แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธทาส : จะสากัจฉาเรื่องอะไรบ้าง นึกหัวข้อมาแล้วหรือยังถ้านึกมาแล้ว ก็ลองขยายหัวข้อที่จะสากัจฉา
พระนิสิต : ขอโอกาสพระเดชพระคุณ ในเรื่องแรกที่เกล้าฯ อยากจะเรียนถามก็คือ ที่พระเดชพระคุณได้ออกกฎบัตรพุทธบริษัทในลักษณะเลียนแบบกฎบัตรสหประชาชาตินี้ ในเมื่อเราไม่มีอำนาจเหมือนสหประชาชาตินี้ จะมีทางที่จะให้เกิดผลสำเร็จได้เพียงไร หรือว่ามีความมุ่งหมายที่แท้จริงอย่างไร
ท่านพุทธทาส : กฎบัตรนั้นไม่มีอำนาจที่จะบังคับ เพราะมันไม่ได้มีอำนาจหรือว่าวิธีการอะไรที่จะบังคับใครได้ เป็นเรื่องชักชวน เมื่อใครเห็นด้วย คนนั้นก็สมัคร ทำ มันก็ค่อยมากขึ้นเอง เราวางไว้แต่เพียงเป็นแนวว่าเราจะเอากันอย่างไร ถ้ามันไม่มีแนว มันก็ไม่รู้ว่าจะเอากันอย่างไร มันเป็นเพียงแนวเสนอ เป็นเรื่องร่างมากกว่า ขอให้ทุกคนช่วยกันพิจารณา ถ้าเห็นด้วยก็ชักชวนกันต่อๆไป บอกกันต่อๆไป เมื่อมีคนปฏิบัติมากเข้าๆ มันก็เกิดขึ้นมาได้ เกิดอำนาจขึ้นมาเอง เพราะการต้องการของพุทธบริษัททุกคน เพราะว่าดีกว่าไม่มีซะเลย จึงเสนอร่างขึ้นมา ก็มีคนเห็นด้วย พอใจก็ให้ยุติไว้ทีก่อนว่าอย่างนั้นๆ สำหรับพิมพ์ขึ้น มันทำได้เพียงเท่านั้น มันเป็นการหาแนวร่วมมากกว่าที่จะปฏิบัติอะไรลงไปแล้วอย่างแท้จริง ก็ได้รับหนังสือตอบมาหลายรายเหมือนกันว่าพอใจที่เราควรจะมีกฎบัตร คือแนวสำหรับปฏิบัติร่วมกันให้มันตรงๆกัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
พระนิสิต : เกล้ากระผมอยากจะทราบแนวของกฎบัตรของพุทธบริษัทครับผม
ท่านพุทธทาส : โอ้, อ่านเอาเองสิ ผมก็จำไม่ได้ล่ะ แต่ว่ามันวางไว้ให้เป็นแนว และก็เป็นพวกๆ เป็นกลุ่มๆ ซึ่งเกี่ยวกับหลักธรรมะที่ควรจะถือเป็นหลักพื้นฐานก็มี เป็นหลักใจความสำคัญก็มี เป็นวิธีการสำหรับที่จะแก้ความเข้าใจไขว้เขว เหตุขัดขวางกันอยู่ก็มี บางทีก็เสนอเป็นเรื่องที่เป็นของใหม่ขึ้นมาว่าควรจะพิจารณา แนวนั้นผมก็จำไม่ได้หรอก ก็ในรายละเอียด ขอให้ไปหาอ่านดูก็แล้วกัน ดูจากตัวกฎบัตรนั้นเอง มีคนพิมพ์ขายที่กรุงเทพฯ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรสนใจ ก็คือความเข้าใจร่วมกันนั่นเอง ความเข้าใจร่วมกันตรงกันหมดสำหรับพุทธบริษัท แต่เราไม่บังคับ เราหลีกเลี่ยงการบังคับ ศาสนาอื่นเขาก็มีการบังคับให้ถือ ใช้อำนาจบังคับ เราไม่บังคับ เป็นเพียงเสนอว่าใครเห็นด้วย ก็ ก็เอาเท่านั้น ครั้งหนึ่ง นายคริสมาส ฮัมฟรีส์ (Christmas Humphreys) นายกพุทธสมาคมประเทศอังกฤษ เขาเสนอความคิดความรู้สึกของเขาที่เห็นว่าพุทธบริษัททุกๆประเทศควรจะมีความเข้าใจตรงกัน ๑๒ ข้อ ตามที่เขาร่างขึ้นมา เขาอุตส่าห์เดินทางไปยังประเทศต่างๆ ที่เป็นพุทธบริษัท แม้กระทั่งประเทศไทยนี้ก็มา และก็มาเสนอแก่พระสังฆราช มีหลายประเทศเขารับรอง เวลารับรองไปตรงๆว่าดี-ถูก ขอรับรองว่าเป็นกฎที่ควรใช้สำหรับประเทศพุทธบริษัททั้งหลาย แต่ประเทศเรา องค์พระสังฆราชท่านไม่ๆๆรับรองถึงอย่างนั้น เพียงแต่ท่านว่ามันถูก มันถูกและมันดี แต่ที่ให้รับรองเป็นของใช้ปฏิบัติประจำประเทศนั้น ไม่ได้รับรอง เมื่อผมอ่านดูก็รู้สึกว่าดีอยู่บางอย่างนะ แต่บางอย่างเห็นด้วยไม่ได้ มันจะพูดมันก็เรียกว่ามันเป็นชาตินิยมอยู่เหมือนกัน มันมีอะไรเคล้าเงื่อน เป็นมหายานอยู่มาก และบางทีมันก็ไม่ตรงกับที่เราเข้าใจยึดถือกันในหมู่เถรวาท แต่ความคิดมันยังเหลืออยู่ว่าการที่มีข้อตกลงอะไรร่วมกัน ถือปฏิบัติด้วยกันในระหว่างประเทศพุทธบริษัทนั้น เป็นสิ่งที่น่า จะทำ คือมีเหตุผลแสดงว่ามันมีประโยชน์ ความคิดนี้มันก็เหลืออยู่ในใจต่อมาอีกหลายปี ก็ดำริเรื่องนี้ เรื่องกฎบัตรของพุทธบริษัทขึ้นมา แต่ไม่กล้าคิดไปถึงว่าทุกประเทศ เอาในประเทศไทยเราก่อน แม้ในประเทศไทยเราก็ไม่ได้ทำไปในลักษณะที่ใช้อำนาจ เพราะเราไม่มีอำนาจ ไม่มีทางที่จะใช้อำนาจ มันก็มีอยู่แต่อำนาจของความเข้าใจตรงกันและก็เห็นพ้องกัน ก็มีอำนาจเพียงเท่านั้น จึงได้พยายามให้มันเกิดสิ่งที่เรียกว่ากฎบัตรของพุทธบริษัทขึ้นมาอย่างที่กำลังพูดอยู่นี้ ก็ถือโอกาสนี้ซะเลยว่าช่วยพิจารณาด้วย ช่วยพิจารณาด้วย ข้อไหนมันใช้ได้ ข้อนั้นมันก็จะติด ติดขึ้นมาเอง ตัวอย่างเช่นเรื่องไสยศาสตร์ ผมก็เขียนลงไปข้อหนึ่งเหมือนกันว่า ระเบียบประเพณีที่เรียกว่าไสยศาสตร์ ที่แทรกเข้ามาในพุทธศาสนาอย่างเต็มที่นี่ มันช่วยไม่ได้ที่จะไม่ให้มี มันก็เลยต้องเหลือไว้เก็บไว้สำหรับคนมีปัญญาอ่อน และก็ช่วยกันทำ ช่วยกันทำให้มีปัญญาแก่กล้าขึ้น แล้วมันคงจะหมดไปเอง อย่างนี้เป็นต้น ถ้าท่านผู้ใดเห็นด้วย ก็ช่วยทำให้พุทธบริษัทพ้นจากอำนาจของไสยศาสตร์ แทนที่จะไปเลิกมันเดี๋ยวนี้ มันทำไม่ได้หรอก เพราะว่าความเชื่อมันแน่นแฟ้น มันมีอำนาจยิ่งกว่าอำนาจอาวุธซะอีก อำนาจความเชื่อนี้ เราจึงทำได้เพียงแต่ว่าชี้แจง ชักจูง เกลี้ยกล่อมกันไปเรื่อยๆ เมื่อเขาหายปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์เหล่านั้นก็จะหมดไปเอง หมดไปเอง อย่างนี้เป็นต้น ขอให้มีความเห็นร่วม เข้าใจร่วม และก็ช่วยกันไปเรื่อยๆ ข้ออื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน ขอความเห็นใจให้เกิดความเข้าใจตรงกันมากขึ้น แล้วมันก็เป็นขึ้นมาเอง แต่ว่าบางข้อมันมีความรุนแรงไปบ้างก็ขออภัย ไม่เอาก็ได้ แต่มีมากล่ะ มากที่ควรจะใช้ได้หรือพอจะใช้ได้ ขอให้ช่วยพิจารณาด้วย ก็มีเท่านี้ เรื่องกฎบัตร
พระนิสิต : มีประเด็นหนึ่งซึ่งมีหลายท่านก็ไม่แน่ใจนักในกฎบัตร คือเกี่ยวกับเรื่องพระรัตนตรัยกับพระเจ้า เรียกได้ว่าบางท่านอาจจะไม่เห็นด้วยในท่านที่ไม่สามารถจะคลายความคิดเดิมนี้ว่า พระเจ้านั้นกับธรรมพระรัตนตรัยไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องกัน หรือว่าพุทธศาสนาซึ่งสอนกันหรือเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นอเทวนิยม เช่นว่าทางพระเดชพระคุณบอกว่าเป็นเทวนิยมแบบที่เป็นปรากฏแล้ว ไม่ทราบว่าจะมีข้อชี้แจงอะไรที่จะเป็นแนว
