แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ผมจะพูดพิเศษกว่าทุกที คือไม่ได้มุ่งจะแสดงธรรมะโดยตรงอย่างเดียว แต่จะมุ่งให้ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับภาษาพูด ความคิดของมนุษย์ที่มันเป็นสากล คือว่าใครพูดก็ได้ แล้วมันก็มีความจริงชนิดที่ใช้รวมกันได้ คือเราจะพูดกันถึงไอ้คำพูดประโยคหนึ่งซึ่งมันเป็นของตะวันตก หรือพวกฝรั่งนั่นแหละ เขาคิดและเขาพูด ทีนี้พวกเราชาวพุทธได้ยิน เราก็รู้สึกว่า แม้เราพูดก็พูดอย่างนั้น มีความรู้สึกร่วมกันได้ ข้อนี้คือประโยค ประโยคหนึ่งที่เขาพูดกันเป็นสุภาษิตตะวันตก ว่า อ้า, พระเจ้าสร้าง ไอ้มนุษย์ทำลายนี่ พวกฝรั่งผู้พูด เขาคงไม่ได้มีความมุ่งหมายลึกซึ้ง เหมือนที่เราจะรู้สึก จะพูด เขาคงจะมุ่งแต่เพียงว่าพระเจ้า อ้า, สร้างไอ้สิ่งต่างๆ ขึ้นมาในโลกอย่างดีที่สุดแล้ว แล้วมันก็ค่อยๆ เสียไป โดยการทำลายของมนุษย์ในภายหลัง เขาพูดอย่างนั้นมุ่งหมายเพียงเท่านั้น ก็ต้องการจะแสดงเพียงเท่านั้น แต่พอมันตกมาถึงพวกเรานี่ชาวพุทธ ซึ่งมีปกติ มองเห็นอะไรลึก กว้าง ละเอียด สุขุมที่สุด เราก็มองเห็นได้มากกว่านั้น เช่นว่ามันไม่เป็นเรื่องทางวัตถุอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจิตใจด้วย แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องในโลกข้างนอกทั่วๆไป แต่มันเป็นเรื่องภายในจิตใจ หรือเป็นโลกภายในก็ได้ด้วย ดังนั้น ถ้ามีโลกภายในคือ ทางจิตใจ ก็แปลว่าธรรมชาติสร้างมาดี มีความปกติสุข แต่แล้วก็มีอะไร มาทำลายเสีย นี่เป็น ไอ้สิ่งที่ละเอียดที่จะต้องลึกซึ้ง ที่จะต้องดูกันอย่างลึกซึ้ง เดี๋ยวก็จะได้พูดกันถึงเรื่องนี้ คือ ผมอยากจะบอกให้ทราบว่าวันนี้เราจะไม่พูด เรื่องธรรมะล้วนๆ โดยตรงอย่างเดียว แต่จะพูดกันถึงวิธีให้สังเกตจนเห็นอะไรต่างๆ เกี่ยวกับการพูดหรือวิธีพูด อ้า, ของคนเรา และเกี่ยวกับวิธีฟังและก็วิธีคิดนึกให้ลึกซึ้งกว่า หัวข้อที่พูดก็มีว่า พระเจ้าเป็นฝ่ายสร้าง มนุษย์เป็นฝ่ายทำลาย อุปมานี้มันก็คล้ายๆ กับบอกไปในตัวเลยว่า ไอ้พระเจ้านั่นนะ ต้องเป็นฝ่ายดี ฝ่ายถูก แล้วมนุษย์นี่ก็เป็นฝ่ายเลว ฝ่ายชั่ว ฝ่ายโง่เขลา ฝ่ายผิด ไอ้ฝ่ายดีมันก็สร้าง ไอ้ฝ่ายชั่วมันก็ทำลาย อาการอย่างนี้มันมีทั่วไปทั้งชั้นนอกและชั้นใน ครั้งแรกก็จะมีปัญหาขึ้นมาว่า ทำไมเราจะต้องมองกันให้ไกลถึงขนาดนั้น และมองกันกว้างไปทั่วโลก หรือว่าลึกลงไปถึงเรื่องใน ใน ในคน คือทางจิตใจ ที่เอามาพูดนี่ก็เพราะให้สำนึก หรือระมัดระวังกันไว้ว่า เรานั่นแหละก็เป็นคนหนึ่งในคนโง่ ในจำนวนคนโง่ทั้งหลายที่ทำอย่างนั้น จึงเป็นการกระทำที่มันน่าละอาย เรียกว่าทำผิดแล้วเราก็เป็นกับเขาด้วยคนหนึ่ง ถ้าเรามองเห็นและรู้สึกเราก็คงจะเปลี่ยนแปลง นี่จึงต้องเอามาพูดว่า โดยกลัวว่าเราจะเป็นคนหนึ่งในคนที่ทำอะไรเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ต้องการให้มองให้กว้างอย่างที่ว่าแล้วว่า พระ เจ้าสร้างอะไร บ้างนะ พระเจ้าสร้างอะไรบ้าง นี่เราจะต้องมองกันให้กว้าง หรือว่าพระเจ้ามันมีอะไรบ้าง มีกี่อย่าง เราจึงจะรู้ได้ว่าจะสามารถสร้างอะไรได้บ้าง พระเจ้าในศาสนาส่วนมากนะ ก็หมายถึงพระเจ้าที่เป็นอย่างบุคคล เป็นสัตว์หรือเป็นเทวดาอะไรชนิดหนึ่ง มีความรู้สึกอย่างคน ในศาสนาฮินดูหลายๆ ศาสนานะ ในอินเดียก็ดี ศาสนาคริสต์ ศาสนายิว แล้วก็ ศาสนาคริสต์ แล้วก็ศาสนาอิสลามก็ดี ก็มีพระเจ้าที่มีความรู้สึกอย่างบุคคล แล้วก็สร้างตามที่เขาเขียนไว้ในคัมภีร์นั้นนะ เขาสร้างอย่างคนสร้าง นับตั้งแต่ว่า ไม่มีโลก มีแต่ความอ้างว้าง แล้วก็ทำให้มันเกิดโลก แล้วก็แยกออกเป็นสองส่วน ให้ส่วนบนเป็นฟ้า ให้ส่วนล่างเป็นแผ่นดิน แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นในแผ่นดิน ในน้ำ ในซีกล่างนะ ส่วนบนที่เป็นฟ้ามันก็มีอะไรที่สร้างขึ้น เช่น ดวงดาว เป็นต้น นี่เขาพูดอย่างบุคคล ทีนี้พอมาถึงสมัยนี้ ที่เจริญด้วยการศึกษา โดยเฉพาะทางวิทยาศาสตร์นี่ เขาก็ไม่เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น แต่คนที่ยังเชื่ออยู่ก็ยังมีมาก