แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อครั้งที่แล้วมาได้พูดกันถึงเรื่องให้รู้จักสังเกตการเกิดขึ้นแห่งตัวกูของกูเสียเป็นวรรคเป็นเวร เป็นวรรคเป็นเวร เกือบจะไม่ได้พูดเรื่องอะไร เคยรู้จักการเกิดขึ้นแห่งตัวกูย่อมหมายความว่ารู้จักตัวกูที่เกิดขึ้นด้วย ดูมัน ปัญหามันติดอยู่ที่ตรงนี้แหละ ถ้าตัวกูมันเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้วมันก็ต้องเกิดความทุกข์ เมื่อยังไม่เกิดทุกข์มันก็อยู่ในรูปของกิเลสที่สมบูรณ์ เช่น โลภะสมบูรณ์ โทสะสมบูรณ์ โมหะสมบูรณ์ ที่เห็นได้ง่ายก็คือ กระทบทางอายตนะโดยตรง ปรุงแต่งเป็นผัสสะ เวทนา ตัญหา อุปาทานในตัวกูของกู กำลังรักอยู่ โกรธอยู่ เกลียดอยู่ กลัวอยู่ อะไรก็ตามที่มันเป็นกิเลสสมบูรณ์ เห็นชัด ทีนี้ ที่มันไม่ถึงขนาดนั้นนะ มันยังเป็นครึ่งสำนึก มันก็เห็นยาก เราก็ต้องมีวิธีที่จะจับตัวมันให้ได้ ทีนี้มันละเอียดไปกว่านั้น น้อยไปกว่านั้น สักว่ามีความกระเพื่อมแห่งจิตใจไปในทางนั้นก็มี ดังจะยกตัวอย่างว่า พอเห็นบุรุษไปรษณีย์เดินเข้ามาหาเรา จิตมันจะผิดไปทันที ผิดไปจากที่ยังไม่มีบุรุษไปรษณีย์เดินมาหาเรา จิตมันอยู่ในสภาพอย่างไรก็ตามเถิด สมมติว่ามันเฉยอยู่นี่ มัน มัน มันไม่ได้คิดนึกอะไร ไม่ได้มีความปรุงอะไร พอเห็นบุรุษไปรษณีย์เดินเข้ามา แล้วมันก็ปรุงทางธัมมารมณ์ เห็นทางตาก็จริงแต่ว่ามันในที่สุดมันไปเป็นเรื่องของธัมมารมณ์ คือ มันนรู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรนะ การที่บุรุษไปรษณีย์มานี่มันต้องมีอะไรซึ่งเป็นข่าวคราว แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องได้เรื่องเสีย อะไรของเรา พอเห็นจ่าหน้าซองถึงเรา มันก็มากไปกว่านั้น หรือว่าเห็นไอ้ชื่อลายมือนั้นที่หน้าซองว่าใคร ทายถูกเลยอย่างนี้ มันก็มากไปกว่านั้นอีก พอเปิดจดหมายนั่นดู รู้เรื่องสักทีเป็นเรื่องเป็นราว มันก็มากกว่านั้นอีก จนถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นอารมณ์ที่ใหญ่ อารมณ์ที่สมบูรณ์ได้ แล้วแต่ข้อความในจดหมายนั้น มันจะเกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ หรือเป็นสุข หรือดีใจ หรือเสียใจ หรือเศร้าสร้อยไปในที่สุดถ้ามันเป็นเรื่องที่ต้องเศร้า ต้องโศกต้องเศร้า ที่พูดอย่างนี้ต้องการให้เปรียบเทียบถอยหลังเข้าไปจนถึงขณะที่ว่า เพียงแต่สักว่าเห็นบุรุษเดินเข้ามาหานี่ไอ้ข้างในมันก็เตรียมเปลี่ยน ปรุง ไปในทางที่ว่ามันต้องมีเรื่องที่เราจะต้องเป็นผู้ได้ผู้เสีย ผู้แพ้ ผู้ชนะ ผู้อะไรก็ตามเถิด แล้วแต่ที่มันจะคิดไปได้ แม้อย่างนั้นก็เรียกว่ามันเป็นการเกิดแห่งตัวกูอยู่ดี แต่มัน ชั้นที่เรียกว่าเบามาก เบามาก ชั้นเบาก็มีและชั้นเบามากก็มี เบาที่สุดก็มี แต่มันได้ผิดจากสภาวะเดิม คือ ไม่ได้ว่างจากตัวกูอยู่อย่างเดิมแล้ว เดี๋ยวนี้มันเริ่มมี แม้เบา ก็เรียกว่าเป็นเงาแห่งตัวกูที่มันส่งมาก่อนก็ได้ แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่เงาหรอก