แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายที่เป็นการล้ออายุในรอบที่ ๓ นี้ เป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า มันเป็นเรื่องตกค้าง เป็นเรื่องยืดเยื้อ มันจึงเกิดมาจากการขัดแย้งกันในอดีต ฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งก็ยังคงเอามากล่าวคัดค้านโดยการพิมพ์โฆษณาบ้าง หรือจะกล่าวที่ไหนก็แล้วแต่จะมีโอกาส อาตมาก็ไม่สนใจหรือไม่ได้ตั้งใจที่จะไปตอบโต้ สนใจอยู่แต่ว่า ข้อที่ขัดแย้งนั้นมันเป็นความรู้ที่เนื่องมาถึงท่านทั้งหลาย กลัวว่าท่านทั้งหลายจะยังเข้าใจผิดอยู่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ โดยมากก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับกินเนื้อกินผักนี่จะมากกว่าอย่างอื่น แล้วก็มีเรื่องอื่นๆ พอสมควร เรื่องนี้มันก็เนื่องมาถึงสิ่งที่ท่านทั้งหลายจะต้องทราบ จะต้องเข้าใจ และยึดถือไว้อย่างถูกต้อง นี่จึงได้เอามาพูด ถ้ามันเป็นเรื่องซ้ำซากก็จะต้องให้อภัยกันบ้าง และก็ไม่ได้ถือและอย่าได้ถือว่าเป็นการพูดด้วยอารมณ์ที่ค้างหรือแค้นอยู่ในใจ อย่างนี้ไม่มีเลย ไม่จำเป็น ไม่เสียเวลา ที่จะต้องไปทำความคับแค้นกับผู้ใดหรือฝ่ายใด แต่มันยังมีเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรจะเข้าใจให้ถูกต้องในกรณีที่เขากล่าวถึงหรือการขัดแย้งนั้น
ตัวอย่างข้อที่ ๑ เขากล่าวหาอาตมาหรือจะเรียกว่าด่าเลยก็ได้ ว่าสอนกันผิดๆ ว่าการทำสัตว์มีชีวิตให้ตายนั้นไม่ต้องเป็นบาปเสมอไป นี่ การที่ทำอะไรให้ตายลงไปนั้นไม่ต้องเป็นบาปเสมอไป แต่ฝ่ายขัดแย้งนั้นเขาถือว่าถ้าได้ทำอะไรให้ตายลงไปแล้วมันก็เป็นบาปเสมอไป และเท่ากันด้วย นี่ขอให้รู้ล่วงหน้าถึงแนวของปัญหา ตัวอย่างที่ต้องวินิจฉัยในที่นี้ก็คือว่า ซื้อปลากระป๋องมากินก็บาปเท่ากับที่คนฆ่าปลาเอง หรือว่า แมวกินหนูก็บาปเท่ากับว่าคนมันแกล้งฆ่าหนู อย่างเช่น ชาวนาฆ่าหนูนา ไอ้นกกินแมลงก็บาป คือเป็น ปาณาติบาต เท่ากับคนแกล้งฆ่านก ทหารฆ่าศัตรูก็บาปเท่ากับที่ว่าใครทำใครให้ตายในกรณีอื่น แพทย์หรือผู้ศึกษาวิชาแพทย์ต้องทำสัตว์ให้ตายในการศึกษาและทดลอง คนยิงสัตว์เล่นสนุกก็บาปเหมือนกันหรือเท่ากันกับคนที่มีเจตนาจะยิงให้ตายด้วยความโกรธแค้น ลงความว่า เขาถือหลักกันว่าถ้าได้ทำอะไรให้ตายลงไปแล้วมันก็บาปเท่ากันและเสมอกัน อันนี้แหละเป็นข้อบกพร่องของคำสอน คือหลักแห่งศาสนาที่ไม่รู้จักแบ่งแยกลักษณะของปาณาติบาต เพราะปาณาติบาตมันมีอยู่หลายชั้นหลายระดับ การทำให้สัตว์ตายนั้นหรือทำให้อะไรตายนั้นไม่ต้อง ไม่จำเป็นจะต้องเสมอกัน หรือเท่ากัน การทำให้สัตว์ตายเพราะความโกรธแค้นนั่นก็อย่างหนึ่ง สัตว์มันต้องตาย จำ เพราะว่าเรามีความจำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ นี้อย่างหนึ่ง เช่นว่า ไถนา มันก็ต้องมีสัตว์ตายในรอยไถ หรือว่าทหารก็จำเป็นที่จะต้องยิงปืนเพื่อรักษาความอยู่รอดของประเทศชาติ เพราะนั้นจะไปเหมือนกับการยิงปืนของคนที่แกล้งยิงโกรธแค้น ฆ่าศัตรู คู่อาฆาต เฉพาะตนได้อย่างไร ถ้ามันเป็นการยิงปืนออกไปเพื่อรักษาความรอดหรือความเป็นธรรมของมนุษย์ ที่น่าหัวที่สุดก็คือว่า แมวกินหนูก็บาปเหมือนกันเท่ากันกับคนแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย สัตว์ที่มันมีสิ่งที่มีชีวิตเป็นอาหาร เช่น นกกินแมลง เป็นต้น มันก็ต้องบาป เขาว่านะ มันบาปเท่ากับการแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย นี่ นี่คิดดูเถอะว่า ถ้าว่านายแพทย์ วิชาแพทย์ ศึกษาแพทย์มันก็ต้องมีการทำสัตว์ตายเพื่อการทดลอง มันจะบาปหรือเท่ากันกับคนที่แกล้งฆ่าสัตว์ให้ตายด้วยความโกรธแค้นนะ อย่างไรกัน นี่ คนพวกหนึ่งเขาถือว่าถ้าลงทำให้ตายแล้วเป็นบาปเท่ากัน บาปเสมอกัน แล้วมันเตลิดเปิดเปิงไปจนถึงว่าคนที่ไปซื้อปลากระป๋องมากินก็บาปเท่ากับชาวประมงที่เขาไปจับปลามาบรรจุกระป๋อง พออาตมาพูดว่าไม่เท่ากัน มันบาปไม่เท่ากัน นี่ในบางกรณีมันก็ไม่บาป เขารุมกันด่าอาตมา นี่ หาว่าเป็นบัณฑิตพาล เป็นอาจารย์พาล พูด ในข้อเขียนก็มี พูดที่เกาะลอยก็มี ลองคิดดู นี่ท่านทั้งหลายคงจะไม่คิดว่าอาตมาแกล้งหาเรื่องหรือเอาเรื่องเหล่านี้มาพูดนะซ้ำๆ ซากๆ ให้รำคาญ ตั้งใจจะให้เข้าใจอย่างชัดเจนว่ามันต่างกันอย่างไร แม้ที่สุดแต่ชาวประมงนี่ก็ ก็ควรจะได้รับการพิจารณาให้ดีๆ นะ ชาวประมงไม่ได้ทำปลาตายด้วยเจตนาจะฆ่า อาตมาก็ศึกษาชาวประมงอยู่ด้วยเหมือนกัน เขาทำไปเพราะอาชีพหรือเพราะความจำเป็นบังคับเนื่องในอาชีพ เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่าปลา เขาเจตนาแต่จะทำอาชีพที่จะหาเงินมาเลี้ยงอาชีพ ถ้าเขามีเจตนาจะฆ่าปลามันก็จริงนะ มันก็ขาดศีล ปาณาติบาต ข้อที่ ๑ โดยสมบูรณ์ แต่ถ้าจิตใจในขณะนั้นของเขาไม่ได้คิดไม่ได้เจตนาจะฆ่าปลา แต่อาชีพมันบังคับให้ทำ เพราะทำอย่างอื่นไม่เป็น เครื่องมือมันก็มีอยู่แล้ว แล้วก็รับมรดกมาจากพ่อแม่ ก็ทำงานเหมือนกับเครื่องจักรเพื่อได้ปลามาขาย ก็เลี้ยงชีวิต นี่ท่านลองคิดดูเถอะว่ามันจะเท่ากันได้อย่างไร มีเจตนาจะฆ่ากับไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าแต่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น แม้ว่าจะได้ทำให้สัตว์ตายโดยเสมอกันมันจะบาปเท่ากันได้อย่างไร ปาณาติบาต โดยสมบูรณ์มันต้องเจตนาจะฆ่า ถ้ามีเจตนาเป็นอย่างอื่น เช่น เจตนาป้องกันตัว อย่างนี้มันก็ไม่เป็นการฆ่า แต่มันก็มีการทำให้สิ่งที่มีชีวิตตาย ชาวนาไถนาตั้งใจจะฆ่าปูนา งูดิน สัตว์ในรอยไถหรือเปล่า เปล่าเลย ชาวนาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าสัตว์เหล่านั้น ต้องการจะไถนา จะเอาดินมาทำนา เขาก็ว่ามีบาปเสมอกัน นี่ละเป็นจุดบกพร่องของการสอนธรรมะ การอธิบายธรรมะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดอย่างนั้นไม่ได้ตรัสอย่างนั้น ถ้าเราจะ จะพูดอย่างนั้นมันก็กลายเป็นหลับตาพูด อะไรๆ ก็เสมอกันหมด มันไม่มีข้อยกเว้น แล้วใครจะทำอะไรได้ ชาวนาก็ไม่ต้องทำนา ถ้าว่าไปทำให้สัตว์ตายในรอยไถเป็นบาปเสมอกันกับ ปาณาติบาต เพราะนั้นชาวนานั้นจะเป็นพุทธบริษัทอุบาสกได้อย่างไร เพราะว่าอุบาสกเป็นชาวนามันก็ยังต้องไถนา แล้วอุบาสกไถนาก็มีสัตว์ตายในรอยไถแล้วจะว่าอย่างไร นี่แหละ ขอให้เข้าใจกันให้ดีๆ ว่า การทำสิ่งที่มีชีวิตได้ตายไปนั้นมันมีหลายรูปแบบ มีหลายขนาด เป็นปาณาติบาตขาดศีลข้อที่ ๑ ก็มี อาจจะครึ่งหนึ่งก็มี อาจจะไม่ขาดเลยก็มี เป็นเจตนาป้องกันตัว นี้เป็นที่รับรองต้องกันไปทั้งทางกฎหมายหรือทางอะไรๆ ก็ว่าไม่มีโทษ ไม่มีบาป แม้ทางศีลธรรมทางศาสนาก็ ถ้าไม่มีเจตนาจะฆ่ามันก็ไม่ต้องมีบาป ถ้ามีเจตนาเป็นอย่างอื่นบางทีก็ต้องพิจารณาว่ามันจะกลายเป็นบุญด้วยซ้ำไป การกินยาถ่ายตัวพยาธิฆ่าพยาธิ ฆ่าตัวพยาธิกันมากๆ นี่ จะจัดว่าเป็นปาณาติบาตที่ต้องขาดศีลด้วยหรืออย่างไร หรือบางทีเราช่วยคนหายโรคซึ่งจะต้องทำให้เชื้อโรคตายไปมากๆ นี่จะได้บุญหรือได้บาป ที่น่าหัวก็ว่าแมวจับหนูกินก็เป็นปาณาติบาต อย่าออกชื่อเลยว่าสำนักไหนเขาพูด มันๆ มันจะไม่ดี แต่เขาก็มีเจ้าสำนัก เจ้าผู้สอนประจำสำนักนั้นว่าแมวจับหนูกินมันก็บาปเท่ากับคนแกล้งฆ่าแมวหรือคนแกล้งฆ่าหนู แมวจับหนูกินด้วยความรู้สึกอย่างไร มันไม่มีจิตใจเจตนาฆ่าหนู มันกินเหมือนกับเรากินอาหาร มันตะครุบแล้วมันก็กินเข้าไปเหมือนกับเรากินอาหาร เจตนาที่คิดจะฆ่านั้นไม่มี ไม่ต้องมี มันมีแต่เจตนาจะกิน อย่างนี้จะเป็นปาณาติบาตเสมอกันกับคนที่แกล้งฆ่าแมวหรือแกล้งฆ่าหนูได้อย่างไร ถ้าลูกเด็กๆ มันถามขึ้นว่าถ้าแมวจับหนูกินแล้วก็เป็นบาป ปาณาติบาตแล้วจะให้แมวกินอะไร พ่อมันเลยตอบไม่ได้ พ่อผู้เคร่งครัดในศาสนามันเลยตอบไม่ได้ ว่าถ้าอย่างนั้นแมวจะกินอะไร พ่อสามารถจะทำให้แมวกินหญ้าได้เหรอ พ่อมันก็ตอบไม่ได้ นั้นนะจะต้องพิจารณาดูให้ดีๆ ว่าอย่าหลับตาพูดว่าถ้าทำอะไรตายแล้วมันจะเป็นบาปปาณาติบาตเสมอๆ กันหมด ทหารฆ่าศัตรูที่ยกกองทัพมายึดครองประเทศของเรา เขาทำไปด้วยอะไร ด้วยเจตนาอะไร ถ้าเขาทำไปด้วยเจตนาโกรธแค้น แน่นอนเขาต้องเป็นบาปปาณาติบาตโดยสมบูรณ์ แต่ถ้าเขาตั้งใจถูกต้องตามลัทธิทางศีลธรรม เขาเป็นทหาร เขามีหน้าที่ที่จะต้องป้องกันประเทศชาติ เขาก็ลั่นไกปืนออกไปด้วยเจตนาอย่างนั้น นี่จะปรับให้เขาเป็นปาณาติบาตขาดศีลข้อที่ ๑ ด้วยหรืออย่างไร เขาไม่มีเจตนาที่จะฆ่าคน เขามีเจตนาที่จะป้องกันประเทศ ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญอยู่เหมือนกัน มีผู้ที่พยายามอธิบายข้อนี้แก่พวกทหารเพื่อว่าทหารจะไม่ต้องบาปเพราะการยิงปืนออกไป ได้ยินว่า ฮิตเลอร์ เคยสั่ง คัมภีร์ภควัตคีตา เป็นล้านๆ ฉบับไปแจกทหารเพื่อให้ศึกษาข้อความใน คัมภีร์ภควัตคีตา ที่ว่า ฆ่าด้วยเจตนาที่จะรักษาความถูกต้องนั้นนะมันไม่บาป ก็ทำให้ทหารสบายใจ ไม่คิดว่าเราทำบาป อย่างนี้เป็นต้น ถึงแม้ทหารของเราไม่ใช่ทหารของ ฮิตเลอร์ ก็ควรจะได้รับการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้องจากพวกอนุศาสนาจารย์นั่นเอง ว่าทำในใจอย่างไรโดยบริสุทธิ์ใจอย่างไรยิงปืนออกไปจะไม่บาป ก็คงความเป็นพุทธบริษัทไว้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วหากพุทธศาสนาจะเป็นเรื่องหลับหูหลับตามีปาณาติบาตเสมอกันหมด ไม่มีปาณาติบาตในการทำหน้าที่ เช่น ชาวนาจะต้องทำนา เป็นต้น ทีนี้ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจให้ดีๆ ว่าอย่าหลับหูหลับตากันถึงอย่างนั้น ว่าแมวกิน แมวจับหนูกินก็ขาดศีลปาณาติบาตข้อที่ ๑ เหมือนกับว่าคนเขาแกล้งฆ่านก แกล้งฆ่าหนู เป็นต้น นี่อาตมาพูดไปถึงว่าแม้แต่เพชฌฆาตที่ทำหน้าที่ประหารชีวิตนักโทษก็ต้องได้รับการอบรมให้ถูกต้อง ให้ทำในใจให้ถูกต้อง จนอย่าให้เขาต้องขาดศีลข้อปาณาติบาต หรือว่าขาดโดยสมบูรณ์เลย อบรมจิตใจเสียใหม่ให้ถูกต้องว่าทำเพื่อหน้าที่ที่จะต้องรักษาความยุติธรรมหรือความถูกต้องให้อยู่ในโลกก็แล้วกัน นั่นแหละ ถึงใครจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง เพราะว่าเรายังจะต้องกินยาถ่าย บางทีเราจะต้องต่อต้านแมลงรบกวน เช่นยุง เช่นเรือด เช่นเหา อย่างนี้เป็นต้น ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นปาณาติบาต นี่ ข้อที่ ๑ อาตมาถูกด่าถูกหาว่าสอนอย่างคดโกง ไม่สอนอย่างตรงไปตรงมาเหมือนพวกเขา ที่ว่าถ้ามีการทำให้สัตว์เสียชีวิตแล้วก็บาปปาณาติบาตสมบูรณ์ ขอฝากไว้ด้วย
ทีนี้ก็มีคนกล่าวเจาะจงอาตมานั่นแหละ แม้ว่าเขาจะไม่ออกชื่อ เขากล่าวว่าถ้าใครว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามการฉันเนื้อสัตว์ คนนั้นเป็น รากษส รากษส คือ ยักษ์ ผีดุชนิดหนึ่ง ถ้าผู้ใดกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้หาม ไม่ได้ห้ามการฉันเนื้อสัตว์ผู้นั้นเป็นรากษส อาตมานี่เป็นผู้ว่า ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ที่ไหนว่าห้ามการฉันเนื้อสัตว์โดยทั่วไป มีแต่ห้ามเนื้อสัตว์ชนิดที่ไม่สมควร เช่น เนื้อสัตว์ ๑๐ ชนิด หรือ อุทิศมังสะ เป็นต้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามการฉันเนื้อสัตว์ นี่พูดกันในแง่ของวินัยนะไม่ใช่แง่ของธรรมะ ข้อนี้มันรู้ได้ตรงที่ว่า มีพระเทวทัศน์ไปทูลขอให้พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุไม่ให้ฉันเนื้อสัตว์ ถ้าว่าพระพุทธเจ้าหรือภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์อยู่ก่อนแล้ว พระเทวทัศน์จะต้องไปขอร้องอย่างนั้นทำไม นี้แสดงว่าตามปกติพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้ามการฉันเนื้อสัตว์ ถ้าใครพูดอย่างนี้ก็จัดว่าคนนั้นเป็นรากษส ที่จริงเขาควรจะใช้คำอย่างอื่นที่ตรงเรื่องตรงราวมากกว่าคำว่า รากษส นี้ท่านทั้งหลายยังมีความสงสัยอยู่หรืออย่างไร อาตมาขอยืนยันว่าไม่เคยพบเรื่องราวที่ไหนที่แสดงว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้สาวกฉันเนื้อสัตว์ แล้วก็ไม่ได้ห้ามโดยเฉพาะอย่างนั้น ห้ามเฉพาะที่ว่ามันเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่สมควร เนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าอุทิศเจาะจง หรือว่าเนื้อสัตว์ที่เลวเกินไปกว่าที่จะบริโภคเป็นอาหารได้ เช่น เนื้อคน เนื้อเสือ เนื้อหมี เนื้อช้าง เนื้ออะไรต่างๆ ถ้ายังเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าห้ามการฉันเนื้อสัตว์แล้วมันก็ไม่ตรงกับเรื่องจริง แต่ถ้าพูดทางธรรมะแล้วมันไม่มีปัญหาข้อนี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านจะไม่บัญญัติว่าเนื้อสัตว์ จะไม่บัญญัติว่าผัก ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านตีค่าผักและสัตว์นะเท่ากันนะสำหรับภิกษุ สำหรับภิกษุถ้าฆ่าสัตว์ก็เป็น ปาจิตตีย์ ภิกษุฆ่าต้นไม้ผักหญ้าก็เป็น ปาจิตตีย์ มันเท่ากัน แสดงว่าท่านประมวลค่ามันเท่ากัน เพราะนั้นจึงไม่ต้องแยกกัน แกล้งฆ่าผัก เก็บผัก ทำลายผักนี่ก็เป็นอาบัติเหมือนกับฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านสอนไปในทางว่าไม่ให้ยึดมั่นหมายมั่นว่าเป็นเนื้อหรือมันเป็นผัก มันเป็นธาตุตามธรรมชาติอยู่ด้วยกันทั้งนั้น มันมีแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติไหนควรฉัน ฉันแล้วไม่เป็นโทษ ฉันได้ ถ้าฉันแล้วเป็นโทษก็ไม่ฉัน ห้ามไม่ให้สำคัญว่ากินเนื้อหรือกินผัก ไม่ให้สำคัญว่ากินของหวานหรือกินของคาว กินข้าวกินปลากินกับกินอย่างนี้ ใช้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละถ้าในด้านธรรมะ ต้องทำในใจว่าธาตุตามธรรมชาติที่ควรบริโภคเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายหรือชีวิตแล้วก็ฉันได้ เรื่องกินผักหรือกินเนื้อด้วยความยึดมั่นว่าผักหรือเนื้อมันก็โง่เท่ากัน ท่านทั้งหลายอย่าทำในใจว่ากินผักหรือกินเนื้อ มันจะโง่ เพราะมีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นผักหรือเป็นเนื้อ พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้ยึดมั่นหมายมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ สอนให้มองดูเป็นธาตุตามธรรมชาติเสมอกัน สูตรแรกของมัชฌิมนิกาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นคำสอนแรกที่สุด ไม่ให้หมายมั่นแม้กระทั่งว่าดินโดยความเป็นดิน ถ้ามันถือว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ ไม่ให้หมายมั่นสิ่งใดโดยความเป็นอะไรอย่างนั้นเรื่อยๆ ขึ้นมา ไม่ให้หมายมั่นเป็นคนเป็นสัตว์ ไม่ให้หมายมั่นเป็นเทวดา ไม่ให้หมายมั่นเป็นพรหมเป็นประชาบดี ไม่ให้หมายมั่นว่าเป็นนิพพาน แม้แต่นิพพานท่านก็ตรัสสอนแนะนำว่าอย่าหมายมั่นมรรคว่าเป็นนิพพาน มันจะเกิดอุปาทานอันใหม่ขึ้นมา ให้รู้ว่ามันเป็นเพียงสักว่าธาตุตามธรรมชาติ นับตั้งแต่ดิน ขี้ฝุ่น ขึ้นไปจนถึงนิพพาน มันก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ นิพพานก็เป็นธาตุ ที่เรียกว่านิพพานธาตุ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เรียกว่านิพพานธาตุ ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธาตุ เพราะนั้นอย่าหมายมั่นให้เป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับจะยึดถือเอาเป็นตัวกู ของกู ขึ้นมา อย่าให้เป็นตัวตนของตนอะไรขึ้นมานั่นแหละคือถูกต้อง อย่าทำความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเนื้อหรือเป็นผัก สำคัญว่าเป็นผักแล้วก็ยินดีว่ากูดีกว่าคนอื่น ดีกว่าพวกที่มันกินเนื้อ นั้นมันโง่เอง มันสำคัญมั่นหมายขนาดนั้นนะมันโง่เอง อย่าสำคัญมั่นหมายว่าเป็นผักเลย อย่าสำคัญมั่นหมายว่าเป็นข้าว เป็นปลา เป็นผัก เป็นหญ้า เป็นเห็ด เป็นอะไรทุกอย่าง อย่าสำคัญมั่นหมาย แต่ถ้ามันรู้จักกันอยู่ตามธรรมชาติตามชื่อเขาเรียกกันก็ ก็เรียกไปได้ แต่อย่าทำความสำคัญให้มีความหมายเฉพาะ อย่างนี้มันก็จะ ถ้าสำคัญมั่นหมายอย่างนี้มันก็จะมีความหมายแห่งตัวตนขึ้นมา สำหรับจะยึดมั่นถือมั่น อาตมาก็เลยตอบไปให้จำง่ายๆ ว่า ถ้ากินแต่เนื้อก็เป็นยักษ์ถ้ากินแต่ผักก็เป็นค่าง ค่างที่อยู่บนยอดไม้นั่นกินแต่ผัก ถ้าเป็นกินแต่เนื้อไม่ยอมอันอื่นก็เป็นเสือหรือเป็นยักษ์ อย่างนี้เป็นต้น อย่าได้หมายมั่นให้มันเข้าในรูปแบบนั้น เพราะฉะนั้นการที่มาพูดว่าผู้ที่กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามการฉันเนื้อสัตว์ผู้นั้นเป็นรากษส มันเป็นคำพูดของคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้เรื่องของพระพุทธเจ้า กล่าวตู่พระพุทธเจ้าโดยที่ตัวเองไม่รู้ ท่านไม่ได้ ท่านสอนไม่ให้สำคัญเป็นเนื้อหรือเป็นผัก ทำไมจะต้องมาพูดกันถึงเรื่องไม่ให้กินเนื้อหรือให้กินเนื้อ ให้กินผักหรือไม่ให้กินผัก มันไม่ต้องพูด พูดแต่เพียงว่าธาตุตามธรรมชาติที่ควรบริโภคเพื่อตั้งอยู่แห่งอัตภาพนี้ได้แล้วก็บริโภคได้ ดังในบทปัจจเวก ที่พระเณรท่อง ปัจจเวก กันอยู่ทุกคราวที่ไปฉันอาหาร นั่นถูกแล้ว อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายก็ควรจะทำในใจอย่างนั้น อย่าหมายมั่นให้เป็นอะไรขึ้นมา ให้มันยังคงเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ ถ้าอันใดมันกินแล้วมันเกิดโทษก็อย่ากิน ธาตุตามธรรมชาติที่อยู่ในรูปของเนื้อสัตว์นะมันกินเข้าไปแล้วเป็นโทษก็อย่ากิน ข้อนี้อาตมาเห็นด้วย ว่าไอ้เนื้อสัตว์นี่กินเข้าไปแล้วแสลงหลายโรค หรือว่ามันเป็นธาตุตามธรรมชาติที่แพง ที่มีราคาแพง ก็อย่ากิน ไปกินไอ้ธาตุตามธรรมชาติที่มีราคาถูกไม่ดีกว่า นี่ควรจะทำในใจถูกต้อง เมื่อจะกินอาหารอย่าให้ปัญหาอันนี้เกิดขึ้นมา อย่าได้ยึดถือการกินผักว่าเป็นวิเศษ วิโส อะไรไปกว่าธรรมดา มันจะกลายเป็น สีลัพพตปรามาส ไม่เป็นบุญเป็นกุศลอะไร ทำในใจให้เป็นกลาง ไม่หมายมั่นอะไรโดยความเป็นอะไรอย่างนั้นแหละ ดีกว่า นี่ข้อนี้มันว่าอย่างนี้
ทีนี้เขาเขียนว่า พระที่ยังฉันเนื้อสัตว์อยู่จะเอาศีลมาแต่ไหนให้ชาวบ้าน พระมีหน้าที่ให้ศีลแก่ชาวบ้าน ถ้าพระยังฉันเนื้อสัตว์อยู่พระองค์นั้นจะเอาศีลมาแต่ไหนให้ชาวบ้าน นี้มันเป็นคำพูดของคนชนิดที่ถือว่าไปซื้อปลากระป๋องมากินก็ขาดศีลหมดแล้ว พระที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่จะเอาศีลไหนมาให้ชาวบ้าน ขอให้ลองคิดดู มันไม่ได้มีศีลหรือขาดศีลหรือมีศีลเพราะฉันเนื้อสัตว์หรือฉันผัก ศีลมันอยู่ที่ว่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของศีลแล้วมันก็มีศีล ถ้าเราจะต้องมีชีวิตเป็น ปรทัตตูปชีวี มีชีวิตอยู่ด้วยของที่เขาให้ ก็มาพิจารณาดูเอาเองถ้าเผอิญเขาให้เนื้อสัตว์มาก็พิจารณาดูเอาเองเถอะ ควรกิน ไม่ให้โทษก็กิน ถ้าให้โทษก็ไม่กิน แม้แต่จะกินผักมันก็ยังต้องพิจารณาดูว่ามีโทษหรือไม่มีโทษ อย่าให้ปัญหามันเกิดขึ้นมาโดยที่มันไม่เป็นปัญหา ถ้าถือตามนี้พระยังฉันเนื้อสัตว์อยู่ก็ไม่มีศีลที่ไหนจะเอามาให้ชาวบ้าน พระเหล่านี้ก็ไม่ต้องให้ศีลกัน มันเป็นการแกล้งกล่าวกันเกินไป หรือบางทีก็กล่าวโดยที่ไม่รับผิดชอบ กล่าวด้วยความเคียดแค้น เพราะว่าไม่มีผู้เห็นด้วยกับตน ยังมีข้อต่อไปที่เนื่อง เนื่องกันกับข้อนี้ว่า พูดธรรมะด้วยปากที่มีกินคาวเลือดย่อมเป็นการกระทำที่ขัดกันอยู่ในตัว พูดธรรมะด้วยปากที่มีกินคาวเลือด นี่แสดงว่าคนนี้มัน มันจิตใจมันอาฆาต ปากที่มีกลิ่นคาวเลือดนั่นมันมีได้เหรอ ใครที่กินเลือดแล้วมีกลิ่นเลือดอยู่ในปาก มันไม่มี หรือจะพูดเป็นสำนวนก็ได้เหมือนกัน ว่าถ้ายังกินเนื้ออยู่มันก็ไปพูดธรรมะแล้วมันก็ขัดกันอยู่ในตัว คนพวกนี้เขาถือว่าธรรมะนั้นมีอยู่ข้อเดียวคือไม่กินเนื้อสัตว์ ธรรมะมีอยู่ข้อเดียวคือไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าปากกินเนื้อสัตว์พูดธรรมะแล้วมันก็ขัดกับสิ่งที่ตนพูด