ทีนี้ฝ่ายพุทธศาสนาเรา ไม่มีพระเจ้าชนิดนั้น ไม่มีพระเจ้าอย่างบุคคล หรือไม่มีพระเจ้าซึ่งเป็นอะไรก็ไม่รู้แต่มีความรู้สึกอย่างบุคคล เรามีพระเจ้าที่เรียกว่ากฎของธรรมชาติ คือ กฎอิทัปปัจจยตา กฎอิทัปปัจจยตานี่บันดาลให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมา นับตั้งแต่ที่มันยังไม่มีอะไร จนเกิดมีทุกอย่างเหมือนอย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ ที่นักวิทยาศาสตร์เขาคิดว่าทีแรก หรือเขาคิดค้นนะว่าทีแรก โลกมันไม่มีอะไร แล้วมันค่อยๆ มีอะไร ค่อยๆ มีอะไร ค่อยๆ มีอะไร เขาก็ว่ามันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ที่เป็นวิวัฒนาการ ชาวพุทธเรามันอยู่ในส่วนนี้ อยู่ อยู่ในฝ่ายนี้คือ ฝ่ายที่คิดว่ามันไม่มีคนสร้าง แต่มันเป็นผลของธรรมชาติที่เป็นวิวัฒนาการ ในตอนหลังนี้ปรากฏว่าเขาแบ่งความเชื่อทางศาสนาทั้งหมด หรือแบ่งศาสนาทุกศาสนา เป็น ๒ พวก เข้าใจได้ง่ายๆ พวกหนึ่งเขาเรียกว่า creationism creation ที่แปลว่าการสร้างหรือ สิ่งสร้าง creationism พวกนี้มันก็เชื่อว่ามันมีคนสร้าง อีกพวกหนึ่งเขาเรียกว่า evolutionism คือ มันมีกฎธรรมชาติบังคับให้วิวัฒนาการ ไม่ใช่คนสร้าง นี้คนในโลกมันก็เลยแบ่ง เป็น ๒ พวก ไปตามนั้น มันอาจจะอยู่ในบ้านเดียว ครอบครัวเดียวกันก็ได้ คนหนึ่งมันเชื่อ อย่าง creationism เป็น creationism อีกบางคนมันเป็น evolutionism ผัวเป็นอย่าง เมียเป็นอย่างก็ได้ ก็ไม่เป็นไร และความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น คนพวกหนึ่งเขาเชื่อว่ามีคนสร้าง คนพวกหนึ่งก็เชื่อว่ามันเป็นเอง ตามกฎของธรรมชาติ แล้วเราก็รู้ไว้ด้วยว่า พุทธบริษัทเรานะ หรือพุทธศาสนาเรานี่มันอยู่ในพวกหลัง ยอมรับตรงกันในข้อที่ว่ามันมีการสร้างขึ้นมา การบังคับ บีบบังคับ ดลบันดาลให้เกิดขึ้นมา แล้วก็เป็นไปตามอำนาจสิ่งนั้นให้เป็นไป แล้วมันก็จะต้องดับสูญสิ้นไปเป็นครั้งเป็นคราวตามอำนาจของสิ่งนั้น มองดูแล้วมันก็เห็นได้ว่า การกระทำนะ ยอมรับตรงกันว่ามีอาการอย่างนี้ แต่พวกหนึ่งว่า โดยอาการของพระเจ้าที่เป็นอย่างบุคคล พวกหนึ่งว่ามันเป็นไปเองตามกฎของธรรมชาติ แม้ในเมืองฝรั่งที่มันว่าเจริญด้วยการศึกษา มันก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่เชื่อว่า มีพระเจ้าสร้าง นี่มันเป็นการง่ายที่เราจะทำความเข้าใจกันในข้อต้น ใน ใน ในขั้นต้นหรือ ตอนต้น คล้ายๆ กับถามกันเสียก่อนว่า คุณเป็นพวกไหน คุณเป็นเป็นพวกที่เชื่อว่า พระเจ้าสร้าง หรือเป็นพวกที่เชื่อว่า ไอ้กฎของธรรมชาติมันสร้าง สำหรับกฎของธรรมชาตินี่มัน มัน มัน มันไม่น่าจะใช้คำว่าสร้างหรอก เพราะว่ามันไม่ได้มีความรู้สึกอย่างคน ไม่มีเจตนาอย่างคน เพียงแต่บันดาล มันบันดาลให้เป็นไป ให้เป็นไป ให้เป็นไปตามวิถีทางของธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ถ้าเรารู้จักเพื่อนของเราเป็นอย่างดีเสียก่อนว่าเขาเป็นพวกไหน แล้วเราก็พยายามที่จะไม่ทะเลาะกัน เขาจะเชื่ออย่างนั้นก็ได้ เขาพอใจที่จะเชื่ออย่างนั้น หรือตามบรรพบุรุษของเขา ที่มันเชื่ออย่างนั้น แล้วเราก็อย่าต้องไปดูถูกเขา เพราะว่าเขาได้รับประโยชน์จากการเชื่ออย่างนั้นในเมื่อเราก็ได้รับประโยชน์จากการเชื่ออย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องทะเลาะกันในเรื่องชนิดนี้คือ วิวาทกันด้วยเรื่องความเชื่อทางศาสนา ซึ่งต่างคนต่างก็มีสิทธิเฉพาะตนที่จะเชื่ออย่างไร เอานะ เป็นอันว่าพระเจ้าสร้างหรือธรรมชาติสร้าง มันก็เรียกว่ามีการสร้างด้วยกันทั้งนั้น ทีนี้ ถ้าพระเจ้าสร้าง ใครทำลาย มันก็คือมนุษย์ ทีมนุษย์ใครสร้าง มันก็คือพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ แล้วมนุษย์ก็ทำลายไอ้สิ่งที่ พระเจ้าสร้าง นี่มันก็น่าขำ จะปรับให้เป็นความบกพร่องของพระเจ้าก็ยังได้ แต่แล้วมันก็น่าขำ ตรงที่ว่าไอ้สิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมานั้นแหละ มันทำลายกันเอง คุณคิดดูสิว่า มันกัดกันเองหรือ มันทำลายกันเอง ถ้ามองฝ่ายนี้ที่ว่าพระเจ้าสร้าง