แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายครั้งนี้ จะได้พูดโดยหัวข้อว่า โอปปาติกะ คืออะไร บางคนอาจจะคิดว่ามัน มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังพูด แต่ผมกำลังจะบอกว่า มันเกี่ยวกันนะ โดยเฉพาะเรื่องตัวกูของกู เมื่อจิตมันมีตัวกู มันก็เกิดเป็นคนใหม่ เมื่อจิตว่างจากตัวกู มันก็เป็นอีกคนใหม่ อีกคน อ้า, คนใหม่ อีกคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกัน เดี๋ยวก็จะได้พูดกันชัดเจน แต่ในชั้นต้นนี้ จะบอกให้ทราบว่า เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่กำลังมีปัญหา ใน ในวงพุทธบริษัทไทยเรานี่ ยังตกลงกันไม่ได้ เรื่องสิ่งที่เรียกว่า โอปปาติกะ และก็ยังเป็นที่ตั้งแห่งการทะเลาะทุ่มเถียงขัดแย้ง ต่อต้านอะไรกันยุ่งไปหมด มันเป็นคำสำคัญ แต่แล้วมันก็มีความหมายที่ไม่ชัดเจน หรือว่าเพราะเรายังศึกษาไม่ถึงก็เลยไม่รู้เรื่อง เลยกลายเป็นคำที่ พูดมั่ว สลัว กำกวม มีความหมายดิ้นได้หลายอย่าง จนเป็นที่ตั้งแห่ง อ้า, การทะเลาะวิวาท เรียกว่าเรื่อง เรื่องที่กำลังเป็นปัญหา ที่เราควรจะศึกษาเพราะว่ามันเกี่ยวกับเราโดยตรงเรื่องนี้ และเราจะต้องปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เหมาะสม และก็จะได้รับประโยชน์มาก คือ ผมเคยอธิบายมาบ้างแล้ว ในการบรรยายก่อนๆ โน้น ที่เขาพิมพ์ออกแล้วก็มี ตั้งใจจะพูดจาให้เข้าใจถูกต้องกันเสียที แต่แล้วก็กลับถูกด่า ถูกด่าโดยพวกที่เขาอ้างตัวเองว่าเป็นผู้รู้ รู้อภิธรรม รู้อะไร ที่รู้สูงๆ นะ แล้วก็หาว่าเราอธิบายผิด หรืออธิบายเอาเอง เป็นการทำลายเสียก็มี เดี๋ยวก็จะได้พูดกัน
โอปปาติกะ เป็นคำที่แปลก แต่ถ้าจำไว้ได้ก็ดีมีประโยชน์ มันเป็นชื่อหนึ่งของโยนิทั้ง ๔ คำว่า โยนิ แปลว่า การเกิด หรือต้นเหตุ หรือสิ่งที่เป็นเหตุ หลักที่ถือกันอยู่ก็ว่าโยนิ การเกิดนะมี ๔ สังเสทชะ อัณฑะชะ ชลาพุชะ ชลาพุชะ เกิดในน้ำ อัณฑะชะ เกิดในฟองไข่ สังเสทชะ เกิดในความหมักหมม เกิดตม เถ้า ไคล อย่างนี้ ๓ นี้ ว่าอย่างนี้ อันสุดท้าย ที่ ๔ ว่า โอปปาติกะ ปรากฏและเกิดผุดขึ้น เกิดผุดขึ้น มัน มันต่างกัน ถ้าสังเกตดูให้ดีก็จะพบตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า ไอ้ ๓ อย่างนั้น เป็นเรื่องเกิดของสิ่งที่เป็นดุ้น เป็นชิ้น เป็นวัตถุ เป็นรูปธรรม หรือมีรูปธรรม ส่วน โอปปาติกะ นั้นนะ เป็นเรื่องการเกิดของจิตใจ ทางจิตใจ ไม่เนื่องกับรูปธรรม ไม่ใช่ ไม่ใช่ของรูปธรรม แต่โดยเหตุที่ว่า จิตใจมันอยู่ตามลำพังไม่ได้ มันต้องอยู่กับรูป หรือรูปธรรม แต่ว่าการเกิดที่ ๔ นี่ โอปปาติกะ นี้ เป็นการเกิดส่วนจิตใจ ไม่ใช่เกิดส่วนไอ้รูปธรรมที่เป็นเปลือก และมันต้องอาศัยเกิดในรูปธรรมนะ หรือว่าร่างกายนี่ โยนิ ๔ อย่าง ๓ อย่าง ข้างต้นเป็นเรื่องของวัตถุ ของร่างกาย อย่างสุดท้ายเป็นเรื่องของจิต มีคำอธิบายของการเกิดโดย โอปปาติกะ นี่ว่า เกิด ผุดขึ้นมา ผลุงขึ้นมาโดยไม่ต้องมีพ่อมีแม่ ซึ่งเป็นหญิงหรือชาย นี่อย่างแล้ว ไม่ต้อง การเกิดนี้ไม่ต้องมีพ่อมีแม่ หญิงชายสืบพันธุ์กัน เกิดแล้วก็ ผลุงขึ้นมาก็โตเต็มที่ ไม่ต้องเป็นเด็ก แล้วค่อยๆ เติบโต มันเป็นการเกิดทางจิต ไม่ต้องมีพ่อมีแม่ ไม่ต้องเป็นเด็กก่อน พอผลุงขึ้นมาก็โตเต็มที่ มันเป็นชื่อของอาการเกิดนะ นี่ตรงนี้จำให้ดี เดี๋ยวนี้ที่มันถียงกันอยู่ที่กรุงเทพฯ นะ มันก็เอาไปเป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์ที่มีแต่วิญญาณ ลอยไปลอยมา มาที่นั่นมาที่นี่เข้าสิงนั้นเข้าสิงนี้ เช่นอย่างพูดว่า โอปปาติกะ มาเข้าสิง หลับตาขับรถได้อย่างนี้เป็นต้น แล้วเขาโดยมากนะที่กรุงเทพฯ นะ คำนี้เขาใช้เป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่ง ซึ่ง ซึ่งเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็น อะไรชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงชื่อของกิริยาอาการที่เกิด นี่ผิดกันลิบเลย ทะเลาะกันใหญ่ แต่เราบอกไม่ใช่ ไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง เป็นเพียงชื่อของกิริยาอาการที่มันเกิด คือ เกิดผลุงขึ้นมาอย่างที่กล่าวแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องของผีของวิญญาณ ของอะไรที่เป็นตัวสัตว์ชนิดหนึ่ง แล้วเรียกชื่อมันว่า โอปปาติกะ ผู้ที่รู้บาลีไปศึกษาค้นคว้าดูเถิด ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันเหลือประมาณ มันเป็นสิ่งที่เกิดได้ง่าย เกิดได้บ่อย เพราะเป็นเรื่องทางจิตนั่นเอง ถ้าเป็นเรื่องทางวัตถุ มันก็มี ชลาพุชะ เกิดในน้ำ คนนี่มันเกิดในน้ำ ที่อยู่ในครรภ์ ในคัพภะของมารดา ตั้งต้นขึ้นมาในน้ำ แล้วค่อยเป็นตัวขึ้นมา ทีนี้ สัตว์พวกนก เป็นต้น มันเกิดจากไข่ ต้องเป็นไข่ก่อน แล้ว สังเสทชะ นี่ก็เกิดจากความหมักหมม หรือความชื้น ความหมักหมมที่เพียงพอแล้ว มันก็เกิดขึ้นได้ ในทางวิทยาศาสตร์มันก็ยอมรับว่ามันมีเชื้ออะไรชนิดหนึ่ง ไม่รู้กี่ล้านๆ ปี มาแล้วที่มัน มันคู่กันมากับโลก พอมันได้ความชื้นหรือน้ำที่เหมาะสม มันก็แสดงตัวออกมา อย่างเช่นว่า เราเอาดินในที่บางแห่งมาใส่ไว้กับน้ำไม่เท่าไหร่ มันก็เกิดเป็นตัวสัตว์ชนิดหนึ่งขึ้นมา เพราะมันมีเชื้ออยู่ในโลก ด้วยตาไม่เห็น ถ้าได้ความหมักหมมถูกต้องแล้วก็ มันก็เกิด อย่างในน้ำครำ น้ำอะไรนี่ มันก็เต็มไปด้วยสัตว์ชนิดนี้ ๓ ชนิดนั้น เป็นเรื่องการเกิดทาง ของสิ่งที่มีร่างกายมีวัตถุ แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นชื่อของ ของสัตว์นั้นๆ นะ เป็นเพียงชื่อของกิริยาอาการนี่ ทีนี้เราก็จะได้ความหมายของคำว่า โอปปาติกะ ว่ามันเป็นการเกิดทางจิตใจ เกิดใหม่หรือเปลี่ยนรูปใหม่ โดยทางจิตใจ โดยที่ร่างกายไม่ต้องเปลี่ยน อย่าลืมในข้อที่ว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิตใจต้องอยู่กับร่างกาย อยู่กับรูปหรือร่างกายเสมอ มันอยู่ตามลำพังไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการเกิดของจิตใจ ทางจิตใจ มันไม่ได้เปลี่ยนทางกาย มันไม่ได้มีการเกิดทางกาย ทางใจล้วนๆ มันเกิด นั่นมันเป็นเรื่องนามธรรม พูดง่ายๆ เป็นตัวอย่างก่อนก็ได้ว่า เราทำวิปัสสนานี่ อย่างที่พูดมาแล้ว เป็นจิตหมดกิเลส ทีนี้จิตมันก็เกิดในสภาพใหม่ เป็นพระอรหันต์อย่างนี้ การเกิดเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ มันเป็นเรื่องของจิตใจล้วน ไม่ได้เกี่ยวกับร่างกายนี่ รู้ไว้เสียก่อนว่ามันมีการเกิดชนิดนี้อยู่อีกส่วนหนึ่ง เป็นการเกิดทางจิตใจ ที่เกี่ยวกับเราผู้ต้องการจะดับทุกข์นะ มันหมายความว่า ถ้าเราปฏิบัติ เครื่องดับทุกข์ถูกต้องเหมาะสมแล้ว มันเกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ เกิดจิตชนิดที่เป็นโลกุตตระ หรือเป็นอริยะขึ้นมา เช่นว่าเกิดเป็นพระโสดาบันขึ้นมา เกิดเป็นพระสกิทาคามีขึ้นมา กระทั่งเป็นพระอรหันต์ เป็นต้น โดยที่ว่าไม่ต้องตาย ร่างกายยังคงเดิม หรือว่านั่งอยู่ตรงนี้ ร่างกายนี้ ถ้าทำถูกวิธี บรรลุธรรมทางจิตก็เป็น พระโสดาบัน การเกิดเป็นพระโสดาบันขึ้นมานั้นนะ เป็นตัวอย่าง ของคำว่า เกิดโดย โอปปาติกะ โดยชื่อที่เรียกว่า โอปปาติกะ หรือว่า ไม่ถึงกับบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยเจ้า แต่ก็ทำฌาน สมาธิสำเร็จ ในตามรูปแบบนั้นๆ ก็เรียกว่ามันมีจิตเป็นพรหม มีจิตของพรหม ในจิตเกิดเป็นพรหมขึ้นมา ที่นั่น เวลานั้น โดยร่างกายนั้น เกิดเป็นพรหม นี่ไม่ใช่โลกุตตระ ยังเป็นสัตว์ ยังเนื่องอยู่กับกิเลส มีภพ มีอะไรอยู่ เมื่อมี การกระทำที่มีผลแก่จิต จนจิตได้เปลี่ยนไปสู่สภาพอันใหม่อันอื่นแล้วก็ เรียกว่า เกิดโดยโอปปาติกะ ทั้งนั้น จะพูดกันจนเข้าใจคำ คำนี้เสียก่อน ที่เราอธิบายใหม่ และให้ถูก เป็นเหตุให้ถูกด่านั้น เราก็ยกตัวอย่างเรื่อง อบาย ๔ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ที่เขาพูดกันอยู่แต่ก่อน เขาอธิบายกันอยู่แต่ก่อน นรก สัตว์นรกอยู่ในนรก อยู่ใต้ดิน สัตว์ที่อยู่ในนรกนั้น สัตว์นรก ทีนี้ เดรัจฉานก็อยู่กลางทุ่งนาอย่างนี้ เป็นต้น เปรต ก็ไม่เห็นตัว เป็นอทิสมานกายชนิดหนึ่งเหมือนกัน อยู่ที่โลกของเปรต โลกของเปรตเขาก็ไม่ค่อยชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน เพราะว่าเรื่องเปรตมันมากนัก เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เป็นอะไรก็มี รูปร่างก็อยู่ที่โลกของเขา ซึ่งเรามองไม่เห็น เว้นไว้แต่ว่ามันจะแสดงตัว หรือแกล้งแสดงตัวเป็นเปรตมา อยู่ที่ไหนไม่รู้ ทีนี้ อสุรกาย อสุรกาย สัตว์ ผีชนิดหนึ่ง ถ้าเป็นพวกอสูร ในบาลีมันก็กล่าวว่าอยู่ใต้บาดาล เมืองของอสูรอยู่ใต้บาดาล แต่ว่าอสุรกายในที่นี้จะหมายถึงอันนั้นหรือไม่ก็ ก็ไม่แน่นักหรอก อธิบายกันแต่เพียงว่ามันเป็นสัตว์ที่ ไม่ยอมให้ใครเห็นตัว ซ่อนตัวเองอยู่เสมอ เป็นผีชนิดหนึ่ง เป็นผีชนิดหนึ่ง ก็เลยเป็นสัตว์ต่างๆ ชนิดกัน อยู่ในที่ต่างๆ กัน อะไรก็ต่างๆ กัน อาหารต่างกัน อะไรต่างกัน เมื่อบอกว่าอย่างนั้นมันก็ได้ พูดอย่างนั้นก็ได้ก็พูดไปตามที่เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป มาดูกันเสียใหม่ว่า ไอ้อบาย ๔ นั้น เมื่อใด เรานี่ คนนี่มันร้อนใจเหมือนกับไฟติด มัน มันเกิดเป็นสัตว์นรกโดยจิตใจนั้นนะ ในร่างกายนี้แหละ มันมี โอปปาติกะ คือ การเกิดทางจิตใจ เป็นสัตว์นรกโดยจิตใจอยู่ในร่างกายนี้ เมื่อใด มันโง่ โง่เกินโง่ ก็เรียกว่ามันเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายของคนนี้ ไม่ใช่อยู่ตามทุ่งนา ไม่ใช่วัวควายกลางทุ่งนา เมื่อจิตใจ มันโง่ถึงขนาดนั้น เหตุอะไรก็ตาม มันก็เปลี่ยน มีจิตใจเป็นชนิดนั้น แล้วเรียกว่ากำเนิดเดรัจฉาน เปรตนะ คือ เมื่อหิว หิว หิว เพราะกิเลสตัณหา มันก็เปลี่ยนจิตใจ จิตใจเปลี่ยนไปอยู่ในสภาพอื่นอีกอันหนึ่งเรียกว่า เปรต อสุรกาย ก็เมื่อใดมันขี้ขลาด ขี้ขลาดจนไม่มีที่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ มันขลาด มันกลัว อย่างนี้ มันก็ไม่ต้องการให้ใครเห็นตัวเหมือนกัน เพราะมันกลัว เมื่อไรเรากลัวถึงขนาดนั้น เมื่อนั้นเราเกิดเป็นอสุรกาย พวกที่เขายึดถือตามตัวหนังสือ ตามแบบก่อนโน้น เขาก็ว่า เราหลอก อธิบายหลอกหลวง อธิบายเอาเอง อธิบาย แล้วก็ยังปรับขนาดหนักว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยกเลิก ยกเลิกของเก่าๆ ที่เขาเคยสอนไว้ ข้อนี้ให้รู้แต่ว่าเราไม่ได้ยกเลิก แต่เราอธิบายให้เห็นที่เป็นสันทิฏฐิโกกว่า เพราะว่าการพูดกันอย่างนั้น มันมองไม่เห็น แล้วมันจะทำอะไรได้ มันควบคุมอะไรไม่ได้ ทีนี้เราจะพูดในลักษณะที่พอจะมองเห็นว่าอย่างนี้ อย่างนี้ แล้วเราก็จะควบคุมมันไว้ อย่าให้ไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างไร ควบคุมจิตนี้ไว้อย่าให้จิตไปเกิดเป็นอย่างนั้น การที่จิตเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ๔ อย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดทางจิต เกิดโดยจิต ที่เรียกชื่อว่าเกิดโดยโอปปาติกะเหมือนกัน ทีนี้ ให้มันง่าย ให้มันใกล้เข้ามาอีก เป็นคนพาลหรือเป็นบัณฑิต เมื่อใดมันคิดอย่างคนพาล คนเลว คนอันธพาล มันก็เกิดเป็นคนพาล จิตมันคิดอย่างคนพาล ตั้งใจจะทำอย่างคนพาล หวังอย่างคนพาล เอาอย่างคนพาล ไอ้คนนั้นในร่างมนุษย์นั้น นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ต้องออกไปไหนเลย มันก็เกิดเป็นคนพาลขึ้นมา ทีนี้เมื่อใดมันตรงกันข้ามนะ มันรู้ตามที่เป็นจริง ฉลาด ไม่เป็นพาล จิตใจเป็นอย่างนั้น ก็เกิดเป็นบัณฑิตขึ้นมาแล้วด้วยจิตใจนั้น นี่เรียกว่าเป็นคู่เปรียบเทียบ ถ้าจิตเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดเป็นคนพาล ถ้าจิตเป็นอย่างอื่นอีกตรงกันข้ามก็เรียกว่าเกิดเป็นบัณฑิต ทีนี้ เรื่องที่มันจะเกี่ยวกับ พวกเรา ก็คือว่า เป็นพระหรือเป็นฆราวาส ถ้าจิตคิดอย่างพระ ดำรงจิตไว้อย่างพระ มันก็เป็นพระแหละ ถ้าจิตคิดเป็นฆราวาส คิดอย่างฆราวาส หวังอย่างฆราวาส มันก็เกิดเป็นฆราวาส ภายในจีวรเหลืองๆ หัวโล้นๆ นี่ เรามีจิตอย่างฆราวาส คิดอย่างฆราวาส หวังอย่างฆราวาส มันก็เกิดเป็นฆราวาสโดย โอปปาติกะ ทั้งที่ร่างกายยังอยู่ในผ้าเหลืองหัวโล้นๆ ทีนี้ ที่มันละเอียดลงไปอีกก็ว่าเมื่อความคิด อ้า, ของเราเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น อย่างตรงกันข้าม เด็ดขาดลงไป อ้า, มันก็เรียกว่าเกิดใหม่โดยจิตเหมือนกัน เช่นว่า คุณสูบบุหรี่ พอใจในการสูบบุหรี่อยู่มาก่อนแล้วเป็นประจำ ก็เรียกว่ามันเกิดอยู่ในสภาพนั้น ทีนี้ พอมีอะไรมาทำให้คุณเปลี่ยนจิตใจ เกลียดชังไม่ยอมสูบบุหรี่อีกต่อไป ประกาศตนเป็นข้าศึกกับบุหรี่ อย่างนี้ อย่างไปที่คุณไสวก็ได้ จิตใจมันเปลี่ยนหมด ไม่ยอมสูบบุหรี่อีกต่อไปนี่ จิตนี้มันก็คือการเกิดใหม่ มันก็เกิดเป็นคนที่ไม่ยอมสูบบุหรี่อีกต่อไป มันคนละคน ร่างกายไม่ต้องเปลี่ยน ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนกินเหล้า หรือเกิดเป็นคนที่ไม่กินเหล้าอีกโดยเด็ดขาด มันเปลี่ยนโดยจิตใจ ซึ่งมีผลมากนะ ก็เรียกว่าเกิดชนิด โอปปาติกะ คือเปลี่ยนปุบ เปลี่ยนผลุบ เปลี่ยน มันเปลี่ยนอย่างที่เรียกว่าไม่ ไม่ต้องค่อยเป็นค่อยไป คือ ไม่ต้องเป็นเด็ก แล้วโตขึ้นโตขึ้นก็ไม่ใช่ มันเปลี่ยนเป็น ปุบปับไปเลย ไม่ต้องมีบิดามารดา มันก็เกิดเป็นคนใหม่ได้ ดังนั้น ศึกษาเรื่องจิตใจดูให้ดี ถ้าเราทำวิปัสสนาสำเร็จ สามารถขจัดตัวกูเสียได้ มันก็เกิดเป็นคนใหม่ที่ไม่มีตัวกู ไม่มีกิเลสประเภทตัวกูนะ มันก็เกิดเป็นคนชนิดที่ไม่ ไม่มีตัวกู ไม่มีกิเลส มันเกิดเป็น พระอริยเจ้าไป แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ยังไม่เด็ดขาด ไม่แน่นอน มันก็กลับไปกลับมา แต่ก็ต้องเรียกว่า มันเปลี่ยนเหมือนกัน เพราะว่าเวลาที่มันมีตัวกูมันก็อย่างหนึ่ง เมื่อไม่มีตัวกูมันก็อย่างหนึ่ง หรือว่าไอ้คนที่มันทิ้งบุหรี่ไม่จริง ทิ้งบุหรี่ไม่จริง คือ ไม่สำเร็จ เมื่อมันสูบบุหรี่ มันก็เกิดเป็นคนสูบบุหรี่ พอมันตั้งใจจะไม่สูบบุหรี่โดยเด็ดขาด มันก็เกิดใหม่ แต่แล้วบังคับไว้ไม่ได้ มันก็ตาย มันก็เกิดเป็นคนสูบบุหรี่อีก โดยร่างกายเดียวกันนั้น กลับไปกลับมาอย่างนี้ได้ การเกิดแห่งจิตใจ เปลี่ยนรูปแบบโดยสิ้นเชิงอย่างนี้ ก็เรียกว่าเกิด เกิดจริง เกิดยาวนาน หรือว่าเกิดระยะสั้น เกิดชั่วขณะเปลี่ยนได้ ก็เรียกว่าเกิดเหมือนกัน หรือว่าเราจะดูในแง่ที่มันเป็นรูปธรรมมากขึ้นหน่อย เกิดเป็นคนมั่งมีหรือเกิดเป็นคนยากจน เช่นว่า พอเขาถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่มหาศาล จิตใจเขาก็เปลี่ยนความรู้สึก ว่าเขาเป็นคนมั่งมี ทีนี้ พอเขาสูญเสียหมด ไม่มีอะไรเหลือเขาก็มีจิตใจที่เกิดขึ้นว่า เราเป็นคนไม่มีอะไร คือ เป็นคนจน เป็นคนยากจน จิตใจที่เปลี่ยนสภาพอย่างนี้ เรียกว่าการเกิดในความหมายนี้ เกิดทางจิตใจ ถ้าคิดอย่างคนก็เป็นคน ถ้าคิดอย่างสัตว์ ก็เป็นสัตว์ ระวังให้ดี มันจะเป็นสัตว์ในร่างกายคนนี้ได้ หรือเป็นคนในร่างกายคนนี้ก็ได้ จะใช้ประโยชน์ในทางอาชีพได้ ก็จะต้องนึกถึงพวกศิลปิน พวกเป็นศิลปิน พวกละคร คือตามเทคนิคของเขาก็มีอย่างนั้นนะ ถ้าเราจะแสดงตัวทศกัณฑ์ หรือแสดงตัวหนุมาน หรือว่าจะแสดงตัว ตัวอะไรในเรื่องละครนั้น ก็ขอให้ทำจิต ให้เป็นอย่างนั้น อย่าลืมว่าเราเป็นคนธรรมดานี่ ทำจิตให้เป็นเหมือนลิง ทำจิตให้เป็นเหมือนยักษ์ ทำจิตให้เป็นเหมือนผู้หญิง แล้วก็แสดงละครได้สนิท เป็นที่ติดใจประชาชน มีชื่อเสียง มีรางวัล ได้เงิน รวย เราสามารถเปลี่ยนจิตใจ ให้เป็นจริงเป็นจัง ตามรูปแบบของไอ้ตัวละครที่เราจะต้องแสดง ดังนั้น ถ้าว่า ไอ้ ไอ้นักละครคนไหน มันสามารถเกิดโดยโอปปาติกะได้อย่างแนบเนียนสนิทสนมแล้ว มันจะต้องสามารถ มันจะสามารถเป็นตัวละครเอกที่มีชื่อเสียง มันแสดงเป็นทศกัณฑ์ มันก็เหมือนยักษ์จริงๆ มันแสดงเป็นหนุมาน มันก็เป็นเหมือนลิงจริงๆ มันแสดงเป็นนางสีดา