แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพราะว่า โดยที่แท้ก็ ก็ขอสารภาพว่าอำนวยความประสงค์ของชาวบ้าน ของชาวนา ชาวบ้าน เขายังต้องการน้ำมนต์อยู่ ถ้าไม่ช่วยเหลือเขาเสียเลยมันก็กระดากเหมือนกัน เพราะว่าบิณฑบาตข้าวของเขามากินทุกวันๆ เขายังต้องการน้ำมนต์อยู่ก็ทำน้ำมนต์ให้ เสร็จแล้วก็บอกทุกครั้ง ทุกคราวเหมือนกันว่ามันไม่รอดได้เพราะความเชื่ออย่างนั้น มันต้องมีความหมายของคำว่าน้ำมนต์ให้ถูกต้อง น้ำมนต์ คือ น้ำแห่งบุคคลผู้มีความคิด เอาน้ำมนต์นี้ไปเป็นเครื่องใช้ความคิด ไปแสวงด้วยความคิด ให้รู้ว่าจะทำนาอย่างไร จะไถอย่างไร จะดำอย่างไร จะหว่านอย่างไร ให้เต็มไปด้วยความคิด อย่าเอาน้ำนี่ไปรดนาเฉยๆ เอาน้ำไปรดนาให้เกิดความคิดแก่ผู้กระทำนั้นเอง ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่า มันเป็นไสยศาสตร์น้อยหน่อย เป็นไสยศาสตร์ที่กำลังจะเลื่อนชั้นให้เป็นพุทธศาสตร์ขึ้นมา
เขาว่า สวนโมกข์ไม่ตั้งตู้รับเงินบริจาค แต่ประสงค์ให้ผู้ แต่ให้ผู้ประสงค์บริจาค บริจาคโดยการใส่ซอง ซึ่งอาจจะได้มากกว่าการหยอดในตู้ก็ได้ ก็อาจจะจริง แต่ว่าการที่ไม่ตั้งตู้นั้นนะมันถูกแล้ว ให้เขาบริจาคใส่ซองเป็นกิจจะลักษณะนี้มันไม่เป็นการนั่งขอทานในนามของพระพุทธเจ้า อย่างรบกวนคนที่มา ถ้าเขาเดินผ่านตู้รับเงินบริจาค เขาก็กระดากถ้าจะไม่ใส่เสียเลย มันก็บังคับให้เขาต้องใส่ นี่เรียกว่านั่งขอทานในนามของพระพุทธเจ้า เพราะว่าบางทีก็เอาพระพุทธรูปมาตั้งไว้ที่ตู้บริจาคด้วย อย่างนี้ก็มีอยู่บ่อยๆ ที่นี้ถามว่า ทำไมสวนโมกข์จึงมีการแจกหนังสือเฉพาะแก่ผู้ที่บริจาคตามมากตามน้อย ผู้ไม่บริจาคหรือผู้ไม่มีเงินจะบริจาคจะมีโอกาสได้รับหนังสืออย่างไรกัน ก็บอกว่า บางทีก็ให้ แม้ไม่บริจาคก็ให้ ให้ฟรี แจกฟรีนี้ก็มีอยู่ แต่ที่จะบริจาคฟรีอย่างนั้นตลอดกาลทุกเมื่อนั้นมันทำไม่ได้ ไม่มีทุนจะทำ เพราะนั้นสมควรแจกตามความเหมาะสม ผู้บริจาคควรจะได้รับอะไรเป็นเครื่องระลึกหรือตอบแทนก็ให้ไปก่อน ส่วนผู้ไม่บริจาคนั้นไว้เอาทีหลัง ถ้ามันมีมากก็ให้เหมือนกัน ถ้ามันมีน้อยก็ไม่ให้ เขากล่าวหาว่า สวนโมกข์มีแต่นั่งรับเงิน ไม่เห็นจ่ายอะไร ช่วยเหลือใคร คงจะรวยกันใหญ่แล้ว ที่นั่งอยู่ที่นี่มีใครคิดอย่างนี้บ้าง ที่นั่งอยู่ที่นี่มีใครคิดอย่างนี้บ้าง ว่าสวนโมกข์มีแต่นั่งรับเงินไม่เห็นจ่ายอะไร ช่วยเหลือใคร คงจะรวยกันใหญ่แล้ว ขอแสดงหลักฐานด้วยการดู ขอให้ดูสิ่งต่างๆ ว่าอะไรมันมีอยู่ในสวนโมกข์ อะไรได้สร้างขึ้นมาแล้ว อะไรที่กำลังสร้างอยู่ สิ่งที่กำลังสร้างอยู่หรือสร้างแล้วนั้นนะมันจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ การไม่ตั้งตู้บริจาคนะมันยังได้น้อยกว่าที่จะตั้งตู้บริจาค ก็คำนวณดูเถอะว่าเมื่อไม่ตั้งตู้บริจาคมันจะได้สักเท่าไร มันพอดีกันไหมกับสิ่งก่อสร้างต่างๆ เท่าที่ปรากฏอยู่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องไปอ้างอิงอะไรที่ไหนอีกแล้ว อ้างให้ดูสิ่งที่กำลังสร้างแล้วและกำลังสร้างอยู่ มีผู้เข้าใจว่า กิจกรรมของสวนโมกข์ดำรงอยู่ได้เพราะมีการขายหนังสือ นี่ไม่มีความจริงเลย ไม่เคยเอาเงินขายหนังสือของแผนกนั้นมาใช้ในสวนโมกข์นี่แม้แต่สตางค์เดียว การพิมพ์หนังสือแล้วขายนั้นนะมันเป็นวิธีการที่จะทำให้หนังสือมีมากขึ้น ขายหนังสือได้เท่าไรก็เอามาพิมพ์ใหม่เพื่อให้มันมากขึ้นไป มันกว้างขวางยิ่งๆ ขึ้นไป กิจกรรมในสวนโมกข์ไม่ได้ดำรงอยู่เพราะการขายหนังสือ มันเป็นงานคนละแผนกแยกกันเด็ดขาด การขายหนังสือเป็นเรื่องคุณวิโรจน์
มีผู้เข้าใจว่า สวนโมกข์รับคนเข้ามาอยู่อย่างไม่เป็นธรรม เช่น มาก่อนไม่ได้อยู่ มาหลังกลับได้อยู่ เป็นความลำเอียง ข้อนี้ยืนยันว่า ไม่เป็นเช่นนั้น มาก่อนก็ได้ก็จดไว้พอเต็มแล้วก็บอกเลิก เดี๋ยวนี้มาเกือบทุกวัน บางวันมา ๓-๔ ราย เต็มแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมรับอีกไม่ได้ เพราะนั้นคนก็มาขออยู่ทุกวัน วันนี้ก็ยังมา ทุกวัน อยากจะพูดว่าทุกวันเลยเท่าที่จำได้ บางวันตั้ง ๒-๓ ราย ไม่ได้ลำเอียงหรอกมันมาเมื่อ เมื่อมันหมดเสียแล้ว เมื่อที่อยู่มันหมดเสียแล้วก็รับไม่ได้ นี้อย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งก็ต้องดูความเหมาะสมด้วย ถ้าคนนี้ไม่มีลักษณะที่เหมาะสมมาอยู่ก็ไม่ได้อะไร อย่างนี้ก็ไม่รับอีกเหมือนกัน เขาว่าการต้อนรับแขกในสวนโมกข์ไม่ดีพอ อีกๆ ไม่กี่นาทีจะหมดเวลาแล้ว การต้อนรับแขกในส่วนโมกข์ไม่ดีพอ ทำแบบขอไปที แล้วยังมีการแบ่งชั้นวรรณะด้วย ผู้ที่มาพักทั้งหลายเหล่านี้ ดูเอาเอง เราต้อนรับท่านทั้งหลายอย่างมีชั้นวรรณะหรือไม่ ทำอย่างขอไปทีหรือไม่ เราเหนื่อยเกือบจะตายจะขาดใจอยู่แล้ว ในการจัดที่พักให้ท่านทั้งหลาย ไม่ได้ทำอย่างขอไปที ทำดีที่สุดแล้ว แต่มันได้เท่านั้น มันจะว่าอย่างไร บางทีมันก็ไม่มีจริงๆ เหมือนกัน เลยต้องไปนอนโรงฉันซึ่งไม่เป็นห้องเป็นหับ นี่มันสุดความสามารถแล้ว ไม่ได้ต้อนรับอย่างขอไปทีและไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ที่ว่าแบ่งชั้นวรรณะนี่มันก็จำเป็นที่จะต้องมีอยู่บ้างแหละ เพราะว่าไอ้คนที่มันมีบุญคุณแก่สวนโมกข์อยู่ท่วมหัวนั่นนะมันก็ต้องจัดให้เป็นพิเศษบ้าง เช่นว่า มีมุ้งให้แก่บางคน ไม่มีให้แก่บางคนนั่นนะเพราะมันมีความจำเป็นอย่างอื่น อย่าได้เข้าใจว่าเป็นการถือชั้นวรรณะเลย มันมีความจำเป็นอย่างอื่น มีคนถามว่า ทำไมจึงมีแขกที่มาพักในสวนโมกข์แล้วเรี่ยไรเงินกัน ออกช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ ปรากฏอยู่ นี่ไม่ใช่เรื่องของสวนโมกข์ สวนโมกข์ไปห้ามเขาไม่ได้ เขาทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี ขืนไปห้ามเข้านั่นแหละจะบ้าเอง เราไม่ไปห้ามเขาหรอก เขาเรี่ยไรเงินช่วยค่าน้ำ ค่าไฟนี่ เขาเขียนไว้ที่หลังซองชัดเจนเลยว่า ช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ
ถามว่า ทำไมสวนโมกข์ไม่มีซุ้มประตูบอกป้ายชื่อวัด นี่ดูซิ ไปหาความผิดในความบกพร่องขอตอบว่า วัดของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีป้ายชื่อวัด วัดพระพุทธเจ้านั่นไม่มีป้ายชื่อวัด เชื่ออย่างแรก แน่นอนเด็ดขาดอย่างนี้และจริงด้วย เพราะนั้นสวนโมกข์ไม่จำเป็นจะต้องมีป้ายชื่อวัด ขวนขวายเอาเอง มันตามหาเอาเอง จนพบว่าอยู่ที่ไหน ทำไมสวนโมกข์จึงต้องมีการตักบาตรสาธิตให้ผิดแปลกไปจากการเลี้ยงพระธรรมดา แถมไม่มีกำหนดวันอันแน่นอน ขอให้อนุโลมตามความประสงค์ของทายกที่เป็นเจ้าภาพ การตักบาตรสาธิตนั้นเป็นการศึกษา คำว่า สาธิต นั่นแปลว่า แสดงให้ดู เป็นการศึกษา ตักบาตรสาธิตก็แสดงให้ดูว่าครั้งพุทธการเขาเลี้ยงกันอย่างไร ไม่ใช่ว่าเจตนาอย่างอื่น เป็นการสอนชนิดหนึ่งตามโอกาสที่ควรจะสอน เขาจึงให้มีการตับบาตรสาธิต คือสอนให้รู้ว่าเขาทำกันอย่างประหยัด อย่างมักน้อย อย่างสันโดษ ไม่หมดเปลืองมาก ไม่ลำบากยุ่งยากมาก ตักบาตรสาธิตเป็นอย่างนั้น มีผู้สงสัยว่า ในการตักบาตรสาธิตนั้นทำกันในวัดแท้ๆ ทำไมจึงต้องห่มคลุม ผู้มีเกียรติ ทั้งเจ้านายก็เคยถามอาตมาเองว่าอย่างนี้ ว่านี้ทำไมต้องห่มคลุม บอกว่าเรามีเหตุผล ไม่งมงาย ตาม ว่าในวัดแล้วก็ห่มคลุมไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ชาวบ้านเขายกเอาวัดเข้ามา เออ, ยกเอาบ้านเข้ามาใส่วัด เรานั่งรับบาตร เมื่อฆราวาสเข้ามาใกล้ชิดจนหายใจรดอยู่แล้ว ชาวบ้านเข้ามาใกล้ชิดจนหายใจรดอยู่แล้วนี่ จะทำว่าอย่างอยู่ในวัดในป่าได้อย่างไร เพราะนั้นเราจึงต้องห่มคลุมให้มิดชิดเหมือนกับว่าเข้าไปอยู่ในบ้าน เพราะว่าชาวบ้านเข้ามาประชิดตัวในลักษณะที่หายใจรดอยู่แล้ว เพราะนั้นการห่มคลุมถูกแล้ว ถูกตามวินัย ตามพระบาลีในวินัยที่สุดนะในการตักบาตรสาธิตจึงให้ห่มคลุม ถ้าตักบาตรอย่างอื่นมันก็ไม่ ไม่ใกล้ชิดถึงขนาดอย่างนี้
ถามว่า ทำไมจึงห้ามรถบัสใหญ่ๆ ไม่ให้เข้ามาในวัด อนุญาตเฉพาะรถเล็ก นี้คนถามไปโรงเรียน ไปเข้าโรงเรียนอนุบาลเสียใหม่ก็แล้วกัน ทำไมรถใหญ่ไม่ควรเข้ามา ให้เข้ามาแต่รถเล็ก ถ้ามันไม่รู้มันไปเข้าโรงเรียนอนุบาลซะก่อนเถิด มันรู้เอง ถามว่า ปากพูดว่ารักต้นไม้ สงวนต้นไม้ แล้วทำไมต้นไม้ในวัดยังถูกตัดลงอยู่บ่อยๆ ปากพูดว่ารักต้นไม้แล้วทำไมในวัดยังมีการตัดต้นไม้อยู่บ่อยๆ ตอบว่า เพราะต้นไม้ต้นนั้นมันไม่น่ารัก เราก็รักต้นไม้ แต่ว่าต้นไม้ต้นนั้นมันไม่น่ารัก แล้วมันก็ควรจะถูกตัดออกไป ทำไมพระในสวนโมกข์ยังตัดหญ้า ตัดต้นไม้ ขุดดินอยู่ นี้ก็ขอให้สนใจกันในข้อที่ว่า อย่างไรเรียกว่าพระสวนโมกข์ อย่างไรเรียกว่าไม่ใช่สวนโมกข์ พระมาจากที่อื่น มาพอเข้ามาในสวนโมกข์ ก็กลายเป็นพระในสวนโมกข์เป็นพระสวนโมกข์ไปแล้ว อย่างนี้มันไม่ถูก ถ้าว่าพระในสวนโมกข์จะมีการกระทำด้วยความจำเป็นบ้าง ก็แสดงอาบัติเสมอ นี่ขอให้เน้นว่าแสดงอาบัติเสมอ เพราะว่าสิกขาบทนั้นนะก็มีไว้สำหรับที่จะต้องมีการล่วง แล้วก็ต้องแสดงอาบัติ ที่จะไม่มีการล่วงสิกขาบทเสียเลยนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นคนหน้าด้าน ไม่มี หิริโอตับปะ ยังมี หิริโอตับปะอยู่ ทำผิดบางอย่างด้วยความจำเป็น ถ้าผิดวินัยก็แสดงอาบัติเสมอ มีผู้เขียนไว้ในสมุดเซ็นเยี่ยม ว่าสวนโมกข์ควรจะหยุดก่อ หยุดการก่อสร้างเสียที เขามีเหตุผลอะไรว่าควรจะหยุดเสียที เรามีเหตุผลว่า พอหมดความจำเป็นแล้วก็จะหยุดเอง ถ้ายังมีความจำเป็นอยู่มันยังหยุดไม่ได้ นี้มันหยุดไม่ได้ ดู ดูการสร้างที่พัก ไม่เคยสร้าง เดี๋ยวนี้ก็ต้องสร้างที่พักขึ้นสองหลัง แต่ละหลังจุได้สามสีร้อยคน นี้มันจำเป็น มันทนไม่ไหว มันต้องสร้าง ถ้าความจำเป็นอย่างนี้มีอยู่มันก็ต้องสร้างต่อไปอีกแหละ ที่มันจำเป็นที่จะต้องสร้าง แต่ขอยืนยันอย่างยิ่ง ยืนยันอย่างเต็มที่ว่า จะไม่สร้างสิ่งที่ไม่จำเป็น มีผู้สงสัยว่า ทำไมสิ่งก่อสร้างหลายอย่างในวัด ยังค้างคาไม่เสร็จสักที พูดอย่างนี้ไม่ยุติธรรม มันไม่ใช่ทุกอย่าง บางอย่างมันยังค้างคา เขาเห็นเป็นเหล็กโผล่อยู่สักเส้นหนึ่งเขาก็เรียกว่าสร้างค้างคา ที่จริงส่วนนั้นมันไม่จำเป็นสำหรับเดี๋ยวนี้ มันเสร็จแล้ว มันอยู่ได้แล้ว มันใช้ประโยชน์ได้แล้ว แต่เหลือเหล็กเส้นโผล่ขึ้นไว้นั้นนะก็เพื่อว่าต่อไปถ้าเราจะเสริมมันขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง เราจะได้ใช้มัน ไม่ใช่ไม่เสร็จ มันเสร็จแล้วสำหรับวัตถุประสงค์เดี๋ยวนี้ ที่โผล่เหล็กไว้ว่าจะติดรูปภาพ แต่มันยังไม่ทันจะติด ด้วยความคิดที่มันเปลี่ยนว่าจะไม่ติด เหล็กที่โผล่ไว้มันก็ยังอยู่ คนพวกนี้มามองเห็นเข้าแล้วว่าทำไมไม่สร้างให้เสร็จสักที สรุปความได้ความว่า ส่วนที่เป็นการประดับประดานั่นนะ จะยังไม่ค่อยจะเสร็จ ส่วนที่เป็นเนื้อหาของเรื่องนั้นเสร็จจนใช้การได้เสมอ แต่ส่วนบาง ส่วนที่มันจะใช้เพื่อการประดับประดานั้นนะ ทิ้งไว้เหมือนกัน ยังทิ้งค้างคาไว้ยังไม่ได้ทำ อย่าถือว่านั้นเป็นการสร้างที่ค้างคา ถ้าเราสร้างแบบประหยัด ระมัดระวังแล้ว ส่วนที่เป็นการประดับนั้นมันมักจะค้างคาจริง เขาหาว่าการก่อสร้างในสวนโมกข์ ไม่เข้าหลักมาตรฐานสากลและเอกลักษณ์ไทย ข้อนี้เราไม่ยึดถือมาตรฐานสากลและไม่ยึดถือเอกลักษณ์ไทย เพราะเราถือหลัก อิทัปปัจจยตา ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามเหตุตามปัจจัยของ อิทัปปัจจยตา ถือ มัชฌิมาปฏิปทา หรือ อย่างน้อยก็หลักเศรษฐกิจ ระมัดระวังในเรื่องหลักของเศรษฐกิจ จึงไม่เหมือนสากลของเขาที่ว่าเขารวยเกินจนไม่ต้องคำนึงถึงเศรษฐกิจ
เขาหาว่า ในโรงหนัง โรงมหรสพทางวิญญาณ มีภาพที่เหยียดหยามเกียรติยศของสตรี อย่างไม่เป็นธรรม คือ ภาพที่เรียกกันว่า รูปนางเบ็ด ไม่เป็น เป็นการอยุติธรรมแก่สตรีมากเกินไป เพราะว่าเขียนแต่รูปนางเบ็ด ไม่เขียนว่านายเบ็ดก็มี ทั้งนี้เพราะว่าผู้ชายเป็นฝ่ายจะกินเบ็ด จะให้เขียนนายเบ็ดอย่างไรได้ ผู้ชายมันเป็นฝ่ายที่จะกินเบ็ด ผู้ชายไม่ได้เป็นฝ่ายตกเบ็ดเหมือนฝ่ายนางเบ็ด ไอ้นางเบ็ดมันต้องการตกเบ็ด แล้วฝ่ายชายมันต้องการจะ จะมีหน้าที่สำหรับกินเบ็ด เลยไม่ได้เขียนนายเบ็ดมีแต่นางเบ็ด เขาว่าผู้อธิบายภาพประจำโรงมหรสพทางวิญญาณนั้นใช้ถ้อยคำรุนแรง ก้าวร้าว เกินพอดี เป็นเครื่องทำลายจิตใจของผู้มาเที่ยวมากทีเดียว โอ๊ย, ข้อนี้มันเอาแน่นอนไม่ได้หรอก ผู้อธิบายภาพนั่นนะมันเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้แต่งตั้งโดยเฉพาะ ไม่ได้มีการอบรมโดยเฉพาะ มันมีคนสมัครมา เป็นงานอาสาสมัคร บางคนก็มีนิสัยพูดจารุนแรง มันก็รุนแรงไปเป็นธรรมดา บางทีก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ เขาสมัครจะเรียกว่ามันจำแลงแปลงกายมา ไอ้คำพูดรุนแรงนี่จะถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดๆ เป็นของผิด เลวทราม เสียหาย ไปเสียทั้งหมดก็ไม่ได้ คำพูดรุนแรงเป็นคำชี้ขุมทรัพย์ก็ยังมี ถ้าจะดูความรุนแรงต้องดูที่ภาพนั่นแหละไอ้ภาพเองนั้นแหละมีความรุนแรงมาก ถ้าเมื่อใดผู้ใดดูภาพออก รู้ความหมายของภาพโดยแท้จริงแล้ว ภาพนั้นมันจะด่าผู้ดูว่า ไอ้ชาติโง่ แค่นี้ก็ไม่รู้ ถ้าใครดูภาพนั้นออกแล้วภาพนั้นมันจะด่าคนดูว่า ไอ้ชาติโง่ แค่นี้ก็ไม่รู้ ความหมายของภาพปริศนาธรรมมันเป็นอย่างนั้นนะ อาตมายืนยันนะ ถ้าใครไม่ ดูไม่ออกจนถึงกับว่าภาพมันด่าผู้ดูแล้วคนนั้นยังไม่ได้ดูรู้ถึงที่สุดหรอก ถ้าดูรู้ถึงที่สุด คนนั้นจะรู้สึกว่าภาพนั้นมันด่าเราว่า ไอ้ชาติโง่ ของเท่านี้ก็ไม่รู้ นี่ความรุนแรงนี่มีอยู่ในภาพนั้นมากกว่าที่อยู่ในคำพูดของผู้อธิบาย ขอให้รู้กันอย่างนี้ซะบ้าง
มีผู้เข้าใจว่า ท่านอาจารย์ปล่อยให้พระที่ไม่มีความรู้ถึงขนาดบรรยายภาพอย่างผิดๆ ถูกๆ ในสวนโมกข์ทำให้เกิดความเสียหาย ข้อนี้มันช่วยไม่ได้ เพราะมันไม่มีใคร มันไม่รู้จะเอามาแต่ไหน แล้วมันยังอยู่ในระยะฝึกหัด เป็นสนามฝึกหัด เป็นสนามให้ผู้ที่ยังไม่มีความรู้จริงฝึกหัด ให้มีความรู้ถึงขนาด ดังนั้นผู้บรรยายนั้น จึงอาจจะมีการอธิบายผิดๆ พลาดๆ ไม่ถึงขนาดไปบ้างเป็นธรรมดา มีผู้ไปท้วงว่า พระบางรูปในสวนโมกข์มีมารยาทไม่เรียบร้อย พูดจาไม่น่าฟัง แล้วบางทีก็ถือกล้องถ่ายรูปด้วย ไปดูกันเอาเองบางทีก็ถือกล้องถ่ายรูปด้วย พระที่มาจากอื่นพอเข้ามาในสวนโมกข์ก็เป็นพระสวนโมกข์แล้วก็ถือกล้องถ่ายรูปด้วย อย่าๆ อย่าสรุปกันสั้นๆ อย่างนั้น ว่าพระสวนโมกข์นั้นนะเพียงสักว่าเข้ามาในสวนโมกข์ก็เป็นพระสวนโมกข์ ถ้าเป็นพระสวนโมกข์ที่แท้จริง จะต้องปฏิบัติถูกต้องตามกฎเกณฑ์กติกาของสวนโมกข์ที่มีอยู่อย่างไร ถ้ายังไม่ได้ประพฤติครบถ้วนถูกต้องตามกติกานั้นแล้ว อย่าเพิ่งเรียกว่าพระสวนโมกข์เลย มันไม่ยุติธรรม มีผู้ถามว่า ทำไมพระสวนโมกข์ จึงเดินคุยกันเล่นเมื่อไปบิณฑบาต เป็นต้น เหมือนพระวัดอื่นในถิ่นอื่น นี่ก็เหมือนกันแหละ อย่างไรเรียกว่าพระวัดสวนโมกข์ อย่างไรไม่เรียก ถ้าพระสวนโมกข์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสวนโมกข์อย่างครบถ้วน จะไม่เดินคุยกันเล่นอย่าง เฉโก โฉงเฉง เมื่อไปบิณฑบาต เรารู้กันอย่างนี้ก็พอแล้ว
ถามว่า ทำไมท่านอาจารย์จะต้องห้ามการขายของในวัด วัดนี้ของพระพุทธเจ้า จะมีการค้าขายในวัดไม่ได้ เพราะนั้นจึงไม่ให้ค้าขายอะไรในวัดแม้แต่ขายอาหาร ขอให้ไปขายนอกวัดหรือริมวัดหรือที่ที่มันเหมาะสม อย่ามาขายในที่ที่ถือกันว่าเป็นลานวัด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในวัดมีการค้าขาย ที่ไม่ ที่ห้ามนี่ยังดีกว่านะ พระเยซูเตะเลย พระเยซูเตะกระจาดเงิน ขาย เงิน ของผู้ซื้อขาย เงินขายของในโบสถ์นั่น มีคนเอาของไปขายในโบสถ์ แลกเงินในโบสถ์ พระเยซูเตะกระจายหมดเลย นั่นรุนแรงเท่าไหร่ คิดดู เรายังไม่รุนแรงถึงขนาดนั้น เพียงแต่ห้ามว่าอย่ามาขายของในวัดของพระพุทธเจ้า แม้แต่จะขายหนังสือธรรมะก็ไม่ควร แม้แต่จะขายเทปบันทึกเสียงของอาตมาเองก็ไม่ควร ถ้ามันมีลักษณะเป็นการค้าขายแล้ว อย่ามาค้าขายในวิหารหรือลานวัด ให้เป็นการแสดงว่าวัดนี้เป็นที่ค้าขาย ดังนั้นจึงออกประกาศข้อห้ามว่า อย่าขายของในวัด ถามว่า ทำไมสวนโมกข์ไม่มีการจำหน่ายหนังสือเสียเอง เพื่อสะดวกแก่ผู้มา ไม่ต้องเที่ยวซื้อหาที่นั่นที่นี่ คำตอบก็อย่างเดียวกันนะ เพราะที่นี่มันเป็นวัด มันทำการค้าขายอะไรไม่ได้ นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของวัด ไม่ใช่หน้าที่ของสวนโมกข์ที่ต้องขายหนังสือ มันไม่จำเป็น