ท่านพุทธทาส : ข้อนี้มันอยู่ที่คำที่เราพูด คำที่เราพูดกัน ใช้พูดกันนี่ มันมีความหมายที่ไม่ค่อยจะตรงกัน อันนั้นแน่นอนที่สุด พุทธศาสนาจะเป็นธีออลโลยี่ (Theology) ไม่ได้ พุทธศาสนาจะมีลักษณะธีออลโลยี่ ไม่ได้ คือไม่มีพระเจ้าอย่างบุคคล ไม่มีพระเจ้าอย่างบุคคลอย่างที่ศาสนาอื่นเขามี เรียกว่าพระเจ้าอย่างบุคคล หรือพระเจ้าที่มีความรู้สึกอย่างบุคคล เรียกว่า เพอร์ซันนัล ก๊อด (Personal God) นั้น มีไม่ได้ในพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาไม่มีลักษณะแห่งธีออลโลยี่ เดวะ (Deva) เดวะ ดิโอ (Dio) ดิโอ หมายถึงพระเจ้าอย่างชนิดที่เป็นบุคคล เป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่เราชาวพุทธนี่ยอมรับว่ามีสิ่งสูงสุดในความหมายของคำว่าพระเจ้า แต่ไม่ต้องเป็นบุคคลก็ได้ เอาอำนาจนั้นมาใช้ได้ และมันก็ได้แหละ ทีนี้ก็พิจารณาดูเอาว่าพระเจ้า พระเจ้าอย่างบุคคลในศาสนาพวกธีออลโลยี่ นั้น พระเจ้ามีอำนาจอย่างไรบ้าง มันก็เห็นอยู่ว่า พระเจ้ามีอำนาจสร้างสิ่งทั้งปวงนี่อย่างหนึ่ง พระเจ้าก็มีอำนาจควบคุมสิ่งทั้งปวง ยกเลิกสิ่งทั้งปวงเป็นครั้งคราว แล้วขอบเขตของพระเจ้าก็อยู่ในที่ทั่วไป ดูแลในที่ทั่วไป ควบคุมในที่ทั่วไป รู้อะไรทุกอย่าง หมายความว่าจะให้เกิดอะไรขึ้นได้ทุกอย่าง นี่เราเอาตัวอำนาจ ตัวสมรรถนะของสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าชนิดที่เป็นบุคคลมาใคร่ครวญดูว่ามีอะไรบ้างที่เป็นอย่างนั้นได้ ในพุทธศาสนาเราเมื่อได้ตรวจสอบดูหมดแล้ว ก็พบว่ากฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎอิทัปปัจจยตา กฎอิทัปปัจจยตานี้สามารถสร้างทุกอย่างได้จริง คือเป็นปฐมเหตุ เป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดของพระเป็นเจ้าอย่างบุคคล เป็น เดอะ เฟิร์สท์ คอร์ส (the First Cause) เป็นปฐมเหตุที่ออกมาของสิ่งทั้งปวง นี่เราก็เห็นชัดว่ากฎอิทัปปัจจยตานี่เป็นเหตุให้สิ่งทั้งปวงออกมาตั้งแต่ต้น ก็ทำหน้าที่เหมือนกับพระเจ้าได้ เป็นกฎของธรรมชาติ แล้วก็ควบคุมสิ่งทั้งปวงอยู่ ในที่ทุกหนทุกแห่ง จนเราพูดได้ว่ากฎอิทัปปัจจยตาควบคุมอยู่ในทุกๆปรมาณูที่มันประกอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล อย่างนี้แล้วก็เขาเรียกควบคุมอยู่ในที่ทุกแห่ง ยิ่งกว่าพระเจ้าที่เป็นบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล จะไปควบคุมได้อย่างไร ความรู้สึกอย่างบุคคล จะเข้าไปควบคุมในทุกๆ ปรมาณูได้อย่างไร จึงมีคำล้อว่า พระพุทธเจ้า เอ้ย, พระเจ้า พระเป็นเจ้า จะไปอยู่ในกองขี้หมาได้อย่างไร ในกองขี้หมาก็มีปรมาณู ในทุกๆ ปรมาณูในกองขี้หมานี่ กฎอิทัปปัจจยตาเข้าไปควบคุมอยู่หมด แต่พระเจ้าอย่างบุคคลจะเข้าไปควบคุมได้อย่างไร แล้วก็มีพระเจ้าที่ควบคุมสิ่งทั้งปวงดียิ่งกว่า เก่งกว่าพระเจ้าในศาสนาที่เขามีพระเจ้าอย่างบุคคล แล้วมีพระเจ้าอย่างที่มิใช่บุคคล แต่เป็นกฎของธรรมชาติ และที่ข้อที่ว่าเป็นผู้เลิกล้าง เป็นเดสทรอย์(Destroy) เดสทรอยเยอร์ (Destroyer) ตามยุคตามสมัยน่ะ กฎอิทัปปัจจยตาทำให้มันเป็นอย่างนั้นขึ้นมาในสากลจักรวาล ก็เลยครบ มีอำนาจครบที่จะสร้าง จะควบคุม จะยุบหรือทำลายเป็นครั้งคราว ทีนี้ที่ว่าอยู่ในทุกหนทุกแห่ง รู้อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ดูแลอยู่ในทุกหนทุกแห่ง มีอำนาจทุกหนทุกแห่ง มันเป็นกฎของธรรมชาติ เมื่อมันมีอยู่ในทุกปรมาณูของทุกสิ่ง และมันก็ควบคุมทุกสิ่ง เราเลยได้พระเจ้าที่จริงกว่า ในการทำหน้าที่ของพระเจ้าอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ทั่วไป นี่ถ้าเราจะมีพระเจ้า เราก็มีกฎของธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกฎอิทัปปัจจยตา ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ แล้วพวกเราก็อ่านพระบาลีโดยตรงมาแล้วว่า เมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ๆ พระพุทธองค์ทรงปริวิตกว่าเป็นผู้ตรัสรู้แล้วนี่จะเคารพอะไร ทรงปริวิตกไปมาๆ ในที่สุดก็ตกลงว่าเคารพธรรมที่ได้ตรัสรู้นั่นแหละ และทำให้นึกไปในไกลไปถึงว่าในอดีตพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็เคารพธรรมที่ได้ตรัสรู้ ในอนาคตข้างหน้าพระพุทธเจ้าทุกองค์จะเคารพธรรมที่ตรัสรู้ และเดี๋ยวนี้ก็เคารพธรรมที่ตรัสรู้ ธรรมที่ตรัสรู้นั่นแหละกลายเป็นสิ่งสูงจนพระพุทธเจ้าเคารพและเชื่อฟัง
ทีนี้ธรรมที่ตรัสรู้นั้นคืออะไร นี่ขอร้องอีกที เอาไปศึกษาเอง อย่าเชื่อผม ไปไล่ดูให้ดีเถอะ ธรรมที่ตรัสรู้คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่อุทานสามยาม วิชาสามนั่น มันเป็นคำสรุปผลเท่านั้นแหละ ทั้งหมดนั้นเนื้อเรื่องของมันคือรู้ปฏิจจสมุปบาทแต่ต้นจนปลาย แต่ปลายจนต้น แต่ต้นจนปลาย ก็คือทรงเคารพกฎปฏิจจสมุปบาท และกฎปฏิจจสมุปบาทก็คือกฎอิทัปปัจจยตา เรื่องนี้คงจะมีปัญหาอยู่บ้างในการสอนนักธรรมในโรงเรียนนักธรรม เพราะเห็นสอนกันกลับๆ กันอยู่ ที่ควรจะพูดว่าอิทัปปัจจยตา ไปพูดเป็นปฏิจจสมุปบาท ที่ควรจะพูดปฏิจจสมุปบาท ไปพูดเป็นอิทัปปัจจยตา ขอให้มองให้เห็นและยุติกันเลยว่าถ้ามันเกี่ยวกับทุกสิ่ง ขอให้ใช้คำว่าอิทัปปัจจยตา ถ้าเกี่ยวเฉพาะสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจรู้สึกรู้ทุกข์ได้ ขอให้ใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท มันเป็นเรื่องเดียวกัน เช่นจะพูดว่าแผ่นดินโลกนี่ถูกควบคุมด้วยกฎปฏิจจสมุปบาท นี่คือความเข้าใจผิด ให้ใช้ว่ากฎอิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นปฏิจจสมุปบาทที่กว้างกว่า และกว้างที่สุด ผมได้ยินพูดอยู่บ่อยๆ ทั้งครูบาอาจารย์ ว่าเป็นกฎของปฏิจจสมุปบาทควบคุมปรากฏการณ์อย่างนั้นอย่างนี้ นี้ให้มันพูดเสียใหม่ว่า เป็นกฎของอิทัปปัจจยตา คือทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร แต่มันเหมาะสำหรับที่จะใช้กับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ไม่มีวิญญาณ สำหรับก้อนหินก้อนนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกฎอย่างนี้ มันก็ตามกฎอิทัปปัจจยตาดีกว่าจะใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท มันไม่รู้สึกเป็นทุกข์ได้มันก็เลยเป็นคำพูดที่ขัดขวางกันอยู่ในตัว ถ้าไม่มีชีวิต เป็นธรรมชาติทั่วไป ใช้กฎอิทัปปัจจยตา ถ้าใช้กับสิ่งที่มีชีวิตจิตใจรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ได้ ก็ใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท พระองค์ทรงเคารพกฎนี้ ถึงกับตั้งขึ้นไว้ว่าเป็นที่เคารพของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ตรัสรู้แล้วพิจารณาธรรมะในเรือนแก้วรัตนฆรเจดีย์เจ็ดวัน ที่เขาเขียนกันไว้ว่าอะไร ว่าพิจารณาอภิธรรม อภิธรรม จริงๆ พิจารณาสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้แล้วมาหยกๆ คือกฎปฏิจจสมุปบาท กฎปฏิจจสมุปบาทคืออภิธรรมแท้ อภิธรรมยิ่งแต่ไม่เกิน อภิธรรมเกินเก็บไว้ไม่พูดดีกว่า อภิธรรมอย่างยิ่งอภิธรรมแท้จริงน่ะคือเรื่องปฏิจจสมุปบาท เมื่อทรงทบทวนอยู่อีกตั้งหลายวันในรัตนฆรเจดีย์อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่ากฎของปฏิจจสมุปบาท