นี้ไม่มีความจริง มันก็พูดได้เหมือนกันว่าไอ้ปากที่มีกลิ่นผักหญ้าพูดธรรมะมันก็ไม่เป็นธรรมะเหมือนกันแหละ ถ้าว่าปากที่มีกลิ่นเนื้อพูดธรรมะไม่เป็นธรรมะ ไอ้ปากที่มีกลิ่นผักมันก็ไม่เป็นธรรมะเหมือนกันแหละ มันก็พอๆ กันแหละ ยังมีต่อไปว่า ถ้ายังฉันเนื้อสัตว์ ยังสูบบุหรี่ ยังกินหมากอยู่ก็ไม่ใช่พระ ข้อนี้ต้องแยก จะไปรวมกันหมดไม่ได้ การกินเนื้อสัตว์กับการสูบบุหรี่หรือการกินหมากนั้นเอาไปรวมกันไม่ได้ เรื่องสูบบุหรี่นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ การกินหมากก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่อาตมาไม่ค่อยจะรู้เรื่องเพราะไม่เคยกินหมากเลย แต่การฉันเนื้อสัตว์นั้นมันก็มีปัญหาอย่างที่ว่ามาแล้วว่าฉันด้วยความรู้สึกอย่างไร ถ้าฉันด้วยความหมายมั่นว่าเป็นเนื้อสัตว์ก็ดูจะมีคุณธรรมอ่อนมาก ไม่ควรจะสอนใครก็ได้ ถ้าจะกินเนื้อสัตว์ด้วยความรู้สึกของจิตที่ปกติว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร มันก็ยังเป็นพระอยู่นั่นแหละ เขาเขียนต่อไปว่าศีล ๒๒๗ ไม่ใช่ศีลของ อริยะ ต้องเป็นศีลชนิดที่เรียกว่า มหาศีล มัชฌิมศีล จุลศีล ในพระสูตร ไอ้คนกล่าวนี้มันอวดดี จะยกตนข่มท่าน เมื่อมีศีลโดยรายละเอียดถี่ยิบอย่างในสูตรในคัมภีร์ต่างๆ ที่กล่าวถึง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เลยให้ศีล ๒๒๗ นี่ไม่ใช่ศีลของพระอริยะ คือ ปาติโมกข์ นะ ศีลปาติโมกข์ คือศีลในรูปแบบของวินัยคือ ปาติโมกข์ นะ ๒๒๗ นะ มันมีมาก่อนศีลใน สุตตันตะ ก่อนศีลในพระสูตรที่เรียกว่า มัชฌิมา เอ่อ, มหาศีล มัชฌิมศีล จุลศีล นะ คือศีล ๒๒๗ มาก่อน เป็นรากฐานมาก่อน นี่เขาไม่รู้ เขาเลยปัดออกไปเสียว่า ไปยึดถือศีลอย่างนู้นแล้วก็จะได้ถึงที่สุด จะได้ดีกว่าใคร ยึดถือกันอย่างนั้นในบางสำนัก นี่ท่านทั้งหลายฟังดูว่ามันควรจะเอามาพูดกันหรือไม่ อาตมาไม่ได้พูดเพื่อต่อต้านหรือว่าไม่ได้พูดเพื่อป้องกันตัวเอง แต่พูดให้ท่านทั้งหลายมีความรู้ มีความเข้าใจ เกี่ยวกันกับเรื่องเหล่านี้
ทีนี้ข้อต่อไปนั้น เขาเอาจิตว่างอันธพาลของเขาเอามายัดเยียดให้ เขาจะเกณฑ์ให้อาตมาเป็นคนกล่าว นี่ไม่มีมูลแห่งความจริง คือเขากล่าวว่า ถ้าใครจะทำการปล้น การฆ่า การล่วงกาเม ก็ทำจิตให้ว่างเสียก็แล้วกัน ไม่มีบาปอะไร พวกจิตว่างอันธพาลที่ว่าเอาเองนะเขาสวนมาอย่างนี้ เราไม่เคยสอนทำนองว่าให้ล่วงกาเมด้วยจิตว่าง ฆ่าคนด้วยจิตว่าง ปล้นใครด้วยจิตว่าง เพราะว่าถ้าจิตว่างแล้วมันทำไม่ได้ ถ้ามันจิตว่างจริงตามหลักธรรมะในพุทธศาสนาแล้วมันจะทำการปล้นฆ่าหรือล่วงกาเมไม่ได้ มันทำได้แต่จิตว่างอันธพาลของคนที่กล่าวคำพูดเหล่านี้เท่านั้น มันเป็นจิตว่างแบบอันธพาล ทีนี่เขาก็ลามปามไปถึงคำว่า ตถตา เช่นนั้นเอง นั่นนะ เป็นข้อปลอบใจของคนทำชั่ว คือใครทำชั่วทำบาปแล้วก็ถือว่า ตถตา ตถตา เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไม่เป็นไร นี่ อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ ผู้ที่เห็น ตถตา แล้วมันทำบาปทำชั่วอย่างนี้ไม่ได้ มันก็เป็น ตถตา ของอันธพาล คนอันธพาลเขาพูด ตถตา เพื่อจะปลดเรื่องตัวเองออกมาเสียจากการทำชั่ว ไม่ต้องรับผิดชอบ นี่เขาพูดอย่างนี้แต่เขามุ่งหมายยังอาตมา มายังอาตมาที่ว่าสอนเรื่อง ตถตา ตถตา อยู่ตลอดเวลา เขากล่าวหาอาตมาว่าสอนมากมายพิสดารโดยไม่รู้จริง แล้วไม่ประกาศตัวยืนยันว่าเป็นผู้รู้จริง เอากะมันสิ มันจะยืนยันประกาศตัวว่าเป็นผู้รู้จริงบรรลุอย่างนั้น บรรลุอย่างนี้ นี้มันเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้สำหรับภิกษุในพระพุทธศาสนา ผู้มีวินัยจะไม่โอ้อวดคุณธรรมแม้มีอยู่จริง ถ้าไม่มีอยู่จริงไปอวดเข้าก็เป็นโทษหนักมาก แต่แม้มีอยู่จริงไปอวดเข้ามันก็ยังมีโทษอยู่นั่นเอง ดังนั้นจึงไม่มีภิกษุในธรรมวินัยนี้ที่จะประกาศตัวว่าเป็นผู้รู้จริง ส่วนข้อที่ว่าสอนมากมายโดยพิสดารโดยไม่รู้จริง นี่เอาอะไรมาพิสูจน์ เราก็สอนเท่าที่เรารู้จริงของเรา เท่าที่เรารู้จริง เราก็สอนเต็มที่ แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจงเชื่อทันทีตามที่ฉันกล่าว จงเอาไปใคร่ครวญดู ดับทุกข์ได้แล้วจึงค่อยเชื่อว่ามันจริง เขากล่าวหาว่าท่านอาจารย์ไม่ใช่นักปฏิบัติ ดีแต่พูดเท่านั้น ไม่ใช่นักปฏิบัติ ดีแต่พูดเท่านั้น อาตมาก็จะไม่แก้ตัวนะ แต่จะพูดว่า มันยังดีกว่าคนที่พูดไม่ได้ ดีกว่าคนที่พูดไม่เป็น อาตมาดีแต่พูด ไม่ได้ปฏิบัติจริง เขาว่าอย่างนั้น อ้าว, ก็ได้เหมือนกัน แต่จะขอแย้งสักหน่อยหนึ่งว่า มันก็ยังดีกว่าคนที่ไม่พูดหรือพูดไม่เป็น เขาพูดต่อไปว่า ถ้าท่านอาจารย์ไม่ยึดมั่นถือมั่นจริงแล้วทำไมไม่ออกไปนุ่งกางเกงอยู่ที่บ้านละ เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ไปนุ่งกางเกงอยู่ที่บ้านนั่น นี่มันเป็นเรื่องพูดด้วยความเคียดแค้น ทีนี้ก็อยากจะบอกให้ทราบกันทั่วๆ ไปว่าบรรพชิตนั้นไม่มีเครื่องแบบ รูปแบบ ที่ตายตัวสำหรับยึดมั่นถือมั่น ว่าจะต้องนุ่งกางเกงหรือนุ่งสบง ไปยึดมั่นว่านุ่งสบงก็ไม่ควรจะยึดมั่น ว่านุ่งกางเกงก็ไม่ควร แต่จะต้องใช้เครื่องนุ่งห่มที่สะดวกแก่การประพฤติพรหมจรรย์ เครื่องนุ่งห่มอะไรที่มันไม่เป็นภาระ มันไม่ มันไม่แพง มันไม่เป็นที่ปรารถนาของขโมย อย่างนี้เป็นต้น เครื่องนุ่งห่มเหล่านั้นแหละควร ควรแก่สมณะ เราใช้เครื่องนุ่งห่มเพื่อเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกแก่การประพฤติพรหมจรรย์ ก็ใช้ผ้านุ่ง ผ้าห่มที่สะดวก ราคาถูก หาง่าย แล้วก็ย้อมฝาดให้มันทน ไม่ต้องตั้งใจว่าจะให้เป็นสีนั้นสีนี่ด้วยการยึดมั่นในเรื่องสี
ทีนี้เขาว่าสวนโมกข์นี่สอนได้แต่ทฤษฎี เน้นในด้านปัญญาอย่างเดียว ไม่มีหลักปฏิบัติอะไรที่แน่นอน อาตมาก็จะไม่ตอบโต้ข้อนี่ เพราะเขา เพราะเขายังยิง เล็งมายังสวนโมกข์ ก็ขอให้ท่านทั้งหลายที่รู้จักสวนโมกข์ดูเอาเองก็แล้วกัน ที่ว่าไม่มีหลักปฏิบัติอะไรในสวนโมกข์นั้นไม่จริง เรามีหลัก เนื้อหลักทั้งหลายนั่นคือหลักที่ว่า อย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ หลักนี่หัวใจพุทธศาสนา รวบยอดในด้าน ในฝ่ายปฏิบัติ คำพูดที่ว่าอย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะ นั่นแหละเป็นหลักรวบยอดของการปฏิบัติ ที่ว่าอย่างอื่นนั้นเป็นหลักทฤษฎีสำหรับให้ปฏิบัติ สำหรับให้เอามาปฏิบัติ อย่าให้เกิดโง่ อย่าให้ทำผิดเมื่อมี ผัสสะ ผัสสะ ถ้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าโง่ใน ผัสสะ นั้นจนถึงกับว่าไปหลงในเวทนาที่เกิดมา ที่เกิดขึ้นมาสำหรับยินดีหรือยินร้าย นี่เราไม่โง่ใน ผัสสะ ก็ไม่โง่หลงในยินดียินร้าย ก็ไม่เกิดตัณหา เมื่อไม่เกิดตัณหาก็ไม่เกิดอุปาทาน มันก็ไม่มีภพไม่มีชาติที่จะทำให้เกิดทุกข์ ไม่ได้สอนแต่ทฤษฎี แต่ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะให้เกิดหลักปฏิบัติที่รัดกุม ขอฝากไว้ด้วยทุกๆ คนว่าหลักปฏิบัติรวบยอดในพุทธศาสนาตามกฎของ อิทัปปัจจยตา นั้น คืออย่าทำผิดเมื่อมี ผัสสะ ให้มีสติปัญญา กระทำถูกต้องในขณะที่มี ผัสสะ เสมอ เพราะสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ นั้นนะมันเกิดขึ้นแก่เราวันหนึ่งไม่รู้จักกี่ร้อยครั้งพันครั้งก็ได้ อย่าทำผิดเมื่อมี ผัสสะ มี สติสัมปชัญญะ มาทันท่วงทีเมื่อมี ผัสสะ ทำผิดไม่ได้ มันก็ไม่เกิดเวทนาสำหรับจะยินดียินร้าย มันก็ไม่เกิดตัณหา มันก็ไม่เกิดอุปาทาน นี่คือหลักปฏิบัติสูงสุดกว่าหลักใดๆ ทั้งสิ้น ขอยืนยันอย่างนี้
สวนโมกข์ไม่เน้นเรื่องศีลและสมาธิซึ่งเป็นบาทฐานของปัญญา เน้นแต่ปัญญาซึ่งเป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ มากกว่าที่จะปฏิบัติ นี่มันเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะต้องทราบนะ ไม่เน้นเรื่องศีลและสมาธิซึ่งเป็นบาทฐานของปัญญา เน้นแต่ปัญญา เราพูดถึงปัญญามากกว่าเพราะว่าถ้าเจริญปัญญาได้แล้วศีลและสมาธิมันอยู่ในตัวปัญญา ขอให้ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องมันจะมีศีลสมาธิอยู่ในตัวปัญญา ไม่แยกกัน แล้วมาเน้นแต่เรื่องศีลโดยไม่มีปัญญา ศีลโง่ ศีลหลับตา รักษาศีลจนตายก็ไม่มีศีล ระวังให้ดีนะ ถ้าปราศจากปัญญาแล้วรักษาศีลจนตายมันก็ไม่มีศีลหรอก มันต้องมีปัญญานำหน้าศีลมันจึงจะปฏิบัติศีลได้ถูกต้อง มันต้องมีปัญญานำหน้าสมาธิมันจึงจะเจริญสมาธิสำเร็จ ในเมื่อตั้งใจจะเจริญสมาธิมันก็มีศีลอยู่ในตัวสมาธิ คือการตั้งใจที่จะทำให้เป็นอะไรนั่นนะมันเป็นตัวศีล นี่การเจริญปัญญานั้นมันต้องมีสมาธิแน่ ไม่มีสมาธิมันไม่เป็นปัญญา ถ้าเจริญปัญญาแล้วมันจะมีสมาธิอยู่ในปัญญา แล้วก็มีศีลอยู่ในสมาธิ มันจึงเน้นไปที่ตัวปัญญาว่าจงประพฤติในกรณีของปัญญาให้ถูกต้อง นี่มันประหยัดได้มาก ไม่ต้องรักษาศีลจนตายแล้วก็ไม่มีศีลเลย เพราะมันไม่มีปัญญา