มันก็เป็นนางสีดาจริงๆ ที่มัน มัน มันค่อนข้างจะเห็นง่ายนะ ใกล้มาทางวัตถุ ทีนี้ เราพอจะมองเห็นได้แล้วว่า มันเป็นการเกิดทางจิตทางวิญญาณ ถ้าเกิดทางกาย มันก็เหมือนที่เกิดกันอยู่ตามธรรมดา คลอดจากท้องแม่ ค่อยๆ โตขึ้นมา เกิดทางกาย ถ้าเกิดทางวัตถุ เกิดเป็นวัตถุ ก็เหมือนที่วัตถุมันค่อยๆ เกิดขึ้น เจริญขึ้น เป็นต้นไม้ ต้นไร่ หรือแร่ธาตุบางชนิด เกิดก่อตัว ขยายตัว เป็นกลุ่ม เป็นก้อนขึ้นมา นี่เกิดทางวัตถุ เกิดทางกายก็ได้ เกิดทางจิตทางวิญญาณก็ได้ ถ้าเราเปลี่ยนอารมณ์อย่าง อย่างเต็มที่วันละหลายๆ ครั้ง ก็คือ มีการเกิดทางจิตวันละหลายๆ ครั้ง แต่มันก็ ไม่ค่อยมีหรอก ที่ว่าจะเปลี่ยนอารมณ์ถึงขนาดหนัก และวันหนึ่งทำได้หลายๆ ครั้ง มันก็ทำยากเหมือนกัน ถ้าทำได้ หรือแม้ไม่ได้เจตนาทำ มันเป็นไปเองโดยปัจจัยแวดล้อม มันก็เรียกว่า การเกิดใหม่วันละ หลายๆ ครั้ง ในระดับนั้น ในระดับเท่านั้น จะ ๑๐๐ % หรือไม่ ๑๐๐ % ก็แล้วแต่ แต่ว่ามันเป็นการเกิดใหม่ ตามจิตที่มันเปลี่ยนไป เพราะเหตุปัจจัยเข้ามาแวดล้อมให้เปลี่ยน ทีนี้ การเกิดของพระพุทธเจ้าดีกว่า คำว่าพระพุทธเจ้าเกิดนี่ เขาไม่ได้ใช้คำว่า ชาติ เขาใช้คำว่า อุบัติ พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ คำว่า อุปปัตินั้นแหละ คือ รากศัพท์เดียวกัน คำเดียวกับคำว่า โอปปาติกะ ถ้าทราบชื่อที่มันเต็มรูปของ ของคำ มันกลายเป็น โอ ปะ ปะ โอ ปะ ปะ แล้วก็มี อิกะ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก ถ้าแปลเป็นไทยก็ว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก นี่เป็นเรื่องที่คุณจะต้องศึกษาให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก เกิดเมื่อไร เกิดเมื่อพระสิทธัตถะเกิดจากท้องแม่ หรือว่า เกิดเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ที่พูดว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ คำว่าทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ มันอุบัติอย่างไร ที่ไหนเมื่อไร ถ้ามันพูด ถ้ามันรู้จริง มันก็ต้องชี้ลงไปว่า ที่ใต้ต้นโพธิ์ เกิดโดยการตรัสรู้ เกิดโดยธรรม เกิดโดยการตรัสรู้ ไม่ใช่ตัวเด็กสิทธัตถะเกิดจากท้องแม่ การเกิดเป็นพระพุทธเจ้านี้ไม่ต้องมีแม่ ไม่ต้องมีพ่อ แล้วก็ไม่ ไม่ต้องเกิดเป็นเด็กตัวเล็กๆ ก่อนแล้วค่อยๆ โตขึ้น โตขึ้น อย่างนี้มันไม่มี เป็นพระพุทธเจ้าผลุงขึ้นมาเต็มที่ เต็มขนาดเลย เพราะการตรัสรู้นั้น ไม่ต้องเกิดเป็นเด็กก่อน ไม่ต้องมีพ่อ ไม่ต้องมีแม่ นี่ คำว่า โอปปาติกะหมายถึงกิริยาอาการที่เกิดโดยจิตใจ เกิดที่ พระพุทธเจ้าเกิดนะ ใช้คำว่าเกิดในภาษาไทย พระพุทธเจ้าเกิดที่ ต้นโพธิ์ ที่โคนต้นโพธิ์ โดยไม่ต้องมีอะไรเป็นพ่อแม่ เกิดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดเมื่อวันตรัสรู้ หรือโดยการตรัสรู้ นี่โอปปาติกะ การเกิด ผุดขึ้นมาโดยทางจิตใจของพระพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์ที่มีการตรัสรู้ นี่จะพอจะเห็นได้แล้วว่า คำว่าโอปปาติกะเป็นชื่อของการเกิด เป็นชื่อของกิริยาเกิด ไม่ใช่เป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่ง หรือเป็นผีเป็นวิญญาณ อะไรก็ไม่ใช่ ทีนี้ที่เกี่ยวกับพวกเรา เขาเรียกว่า เกิดเป็นบรรพชิต จะใช้คำว่าเกิดโดยอริยชาตินี่มันก็ ก็ยากเหมือนกัน ถ้าเกิดโดยอริยชาติ มันต้องเป็นโสดา สกิทา อนาคา อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่นี่เกิดเป็นบรรพชิต สมณศากยปุตติยะ อย่างนี้ มันก็เกิด ถ้าโดยวินัย มันก็เมื่อสวดญัตติจตุตถกรรมวาจาจบ เมื่อกลางโบสถ์ นี่มันเกิดโอปปาติกะ เอ่อ, โดยรูปแบบ ถ้าว่าจิตใจของคนนั้นมันไม่เป็นนะ แต่ก็โดยสมมติโดยรูปแบบ มัน มันเปลี่ยนชื่อว่าเป็น เป็น เกิดเป็นบรรพชิต มันจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อว่า จิตของบุคคลนั้นนะของเจ้านาคคนนั้น หรือผู้บวชคนนั้น มันเปลี่ยนจริง โดยคำชี้แจงชักจูงของอุปัชฌายะแล้วจิตของมันเปลี่ยนสลัดความรู้สึกอย่างฆราวาสหมดสิ้น เป็นจิตใจของบรรพชิต พ้นไปจากความเป็นฆราวาส ไม่มีความเป็นฆราวาสเหลืออยู่ โดยจิตใจนี้ก็ชื่อว่า เขาเกิดเป็นพระ เป็นบรรพชิตขึ้นมา แล้วก็จะเกิดเป็นอริยชาติยิ่งขึ้นเมื่อเขาบรรลุโสดาปัตติผล เป็นต้น จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์นั้นนะ จึงจะเกิดโดยอริยชาติที่สมบูรณ์ คำกล่าวขององคุลีมาลก็มีเป็นตัวอย่างอยู่ว่า ตั้งแต่เกิดโดยอริยชาติแล้ว ไม่เคยทำสัตว์ใดๆ ให้ตาย ดูก่อนน้องหญิง ขอให้ครรภ์ คัพภะสัตว์ในครรภ์ของเธอจงสวัสดีเถิด นี่คำกล่าวขององคุลีมาล เมื่อผู้หญิงเห็นเข้าแล้ว กลัวตกใจวิ่งหนีไปติดรั้วอยู่ หญิง หญิงครรภ์แก่ ไปหาดู หาเรื่องอ่านดู จะมีคำว่าเมื่อ เมื่อ ไอ้จำเดิมแต่เราเกิดขึ้นโดยอริยชาติ ไม่เคยทำสัตว์มีชีวิตใดๆ ให้ตกล่วงเลย อย่างนี้เป็นต้น ใช้คำว่าเกิดโดยอริยชาติ ในที่นี้หมายถึงเป็นพระอรหันต์ พระองคุลีมาลเป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าว่าเป็นเพียงอนาคามี สกิทาคามี โสดาบัน ก็โดยอริยชาติเหมือนกัน ขั้นต่ำๆ ลงมา เขาก็เรียกเกิดโดยอริยชาติ แต่ทีนี้ ที่เราบวชพระกัน มันไม่ถึงนั้นนี่ แต่มันก็เปลี่ยนจิตใจเป็นคนละรูปแบบเหมือนกัน ถ้าว่าจิตใจของเขาเปลี่ยนจริง ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าเพียงแต่เอาจีวรมาห่ม ทำท่าทำทาง แล้วก็เรียกว่าเกิดโดยชาติบรรพชิต โดยอนุโลม อริยะโดยสมณะ ชาติของสมณะ นี่ก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ผ้าเหลืองมาคลุมเข้า โกนหัวเข้า แล้วก็ว่าบวชกรรมวาจาต่างๆ แล้ว ถ้าจิตใจ ไม่เปลี่ยน มันไม่ได้เกิดหรอก ไม่ได้เกิดเป็นพระ ถ้าจิตใจมันเปลี่ยนด้วย นั่นแหละจะเป็นการเกิดจากฆราวาสไปเป็นบรรพชิต ถ้าไปทำกรรมฐานวิปัสสนาสำเร็จอีกทีหนึ่ง จิตใจเปลี่ยนจากไอ้ปุถุชน กลายเป็นพระอริยเจ้า นี่ก็เป็นโอปปาติกะที่แท้จริง ที่สมบูรณ์ ขอให้เรารู้จักคำว่าโอปปาติกะ ให้ดีๆ อย่างนี้ ทีนี้ ที่ผมพูดว่าต้องศึกษาให้เข้าใจ และเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ให้ได้นะ หมายความว่าเราจะทำการอบรมจิต อบรมจิตโดยวิธีสมถะ หรือวิปัสสนาอยู่เรื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา จนถึงขณะหนึ่งซึ่งจิตมันเปลี่ยน นี่คือ การเกิดโดยโอปปาติกะ เพียงแต่จิตเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของไอ้ฌาน ของสมาธิ ก็จะเกิดเป็นพรหมได้ ถ้าหมดกิเลสสังโยชน์ขั้นพระโสดาบัน ก็เกิดเป็นพระโสดาบันได้ กระทั่งเป็นพระอรหันต์ได้ เมื่อมันถึงขั้นนั้น เมื่อเราทำสติ ปฏิบัติอยู่ในอานาปานสติภาวนา เป็นต้น มันก็เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยน เกิดเล็กเกิดน้อย เกิดกันโดยทางจิตใจ เกิดได้เรื่อย เช่นได้ปฐมฌาณ มันก็เกิดเป็นพรหมชนิดหนึ่ง ใน ในระดับของปฐมฌาณ ถ้าจิตใจมันเปลี่ยนจริงๆ เหมือนกัน แต่แล้วมัน มัน มันกลับได้ มันละลายได้ มันสูญหายได้ มันกลับมาเป็นจิตธรรมดาอีก มันก็เรียกว่า ตายหรือจุติจากพรหมมาเป็นปุถุชนอีก มาเป็นปุถุชนมนุษย์ธรรมดานี่อีก ที่เขาจัดไว้ กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร มันเปลี่ยนได้ ตามนั้นแหละ จิตอยู่ในระดับกามาวจร ก็เป็นจิตที่ชอบกาม จิตที่เป็นรูปาวจรก็จิตที่ชอบรูปบริสุทธิ์ ไม่ชอบกาม เกลียดกาม ถ้าเป็นอรูปาวจร มันก็ชอบภาวะไม่มีรูป มันก็เกลียดรูป เพราะรูปเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ ก็เป็นอรูปาวจร การเปลี่ยนแห่งจิตใจนี่ ทำให้เกิดมีการเกิดใหม่ เป็นสัตว์อยู่ในกามาวจรภูมิ ภูมิต่ำๆ พอใจในกาม หรือว่า มันทำถูกต้อง มันดีขึ้นไป มันก็ไปอยู่ในรูปาวจรภูมิ จิตไม่ ไม่ ไม่ ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่หลงติดอยู่ในกาม อยู่ในความสุขที่เกิดแต่รูปธรรมอันบริสุทธิ์ เขาเรียกพอใจในรูป พอใจในรูป สิ่งที่เป็นรูปบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวกับกาม ถ้าเห็นว่าไอ้รูปนี้ มันก็หยาบ ยังเกะกะ ยังมีเหตุปัจจัยหยาบ เอาไม่มีรูปดีกว่า ก็น้อมจิตไปเพื่อสิ่งที่ไม่มีรูป เป็น อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ใน ในตำราเรียน คุณไปหาดูเอาเองก็ได้ ไม่ต้องเอามาพูดที่นี่ให้มันกินเวลาของไอ้เรื่องที่มันไม่มีในตำราเรียน มันเปลี่ยนจิตใจไปสู่สภาพอื่น นั่นนะ คือ การเกิดโดยจิตใจ และเรียกกิริยาอาการเกิดชนิดนี้ว่าเป็นโอปปาติกะ เรามาจากบ้าน มาบวช ถ้าจิตไม่เปลี่ยน จิตเท่าเดิม ก็ไม่ได้ ไม่ได้เป็น ก็ไม่ได้มีโอปปาติกะเป็นภิกษุ ถ้าจิตมันไม่เปลี่ยน มันเป็นแต่รูปแบบภายนอกตามที่สมมติ นุ่งผ้าเหลือง โกนหัว มีกิริยาท่าทางอย่างพระ ไปบิณฑบาต นั่นมัน มัน มันเป็นแต่เปลี่ยนภายนอก แต่ยังไม่ชื่อว่าเป็นโอปปาติกะ โดยสมบูรณ์ เป็นโอปปาติกะ โดยสมมติ โดยวินัย บวชแล้วอย่างนี้ก็เรียกว่าภิกษุ แต่ถ้าในจิตมันเปลี่ยนจริง เปลี่ยนจริง เบื่อหน่ายเกลียดชังเพศฆราวาส มีจิตใจอย่างบรรพชิตจริง มันก็เกิดเป็นบรรพชิตจริง เป็นโอปปาติกะ สำเร็จในชั้นอนุบาล ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนชั้นอนุบาล มาเป็นบรรพชิตได้ ยังต้องเปลี่ยนไปตามลำดับ ตามลำดับ สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปตามลำดับชั้น จะเป็นชั้นมัธยม เป็นชั้นอุดม อะไรจนกว่า จะเป็นพระอรหันต์ นี่ ขอให้ดูให้ดี คำว่า โอปปาติกะ นั้นนะ มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับพวกเราทุกคน ทุกคน คือ มันเกี่ยวกันอยู่กับการเปลี่ยนแห่งจิตใจของแต่ละคน พอจิตใจเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นก็มีการเกิดอย่างโอปปาติกะ เป็นรูปแบบอื่น เมื่อคืนเราก็พูดกันถึงเรื่องว่า อย่างไรมีตัวกู อย่างไรไม่มีตัวกู ดูให้ดีเถิด พอจิตมันเกิดไม่มีตัวกูขึ้นมา มันก็เกิดใหม่แล้วเป็น เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งในจิตว่างจากตัวกู เพียงแต่ว่ามันไม่เด็ดขาดตายตัวนะ ยังกลับไปมีตัวกูได้อีก ดังนั้น ตลอดเวลาที่ยังไม่ ไม่สำเร็จเด็ดขาดลงไป เดี๋ยวมีตัวกู เดี๋ยวไม่มีตัวกู เดี๋ยวมีตัวกู เดี๋ยวไม่มีตัวกู นั้นก็เป็นโอปปาติกะ ทุกครั้งที่มันมีการเปลี่ยนไปเป็นไม่มีตัวกู ว่างอยู่พักหนึ่ง แล้วเดี๋ยวก็กลับมามีตัวกูอีก ทีนี้ประโยชน์ที่จะได้รับก็คือ เราควบคุมมันให้ได้ ถ้าเราควบคุมมันได้ มันก็เป็นการเกิดไปในทางที่มันดีขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น ไม่กลับมาต่ำ ถ้าเรารู้เรื่องโอปปาติกะ ถึงขนาดที่ว่าควบคุมมันได้ ทางจิตใจนี่ มันก็จะเป็นผลดีในการที่เรามันจะเลื่อนชั้นตัวเอง เลื่อนชั้นตัวเองขึ้นไปตามลำดับ อ้าว, วันนี้มา สำรวม มาปฏิบัติอยู่ในที่สงบสงัด กำหนดบทที่ควรกำหนดตามลักษณะแห่งอานาปานสติ หายใจเข้าหนอ หายใจออกหนอ สั้นหนอ ยาวหนอ หยาบหนอ ละเอียดหนอ ระงับหนอ ฟุ้งซ่านหนอ จิตมันเปลี่ยนนะ มันก็เป็นโอปปาติกะในรูปนั้น นิดหนึ่ง นิดหนึ่ง นิดหนึ่งตามสมควร ดังนั้น ไอ้วิธีทำจิตตภาวนานั้นแหละ เป็นวิธีที่จะควบคุมโอปปาติกะ หรือว่าทำให้เกิดโอปปาติกะ ชนิดที่พึง ที่น่าปรารถนา ชนิดที่ควรปรารถนา ดังนั้น เมื่อผู้ใดทำจิตตภาวนาสำเร็จแม้ในขั้นต้น จิตของเขาเปลี่ยนแล้ว เขาก็ไปเกิดเป็นไอ้จิตชนิดนั้น เรียกว่าสัตว์ชนิดนั้นก็ได้ ถ้ามันไม่กลับมาถอยหลัง กลับมาที่เดิมมันก็ดี มันมีแต่จะก้าวไปข้างหน้า ดังนั้น เราจะต้องทำ จิตตภาวนาของเราให้ถูกต้อง ไม่มีกลับย้อนหลัง มีแต่ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยไป เรื่อยไป ทุกวัน ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี การเกิดโดย โอปปาติกะ กระโดด กระโดด กระโดด กระโดดไปเป็นขั้นๆ ขั้นๆ นี่เป็นสิ่งที่ควรจะสนใจ มันจะ จะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ จะเอาวิธีนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ จิตใจเลื่อนชั้นไปเรื่อย ดีขึ้นไปเรื่อย ดีขึ้นไปเรื่อย ดีขึ้นไปเรื่อย การเกิดโดยจิตใจที่ดีขึ้นไปเรื่อย สูงขึ้นไปเรื่อย นั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ควรจะทำให้ได้ หรือควรจะมี หรือควรจะศึกษา อย่างนั้นเรียกว่าโอปปาติกะ ที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นเรื่องไร้สาระ หรือไม่มีประโยชน์อะไร แต่เราไม่ได้หมายถึงโอปปาติกะ อย่างที่เขาพูดกันที่กรุงเทพฯ เอามาทำอะไรได้อย่างปาฏิหาริย์ หรือว่า ปิดตาแล้วขับรถได้ เป็นต้น และอีกมากไม่ใช่แค่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว โอปปาติกะต้องอาจารย์ที่กรุงเทพฯ ที่เขากำลังถกเถียงกันอยู่ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาเอาไปเป็นชื่อของสัตว์ของวิญญาณ ของผีอะไรชนิดหนึ่ง มันคนละเรื่องกัน ในที่นี้เป็นเพียงชื่อของกิริยาอาการที่จิตมันเปลี่ยน ทีนี้จิตนี่มันเป็นของเบานี่ มันเป็นนามธรรม มันก็เปลี่ยนชนิดพรึบไปมา ผลุบขึ้น ผลุบลง เรียกว่า ผุดขึ้น จึงเรียกว่าเป็นการเกิดอย่างผุดขึ้น หรือเกิดเป็นพระอริยเจ้า หรือเกิดเป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์ โดยที่จิตมันผุดโพลงขึ้นมา เดี๋ยวนี้ เรายังไม่ต้องการถึงขนาดนั้น หรือว่าเราจะหวังถึงขนาดนั้นยังไม่ได้ เราก็โอปปาติกะ ชนิดที่ให้มันดีกว่าธรรมดาที่ควรจะพอใจ เกิดใหม่เป็นคนที่มีจิตสงบเย็น ให้ชีวิตนี้มันเย็น จิตใจนี้มันเย็น ชีวิตนี้มันเย็น มันเกิดเป็นสัตว์ที่มีจิตใจเย็น ไม่ร้อนเหมือนแต่ก่อน ถ้าทำสำเร็จถึงขั้นที่มันจะวกกลับไม่ได้ มันก็ไม่วกกลับ แต่ถ้าเราทำถึงขั้นนั้นไม่ได้มันก็วกกลับ มันก็วกกลับ ไปหาสภาพเดิม นี่จึงเอามาพูดว่า เป็นเรื่องที่ควรจะรู้ มันเกี่ยวข้องกันกับเรื่องของการมีตัวกู หรือไม่มีตัวกู เต็มอัดไปด้วยตัวกู หรือว่าว่างจากตัวกู ถ้าจิตมันว่างจากตัวกู มันก็เป็นโอปปาติกะ ชนิดหนึ่ง เกิดเป็นว่างจากตัวกู เป็นการเกิดโดยโอปปาติกะ ไปเป็นจิตชนิดที่ว่างจากตัวกู ถ้ามันไม่ ไม่เด็ดขาด ไม่เป็นสมุทเฉท มันก็กลับไปมีตัวกูอีกก็ได้ มันก็ เรียกว่าเกิดใหม่อีก เกิดมาเป็นสัตว์ที่มีตัวกูอีก หรือว่าเราเป็นพระนี้ ระวังไม่ดี จิตมันก็ไม่เป็นพระ มันก็กลับไปเป็นฆราวาสในผ้าเหลืองนี้ก็ได้ ทีนี้ มันก็จะพูดถึงเรื่องที่จะเป็นปัญหาแก่พวกคุณหลายๆ องค์ที่จะต้องลาสิกขา ที่จะต้องลาสิกขา ถ้าจิตมันเปลี่ยน มันก็กลับไป กลับไปเกิดเป็น อ้า, เป็นไอ้ ฆราวาส เป็น เป็นผัว เป็นลูก เป็นอะไรไปที่บ้านอีกแหละ ดังนั้น แม้โดยวินัยนะ เขาก็มีระเบียบว่า เมื่อลาสิกขา เมื่อทำพิธีลาสิกขาบท เขามีหลักเกณฑ์ว่า จิตใจของคุณเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า ถ้าจิตใจของคุณ ไม่ยอมสึก แต่มันถูกบังคับให้สึก มันไม่สำเร็จ การลาสิกขานั้นไม่ถูกต้องตามวินัย หรือว่าคุณตั้งใจจะสึก แต่เผอิญจิตใจมันเปลี่ยน เมื่อเวลากล่าวคืนสิกขา อย่างนี้ก็ไม่สำเร็จ ตามวินัยมันไม่เป็นการลาสิกขา เพราะฉะนั้น ผู้ให้การลาสิกขา จะต้องสอบถามเสมอ ว่าแน่แล้วนะ คือ จิตใจนั้นแน่แล้วนะ ที่จะไปเป็นฆราวาส ก็แน่ แน่เอา ก็เรียกว่าลาสิกขา ก็ไปเปลี่ยนผ้านุ่งเป็นฆราวาส แม้แต่โดยวินัย ก็ยังมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับจิตใจในการที่จะละจากเพศฆราวาส จากเพศภิกษุไปเป็นเพศฆราวาส มันก็เกิดใหม่โดยโอปปาติกะ เป็นฆราวาส ด้วยการตัดสินใจ หรือด้วยการเปลี่ยนจิตใจนั้น นั่นแหละ มันจะมีปัญหาว่า การจะลาสิกขาแล้วกลับไปบ้าน มันจะเอาพระ เอาความเป็นภิกษุหรือเป็นพระติดไปด้วยหรือเปล่า มันก็แล้วแต่จิตใจ แต่มันมีเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันอยู่อีกส่วนหนึ่งว่า ไอ้วิชาความรู้ที่ศึกษาไว้กับจิตใจนั้นนะ ติดไปด้วยได้ มันไม่เกี่ยวกับการเกิดตายของโอปปาติกะ เช่นว่า คุณศึกษาธรรมะ หลักธรรมะหลายๆ อย่างที่มีประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต ทีนี้ก็ลาสิกขา เปลี่ยนจิตใจไปเป็นฆราวาส ไอ้ความรู้นี้ ติดไปได้ด้วย ติดไปอยู่ในจิตใจแม้เป็นฆราวาสนี่ ก็มีความรู้อันนี้ติดไปด้วยถ้าเราจะใช้เป็นประโยชน์ ในความเป็นฆราวาส ก็ไปเป็นฆราวาสที่ดีได้ ไม่ใช่ว่าลาสิกขาจิตใจเปลี่ยนไปเป็นฆราวาส แล้วอะไรๆ ที่สะสมไว้เมื่อเป็นภิกษุนี้มันละลายสูญหายไปหมด ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะนั้นมันเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก เรียกว่ามันเป็นทรัพย์สมบัติอีกส่วนหนึ่ง ที่ว่าแม้จะละจากความเป็นภิกษุไปแล้ว มันก็ยังติดไปในใจแหละ แม้จิตใจมันเปลี่ยนไปเป็นจิตฆราวาสแล้ว มันก็ยังติดไปในจิตใจ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นความถูกต้อง ที่บ้าน เรือนนั้นอีกได้ อ้าว, ทีนี้ก็ไปเป็นฆราวาสแล้ว โอปปาติกะไปเกิดเป็นฆราวาส ไปอยู่ที่บ้านแล้ว จิตใจจะกลับไปเป็นสามี หรือเป็นอะไรก็ตามใจเถิด มันก็แล้วแต่ แล้วแต่จิตใจ หรือมันไม่ยอมเป็น มันไม่ยอมเป็นมันก็ได้ มันก็เก้งๆ ก้างๆ อยู่อย่างนั้น ดังนั้น เรารู้จักทำจิตใจให้เป็นอะไรได้ ตามที่ ควรจะเป็น มันก็จะมีประโยชน์ ทีนี้ ก็จะกลายไปเป็น อะไร ชายหนุ่มที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นอะไรที่ดี ตามเรื่องของมัน ตามที่ควรจะเป็น เพราะไม่ ไม่ได้มีใครบังคับได้ ไม่มีใครห้ามกันได้ เมื่อสมัครจะเอาเท่าไร จะเป็นเท่าไร มันก็เป็นได้ตามที่ต้องการ หรือที่เราสมัครใจ ในที่พูด อ้า, ในที่นี้ ที่เอามาพูดนี่ ต้องการแต่เพียงให้รู้ว่ามันทำได้นี่ มันเป็นสิ่งที่ทำได้ คือ เราเกิดเป็นอะไรก็ได้ โดยแบบ กิริยาที่เรียกว่า โอปปาติกะ เรา เราอยากจะเกิดเป็นอะไรก็ได้นะโดยโอปปาติกะ นี่ เป็นคนเลวก็ได้ เป็นคนดีก็ได้ เป็นคนพาลก็ได้ เป็นคน เป็นบัณฑิตก็ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เราลองมีความคิดจิตใจอย่างสัตว์เดรัจฉานนี่ มันก็เป็นสัตว์เดรัจฉานได้ เป็นนรก เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายอะไรก็ได้ นี่ระวัง ให้ควบคุมมันให้ได้ ควบคุมการเกิดโดยโอปปาติกะ นี้ไว้ให้ได้ คุณก็จะเกิดได้ตามที่คุณปรารถนา ควบคุมโอปปาติกะ หรืออาการแห่งโอปปาติกะ นี้ให้ได้ แล้วคุณก็จะเกิดเป็นสิ่งใหม่ได้ตามที่คุณปรารถนา จะเป็นคนดี คนชั่ว คนอะไรก็แล้วแต่ มัน มันโดยโอปปาติกะ คือการเปลี่ยนแปลงทางใจนั้น เราจะไปเกิดเป็นคนที่ขยันก็ได้ ขี้เกียจก็ได้ แล้วแต่การควบคุมจิตใจ หรืออบรมจิตใจ ฝึกฝนจิตใจ ก็จะเกิดได้โดยที่ไม่ต้องเข้าโลง เกิดใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องเข้าโลง แล้วก็จะเกิดให้สมตามความปรารถนา อย่างไรก็ได้ด้วยนะ ถ้าคุณควบคุมจิตได้คุณก็จะกลับไปเป็นไอ้ ชายหนุ่มที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นเจ้านายที่ดี เป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี เป็นลูกน้องที่ดี ได้ทุกอย่างตามที่มันควรจะเป็น สนใจเรื่องการเกิด โดยจิตใจกันถึงขนาดที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า ไอ้การกระทำจิตตภาวนาระดับใดระดับหนึ่งนั้น ไม่เป็นหมัน ใช้คำว่าไม่เป็นหมัน มีผลตามที่เราควรจะต้องการ นี่ก็พอจะสรุปความได้ว่า กำเนิด การเกิดโดยโอปปาติกะ นั้นเป็นสิ่งที่มีจริง ในสัมมาทิฏฐิ อย่างโลกียะ เขาก็มีระบุถึงว่า เป็นมี ผู้มีทิฏฐิอันถูกต้อง มีความเชื่อว่า สัตว์เป็นโอปปาติกะ คือ เกิดโดยโอปปาติกะ นั้นมีจริง ก็หมายความว่าเรามีความเชื่อถูกต้องว่า การเกิดโดยทางจิตใจ ก็จะไปเปลี่ยนเป็นอะไรชนิดไหนได้นั้นเป็นสิ่งที่มีได้จริง และมีอยู่จริง สรุปความสั้นๆ อีกทีหนึ่งก็ว่า การเกิดโดยวิธีโอปปาติกะ นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นได้จริง และเราควบคุมได้จริง คิดดู มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ถ้าพูดให้มันเป็นรูปธรรมอีกหน่อยก็ว่า จิตของเรานี้เราสามารถจะควบคุม ปรับปรุงฝึกฝนให้เป็นอะไรก็ได้ ให้เป็นอะไรก็ได้ ให้เป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์ก็ได้ มีความทุกข์เบาบางก็ได้ ไม่มีความทุกข์เลยก็ได้ ถ้าว่าเรามีความรู้ มีการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจิตนี้อย่างเพียงพอ เราสามารถควบคุมบังคับจิตให้เกิดเป็นอะไรก็ได้ ในชั่วชีวิตนี้ ไม่ ไม่ ไม่ต้องตายเข้าโลงหรอก ในระยะที่ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เราสามารถที่จะบังคับจิตของเราให้เป็นอย่างไรก็ได้ แต่ใครๆ ก็อยากจะได้ให้มันดี ให้มันมีความสุข ก็หมายความว่า เราจะบังคับให้เป็นจิตที่ สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ได้เป็นแน่นอน ดังนั้น อย่าทอดอาลัยว่าทำไม่ได้ หรือมีความโง่เขลางมงายว่ามันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ทั้งที่ความจริงนั้นมันเป็นสิ่งที่ทำได้ และมันก็ไม่เหลือวิสัย การที่เราจะทำจิตของเราให้เปลี่ยนไปอยู่ในสภาพที่พึงปรารถนานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ จิตตภาวนาทุกรูปแบบ ถ้าทำสำเร็จตามนั้นแล้วมันก็เป็น ทำให้มีการเกิดใหม่โดยจิต ที่เรียกว่า โอปปาติกะ หรือจะเรียกว่า อุบัติก็ได้ อุบัติบังเกิดขึ้นมาใน ไอ้ กำเนิดใหม่ เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นอ้า, อริยเจ้าทั่วๆ ไป เป็นบัณฑิต เป็นกัลยาณชน แล้วแต่จะสามารถ แต่ว่าการอุบัติบังเกิดไปเป็นพาล เป็นสัตว์นรก อบาย นี่ไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงก็ได้ เพราะว่าไม่ต้องการ แต่ว่าอย่าประมาทนะ อย่าเผลอนะ ถ้าเผลอแล้ว อารมณ์ที่เข้ามากระทบเข้ามาแวดล้อม มันจะดึง มันจะปรุงจิต ให้ตกไปในทางต่ำ เกิดกิเลส เกิดกิเลสขึ้นมา มันก็คือ เกิดเป็นสัตว์นรก นั่นแหละ ร้อนเป็นไฟ หรือเกิดกิเลสชนิดที่โง่เป็นสัตว์เดรัจฉานไป ถ้าหิวก็เป็นเปรตไป ที่ขลาดกลัวมันก็เป็นอสุรกายไป มันจะกลัวแม้แต่สิ่งที่ไม่ควรกลัวนะ ถ้ามันโง่มากมันจะกลัวแม้แต่สิ่งที่ไม่ควรจะกลัว บางคนกลัวว่าจะบรรลุธรรมะ แล้วก็จะไม่มีเหยื่อกิเลสสนุกสนาน ก็เลยไม่อยากจะรู้ธรรมะ ไม่อยากบรรลุธรรมะ กลัวว่ามันจะหมดรสหมดชาติ นั่นนะมันเป็นเรื่องของกิเลส ที่กลัว มันกลัวด้วยกิเลส มันก็เลยได้เกิดอสุรกาย หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วแต่ แล้วแต่จะเรียก ผมก็เคยได้ยินด้วยตนเองว่าบางคนที่เขามาเล่าให้ฟังว่าบางคนไม่กล้าศึกษาธรรมะ กลัวจะรู้ธรรมะแล้วจิตมันเปลี่ยน ชีวิตมันจะหมดอร่อย ก็เลยไม่กล้าศึกษาธรรมะอยู่ก็มี ก็ตามใจเขาสิ ถ้าเขาอยากจะอยู่กับอย่างนั้น เอาละ เป็นอันว่า สรุปความว่า การเกิดทางจิตโดยอาการของโอปปาติกะ นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แล้วเราเกิด ได้โดยร่างกายนี้ ไอ้โครงร่างหรือร่างกายนี้ให้เป็นที่ตั้งอาศัยของจิต แล้วจิตมันจะเกิดเป็นอะไรก็ได้ โดยร่างกายนี้ โดยที่ร่างกายนี้ ไม่ได้ ไม่ได้ตายด้วย ไม่ได้เกิดด้วย แต่จิตนั้นนะมันจะเกิดใหม่ได้เรื่อย โดยโอปปาติกะ โดยร่างกายนี้ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ในเวลานี้ นาทีนี้มันจะเกิดเป็นอะไรก็ได้โดยที่ร่างกายมันไม่ต้องเปลี่ยน ไปเป็นคนเด็กๆ หรือไปเป็นคนแก่ไม่ต้องเปลี่ยน โดยร่างกายที่ยังไม่ต้องเปลี่ยน และที่สำคัญที่สุดที่อยากจะให้รู้ไว้ว่า มันเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ปฏิบัติได้ ใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ วิธีการเกิดอย่างโอปปาติกะ นั้น เราอาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ เป็นสิ่งที่ควบคุมได้โดยวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าจิตตภาวนา จิตตพัฒนา แล้วเราก็จะได้จิตที่ดี ที่สูงขึ้นไปตามที่ควรจะต้องการ นี่ก็เรียกว่า มันใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้ ในเรื่องของโอปปาติกะ
สรุป สรุปความอีกทีว่า พุทธบริษัทก็กำลังเถียงกัน ทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องความหมายของคำว่าโอปปาติกะ โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ ยังไม่ขาดตอน ยังไม่ขาดตอน ยังมีอยู่ ต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันด้วยเรื่อง เรื่องนี้ ก็เลยไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วก็เข้าใจผิด ว่าคำนี้ เป็นชื่อของสัตว์ ของผี ของวิญญาณ ที่จริงเป็นเพียงชื่อของกิริยาอาการที่จะเกิดสิ่งใหม่ในทางจิต นี่เขาไม่ได้รับประโยชน์อะไรที่มัวแต่เถียงกันอย่างนั้น แล้วก็ไม่ไม่เกี่ยวกับธรรมะ ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาด้วย แต่ถ้าเราจะให้เกี่ยวกับธรรมะ เกี่ยวกับพุทธศาสนาแล้ว เราจึงสนใจ ตั้งใจ ฝึกฝนจิต ให้มีการเจริญ เจริญ เจริญ เจริญ อุบัติ อุบัติ อุบัติ คือ เกิดเป็น ไอ้ จะเรียกว่าสัตว์ก็ได้ คนก็ได้ อันใหม่ เป็นอริยบุคคลไปเลย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติบังเกิดขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า นี่ก็โดยจิตใจ นี้ใครๆ จะเกิดโดยอริยชาติก็เป็น ก็เป็นโดยจิตใจ ทำให้ถูกกับเรื่องของ ของ ของสิ่งนี้มันก็จะเกิดใหม่ เป็นอริยชาติ ที่ ที่ควรจะปรารถนา ได้เป็นแน่นอน แล้วการที่เราพูด เราสอน เราเรียนกันเรื่องจิตตภาวนาก็ไม่เป็นหมัน ก็ไม่เสียเปล่า เพราะว่าเราก็ได้พูดกันมาหลายครั้งแล้วนะ เรื่อง เรื่องเกี่ยวกับจิต และพัฒนาจิต ปรับปรุงจิต มันไม่ควรจะเป็นของสูญเปล่า เอ่อ, เป็นหมันไม่มีประโยชน์อะไร คือ เราเอามาใช้ให้เกิดผลในทางจิต มีโอปปาติกะ ในทางจิต เป็นไปในทางที่พึงปรารถนา น่าปรารถนาหรือว่าน่าชื่นอกชื่นใจก็ได้ในทางธรรมนะ ยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าให้มีหล่นกลับมา จนกว่าจะถึงอันดับสุดท้ายที่ตายตัว ตายตัว ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่ ไม่ ไม่ ไม่กลับ ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป เพราะว่าจิตมันเข้าถึงสภาวะนั้นเสียแล้ว อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกแล้ว มันก็เป็นจิตในระดับโลกุตตระนั้น ไม่ถอยกลับมาสู่ไอ้โลกียะอีกต่อไป จบเรื่อง ไม่ใช่เป็นเรื่องผี เรื่องสาง เรื่องหลอก เรื่อง อ้า, เหลวคว้าง เรื่องงมงาย ไร้สาระนะ มันเป็นเรื่องจริง ตามธรรมชาติ โดยธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เฉียบขาดตามแบบของธรรมชาติ เอาละ ขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้เพียงเท่านี้