ทีนี้มันน่าหัว มันฟลุ๊ก ที่ว่าคำว่ากฎ กับคำว่า ก๊อด (God) มันคล้ายกันมาก พวกบาทหลวงที่มาที่นี่ ที่รู้จักคุ้นเคยกันดี ผมก็พูดทำนองนี้ แต่มันเป็นเรื่องตลกหน่อยว่า พุทธบริษัทก็มี ก๊อด แต่เราออกเสียงมันสั้นไป มันเหลือ กฎ เราทำเสียงมันสั้นไป ถ้าคุณทำเสียงให้ยาวมันก็คือ ก๊อด นั่นเอง มันก็เลยได้หัวเราะกันใหญ่ แต่ก็ไม่มีทางทัก ไม่มีทางทักเลย เรามีกฎ เหมือนกัน เรามี ก๊อด เหมือนกัน แต่เราออกเสียงมันสั้น จะว่ายังไง มันเลยเหลือกฎ เป็นสิ่งสูงสุด ทำอะไรได้ทุกอย่างเหมือนที่ก๊อด ทำได้ ท้าอย่างนี้เลย และของเราจะคงทนกว่า เพราะว่าไม่ต้องมีความรู้สึกอย่างคน ถ้ามีความรู้สึกอย่างคน มันก็อยู่ใต้อำนาจของปัจจัยที่ทำให้เกิดความรู้สึก ฉะนั้นพระเจ้าไม่ใช่สิ่งสูงสุด ถ้ามีอะไรมาทำให้พระเจ้าพอใจได้ ทำให้พระเจ้าไม่พอใจได้ อย่างนี้พระเจ้าอยู่ใต้อำนาจของปัจจัยนั้นจะเป็นพระเจ้าสูงสุดได้อย่างไร ทีนี้กฎของอิทัปปัจจยตามันเป็นได้ ไม่มีใครทำให้กฎนี้พอใจหรือไม่พอใจได้ ถ้าทำถูกก็ได้ผลดี ทำผิดก็ได้ผลร้าย นี่เรียกว่ายุติธรรมที่สุด และก็สร้างอะไรได้ทุกอย่าง คำสำคัญคำนั้น คำว่า ออมนิไซแอนซ์ (Omniscience) ออมนิไซแอนซ์ พระเจ้ารู้จักทุกอย่าง ทีนี้ก็ถามว่าถ้าอย่างนั้นพระเจ้ารู้จักทุกอย่าง มาถึงกับว่าเอ่อ สร้าง อนุญาตให้หรือว่าบันดาลให้มนุษย์สร้างปรมาณูระเบิดขึ้นมาทำไม พระเจ้าก็ อีม ไม่ ไม่สมบูรณ์สิ ถ้าทุกอย่างมันเป็นไปตามความประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าสร้างทุกอย่าง จะสร้างปรมาณูขึ้นมาทำไม ถ้าเรามีกฎอิทัปปัจจยตา มันก็แล้วแต่ความคิดของมนุษย์สิ เป็นไปตามเหตุปัจจัยอยู่เรื่อย มันจึงพบความรู้สร้างอันนี้ขึ้นมาได้ ที่มันจะสร้างกันต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องคอมพิวเตอร์นี่ พระเจ้ารู้มาแต่ไหน รู้ก่อนมนุษย์สร้างมาแต่ไหนจึงจะนำให้มนุษย์สร้างได้ แต่กฎอิทัปปัจจยตาทำได้ เพราะมนุษย์ก้าวหน้ามาทีละนิดๆๆ การขยายตัวของความรู้เกี่ยวกับกฎอิทัปปัจจยตา และนี่เขาสร้างอะไรได้วิเศษ ซึ่งพระเจ้าในสมัยสองสามพันปีไม่อาจจะรู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็เลย. พระเจ้าเช่นนั้นก็มีปมด้อย กฎอิทัปปัจจยตา พระเจ้านี้ไม่มีทางที่จะมีปมด้อย ถ้ามนุษย์จะสร้างอะไรขึ้นวิเศษวิโสกว่านี้อีกหลายร้อยเท่าหลายพันเท่า มันก็ไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา นี่คือพระเจ้า เอาความหมายแต่เพียงว่าสิ่งสูงสุด ถ้าอย่างนี้ไม่เป็นธีออลโลยี่
การมีกฎอิทัปปัจจยตาเป็นเหมือนพระเจ้า หรือเป็นพระเจ้า ก็แล้วแต่จะพูด สร้างสิ่งทั้งปวงไม่มีลักษณะเป็นเทวะวิทยาหรือธีออลโลยี่ แต่เป็นกฎธรรมชาติ เป็นกฎของวิทยาศาสตร์ ถ้าพูดกับคนสมัยนี้ ก็เรามีกฎธรรมชาตินั่นเองเป็นพระเจ้า ไม่ใช่อย่างบุคคล แต่เป็นกฎของธรรมชาติ ทีนี้เขาจะมาเหนือเมฆว่าพระเจ้าสร้างกฎธรรมชาติ ขี้เกียจทะเลาะกันแล้ว ไม่พูด ถ้าว่าพระเจ้าสร้างกฎธรรมชาติแล้วก็ขี้เกียจพูดแล้ว ไม่ต้องพูดดีกว่า เดี๋ยวก็จะพูดว่าก็พระเจ้าเพิ่งมีในความคิดของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มันคิดได้ถึงเรื่องนี้ มันจะมีความคิดเรื่องมีพระเจ้าสร้างนี่ คนน่ะมันสร้างพระเจ้า พระเจ้าจะสร้างกฎธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้ กฎธรรมชาติน่ะมันมีวัฒนาการให้เกิดคนขึ้นมา แล้วคนวิวัฒนาการทางความคิดขึ้นมา แล้วคนน่ะมันสร้างพระเจ้า คำพูดในหนังสือ..... (นาทีที่ 27.04)....พูดว่าคนสร้างพระเจ้านั่นแหละ ล้อพระเจ้า ก็ความคิดของคนว่ามีพระเจ้า แล้วก็พูดอย่างว่า เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น พระเจ้าเป็นอย่างนั้น คนสร้างพระเจ้า ก็เลยแยกทางกันเดิน ยอมให้เป็นคนสองพวก ต่างฝ่ายต่างมีพระเจ้าตามแบบของตนๆ ก็สังเกตดูเถิด เดี๋ยวนี้ในหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาจะยุติตกลงกันแล้วว่าให้คนในโลกมีสองพวก พวกหนึ่งเชื่อว่ามีพระเจ้าอย่างบุคคลสร้างโลก นี้ก็มากนะ อีกพวกหนึ่งไม่เชื่ออย่างนั้น แต่เชื่อว่ามีกฎวิวัฒนาการเป็นสิ่งสร้างโลก คือวิทยาศาสตร์ ตามกฎวิทยาศาสตร์ เขาเรียกกันง่ายๆ ว่าพวกแรกเป็นพวก ครีเอชั่นนิสต์ (Creationist) ครีเอชั่นนิสต์ ครีเอชั่น (Creation) สร้าง ครีเอชั่นนิสต์ ทีนี้คนทั้งหลายก็เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้สร้างพวกหนึ่ง ทีนี้อีกพวกหนึ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ว่ามันมีวิวัฒนาการเขาเรียกว่า เอฟโวลูชั่นนิสต์ (Evolutionist) เอฟโวลูชั่นนิสต์ คนในโลกมีสองพวก พวกหนึ่งถือว่ามีพระเจ้าอย่างบุคคลสร้าง เอ่อสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา ทีนี้พวกหนึ่งมันเป็นเอฟโวลูชั่น (Evolution) ของธรรมชาติ เราจะเป็นพวกไหนก็ดูเอาเอง พุทธศาสนาจะเป็นพวกไหนก็ดูเอาเอง ถึงพวกฝรั่งเองมันก็เกิดแตกแยก แตกแยกเป็นสองพวกอย่างนี้เหมือนกัน ที่เคยถือว่าพระเจ้าสร้างโลกเป็นครีเอชั่นนิสต์ มาก่อนมันก็เปลี่ยนมาเป็นเอฟโวลูชั่นนิสต์ เมื่อมันได้ศึกษาพุทธศาสนามากขึ้น อย่างนั้นเราข้อแรกที่เราจะสนทนากับคนพวกอื่น เราควรจะตกลงกันซะก่อนว่าท่านเป็นพวกไหน คือฝรั่งจะถามเราก่อนว่าเราเป็นพวกไหน เราก็ถามเขาว่าท่านเป็นพวกไหน ท่านเป็นครีเอชั่นนิสต์ หรือเป็นเอฟโวลูชั่นนิสต์ แล้วเราจะได้พูดไปตามหลักเกณฑ์ของเรา แต่ว่าจะเป็นพวกครีเอชั่นนิสต์ หรือ เอฟโวลูชั่นนิสต์ ก็ตาม มันยุติตรงกันอีกอย่างหนึ่งว่า สิ่งทั้งปวงมันมีผู้สร้าง ตรงนี้มันมาร่วมกันว่าสิ่งทั้งปวงมีผู้สร้าง จะเป็นไปเองไม่ได้ พวกนั้นก็ว่าพระเจ้าสร้าง พวกนี้ก็ว่ากฎ เอฟโวลูชั่น มันสร้าง ทีนี้ก็เลือกเอาสิ จะเอาอย่างไหน จะเอาอย่างไหน ชอบใจอย่างไหนก็เอาอย่างนั้น ชอบใจธรรมะของใคร ก็เอาธรรมะของคนนั้น นี่เดี๋ยวนี้มันพิสูจน์ขึ้นมาเรื่อยๆ ว่าการเชื่อว่ากฎของ เอฟโวลูชั่น สร้าง มันจริงกว่า ถูกกว่า หรือว่ามีประโยชน์กว่า มีประโยชน์กว่า คือเราจะเป็นเสรีภาพ หรือเป็นอะไรที่เราต้องการได้มากกว่า กฎเอฟโวลูชั่นนั้นก็คือกฎอิทัปปัจจยตานั่นเอง ไปศึกษาดูให้ดี ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั่นคือกฎอิทัปปัจจยตา ซึ่งทำให้มี เอฟโวลูชั่น ขึ้นมาในสากลจักรวาลตั้งแต่จุดแรกเริ่ม แล้วก็เรื่อยมาๆ เรื่อยมานั่นคือกฎ อิทัปปัจจยตา อันนี้แหละเป็นพระเจ้า พระเจ้าอันสูงสุดเด็ดขาดของพวก เอฟโวลูชั่นนิสต์ ซึ่งนับวันแต่จะมากขึ้นในโลก ดูคำกล่าวของไอน์สไตน์ ครั้งสุดท้ายเมื่อเขาจะตาย เขาหวังว่าลัทธินี้ซึ่งไม่ใช่เทววิทยาจะมาเป็นศาสนาที่อยู่ได้ รับหน้า ความต้องการของมนุษย์แห่งโลกปัจจุบันได้ ต่อไปข้างหน้ามันจะมีคนมาเป็นพวกเอฟโวลูชั่นนิสต์มากขึ้นๆ ทางฝ่าย ครีเอชั่นนิสต์ จะลดลงๆ ไม่ใช่พูดดูถูกใครนะ พูดไปตามความรู้สึกว่าจะเป็นอย่างนั้น พระเจ้า พระเจ้าจะต้องมี เพราะมันยังมีความรู้สึกตามสัญชาติญาณได้เองว่าต้องมีผู้สร้าง ต้องมีผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือสิ่งทั้งปวง และจะเป็นอะไรก็เลือกเอา พุทธบริษัทเราก็เป็น เอฟโวลูชั่นนิสต์ เพิ่มน้ำหนักให้แก่คำว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนาไม่เป็น ฟิลอโซฟี่ (Philosophy) การที่จะให้มีพระเจ้าขึ้นมาต้องมีวิธีคำนวณ อย่าง ฟิลอโซฟี่ จึงจะมีผลการคำนวณออกมาว่ามีพระเจ้า ส่วนเราไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น มีกฎธรรมชาตินี่ แล้วก็ไม่ต้องใช้คำนวณ ดูๆๆๆๆ ลงไป จะพบว่ามันมีจุดตั้งต้นอย่างนี้ มีเหตุปัจจัยอย่างนี้ ไม่ต้องมีพระเจ้าชนิดบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็มีพระเจ้าได้ และขอใช้นามว่าพระเจ้าอย่างมิใช่บุคคล เพอร์ซันนัล ก๊อด หรือ อิมเพอร์ซันนัล ก๊อด (Impersonal God) นอน-เพอร์ซันนัล ก๊อด (Non-personal God) มีอยู่สอง ก๊อด เรามี ก๊อด อย่าง นอนเพอร์ซันนัล ก๊อด อย่างเต็มที่เลย อย่างนั้นการที่จะมาจัดให้พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า แล้วไม่เรียกว่าศาสนานั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันกลับสวนทางกันชอบกล เพราะฝรั่งเขาว่าพุทธศาสนาไม่มี ก๊อด ไม่มีพระเจ้า ดังนั้นเป็น รีลิเจียน (Religion) ไม่ได้เป็น รีลิเจียน ไม่ได้แล้วจะเป็นอะไร เขาก็จัดให้เป็นอะไรก็ไม่รู้ เป็น ฟิลอโซฟี่ ตามที่เขาอยากจะเรียก เราบอกว่าเราก็มีพระเจ้า มี ก๊อด คือกฎอิทัปปัจจยตาทำหน้าที่พระเจ้า และเป็นจุดที่เราจะต้องเข้าถึง เข้าถึงแล้วก็รอดตัว ก็เลยมี อิมเพอร์ซันนัล ก๊อด สำหรับจะให้มนุษย์ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความผูกพัน ตามความหมายของคำว่า รีลิเจียน รีลิเจียน มันเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด ลิ (li) ลิ มันแปลว่าความผูกพันและถือปฏิบัติ รีลิเจียน คือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดการผูกพันกันเข้าระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุด ทีนี้ธรรมะในพุทธศาสนาก็ทำให้เป็นอย่างนั้นได้ ก็มีกฎ อิทัปปัจจยตาเป็นพระเจ้า แล้วก็เข้าถึงสิ่งสูงสุดคือนิพพานได้
พระพุทธศาสนาก็มีลักษณะเป็นรีลิเจียโดยสมบูรณ์ จะมาจับให้ไม่เป็นรีลิเจียนไม่ได้หรอก แล้วความคิดอันนั้นก็ลำเอียงด้วย ทุจริตด้วย เข้าข้างตัวมากเกินไปเพื่อที่จะขจัดพุทธศาสนาออกไปจากวงที่เป็นที่เคารพ เป็นที่สนใจของมหาชน เรามีก๊อด กฎอิทัปปัจจยตา เราเป็นรีลิเจียน เพราะว่ามีการปฏิบัติที่ทำมนุษย์ให้ผูกพันกันเข้ากับสิ่งสูงสุด ก็คือภาวะที่ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง เขาว่าไปอยู่กับพระเจ้าในที่สุดท้ายก็คือไปอยู่ในภาวะที่ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง เราก็เข้าไปถึงสิ่งที่ปราศจากความทุกข์ทั้งปวง ปัญหาทั้งปวง เหมือนกับว่าไปอยู่กับพระเจ้า แต่เราอยากจะเรียกว่านิพพาน ใครจะว่าอะไร
เป็นอันว่าพุทธบริษัทจะต้องมองให้ดีจนเห็นว่าเราก็มีสิ่งสูงสุดคือพระเจ้า แล้วเราก็มีสิทธิที่จะใช้คำพูดของเขาว่าพุทธศาสนานี้ก็เป็นรีลิเจียน ไม่ใช่ระบบฟิลอโซฟี่ ระบบหนึ่งสำหรับคำนวณอย่างเพ้อเจ้อเหมือนที่พวกฝรั่งเขาจัดให้ อย่างนี้มันไม่ยุติธรรม มันลำเอียงมากเกินไป แล้วก็เป็น รีลิเจียน เต็มรูปแบบ เมื่อเร็วๆ ไม่นาน เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ที่อินโดนิเชียเกิดปัญหาเรื่องเงินซับซิดี้ (Subsidy) ที่รัฐบาลกระจายให้แก่ประชาชน และก็มีกฎว่าประชาชนนั้นต้องมีศาสนา และประชาชนพวกที่ไม่มีศาสนาก็ไม่ถือว่าเป็นประชาชนที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่จ่ายเงินช่วย และเขาจัดว่าพุทธศาสนาว่าไม่เป็นศาสนา ไม่มีพระเจ้า เราบอกเขาว่าให้ไปอธิบายอย่างนี้ แล้วเขาก็ไปต่อสู้ในลักษณะอย่างนี้ ว่ามี ก๊อด ชนิด อิมเพอร์ซันนัล ก๊อด แล้วก็มี รีลิเจียน หรือเป็น รีลิเจียน เขายอมผ่อนผันให้ เขาจ่ายเงินให้ในฐานะเป็นประชาชนที่มีศาสนา เป็นพลเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย ดูสิมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับประโยชน์ เกี่ยวกับอะไรมากมายของคนเหมือนกันในคำว่ามีศาสนาหรือไม่มีศาสนา มีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้า เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ในอนาคต อาจจะมีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น ฉะนั้นเราต้องเตรียมคำตอบไว้ให้ถูกต้อง ให้มันถูกต้อง ไม่เอามากกว่านั้น ให้มันยุติธรรมและถูกต้อง ไม่ลำเอียงเอามากกว่า หรือเอาอย่างไม่ถูกต้อง เรามีสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าเคารพนั้นเราเรียกว่าพระเจ้า ตามความหมายของคำว่าพระเจ้าคือสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งทั้งปวง แล้วก็เป็นศาสนา เป็นรีลิเจียน เพราะเรามีการปฏิบัติที่ทำให้คนเข้าถึงสิ่งสูงสุดนั้น เถียงกันเท่าไรก็ได้ ในที่สุดก็คงจะเข้าใจกันได้ว่าเราทุกคนในโลกมีศาสนา พวก ครีเอชั่นนิสต์ ก็มีศาสนา พวกเอฟโวลูชั่นนิสต์ ก็มีศาสนา ฉะนั้นเราอยู่ร่วมโลกกันได้ อย่างนี้ดีกว่า ขอให้เอาไปคิดดู หรือมันจะมีอะไรทางอื่นนอกไปจากนี้ก็ช่วยไปคิดดู แต่เท่าที่ผมคิดดูเรื่อยๆ และมองเห็น มันเห็นว่าอย่างนี้ จึงได้พูดว่าเราก็มีพระเจ้า แต่ไม่ใช่แบบ ธีออลโลยี่ อย่างที่เขาเรียนกัน ต้องเรียนกัน อันนั้นมันจะเป็น ฟิลอโซฟี่ ต้องคำนวณว่ามีพระเจ้า เราไม่ต้องคำนวณ เราเป็นวิทยาศาสตร์ มองเห็นชัดว่ามีพระเจ้าโดยไม่ต้องคำนวณ เรียกว่าพระเจ้าที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้แม้ในยุคปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวหน้าเท่าไร นักวิทยาศาสตร์จะยอมรับพระเจ้าอย่างที่มีในพุทธศาสนานี้ได้ แต่จะไม่อาจยอมรับพระเจ้าชนิดที่เป็นบุคคลอย่างนั้นได้มากยิ่งขึ้น คอยดูไปแล้วกัน นี่เรื่องพระเจ้ามีประเด็นที่จะต้องพิจารณาให้มันเป็นที่ยุติใช้ประโยชน์ให้ได้กันเสียทีในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้คำว่าพระเจ้านั้น มันเป็นภาษาไทยนะ เราเป็นคนไทยเราต้องรู้คำว่าพระเจ้า พระเจ้าคำนี้เป็นภาษาไทย ซึ่งหมายถึงสิ่งสูงสุด ถ้ามันรู้จักสิ่งสูงสุดเพียงแค่ไหน มันก็เอาอันนั้นแหละเป็นพระเจ้า มันจะเอาพระเอาเณรเป็นพระเจ้า เป็นพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ ดูซิในหนังสือเก่าๆ มันมีเขียนอย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าในบางแห่งหมายถึงพระถึงเณรนั้น และที่จริงหมายถึงสิ่งสูงสุด สูงสุดขึ้นไป จนไม่มีสูงได้อีกก็หมายถึงพระเจ้า ทิ้งไว้เป็นกลางว่าเป็นสูงสุด มีอำนาจที่สุด สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ยกเลิกสิ่งทั้งปวง มีอยู่ในที่ทั้งปวง มันสูงสุดอย่างนี้ แต่คำว่า ก๊อด ก๊อด นั้น ผมถามพวกฝรั่งเองว่าแปลว่าอะไรคำว่า ก๊อด เขาหมายว่าความดีสูงสุด เป็นที่ประชุมแห่งความดี สูงสุดมาจากคำว่า กู๊ด (Good) ดีที่สุด ดีสูงสุด ดีทั้งหมด ถ้าอย่างนี้แล้วไม่ได้แล้ว เพราะในพุทธศาสนาของเราคำว่าดีเป็นสังขตธรรม มันเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยได้ ดีสูงสุดไม่ได้ พระเจ้าจะเป็นอิสระไม่ได้ถ้าเป็นเพียงความดี ซึ่งเป็นสังขตธรรม ต้องเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัย แต่เราจะพูดมากไปเดี๋ยวเขาจะโกรธ เราก็ไม่พูดมาก แต่ว่าเรารับไม่ได้ ถ้าว่าดี ดีที่สุดนี่ รับไม่ได้ ดีนี่ตรงกันข้ามกับชั่วนี่ เรารับไม่ได้ มันต้องเหนือดี พระเจ้าที่แท้จริงนี่ต้องเหนือดีขึ้นไป นั่นแหละคือควบคุมความดี ความชั่ว ความไม่ดี ไม่ชั่วอะไรกิดนั่นแหละ จะเรียกว่าสิ่งสูงสุด อันนี้คือกฎอิทัปปัจจยตา ฉันมีพระเจ้าอย่างนี้ ในรูปแบบอย่างนี้ ไม่เป็น ธีออลโลยี่ ซึ่งบัญญัติไว้ว่าพระเจ้าเป็นบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกคิดนึกได้ ให้รางวัลได้ ลงโทษได้ อะไรได้ เป็นบุคคล แต่คราวนี้มันก็ว่าไม่ได้ บางทีมันจะเป็นความผิดของคนชั้นหลัง มาอธิบายพระเจ้าให้ลดต่ำมาลงมาเหลือแถวนี้ก็ได้ เขาเคยเข้าใจถูก เป็นพระเจ้าอย่างมิใช่บุคคลมาก่อนแล้วก็ได้ แต่ลูกศิษย์ชั้นหลังอธิบายผิดเสียเอง ทำลายพระเจ้า ลดลงมาเหลือแค่บุคคล แต่นี่มันเป็นการสันนิษฐาน
เอาล่ะ เป็นอันว่าพระเจ้านี้จะต้องมีอยู่ในจิตใจของสิ่งที่มีชีวิต คือมันจะรู้สึกได้เองตามสัญชาติญาณว่ามีสิ่งสูงสุด และสิ่งสูงสุดนั้นคืออะไรก็ว่ากันไปตามเรื่อง เรามีอย่างนี้ เขามีอย่างนั้น คือพุทธศาสนาไม่เป็น ธีออลโลยี่ และพุทธศาสนาจะไม่ต้องมีด๊อกมาติค ซิสเต้ม (Dogmatic System) ด๊อกม่า คือบัญญัติเอาเอง แล้วใครค้านไม่ได้ เขาเรียก ด๊อกม่า ใน คริสเตียนมี เฉียบขาดเข้มงวด ถ้าไม่เชื่อแล้วละก็ หมดความเป็นคริสเตียนเลย เราไม่มี ไม่มีระบบด๊อกม่า แบบนี้ ให้เห็นด้วยตนเอง เชื่อด้วยตนเอง พอใจด้วยตนเอง และนับถือด้วยตนเอง ที่มันต่างกันอยู่อย่างมาก ที่เป็นตัวปัญหา ก็คือว่าเราไม่เป็น ธีออลโลยี่ แล้วก็เราก็ไม่มี ด๊อกมาติค ซิสเต้ม ฉะนั้นไม่มีทางจะเป็นอันเดียวกันได้ ถ้าจะให้อยู่ร่วมโลกกันได้ ก็ต้องอธิบายบางอย่างกันเสียใหม่ ให้มันพอไปด้วยกันได้ คือมีพระเจ้าด้วยกัน มีอะไรให้รอดได้ด้วยกันก็พอแล้ว ทุกศาสนามันก็หมายถึงความรอดเป็นจุดมุ่งหมาย จะเป็นศาสนาไหนสุดแท้จะต่ำต้อยอย่างไรก็มีความรอดเป็นจุดมุ่งหมาย พวกมีพระเจ้าสร้างก็มีความรอดเป็นจุดมุ่งหมาย พวกที่ไม่มีพระเจ้าสร้างก็มีความรอดเป็นจุดมุ่งหมาย เรามีพระเจ้าตามแบบของเรา มีความรอดเป็นจุดมุ่งหมาย ซึ่งเรียกว่าพระนิพพาน คงจะได้พูดกันสักวันหนึ่ง เมื่อมันมีทางสัมพันธ์ถึงกันทั้งโลก แล้วคนมีอิสรเสรีภาพมากขึ้นที่จะพูด จะเลือก จะนึก จะคิด คงจะมาเผชิญหน้ากัน แล้วก็ถกปัญหาเรื่องนี้กัน ใครชอบอย่างไหนก็เอาอย่างนั้น ไอน์สไตน์ก็พูดไว้เป็นพินัยกรรมว่าต้องเป็นศาสนาที่ไม่มี ฟิลอโซฟี่ และไม่มีด๊อกมาติค ซิสเต้ม จึงจะเป็นศาสนาที่เหมาะสำหรับที่จะอยู่ในโลกต่อไป ถ้าเป็น ธีออลโลยี่ มีพระเจ้าอย่างคน ก็จะไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ในโลกอนาคต ถ้ามี ด๊อกม่า ที่บีบคั้นให้เชื่อ บังคับให้เชื่อ ก็ไม่เหมาะสำหรับมนุษย์ในอนาคต แต่พุทธศาสนามีอยู่พร้อมแล้ว เป็นอยู่พร้อมแล้ว ที่จะสนองความประสงค์อันนั้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ในอนาคต ขอฝากไว้เอาไปคิดนึกพิจารณาด้วย จะสึกไปก็ดี จะอยู่เป็นพระก็ดี จะต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ในฐานะเป็นพุทธบริษัท ช่วยกันตอบปัญหากันให้ถูกต้องตามความหมายของพุทธบริษัทหรือที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ นี่เรื่องพระเจ้าที่ควรคิด มีประเด็นอย่างนี้
พระนิสิต : ขอเรียนถามพระเดชพระคุณว่า มีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ตนเองไม่กังวลเรื่องอดีตเรื่องอนาคต