ถ้าขายอะไรได้ ขายหนังสือได้ ไม่เท่าไหร่ก็ขายก๋วยเตี๋ยวได้ วัดจะขายก๋วยเตี๋ยวเสียเอง ขายกาแฟเสียเอง แล้วมันจะเป็นอย่างไร ที่อื่นใครจะทำก็ตามใจที่นี่ไม่ทำ ไม่ทำ ถึงจะไม่ถึงขายก๋วยเตี๋ยวขายกาแฟ ทำไมอาคารบางแห่งในสวนโมกข์ มีการสะสมสิ่งของนาๆ ชนิดเหมือนร้านค้า ไปดูที่ๆ อยู่ของอาตมาก็มีของรกรุงรังเหมือนกัน เหมือนร้านค้าแต่ไม่เหมือนทีเดียว ร้านค้าเขาวางเป็นระเบียบ แต่ที่แถวอาตมาอยู่รก วางรก เพราะว่าผู้เอามาให้เขาวางของเขาเอาเอง ผู้เอามาถวาย เอามาให้เขาวางเอาเองแล้วเขาก็ไป มันไม่มีระเบียบ ถูกแล้ว มันมีแต่คนวาง ไม่มีคนช่วยจัด อาตมาขอร้องทุกข์อย่างนี้ มันมีแต่คนเอามาวางๆๆ คนช่วยจัดให้เรียบร้อยมันไม่มี เพราะนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นแหละ มันอยู่ในสภาพอย่างนั้นแหละ ส่วนมากมันก็มาวางกันโดยที่ไม่ช่วยจัดและไม่คำนึงถึงความเรียบร้อย ก็คิดว่าดีเหมือนกันนะมันเป็นธรรมชาติดีเหมือนกัน เขาหาว่า ท่านอาจารย์สะสมของกินของใช้ หวงไว้ ไม่แจกจ่าย นี้เหมือนพระโลกนาถ ถูกกล่าวหาว่าพระโลกนาถหวงเครื่องกระป๋องไม่แจกจ่าย อาตมาก็กำลัง กำลังถูกกล่าวหาอย่างนั้นเหมือนกัน ไอ้คนพูดมัน มันมาแวบเดียว มันมาดูแล้วก็เข้าใจว่าไอ้ของเหล่านี้ เก็บไว้อย่างนี้ คงหวงไว้กินแต่ผู้เดียวไม่แจกจ่าย มาสวนโมกข์แวบเดียวก็คิดเอาอย่างคิดของตนเองว่า คงจะไม่แจกจ่าย เพราะคนนั้นแหละมันเป็นผู้มีนิสัยไม่แจกจ่าย พอมามันมาเห็นเราก็เหมาว่าเราก็คงไม่แจกจ่ายเหมือนกัน เลยกล่าวหาว่า เก็บไว้กินคนเดียว เพราะนั้นไม่ต้องแจกจ่าย มันก็หายไปๆ หมดไปๆ โดยที่ไม่ต้องมีการแจกจ่าย ให้มาหยิบเอาเอง
เขาหาว่า ท่านอาจารย์เป็นคนอ้วน อาตมาเป็นคนอ้วน ดังนั้นคงจะไม่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งตามปกติจะต้องผอม ผู้ปฎิบัติธรรมจะต้องผอม นี่มันว่าเอาเอง ดูเอาเอง คนผอมที่ไม่ปฏิบัติธรรมนั้นมีหรือไม่มี ถ้าผอมมากกว่า ผอมที่จะไม่ปฏิบัติธรรมจะมีมากกว่าคนอ้วน ในวัดของพระพุทธเจ้าเองนั้นมีพระอ้วนไหม ไปศึกษากันเอาเองไปอ่านประวัติเอาเองว่าในวัดของพระพุทธเจ้านั่นมีพระอ้วนไหม พระที่ไม่ปฏิบัติธรรมไปมีอยู่ในวัด ไปดูรูปถ่ายของอาตมาซิเมื่อ ๑๐ ปีก่อนให้หลังไม่ได้อ้วน ผอม หล่อเหมือนกันแหละ ว่าอย่างนั้น ไปดูรูปแล้ว นี้มันค่อยๆ อ้วน อ้วนขึ้นมาเมื่อไปผ่าไส้ติ่ง นอนพักอยู่ที่ดอยสุเทพ มันอ้วนอย่างมองเห็นทุกวันๆ แล้วมันก็อ้วนเรื่อยมาจนบัดนี้แล้วมันลดไม่ลง จะให้ทำอย่างไร เขาหาว่า ท่านอาจารย์ยังมีการเป็นอยู่อย่างคหบดี โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน มาดูๆ อาตมากินอะไรอย่างคหบดี เดี๋ยวนี้เบื่อขนาดที่ว่า กินได้แต่แกงยอดมะขาม แกงยอดมะขามกับปลาแห้ง นั่นแหละชอบที่สุดที่จะเป็น หมู เห็ด เป็ด ไก่ นะมันเบื่อเอง ไม่ๆ ไม่ได้พูดให้เกินความจริงนะ มันเบื่อเอง มันกินไม่ค่อยได้ มันกินไม่ลง ไอ้เรื่องที่เป็นดีๆ เป็นเนื้อ เป็นอะไรนั้นนะ มันไปชอบไอ้แกงยอดมะขามที่เปรี้ยวนั่น แล้วก็กินผักจิ้มน้ำพริกนั่น ไม่จริงนะ ที่มาหา กล่าวหาอาตมาว่ากินอยู่อย่างคหบดี ไม่ ไม่จริง เขาหาว่าสวนโมกข์ยังมีโรงครัว วัดป่าไม่ควรจะมีโรงครัว นี่เขาไม่มามองเห็นความจำเป็นนี่ เพราะว่าเรามันรับพระจำนวนมากเกินไปกว่าที่ชาวบ้านเขาจะเลี้ยงไหว ชาวบ้านข้างวัดจะเลี้ยงด้วยการใส่บาตรนั้นนะ มันไม่ไหว เราจึงต้องตั้งโรงครัวเพื่อแก้ปัญหาที่ว่ารับพระมากเกินฐานะของชาวบ้าน นี่ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ เขาหาว่า ท่านอาจารย์ชักชวนให้ถือศีล ไม่แตะต้องส่วนเกิน แล้วทำไมท่านอาจารย์ยังฉันน้ำอัดลม ฉันน้ำแข็งอยู่ ใครพิสูจน์ว่าน้ำอัดลมหรือน้ำแข็งเป็นของส่วนเกินโดยส่วนเดียว เกินโดยส่วนเดียว ถ้าใช้เป็นปกติเป็นประจำก็ต้องเรียกเป็นส่วนเกินได้ แต่ใช้ในบางกรณีที่มันจำเป็น มันก็ไม่ใช่ส่วนเกิน เพราะมันช่วย ช่วยแก้ปัญหาได้มาก ก็อย่างที่บอกว่าเดี๋ยวนี้ง่วงนอนจนจะเทศน์ไม่ไหวอยู่แล้ว ดื่มน้ำอัดลมที่แรงๆ เข้าไปสักแก้วหนึ่งตาก็สว่างก็เทศน์ได้ต่อไปอีก แล้วจะหาว่าน้ำอัดลมเป็นส่วนเกินยังไง ในบางกรณีน้ำแข็งก็ช่วยได้ ถ้าต้องมีประจำตลอดไปนั้นมันจะต้องถือว่าเรื่องส่วนเกิน อย่าพูดอะไรโดยส่วนเดียว
เขาว่า ท่านอาจารย์ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เอื้อเฟื้อในศรัทธาหรือความปรารถนาของผู้อื่น เช่นไม่รับกฐิน เช่นไม่รับนิมนต์ไปเทศน์นอกวัด ไม่รับนิมนต์ไปแสดง ไปอบรมธรรมะตามโรงเรียน ไม่ไปงานศพ ไม่รับกิจนิมนต์นอกวัด เช่น สวดมนต์มาติกา บังสุกุล ไม่รับอุปสมบทตามเวลาที่เขาต้องการ ไม่บวชให้ชาวต่างประเทศ นี่ก็ลองคิดดู ไม่รู้จักความจริงที่มันมีอยู่จริง อาตมาไม่รับกฐิน ขอพูดอย่างโอหังว่า กฐินเดี๋ยวนี้มันไม่ใช่กฐิน ถ้าเป็นกฐินอย่างพุทธกาลก็ยินดีจะรับ กฐินที่ทอดกันอยู่เดี๋ยวนี้ ทุกแบบ ทุกรูปแบบ ทุกมาตรฐาน ไม่เป็นกฐินอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ ไปศึกษาวินัยดูเรื่องว่ากฐินเป็นอย่างไร เขาต้องการให้เป็นโอกาสสำหรับฝึกการเย็บจีวรเป็นกันทุกคน ซักย้อมเป็นกันทุกคน ช่วยกันทุกคน ไม่มีฐานะสูงต่ำ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ทำอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเป็นกฐินเพื่อกินเหล้า บางที่ว่าเป็นกฐินเพื่อมากินข้าวของวัด เพียงให้วัดต้องเลี้ยงคนที่มาทอดกฐินอย่างนี้สู้ไม่ไหว ยอมแพ้ ถ้ามันเป็นกฐินที่ถูกต้องตามวินัยอย่างครั้งพุทธกาลแล้วก็ยินดีที่จะรับกฐินด้วยเหมือนกัน ทำไมไม่ไปสวดมนต์ บังสุกุล เป็นต้น นอกวัด เพราะสังขารมันไม่อำนวยเสียแล้ว เมื่อก่อนนี้ไปทุกที ก็อยากได้เหมือนกันแหละ ไปทุกที ไม่ไปก็ไม่ได้ มันก็ต้องไป แต่เดี๋ยวนี้สังขารมันไม่อำนวยเสียแล้ว บางทีก็เพราะว่า จะสงวนเวลาเอาไว้สำหรับทำกิจการอันอื่น ที่คนอื่นเขาทำไม่ได้ ไม่ไปอบรมไปสั่งสอนในสถานที่นั้นๆ ก็เพราะว่าทำการอบรมในสถานที่อื่นมันได้ผลมากกว่า สูงกว่า อย่างเช่นว่า จะทำการอบรมที่นี่โดยไม่ไปตามจังหวัดต่างๆ นั้นก็เพราะว่า ทำการอบรมที่นี่มันได้ผลมากกว่า ไกลกว่า สูงกว่า ดีกว่า อย่างนี้มันก็ไม่ไป ไม่ไปงานศพ เพราะว่าเคยไปมามากแล้ว มากที่สุดเลย เดี๋ยวนี้ก็ไม่ไปแย่งใครแล้ว ไม่ไปเพราะไม่อยากจะไปแย่งใคร ทำไมไม่ไปสวดมนต์ มาติกา บังสุกุล ก็เพราะว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยไป พระพุทธเจ้าไม่เคยไปสวดมนต์บังสุกุล มาติกา พระพุทธเจ้าเองก็ยังไม่เคยไป อาตมาก็ไม่ๆ ไม่ไป มันมากกว่าพระพุทธเจ้า ก็เป็นทาสของพระพุทธเจ้า ไม่รับอุปสมบทบุคคลตามเวลาที่เขาต้องการ ที่นี่ปีหนึ่งมีบวช รับอุปสมบทครั้งเดียว คือ วันอาทิตย์ที่ใกล้วันเข้าพรรษาที่สุด นอกนั้นไม่รับ เพราะมันเป็นการตามใจคนที่เห็นแก่ตัวมากเกินไป และก็เพราะว่ามันไม่บวชจริง เดี๋ยวนี้มันบวชหลอกนี่ บวช ๕ วัน บวช ๗ วัน บวช ๑๐ วันแล้วมันสึกนี่ ป่วยการ ไม่คุ้มค่าเหนื่อย เพราะนั้นไม่บวช มันต้องอยู่กันในลักษณะที่บวชจริง บวชจำพรรษา ไม่บวชให้ชาวต่างประเทศ ข้อนี้มันเกี่ยวกับไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้ระเบียบ ในเรื่องเกี่ยวกับชาวต่างประเทศ ไม่กล้าทำ นี่รวมความแล้วว่า เพราะว่าไปทำกิจอื่นได้ผลกว่า หรือเพราะว่าสังขารไม่อำนวย หรือบางทีก็เพราะว่ามันไม่รู้กฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
เขาว่า ท่านอาจารย์ ดีแต่สอนคนอื่นในกิจวัตรต่างๆ แต่ตัวเองไม่ทำ ไม่บิณฑบาต ไม่กวาดวัด ไม่ปลงอาบัติ ไม่ทำวัตรสวดมนต์ อันนี้ก็เพราะว่าทำมามากแล้ว จนสังขารมันไม่อำนวยเสียแล้ว แต่ก็ทำตามคราวไม่ใช่ว่าไม่ทำเสียเลย ที่อาตมาไม่ทำกิจอย่างนี้ มันคล้ายๆ กับว่า ทดลองดู สมมติว่าเหมือนกับว่าอาตมาตายแล้วมันจะทำกันอย่างไร คนที่อยู่ข้างหลังจะทำกันอย่างไร จะทำกันได้ไหม อาตมาก็เลยหยุด ไม่ทำกิจเหล่านี้ เหมือนกับว่าตายแล้ว ทดสอบดูว่า คนข้างหลังจะทำกันอย่างไร อย่างนี้ก็มี แต่เขาว่า ท่านอาจารย์หลอกพระให้ทำงานให้แก่ตน โดยอ้างว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม แต่นี่พูดไปทั่วประเทศ ทั่วว่าการงานคือการปฏิบัติธรรม หลอกใช้พระให้ทำงานให้แก่ตน ไม่ได้มีเจตนาจะหลอก ถ้าหลอกให้ทำดีให้มีประโยชน์ มันก็ดีเหมือนกัน จะเป็นอะไรไป หลอกให้ทำดีให้มีประโยชน์ เขาว่า ท่านอาจารย์ไม่ยกย่องคนในวัดที่ควรยกย่อง มีแต่กดไว้ นี้ก็พูดตามหลักที่กล่าวแล้วข้างต้นว่า ในการริเริ่มใดๆ จะไม่เชิดคน จะไม่ทุ่มเงิน จะไม่เชิดคน จะให้ยกย่องกันอย่างที่เรียกว่าไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือยกย่องอย่างประจบนี่ทำไม่ได้ ไม่เชิดคน ซึ่งมันจะล้ม ล้มโครมลงมาได้ง่ายๆ
เขาหาว่า ท่านอาจารย์ยังเลี้ยงสุนัข ไก่ ปลา เต่า นก เป็นการกักขังทรมานสัตว์ และเป็นปริโทษ ก็ดูเอาเอง ไปศึกษาให้เข้าใจว่า อาตมาเลี้ยงสุนัข เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ เลี้ยงเต่า เลี้ยงนี่ทำไม ก็ตอบสรุปสั้นๆ ว่า เลี้ยงไว้เป็นอาจารย์ หมาก็เป็นอาจารย์ แมวก็เป็นอาจารย์ ไก่ก็เป็นอาจารย์ ปลาก็เป็นอาจารย์ เต่าก็เป็นอาจารย์ อะไรก็เป็นอาจารย์ เราได้ความรู้หลายอย่าง ต่างๆ จากสิ่งที่เราเลี้ยงไว้ ที่ดีกว่านั้นก็คือว่า เป็นการฝึกหัดให้เป็นผู้เห็นแก่ผู้อื่นบ้าง อาตมาต้องเสียเวลาคลุกข้าวให้แมว ให้หมา วันหนึ่งไม่น้อยกว่า ๑๕ นาที เดือนหนึ่งเท่าไร ปีหนึ่งเท่าไหร่ ต้องคลุกข้าวให้หมา ให้แมวเอง คนอื่นมันไม่คลุก มันลืมเสียบ้าง มันไม่เต็มใจจะคลุกบ้าง ถ้าอาตมาไม่ทำ เข้าใจว่ามันจะอดมากกว่าที่ได้กิน เพราะนั้นฝึกหัดเวลาเอาใจใส่ในประโยชน์ของผู้อื่นเสียบ้าง มิฉะนั้นเราก็จะไม่ได้ฝึกหัดการเอาใจใส่ในผู้อื่นกันเสียเลย เลี้ยงปลาเป็นอาจารย์นี่ เพราะชอบว่าปลานี่มันไม่หลับตา ใครเคยเห็นปลาหลับตาบ้าง แต่คนนี่มันหลับตา มันขี้ง่วงละอายปลา ปลามันไม่หลับตา มันไม่ขี้ง่วง นี่มันเป็นอาจารย์ มันมีหลายอย่าง ไอ้ปลาชนิดหนึ่ง ที่ปลาตระกูลหางแฉกอยู่น้ำไหลนี่ ปลานี้เป็น อนาคาริก ปลานี้ไม่มีที่อยู่ตรงนี้ของกู ไม่ใช่รังของกู ไม่ใช่ลูกของกู ไม่ใช่เมียของกู ปลาชนิดตระกูลปลาตะเพียน ปลาคาร์ฟ มันเป็นแบบนั้น ถ้าปลาอย่างปลาออสการ์นั้นนะ ตระกูลชิคคริก นี่ (นาทีที่ 38.12) ปลากัด ปลากระดี่ ปลาอะไรอย่างนี้แล้ว มันมีตัวกู มันมีของกู ตรงนี้ที่ของกู มึงอย่าเข้ามา ตรงนี้วอด วอดของกู คือบ้านของกู นี้ลูกของกู นี้เมียของกู หวงที่สุดกัดตายเลย ใครเข้าไปในรังในวอดของมันนี่ๆ นี่ปลาตระกูลนี้เป็นอย่างนี้ โอ้, เราก็เห็นมันแล้วแม้แต่ธรรมชาติแท้ๆ มันก็ยังมี อนาคาริก โว้ย ปลาแท้ๆ ยังแบ่งได้เป็น ๒ พวก พวกหนึ่งเป็น อนาคาริก ไม่มีบ้านเรือนตรงไหน ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร ไม่มีลูกของกู ไม่มีเมียของกู แต่ปลาพวกหนึ่งตรงกันข้าม