้ว เห็นอย่างนี้แล้วมันหมดตัวตน มันหมดตัวตน ไม่มีที่ตั้งแห่งอุปาทาน อุปาทานที่เกิดขึ้นก็เป็นตัวตนในขันธ์ทั้งห้านี้เกิดไม่ได้อีกต่อไป นั่นก็คีอการบรรลุธรรมะตามลำดับแห่งการละอุปาทานได้อย่างไร เป็นพระโสดาบันก็ละได้ตามแบบพระโสดาบัน เป็นพระสกิทาคามีก็ละได้ตามแบบพระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามีก็ละได้ตามแบบของพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ก็ละได้ตามแบบของพระอรหันต์ แต่มันมีสรุปความอยู่คือมันละตัวตนได้ ด้วยการเห็นปฏิจจสมุปบาททำให้ละตัวตนได้ มันเห็นเป็นอาการอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วดับลง ไม่ต้องมีตัวตน ตาอาศัยเหตุปัจจัยเป็นตาขึ้นมา มันก็เห็นได้ เห็นรูปได้โดยไม่ต้องเป็นตัวตน หูก็เหมือนกัน ไม่ต้องมีตัวตนมาทำอะไรที่หู หูมีระบบประสาทของหู อาศัยกันตามปฏิจจสมุปบาท หูก็ยินเสียงได้โดยไม่ต้องมีตัวตน ไม่ต้องเป็นตัวตน ไม่ต้องเอาตัวตนไหนมาทำงานที่หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นอย่างเดียวกัน ที่เรียกว่า ไม่มีตัวตน ในอายตนะภายใน ภายนอก กระทั่งในขันธ์ทั้งห้า ไม่มีตัวตน หมดอุปาทานว่าตัวตนก็บรรลุมรรคผล ตามลำดับแห่งความหมดมากหมดน้อย
ขอให้พิจารณาถึงธรรมะอันเป็นปัจจัยแห่งการหมดตัวตน คือการเห็นปฏิจจสมุปบาท จงเห็นอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท ในทุกๆปรมาณู หรือพูดกันธรรมดาคนธรรมดาหน่อยก็ทุกขุมขน ไม่มีอะไร ขุมขน เล็บ ดิน น้ำไฟ ลม อะไรก็ตาม ทุกปรมาณูมันเป็นอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท ไม่มีตัวตนละตัวตนได้โดยสิ้นเชิง ทั้งที่เป็นนาม ทั้งที่เป็นรูป เรื่องก็จบกัน
ขอถวายความรู้อันนี้ ที่ผมได้ศึกษามา ได้ค้นคว้ามา ได้รักษาไว้ ได้ศึกษาติดต่อกันไปไม่ขาดตอน ตลอดเวลา ๕๗ ปีแล้ว คงจะมากกว่าอายุของพระวิปัสสนาจารย์บางองค์ที่ยังหนุ่มๆอยู่ อายุยังไม่ถึง ๕๗ ปี เป็นผลงานที่ผมสนใจค้นคว้าเป็นเวลา ๕๗ ปีแล้ว ถ้าจะตีราคาก็โก่งมากหน่อย ไม่ตีราคา ไม่ใช่ของขาย ของแจกฟรี ขอถวายไปทุกๆองค์ว่าจงลับความคมของวิปัสสนาให้แจ่มสกระจ่างถึงที่สุด มองเห็นว่าอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท มีอยู่ทุกปรมาณูทุกขุมขน มีที่ไหนก็มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนั่งแสดงธรรมว่าอย่างนั้นอยู่ที่นั่น จึงมีพระพุทธเจ้าอยู่ที่ทุกแห่งที่มีอาการแห่งปฏิจ-
จสมุปบาท ก็คือทั่วไปไม่ยกเว้นเลย ขอให้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ องค์ที่มีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ที่เป็นพระเจ้าองค์สุดท้าย องค์ที่ลึกสุดท้าย องค์แรกเป็นบุคคล ลูกพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางมายา ครองราชสมบัติอย่างนั้น ตรัสรู้อย่างนั้น นิพพานอย่างนี้ นั่นเป็นเรื่องคน พระเจ้าอย่างบุคคล ก็ยังไม่เห็นธรรมไม่เห็นพระพุทธเจ้า แม้แต่เห็นคนๆนั้นเดินไปเดินมาอยู่ในอินเดีย พระอย่างบุคคลชั้นนอกสุด ลึกไปชั้นจิต จิตที่ตรัสรู้ ลึกเข้าไปสุดคือธรรมธาตุ ธรรมธาตุแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เป็นกฎของปฏิจจสมุปบาทก็ดี ที่เป็นภาวะปรากฏการณ์อยู่ก็ดีของ ปฏิจจสมุปบาท นั้นเรียกว่าธรรมธาตุ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองอย่างนี้