มันเป็นตัวกูชั้นเบา เพราะฉะนั้นเมื่อมีอะไรเข้ามาสู่จิต ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อะไรก็ตามเถิด มันก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว ปรุง เป็นไปได้ตามธรรมชาติ จะเรียกว่าอัตโนมัติ ก็อัตโนมัติของธรรมชาตินะ มันจะต้องเป็นอย่างนั้นเอง ถ้ามันมีลักษณะแห่งการเกิดตัวกูแล้ว มันก็ผิดปรกติแล้วแหละ มันก็จัดเข้าไปไว้ในจำพวกทุกข์ กลุ่มทุกข์หรือว่าพวกประเภทความทุกข์ได้แล้ว แม้จะน้อยเท่าไร คือ มันจะทนปรกติอยู่อย่างเดิมไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันยังมีอีกมายมายหลายเรื่อง หลายสิบเรื่อง นี่ยกตัวอย่างมาเพียงเรื่องเดียว เกี่ยวกับว่าบุรุษไปรษณีย์เข้ามา อย่างนั้นก็เป็นเพียงตัวอย่างเรื่องเดียว ให้รู้จักสังเกตละเอียดถึงขนาดนั้นก็พอ อ้าว, เป็นอันว่าเรารู้จักตัวกู หรือการเกิดแห่งตัวกู ด้วยความรู้สึกจริงๆ นะ ไม่ใช่คาดคะเน ตามคำพูดที่ได้ยินได้ฟัง แต่มันได้รู้สึกอย่างชนิดที่เรียกว่าสันทิฏฐิโก เห็นด้วยตนเอง รู้สึกได้ด้วยตนเอง ประจักษ์แก่ใจของตนเองลงไปชัดๆ ราวกับว่าเห็นด้วยตานะ ราวกับว่าเห็นด้วยตา มันไม่ใช่ของที่เห็นด้วยตา มันเป็นของที่รู้สึกด้วยใจหรือว่าเห็นด้วยใจ แล้วมันก็จะสังเกตได้ต่อไปถึงข้อที่ว่ามันเกิดอย่างไร อาการที่มันเกิดขึ้นมามันเกิดอย่างไร แม้ใน ในกรณีที่เบามาก เพียงแต่เห็นบุรุษไปรษณีย์เดินมา ทีนี้ ถ้าเราไม่หยุดเสียแค่นั้น เราสังเกตศึกษาต่อไป เราก็จะพบไอ้ส่วนที่เป็นเหตุให้เกิด มัน มันไม่ใช่อยู่ที่ว่าบุรุษไปรษณีย์เดินเข้ามา แต่เพราะว่าไอ้การที่ เห็นบุรุษไปรษณีย์เดินเข้ามานั้นมันมีความหมาย มันมีความหมาย มัน มัน มันไม่ใช่อยู่ที่ตัว บุรุษไปรษณีย์เดินเข้ามา แต่ว่าไอ้การเข้ามาของบุรุษไปรษณีย์นั้น มันมีความหมายแก่ประโยชน์ แก่การได้ประโยชน์ หรือ เสียประโยชน์ หรืออะไรก็ตามแล้วแต่มันจะคิดไป เรียกว่ามันเป็นส่วนที่เป็นเหตุ ให้มันเกิดตัวกูและมันเกิดอย่างไร แล้วมันอยู่ในลักษณะอย่างไร แล้วในที่สุดมันมีความทุกข์มากหรือทุกข์น้อย น้อยที่สุดอย่างไร แต่มันต้องเป็นทุกข์แหละ ในระดับใดระดับหนึ่ง ทีนี้เราอาจจะคำนวณได้นะ ยังไม่เห็นนะ ถึงตอนนี้ มันจะคำนวณได้ว่าถ้าไอ้ตัวกูเหล่านี้นะมันไม่ได้เกิด จิตของเราจะยังคงว่างหรือเกลี้ยง หรือปรกติ หรือสงบอยู่แน่นอน ขอให้ยังไม่ทันเห็น เพราะมันยังไม่มีไม่เป็นขึ้นมา แต่ว่าคำนวณได้และมีความเชื่อแน่ เพราะมันเห็นไอ้ส่วนที่มันเป็นรากฐาน เป็นไอ้พื้นฐานอยู่แล้ว มันเกิดความแน่ใจได้ว่า ถ้าไม่เกิดไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูใน ในขนาดไหนก็ตาม มันจะไม่มีความทุกข์แน่ ดังนั้น จึงเริ่มสนใจที่จะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดตัวกู
ทีนี้ วันนี้เราจะพูดกันโดยหัวข้อว่า การปฏิบัติที่หยุดการเกิดแห่งตัวกู การปฏิบัติที่หยุด ทำให้หยุด การเกิดแห่งตัวกู คุณจะต้องทำความรู้ รู้แจ้งในเรื่องการเกิดตัวกูอย่างไรเป็นอย่างไรให้มันแจ่มแจ้งอยู่เสมอ แล้วมันก็จะง่ายในการที่จะเข้าใจ ในการที่จะหยุด ยุติอันนั้นเสีย ไม่ให้เกิดไอ้ ตัวกู นั่นแหละคือ วิธีปฏิบัติทั้งหมดที่ ที่เรียกกันว่าสมา อ้า, สมาธิภาวนา หรือกรรมฐาน หรือวิปัสสนา หรือแล้วแต่จะเรียก ที่เขารวมๆ เรียกๆ กัน ว่าเป็นเรื่องของการทำวิปัสสนา ที่จริงไม่ถูกหรอกเพราะว่ามันมีอะไรที่ไม่ใช่วิปัสสนา หรือรากฐานเบื้องต้นของวิปัสสนารวมอยู่ด้วย ถ้าเรียกกรรมฐานแล้วก็จะถูกกว่า ถ้าเรียกว่าจิตตภาวนานี่จะถูกที่สุด เพราะเป็นการอบรมจิตโดยตรงให้อยู่ในลักษณะที่ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ แต่ตามปรกติที่เขาเรียกๆ กันอยู่นี่ เขาเรียกว่าวิปัสสนา สำนักวิปัสสนา ยกเอาคำว่าวิปัสสนาเป็นหลัก มันเป็นคำที่จะได้มาจากอรรถกถาหรืออะไรนี่ ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ กระทำเกี่ยวกับจิตใจแล้วก็เรียกวิปัสสนาหมด แม้ส่วนที่เป็นสมถะ แต่ในพระบาลีท่านแยกกันชัดว่าเป็นสมถะอย่างหนึ่งส่วนหนึ่ง เป็นวิปัสสนาอีกส่วนหนึ่ง มีอยู่เป็นสองส่วน ที่เราเรียกกันว่าสำนักวิปัสสนา หรือทำวิปัสสนานั่นนะ มันทำทั้งสมถะและทั้งวิปัสสนาให้รู้ไว้ด้วยนะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเหมือนคนทั่วไปเขาเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำเหล่านี้ ทำวิปัสสนานั้น มันคือ ทำทั้งสมถะและ ทำทั้งวิปัสสนา สมถะนั้นนะมันเป็นเบื้องต้น เป็นบุพพภาคเบื้องต้น หรือว่าจะเรียกว่าเป็นฐานที่ตั้งก็ได้ ของวิปัสสนา ทีนี้ เราจะใช้คำว่าจิตตภาวนา ให้หมายถึงคำว่าวิปัสสนาที่เขาหมายความกันทั่วๆ ไป หรือรวมทั้งสมถะด้วย ถ้ามันเป็นคำที่แปลกหูก็ใช้คำว่าทำสมถวิปัสสนาเสียเลย มันเยิ่นเย้อ การทำสมถวิปัสสนาทั้งหมดนั่นแหละ ทุกแบบทุกชนิดที่มันมีอยู่ในพระบาลีอรรถกถา อะไรต่างๆ นั่นนะ มันคือ การกระทำที่เป็นการหยุดการเกิดแห่งตัวกู หยุดชั่วคราวก็ได้ผลชั่วคราว เป็นทางสมถะนี่ก็หยุดได้ชั่วคราวช่วงที่มีสมาธิ ถ้าวิปัสสนายัง แรก ขั้นแรกเริ่ม มันก็บรรเทาไว้ ชะลอไว้ บรรเทาไว้ ถ้าวิปัสสนาสมบูรณ์ถึงที่สุด ถึงขั้นสูงสุด มันก็ตัดการเกิดได้เด็ดขาด ไม่เกิดอีกต่อไป เราจึงแยกให้เห็นชัดว่าการทำสมถะ ทำอย่างสมถะคือ กำหนดอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งให้จิตจดจ่ออยู่ที่นั่น แต่ว่าไม่ใช่พิจารณานะ เพียงแต่กำหนดเฉยๆ อยู่ที่นั่นนะ มันเป็นสมถะอย่างนั้นนะ มันปิดเสีย ไม่ให้มีการเกิดแห่งตัวกู เพราะว่าจิตนี่มันมีดวงเดียวนะ มันทำอะไรได้ทีละอย่างเท่านั้นแหละ ดังนั้น ถ้าจิตมันมาทำการกำหนดอารมณ์อย่างสมถะเสีย มันก็ไม่มีจิตไหนหรือโอกาสไหนที่มันจะเกิดตัวกู เพราะจิตมันมากำหนดอารมณ์ของสมถะ มันก็ไม่ ไม่มีจิตไหนที่จะเกิดตัวกู โอกาสไหนที่จะเกิดตัวกูมันก็ไม่มี เพราะฉะนั้น การทำอย่างสมถะนั้น มันเป็นการปิดการเกิดแห่งตัวกูวิธีหนึ่ง ทีนี้ ถ้าทำอย่างวิปัสสนา