เขาสงสัยว่าทำไมคนอยู่ในสวนโมกข์จึงไม่โมกข์ พวกที่อยู่ในสวนโมกข์นี้ไม่โมกข์ โมกข์ แปลว่า เกลี้ยง หรือ หลุดพ้น ทำไมคนอยู่ในสวนโมกข์จึงไม่โมกข์ ก็เพราะว่าคนกล่าว คนพูดนั้นมันไม่รู้ว่า โมกข์ นี้คืออะไร มันไม่รู้จักโมกข์ แล้วมันก็ไม่รู้จักสวนโมกข์ แล้วก็มันพาลหาเรื่องว่าคนอยู่ในสวนโมกข์แต่ไม่โมกข์ ข้อนี้มันก็อาจจะมีส่วนจริงอยู่บ้างเหมือนกันนะ อยู่ในสวนโมกข์แล้วไม่โมกข์ แต่โดยปกติแล้วมันก็ต้องมีโมกข์ตามสมควร คือ หลุดพ้น หรือ เกลี้ยงเกลาตามสมควร เพราะว่าเราซักฟอกกันอยู่ทุกวัน มันก็ต้องมีโมกข์บ้างตามสมควร แต่คนกล่าวไม่รู้จักสวนโมกข์และไม่รู้จักโมกข์เสียเอง มันจึงมองไปในทางที่ว่าคนอยู่ในสวนโมกข์นั้นไม่โมกข์ เขาพูดว่าลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ดีแต่สั่งสอนผู้อื่นแล้วสั่งสอนกันเองไม่ได้ ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ตามที่เขาว่านะ ดีแต่สั่งสอนผู้อื่นแล้วสั่งสอนกันเองไม่ได้ หมายความว่าในสวนโมกข์นี่สั่งสอนกันเองไม่ได้ มีแต่คนเจ้าทิฐิมานะ นี่ก็ดูเอาเองก็แล้วกัน แต่อยากจะพูดว่าสั่งสอนผู้อื่นนั้นนะมันไม่ใช่หน้าที่กระมัง มัวแต่สั่งสอนผู้อื่นนั้นไม่ใช่หน้าที่กระมัง สอนตัวเองดีกว่ากระมัง เขาพูดกันว่าที่สวนโมกข์อยู่กันอย่างฤๅษีติดป่า ไม่กล้ายกพวกเข้าไปทำงานเป็นกลุ่มเป็นทีมในเมือง สวนโมกข์นี่อยู่กันอย่างฤๅษีติดป่า ไม่กล้ายกพวกออกไปทำงานในบ้านในเมือง เราก็อยากจะพูดว่า นี่เราเอาอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ยกทีมไปทำงานกันในเมือง แต่ทำให้ดีที่สุดที่ในที่อยู่ เรียกว่าในป่าก็แล้วกัน แต่ก็ไม่ได้ติดป่า ไม่ได้อยู่ป่าเพราะติดป่า อยู่ป่าเพราะว่าป่าอำนวยความสะดวกทั้งในการศึกษาทั้งในการปฏิบัติและการสอน ท่านมาเรียนมาสอนกันในป่าจะดีกว่ายกกองไปตั้งกองให้มีหน้ามีตาอยู่ในเมือง เขาพูดว่าพระในสวนโมกข์เป็นเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต เด็กที่ไม่รู้จักโต ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง มีแต่ลอกแบบเอาคำของอาจารย์ไปพูดไปสอนเสียตะพึด พระในสวนโมกข์เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต ไม่มีความรู้ของตนเองเพื่อจะไปสอนใคร ต้องเอาลอกแบบจากคำของอาจารย์ไปพูดไปสอนเสียตะพึด นี้ก็ดูเอาเองก็แล้วกัน มันมีคนที่ว่าออกไปจากสวนโมกข์เขาก็สอนได้ หลายคนด้วย บางทีจะรวมคนที่พูดประโยคนี้อยู่แล้วก็ได้ มันลืมไป มันยกหูชูหางมากเกินไป เขาพูดว่าธรรมะในสวนโมกข์นั้นดี แต่ผู้นำในการปฏิบัติตามนั้นไม่ค่อยจะมี ธรรมะที่สอนอยู่ในสวนโมกข์นี้ดี แต่ผู้นำในการปฏิบัติเช่นนั้นไม่ค่อยจะมี นี้เขาพูดถึงไม่มีผู้นำ เราไม่อยากเป็นผู้นำ เราไม่อยากเอาหน้าเอาตาว่าเป็นอาจารย์หรือเป็นผู้นำ เราจึงหลีกเลี่ยงการเป็นผู้นำไม่ทำตัวเป็นผู้นำ ต่างคนต่างก็ประพฤติปฏิบัติของตนไป เป็นกัลยาณมิตรแก่กันและกันก็พอแล้ว จะไม่ทำตัวเป็นผู้นำแก่ใครๆ
ทีนี้ถามว่า อาจารย์ประกาศว่าไม่มีลูกศิษย์ แต่ก็มีผู้อื่นแต่งตั้งคนนั้นคนนี้ให้เป็นลูกศิษย์ ขนาดเป็นศิษย์ก้นกุฏิก็มี อย่างนี้จะว่าอย่างไรครับ อาจารย์นี่ประกาศว่าไม่มีลูกศิษย์ แต่มีคนอื่นแต่งตั้งคนนั้นคนนี้จัดคนนั้นจัดคนนี้ให้เป็นลูกศิษย์ ก็ไปถามคนตั้งซิ อาตมาไม่ต้องตอบหรอก ไปถามคนตั้งเองก็แล้วกัน เขาตั้งใครเป็นลูกศิษย์ของอาตมา ก็ไปถามคนนั้นดีกว่า ถามว่าอาจารย์ประกาศว่าสวนโมกข์ไม่มีสาขา แต่ก็มีผู้จัดให้มีสาขาที่นั่นที่โน้นยุ่งไปหมด เราไม่มีสาขา ยังยืนยันว่าเราไม่มีสาขา ใครจะจัดว่าเป็นสาขาก็ตามใจเขา เขาจัดเขาเอง เราก็ยังคงไม่มีสาขา ไม่หมายมั่นอะไรที่ไหนว่าเป็นสาขา ไม่ยึดมั่นถือมั่นที่ไหนว่าเป็นสาขา คงไม่มีสาขาไปตามเดิม ถามว่าท่านอาจารย์ไม่ประกาศตัวเป็นอาจารย์ แต่ก็มีคนจัดให้เป็นอาจารย์จนยุ่งไปหมด อาจารย์ประกาศตัวว่าไม่ ไม่เป็นอาจารย์ ไม่ประกาศตัวว่าเป็นอาจารย์ แต่ก็มีคนจัดให้เป็นอาจารย์จนยุ่งไปหมด นี้มันหลับตาพูด เพราะว่าการเรียกว่าอาจารย์ อาจารย์ นี่มันเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้ว ไอ้ลูกเด็กๆ เพิ่งสอนเดิน สอนยืนมันก็เรียกอาตมาว่าอาจารย์ นี่ ตามคนที่เขาเรียกกันตามธรรมเนียม ตามประเพณี เราไม่ประกาศตัวเป็นอาจารย์ แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นอาจารย์ ไม่เหมือนกับบางคนที่มันมีโรคอยากจะเป็นอาจารย์จนขึ้นสมอง หรือมันอยากจะเป็นอาจารย์ มันมีโรคเป็นอาจารย์อยากเป็นอาจารย์จนขึ้นสมอง นี้มันก็ตั้งตัวเป็นอาจารย์ ตั้งตัวเองเป็นอาจารย์ อยากให้ใครทุกคนเรียกเขาว่าเป็นอาจารย์ มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าคำสอนของท่านอาจารย์นั้นดี แต่จะเชื่อได้ทุกคำหรือ ท่านอาจารย์อาจจะพูดผิดก็ได้ ข้อนี้นับว่าจริง อาจจะมีผิดก็ได้ แต่ได้ตั้งใจเจตนาดีที่สุดแล้วว่าจะไม่ให้ผิด ได้พยายามเป็นอย่างยิ่งแล้วว่าจะไม่ให้ผิด ก็ถือว่าทำผิดสอนผิดนี่ มันเป็นบาป ถ้าสงสัยว่าผิดก็ช่วยทดสอบ แล้วก็ช่วยบอก ยินดีที่จะฟังว่าสอนอะไร ผิดอย่างไร ที่ตรงไหน
เขาว่าท่านอาจารย์อธิบายธรรมะด้วยถ้อยคำมากไปด้วยปริยัติวกวนเยิ่นเย้อ สู้บางสำนักไม่ได้ สอนให้ปฏิบัติลัดสั้นเห็นผลทันตา ที่นี่สอนเยิ่นเย้อ บางสำนักสอนปฏิบัติลัดสั้นเห็นผลทันตา ผลคือบ้าเลย มันบ้า บ้าเลย เพราะไปปฏิบัติลัดสั้นเห็นผลทันตานั่นแหละ เราไม่กล้าทำอย่างนั้น เราก็จะต้องให้มันพอเหมาะพอดีเป็น มัชฌิมาปฏิปทา เขาว่าท่านอาจารย์กล่าวว่าคำว่า ธรรมะ ธรรมะ นั้นหมายถึงสิ่งที่เป็นกุศล อกุศล และ อพยากฤต ถ้าอย่างนั้นการประพฤติชั่วก็เป็นธรรม การปฏิบัติธรรมด้วยเหมือนกันหรืออย่างไร ถูกแล้ว อกุศลก็เป็นธรรมะ ปฏิบัติอกุศลก็เป็นการปฏิบัติธรรมะ แต่เป็นธรรมะที่เป็นอกุศล การประพฤติชั่วเป็นการปฏิบัติธรรมะที่เป็นอกุศล นี่เข้าใจว่าคงจะเข้าใจถูกกันมากแล้ว ก่อนนี้เขาใช้คำว่าธรรมะแต่ในความหมายที่ถูกต้อง ทีนี้เรามาบอกว่าธรรมะหมายถึงทุกสิ่ง กุศลก็ดี อกุศลก็ดี อพยากฤตก็ดี เรียกว่าธรรมะได้โดยเสมอกัน ปฏิบัติอย่างไรก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะทั้งนั้น แต่ต้องเติมคำว่ากุศล หรือ อกุศล หรือ อพยากฤต เข้าไปด้วยจึงจะถูกต้อง เขาว่าท่านอาจารย์แสดงธรรมะลึกเกินไปจนคนฟังไม่รู้เรื่อง นี่มันยังมาหาว่าลึกเกินไปอีกแล้ว เดี๋ยวว่าตื้นเกินไป นี่มันไม่อยู่กะร่องกะรอย ขอต่อว่า ได้พยายามให้ตื้นที่สุดแล้ว แต่คนฟังมันไม่รู้เรื่องอยู่นั้นเอง เพราะว่าจิตใจของเขาอยู่ลึกมากเกินไป เราพยายามทำให้ตื้น ทำของลึกให้ตื้นอยู่เป็นปกติ แต่เขาก็ฟังไม่ออก ไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะว่าจิตใจของเขามันอยู่ลึกก้นบึ้ง จมอยู่ลึกเกินไปเลยฟังไม่ถูก เขาพูดว่าท่านอาจารย์พุทธทาสบรรยายธรรมะไม่ทันสมัยเหมือนท่านอาจารย์ปัญญา ท่านนั่งอยู่นี่ลองถามดูสิ เขาพูดอย่างนี้นะ ก็จะตอบว่ามันอยู่คนละสมัยกันโว้ย มันทำไม่ เหมือนกันได้หรอก เราอยากจะมีสมัยเฉพาะ ที่จะนำสมัยเสียอีก อย่างนั้นอย่ามาพูดว่า ไม่ทันสมัย เขาพูดว่าท่านอาจารย์ไม่พูดถึงระบบการสอนและการปฏิบัติที่เหมาะกับยุคปัจจุบัน นี่เขาว่าสอนไม่เหมาะสมัยยุคปัจจุบัน มัวแต่พูดเรื่องยุคดึกดำบรรพ์ครั้งพุทธกาลซึ่งใช้อะไรไม่ได้กับยุคนี้ นี่มันเข้าใจผิด ทำอย่างนี้ก็เพื่อดึงคนยุคนี้ไปสู่ความถูกต้องนิรันดร ธรรมะถูกต้องนิรันดร ไม่ว่ายุคนี้หรือยุคดึกดำบรรพ์มันเป็น เป็นธรรมะ มันเป็นความถูกต้องนิรันดร เราจะดึงคนยุคนี้ไปสู่ความถูกต้องนิรันดร เราจึงต้องพูดถึงธรรมะแม้ในยุคปัจจุบัน ธรรมะนั้นนะมัน มันอยู่เหนือยุค มันเป็นกฎของธรรมชาติมีอยู่ก่อนสิ่งใด ไม่เป็นยุค ความจริงของธรรมชาตินั้นมันไม่เป็นยุคไม่เป็นสมัย มันเหมือนกันทุกยุคทุกสมัย นั้นพูดว่าธรรมะแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงยุคนั้นยุคนี่ มันเป็นธรรมะแล้วมันถูกต้องตลอดนิรันดรเหมือนกัน เราจึงพูดตามที่ควรจะพูด เพราะถ้าบางทีในยุคดึกดำบรรพ์นะมันชัดเจนดีก็เอามาพูดได้ทันทีเพื่อให้คนยุคนี้เข้าใจธรรมะได้ง่าย เขาว่าโบราณธรรม โบราณธรรม สมัยบุพกาลเป็นของเลวร้ายป่าเถื่อน แต่ท่านอาจารย์กลับเอามายกย่องว่าเป็นของดี คนนี้มันพูดว่าโบราณธรรมยุคบุพกาลโน้นเป็นของเลวร้ายป่าเถื่อน นี้มันไม่เข้าใจเสียเลยว่าถ้าเป็นธรรมะแล้วมันไม่เกี่ยวกับเวลา ของดีไม่เกี่ยวกับเวลา ธรรมะไม่เกี่ยวกับเวลา เป็น อกาลิโก ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ธรรมะที่เป็นของดีไม่เกี่ยวกับเวลา เพราะนั้นเราจะไม่มีการพูดว่าธรรมะโบราณเป็นของป่าเถื่อนเอามายกย่องว่าเป็นของดี ถ้าเป็นของดีมันก็ไม่ต้องเกี่ยวกับเวลา ธรรมะแท้ก็ไม่ต้องเกี่ยวกับเวลา อย่างที่พระองค์ตรัสว่า อกาลิโก อกาลิโก
เขาว่าท่านอาจารย์ชอบและส่งเสริมลัทธิเผด็จการ มันพูดอย่างนี้อยู่เสมอ เผด็จการนั้นนะอาตมาพูดอยู่เสมอว่ามันเป็นเครื่องมือ เผด็จการไม่ใช่ลัทธิ เผด็จการไม่ใช่อุดมคติ เผด็จการเป็นเพียงเครื่องมือ เอาไปใช้ในทางดีก็ได้ ไปใช้ในทางชั่วก็ได้ แต่ถ้าเผด็จการแล้วมันเร็วดี เพราะนั้นเราจงเผด็จการเพื่อผลอันเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งจงเผด็จการกับกิเลส และถ้าเป็นเรื่องของคนโง่ ในบ้านเมืองของคนโง่ ลัทธิเผด็จการนั่นแหละดีกว่า ถ้ามัวไม่ ถ้ามัวประชาธิปไตยมันก็ไม่มีใครที่จะได้รับผล นี่ในโลกที่โง่ ในบ้านเมืองที่คนมันโง่ไม่มีศีลธรรม เผด็จการดีกว่า คนพูดนั้นมันเป็นคนโง่ มันมีกิเลส มันกลัวเผด็จการ เราอย่ากลัวเผด็จการ มันเป็นวิธีการที่ช่วยให้เร็ว เมื่อมีความถูกต้องอย่างไรแล้ว เอาทันที เอาอย่างเผด็จการ ทำให้เสร็จทันที ทุกคนอย่าเนรคุณคำว่าเผด็จการ ทุกคนนะรอดตัวมาได้กับเผด็จการของพ่อแม่สมัยที่เรายังเล็ก เมื่อเรายังเล็กๆ นั่นนะเผด็จการของพ่อแม่นั่นนะช่วยให้เราเป็นผู้เป็นคนเป็นเนื้อเป็นตัวขึ้นมาได้จนบัดนี้ ไม้เรียวของพ่อแม่นั่นแหละคือเผด็จการ ทุกคนรอดตัวมาได้ด้วยการเผด็จการของพ่อแม่ พ่อแม่เขาเผด็จการด้วยความรัก ไม่ใช่เผด็จการของทรราช มันเอาเผด็จการไปใช้ผิด พ่อแม่มีความรักลูกเอาเผด็จการไปใช้ถูก ลูกมันจึงรอดมาได้ ถ้าพ่อแม่ไม่ใช้วิธีเผด็จการแล้วเราจะไม่ได้มาเป็นผู้เป็นคนกันอย่างเดี๋ยวนี้หรอก นี่ขอให้ ให้ความเป็นธรรมแก่คำว่าเผด็จการบ้าง เมื่อถูก เมื่อลงมติว่าถูกหรือเห็นว่าถูกแล้วก็รีบเผด็จการเถอะ มันจะได้ผลทัน ทันเวลา เขาว่าจุดอ่อนของอาจารย์อยู่ที่ยกย่องเผด็จการ แท้จริงนั้นเผด็จการไม่มีธรรมะ เพราะยึดหลักเผด็จการ เจ้าอาวาสทั้งหลายจึงมีการกระทำอย่างเผด็จการอยู่ทั่วๆ ไป รวมถึงท่านอาจารย์ด้วย เขาถือกันเป็นหลักว่าสงฆ์ต้องเป็นใหญ่ อาตมาว่าสงฆ์เผด็จการนั่นแหละดี