อ้าว, ฝ่ายนี้ว่ากฎของธรรมชาติสร้าง ก็จะถามต่อว่า แล้วใครนะเป็นผู้ทำลาย ถ้ากฎของธรรมชาติ มัน มันรู้จักแต่จะสร้างๆ แล้วมันก็มีอะไรเกิดขึ้นทำลาย มันก็หมาย หมายความว่าไอ้ธรรมชาติมันก็สร้างความรู้สึก คิดนึกอย่างผิด ๆ ของคนพาล ของคนชั่วร้ายขึ้นมาได้ คือ ธรรมชาตินี่มันก็สร้างไอ้สิ่งที่เรียกว่า กิเลสขึ้นมาในจิตใจของคน เกิดมีคนชนิดที่มีกิเลส เป็นคนพาล มันก็กฎธรรมชาติเขาสร้าง สร้างกิเลส สร้างคนมีกิเลส แล้วคนมีกิเลสมันก็ทำลายล้างไอ้สิ่งที่ธรรมชาติสร้าง ดังนั้น เราจะมองพระเจ้า หรือผู้สร้าง กันในแง่ไหน มันก็ล้วนแต่มีการกระทำกันอย่างเดียวกัน แต่มันมีรายละเอียดที่ควรจะศึกษาให้เป็นประโยชน์ ให้มากที่สุด ทีนี้ก็เมื่อสักครู่นี้ก็บอกว่าพระเจ้าสร้าง อะไรนะ จะเอากฎธรรมชาติก็ดี พระเจ้าอย่างบุคคลก็ดี ที่เป็นผู้สร้าง เขาสร้างอะไร เรามาดู แล้วเราพูดเอาเองตามชอบใจ ว่าไอ้ผู้สร้างนั่นมันก็สร้างวัตถุทั้งหลายขึ้นมา สร้างรูปธรรมทั้งหลายขึ้นมา แล้วก็สร้างนามธรรม คือ ระบบจิตใจขึ้นมา แล้วก็รวมกันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไอ้รูปธรรมกับนามธรรม เมื่อมันรวมกันได้ มันก็รวมเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วมันก็คือตัวเรา คนหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมีรูปธรรม มีนามธรรม แล้วก็สร้างโลกสำหรับมนุษย์อยู่ คือโลกแผ่นดิน โลก Globe The Globe แล้วมันก็ยังสร้าง โลกมนุษย์ คือมนุษย์ที่อยู่ในโลก The world นะ The world นะ เขารวมทั้งไอ้โลกแผ่นดินและโลก และคนที่อยู่ในโลก ถ้า The Globe ก็หมายถึงไอ้ตัวแผ่นดินล้วนๆ พระเจ้าก็สร้าง ไอ้ผู้สร้าง ก็สร้างโลก โลกแผ่นดินหรือสร้างมนุษย์โลกรวมกันเป็นโลก แล้วจะพูด ก็พูดได้อีกว่า พระเจ้านี่เขาสร้างมาอย่างมีสันติ สุข คือ ความสงบ เรียกว่าสันติภาพประจำโลกมาด้วยเสร็จ อ้า, เมื่อ เพราะว่าเมื่อปล่อยไปตามไอ้ธรรมชาติเดิม เดิมแท้มันมีสันติภาพ ไม่ว่าพระเจ้าสร้างหรือวิวัฒนาการบันดาลให้เป็นไป เขาก็สร้างโลกแผ่นดิน ชนิดที่จะเป็นที่ตั้งของโลกมนุษย์ ที่มีสันติสุข มีสันติภาพ พวกเราก็เคยเรียนหรือเคยอ่านใช่หรือไม่ ไอ้เรื่องชีววิทยา ธรณีวิทยา อะไรกันมาแล้วพอสมควร พอที่มองเห็นได้ว่า ทีแรกก็สร้างมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด อย่างโลกนี่ ทีแรกมันก็สมบูรณ์ที่สุด ในทางธรณีวิทยา แล้วมันก็เกิดไอ้สิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาเต็มที่ รวมกันแล้วมันก็ยังปกติเพราะมันยังไม่มีอะไรชนิดที่อุตริ แหวกแนว เราก็มีโลกที่สงบเย็นเป็นสุข ทั้งในฝ่ายวัตถุ ทั้งในฝ่ายจิตใจ เรียกว่ามี อ้า, สันติภาพ เป็นโลกที่ประกอบอยู่ด้วยสันติภาพตามธรรมชาติเดิมแท้ของมัน เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นว่า มันไม่ใช่โลกแห่งสันติภาพ ไม่ใช่โลกที่อยู่ มีอยู่เพื่อสันติภาพ มันกลายเป็นโลกสำหรับวุ่นวาย มันกลายเป็นโลกสำหรับการแย่งชิง ไม่ต้องอธิบายนะ คุณเข้าใจได้ดีว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นโลกแห่งการต่อสู้ แย่งชิง ของมนุษย์ สันติภาพมันก็หายไปหมด ไอ้ที่มันเป็นส่วนโลกวัตถุ มันก็ถูกกระทำอย่างรุนแรง อะไรๆ ที่มันมีอยู่ดีพร้อมในสมัยก่อนโน้น เดี๋ยวนี้มันก็ถูกขุดขึ้นมา ดึงออกมาใช้ตามความต้องการของมนุษย์ แล้วรุนแรงที่สุด เมื่อมนุษย์ก้าวหน้ามาถึงความเจริญทางวัตถุ จุดตั้งต้น มันตั้งต้นเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักความเอร็ดอร่อย นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษา แล้วมันเป็นเรื่องธรรมะโดยตรง มันมีปัญหาเกิดขึ้น หรือตั้งต้นขึ้น เมื่อมนุษย์มันเริ่มรู้จักความเอร็ดอร่อย ซึ่งเดี๋ยวนี้ มันเรียกว่า สูงสุดแหละ อร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จนกระทั่งมันกลายเป็นเกินธรรมชาติ มากกว่าธรรมชาติ ถ้าตามธรรมชาติมันก็ มันก็เป็นเพียงอาหารที่บำรุงร่างกายก็พอแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ความเจริญทางวัตถุ มันไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อเป็นอาหารเท่าที่จำเป็น มันต้องการให้เป็นความอร่อย สิ่งอร่อย ส่งเสริมความรู้สึกทางความอร่อย มันก็เลยกลายเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งใหม่และใหญ่โต ก็คือเรื่อง กามคุณ ถ้ามันเป็นแต่เพียงอาหารมันก็เท่าเดิมแหละ อาหารมันหล่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น มันมีเพียงเท่านั้น มันจำกัดอยู่ แต่ถ้ามันกลายเป็นกามคุณเมื่อไร มันไม่มีจำกัดแล้วทีนี้ คือ มันอร่อยอย่างไม่มีเขตจำกัด ฉะนั้น มันจึงวิ่ง ความเจริญทางนี้มันวิ่งคือ ประดิษฐ์ความอร่อย สิ่งที่ให้เกิดความอร่อยมากมาย รวดเร็วเหมือนกับวิ่ง สังเกตดูเถิด อุตสาหกรรมในโลกมันเนื่องอยู่กับการผลิตสิ่งอร่อย หรือส่งเสริมการผลิตเพื่อความอร่อยทั้งนั้นแหละ อร่อยทางตา อร่อยทางหู อร่อยทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง อย่า อย่าเข้าใจคำว่า อร่อยนี่จะหมายถึงแต่เพียงทางตา หรือ หรือว่าไอ้ทาง ทาง ลิ้นนะ ลิ้นอร่อยอย่างเดียว อร่อยทางตาคือ สวย อร่อยทางหูคือ ไพเราะ อร่อยทางจมูกคือ หอม อร่อยทางลิ้นคือ รสอร่อย อร่อยทางผิวหนังก็คือ สัมผัสผิวหนัง กระตุ้นความรู้สึกสูงสุดของความรู้สึก แล้วก็เลยเป็นเรื่องทางเพศไป ผลิตทุกอย่างมันกลายเป็นอุปกรณ์ของความรู้สึกทางเพศไปหมด ความรู้สึกทางเพศส่วนสำคัญที่สุด มันก็คือ ทางอายตนะที่ ๕ คือ ร่างกายเป็นที่ตั้งแห่งระบบประสาทรู้สึกสูงสุด มีความรู้สึกทางกามอารมณ์เป็นส่วนสำคัญ ที่ธรรมชาติมันใส่มาให้สำหรับมนุษย์จะได้เป็นทาสของกามารมณ์ แล้วก็ทำการสืบพันธุ์ ถ้าเป็นเรื่องสืบพันธุ์ล้วนๆ มนุษย์มันก็สั่นหัวมันก็ไม่เอาสิ แต่ถ้าเขาล่อ หรือเคลือบไว้ หุ้มไว้ด้วยกามารมณ์ มันก็ไปหลงกามารมณ์ซึ่งมันแฝงไว้กับการสืบพันธุ์ ผมชอบพูดว่าเป็นค่าจ้างของธรรมชาติ ที่ทำให้มนุษย์สมัครทำการสืบพันธุ์โดยไม่รู้สึกตัว เมื่อตกอยู่ใต้อำนาจอันนี้แล้วไอ้ความรู้สึกทางกามารมณ์มันก็เป็นพระเจ้าขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นพระเจ้าเหนือหัวทีเดียว ที่จะลากหัวไอ้คนมนุษย์เหล่านั้นไปให้ทำอะไรก็ได้ เหมือนที่เราเห็นๆ กันอยู่ในเวลานี้ ต้องทำอาชญากรรม เนื่องด้วยกามารมณ์เป็นเหตุนั่นนะ แปลกประหลาด อุตริ วิตถาร อย่างไม่น่าเชื่อ นี่ธรรมชาติเขาฉลาด ใช้กามารมณ์มาเป็นค่าจ้างให้มนุษย์ทำสิ่งที่เขาไม่อยากจะทำ หรือว่าที่มันจะทำให้แปลกออกไป นี่คือปัญหาเริ่มตั้งต้น คำว่าความอร่อยนี่ มันก็ควรจะใคร่ครวญดูให้ดีๆ อร่อยอย่างอาหาร มันอย่างหนึ่ง อร่อยอย่างกามารมณ์นั้นมันอีกอย่างหนึ่ง ระวังให้ดี แล้วมันลำบากที่ว่าไอ้ความอร่อยอย่างอาหารนั้นแหละ มันก็เปลี่ยนมาเป็นความอร่อยอย่างกามารมณ์ พูดถึงอาหารทางปากกันก่อน ทีแรกมันก็อร่อยอย่างอาหาร ปรุงอาหาร พออร่อย พอกินได้ ทีนี้ความอร่อยมัน มัน มันขยายตัว มันบังคับให้ทำให้อร่อยจนเกินความจำเป็น ฉะนั้น เราจึงมีอาหารที่อร่อยเกินความจำเป็น แล้วก็กลายเป็นโทษโดยไม่รู้สึก ถ้ามันอร่อยเท่าที่เป็นอาหารมันก็ไม่ ไม่ ไม่มีอันตรายพอมันอร่อยเกินนั้น มันเป็นความอร่อยขั้นเขตกามารมณ์แล้วมันก็เป็นอันตรายหมด นี่เรื่องทางปากนะ อาหารทางปาก ก็เป็นอย่างนี้ อาหารทางตา ทางหู ทางจมูก อะไรก็เหมือนกัน ถ้ามันเท่าที่ธรรมชาติต้องการล้วนๆ มันไม่มากมาย นะ ความสวยงาม ความไพเราะ มันก็ไม่มากมายอะไรนัก เดี๋ยวนี้มันเกิน เกินความจำเป็น สวยงามทางร่างกาย ทางประดับตกแต่งมันก็เกินจำเป็น ไอ้ไพเราะทางหูเป็นเพลง เป็นอะไร ก็มากเกินจำเป็น กลิ่นหอมมันก็เหมือนกันแหละ มันไม่เพียงเป็นยาหอมแก้ลมแล้ว มันเป็นเรื่องหอมส่งเสริมกิเลสเสียแล้ว นี่ก็ว่าไอ้ความอร่อยตามธรรมชาติอย่างอาหาร ได้กลายเป็นความอร่อยทางกามารมณ์ไปแล้ว นี่ปัญหามันท่วมโลกอยากให้สังเกตอีกสักนิดหนึ่งว่า ไอ้ความรู้สึกอร่อยแล้วก้าวหน้าไป ก้าวหน้าไป จนเลยขอบเขตนั้นก็มีได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าเรามองว่ามันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ก็เรียกว่าพระเจ้าที่เป็นกฎของธรรมชาติชักนำไป