นี้ทำให้เรารู้สึกว่า ธรรมชาติมันก็ต้องมีอย่างนี้ มันก็มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ รู้ได้จากสัตว์ที่เราเลี้ยงนั้นเอง ถ้าเราเห็นมันโง่มันก็เท่ากับมันสอนให้เราว่าอย่าโง่ ถ้าเราเห็นว่ามันฉลาดในส่วนไหนก็เท่ากับมันสอนให้เราฉลาดในส่วนนั้น แล้วของบางอย่างนั้นนะ มันไม่รู้ว่าจะเอาไปปล่อยที่ไหน เอาไปปล่อยก็คือ เอาไปให้มันตาย เหมือนแมว เหมือนกระต่าย เขาเลี้ยงอยู่ที่บ้าน เอาไปปล่อยในป่า มันก็เท่ากับให้มันตาย เพราะนั้นปลาหลายๆ ชนิดที่มีคนเขาเอามาใส่มาทิ้งไว้นี่ เอาไปปล่อยที่ไหนไม่ได้ เอาไปปล่อยในลำธาร ในแม่น้ำ มันก็ถูกปลาอื่นกินตายหมด ไปปล่อยไม่ได้ ไม่ใช่แกล้งกักขังสัตว์ แต่เลี้ยงไว้เพื่อประโยชน์แก่กันและกัน สรุปแล้ว ก็เรียกว่า เลี้ยงไว้เป็นอาจารย์
เขาหาว่า การแนะนำให้ไปนั่งคุยกับก้อนหิน ต้นไม้ นี้เป็นคำพูดที่บ้าบอหรือเปล่า อาตมาก็พูดจริงว่า ที่นี้ก้อนหินพูดได้ ต้นไม้พูดได้ คุณไปนั่งกับมันซิจะได้ยินมันพูด คือว่า ไปนั่งกับธรรมชาติอย่างนั้น จิตมันแจ่มใส ผ่องใส มันจะปรากฏความรู้สึกคิดนึกขึ้นมาในภายในว่า โอ้, มัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็น ตถตา อย่างนี้เอง เกิดความรู้สึกเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ ตถตา ได้เมื่อไปนั่งกับก้อนหิน เมื่อไปนั่งกับต้นไม้ หรือไปนั่งกับธรรมชาติใดๆ ก็ตาม ได้ยินธรรมชาตินั้นพูด ราวกับว่าได้ยินธรรมชาตินั้นพูด เพราะนั้นจึงว่าไปนั่งฟังก้อนหินพูด ต้นไม้พูด พูดอย่างนี้เป็นคนบ้าบอหรือเปล่า มันก็บ้าบอสำหรับคนที่บ้าบอ ไม่รู้จักพูดกับต้นไม้ ไม่รู้จักพูดกับก้อนหิน ถ้าจริงมันฉลาดมันก็รู้จักพูดกับต้นไม้ มันก็รู้จักพูดกับก้อนหิน ได้ยินก้อนหินพูด มันไม่ใช่คนพูดที่บ้าบอ
มีคนคัดค้านคำสอนของท่านอาจารย์ที่ว่า ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน นั้นเป็นสิ่งเหลวไหล ไร้สาระ ไม่มีใครปฏิบัติได้ ไม่มีใครทำได้ พูดเปล่าๆ อาตมายืนยันว่าทำได้ ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำการงาน นั้นทำได้ พยานคือ อาตมาเอง เคยทำงานสนุก เป็นสุขเมื่อทำการงาน จนทำงานวันละ ๑๘ ชั่วโมง ทำอะไรได้มาก ดูผลงานที่มันมาก มากจนคนเขาไม่เชื่อว่า นี่คนเดียวทำ ที่ทำได้มากอย่างนั้นก็เป็นเพราะถือหลักอันนี้แหละ ถือหลักว่า ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำการงาน ถ้าเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปไม่ได้สำหรับปุถุชนร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเป็นปุถุชนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์มันทำอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ามันเป็นคนฉลาด เป็นสัตบุรุษ เป็นบัณฑิตซะบ้าง มันก็ต้องทำได้ ทำงานให้สนุกและเป็นสุขเมื่อทำงาน มีผู้ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของอาจารย์ที่ว่า ดับทุกข์ไปพลาง เผยแผ่ธรรมะไปพลาง ดับทุกข์ไปพลาง เผยแผ่ธรรมะให้ผู้อื่นไปพลาง เขาว่าทำไม่ได้ อาตมาว่าทำได้ เพราะมันใช้คำว่าพลางๆ ทำพลาง ทำไปพลาง รู้ธรรมะเท่าไรก็เผยแผ่ธรรมะเท่านั้นไปพลาง นี่มันทำได้ เราทำได้เท่าไรก็สอนผู้อื่นเท่านั้นไปพลาง นี่เป็นสิ่งที่ทำได้ ขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกคนเลย แม้แต่ยังเด็กๆ อยู่ ถ้ารู้ธรรมะแล้วเท่าไร ก็สอนไปพลาง เผยแผ่ไปพลาง ดับทุกข์ของตัวเองไปพลาง ถือปฏิบัติไปพลาง แล้วก็สอนไปพลาง ตามที่ตัวเองปฏิบัติได้และรู้แล้ว อย่างนี้มันได้กำไร กว่าที่จะรอว่าเป็นพระอรหันต์เสียก่อน จึงจะสอนนี่มันไม่มีโอกาสหรอก มันคงตายเสียก่อน ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรแก่ใครเลย เพราะนั้นพยายามดับทุกข์ของตนไปพลาง มีความฉลาดรู้แจ้งขึ้นมาเท่าไรก็สอนผู้อื่นไปพลาง ขอยืนยันว่ากฎเกณฑ์อันนี้ใช้ได้ ขอให้ใช้ด้วยว่า ดับทุกข์ของตัวเองไปพลาง เผื่อแผ่ธรรมมะแก่ผู้อื่นไปพลางเป็นสิ่งที่ทำได้ มีผู้โต้แย้งว่า การอธิบาย ปฏิจจสมุปบาท แบบไม่ข้ามภพข้ามชาตินั้น พวกฝรั่งเขียนไว้นานแล้ว ท่านอาจารย์ไปยืมของเขามาพูด ยืนยันว่าไม่จริง ไม่เคยพบที่ไหน ไม่ได้เอาของใครมาพูด เป็นการถอดเอามาจากพระบาลีโดยตรง จากพระพุทธสุภาษิตโดยตรง จากทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ ปฏิจจสมุปบาท ในพระไตรปิฎกนั่นเอง ใครไปหาหนังสืออธิบาย ปฏิจจสมุปบาท ไม่ข้ามภพข้ามชาติที่ฝรั่งเขียน เอามาดูที จะขอบพระคุณและจะให้รางวัลสุดที่จะให้รางวัลได้ ได้ยินแต่เพียงว่า นิกายธรรมโกศ หรือ อภิธรรมโกศ อธิบายทำนองว่า ไม่ข้ามภพข้ามชาติ ก็มีบ้างกระเส็นกระสายเต็มที ไม่เน้นชัดอย่างนี้ ที่พวกฝรั่งเขาเขียนนะเป็นไปไม่ได้ เพราะฝรั่งยึดถือ คัมภีร์วิสุทธิมรรค เป็นหลักอย่างยิ่งด้วยกันทั้งนั้น เขากล่าวหาว่า ท่านอาจารย์ เอาถ้อยคำในพระไตรปิฎก มาตีความตามความเห็นของตัวเองคือ คำว่า ชาติ คำว่า สุญญตา คำว่า นรก สวรรค์ นิพพาน โอปาฏิกะ เป็นต้น ขอยืนยันเดี๋ยวนี้ว่า ไม่มีการกระทำเช่นนั้น ไม่ได้ตีความเอาเอง ตีความตามหลักฐานในพระบาลีที่มันมีอยู่แล้ว สูตรนี้เป็นหัวข้อ อีกสูตรหนึ่งเป็นคำอธิบาย ก็ตีความไปตามนั้น อาตมาไม่กบฏต่อพระคัมภีร์ ไม่กบฏต่อสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา พยายามอธิบายให้ถูกที่สุดเสมอไป