ขอให้สงฆ์เผด็จการนะทำอะไรให้เฉียบขาดตรงไปตรงมานั่นแหละดี สงฆ์เป็นใหญ่นั่นเป็นเผด็จการก็ได้ อย่าเข้าใจว่าเป็นเรื่องเสมอภาคของคนมีกิเลส เผด็จการยังคงดีอยู่ถ้าใช้โดยมีธรรมะ ให้มีธรรมะเป็นสิ่งเผด็จการ เผด็จการโดยธรรมะนั่นแหละเป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านเคยใช้ในการปกครองหมู่สงฆ์ของท่าน พระพุทธเจ้านั้นท่านมีวิธีเผด็จการ ท่านยกพระองค์เองให้อยู่เหนือวินัยเหนือข้อกฎทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วก็ทำอย่างเฉียบขาดในคณะสงฆ์นั้น ท่านเผด็จการโดยธรรม ท่านมีธรรมเป็นเครื่องเผด็จการ เขาพูดว่าท่านอาจารย์ยังเห็นด้วยกับระบบโบราณในการลงโทษแบบเก่าคือ เฆี่ยนตี นี่ยอมรับว่าอาตมาเห็นด้วยว่าเมื่อจะเลี้ยงดูเด็กปกครองเด็กการเฆี่ยนตียังจำเป็น การเฆี่ยนตีนะยังจำเป็น และเด็กโง่มันก็ต้องเฆี่ยนตีไปตามสมควร การเฆี่ยนตีนี่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังจำเป็นอยู่ เราเห็นประจักษ์พยานว่าครอบครัวสมัยใหม่ที่ยังเฆี่ยนตีลูกอยู่นี่ช่วยลูกได้ทุกคน ที่ไม่นิยมระบบเผด็จการหรือเฆี่ยนตีนี้เหลวไหลทุกคน ลูกในตระกูลนั้นเหลวไหลทุกคน แม้จะจัดว่าเป็นตระกูลสูงตระกูลดี เขาว่าสวนโมกข์ไม่มีระเบียบเฉียบขาดอันที่ใช้บังคับสม่ำเสมอแก่ทุกคน ดูสิ มันพูดกลับไปกลับมา สวนโมกข์ไม่มีระเบียบเฉียบขาดที่ใช้บังคับอย่างสม่ำเสมอแก่ทุกคน เราไม่ใช้เฉียบขาดสม่ำเสมอแก่ทุกคน แต่เราใช้ระบบ อิทัปปัจจยตา ตามเหตุตามผลตามปัจจัยอย่างมีระเบียบ คนทุกคนไม่เหมือนกัน ถ้าไปทำให้เหมือนกันอย่างเดียวกันมันก็เป็นบ้าชนิดหนึ่งแหละ เพราะนั้นเราไม่อาจจะทำให้สม่ำเสมอเหมือนกันแก่คนทุกคน เพราะว่าคนทุกคนมันไม่เหมือนกัน เราจึงต้องใช้ระบบ อิทัปปัจจยตา ทำให้เหมาะแก่สิ่งนั้นตามเหตุตามปัจจัยของมัน ยังยืนยันว่าเราไม่อาจจะใช้ระบบเฉียบขาดสม่ำเสมอแก่คนทุกคน เรายังจะต้องใช้ระบบ อิทัปปัจจยตา สืบต่อไป
เขาว่าทำไมสวนโมกข์ไม่ห้ามผู้ที่แต่งกายไม่เหมาะสมเข้ามาในวัด เขาหมายถึงผู้หญิงที่เขาแต่งตัวชนิดที่มันไม่เหมาะสมที่จะเข้ามาในวัด เอาอำนาจไหนมาห้าม อย่างอาตมาเขาเรียกว่าเจ้าอาวาสนี่จะเอาอำนาจไหนมาห้ามคนที่นุ่งกางเกงตึงๆ เข้ามาในวัดนะ นั้นมันเป็นโสเภณีทางวิญญาณแล้วนะ พูดกับมันไม่รู้เรื่อง ไม่ไปห้ามดีกว่า ไม่ไปทะเลาะกับพวกโสเภณีทางวิญญาณ มีจิตใจชนิดที่จะยั่วคนทุกคน ไม่มีทางที่จะเชื่อฟัง ครั้งหนึ่งมีคนไปพูดแทนอาตมาว่า ที่สวนโมกข์นี่ไม่ให้คนที่นุ่งกางเกงเข้ามา ไม่ให้ผู้หญิงที่นุ่งกางเกงเข้ามา ต้องนุ่งผ้าทุ่งผ้าซิ่น เปล่าโว้ย เราไม่ได้ ไม่ได้ออกคำสั่งอย่างนั้น เราไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้น เขาว่าท่านอาจารย์เป็นนักเรียกร้องศีลธรรมในระดับประเทศ ว่านี่เป็นผู้เรียกร้องศีลธรรมในระดับประเทศ แต่ทำไมเด็กๆ รอบในหมู่บ้านรอบสวนโมกข์ยังไม่มีศีลธรรม แล้วยังเกลียดท่านอาจารย์ด้วย นี่มันเป็นเรื่องจริงเหมือนกันแหละ สอนศีลธรรมระดับโลกแต่เด็กๆ รอบสวนโมกข์ยังไม่มีศีลธรรม แล้วยังเกลียดท่านอาจารย์ด้วย มันจะทำอย่างไรได้เพราะว่ามัน มันไม่ยอมรับ มันไม่ยอมฟัง นี่มันทำได้เฉพาะผู้ที่ยอมรับยอมฟังและพูดกันรู้เรื่อง ในวัดของพระพุทธเจ้าเองยังมี พระเทวทัต ใช่หรือไม่ละ ทำไมสวนโมกข์ถ้าจะมีเด็กอันธพาลรอบๆ วัดไม่ได้ เพราะว่าในวัดของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ก็ยังมี พระเทวทัต มีคนตั้งข้อสังเกตว่า การที่ท่านอาจารย์พูดว่าในการริเริ่มโครงการใดๆ อย่าใช้วิธีทุ่มเงินและเชิดคน ผู้ที่อ้างตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ไม่เห็นด้วยและไม่ยอมปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ในข้อนี้ ก็ตามใจ แต่อาตมายังยืนยันว่าในการริเริ่มโครงการใดๆ อย่าใช้วิธีทุ่มเงินอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง อย่าวิธีเชิดคนนั้นเชิดคนนี้ ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ มันจะตรงกันข้าม มันจะมีผลตรงกันข้าม คนสมัยนี้เขาเห็นว่าต้องทุ่มเงินในการโฆษณา ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย แม้ในการเผยแผ่ธรรมะ อย่ามามัวยึดถือหลักที่ท่านอาจารย์ว่าอย่าทุ่มเงิน นี้เป็นไปไม่ได้ ข้อนี้ก็อยากจะพูดว่าในหลักการค้ากับการเผยแผ่ธรรมะนั้นไม่เหมือนกันทีเดียว ถ้าโดยหลักการค้าทุ่มเงินทุ่มทุนอะไรก็ได้ แต่ในหลักการเผยแผ่ธรรมะนั้นจะไม่ทำอย่างนั้น จะไม่ทุ่มเทเงินในการโฆษณาธรรมะเหมือนกับโฆษณาสินค้า อย่าเอาการค้ามาใช้กับการเผยแผ่ธรรมะ เขาว่าท่านอาจารย์เป็นคนอย่างไรจึงพูดว่ายมบาลจะตีกบาลคนที่ใช้เงินหรือเวลาไม่คุ้มค่า ผู้ฟังคิดเอาเองก็แล้วกันว่าท่านอาจารย์เป็นคนอย่างไร จึงพูดว่าระวังอย่าใช้เงินหรือเวลาไม่คุ้มค่า ยมบาลจะตีกบาลเอา นี้พูดมาหลายปีเต็มที ว่าถ้ามาสวนโมกข์แล้วไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่ามา ก็อยู่ในพวกยมบาลจะตีกบาลด้วยเหมือนกัน ให้สนใจในข้อนี้มากกว่า เพราะนั้นก็มีคนละเลงเงิน ใช้เงินอย่างละเลงเงินและได้ผลไม่คุ้มค่าอยู่ทั่วๆ ไป ไม่ยกเว้นแม้ในเรื่องวัดวาอารามสร้างวัดสร้างโบสถ์สร้างอะไรก็ตาม เสียเงินเป็นล้านๆ แล้วได้ผลไม่คุ้มค่า อย่างนี้แล้วต้องถูกยมบาลตีกบาลด้วยเหมือนกัน แม้ว่าจะสร้างโบสถ์ ด้วยเงินมากมายแล้วได้ผลไม่คุ้มค่า สร้างโบสถ์ไว้ปิด สร้างโบสถ์ไว้ทำอะไรก็ไม่รู้ มีผู้สันนิษฐานว่าท่านอาจารย์คัดค้านระบบการแต่งตั้งสมณศักดิ์ แล้วอาจารย์ก็ยังรับสมณศักดิ์ เอาอะไรมาพิสูจน์ว่าอาตมารับสมณศักดิ์ คัดค้านการแต่งตั้งสมณศักดิ์นี่ก็ไม่จริง ไม่ได้คัดค้าน แต่บางทีก็พูดเหมือนกันแหละว่ามันจะไม่ถูกเรื่อง บางทีการแต่งตั้งนั่นทำให้เสียหาย ทำให้ยุ่งยากลำบาก เขาแต่งตั้งมาโดยที่เขาไม่ได้ถาม เขาแต่งตั้งมาทั้งนั้นแล้วเราก็ไม่ได้ไปขอ เขาก็แต่งตั้งมาทั้งนั้น แล้วเราจะไปคัดค้านไปเวนคืนนี่เราก็เป็นคนบ้าเอง มีคนชวนอาตมาทำอย่าง เพราะทำด้วยกันกับเขาว่าเอาพัดยศนี่ไปคืน อาตมา กูไม่บ้ากับมึง มึงไม่ต้องเอาไปคืน เอาเก็บไว้ที่นี่ก็ได้ เขาให้มาเอง ฉันเป็นราชาคณะ เป็นเจ้าคุณนี่เขาเรียกว่าเป็นราชาคณะ เมื่อคนนั้นมันไม่รู้ว่าเป็นราชคณะนั่นคืออะไร คำว่าราชาคณะนี่ดีมาก หรือมันจะได้เกิดขึ้นตั้งแต่รัชกาลต้นๆ และเน้นมากในรัชกาลที่ ๔ ว่าราชาคณะคือเป็นคณะของพระราชา ในการช่วยกันปราบ อลัชชี พระราชาคณะนี่เขาเพิ่งแต่งตั้งกันเมื่อพระราชาสู้ไม่ไหว พระราชาคนเดียวปราบอลัชชีในพุทธศาสนาไม่ไหว จึงตั้งระบบราชาคณะขึ้นมาช่วยพระราชาในการปราบอลัชชี อาตมายินดีถ้าได้ทำงานอย่างนี้ ทำหน้าที่อย่างนี้ยินดี ไม่เกลียดระบบการแต่งตั้งราชาคณะ อาตมาเป็นราชาคณะในความหมายที่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือ พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา ต่อต้านสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่พุทธศาสนา นี่คือราชาคณะในความหมายที่ถูกต้อง พระราชาคณะทั้งหลายจงทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องสมกับคำว่าราชาคณะ คือช่วยพระราชาปราบอลัชชี เดี๋ยวนี้ใครทำกันกี่คน ยังมีการถูกกล่าวหาว่าพระราชาคณะบางคนเป็นอลัชชี อลัชชีเสียเอง นี่ เรื่องมันก็เลยยุ่ง เราไม่ต้องต่อต้านคัดค้านระบบสมณศักดิ์ เพราะเขามุ่งหมายอย่างนี้แหละ พระราชาคณะทุกองค์มีหน้าที่ช่วยพระราชาปราบอลัชชีหรือว่าทำกิจของพระศาสนา ร่วมมือกับพระราชาให้เกิดการก้าวหน้าในการทะนุบำรุงพระศาสนา
เขากล่าวหาท่านอาจารย์ไม่ร่วมมือในการต่อต้านการกระทำของพวกคริสต์ที่กำลังกระทำอยู่ ท่านอาจารย์เป็นผู้ไม่เห็นแก่ศาสนา ไม่เจ็บร้อนแทนศาสนา นี้ไม่จริง อาตมาก็ได้พูดไปพอสมควรแล้ว ที่จะหยุดยั้งการกระทำที่ไม่เป็นธรรม เราฟังวิทยุวันอาทิตย์ที่ ๓ ของเดือนสี่ห้าครั้งที่แล้วมา แล้วไปวินิจฉัยดูเอาเองว่าอาตมาเห็นแก่ศาสนา เห็นแก่พุทธศาสนาหรือไม่แก่พุทธศาสนา เจ็บร้อนแทนหรือไม่เจ็บร้อนแทน แต่คำว่าเจ็บร้อนนี่มันมากไปหน่อย มันเป็นเรื่องของกิเลสมากไปหน่อย เอาแต่ว่าทำหน้าที่ที่ควรกระทำเพื่อความคงอยู่อย่างผ่องใสของพระศาสนา มีคนกล่าวหาท่านอาจารย์ว่าท่านอาจารย์ได้กล่าวหากลุ่มผู้ต่อต้านชาวคริสต์ว่ากระทำไปอย่างตื่นตูม นี่มีคนโกรธ อาตมาไม่ได้พูดว่าทำอย่างตื่นตูม นะ แต่พูดว่า ระวังอย่าทำอย่างตื่นตูม นี่ อย่างนี้มันไปพลิกไปนิดเดียว อาตมาว่าเมื่อชาวคริสต์เขาๆ เขารุกรานมาอย่างนี้พวกเราอย่าต่อต้านอย่างตื่นตูม อย่าตื่นตูมแล้วรับการต่อต้าน ไม่ใช่ไปด่าใครพวกไหนที่ว่าเขาต่อต้านอย่างตื่นตูม ที่จริงมันก็มีไอ้คนที่ต่อต้านอย่างตื่นตูมไม่มีสติสัมปชัญญะมันก็มี แต่อาตมาก็ไม่ไปว่าเขาหรอก เพียงแต่เตือนว่าอย่าต่อต้านอย่างตื่นตูม มันจะไม่สำเร็จ เขาว่าการบรรยายเรื่องพระเจ้าที่ท่านอาจารย์กำลังกระทำอยู่นั้นกลับเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายชาวคริสต์ แทนที่จะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายชาวพุทธ ข้อนี้ไม่จริง ชาวคริสต์เขามีพระเจ้าอย่างอื่น อาตมาพูดถึงพระเจ้าอย่างอื่น พระเจ้าที่แท้จริงที่ชาวพุทธ นะมันจะต้องมีหรือควรจะมี คือ พระเจ้าอิทัปปัจยตา นั่นนะจริงกว่าสูงสุดกว่าพระเจ้าในลัทธิศาสนาไหนหมด เมื่อพูดออกไปอย่างนี้จะเป็นการได้เปรียบแก่ฝ่ายชาวคริสต์อย่างไร ไปดูเอาเอง ความมุ่งหมายส่วนใหญ่ต้องการให้ทุกคนทั้งโลกเลยเข้าถึงพระเจ้าที่แท้จริงของชาวพุทธต่างหาก คนเขาว่าศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า แต่ท่านอาจารย์ว่ามีพระเจ้า แย้งกันอย่างนี้ ท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นชาวคริสต์ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะอาตมาว่ามีพระเจ้า พระเจ้านั่นมี คนนั้นนะมันพูดโกหกเอง มันพูดว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ทุกวัน แล้วมันพูดข้าพเจ้าไม่มีพระเจ้านี่มันก็โกหกอยู่ในประโยคที่พูด ข้าพเจ้าไม่มีพระเจ้า ใครฟังถูก ปฏิญาณตัวเป็นข้าของพระเจ้าแล้วบอกว่าไม่มีพระเจ้า นี่ทั้งประเทศเลย ภาษาหนังสือก็ดี ภาษาพูดจาก็ดีพูดกันว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทั้งนั้นแหละ แสดงว่ามันเป็นข้าของพระเจ้า แล้วปฏิเสธว่าฉันไม่มีพระเจ้า มันก็คนโกหกซึ่งหน้า ไม่ต้องไปพูดกับมัน ระวังนะ ชาวพุทธไม่มีพระเจ้า แต่ชาวพุทธก็พูดว่าข้าพเจ้าข้าพเจ้า ก่อนนี้ก็เคยมีพระเจ้า ให้เขายืมไปใช้จนตัวเองไม่มีจะใช้ แล้วเกิดหลงผิดว่าไม่มีพระเจ้า คนที่ไม่มีพระเจ้านะระวังนะจะเลวกว่าสุนัขนะ เพราะว่าสุนัขมันมีพระเจ้านะ ไอ้สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดนะมันมีสิ่งสูงสุดที่มันกลัว เคารพสูงสุดนั่นนะคือพระเจ้าของมัน สุนัขก็มีพระเจ้า คือสิ่งสูงสุดที่มันต้องเคารพและกลัว นี้คนจะไม่มีพระเจ้าก็ว่าไม่ดี เดี๋ยวจะเลวกว่าสุนัขนั้น