หรือสร้างขึ้น นี่เราพูดซัดเอากฎของธรรมชาติได้เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่จะมาต่อสู้ มา มาโต้วาทะกับเรา แต่ถ้าเราพูดว่าพระเจ้าอย่างบุคคลสร้างแล้ว เจ้าของศาสนานั้นเขาก็ไม่ยอมเขาก็ต่อต้าน เขาก็ออกรับ เขาก็โต้วาทะ ทีแรกคนป่าที่เพิ่งมีขึ้นมาในโลกนี้มี มี มี มีความสูงขึ้นมาเป็นคนจากความเป็นสัตว์ ระดับสุดท้ายก็เป็นคน มันก็กินอาหารอย่างลิง อย่างไอ้สัตว์ ครั้งสุดท้ายแหละ มันยังไม่รู้จักติดไฟ ไอ้คน age มันก็ต้องกินอาหารอย่างสัตว์ ควักขึ้นมาจากดินก็กิน หรือว่าจับตัวมาได้ก็กิน ฉีกนกกิน ฉีกปลากิน อะไรกิน เหมือนกับสัตว์นะ จนกว่ามันจะรู้จักใช้ไฟที่เรียกกันว่าโดยบังเอิญก็ได้ เช่นไฟป่ามันเกิดขึ้นจากการเสียดสีของไอ้สิ่งที่มีอยู่ตามป่าเกิดไฟขึ้นมา มนุษย์ก็รู้จักใช้ไฟ ก็เอาไฟ มาเลี้ยงไว้ ก่อนนี้เขาใช้คำว่าเลี้ยงไว้ ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ ของพวกฤาษี ชี ไพรนะ เขาก็เอาไฟ มาเลี้ยงไว้เพราะว่าเขาไม่มีไอ้เครื่องที่จะจุดไฟด้วยตนเองเขาก็ไปเอาไฟป่ามาเลี้ยงไว้ ใส่เชื้อเพลิงไว้แล้วก็บูชาไอ้สิ่งสูงสุด มันก็เลี้ยงไว้ได้ นี่มนุษย์คนแรกเผอิญมันจะได้ทำให้ไอ้เนื้อสัตว์ หรืออะไรก็ตาม ทำตกลงไปในไฟนั้น เปลี่ยนสภาพเป็นของสุก ที่เมื่อกินดูมันอร่อยกว่านี่ มันก็รู้จักใช้ไฟเพื่อจะทำให้อาหารอร่อยกว่าที่จะปล่อยไปตามธรรมชาติ ไอ้การปรุงด้วยไฟมันก็เกิดขึ้นเช่นเนื้อย่างอย่างนี้ มันอร่อยกว่าเนื้อดิบแล้วมันก็กินมากกว่าเนื้อดิบ ความคิดมันก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะมันกินมากขึ้น นี่ถ้าเผอิญว่ามันไปได้ดินเค็มๆ หรือว่าไอ้ของเปรี้ยวๆ อ้า, ผลไม้เปรี้ยวๆ อะไรมา จิ้มเข้ากับไอ้เนื้อสัตว์ที่ย่างไฟนี่ มันก็อร่อยกว่าเก่าแหละ เหมือนกับเราจิ้มน้ำปลา จิ้มน้ำส้ม นี่มันก็วิวัฒนาการเป็นความ อร่อยๆๆ ขึ้นมา เลยขอบเขตของความจำเป็นที่จะเป็นอาหาร กลายเป็นเรื่องของความอร่อย ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วก็เรียกว่าเป็นวัตถุกามไปแล้ว อุปกรณ์แห่งความรู้สึกทางกามไปแล้ว แล้วก็กินอาหารอย่างกามคือ เพื่อความอร่อย ไม่ใช่เพื่อเพียงหล่อเลี้ยงร่างกายตั้งอยู่ได้เหมือนสวดปัจจเวกขณ์ ที่เราปัจจเวกขณ์ กันอยู่ทุกวันๆ บริโภคอาหารนี่เพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งร่างกายนี้ นี่มันกลายเป็นเพื่อความอร่อยๆๆ เพื่ออะไรก็ไม่รู้จะถึงไหนก็ไม่รู้ แต่ให้อร่อย ก็แล้วกัน ฉะนั้น ศิลปะแห่งการประดิษฐ์ การปรุง ก็เลยก้าวหน้ามาก กลายเป็นเครื่องมือหาทรัพย์ หาประโยชน์ด้วยการปรุงอาหารให้อร่อยซึ่งเราก็เห็นๆ กันอยู่ เดี๋ยวนี้อาหารอร่อยเต็มไปทั้งโลก อีกประเภทหนึ่งก็ไอ้สิ่งชูรส สิ่งปรับปรุงรส พวก seasoning ทั้งหลายนี่มันก็เกิดขึ้น แล้วก็เปลี่ยนแปลงมากๆ มากๆ จนมีไอ้สิ่งชูรส ซึ่งทำให้คนกินเกิน อ้า, ความจำเป็น คือ กินเกินพอดี ถ้าพูดอย่างศาสนาบริสุทธิ์ ก็ควรจะถือว่าไอ้สิ่งชูรสทั้งหลายเป็นของผิด หรือของบาป น้ำปลา น้ำส้ม น้ำอะไรที่มันชูรสทำให้รสดีต้องจัดเป็นของบาปเพราะทำให้คนมันกินเกินจำเป็นจนเกิดกิเลส ตามหลักพุทธศาสนาก็เถิด คุณไปใคร่ครวญดูอย่างอิสระเถิด จะรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นข้าศึก เป็นฝ่ายกิเลส เป็นฝ่ายข้าศึก อย่าไปหลงกับมันนัก ไอ้เรื่อง ไอ้สิ่งชูรสทั้งหลายนี่ นี่ได้ ได้ทำลาย ไอ้สิ่งที่สร้างมาดีแล้วโดยไม่รู้สึกตัว เขาสร้างมาพอดี สำหรับเป็นอาหาร สำหรับอยู่เป็นสุข แต่เราได้ประดิษฐ์มันจนกลายเป็นเรื่องวัตถุของกาม หรือเป็นกามคุณเพื่อส่งเสริมกิเลสเสียแล้ว ไม่ใช่ส่งเสริมชีวิต เพื่อรอดชีวิต เพื่ออยู่อย่างมีชีวิตเสียแล้ว มันกลายเป็นส่งเสริมกิเลส ซึ่งย้อนกลับมาเป็นอันตรายแก่ชีวิต ดังนั้น ชีวิตที่สร้างมาดีแล้ว สำหรับอยู่อย่างสงบสุข มันก็เปลี่ยนไป กลายเป็นที่ต่อสู้กับกิเลส พ่ายแพ้แก่กิเลส กิเลสมันก็ยึดครองชีวิต มันก็ทำให้อยู่อย่างเป็นทุกข์ นี่เรียกว่าพระเจ้าสร้างมาดีแล้ว