กำหนดอย่างวิปัสสนา เห็นแจ้ง คิด เอ่อ, พิจารณาจนเห็นแจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นต้น นี่เรียกว่ามันเห็นแจ้ง ถ้าอย่างนี้มันไม่ใช่เพียงแต่ปิด ไม่ ไม่ใช่เพียงแต่ปิดการเกิดตัวกู มันทำลาย มันทำลายการเกิด ทำลายกระแสแห่งการเกิดตัวกู ทำลายรากเหง้า ทำลายไอ้สิ่งที่มันเนื่องกันอยู่ เป็นปัจจัยให้เกิดตัวกูมันก็ถูกทำลายไป ถ้ากำหนดอย่างวิปัสสนา ก็เรียกว่าทำลายการเกิดแห่งตัวกู กระทั่งทำลายเหตุปัจจัยแห่งการเกิดนั้นด้วย ถ้าเราทำอย่างกำหนดสมถะ มันก็เป็นเพียงการปิด ปิดการเกิดไว้ กดไว้ ปิดไว้ แต่ถ้าทำอย่างวิปัสสนา มันก็เป็นการทำลายโดยตรง มันต่างกันอยู่เป็น ๒ ชั้น นี่ว่าโดยหลักทั่วไป ทีนี้เราก็จะพูดถึงหลักนี้ หลักที่ว่าถ้าทำอย่างวิธีสมถะมันก็ปิด ปิดไว้ไม่ให้เกิด แต่ถ้าทำอย่างวิธีวิปัสสนามันก็ทำลาย บดขยี้ให้มันสูญหายไป ให้มันไม่ให้มีสำหรับจะเกิด ทีนี้ ใจความสำคัญของไอ้คำว่าสมถะ หรือวิปัสสนานี่ มันยังมองได้อีก ในรูปแบบอื่นนะ คอยฟังให้ดี ถ้าเราจะหยุดการเกิดโดยวิธีสมถะนะ ก็เอาจิตไปกำหนดอารมณ์ที่ควรกำหนดอย่างใดอย่างหนึ่งเสียตลอดเวลา อารมณ์อะไรที่มัน มัน มันไม่ชวนให้เกิดกิเลส อารมณ์ที่เป็นกุศล จิตไปกำหนดอยู่ที่อารมณ์นั้น จะกำหนดลมหายใจ หรือจะกำหนดอะไรที่เป็นอารมณ์ของกรรมฐาน แม้แต่ที่เขาเรียกกันว่ายุบหนอพองหนอก็ตาม มันก็เป็นการที่จิตไปกำหนดอยู่เสียที่สิ่งนั้น ปิดกั้นการเกิดแห่งตัวกู ถ้าโดยวิธีวิปัสสนานั้นนะ จิตมันไปอยู่เสียกับความรู้ ยิ่งรู้แจ้งของธรรมชาตินั้นๆ เช่น รู้เห็นความที่มันปรุงแต่งเปลี่ยนแปลง กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา หรือกำหนดความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ของสิ่งนั้นๆ คือ ของสิ่งที่เป็นอารมณ์ให้เกิดตัวกูของกู อยู่ด้วยญาณ หรือความรู้ที่เห็นอนัตตา ในที่สุดอยู่ ตัวกูก็ไม่น่าจะเกิดหรอก เพราะมันถูกทำลายอยู่เรื่อย เหมือนอะไรที่มันจับเป็นหน่วยเป็นก้อนเป็นกองอะไรขึ้นมา มันถูกตีให้แตกอยู่เรื่อย มันเกิดไม่ได้ มันเป็นไม่ได้ สรุปให้สั้นก็ว่า ถ้าอย่างสมถะ จิตไปกำหนดที่อารมณ์ ถ้าอย่างวิปัสสนา จิตไปกำหนดที่ลักษณะของความจริง ลักษณะของธรรมชาติ กำหนดเห็นลักษณะอย่างนี้ก็เป็นฝ่ายวิปัสสนา ถ้าพูดให้สั้นเข้าไปอีก ก็ว่า ไอ้สมถะนี้ มันกำหนดอารมณ์ สิ่งนั้นกำหนดเป็นอารมณ์ ถ้าฝ่ายวิปัสสนามันกำหนดลักษณะ ลักษณะต่างๆ ของสิ่งนั้นๆ ไม่กำหนดอย่างเป็นอารมณ์นิ่งเฉยอยู่ มันเป็นการกำหนดเพื่อดูอย่างละเอียดลออ เห็นอย่างละเอียดลออ หรือจะพูดว่า สมถะเป็นการกำหนดให้หยุดไม่เคลื่อนไหว แต่วิปัสสนากำหนดให้รู้แจ้ง ให้เห็นแจ้ง ให้เห็นตามที่เป็นจริง ตรงนี้จะพูด ขอแทรกพูดนิดหนึ่งก็ได้ว่า ไอ้ญาณๆ ความรู้ที่มันเกิดขึ้นมาเป็นญาณ เป็นความรู้ ทั้งหมดเลย ตลอดสายเลย มันแบ่งได้เป็นสองขั้นตอน ขั้นตอนแรก กลุ่มแรก พวกแรก กลุ่มแรก เขาเรียกว่าธรรมฐิติญาณ ธรรมฐิติญาณ นี่มันกำหนดการที่ธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง เป็นอยู่อย่างไร ตามที่เป็นจริง เป็นอยู่อย่างไร แล้วแต่ว่าจะมองกันแง่ไหน มองกันในแง่ ปฏิกูล หรือ มองกันในแง่ อ้า, เปลี่ยนแปลงเรื่อย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่เป็นสักว่านามรูปตามธรรมชาติเท่านั้น หรือสักว่า ธรรมชาติที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมาถึงขั้นสูงสุดที่เห็นว่า อ้อ, มันเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน นี่สุด สุดญาณนี่ สุดอยู่ อยู่แค่นี้ ทั้งหมดกี่ญาณๆ ก็เรียกว่า ธรรมฐิติญาณ คือ ความเห็นแจ้งการตั้งอยู่ตามธรรมดาของสิ่งนั้นๆ ถ้ามันมาถึงขั้นเห็นอนัตตา มัน ต่อไปนี่มันจะเปลี่ยนเป็นขั้นๆ ขั้นที่ ๒ คือ ขั้นที่เรียกว่านิพพานญาณ ญาณที่เนื่องกันอยู่กับนิพพาน หรือนำไปสู่นิพพาน หรือมันอยู่ฝ่ายที่จะเรียกว่าฝ่ายนิพพาน นั่นนะคือว่า หลังจากเห็นอนัตตาในฝ่ายธรรมฐิติญาณแล้ว มันก็จะเกิดญาณ ฝ่ายนิพพานโน้น ตั้งต้นแต่ว่าเริ่มเบื่อหน่ายๆ ที่ ที่ ที่แล้วมา เรียกว่านิพพิทา แล้วมันก็คลายกำหนัด คลายความยึดถือในสิ่งเหล่านั้นที่เรียกว่าวิราคะ แล้วมันก็จะเกิดไอ้ เป็นการปล่อยวางคือ การดับซึ่งกิเลส ตัณหา อุปาทานนั่นนะ ญาณพวกนี้จนกว่าจะไปถึงความหมดกิเลส และรู้ว่าหมดกิเลสแล้ว เป็นต้น นี่ มันมีอยู่หลายญาณเหมือนกัน ชุดนี้กลุ่มนี้เขาเรียกว่านิพพานญาณ จำไว้เป็นหลักทั่วไปก็ได้ว่าความรู้ อ้า, ของคนเรานี่ มันก็ไปศึกษา ศึกษาๆ สิ่งเหล่านั้นจนเข้าใจถึงที่สุด ข้อเท็จจริงต่างๆ ของสิ่งเหล่านั้น นี่พวกหนึ่ง กลุ่มหนึ่ง ต่อไปนี้จะเกิดผลอะไรขึ้นนี่อีกกลุ่มหนึ่งในภายหลัง ศึกษาให้รู้เรื่องธรรมชาติตามที่เป็นจริงอย่างไร จบไป นี่เป็นธรรมฐิติญาณ เห็นธรรมดาของสิ่งทั้งปวง หลังจากนั้นก็จะมีการเห็นที่เป็นไปเพื่อนิพพาน เห็นจนเบื่อหน่าย เห็นจนคลายกำหนัด เห็นจนปล่อยวาง เห็นจนรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว อะไร เป็นต้น นี่เรามันอยู่ด้วยญาณอย่างใด ญาณใดญาณหนึ่ง ใน ใน ในประเภทเหล่านี้ จะอยู่ในยังขั้น ขั้นที่เห็นธรรมชาติของ ธรรมดาของธรรมชาติก็เป็นธรรมฐิติญาณ จิตอยู่กับธรรมฐิติญาณ เห็นอยู่อะไรเป็นอย่างไรนี่ ตัวกูก็เกิดไม่ได้เหมือนกัน นี่ถ้ามันขึ้นไปซีกของนิพพานญาณ เช่น เบื่อหน่ายอยู่ คลายกำหนัดอยู่ ปล่อยวางอยู่นี่ มันทำลายหมด อะไรที่เป็นปัจจัยให้เกิดตัวกูมันถูกทำลายหมด แม้ถ้าว่าสมมติตัวกูมันได้เกิดขึ้นมาถึงขั้นหนึ่งแล้วมันก็ถูกทำลายหมด มันเป็นขั้นที่รุนแรงกว่า เพราะมันถึงขนาดเบื่อหน่าย และคลายกำหนัด คลายความรัก คลายความยึดถือในสิ่งนั้นๆ เรียกว่า ถูกบดขยี้ไปเลย ไม่ใช่เพียงแต่ปิดกั้น เรามาพูดกันภาษาธรรมดาๆ ว่าถ้าจิตของเราไปกำหนดอยู่ที่อารมณ์ ที่เป็นกุศล อารมณ์ที่ไม่เป็นข้าศึกอยู่แล้วก็ มันเป็นการปิดการเกิดแห่งตัวกู ตัวกูไม่เกิด พูดให้ชัดลงไปภาษาเด็กๆ ว่าเราไปกำหนดอยู่ที่เรื่องดีๆ เรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ อยู่ตลอดเวลา ตัวกูมันก็ไม่เกิดนะ กำหนดพระพุทธ กำหนดพระธรรม กำหนดพระสงฆ์ หรือกำหนดยุบหนอพองหนอ หรือกำหนดอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งอยู่ โดยไม่ต้องไป โดยไม่ต้องไปพิจารณาให้มันไปเป็น เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องน่ายินดี เรื่องไม่น่ายินดี ไปกำหนดเฉยๆ ยกตัวอย่างเหมือนกับว่าเราไปคิดเลขอยู่นี่ เรากำลังคิดเลขอยู่เลย อย่างสนุกสนานเลย ตัวกูมันเกิดไม่ได้หรอก เพราะจิตมันไปกำหนดอยู่ที่เลข นี่อย่างนี้ เราจะเอาอะไรมากำหนด ก็ตามใจ เมื่อมันกำหนดอยู่อย่างนั้น ตัวกูมันเกิดไม่ได้ อย่างนี้เราเรียกว่าปิดการเกิดแห่งตัวกูเสีย โดยวิธีแห่งสมถะ เพราะจิตไปติดหรือฝากไว้กับอารมณ์ที่ ที่ อารมณ์ที่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส อารมณ์ที่เป็น อ้า, ที่ไม่เป็นข้าศึกแก่กุศล ใช้คำยืดเยื้อก็ว่าอย่างนี้ กำหนดอารมณ์ล้วนๆ ที่ไม่เป็นข้าศึกแก่กุศลอยู่ แต่ถ้าว่ามันคิดเลขอยู่ แล้วมันเลยไปถึงว่ากูจะคิดดีคิดถูก กูจะได้รับประโยชน์ อ้า, จากการคิด อันนี้มันไม่ใช่แล้ว นั่นนะมันจะเลยๆ เลย ไหลเลยไปเป็นเรื่องของตัวกู มันเพียงแต่กำหนดอยู่เฉยๆ ไม่มีความหมายแห่งการได้หรือการเสีย แล้วทีนี้ ที่ว่ากำหนดโดยวิธีวิปัสสนาอีกทางหนึ่ง ก็ไปคิดชนิดที่ใช้เหตุผล แยกแยะเหตุผล คิดตามวิธีของการใช้เหตุผล อย่างสติปัญญา กระทั่งว่า แม้อย่างปรัชญา ใช้เหตุผลอย่างสนุกสนานทางปรัชญาอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตัวกูมันก็ไม่เกิดเหมือนกัน ช่วยจำคำ ๒ คำ นี้เอาไว้ให้ดี ถ้าวิธีของสมถะ มันก็กำหนดเฉยๆ สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ ถูกกำหนด ถ้ากำหนดเป็นวิปัสสนา มัน มันไม่กำหนดอย่างนั้น มันไปกำหนดลักษณะของอารมณ์นั้นๆ เพื่อให้รู้ เพื่อให้เห็น ว่ามันเป็นอย่างไร โดยรายละเอียดเป็นอย่างไร นี่เรียกว่ามันเป็นการเห็นแจ้งว่าอันนั้นเป็นอย่างไร ลักษณะอย่างไร กระทั่งว่ามันเป็นเหตุหรือเป็นผล มันมีคุณหรือมีค่าอย่างไร คือ รู้แจ้งต่อสิ่งเหล่านั้น เรียกว่ากำหนดเป็นวิธีวิปัสสนา ถ้ากำหนดนิ่งๆ กำหนดเฉยๆ กำหนดหยุด ก็เป็นวิธีของสมถะ แต่จะโดยวิธีใดก็ตาม ถ้ามีการกำหนดอย่างนี้อยู่ ตัวกูมันเกิดไม่ได้ เพราะจิตมันดวงเดียวนี่ จิตมันทำ ทำงานได้เพียงอย่างเดียว ถ้ามัน มาทำการกำหนดเสียอย่างนี้แล้ว มันก็ไม่เปิดโอกาสให้ ให้ตัวกูเกิด แต่นี่โดยเหตุที่มันเปลี่ยนแปลงได้นี่ และโดยเหตุที่มันเปลี่ยนแปลงไวเป็นสายฟ้าแลบ มันก็เลยยุ่ง กำหนดได้บ้าง กำหนดไม่ได้บ้าง กำหนดได้อยู่กลายเป็นไม่ได้บ้าง จึงต้องฝึก ดังนั้น จึงต้องมีการฝึก มีระบบการฝึก อย่างติดต่อกันไป ฝึกอย่างสมถะพอแล้ว ก็ฝึกอย่างวิปัสสนาต่อไป ที่ชาวบ้านธรรมดาสามัญเขาจะทำได้ ก็เช่นว่า เขาไหว้พระสวดมนต์เสีย แล้วก็มากำหนดแต่ไอ้คำที่ไหว้พระสวดมนต์เสีย ตัวกูก็ไม่มีทางเกิด