ขอให้ทุกท่านพยายามเห็นปฏิจจสมุปบาท แล้วก็เห็นธรรม แล้วก็เห็นพระองค์องค์สุดท้ายที่ละเอียดเหลือประมาณจนอยู่ได้ทั่วจักรวาลในทุกๆปรมาณู เรื่องของเราก็จบ ผมคงไม่มีแรงจะพูดแล้ว เรียกว่ามันไม่มีแรงในเวลานี้ ต้องขอยุติการบรรยาย
ขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มาเยี่ยม ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมมาถึงที่นี่ ขอบพระคุณๆ ให้เกียรติยศแก่สถานที่นี้อุตส่าห์มาเยี่ยม มีอะไรที่อยากจะดูก็นิมนต์เถอะ ดูโบสถ์ ดูสวนโมกข์ข้างนอก ดูอะไรก็แล้วแต่ที่จะเป็นประโยชน์ในทางการศึกษายิ่งๆขึ้นไป ผมต้องขอยุติการพูด เพราะมันหมดแรงที่จะพูด และขอแสดงความหวังว่าขอให้ทุกท่านทุกองค์ประสบความสำเร็จในวัตถุประสงค์มุ่งหมายของการเจริญวิปัสสนา ถอนตนออกจากความทุกข์ได้
โดยสมควรแก่การปฏิบัติ ทุกรูปทุกนามเทอญ ทั้งนี้ด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ทั่วทุกขุมขน สวนโมกข์นี้ ๓๑๑ ไร่ มีภูเขาอยู่ตรงกลาง อยู่กันรอบภูเขา สวนโมกข์ใหม่ ๑๗o ไร่ เป็นถ้ำ ๑๒o ถ้ำ เป็นถ้ำๆๆๆ สนใจก็นิมนต์ไปดู
ตามที่โอวาทของหลวงพ่อที่ประทานมานั้นนับว่ามีคุณค่าอย่างสูงสุดเป็นอมตะธรรม แต่เหมือนหนึ่งว่ากลองทิพย์ที่หลวงพ่อได้ลั่นขึ้นแล้วในวันนี้ คณะเกล้าทั้งหมด จะขอรับไปพินิจพิจารณาตามที่หลวงพ่อได้ฝากประทานมาในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นโลกียทรัพย์และไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นของยากจนเช่นนั้น อันนี้เป็นความมั่งมีศรีสุขที่สุด สมนามสมเด็จพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อประทานให้ฝังไว้ในเนื้อในหนัง ขอยอมรับโอวาทนั้นทุกประการ ขอกราบคารวะพร้อมกัน ....กราบ
ยอดภูเขานี้ อวดว่าดีที่สุด แต่ไม่มีใครเอาอย่าง โบสถ์ที่ตรงตามพระพุทธประสงค์ที่พระพุทธเจ้าท่านเคยเห็น ดีที่สุด แต่ไม่มีใครเอาอย่าง ถ้าสนใจนิมนต์ขึ้นไปดู เดิน ๕ นาทีถึงยอด ไปถ่ายรูปกับโบสถ์ของผมวิเศษที่สุดเลย
ไปถ่ายรูปกับพระพุทธรูปองค์นั้น โบสถ์ที่ดีที่สุด ที่ไม่มีใครเอาอย่าง
ผมต้องปิดฉากตัวเองแน่ เดี๋ยวนี้แรงไม่มีเหลือลงทุกปีๆๆๆ ๘๓ มันจะแก่เกินกว่าอายุเสียอีก เรื่องนี้ไว้พูดกันสักวัน วันหลังเมื่อไรก็ได้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงตัดสินพระทัยว่าอยู่เพียง ๘o ปี เพราะท่านประกาศว่าท่านต้องการอยู่ได้ถึงกัป กัปสมัยนั้นคือ ๑๒o ปี อายุกัปสมัยพระพุทธเจ้านั้นคือ ๑๒o ปี ถ้าต้องการอยู่ได้ถึงกัป คือ ๑๒o ปี แล้วทำไมท่านตัดสินพระทัยว่าอยู่ ๘o ปี นี่เรามันบ้า เกินพระพุทธเจ้าไป ๓ ปีแล้ว สมน้ำหน้า เกือบตาย
โยมอุบาสิกาเวลาลงบันได รับหนังสือจากพระด้วย จะถวายคนละเล่มๆ ไปดูทั่ววัดเถิด ๓๑๑ ไร่...