มนุษย์ก็ทำลายไอ้ความดี หรือ อ้า, ความที่ควรจะดี หรือปกติภาวะนั้นเสียแล้ว อ้า, โดยมนุษย์นั้นเอง อย่างศัตรูนี่มันก็เกิดออกมาจากความก้าวหน้าของมนุษย์ ของเดิมบริสุทธิ์ สงบเงียบ ของใหม่นี่โกลาหลวุ่นวาย นี่ก็เกิดการทำลาย ทั้งฝ่ายวัตถุและจิตใจ แยกเอาเองสิ ฝ่ายวัตถุนี่ทำลายโลกฝ่ายวัตถุ ทรัพย์สมบัติในแผ่นดินนี่ถูกทำลายมากเกินจำเป็น เพราะขนเอามาหล่อเลี้ยงกิเลส หรือเป็นวัตถุกาม กินมาก กินดี กิน กินพิเศษแล้วก็เห็นแก่ตนอย่างเดียว ไม่ช่วยรักษาไอ้สิ่งที่ธรรมชาติ หรือพระเจ้าสร้างมาให้อย่างดีแล้ว คนแต่ก่อน เขา เขาเล่าให้ฟัง แล้วเราก็ทันเห็นนะ เช่น ต้องการผลไม้ อ้า, สัก สักห่อหนึ่ง สักกระจาดหนึ่ง เขาก็โค่นต้นลงมาเลย เอามาทั้งต้น แล้วก็เก็บเอาไปเฉพาะที่เอาไปได้ นี่เรียกว่ามันทำลายกันถึงขนาดนั้น ของดีๆ มีประโยชน์ที่เขาสร้างมาให้ ที่ธรรมชาติสร้าง พระเจ้าสร้าง ก็ถูกทำลายด้วยวิธีอย่างนี้ ในป่าที่มันเคยทึบไปด้วยผลไม้ เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนเป็นอะไรไปแล้ว ก็ไม่รู้ ที่ตำบลพุมเรียง ไปทางชายทะเลนั่นนะ ป่าทางแถบนั้นนะ บางฤดูเต็มไปด้วยมะม่วง เหลียวไปทางไหน ก็มะม่วง มะม่วงป่า บางฤดู เต็มไปด้วยมะปริง บางฤดูก็เต็มไปด้วยผลไม้อย่างอื่นไอ้ป่าที่ไปทางปากหมากนี่ผมเคยไปด้วยตนเอง เมื่อแรกบวชนะหมายความว่าห้าสิบปีมาแล้ว ห้าสิบกว่าปีมาแล้ว เป็นป่ามะไฟเหลืองอร่าม เหมือนกับผ้าเหลืองไปหุ้มต้น เดินตั้งครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวนี้หาดูสักต้น ก็ไม่ได้ เรียกว่าไอ้ ไอ้ธรรมชาติแท้ๆ นั้น ถูกทำลาย ถ้าไว้อย่างเดิมแล้วมันก็น่าดูมาก ดังนั้น เราควรจะเปลี่ยนหลักกันเสียใหม่ ว่าอย่าไปทำลาย ให้ชดเชยไว้ให้ดีอยู่เสมอ พระเจ้าสร้างมนุษย์ทำลาย นี่เรื่องเลวร้าย เปลี่ยนไปเสียใหม่ว่า พระเจ้าสร้าง มนุษย์เสริม เสริมไอ้ส่วนที่พระเจ้าสร้าง ลองถือหลักอย่างนี้สิปัญหาจะไม่เกิด ทั้งเรื่องทางวัตถุ และเรื่องฝ่ายจิตใจนะ ขอให้เป็นว่าพระเจ้าสร้าง แล้วมนุษย์ก็เสริม ถ้าเราทำอะไรที่เอาประโยชน์จากไอ้ธรรมชาติแล้ว เราต้องชดเชยตอบแทนให้ยังคงอยู่อย่างเดิม เท่าเดิม หรือดีกว่าเดิม ก็ยิ่งดี สำหรับจะมีผลออกมาให้ได้กินได้ใช้กันต่อไป เรียกว่า ถ้ากิน กินไข่แล้วก็ไม่ทำลายตัวมัน อย่าไปทำลายตัวมันเสียด้วย ดังนั้น ถ้าเราปฏิบัติกับไอ้ธรรมชาติทางวัตถุ ทรัพยากรธรรมชาติในแผ่นดินกันในลักษณะนี้ ไอ้แผ่นดินโลกนี้ก็ยังมีค่ามากอยู่ เดี๋ยวนี้มันถูกทำลายอย่างเห็นแก่ตัว ป่าไม้นั้นนะ น่าขำที่สุด กฎหมายเขามีชัดเจน ต้องปลูกแทน ทดแทนไอ้ส่วนที่ตัดลง แต่แล้วมันก็มีแต่ตัวหนังสือในกฎหมาย ไม่มีใครปฏิบัติ จนเดี๋ยวนี้ป่าที่มีประโยชน์ก็จะหาไม่ได้แล้ว มีแต่ป่ากากเดนที่เขาตัดไม้ที่ดีดีไปหมดแล้ว ที่จะปลูกนี่มันก็ปลูกแต่ไม่กากเดนทั้งนั้น เพราะไม้ดีไม้แท้จริงมันปลูกยาก ปลูกไม่ได้ ก็ปลูกไม้ที่ปลูกง่ายๆ มันก็เป็นไม้กากเดน นี่ธรรมชาติเรามันสูญเสียไปอย่างนี้ ที่เลวร้ายมาก คือว่าไอ้ลำธารที่เกิดน้ำ สำหรับทำกสิกรรมนี่มันถูกทำลายด้วยการตัดต้นไม้นะ แล้วก็ทำลายลำธาร แล้วฝนมันก็ไม่ตกมา น้ำมันก็ไม่มี มันเป็นการทำลายอย่างร้ายกาจเลย จนเดี๋ยวนี้เราลำบากเรื่องน้ำ มันทำให้น้ำไม่มีที่ปะ ปะทัง มันก็เลยไหลพรวดพราดลงมาอย่างที่กำลังท่วมกรุงเทพฯ อยู่ในเวลานี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนมันไม่ท่วมมากรวดเร็วอย่างนี้ เพราะมันมีป่าไม้หนาแน่นปะทังเอาไว้ ค่อยๆ รินออกมาเป็น อ้า, เป็นน้ำพุ เป็นน้ำตก เป็นอะไรตลอดปี เพราะเราทำลายป่านี้ลงมันก็มาพรวดพราดมา ไม่มีอะไรที่จะสกัดกั้น หรือจัดระเบียบให้มัน ค่อยๆ ริน ริน ค่อยๆ ระบายออกมา ไปดูน้ำ น้ำตกทุกแห่งเป็นอย่างนี้ ฉิบหายหมด เพราะถูกทำลาย ไอ้ป่าข้างบน ถ้าที่รักษาไว้ได้ก็ยังดี แต่ก็เห็นชัดอยู่ว่ามันรักษาไว้ไม่ได้ มันเปลี่ยนแปลงไปมาก เพียงแต่มันยังมีออกมาให้เห็นนะ แต่ที่มันหายไปเสียแล้วเป็นส่วนมากนั้นก็มี เราไม่รู้ เราไม่สังเกต ไอ้คราบน้ำตกขาวอยู่ มันที่หน้าผา มันก็มีแม้แต่ที่ภูเขานังเอของเรา