ก็เป็นวิธีอย่างสมถะ แต่ถ้าว่าชาวบ้านนั้นแหละเขาอยากจะทำดีกว่านั้น ก็กำหนดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การเกิด การดับ การแก่ การเจ็บ การตาย สังขารทั้งหลายเป็นธรรมดาอย่างนี้ ก็ได้เหมือนกัน มันก็เป็นการกำหนดอย่างวิปัสสนาได้เหมือนกัน ดังนั้น ไอ้วัฒนธรรมไทยแท้แต่โบราณนั่น มันมีการกระทำอย่างนี้อยู่แล้วโดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่าคนแก่ๆ เหล่านั้นนะ เขาจะสวดมนต์ภาวนากันอย่างเป็น ด้วยจิตเป็นสมาธิเลย ตั้งนานๆ นะ แล้วทีนี้ คนแก่บางคนนะ เขาก็ชอบพูดเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พูดเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความยึดถือเอาไม่ได้ ความไม่น่าไปยุ่งกับมัน หรือความที่มันเป็นเช่นนั้นเอง อย่างนี้เขาก็รู้จักคิดกัน รู้จักพิจารณากันเหมือนกัน สำหรับคนแก่ที่แก่อย่างถูกต้องตามประเพณีของชาวพุทธ เดี๋ยวนี้หาดูไม่ค่อยได้แล้ว สมัยผมเป็นเด็กๆ พบทั่วๆ ไป คนแก่ที่ ยายแก่ก็ได้ คุณป้า คุณยายคนนี้เขาแก่วัด เขาก็ทำเป็นอย่างนี้ ถ้าเขานอนวัด นอนกันที่วัด แล้วก็ยังทำกันอย่างนี้มาก บางคน อ้า, เป็นมาก ถึงมาอยู่ที่บ้านเขาก็ทำ เขาก็เป็นอิสระนะ คนแก่ๆ เหล่านี้เป็นอิสระ เขาก็ทำได้ เขาจะสวดมนต์นานสักเท่าไรก็ได้ เขาจะนั่งพูดกันเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นานเท่าไรก็ได้ ระยะเหล่านั้นเป็นการปิดกั้นการเกิดแห่งตัวกูของกูทั้งนั้น นี่เราก็สังเกตดู จะเข้าใจดี ดึงมาใช้ตามที่มันเหมาะสมกับเรา ตามโอกาสอันควร ปัญหามันก็อยู่ที่ว่าคนที่เขาทำงานอาชีพ เขาต้องเกิดไอ้ความคิดนึกประเภทตัวกูของกูอยู่เป็นธรรมดา เพราะเขาต้องเอาใจใส่แต่เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องกำไร เรื่องขาดทุน เรื่องแพ้ เรื่องชนะ เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องของตัวกูของกูทั้งนั้นเลย แล้วมันก็เป็นการยากสำหรับคนเหล่านั้น หรือทำไม่ได้ที่จะไม่ให้เกิดตัวกู ดังนั้น เขาจึงมีปัญหา มีความทุกข์นะ มีความทุกข์อย่างคนทุกข์จนชินชา หรือว่ากลายมาเป็นไอ้โรคประสาท กลายมาเป็นโรคจิต หรือโรคอื่นๆ ที่มันเกิดมาจากจิตวิปริตผิดปรกตินั้น โรค โรคลำไส้ก็ได้ โรคหัวใจก็ได้ โรคกระเพาะก็ได้ โรคความดันสูง โรคอะไร ก็ได้ ได้ทั้งนั้นเลย ที่มันมีมูลมาจากจิตผิดปรกตินานพอ ดังนั้น คนที่ต้องมีความรู้สึกรุนแรงทางอารมณ์ รัก โกรธ เกลียด กลัวอยู่เสมอจึงเป็นโรคเหล่านี้กันทั้งนั้น เป็นกันมาก ที่รู้จักกันมากก็คือ โรคประสาท เดี๋ยวนี้ก็เป็นโรคหัวใจกันมาก เป็นโรคความดันสูงกันมาก แม้ที่สุดแต่ว่าโรคทางกายล้วนๆ เช่นโรคกระเพาะ โรคเบาหวาน โรคอะไรนี้ มันก็มีมูลมาจากสิ่งเหล่านี้ คือ จิตวิปริตเป็นระยะยาว เพราะการเกิดแห่งตัวกูของกู เขาก็ต้องพูดว่าเขาทำไม่ได้หรอก เพราะว่าเขาต้องประกอบอาชีพ ด้วยความรู้สึกว่าตัวกูของกูอยู่ตลอดเวลา เขาคิดว่าเขาทำไม่ได้เขาจึงไม่สนใจเสียเลย