เขากล่าวว่า ข้อความในพระไตรปิฎกถูกต้องดีแล้ว ท่านอาจารย์ไปตีความให้ยุ่งยากสับสน เช่น เรื่องนรก สวรรค์ คำพูดอย่างนี้เป็นคำพูดของคนที่ไม่รู้จักพระไตรปิฎก ไม่เคยเปิดดูพระไตรปิฎก นรก สวรรค์ชนิดที่มีอยู่ก่อนพุทธกาลมันก็มีอย่างนั้น แต่ สวรรค์ นรก ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ว่าเป็นไปตาม อายตนะ นี่มันเพิ่งมี ไม่ใช่ตีความเอาเองให้มันยุ่งยากสับสน ของเดิมมันมีอยู่อย่างไรสำหรับคนพวกไหน คนพวกนั้นก็ถือไป นรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้าก็ถือไป แต่พวกที่ฉลาดพอที่จะถือว่านรกและสวรรค์อยู่ที่อายตนะนั้นมันก็มี เรื่องต่างๆ เหล่านี้ มันมีความหมายเป็น ๒ ชั้น โดยภาษาคนและภาษาธรรม ไปสนใจในเรื่องนั้นกันก่อนเถิด เขากล่าวหาว่า ท่านอาจารย์สอนไม่ให้ยึดมั่นในพระไตรปิฎก แต่อาจารย์เองก็เปิดพระไตรปิฎกใช้อยู่ทุกวัน นี่ ดูว่าเราเป็นคนตลบตะแลงสิ้นดี บอกว่าอย่ายึดเอาหลักว่ามันมีคำอ้างอยู่ใน ปิฎก ต้องใช้คำว่า ปิฎก กาลามสูตร มีคำว่ามา มา ปิฎก สมฺปทาเนน อย่ารับถือเอาเพราะมีการรับสมอ้างอยู่ในปิฎก นี่พระพุทธเจ้าท่านว่า แต่ท่านก็ไม่ได้ห้ามว่าอย่าเปิดปิฎกดู เปิดปิฎกดูก็ได้ แต่อย่าเชื่อทันทีตามข้อความในปิฎก อาตมาก็ทำอย่างนี้ พลิกพระไตรปิฎกอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้เชื่อข้อความนั้นทันที ใคร่ครวญ สอบสวน มีเหตุผลแล้วจึงเชื่อ ดังนั้นจึงไม่ขัดหลักอะไรกันว่าไม่ยึดมั่นในพระไตรปิฎกแล้วก็เปิดพระไตรปิฎกดูอยู่ ค้นหาความจริงให้ถูกต้อง มีคนด่าอาตมาในเรื่องนี้ทางวิทยุ อาตมาได้ยินกับหูเอง เป็นพวกวงศาคณาจารย์ของฝ่ายทหารด้วยซ้ำไป เขาด่าอาตมาว่า อย่าถือตามพระไตรปิฎก อย่าเชื่อตามพระไตรปิฎก แต่ตัวเองก็เปิดพระไตรปิฎกอยู่ทุกวัน ทุกคนเข้าใจซะด้วย เปิดพระไตรปิฎกอยู่ทุกวัน แต่ว่า ไม่ใช่ว่าเปิดแล้วก็เชื่อทันที มีการใคร่ครวญให้รู้ตามที่เป็นจริงแล้วจึงเชื่อ นั้นไม่เป็นไร
มีผู้ประท้วงว่า มีผู้นำเอาธรรมะของสวนโมกข์ไปเผยแผ่อย่างไม่ตรงตามหลักเดิมของสวนโมกข์ นี่เขาหมายถึง คุณปุ่น เพราะว่าคุณปุ่นเอาอะไรไปพูดในนามของสวนโมกข์แต่ไม่ตรงตามหลักของสวนโมกข์ พูดไปพูดมาจนเขาพูดว่า ตายแล้วไม่เกิด อย่างนี้เป็นต้น นั้นเป็นเรื่องของคุณปุ่น ไม่เป็นไร มันช่วยไม่ได้ ก็จะไปห้ามใครได้ เดี๋ยวนี้ก็มีคนเอาไปพูดชนิดที่ไม่ตรงตามที่เรามีเป็นหลักอยู่ในสวนโมกข์ก็มีอยู่หลายคน ไม่ใช่เฉพาะคุณปุ่น ไม่ใช่เฉพาะคุณปุ่นคนเดียว มีผู้เป็นห่วงว่า เมื่อท่านอาจารย์ล่วงลับลงวันใด พวกลูกศิษย์ผู้อยู่ข้างหลังก็คงจะแตกแยกกันหมด ทำใจ ตามใจลูกศิษย์ ถ้ามันเป็นลูกศิษย์แท้จริง มันก็คงจะไม่ทำถึงขนาดนั้น เพราะว่าลูกศิษย์ที่แท้จริงมันรู้จักหน้าที่ดีและลูกศิษย์ที่แท้จริงจะมีความรู้ ความคิด ความเห็นตรงกันหมด เพราะนั้นไม่แยกกัน ไม่แตกแยกกัน เรื่องนี้มีคนเป็นควรมากเหลือเกินว่า ถ้าอาตมาตายไปแล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น ตัวอาตมาเองไม่เป็นห่วงเลย มีผู้หวั่นว่าเมื่อท่านอาจารย์ล่วงลับลงไปวัดใด สวนโมกข์จะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ร้างแห่งหนึ่งเท่านั้น ไม่มีชีวิตชีวาอะไร จะกลายเป็นเหมือนกับพิพิธภัณฑ์ที่ร้างไม่มีชีวิตชีวาอะไร ก็แปลว่า ยังดีกว่าที่จะไหม้สูญสิ้นหมดไปเลยไม่มีอะไรเหลือ เหลือเป็นพิพิธภัณฑ์ร้างๆ ก็ยังดี ดีกว่าที่สูญหมดไปเลยเหมือนบางแห่ง มีผู้เป็นห่วงว่า ถ้าท่านอาจารย์หาไม่แล้ว สวนโมกข์จะกลายเป็นซ่องโจร อันนี้คนพูดนั่นแหละมันเป็นโจรอยู่แล้ว มันจึงมีความคิดอย่างนั้น อาตมาตายไปแล้ว คนข้างหลังเขาก็ต้องทำไปตามความคิดนึกรู้สึกของเขา ถ้าเขารู้ธรรมะจริงเขาก็ไม่ทำถึงขนาดนั้น ไม่กลายเป็นซ่องโจรไปได้ มีผู้หวั่นใจว่า เมื่อท่านอาจารย์ล่วงลับไปแล้ว ใครจะเป็นผู้โต้ตอบข้อกล่าวหาของผู้ประสงค์ร้าย มันจะมีเพิ่มขึ้นๆ นี่จะบอกว่า เสาห้าต้นบนหลังคานั่นนะตอบ ถ้าฟังไม่ออกก็ตามใจ ไม่อธิบาย
ข้อสุดท้ายแล้ว ถามว่าจะให้ถือเอาอะไรเป็นอนุสาวรีย์ของท่านอาจารย์ในอนาคต หลังจากที่อาจารย์ล่วงลับไปแล้ว เอารูปปั้น หรือเอาหนังสือ หรือเอาสวนโมกข์ คนพวกนี้ก็สงสัยว่า อะไรจะเป็นอนุสาวรีย์ของอาตมาเมื่อล่วงลับไปแล้ว รูปหล่อนั้นนะเป็นอนุสาวรีย์ หรือว่าหนังสือทั้งหลายที่มีอยู่นี้เป็นอนุสาวรีย์ หรือว่าสวนโมกข์เป็นอนุสาวรีย์ ขอตอบว่า ไม่เอาสิ่งเหล่านั้นเป็นอนุสาวรีย์ ขอเอาประโยชน์ที่มหาชนกำลังได้รับอยู่จากคำสอนของอาตมาว่า นั่นแหละเป็นอนุสาวรีย์ ประโยชน์ใดๆ ที่ผู้ใดก็ตาม ได้รับจากคำสอนของอาตมาปรากฏอยู่แก่ใจ นั้นคืออนุสาวรีย์อันแท้จริงของอาตมา ไม่ใช่รูปปั้น ไม่ใช่รูปหล่อ ไม่ใช่หนังสือเหล่านี้ ไม่ใช่สวนโมกข์ ไม่ใช่ตึกหลังนั้น เอาเป็นอันว่า นี่มันหมดเวลาแล้ว ขอยุติการทำบุญล้ออายุแห่งปีนี้ ว่าเราได้ทำอะไรให้ได้เกิดขึ้นบ้าง ได้รับประโยชน์อะไรจากการบรรยายเหล่านี้ ก็แล้วแต่ว่าใครจะถือเอาได้เพียงไร ถ้าถือเอาไม่ได้คุ้มค่าก็ยมบาลเล่นงาน ระวังให้ดี