แล้วเขาว่าท่านอาจารย์มองอะไรในแง่ดีเกินไปจนเห็นว่าอารยธรรมอื่นศาสนาอื่นก็ดีไปหมด มันดีจริงอย่างนั้นหรือ อาตมาก็มีหลักที่จะมองอะไรแต่ในแง่ดี เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา เรามองแต่ในแง่ดีเท่านั้นแหละ นี่ยอมรับว่าเป็นอย่างนี้จริง มองอะไรมองแต่ในแง่ดีมันมีประโยชน์ มองในแง่ร้ายมันเสียหาย ไม่มีประโยชน์ จะมองอารยธรรมอื่นมองศาสนาอื่นก็จะมองแต่ในแง่ที่มันดี ทุกอารยธรรมทุกศาสนามันมีดีมีแง่ดีตามสัดส่วนของเขา ไม่มีที่จะเลวหมดนะ ไม่มี มันต้องมีส่วนที่ดีตามสัดส่วนของเขา เราก็เลือกมองเอาแต่ในส่วนที่ดี หรือในแง่ที่ดีก็แล้วกัน อาตมาถือหลักอย่างนี้ เขาว่าจุดอ่อน จุดอ่อนของท่านอาจารย์อยู่ที่ไม่เข้าใจจริยธรรมของพวกตะวันตก จึงเอาเรื่อง อนัตตา ไปสอนแก่พวกตะวันตก ซึ่งเขาต้องการจะมีอัตตาอย่างสูงสุดคือพระเจ้า เขาว่าอาตมามีความโง่ มีจุดอ่อน เที่ยวเอาเรื่องอนัตตาไปสอนให้แก่ชาวตะวันตกที่ต้องการจะมีอัตตาสูงสุดคือพระเจ้า ก็ตอบว่านี่คือ จุดแข็งของพุทธทาส จะทำอย่างนี้เสมอไป ไม่ใช่จุดอ่อน จะสอนให้คนทั้งโลกมองเห็นว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน ไม่มีอัตตาแท้จริงสูงสุดอะไร มีแต่สิ่งที่เป็นอนัตตา เพราะว่าจะยึดมั่นถือมั่นให้เป็นอัตตาไม่ได้ จึงตั้งใจจะสั่งสอนเรื่องอนัตตาให้ทั่วโลก เขาว่าธรรมะที่ท่านอาจารย์สอนนั้นดี แต่ไม่เหมาะกับคนที่ท้องยังหิวอยู่ นี่จะได้ยินมากที่สุดโดยเฉพาะในเมืองหลวงในถิ่นที่เจริญนั่นแหละ เขาพูดยืนยันว่าถ้าท้องยังหิวก็จะมีธรรมะไม่ได้ นี้มันมีหลับ มันหลับตาพูด ที่ท้องมันหิวก็เพราะมันไม่มีธรรมะ มันไม่มองย้อนกลับไปสักนิดว่าที่ท้องกำลังหิวอยู่เวลานี้ก็เพราะว่ามันไม่มีธรรมะ ถ้ามันมีธรรมะบ้างเท่านั้นแหละจะไม่เกิดอาการที่ว่าหิว เพราะว่าธรรมะช่วยให้ทำงานสนุกเป็นสุขเมื่อทำการงาน ทำงานได้มากมันก็เหลือกินเหลือใช้ มันก็ไม่ต้องหิว เดี๋ยวนี้มันไม่มีธรรมะ มันเกลียดการทำงาน มันว่าไปขโมยดีกว่า คนที่ไม่ๆ ไม่ๆ ชอบการงาน ไม่รักการงานมันก็ไม่พอกินพอใช้ มันก็ยังหิว แล้วมันก็มาโทษใส่ความว่าธรรมะเป็นเหตุให้ยากจน เป็นเหตุให้หิว นี้มันไม่ยุติธรรม ความจริงมันมีอยู่ชัดๆ แล้วว่าที่เขาหิวนั่นนะเพราะว่าเขาทำผิด ไม่มีธรรมะ พอไม่มีธรรมะท้องจึงต้องหิว ธรรมะเท่านั้นนะที่จะแก้หิวได้ ทั้งทางกาย ทั้งทางวิญญาณ หิวทางกายแก้ได้ด้วยธรรมะช่วยให้ทำงานสนุก มีกินมีใช้ ไม่ต้องหิว หิวทางวิญญาณคือกิเลส ก็ต้องเอาธรรมะมาทำให้มันอิ่ม แม้แต่ศาสนาคริสเตียนนะพระเยซูก็ยังกล่าวว่า ชีวิตไม่ได้เป็นอยู่ด้วยข้าวปลาอาหาร ชีวิตต้องเป็นอยู่ด้วยถ้อยคำของพระเจ้า คือ ธรรมะ ถ้าชาวพุทธจะมาโง่ถึงขนาดว่าเอาแต่เรื่องปากเรื่องท้องไม่มีธรรมะกันแล้วมันก็จะเลวกว่าชาวคริสต์ไปเสียนั่น ระวังให้ดี เรื่องหิวหรือเรื่องไม่หิวนี่จะต้องรู้จักให้ดี ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง มิฉะนั้นมันจะต้องหิวยิ่งไปกว่าเดิมเสียอีก
เขาหาว่าท่านอาจารย์แสดงธรรมะไม่ถูกกาลเทศะ จะถามว่าไม่ถูกกาลเทศะของใคร ไม่ถูกกาลเทศะของคนพูดนั่นนะ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นประมาณไม่ได้ เอาให้ถูกกาลเทศะของโลกยุคปัจจุบันที่กำลังมีความทุกข์อย่างยิ่ง กำลังดำเนินไปผิดอย่างยิ่ง นี่แสดงธรรมทั้งหลายเพื่อให้ถูกกาลเทศะของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบันที่กำลังทำผิดในทางธรรมะอย่างยิ่ง ขอตั้งข้อสังเกตว่าท่านอาจารย์เป็นพระที่พูดเรื่องการเมือง วิพากษ์วิจารณ์สังคมร่วมสมัย ซึ่งผิดระเบียบประเพณีของพระหรือนักศีลธรรมทั่วๆ ไป และผิดกฎคณะสงฆ์นั่นด้วย นี่มันไม่เข้าใจคำว่าการเมือง กฎคณะสงฆ์มีห้ามไม่ให้พระเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง คือไม่ให้ไปเล่นการเมือง แต่ศีลธรรมที่จะช่วยให้บ้านเมืองดีนั่นนะมีสิทธิมีหน้าที่ที่จะต้องสอนศีลธรรมชนิดนั้นแก่นักการเมือง ดังนั้น เราจึงพูดศีลธรรมแก่นักการเมืองทุกคนที่มาที่นี่ จะเป็นข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำอะไรก็ตามอาตมาจะพูดว่า มันสำคัญอยู่ที่ศีลธรรมกลับมา ถ้าศีลธรรมไม่กลับมาแล้วเราไม่อาจจะแก้ปัญหาอะไรๆ ได้เลย ปัญหาเศรษฐกิจก็ดี ปัญหาการปกครองก็ดี ปัญหาทุกชนิดแหละที่กำลังมีอยู่ในโลกนี่มันมาจากความไม่มีศีลธรรม นักการเมืองไม่ดีนี่มันก็ทำลายหมดแหละ เพราะว่าเขามีอำนาจในการออกกฎหมายหรือบังคับบัญชารัฐบาล ถ้านักการเมืองไม่ดีมันก็วินาศนะ เพราะนั้นเรามีหน้าที่ที่จะเกี่ยวข้องกับนักการเมืองเพื่อให้เป็นนักการเมืองที่ดี ใครสามารถแยกธรรมะออกจากการเมืองได้ ไม่เห็น มองไม่เห็น ใครคนไหนสามารถแยกธรรมะออกจากการเมืองได้ เพราะว่าการเมืองที่ถูกต้อง ที่ถูกต้อง ที่บริสุทธิ์มันก็เป็นธรรมะอยู่เอง เป็นศีลธรรมอยู่เองในตัวการเมืองที่ถูกต้องที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่การเมืองโกงอย่างเดี๋ยวนี้ ใครจะแยกธรรมะออกจากการเมืองได้ มองไม่เห็น หรือคณะสงฆ์ก็ต้องการให้ภิกษุสงฆ์เราสอนศีลธรรมแก่นักการเมือง เพราะนั้นเราไม่ได้ผิดกฎคณะสงฆ์ในข้อนี้ มีคนเขาถามว่าท่านอาจารย์นี่สอนการเมืองหรือสอนธรรมะกันแน่ อาตมาบอกว่าสอนการเมืองที่บริสุทธิ์ว่าเป็นธรรมะ ธรรมะของสังคมคือการเมืองที่บริสุทธิ์ นักการเมืองทั้งหลายกระทำกันอย่างถูกต้องและบริสุทธิ์นั่นนะคือธรรมะของสังคม เราสอนธรรมะนี้จะเรียกว่าสอนการเมืองด้วยก็ได้ ตามใจ สอนการเมืองที่บริสุทธิ์มันเป็นอันเดียวกับธรรมะ แยกกันไม่ได้ ถามว่าทำไมท่านอาจารย์ยังอ่านหนังสือพิมพ์และฟังข่าววิทยุอยู่ นี่ นี่อาตมาก็ยอมรับว่าจริง อาตมายังอ่านหนังสือพิมพ์และฟังข่าววิทยุอยู่ ที่ยังอ่านหนังสือพิมพ์และฟังวิทยุอยู่นั่นก็เพื่อให้รู้ว่าพวกเธอกำลังบ้ากันไปถึงไหน ฉันควรพูดกับพวกเธออย่างไร นี่ ถ้าไม่ให้ฉันอ่านหนังสือพิมพ์และฟังวิทยุบ้างแล้วฉันจะไปรู้หรือว่าจะพูดกับพวกเธออย่างไร เพราะฉะนั้นขอโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์บ้างฟังข่าววิทยุบ้าง
เขาหาว่าท่านอาจารย์ไม่ส่งเสริมการทำวิปัสสนาในสวนโมกข์ ขอตอบว่าคนกล่าวนั้นมันไม่รู้จักวิปัสสนาแบบสวนโมกข์ มันรู้จักแต่วิปัสสนาแบบอื่น มันจึงว่าในสวนโมกข์ไม่มีการสอนวิปัสสนา วิปัสสนาแบบสวนโมกข์นั่นมันอาจจะไม่เหมือนที่อื่นก็ได้ ที่ไม่ต้องออกท่า ออกท่าออกทางเหมือนกับรำมวยหรือว่ายกมือยกไม้เหมือนกับคนเพ้อหรือคนละเมอ วิปัสสนาสวนโมกข์นี่มันจะเงียบกริบจนใครมองไม่ออกว่าได้ทำอะไรอยู่ และเชื่อว่าวิปัสสนาในยุคพุทธกาลก็เหมือนกัน ถ้าใครเข้าไปในวัดของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาลจะไม่ได้เห็นภาพพระที่เที่ยวเดินยกขายกแขนยกมือบิดมือแกว่งมืออะไรอย่างที่เขาต้องการจะให้มันเป็น นั้นเราทำไม่ได้หรอกที่จะเข้ามาถึงแล้วให้เห็นกิริยาอาการอย่างนั้นที่สมมติกันว่าเป็นการทำวิปัสสนา อย่างนี้เราทำไม่ได้ ผู้ที่มาให้เป่ากระหม่อมบางคนแย้งว่า ถ้าอาจารย์เป่ากระหม่อมไม่เป็น พรมน้ำมนต์ไม่เป็นแล้วอาจารย์จะเป็นพระได้อย่างไร ขอเป็นพระแบบไม่เป่ากระหม่อม ขอเป็นพระชนิดที่พรมน้ำมนต์ไม่เป็น นี่ พระแบบอย่างนี้ พระแบบที่เป่ากระหม่อมไม่เป็น มีคนก้มหัวเข้ามาให้เป่ากระหม่อม เราไม่ต้องเป่าหรอก มันดีอยู่แล้ว ฉันไม่เป่าให้สกปรกหรอก บางคนเข้าใจว่า บางคนนะคนอื่นเขาเข้าใจว่าท่านอาจารย์เป็นอริยะ เป็นอรหันต์ แต่บางคนว่าเป็นเพียงนักคิดผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง อย่างนี้ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไร อาจารย์จะตอบว่าไม่อยากเป็นอะไรทั้งนั้น แม้แต่อรหันต์ก็ไม่อยากเป็น นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่อยากเป็น อยากจะอยู่ว่างๆ นี่ ฝรั่งบางคนว่าท่านอาจารย์เป็นผู้ปฏิรูปพุทธศาสนาคนที่ ๒ รองจากนาคารชุน ท่านอาจารย์จะว่ายังไง ตอบว่าไม่ต้องว่าอะไร นานาจิตตัง ใครจะคิดอย่างไรก็ได้ เป็นเรื่องของแต่ละคน ต่างคนต่างคิด เขาว่าอะไร ว่าเป็นอะไรก็ตามใจเขา อาตมาขอไม่เป็นอะไร ขอไม่ต้องเป็นอะไร นี่ มีผู้แสดงความรู้สึกส่วนตัวว่าท่านอาจารย์เป็นอรรถกถาจารย์แห่งยุคปรมาณู เป็นอรรถกถาจารย์ผู้อธิบายธรรมะแห่งยุคปรมาณู เขาเห็นว่าอาตมาอธิบายอะไรมันโลดโผน ผิดคน จนคนเขาฟังไม่ถูก มันเลยเรียกว่าอรรถกถาจารย์แห่งยุคปรมาณู ตอบว่าเป็นอรรถกถาจารย์ชนิดนั้นก็ไม่ดีไปกว่าเป็นพุทธทาส ฉันขอเป็นพุทธทาส ไม่ต้องสนใจ เขาหาว่าท่าน ท่านอาจารย์กระทำตัวเสมือนหนึ่งว่าเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจหลักพุทธศาสนาอย่างถูกต้องแต่ผู้เดียว มีคำว่า แต่ผู้เดียว อาตมาก็ขอยึดเอาเลยว่า ผู้เดียวจริงจริงนะ เพราะมันไม่เหมือนใคร ผู้เดียวชนิดที่ไม่เหมือนใคร ขอเป็นผู้เข้าใจธรรมะหรือพุทธศาสนาอย่างถูกต้องของตนแต่ผู้เดียว คือไม่ให้มันเหมือนใคร แล้วก็ไม่ต้องการจะเหมือนใคร ขอสงวนความเป็นผู้เดียวไว้อย่างนี้ มันจะถูกหรือมันจะไม่ถูกนี่ มันก็เป็นเรื่องของ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ มันจะเห็นเหมือนกันทุกคนไม่ได้ อ้าว, มีผู้พูดว่า มีมหาเถระซึ่งเป็นที่เชื่อถือของมหาชนเขาพูดว่า หนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสและท่านอาจารย์ปัญญาล้วนแต่เป็น มิจฉาทิฏฐิ มอมเมาประชาชน ใช้คำว่า มอมเมาประชาชน ให้เมาอะไร ให้เมาอะไร ถ้าเมาธรรมะมันก็ยิ่งดีกว่าไม่เมาอะไรนะ นี่เราเป็น มิจฉาทิฏฐิ ก็แต่ในสายตาของคนชนิดนั้นผู้มีความอาฆาตเคียดแค้นเพราะเราพูดไม่เหมือนเขา เขาก็เลยจัดให้เราเป็น มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ ในสายตาของคนนั้น ไม่ใช่ มิจฉาทิฏฐิ ตามหลักแห่งพุทธศาสนา เราต้องการจะทำลาย มิจฉาทิฏฐิ ให้เกิด สัมมาทิฏฐิ นี้เป็นหลักการ เป็นจุดประสงค์ความมุ่งหมาย
เขากล่าวหาว่าท่านอาจารย์แสดงธรรมชอบเน้นแต่ว่าคนอื่นโง่ นี้อาตมาก็พูดบ่อยจริงเหมือนกัน ว่าคนไอ้โง่มันต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น ยอมอย่างหนึ่งไม่ได้ล่ะที่ว่าเน้นเฉพาะคนโง่ก็เพื่อให้มันหายโง่ เน้นลงไปบนคนโง่ก็เพื่อให้มันหายโง่ มันจะได้เป็นพุทธะ พุทธบริษัท หายโง่ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะนั้นการที่ไปจ้ำจี้จ้ำไชใครว่าเป็นคนโง่ก็เพื่อจะให้เขาหายโง่ เรื่องนี้คงจะเปลี่ยนไม่ได้ บอกเสียล่วงหน้าว่าเรื่องนี้คงจะเปลี่ยนไม่ได้ หรือว่าปากมันเคยชินเสียแล้วมันก็จะต้องพูดออกมาทันทีที่จิตมองเห็นว่าคนนี้มันไม่น่าจะทำอย่างนั้นเลย มันควรจะทำอะไรถูกให้ดีกว่านั้น ก็เรียกเขาว่าคนโง่ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าท่านอาจารย์แสดงธรรมด้วยถ้อยคำกระด้างหยาบคาย ถึงกับว่าพระเณรก็โง่ นี่ คล้ายอาตมาว่าพระเณรในวัดก็โง่ ก็เคยพูดว่า มี มันมี พระเณรที่ยังโง่มันมีอยู่จริงๆ แล้วจะให้พูดว่าอย่างไร เราเป็นผู้ขูดเกลาความโง่ของผู้ที่เราพอจะช่วยได้ เพราะนั้นเราก็ต้องขูดเกลาความโง่ของคนโง่เท่าที่เราจะช่วยได้ต่อไปตามเดิม ขอรับประกันว่าจิตไม่ได้กระด้างหยาบคายเลวทรามถึงขนาดนั้น ปากพูดอย่างใจพูดอย่าง ปากด่าเขาแต่ในใจรักเขา สงสารเขา กรุณาเขา คำพูดมันจึงหลุดออกไปแปลกๆ ขอให้เข้าใจไว้เสียด้วย มีนักศึกษานะนักศึกษา ปัญญาชน กล่าวหาท่านอาจารย์เรียกร้องศีลธรรมแต่ปากอยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่ลงมือลงไม้กันจริงๆ เสียที ว่าเรียกร้องศีลธรรมให้กลับมาอยู่บนหอคอยงาช้าง ก็หมายถึงว่า ไม่เอาจริงอยู่ ทำงานอยู่แต่บนที่ที่สบาย นี้ไม่จริง เราได้พยายามจนถึงเกิดการกระทบกระทั่ง เดี๋ยวนี้มันก็เป็นผู้เรียกร้องไปก่อน เพราะมันยังทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ ขอเป็นผู้เรียกร้องไปก่อน จะเรียกร้องเรียกร้องจนถึงกว่าเมื่อไหร่จะจับตัวเอามาถลกหนังหัว นี่มันยิ่งกว่าเรียกร้อง ไอ้คนโง่นี่ถ้าเพียงแต่เรียกร้องไม่พอมันก็ต้องจับตัวมาถลกหนังหัว มันก็จะได้เกิดการเปลี่ยนแปลง มีนักศึกษาเขากล่าวอย่างนั้น เป็นนักศึกษาชนิดไหนก็ไม่รู้ แล้วมองดูอาตมาว่า อยู่บนหอคอยงาช้าง ยิ่งไปกันใหญ่ มีนักศึกษากล่าวว่าท่านพุทธทาสเกิดและเจริญอยู่ในสังคมชนบทจะเอาความรู้ที่ไหนมาแก้ปัญหาสังคมเมือง คนเมืองนี่ไม่ใช่คนโง่ที่ไปจากชนบทเหรอ คนที่ไปอยู่ในเมืองนั่นมันก็เป็นคนโง่ที่ไปจากชนบท มันก็ลูกหลานของคนโง่ที่ไปจากชนบท มันก็ไม่รู้จักชนบทว่าชนบทมีดีอะไร ยกเอาการอยู่ในเมืองมาข่มขี่กันอยู่ที่ชนบท มีคนกล่าวหาอย่างนี้ ว่าท่านพุทธทาสมัวแต่เป็นทาส เดี๋ยวนี้เขาเลิกเป็นทาสกันแล้ว อาตมาก็บอกว่าขอสมัครเป็นทาสอย่างยิ่งของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ยอมเป็นทาสของ คาร์ล มาร์คซ์ เหมือนที่นักศึกษาเขายอมเป็นทาสกัน นักศึกษาเมืองไทยฝ่ายซ้ายนี่เขาเป็นทาสสติปัญญาของ คาร์ล มาร์คซ์ มาร์คซิลต์ นั่นไม่ใช่ทาสเหรอ นั่นเป็นทาสหนักกว่าที่อาตมาเป็นทาสของพระพุทธเจ้าเสียอีก ขอสมัครเป็นพุทธทาสต่อไป มีนักศึกษากล่าวว่า สมัยนี้เขาเลิกทาสกันแล้ว แต่ท่านพุทธทาสยังสมัครเป็นทาสอยู่อย่างเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี นี้ก็ตอบอีกอย่างเดียวกันว่าเป็นทาสพระพุทธเจ้าดีกว่าเป็นทาสของไอ้มาร์คซิสต์ เพราะเป็นทาสอย่างไม่รู้สึกตัว คำว่าเป็นทาสนั้นไม่มีอะไรหรอก มันเพียงแต่ทำงานจริงๆ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตามอุดมคติของผู้ที่เราสมัครตัวเป็นทาสของท่าน
นักศึกษากล่าวว่าท่านพุทธทาสไปหลงบูชาลัทธิที่แก้ปัญหาเฉพาะตัว ไม่บูชาลัทธิที่แก้ปัญหาของสังคม นักศึกษานี้มันเป็นทาสปัญญาของคอมมิวนิสต์หรือของมาร์คซิสต์ เขาก็คุยว่าเขาจะถือลัทธิแก้ปัญหาของสังคม ให้เราไปถือลัทธิของพระพุทธเจ้าแก้ปัญหาเฉพาะตัว นี่มันกล่าวตู่พระพุทธเจ้าอย่างยิ่งเลย แสดงว่าคนนี้มันไม่เคยเรียนพุทธศาสนา ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ที่ประกาศพระองค์ว่าเราเป็นผู้ประพฤติประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์นี่ นี่เป็นสังคมที่กว้างใหญ่กว่าสังคมที่คนนี้มันรู้จัก สังคมทั้งเทวดาและมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายอย่างนั้น อย่าไม่ตู่พระพุทธเจ้าว่ามุ่งแต่แก้ปัญหาบุคคล ปัจเจกชน ท่านมุ่งจะช่วยมหาชนสังคมใหญ่ทั้งเทวดาและมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านมุ่งแก้ปัญหาจักรวาลโน้น ท่านมุ่งแก้ปัญหาของจักรวาล ไม่ใช่สังคมแคบๆ ของพวกคอมมิวนิสต์ เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่าการศึกษาอย่างตะวันตก กล่าวหาว่าการศึกษาอย่างตะวันตกยุคปัจจุบันเป็นการศึกษาที่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ และปิดกั้นความงอกงามของความเป็นมนุษย์ ขอตอบว่าจริงๆ อาตมานี่เห็นว่าการศึกษาอย่างตะวันตกยุคปัจจุบันนั่นนะล้วนแต่เป็นการศึกษาส่งเสริมความเป็นสัตว์ เขาว่าเป็นสัญชาตญาณแห่งสัตว์นี่คือความเห็นแก่ตัว เพราะว่าการศึกษายุคปัจจุบันนี่ยิ่งเรียนเข้า หนักเข้า มากเข้ามันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะเขาสั่งสอนกันแต่ว่าจะหาประโยชน์มาได้อย่างไร จะหากำไรมาได้อย่างไร เทคโนโลยีทั้งหลายเป็นวิถีการแสวงหาประโยชน์ใส่ตัว ยิ่งเจริญด้วยการศึกษาอย่างนี้ก็ยิ่งส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ ไม่ถูกแล้ว ยิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเรียนมากยิ่งได้เหตุผลที่จะส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เราไม่เอา มีคนหาว่าท่านอาจารย์ต่อต้านวิชาเทคโนโลยี แต่แล้วก็มาเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีเสียเอง เปรียบเหมือนกับการเกลียดตัวแล้วกินไข่ คำตอบมันอยู่ข้างต้นแล้วว่าเราไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยี เราก็ใช้เทคโนโลยี คำว่าเทคโนโลยีนี่มันมีปัญหา บางทีเข้าใจไม่ตรงกันว่าเทคโนโลยีนั้นคืออะไร ตามความรู้สึกของอาตมานั้นเทคโนโลยีคือ วิธีการ ที่จะใช้เทคนิคอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดผลเต็มตามความมุ่งหมายของเทคนิคนั้นๆ เทคนิค หมายถึง ความลับของกิจกรรมนั้นๆ ว่ามันจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ผล วิชาที่ใช้เทคนิคให้สำเร็จประโยชน์นี่เราเรียกว่า เทคโนโลยี คือเราจะใช้ความรู้ของเราให้สำเร็จประโยชน์เรียกว่าเทคโนโลยี การใช้เทคนิคของทุกสิ่ง ทุกเรื่อง ทุกเหตุการณ์ให้สำเร็จประโยชน์นี่เรียกว่าเทคโนโลยี อาตมาก็ชอบและสนใจและจะใช้ แต่จะใช้ให้สำเร็จประโยชน์ในการที่ให้ศีลธรรมกลับมา ไม่มีอาการที่เรียกว่าเกลียดตัวแล้วกินไข่ นั้นมันมองกันคนละแง่ ไม่ได้เกลียดเทคโนโลยี ไม่ได้ต่อต้านเทคโนโลยีที่ใช้อย่างถูกทาง ต่อต้านเทคโนโลยีหรือผู้ใช้เทคโนโลยีที่คดโกง ใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์แก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่น
เขาว่าท่านอาจารย์ตำหนิการสอนธรรมะอย่างปรัชญา ว่าการสอนอย่างปรัชญานั้นทำให้รู้พุทธศาสนาไม่ได้ แต่แล้วท่านอาจารย์ก็มาสร้างแนวปรัชญาเสียเอง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ นี้อาตมาก็พูดอยู่บ่อยๆ ทางวิทยุว่า ปรัชญาของศีลธรรมต้องกลับมา หรือว่า ปรมัตถธรรม ต้องกลับมาเพื่อเป็นรากฐานของศีลธรรม ส่วนนี้มันเป็นปรัชญาจริง การปฏิบัติเป็นตัวศีลธรรม แล้วต้องมีความรู้ที่เป็น ปรมัตถธรรม ในรูปแบบของปรัชญา คือเหตุผลที่อธิบาย ที่จะอธิบายได้ว่าทำไมเราจึงต้องทำอย่างนี้ ทำไมเราจึงต้องทำอย่างนี้ ส่วนนี้มันเป็นปรัชญา ในการคำนวณ แต่ปรัชญานี่จะเอาไปใช้เพื่อการศึกษาพุทธศาสนาไม่ได้ เพราะว่าพุทธศาสนาหรือธรรมะนั้นมันอยู่ในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เป็นความจริงของธรรมชาติ ในรูปแบบของธรรมชาติ ในลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ จะเอาวิธีการ ปรัชญา คือมีแต่คำนวณนั้นนะไปใช้กับเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าเรียนพุทธศาสนาโดยวิธีปรัชญาแล้วจะไม่มีวันรู้จักพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งเขาเรียนพุทธศาสนาในฐานะเป็นปรัชญา เขาก็รู้อย่างปรัชญา เพ้อเจ้อดับทุกข์ไม่ได้ เรียนจนตายก็ไม่ดับทุกข์ได้ คือไม่เข้าถึงตัวพุทธศาสนาซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์และไม่เป็นปรัชญา ข้อนี้ยังจะต้องทำความเข้าใจให้ดีๆ ต่อไป ที่พูดว่าพุทธปรัชญานั้นนะมันไม่ใช่ตัวพุทธศาสนาหรอก คือเอาพุทธศาสนาไปวางรูปแบบเป็นปรัชญา ไปทำให้เป็นปรัชญาเสีย มันไม่ใช่ของเดิม ไม่ใช่ของจริงซึ่งเป็นสัจธรรมของธรรมชาติในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ ถ้าใครมีมิตรมีสหายเป็นชาวตะวันตกเป็นฝรั่ง ก็ขอร้องเขาเสียว่าจงศึกษาพุทธศาสนาในฐานะเป็นวิทยาศาสตร์เถิด อย่าได้ทำอย่างปรัชญาเลย เดี๋ยวนี้คนไทยเรานี่ไปตามก้นฝรั่ง อะไรๆ ก็ปรัชญา คำว่า ปรัชญา นี่ฟ่องไปหมดเลยในมหาวิทยาลัยต่างๆ อันนี้จะไม่ช่วยให้เข้าถึงตัวพุทธศาสนาซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ เขาติดเฮโรอีนปรัชญากันเสียหมดแล้ว น่ากลัวเหลือเกินว่าจะหาคนที่รู้จักพุทธศาสนาถึงตัวจริงอย่างถูกต้องนี้ได้ยากหรือมันเมาปรัชญา