ท่านพุทธทาส : นั่นมันเป็นปัญหาธรรมะ เป็นปัญหาธรรมะชั้นสูงสุด เมื่อออกไปได้จากอดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วมันก็หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ มันเป็นปัญหาสูงสุด มีเรื่องที่จะต้องอธิบายมาก ถ้าเอาทางลัดนะ ลัดสุดเลย ลัดทีเดียวถึง ก็คือ พอไม่มีตัวตนนั่นน่ะ จะไม่มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ศึกษาความที่ไม่มีตัวตน มีแต่สังขตธรรม สังขตธรรมที่หมุนไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีตัวตน ไม่มีความหมายในตัวตน แล้วมันก็ไม่ต้องการอะไร มันไม่ประสงค์อะไร มันไม่อยากอะไร เมื่อไม่มีความอยากอะไร แล้วมันก็ไม่มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นี่เป็นทางลัดที่สุด ซึ่งจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้เลย เรื่องไม่มีตัวตน หากเข้าถึงความไม่มีตนตัว จะแก้ปัญหาทั้งหมด รวมทั้งปัญหาเวลาอดีต อนาคต ปัจจุบันด้วย รวมทั้งปัญหากรรมที่ต้องเที่ยวไปตามกรรม กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมอะไรด้วย ความทุกข์ใดๆ ทั้งหลาย วัฏฏะสงสารอะไรก็ตาม ถ้ามันๆๆๆปัดทิ้งไปได้หมดด้วยความรู้เรื่องไม่มีตัวตน และศึกษาเรื่องอิทัปปัจจยตา เห็นแต่ความเป็นอิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตาไปรอบทิศรอบทางไม่มีตัวตน และในจิตไม่มีตัวตนของตน แล้วมันก็ไม่ต้องการอะไร เมื่อไม่ต้องการอะไร เวลามันหมดความหมาย อย่าเข้าใจว่าเวลาไม่มี อย่าพูดเพ้อๆไปว่าสิ่งที่เรียกว่าเวลานั้นไม่มี จริงๆมันมี ที่ไหนมีความอยาก มีความต้องการ ที่นั้นจะเป็นที่ๆมีเวลา จุดที่อยากและกว่าจะสมอยาก ระหว่างนั้นก็คือเวลาที่เที่ยวกินสัตว์ ทางบาลีว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา เที่ยวกินสัตว์ กระทั่งตนเอง ถ้าว่าผู้ใดฆ่าตัณหาซะได้ ผู้นั้นกินเวลา สวนทางกลับ ถ้ามีตัณหา มีความอยาก มีความต้องการ เวลามันกินเอา แต่ถ้าฆ่าตัณหาซะได้ ผู้นั้นกลับกินเวลา คือพระอรหันต์ทั้งหลาย เวลาไม่มีความหมายสำหรับท่าน เรียกว่าท่านกินเวลา ฉะนั้นท่านจึงไม่มีอดีต อนาคต ปัจจุบัน ซึ่งมันตั้งอยู่ที่ตัวตน ถ้ามันไม่มีตัวตน มันไม่มีที่ตั้งแห่งอดีต อนาคต ปัจจุบัน แล้วมันก็ไม่ต้องการอะไร มันก็เลยไม่มีเวลา การที่จะมีความรู้สูงสุดขึ้นไปถึงนี้ ไม่มีความจำกัดแห่งเวลานั่นแหละ เป็นความรู้ที่จะทำให้พ้นจากอดีต อนาคต และปัจจุบัน เคยดูหนังเรื่อง นกนางนวล ไหม อันนั้นฝรั่งมันบ้าถึงขนาดที่จะอยู่นอกอำนาจของเวลา สร้างหนังเรื่องนั้นขึ้นมา แต่ไม่สำเร็จหรอก ทำให้โง่มากยิ่งขึ้น จะให้อยู่นอก ลิมิเตชั่น (Limitation) ของ ไทม์ แอนด์ สเปซ (Time and space) มันพูดอยู่บ่อยๆ ในหนังเรื่องนั้น แล้วก็ไปไม่ได้ที่จะทำง่ายๆ อย่างนั้น ถ้าไม่ทำลายตัวตนเสีย คนเราจะยืนอยู่เหนือกาลอวกาศ หรือเวลาไม่ได้ ฉะนั้นศึกษาพระพุทธภาษิตให้มากเข้าๆ จนรู้ว่ามีตัณหาก็มีเวลา หมดตัณหาก็ไม่มีเวลาสำหรับผู้นั้น พระอรหันต์ไม่มีเวลา พระอรหันต์กินเวลาหมด ปุถุชนก็ถูกเวลากินหมด ความหมายนอกนั้นมันก็คือความต้องการสิ่งอะไรที่หวังอยู่ว่าจะได้มาในปัจจุบันหรือในอนาคต หรือเป็นห่วงอาลัยอาวรณ์ที่เคยได้แล้วในอดีต คนนั้นมันก็มีอดีต มีปัจจุบัน และมีอนาคต เพราะมันมีตัวตนยืนอยู่เป็นแกนกลาง เป็นจุดศูนย์กลางที่จะเกิดความอยากอย่างนั้นอย่างนี้ พอไม่มีความอยาก มันก็ไม่มีเวลา พูดตามแบบเราก็ตัดตัณหาเสียก็หมดอดีต อนาคต ปัจจุบัน
พระนิสิต : มีท่านสงสัย เมื่อเร็วๆ นี้ท่านพระเดชพระคุณได้พูดคำหนึ่งซึ่งปรากฏว่ามีข้อที่น่าสนใจมาก คือ ปัญญาสีขาว ขอทราบความหมายที่ชัดเจน เพราะว่าการพูดในวิทยุวันนั้นรู้สึกว่ายังน้อยไป
ท่านพุทธทาส : เอ๊ะ, ไม่ได้พูดนะปัญญาสีขาว พูดความมืดสีขาว
พระนิสิต : อ้อ... ความมืดสีขาว ความมืดสีขาวน่ะครับ
ท่านพุทธทาส : เคยพูดสิบกว่าปีมาแล้ว สิบห้าปีได้ ที่ตรงโน้นน่ะ ที่หน้าๆตึกโรงหนัง ให้พวกเราระวังให้ดี มันมีความมืดสีขาว ก็คือไอ้ความโง่ที่เราคิดว่ามันเป็นความฉลาด ความผิดที่เราเข้าใจว่าเป็นความถูก และเราก็บูชาว่าเป็นความถูก แต่มันเป็นของบังลูกตา ความมืดสีขาวบังลูกตาเหลือประมาณ ไม่เปิดโอกาสให้ลูกตาเห็นอะไรตามที่เป็นจริง เหมือนกับเราหันหน้ามองไปทางดวงอาทิตย์ สีขาวก็คือแสงสว่างของดวงอาทิตย์ มันจะบัง บังสิ่งทั้งปวงหมด แสงสว่างบังสิ่งทั้งปวงเป็นเรื่องน่าหัว นั่นแหละความมืดสีขาว ก็คือทิฐิที่เรารับเอาเป็นที่สุด เป็นอันตคาหิก เรียกว่าที่สุดถึงที่สุด เรามีทิฐิอย่างไร ชนิดที่เป็นอันตคาหิก แล้วมันจะเป็นความมืดสีขาว บังความจริงและสิ่งทั้งปวง คือแสงสว่างที่บังลูกตาไม่ให้เห็นอะไร ฟังดูแล้วมันน่าหัวเราะว่าแสงสว่างบังเสีย ไม่เห็นอะไร ทั้งที่ตามธรรมดาแล้ว อาศัยแสงสว่างเราจึงมองเห็นอะไร ทีนี้แสงสว่างมันกลายเป็นผู้บังเสียเอง เป็นอุปมา ให้ดูให้ดีว่าสติปัญญามันถูกปิดบังเสียด้วยสติปัญญาอีกชนิดหนึ่ง คือฝ่ายที่เป็นผิด หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้น ก็ว่ามิจฉาทิฐินั่นแหละไม่ต้องเป็นสีดำเสมอไป มิจฉาทิฐิที่จะบังเสีย ไม่ให้มีสัมมาทิฐิ มันเป็นสีขาวก็ได้ แล้วเราก็ไปหลงว่าสีขาวดีแล้ว สีขาวดีแล้ว มันก็เลยบังหมด คือมิจฉาทิฐิที่ถูกใจเราคือความมืดสีขาว เราไม่นึกถึงเรื่องนี้ เราไม่เคยระวังเรื่องนี้ มันก็เลยบังอยู่ตลอดเวลา
พระนิสิต : มีปัญหาหนึ่งที่ถามมาว่า คนที่เป็นโรคจิตโรคประสาทมีสาเหตุจากการศึกษาไม่ถูกต้องเท่านั้นหรือ เพราะหลายคนเป็นโรคประสาทเพราะไม่มีข้าวจะกิน หรือมีปัญหาทางด้านสังคมสิ่งแวดล้อมก็มีมากเหมือนกัน
ท่านพุทธทาส : สรุปความว่าอย่างไรอีกที ฟังไม่ค่อยถูก
พระนิสิต : อันนี้มีท่านผู้หนึ่งถามมาว่า สาเหตุของโรคจิตโรคประสาทนี้มาจากการศึกษาที่ไม่ถูกต้องเท่านั้นหรือ หรือมีเหตุอย่างอื่น ท่านมีความเหตุว่าอย่างไรครับ
ท่านพุทธทาส : มันไม่ได้เกี่ยวกับการศึกษาไม่ถูกต้อง มันมาจากความถูกทรมานใจด้วยความวิตกกังวลนาน จนระบบประสาทระบบอะไรมันเหน็ดเหนื่อย มันทนไม่ไหว มันวิปริต โรคประสาทโรคจิตนี่ มันมาจากการที่ระบบประสาทไม่อยู่ในระเบียบ ชั้นแรกมันก็เป็น ดิสออร์เดอร์ (Disorder) เป็น ดิสออร์เดอร์ ไม่เป็นระเบียบ เนอร์วัส (Nervous) ดิสออร์เดอร์ มันก็เริ่มเป็นโรคประสาท ที่ทำไมระบบประสาทจึงไม่เป็นระเบียบ ก็เพราะมันถูกกระทำหรือบีบคั้นโดยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันจะเป็นเรื่องของความต้องการซะมากกว่า ความไม่ได้ตามที่ต้องการนั่นแหละจะเป็นเครื่องบีบคั้นระบบประสาทให้สูญเสียระเบียบ แม้ว่าจะเป็นความสงสัย เป็นเพียงความสงสัยอยากรู้ บีบคั้นจิตใจจนเป็นโรคประสาท และความสงสัยนั้นก็คือความต้องการ ถ้ามันไม่ต้องการ แล้วมันจะไปสงสัยทำไม ขอให้มองเห็นไว้เป็นหลักทั่วไป ถ้าเราไปสงสัยในอะไรและก็หมายความว่าเราอยากจะได้อะไรจากสิ่งนั้นเสมอไป ฉะนั้นความที่มันถูกทรมานอยู่ด้วยความไม่ได้ตามที่ต้องการ ไม่เป็นไปตามที่ต้องการนี่ จนประสาทเสียระเบียบ คนก็เป็นโรคประสาท โดยเฉพาะแม่บ้านทั้งหลาย มันมีอะไรกลุ้มรุมมาก และทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ทนๆๆ ไม่เท่าไร มันก็เป็นโรคประสาทกันโดยมาก ไอ้พวกแม่บ้าน และก็ไม่ค่อยมีทางออกเหมือนพ่อบ้าน แต่ว่าพวกพ่อบ้านบางคนก็ไม่มีที่ออกเหมือนกัน ถ้ามันมาอยู่ในสลับที่ ถูกบีบคั้นอยู่ด้วยความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อะไรกันมาก ไม่เท่าไรมันก็เป็นโรคประสาทเหมือนกัน แล้วที่สำคัญกว่านั้นก็คือว่าพระเรานี่ พระเณรเรานี่ ถ้าเป็นโรคประสาทนี้แรงมากนะ มันจะพ้นความเป็นบุตรตถาคต ถ้าเป็นโรคประสาทก็คือว่ากิเลสมันบีบคั้นเป็นเวลานาน พอจนระบบประสาทตามธรรมชาติสูญเสียไป ไม่ใช่เฉพาะว่าเรียนผิด ศึกษาผิด เป็นมิจฉาทิฐิ อย่างนั้นมันเลยโรคประสาท มันเลยโรคประสาทไปซะอีก ถ้ามันเรียนผิด ศึกษาผิด ถือเอาผิด ก็ไม่เรียกว่าโรคประสาท โรคประสาทนี้คือระบบประสาทไม่ทำงานถูกต้องตามธรรมชาติ ถ้าเป็นมันหนักเข้า มันเดือด มันคลั่ง มันเป็นบ้า มันเป็นโรคจิต ถ้าเป็นอ่อนๆ อยู่ก็ยังเป็นโรคประสาท สรุปความว่าอย่าให้มีอะไรเป็นเครื่องทรมานใจเป็นระยะยาว รีบขจัดปัดเป่า ฉะนั้นนักเรียนที่ตั้งใจเรียนจนทรมานใจตัวเองก็จะต้องเป็นโรคประสาท เดี๋ยวนี้นักเรียนหญิงนักเรียนชายในโรงเรียนต่างๆ เริ่มเป็นโรคประสาทกันมากขึ้น มาที่นี่ มาถาม มาหาทางช่วยเหลือกันมากขึ้น นักเรียนเริ่มเป็นโรคประสาทกันมากขึ้น ส่วนพ่อบ้านแม่เรือนไม่ต้องสงสัย มันมีอะไรทำให้วิตกกังวลมาก ก็เป็นกันมาก พระเณรเราที่เป็นนักเรียนก็ระวังให้ดี อย่าให้การเรียนมันทรมานใจติดต่อกันไปเป็นระยะยาว ทำให้มันสนุกไปเสีย ให้การเรียนมันกลายเป็นของสนุกไปเสีย อย่าให้เป็นเครื่องทรมานใจ เพราะว่ามันมีวิธีที่จะทำให้สนุกได้ ไปคิดดู มันเปลี่ยนให้เป็นเรื่องสนุกได้ในการเรียนอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ยากๆ มองเห็นว่ามันถูกแล้ว มันเป็นไปในทางถูกต้องแล้ว ก็อย่าไปทรมานใจกันนัก ทำไปให้สนุกเสียก็แล้วกัน คือว่าอย่าตึง อย่าเครียด แล้วมันไม่ได้ตามที่ต้องการ แล้วมันก็จะต้องเป็นโรคประสาท
พระนิสิต : มีพระที่ไปสอนในโรงเรียนมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผี เรื่องวิญญาณ เรื่องข้ามภพข้ามชาติ อยู่เรื่อยๆ เราจะตอบอย่างไรที่จะให้สำเร็จประโยชน์แก่นักเรียนในระดับเด็กๆ มากที่สุดครับ
ท่านพุทธทาส : เรื่องผีนั้นมันเรื่องหนึ่ง ไอ้เรื่องข้ามภพข้ามชาตินั้นมันคนละเรื่อง แต่มันก็เนื่องกันอยู่ ไปแยกดูเถอะ คำว่าผีมันเกิดขึ้นในความรู้สึกคิดนึกได้อย่างไร มันเป็นเรื่องเกิดขึ้นมาใหม่จากการอบรมที่ไม่ถูกต้อง คือผู้ใหญ่นั้นแหละ ไม่รู้จะเป็นพ่อแม่ก็ได้ ทำให้เด็กเกิดความเชื่อในเรื่องผีขึ้นมา หรือหมู่เด็กๆ กันเองน่ะ มันก็พูดจากันแต่เรื่องผี เล่าเรื่องผี จนเกิดเป็นความคิดเต็มรูปแบบขึ้นมาในจิต ผีมันก็มา ก็มีขึ้นมาเพราะว่าความโง่ของเราสร้างขึ้นมา ฉะนั้นถ้าเราไม่มีความโง่ในเรื่องนี้ มันก็ไม่มีแหละ ผี ถ้าพูดสั้นๆ ก็พูดว่า ผีมันเป็นผลิตผลของความโง่ของเราเอง มันเป็นผลิตผลของความโง่ของเราเอง ไปดูให้ดี ไม่มีตัวตนที่แท้จริง นอกจากภาพหลอนความโง่ที่เกิดขึ้นในจิตใจจนระบบประสาทมันเสีย แล้วมันก็เห็นอย่างนั้นได้จริงๆ แล้วมันก็ได้ยินเสียงอย่างนั้นได้จริงๆ ทั้งๆ ที่เสียงมันไม่มี และมันก็ได้กลิ่นผีก็ได้ ทั้งที่กลิ่นนั้นมันมิได้มี เพราะว่ามันเป็นความยึดมั่นตามที่ได้ยินได้ฟังมาว่าผีมีรูปร่างอย่างนั้น มีกลิ่นอย่างนั้นมี อะไรอย่างนั้น พอมีอะไรมาทำให้ระบบประสาทไม่เป็นระเบียบ มันก็ได้ยินอย่างนั้น ได้กลิ่นอย่างนั้น เพราะความเชื่อนั้น อย่างนี้แก้ไขยาก มันเป็นวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้อง ผมก็คงเหมือนกันแหละ ผมก็อยู่ในคนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะเมื่อเด็กๆ มันก็ได้ฟังแต่เรื่องผี ใช่ไหม และมันก็สนุกด้วย และมันก็น่าเกลียดน่ากลัวด้วย มันก็ฝังใจที่จะมีผี เห็นสัญลักษณ์อะไรที่มันใช้เกี่ยวกับศพแล้วมันก็เป็นผีไปหมด เห็นโลงก็กลัวผี เห็นโลงเปล่าๆ ไม่เคยใช้เลย ก็กลัวผี อย่างนี้เป็นต้น เห็นศาลาป่าช้า ก็กลัวผี คราวหนึ่งผมเลี้ยงวัว ช่วยเขาเลี้ยงวัว ไม่ใช่หน้าที่ แล้วค่ำมืด จะค่ำมืดอยู่แล้ว ก็จูงวัวกลับบ้าน เผอิญทางนั้นมันต้องผ่านป่าช้าตอนหน้า ทีนี้วัวมันกินหญ้าเรื่อย ไอ้เรานี้กลัวผีเต็มประดาอยู่ในใจ พอสังเกตเห็นสักนิดหนึ่ง ก็ละอาย ละอายตัวเองว่าทำไมวัวมันไม่สนใจกับเรื่องผีเลย ไอ้เรานี้กลัวผีอยู่เต็มอกเลย ก็เลยละอายวัว แล้วมันก็ค่อยๆ บรรเทาลงมาว่าอย่างนี้ไม่ได้การละ ที่เคยเชื่อไม่ได้ละ สงสัยยิ่งไปเห็นสุนัขกินผีก็ยิ่งดีใหญ่เลย สุนัขไม่กลัวผี คนกลัวผีแล้วมันจะดีกว่าสุนัขได้อย่างไร ขอให้ไปสอนเด็กๆ ให้มันรู้ รู้จักแก้ปัญหาอย่างนี้ก็ได้ ถ้าผี มันก็มีแต่ เอาละ ตามที่เขาเชื่อ มีแต่วิญญาณ เรามีกล้ามเนื้อ มีกระดูก มีแขน มีขา แล้วทำไมเราต้องกลัวผีที่มีแต่ครึ่งเดียว คือมีแต่วิญญาณเล่า ไอ้เราก็มีวิญญาณด้วย วิญญาณอย่างผีมีเราก็มีด้วยในนี้ แล้วเราก็มีกล้ามเนื้อ มีขา มีแขน มีกำลังกาย เราก็มีมากกว่าผี นี่คิดตามวิธีคณิตศาสตร์ก็ได้ เราก็ไม่ควรจะกลัวผี เอาสิมา มาสู้กันสิ เรามีกำลังสองเท่า มันมีเท่าเดียว ก็เลย เด็กก็หายกลัวผีก็ได้ เอาโครงกระดูกมาใหม่ๆ ไว้ที่นั่นเลย ผมบอกว่าดูดีๆ นะ มันเป็นเพียงก้างคนเท่านั้นนะ ไม่ใช่ผี เพราะมันเป็นเพียงโครงกระดูกเท่านั้น เป็นก้างคน เหมือนกับก้างปลา เด็กบางคนฟังถูก พลอยเรียกว่าก้างคนไปด้วย ก็ได้รู้ความจริง มันก็ไม่กลัวผี แต่ถ้ามันไม่รู้เลย แล้วมันก็ยึดถือ แน่นเหนียวแน่น ในเรื่องผี มันมีอยู่ตลอดเวลา เด็กคนนั้นมีผีอยู่ตลอดเวลา เล่าให้ฟังก็ดีเหมือนกันว่าเอาโครงกระดูกมาใหม่ๆ มาแขวนที่ศาลา ครูเขารู้เข้า เขาก็พานักเรียนมาดูมาศึกษา มันเป็นนักเรียนรุ่นเล็ก ปฐมต้น เล็กๆ ทั้งนั้น อธิบายให้ฟังอย่างนี้แหละ เด็กบางคนไม่กลัว สองสามคน เด็กผู้ชายไม่กลัว เข้าไปกอด ดุนโครงกระดูก เอาโครงกระดูกมาทาบตัว เด็กผู้ชายสองสามคน หลายคนอยู่ห่างๆๆๆ ออกไป กล้าเพียงชะเง้อชะโงกหน้ามาดู ไม่กล้าแตะต้อง ทีนี้เด็กหญิงสี่ห้าคนไม่กล้าขึ้นมา อยู่ที่บันไดข้างล่างสุดชาน ชะโงกมาจากข้างหน้า ชะโงกหน้ามาดูโครงกระดูก กลับไปบ้านเป็นไข้ตัวร้อนหมด เด็กพวกนั้น สามสี่คนนั้นเลย ไอ้เด็กที่มันเอาหัวดุนเข้าไปในโครงกระดูกไม่เห็นเป็นอะไร ไม่มีอะไร ไม่มีความหมายอะไร นี่ไปศึกษาดูเองว่าเรื่องผีมีได้อย่างไร มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เหมือนกับว่าคนหลอกมันน่ากลัวกว่าผีหลอก เพราะผีมันไม่มีอะไร มันทำอะไรไม่ได้ ไอ้คนหลอกมันทำฉิบหายหมด จะใช้วิธีคณิตศาสตร์ก็ได้ ถ้าผีมันมีหนึ่งหรือสอง เรามีตั้งห้าตั้งหกพลัง เราจะกลัวผีทำไม นี่ใช้วิธีเรื่องจิตใจ มันสร้างอะไรก็ได้ ลงมันโง่ มันเข้าใจผิด แล้วมันก็สร้างขึ้นมาตามที่ได้ยินได้ฟังผิดๆ เรื่องนี้น่าเห็นใจเด็กๆ เกิดขึ้นมายังไม่ทันรู้เรื่องอะไรก็ถูกสวมทับด้วยเรื่องผี เชื่อเข้าไปเต็มวิญญาณ เต็มจิตเต็มใจหมด กลัวผีตามที่ได้ยินได้ฟัง ผีรูปร่างอย่างนั้น หน้าตาอย่างนั้น แล้วแต่จะเรียกกัน คล้ายๆว่าขึ้นมาได้ทางร่องกระดานอย่างนี้ ไปเชื่อว่าผีมันขึ้นมาได้ทางร่องกระดาน มันก็เชื่อ จะทำอย่างไรได้ เมื่อมันโง่ ผีจึงเป็นผลิตผลของความโง่ เป็นเรื่องธรรมดาอยู่มาก แต่เราไม่ค่อยได้มอง ไปหาวิธี เอ้า, อีกปัญหา หมดเวลา เขาตีกลองแล้ว
พระนิสิต : มีนักศึกษาท่านหนึ่งถามว่า เรื่องเกี่ยวกับระหว่างศาสนา คริสต์เขามีแนวการสอนและฝึกประชาชนให้เป็นพวกเขาได้มากขึ้น ส่วนพุทธมีวิธีการอย่างไรบ้างในการที่จะสอนชักชวนให้เขาเป็นพุทธยิ่งๆ ขึ้นไป
ท่านพุทธทาส : เรื่องนี้เคยพูดกันที่หนึ่งแล้ว เมื่อเกิดเรื่องกระทบกันใหม่ๆ ศาสนาคริสต์ที่จะเผยแผ่ไปยังประเทศต่างๆ ที่ไม่เคยถือ เขาใช้อำนาจประโยชน์ เอาประโยชน์ไปเป็นเครื่องล่อ จ้างก็ได้ แล้วแต่จะเรียก ประโยชน์ อำนาจของประโยชน์ ทีนี้พุทธเราไม่ทำอย่างนั้นเลย ไม่เคยทำ ไม่คิดจะทำ ถ้าไปก็เอาไปให้ฟรี ไม่คิดประโยชน์ ที่จะไปเผยแผ่ในต่างประเทศกัน ไม่ได้เอาประโยชน์ทางวัตถุไปให้ มันจึงทำได้แต่ในพวกที่มีสติปัญญา ส่วนศาสนาที่เขาเอาประโยชน์มาเป็นเครื่องล่อ เขาก็ทำได้ในชนชั้นธรรมดาผู้เห็นแก่ประโยชน์ ทีนี้จะถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ ผมก็คิดว่าถ้าทำได้ก็ดี แต่เราจะทำชนิดที่ไม่ต้องใช้ประโยชน์ล่อก่อน แต่ถ้าสามารถจะทำชนิดที่ใช้ประโยชน์ล่อก็ทำได้ ก็ได้เหมือนกัน ก็ดีเหมือนกัน แต่จะทำชนิดที่ไม่ต้องใช้ประโยชน์ล่อ ทำกับสติปัญญากันก่อนดีกว่า ให้เขาซึ่งเป็นฝ่ายผู้รับเป็นผู้ลงทุน เราจะไม่ลงทุนถึงขนาดนั้น เขาที่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จะเป็นฝ่ายลงทุน เช่น เขาจะลงทุนมาขนเอาพุทธศาสนาไปเมืองนอก ไปสอนไปอะไรกันได้ เราจะไม่ลงทุนให้เกินขอบเขต ซึ่งเป็นความไม่ถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าท่านส่งสาวกไปประกาศพระศาสนา เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าไม่ได้ลงทุนอะไรให้เลยที่เป็นประโยชน์ นอกจากเอาสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตทางวิญญาณไปพูดจาให้เข้าใจแล้วก็ยอมรับ มันยาก มันยากที่จะทำได้ เพราะว่าไอ้เรื่องมันก็ยาก และประชาชนคนโง่เขลาก็ยากที่จะรับเอาได้ ฉะนั้นต้องทำเก่งมาก เหน็ดเหนื่อยมาก จึงจะทำได้ ส่วนเขาใช้ประโยชน์ ลงทุนประโยชน์ เป็นเงิน เป็นของ เป็นความสุข เป็นอะไรก็ตาม มันก็ซื้อไปได้แต่ร่างกาย มันเอาไปได้แต่ร่างกาย มันเอาสติปัญญาไปไม่ได้ นั่นเรียกว่าไม่น่าอิจฉา พูดสำนวนปัจจุบันว่าไม่น่าอิจฉาอะไร เอาเงินเอาของมาดึงเอาคนไปได้ แต่ว่าได้ไปแต่ร่างกายที่เนื่องอยู่กับประโยชน์ แต่ดวงจิตดวงวิญญาณแท้จริงไม่ได้ถือหรอก ผมคิดว่ามันไม่ได้ถือหรอกที่มันจะไปเป็นศาสนาอื่นเพราะถูกจ้างเอาไป ก็คงไม่ได้ถือโดยแท้จริง มันไปเป็นขบถอยู่ในใจกัน
นี่เราจะทำอย่างไร เราทำตามพระพุทธประสงค์ อย่าลงทุนทางประโยชน์เลย ลงทุนทางจิตทางวิญญาณต่อไปตามเดิมดีกว่า และเราไม่ต้องการลูกศิษย์โง่ๆ ที่ต้องเอาประโยชน์ไปดึงตัวมา เราไม่ต้องการลูกศิษย์โง่ๆ แบบนั้น มันไม่ตรง ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของพุทธศาสนา เป็นผู้รู้ เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ตื่นจากหลับคือกิเลส ทำอย่างนี้กันดีกว่า ถ้าจะมีการตระเตรียม ก็เตรียมศึกษาของตัวเองให้มากพอ เราศึกษาของเราให้มากพอที่จะไปเอาชนะประชาชนเหล่านั้นมาได้ทั้งดวงจิต ทั้งวิญญาณ ถ้าดวงจิต หรือวิญญาณ มันมาแล้ว ร่างกายมันมาเอง ฉะนั้นการจะใช้วิธีเอาขนมมาล่อเอาไป นี่อย่าดีกว่า เว้นไว้แต่ว่ามันเป็นเรื่องพิเศษบางกรณี อาจจะควรทำ แต่ไม่ถือเป็นหลักการทั่วไปได้ เช่นเอาขนมมาล่อเด็กๆ ได้ไปเป็นสาวกที่โง่เห็นแก่ประโยชน์ เราต้องการให้เป็นผู้มีปัญญาทัดเทียมกันกับพุทธศาสนา รีบศึกษาวิธีที่จะชนะน้ำใจด้วยสติปัญญา พวกอื่นเขาจะทำไปด้วยวิธีใช้วัตถุหรือประโยชน์ล่อก็ตามใจเขา ผมว่าไม่สำเร็จ มันก็ได้ไปแต่คนโง่ ไปเป็นสาวกโง่ เมื่อยกเลิกประโยชน์เหล่านั้นเมื่อไร เขาก็เปลี่ยน ผมจึงไม่กลัวในเรื่องนี้ พูดกันแล้วในการบรรยายสามสี่ครั้งทางวิทยุ ในคราวที่กระทบกระทั่งกันกับคริสต์ ไปหาอ่านดู ลั่นตีกลองแล้ว เวลาก็หมดแล้ว ปิดประชุมเถิด ไปโรงฉัน บ่ายโมงไปดูโรงมหรสพทางวิญญาณ อาจารย์วรศักดิ์เป็นผู้บรรยาย หรือโมงครึ่ง ให้มันแน่นอน ให้มันแน่นอนคือทำได้ปฏิบัติได้แน่นอน