อาตมาก็ขอขอบคุณอีกที เมื่อเริ่มต้นก็ขอบคุณแล้วจะจบลงก็ขอขอบคุณอีกที ว่าท่านทั้งหลายได้มีแก่ใจ ทนยากลำบาก หมดเปลือง เหน็ดเหนื่อยมาร่วมในพิธีทำบุญล้ออายุ มาจากที่ไกลนะ ขอขอบพระคุณ ขอบพระคุณที่ว่าให้ของขวัญ ให้ของขวัญแก่อาตมา คือ งดการบริโภคอาหารแข็งในวันนี้ทั้งวัน แต่ดูให้ดี นั่นแหละจะกลับเป็นของขวัญแก่ท่านเอง ของขวัญที่ท่านให้แก่อาตมานั้นมันจะกลับไปเป็นของขวัญแก่ท่านเอง ทำให้ท่านรู้อะไรมากขึ้น รู้จักความจริงของธรรมชาติมากขึ้น ว่าอดข้าวมื้อหนึ่ง วันหนึ่งนี้ไม่ได้เป็นลมตาย มีใครเป็นลมบ้างที่ไม่กินข้าวในวันนี้ทั้งวัน มีใครเป็นลมบ้าง มันไม่มี ก่อนนี้มันกลัวด้วยความไม่รู้ เดี๋ยวนี้มันก็รู้ ของขวัญนี้กลับย้อนหลังไปสู่ผู้ให้ของขวัญ เพราะมันประหลาดที่สุด ไอ้ร่างกาย จิตใจของเรานี้มันประหลาดที่สุด มันมีจิตอยู่เป็นผู้บังคับ บัญชาเหนือ ถ้าลองจิตมันตั้งใจว่า วันนี้ไม่กินข้าวเท่านั้นแหละ ระบบร่างกายมันหมุนตามไปหมดแหละ คนที่เขาพูดว่า โอ้ย, วันนี้ไม่กินข้าวตามเวลา น้ำย่อยออกมาในกระเพาะอาหาร ย่อยเอากระเพาะอาหารแล้วปวดท้อง แล้วทำให้กระเพาะอาหารเสียหมด กระเพาะอาหารเสียหมด นั่นนะกระเพาะอาหารจะเป็นโรคหมด นี่ไม่จริง มันหลับตาพูด มันไม่รู้ว่าตามหลักของธรรมชาติแล้วจิตมันอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ มันมีอำนาจที่จะสั่งการ ให้ระบบกายเป็นไปตามนั้น ถ้าตั้งใจว่าวันนี้ไม่กินอาหารตั้งใจเด็ดขาดเท่านั้นแหละ ระบบกายที่สำหรับกินอาหาร มันจะหยุด จะหยุดหมด จะหยุดทำหน้าที่หมด ดังนั้นจึงมีคนอดอาหารได้ พระพุทธเจ้าอดอาหาร ๔๙ วัน อย่างนี้เป็นต้น หรือว่าอย่างน้อยก็ ๗ วัน เพราะนั้นอยู่ด้วยความปีติปราโมทย์ในการตรัสรู้ ไม่ต้องกินอาหารตั้ง ๗ วัน ไม่มี ไม่มีลำไส้เสีย ไม่มีกระเพาะเสีย เพราะมันอยู่ด้วยจิต อำนาจของจิตที่สั่งหยุดอาหาร พระเยซูก็อดอาหารตั้ง ๔๐ วัน ไม่กินอาหารหลังจากการรู้ธรรม แสดงธรรมอันสูงสุดแล้วก็ไม่กินอาหาร ทำไมอยู่ได้ นี่เป็นเรื่องที่ มันเหมือนกันนะที่พระพุทธเจ้าไม่เสวยพระกระยาหารตั้ง ๔๗ วัน เออ, ๔๙ วัน หรือ ๗ วันอย่างน้อย แล้วแต่จะอธิบาย นี่มันสอนให้เรารู้อย่างนี้ เพราะนั้นก็เรียกว่ามันให้ความรู้กลับไปให้แก่ผู้ที่ให้ของขวัญแก่อาตมา ของขวัญนั้นกลับไปได้แก่ผู้ที่ให้นั่นเอง แล้วเราก็ไม่ ไม่เดือดร้อนอะไร ยิ่งมองไปในแง่อื่นๆ ก็ยิ่งเห็นว่าเป็นความฉลาด หรือเป็นสิ่งที่จะทำให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป รู้อะไรเป็นอะไร รู้ว่าความหิวเป็นอย่างไรถ้าหิว แต่มันแปลกประหลาดที่ว่ามันไม่รู้สึกหิวก็ได้ ดื่มน้ำเหล่านี้ แก้ว สองแก้วก็ไม่รู้สึกหิวเลย ทั้งที่อาตมาพูดเป็นชั่วโมงๆ มันก็ไม่หิวเลย แล้วมันก็ยังมีเรี่ยวมีแรงที่จะพูดได้ เพราะว่าจิตมันมีอำนาจเหนือกาย เมื่อจิตมันต้องการอย่างไร สั่งลงไปอย่างไร กายก็มันเป็นอย่างนั้น เมื่อสั่งว่าวันนี้ไม่กินอาหาร ระบบกายมันก็หยุดหมด ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับจะกินอาหารหรือจะย่อยอาหาร เป็นต้น นี่คือความรู้ที่มันเกิดขึ้นมา เพราะการให้ของขวัญวันนี้ว่า อดอาหารเสียหนึ่งวัน รู้อะไรได้หลายๆ อย่าง ด้วยความจริง ไม่ใช่เรียนรู้ ไม่ใช่คาดคะเน แต่ว่า ว่า ว่าได้ประสบจริงด้วยจิต ด้วยกายได้ประสบจริงๆ นี่ไม่ใช่อาตมาจะเอาเปรียบ พูดว่าของขวัญที่ให้อาตมานั้นกลับไปได้แก่ท่านทั้งหลาย แต่ความจริงมันก็มีอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะนั้นขอให้เราก้าวหน้าในลักษณะอย่างนี้ ในเรื่องอย่างนี้อยู่ต่อไป ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป นี่การทำบุญล้ออายุ ไม่ใช่ทำบุญต่ออายุ นี่มันมีอย่างนี้ จะทำอย่างไรได้ ได้ยินว่าผู้ที่ไม่มาก็สมัครให้ของขวัญอยู่ที่บ้านของตนในจังหวัดต่างๆ ก็มีมาก เพราะว่าเราได้รับจดหมายอย่างนี้เรื่อยๆ ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้นเป็นที่เชื่อได้ว่า การทำบุญล้ออายุแบบให้ของขวัญชนิดนี้ มันได้เริ่มแพร่หลาย หรือมันเกิดขึ้นเป็นหลักเกณฑ์อันหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นสถาบันทางจิตใจต่อไปในอนาคตก็ได้ เพราะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายพอใจยินดีในการกระทำนี้ ไม่ต้องมีอะไรซึ่งเป็นที่เดือดร้อนใจ เสียหาย เสียดาย แล้วขอให้เจริญด้วยวิชชา ความรู้ ในด้านจิตใจยิ่งๆ ขึ้นไป มีความก้าวหน้าในทางจิตใจของมนุษย์ ซึ่งมีจิตใจเป็นส่วนสำคัญที่สุดของชีวิตนั้นเอง การบรรยายนี้ก็หมดเรื่องที่จะบรรยายแล้ว เวลาก็สมควรแล้ว ขอยุติการบรรยายแทนการแสดงธรรม ท่านทั้งหลายอาราธนาธรรม อาตมาก็บรรยายแล้วก็จะจบด้วยการแสดงเทศนาธรรมด้วยการ อนุโมทนา (นาทีที่ 59.27 น.สวดบาลี)
(นาทีที่ 1.1.52น.) ดีแล้ว เดี๋ยวนี้ผมพยายามฉันน้ำให้ได้วันละ ๒๕ แก้ว เพื่อไม่ให้ กรดยูริกเกาะตัวเป็นโรคเก๊าที่กระดูก แล้วที่ในไต เออ, พรุ่งนี้ ถ้าไม่ขัดข้องอะไรขอให้ช่วยกันมาประชุมทำกฎบัตรต่อไปที่หินโค้ง พวกเราที่ยังไม่กลับ ที่ยังอยู่ช่วยกันทำกฎบัตรต่อไป ทำที่หินโค้ง ปีกลายก็ทำอย่างนั้นแหละไม่ๆ ไม่ได้ทำในวันเดียวเสร็จ
เออ, กระผมขอถือโอกาสกราบพระคุณเจ้า พระภิกษุ สามเณร ทุกรูปนะครับ ในวันพรุ่งนี้ตอนเช้ามืดนะครับประมาณตีห้าสามสิบ ขอนิมนต์ทุกรูปไปที่โรงฉัน คือมีญาติโยมที่ศรัทธาเห็นว่าวันนี้พระคุณเจ้าทั้งหลายก็ได้อดอาหาร พรุ่งนี้เช้าเขาจะเลี้ยงข้าวต้มแต่เช้ามืด ก็สว่างที่โรงฉัน แล้วพอสองโมงก็นิมนต์มาฉันซึ่งเป็นวันเสาร์วันตักบาตรสาธิต อีกทีหนึ่ง เพราะนั้นทุกคนโปรดทราบนะครับตีห้าสามสิบนิมนต์ไปที่โรงฉันคือไป ต้องไปรอนิดหน่อย กว่าจะสว่างกว่าจะได้ มันก็มีแค่นี้แหละ
ญาติโยมทุกองค์ ตีห้าสามสิบ ไปที่โรงฉันนิมนต์ทุกองค์ ทั้งพระ ทั้งเณร ตีห้าสามสิบ ไปที่โรงฉัน