เขาหาว่าท่านอาจารย์เป็นมาเฟียทางหนังสือ นี้ตอบไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่ามาเฟียนั้นคืออะไร อาตมาเป็นมาเฟียทางหนังสือ มีหนังสือเยอะแยะแล้วก็เป็นมาเฟียทางหนังสือ ใครรู้ได้ก็ตอบเอาเองว่ามาเฟียนั้นหมายความว่าอะไร ขอยืนยันเป็นภาษาไทยตรงๆ ว่าไม่เคยใช้หนังสือเป็นเครื่องมือเอาเปรียบใคร ไม่เคยใช้หนังสือเป็นเครื่องมือตบตาหรือเอาเปรียบใคร นี่จะเป็นมาเฟียหรือไม่ก็ลองว่าเอาเอง เพราะอาตมาไม่รู้ว่าคำว่ามาเฟียนี้มันหมายความว่าอย่างไร ยืนยันแต่ว่าตัวเองไม่เคยใช้หนังสือเป็นเครื่องมือเอาเปรียบใครตบตาใคร นั้นเขาหาว่าอาตมาเป็นมาเฟียทางหนังสือ ไปถามคนที่รู้เรื่องคำว่ามาเฟียดูก่อน เขาว่าจะให้พระมีหน้าที่สอนธรรมะอย่างเดียวอย่างที่ท่านอาจารย์ว่านั้นไม่ถูกต้อง ต้องให้พระออกไปช่วยทำการพัฒนาสังคมด้วย เขาหาว่าอาตมาสอนว่าให้พระทำหน้าที่สอนธรรมะอย่างเดียว ไม่ให้ออกไปช่วยพัฒนาสังคม ขอยืนยันว่าไม่เคยว่าอย่างนั้นไม่เคยสอนอย่างนั้น แต่สอนธรรมะชนิดที่เป็นการพัฒนาสังคม ธรรมะใดส่วนไหนที่ช่วยในการพัฒนาสังคม อาตมาก็พยายามที่จะสอนธรรมะนั้น จะเป็นการพัฒนาสังคมไปด้วย พระจะออกไปช่วยพัฒนาสังคมถึงขนาดช่วยไถนาให้นั้นไม่ไหวแล้ว องค์การไหนที่วางแผนการที่จะให้พระไปช่วยสังคมถึงขนาดนั้นแล้วอาตมาจะต้องขอพูดว่าองค์การบ้า อย่าเอาเลย จงช่วยสังคมพัฒนาสังคมแต่ในมาตรฐานที่ควรที่เหมาะแก่ความเป็นพระเท่านั้นแหละ เขาว่ามรรค มรรคหรือหนทางที่ท่านอาจารย์เอามาพูดนั้นเป็นมรรคของพระพุทธเจ้า ท่านอาจารย์ควรจะมีมรรคของตัวเองมาสอนไม่ดีกว่าหรือ นี่ทำไมไม่นึกถึงคำว่าพุทธทาสละ รับใช้สนองพระพุทธประสงค์ก็ต้องสอนเรื่องต่างๆ ทุกเรื่องไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านมี พระพุทธเจ้าท่านสอน อัฏฐังคิกมรรค อย่างไรเราก็จะสอน อัฏฐังคิกมรรค อย่างนั้น ไม่ตั้งตัวเป็นศาสดาจัดระบบมรรคของตนขึ้นมาใหม่เหมือนศาสดาเถื่อนบางคน ยังอยากจะเป็นพุทธทาส อยากจะมีมรรคที่แท้แต่มรรคเดียว ที่ในบาลีเรียกว่า เอกายโน มรรคเดียวของบุคคลผู้เดียว เดินไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างเดียว นี่คือมรรคของพระพุทธเจ้ามีอย่างเดียว เราไม่อาจจะสร้างระบบมรรคใหม่ขึ้นมาเป็นของเราได้ เขาว่า เขาผู้ค้าน ผู้เสนอเขา เขาเสนอว่า ถือมหายานดีกว่าถือหินยาน ฟังดูซิ ผู้ค้านอาตมานั่นนะ เขาค้านว่าถือมหายานดีกว่าหินยาน คำว่าหินยานนี่พวกอื่นเขาเรียกให้ พวกหินยานไม่เรียกตัวเองว่าหินยานละ เขาเรียกตัวเองว่าเถรวาท เถรวาทถูกเรียกว่าหินยานก็โดยพวกอื่น ก็คือพวกมหายานนั่นแหละ เขายกตัวเองสูงเกินไปแล้วก็กดพวกอื่นว่าเป็นหินยาน คือต่ำ คือเลว ทิฐิของผู้ที่ไม่รู้จักตนเองไม่รู้จักเหตุการณ์อันแท้จริง จึงพูดเป็นพูดให้แยกเป็นมหายานบ้างเป็นหินยานบ้าง แต่พุทธศาสนาที่แท้นั้นไม่ใช่มหายานและไม่ใช่หินยาน ถ้าไม่เคยได้ฟังก็จงฟังเสียเดี๋ยวนี้ อาตมาขอยืนยันว่าพุทธศาสนาที่แท้นั้นไม่ใช่หินยานไม่ใช่มหายาน แต่เป็นพุทธศาสนาที่แท้เท่านั้นแหละ มันเป็นการสมมติเรียกกันเพื่อประโยชน์อย่างอื่น พุทธแท้ต้องเป็นพุทธแท้ จะไม่เป็นหินยานและไม่เป็นมหายาน
เขาว่าคำว่า โพธิสัตว์ โพธิสัตว์ ที่ท่านอาจารย์กล่าวนั้นยังไม่ถูกต้อง โพธิสัตว์ที่แท้คือพระอรหันต์ โพธิสัตว์ไม่ใช่ผู้ที่กำลังพัฒนา โพธิ อาตมาพูดอยู่เสมอๆ ว่าโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่กำลังพัฒนาโพธิ ปลูกโพธิ บำรุงโพธิ ให้โพธิสมบูรณ์ นี่เรียกว่า โพธิสัตว์ แต่คนคนนี้เขาบอกว่าไม่ใช่ โพธิสัตว์นั้นคือพระอรหันต์ ก็อยากจะตอบว่าไม่มีทางละที่จะหาโพธิสัตว์ชนิดนั้นพบ โพธิสัตว์ที่เป็นพระอรหันต์ไม่มีทางที่จะหาพบ คนนั้นมันว่าเอาเอง เขาหาว่าท่านอาจารย์ถือลัทธิมหายานแล้วนำมาสอน นี่ก็ดูซิมันไม่รอบคอบ กลับกันไปกลับกันมากับคำพูดที่แล้วมา เราบอกอยู่แล้วเสมอว่าเราเป็นพุทธยาน ไม่ใช่หินยานไม่ใช่มหายาน เราเป็นพุทธยานของพระพุทธเจ้า บางคนกล่าวว่าท่านอาจารย์เอาลัทธิเซนมาสอน อย่างหนังสือ เว่ยหล่าง และ ฮวงโป เป็นต้น ขอตอบว่าไม่ได้เอาลัทธิเซนมาสอน ไม่ใช่ขอร้องให้ถือหนังสือ เว่ยหล่าง หรือ ฮวงโป เป็นคัมภีร์ เพียงแต่เอามาให้ดูให้รู้ประกอบการศึกษาให้กว้างออกไป สำหรับจะได้เปรียบเทียบ ถ้ามันมีอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้ก็ทำไปก็แล้วกัน ไม่ต้องสมัครเป็นเซนหรือเป็นลัทธิเซน เป็นพุทธยานต่อไปตามเดิม เขาว่าสวนโมกข์ไม่มีโบสถ์ สวนโมกข์ไม่มีพระพุทธรูป แล้วจะเป็นวัดได้อย่างไรกัน นี่ก็ไม่จริง สวนโมกข์มีโบสถ์ไปตามแบบของสวนโมกข์ พระพุทธรูปก็ยังพอมี แล้วก็ทำขึ้นเองหลายองค์ด้วย นี้ไม่จริง แล้วจะเป็นวัดได้อย่างไรกัน ก็คือเป็นวัดแบบของพระพุทธเจ้า วัดของพระพุทธเจ้าในครั้งพุทธกาลไม่มีทั้งโบสถ์ไม่มีทั้งพระพุทธรูป พูดแล้วคุณจะไม่เชื่อ สมัยพุทธกาล วัดของพระพุทธเจ้าไม่มีโบสถ์หรูหราอย่างที่เขาสร้างกันเดี๋ยวนี้นะ แล้วไม่มีโบสถ์ซะด้วย เขาทำสีมากลางดิน กลางแจ้ง กลางสนามหญ้า ในบาลีมีอยู่ชัดๆ เลยว่าทำบาลี เอ้ย, ทำสี เอ้ย, ทำสังฆกรรมกลางแจ้ง พอฝนตกก็ต้องเลิก ต้องเลิก ยอมให้เลิก ไม่ผิดวินัย พอฝนตกพายุมา อะไรมาก็ต้องเลิกสังฆกรรม เพราะว่าทำสีมากลางแจ้ง เพราะว่าไม่มีโบสถ์อย่างที่รู้จักกันสมัยนี้นั่นเอง วัดของพระพุทธเจ้าในครั้งพุทธกาลไม่มีทั้งโบสถ์และไม่มีพระพุทธรูป คือไม่มีโบสถ์แล้วก็ไม่มีพระพุทธรูป แล้วพระพุทธรูปนั้นเพิ่งมีเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วหลายร้อยปีนะ เพิ่งมี แล้วเราสมัครที่จะเป็นวัดอย่างแบบพุทธกาล ไม่มีทั้งโบสถ์ไม่มีทั้งพระพุทธรูป เขาว่าการจัดโรงมหรสพทางวิญญาณมีลักษณะไม่อนุรักษ์เอกลักษณ์ไทย โดยเฉพาะรูปอาคารและภาพแจกดวงตา นี่สายตาของคนนั้นนะมันเห็นอย่างนั้น มันก็จริงของเขาแหละ อาคารของเรานี่มันไม่มีช่อฟ้าใบระกา ไม่มียอดแหลม ไม่มีอะไรต่างๆ ที่เขาถือกันว่าเอกลักษณ์ไทย ที่เขาถือกันว่าเอกลักษณ์ไทยนี่เขาว่าเอาเอง ไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าเอกลักษณ์ไทยเป็นอย่างนั้น มันเพียงแต่ว่าเห็นมาในเมืองไทยนานแล้วก็เรียกว่าเอกลักษณ์ไทย เอกลักษณ์ไทยต้องถูกต้อง ต้องไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ก็เพราะว่าไทยมันเป็นชาวพุทธเมื่อถือพุทธศาสนาแล้วก็ต้องไม่ทำอะไรให้หมดเปลืองเกินกว่าเหตุ ไม่ต้องทำอะไรให้หรูหรารกรุงรังยุ่งยากเกินกว่าเหตุ เพราะนั้นเรามีโบสถ์ชนิดที่ เรามีอาคารชนิดที่เป็นลักษณ์ เอกลักษณ์แห่งเศรษฐกิจ เสียเงินน้อย ทำได้ง่าย แล้วแข็งแรงดี อย่างเช่นตึกหลังนี้นะ เอาสิ แบบอะไร ไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย ถูกแล้ว แต่ว่ามันถูกต้องหลักเศรษฐกิจ เสียเงินน้อย ได้ผลมาก แข็งแรงดี ถ้าไปมัวทำอย่างเอกลักษณ์ไทย เสียแต่ค่าช่อฟ้าใบระกาเกือบตายนะ ไม่เท่าไรมันก็ผุพัง ไม่กี่ปีก็ต้องซ่อม นี่ของเรามันเป็นอย่างนี้ เรียกว่าแบบเศรษฐกิจก็แล้วกัน มีเอกลักษณ์เป็นพุทธแท้ คือไม่โง่ ไม่เปลือง และว่าไอ้ภาพแจกดวงตานั้นนะไม่ใช่ลวดลายไทย ไม่มีลวดลายไทย มันเป็นลวดลายเหมือนกับอียิปต์ ก็ถูกแล้ว เพราะว่าลวดลายนั้นมันทำง่าย ทำได้ด้วยโมเสก ที่เป็นเส้นตรงเป็นส่วนมาก นี่ ลวดลายอียิปต์ ก็ยืมมาทั้งนั้นแหละ ยืมมาแต่ลวดลาย ถ้ามันแสดงความหมายของภาพเอาตามที่เราต้องการว่าแจกลูกตา ไม่ค่อยมีใครรับ วิ่งหนีไปเสีย ยอมรับว่าไอ้ภาพแจกลูกตานั้นไม่มีเอกลักษณ์ไทยโดยความหมายสมมติของคนไทยพวกนั้น แต่ว่ามีเอกลักษณ์ไทยในความหมายว่า คนไทยเป็นอิสระ คนไทยมีอิสระที่จะคิดจะนึกจะทำอะไรก็ได้ นี่เราเป็นไทย เพราะนั้นเราจึงเลือกเอาแบบที่มันง่ายในการที่จะทำด้วยโมเสก เพราะเราต้องทำด้วยโมเสก คือเขียนด้วยสีไม่ได้ ไม่เท่าไหร่มันเลือนหมดหายหมด ถ้าทำด้วยโมเสกมันก็อยู่เป็นร้อยๆ ปี แต่ถ้าทำด้วยโมเสกมันทำเส้นคดๆ ไม่ได้ มันทำได้แต่เส้นตรง ดังนั้นจึงเลือกเอาไอ้ลวดลาย เส้น ลวดลายแพทเทิร์น แพทเทิร์นนะอย่างอียิปต์มา นี่คือเป็นไทย นี่คือเป็นอิสระตามความหมายของคำว่าไทย จะเลือกอะไรก็ได้ตามเหตุผลของตน เรามีเอกลักษณ์ไทยในความหมายอย่างนี้ นี้เขาว่าท่านอาจารย์คัดค้านไสยศาสตร์ แต่ที่สวนโมกข์ยังมีพิธีสวดมนต์และตั้งบาตรน้ำมนต์เพื่อประชาชน ข้อนี้ท่านอาจารย์จะว่าอย่างไรครับ ก็ยอมรับละว่าถ้ามันทำไปอย่างงมงายมันก็เป็นไสยศาสตร์ แต่เราจะทำชนิดที่ว่าจะเลื่อนชั้นให้แก่ไสยศาสตร์บ้างไม่ได้หรือยังไง จะเลื่อนชั้นของไสยศาสตร์ที่ต่ำมากๆ โง่มากๆ ให้มันสูงขึ้นมา อธิบายว่าน้ำมนต์คืออะไร ใช้น้ำมนต์คืออย่างไร ไอ้มนต์นี่มันแปลว่า ความคิด ไอ้น้ำมนต์นี่มันก็หมายถึง น้ำแห่งความคิดหรือสติปัญญา ไม่ได้ทำให้โง่ นี้เราก็ทำน้ำมนต์ให้มันเป็นน้ำมนต์ คือ เป็นน้ำแห่งความคิดหรือสติปัญญา ให้เขารู้จักใช้น้ำมนต์ในความหมายนี้ รดน้ำมนต์ว่าได้เย็นอย่างน้ำ ให้เกิดความคิดว่า โอ้, ธรรมะนั่นนะมันเย็นกว่าน้ำ มันเย็นอย่างน้ำแต่มันเย็นกว่าน้ำ เราอาศัยความหมายของคำว่ามนต์หรือเย็นนี่ให้เข้าถึงธรรมะ….