ใกล้ๆ กันนี้ ที่ขึ้นไปทางนี้ จะเห็นเป็นคราบน้ำตก ซึ่งสมัยหนึ่งเคยเป็นน้ำตก เดี๋ยวนี้ไม่มีสักหยด อย่างนี้เป็นต้น เพราะมันถูกทำลาย ไอ้ป่าบนภูเขามันถูกทำลาย ด้านโน้นเมื่อก่อนเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ นี่มันแห้งหมด เป็นเหลือดินๆ ก็เดี๋ยวนี้ก็กำลังจะแห้งหมด ไม่มีไหลอีกแล้ว นี่ความที่มนุษย์ทำลายไอ้ธรรมชาติฝ่ายวัตถุ ก็คือทำลายส่วนประกอบ อ้า, ของโลกที่จะทำให้มนุษย์มีความปกติสุข ปัจจัยแห่งสันติภาพมันก็ถูกทำลาย อ้าว, นี่มันเรื่องข้างนอกทั้งนั้น มาพูดถึงเรื่องข้างในกันดีกว่า จิตเดิมแท้ จิตที่ไม่มีกิเลส มันก็ไม่มีความทุกข์ ต่อมามันก็มีความโง่ ความหลงในความเอร็ดอร่อย เกิดจิตใหม่ๆ ที่เป็นทาสของความอร่อยอย่างที่ว่า นี่มันก็เลย เกิดกิเลส ส่งเสริมกิเลส เฟื่องฟูด้วยกิเลส กิเลสนี้มันก็ทำลาย สภาพปกติสุข ที่มันเคยมีอยู่ในจิตของมนุษย์ เรียกว่าจิตเดิม หรือ จิตเก่านั้นนะมันไม่รู้จักกิเลส ทีนี้ ไอ้ความผิดพลาดที่เข้าไป ทีละนิด ละนิด ที่มันตกเป็นทาสของความเอร็ดอร่อย นี่มันก็สร้าง จิตใหม่ ความคิดใหม่ ความต้องการใหม่ หรือระบบใหม่จนเป็นทาสของกิเลส ถ้าเรารักษาจิตเดิมเดิมแท้ไว้ได้ มันก็ไม่เป็นทาสของกิเลสกันมากถึงอย่างนี้นะ นี่คิดดูให้ดี ดังนั้น พยายามที่จะยึดเอาไว้ให้ได้ในสภาพเดิมแท้ ต่อไปเราก็จะไม่คิด หรือไม่ปล่อยให้คิด ที่จะให้มันผิด ปล่อยให้มัน มันไปในกระแสแห่งความผิด แล้วก็จะพูดได้ว่า ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา มันเป็นไปในทางสร้างสรรค์ หรือเจริญ หรือสันติ มีความปกติสุข สันติสุข แต่พอไป พอไปเกี่ยวข้องกับเหยื่อของกิเลส กระแสอิทัปปัจจยตา มันเปลี่ยน ไปในทางที่จะผิด ทางอวิชชานะ อวิชชาก็มากขึ้น หนาขึ้น ดังนั้น อิทัปปัจยตานั้นก็เดินไปทางฝ่ายที่จะเกิดกิเลสและฝ่ายทุกข์ นี่การทำลายอย่างร้ายกาจชนิดนี้มันเพิ่งเกิดทีหลัง มันเพิ่งเกิดทีหลัง ดูให้ดี พระเจ้าสร้าง ก็หมายความว่าธรรมชาติฝ่ายถูกต้อง ฝ่ายที่ยังไม่เกิดกิเลสนะ มันก็สร้าง ต่อมามนุษย์ทำลาย มนุษย์ก็คือ ธรรมชาติโง่ ธรรมชาติฝ่ายต่ำ ธรรมชาติเป็นทาสของกิเลส มันก็ทำลาย แล้วมันก็ค่อยๆ ตกเป็นทาสของกิเลสไปโดยไม่รู้สึกตัว ตั้งแต่สมัยที่คนป่ารู้จักย่างเนื้อให้สุก แล้วก็จิ้มน้ำจิ้มนั่นแหละ ตั้งต้นมาตั้งแต่ครั้งโน้น ตั้งกี่หมื่นปี แสนปีมาแล้วก็ไม่รู้ มันเริ่มทำลาย เมื่อเริ่มเป็นทาสของความเอร็ดอร่อย ของใหม่ที่เพิ่งมี ถ้าปล่อยไปเท่าที่ธรรมชาติมันมี มันก็เท่าที่จำเป็น รอดชีวิตอยู่ได้ พอดี พอดีก็แล้วกัน ไม่ต้องอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง เหมือนอย่างสมัยนี้ นี่เรียกว่าธรรมชาติฝ่ายต่ำเข้าไปทำลายถึงขนาดวินาศนะ เรียกว่าวินาศแล้วก็ได้ ธรรมชาติฝ่ายสูงมันก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้วในโลกปัจจุบันนี้ ธรรมชาติฝ่ายสูงของมนุษย์มันพ่ายแพ้ธรรมชาติฝ่ายต่ำ ธรรมชาติฝ่ายต่ำก็แสดงบทบาทนั้น ดูสิ สร้างวิกฤตการณ์ ถึงขนาดที่ว่าพร้อมที่จะฆ่าฟันกัน ทำลายล้างกันอยู่เสมอ เดี๋ยวนี้ ตามรายงานหรือตามที่เขาบอกกล่าวกันเป็นที่เชื่อถือได้ว่า ถ้าเขาปล่อยอาวุธที่เขาเตรียมพร้อมไว้ ออกมาในพริบตาเดียว ไอ้คนก็จะตายไปเกือบหมดโลกนะ แม้แต่โลกทางวัตถุก็เปลี่ยนแปลง ไอ้สิ่งสร้างสรรค์ที่งดงามที่เป็นวัฒนธรรมก็วินาศหมด เพราะว่าแม้แต่โลกล้วนๆ ไอ้ ไอ้ตัวแผ่นดินโลกล้วนๆ ก็ยังจะต้องฉิบหาย นี่ใครทำลายเล่า ใครทำลายโลก ก็มนุษย์นั่นเอง มนุษย์ในที่นี้ ก็คือ ไอ้กิเลส ที่เพิ่งเกิดขึ้นในจิตของมนุษย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนนะ เดี๋ยวนี้ มนุษย์เจริญด้วยสติปัญญา สร้างเครื่องมือ เครื่องอะไรขึ้นมาขนาดที่ว่า จะทำลายโลกของพระเจ้านี่ ให้หมดไปในพริบตาเดียวได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ เขาคำนวณแล้วว่าไอ้เครื่อง เครื่องมือทำลายโลก อาวุธ อ้า, ปรมาณูทุกชนิดที่เตรียมพร้อมไว้นี่ สามารถจะทำลายครึ่งโลกได้ ในพริบตาเดียว ต่อไปเขาก็สามารถทำลายทั้งโลก หรือกี่โลก กี่โลกก็ได้ ให้หมดไปในพริบตาเดียวนี่มนุษย์มันทำลายโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาอย่างดีที่สุดซึ่งมันไม่ควรจะถูกทำลาย แต่เหตุการณ์มันก็ได้เป็นมาโดยทำนองนี้เรื่อย เรื่อยมา เรื่อยมา มนุษย์เจริญขึ้นมาในลักษณะที่จะทำลายโลก และทำลายมนุษย์กันเอง ทำลายวัฒนธรรมที่ได้สร้างขึ้นมามากแล้ว ทำลายสันติภาพที่เคยมีอยู่ก่อนนั้นให้หมดไป นี่พระเจ้าสร้างแล้วมนุษย์ก็ทำลายอย่างนี้ ทำลายทั้งโลกวัตถุ ทั้งโลกจิตใจ ทั้งไอ้ ไอ้คุณธรรมต่างๆ วัฒนธรรมต่างๆ หรือว่าสันติภาพของมนุษย์ก็จะถูกทำลาย ไม่เป็นเรื่องธรรมะ ธรรมโมอะไรนัก แต่มันก็ ก็เป็นอยู่เพราะมันเกี่ยวกับไอ้ความรอด ความวินาศของมนุษย์ แต่แล้วผมต้องการพิเศษอยู่อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ให้พวกคุณรู้จักฟังภาษาพูด รู้จักข้อที่ว่าภาษาที่ออกมาจากจิตใจของคนเราโดยแท้จริงแล้วมันจะตรงกัน ไม่ว่าฝ่ายตะวันตกพูด หรือฝ่ายตะวันออกพูด สุภาษิตข้อนี้เป็นของพวกตะวันตก พวกฝรั่งนะ พระเจ้าสร้างมนุษย์ทำลาย แต่เราก็มองเห็น แล้วเราก็จะพูดได้เหมือนกัน แล้วก็ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ แล้วก็ตั้งต้นกันใหม่ ตั้งศักราชกันใหม่ ขอให้เลิกความเป็นอย่างนั้นเสียเถิด เปลี่ยนมาเป็นว่า พระเจ้าสร้างแล้วมนุษย์ก็เสริมต่อออกไป โลกนี้จะหมุนกลับไปสู่สันติภาพอันถาวร ไม่ก้าวหน้าไปทางจะแตกสลายไม่มีอะไรเหลือ เหมือนอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ แล้วก็เชื่อได้ว่า มันจะเป็นได้อย่างนั้นจริง บันดาลโทสะนิดเดียวเผลอกดปุ่มปล่อยอาวุธที่เตรียมพร้อมอยู่ โลกนี้ก็วินาศไปตั้งครึ่งตั้งค่อน เป็นความโง่ของมนุษย์ที่ทำลายสิ่งที่ผู้สร้างได้สร้างมาดีแล้ว ต่อไปนี้ขอให้ทำอะไรในลักษณะที่มันเป็นการทดแทน ชดใช้ เสริมสิ่งที่พระเจ้าเขาสร้างเอาไว้ดีแล้วให้ได้ดีต่อไป โดยเฉพาะเจาะจงคือชีวิต ชีวิต ชีวิตนี้ เขาสร้างมาดีแล้ว สร้างมาเหมาะสมแล้วที่จะมี อ้า, สันติสุข สันติภาพ สร้างมาให้เหมาะสำหรับที่จะพัฒนาให้มีสันติสุข สันติภาพ เราควรจะร่วมมือ สวมรอยด้วย สร้างชีวิตนี้ที่ธรรมชาติให้มาเป็นเดิมพันนี้ให้เป็นไปเพื่อสันติสุข เพื่อสันติภาพ อย่าเป็นสมาชิก สมาคม บ้าๆ บอๆ ทำลายโลกที่พระเจ้าสร้างมาดีแล้ว เราอย่าไปเป็นสมาชิก หน่วยหนึ่ง คนหนึ่ง ในสมาคมนั้น มาเป็น อ้า, สมาชิกหน่วยใหม่ ที่เรียกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์เสริมกันดีกว่า หลักธรรมะทั้งหลายในพระพุทธศาสนานั้นช่วยได้ ที่จะให้เป็นอย่างนี้ นี่เวลามันก็หมดแล้ว เอาละ ขอให้เรานึกถึงที่จะ ยุค จะขึ้นยุคใหม่ ขึ้นศักราชใหม่ ขึ้นยุคใหม่ ให้กลายเป็นว่าพระเจ้าสร้างแล้วมนุษย์ก็เสริม แล้วเราก็ค่อยปรึกษากันในโอกาสอื่นว่าจะเสริมกันอย่างไร ในที่สุดมันก็จะไปอยู่ที่ว่าใช้หลักธรรมะในพระพุทธศาสนาให้ถูกต้องและเต็มที่เถิด มันก็จะกลับตาลปัตรเป็นว่า อ้า, พระเจ้าสร้างแล้วมนุษย์เสริมได้จริง ถ้าปล่อยไปตามความมืดบอดของอวิชชาอย่างปัจจุบันนี้ มันก็จะดำเนินไปในทางว่า พระเจ้าสร้างแล้วมนุษย์ก็ทำลายจนวินาศไม่มีอะไรเหลือในที่สุด หลักธรรมะในพุทธศาสนาจะมีประโยชน์ถึงขนาดนี้ จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้หมดสิ้นไป ขอให้ถือเป็นอุดมคติประจำชีวิตตลอดชีวิตด้วย ยุติ การบรรยาย
ไอ้การจด จดไอ้ แบบนี้นะมัน มันมีส่วนผิดๆ ถูกๆ หรือว่ามันได้น้อย ไม่สมบูรณ์ ต้องกลับไปบันทึกใหม่ให้ครบถ้วน ให้เรียบร้อย เป็นเรื่องๆ ไป ไอ้จดแบบนี้ มัน มันจดได้บ้าง จดไม่ได้บ้าง หรือไม่ทันจะเข้าใจดี แล้วมันก็ขัดกันเองบ้าง ไปอ่านดูเถิด ก็ไป ไปนั่นเสียใหม่ จดใหม่ให้สั้น ให้สั้นกว่านี้ก็ได้ แล้วก็ได้ความสมบูรณ์ จดให้ได้ใจความสำคัญทั้งหมดอย่าให้ตกหล่น แล้วก็ไปร้อยกรองกันให้มันเป็นเรื่องที่สมบูรณ์ กลมกลืน ก็แปลว่าเราได้เพิ่มความรู้ขึ้นมา วันละเรื่อง วันละเรื่อง เดี๋ยวมันก็เหลือแหละ เหลือเฟือ ถ้าเราเพิ่มความรู้กันวันละเรื่อง วันละเรื่อง ไม่เท่าไรมันเหลือเฟือ เอาละ ปิดประชุม ปิดประชุม กลับ