ไอ้เรามันบ้าไปคนเดียวว่าทำได้ๆ เราว่าทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่างนี่ เขาว่าทำไม่ได้ เขาฟังไม่ถูก และด่าเรา ว่าไปพูดในสิ่งที่มันทำไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ทำงานด้วยจิตว่าง ทำงานด้วยจิตที่ไม่เกิดตัวกู ไถนานี่ เอา เอาๆ เอาไอ้ไถ เอาไอ้อารมณ์รอยไถ กำหนดเป็นสมถะ แล้วไถให้สนุกไปสิ อย่าได้ไปคิดว่าจะได้จะเสีย จะช้าจะเร็ว ชนิดที่ให้มันเกิดพอใจ หรือเกิดไม่พอใจ แล้วก็เป็นตัวกูของกู ชาวนาคนหนึ่งอาจจะไถนาอยู่ด้วยความวุ่นวายในใจ วิตกกังวล ห่วงหน้าห่วงหลังเหมือนกับตกนรกอยู่ที่นั่นเลย ทีนี้ชาวนาอีกคนหนึ่งมันไม่เป็นอย่างนั้นเลย มันปล่อยจิตว่างร้องเพลงไปพลาง ร้องเพลงไปเรื่อย ร้องเพลงไปเรื่อย จะไม่เหนื่อยด้วย จะไม่ทรมานใจด้วย ทำงานด้วยจิตว่าง ถ้าจิตมันไม่ ไม่ ไม่ได้เกิดตัวกูของกู อย่างนี้เรียกว่าจิตว่าง มีความรู้สึกคิดนึกอย่างไรก็ตามใจเถิด เช่นว่ามันร้องเพลงอยู่นี่มันก็เพื่อกลบไอ้ความรู้สึกเครียด มันไม่ใช่ร้องเพลง อ้า, เกี้ยวผู้หญิง ด้วยอำนาจของกิเลส ซึ่งมันก็เป็นเรื่องตัวกูของกูหนักขึ้นไปอีก เดี๋ยวนี้มันก็ร้องเพลงเย้วๆ ไปตาม เอ่อ, ที่ไม่มีความหมายอะไร นี่เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่าง นี่ชาวนา ยกตัวอย่าง ชาวสวนก็เหมือนกัน คนที่ทำงานเป็นกรรมกร เป็นอะไรก็ลองทำจิตชนิดที่ไม่มาสนใจอยู่กับ กูจะได้ กูจะเสีย กูได้มาก กูได้น้อย กูขาดทุน กูกำไร กู ทำให้มันสนุกไปเสีย ก็เรียกว่า ทำงานอยู่โดยที่ไม่ต้องเกิดตัวกูของกู มันเหนื่อยน้อย มันทุกข์น้อย แล้วมันอาจจะสนุกด้วย ถ้าทำงานละเอียด ทำงาน office ก็อย่างเดียวกันอีกแหละ เอาจิตไปเป็นงานเสียเลย เอาตัวจิตไปเป็นตัวงานเสียเลย แล้วก็ทำไปอย่างที่ สักว่างาน สักว่างานเท่านั้นหนอ อย่าให้เลยเป็นว่ามันจะขาดทุนจะกำไร จะได้ดี จะไม่ได้ดี จะ นั้นมันเกิดตัวกู เพราะมันเป็นความหมายแห่งการได้การเสีย การ อะไรขึ้นมา นั้นมันเป็นลักษณะของตัวกูของกูที่สมบูรณ์แล้ว ดังนั้น ทำงานสักว่างานสิ ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่ทำได้ดีเสียอีกนะ ทำ ทำแต่ว่างานสักว่างาน งานนี้เป็นอย่างไร ทำๆ เหมือนเครื่องจักรนั่นแหละ ทำงานด้วยจิตว่างนี่ไม่เกิดตัวกูของกู แล้วก็จะทำด้วยดี ทำได้ดี ถ้าไปเป็นห่วงว่ามันจะไม่ได้ มันจะฉิบหาย มันจะขาดทุนหรือ ในที่สุดมันจะรวยกันใหญ่นี้มันก็ไม่ได้เหมือนกันแหละ มันเป็นเรื่องของตัวกู ซึ่งมันกระวนกระวายนะ มันก็จะเป็นห่วงเรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องได้เรื่องเสียอยู่ร่ำไป มันก็กระวนกระวาย ไม่รู้ไม่ชี้เรื่องได้เรื่องเสีย มีแต่ว่าจะต้องทำอย่างไร ก็ทำให้ดีที่สุดเท่านั้นแหละ ซึ่งเราทำได้ในการที่จะปิดกั้นการเกิดแห่งตัวกู แม้ทำงานใน office office ราชการก็ได้ office ธรรมดาสามัญ การค้า การอะไรก็ได้ จะเป็นงานละเอียด เอาหัวใจไปเป็นตัวงานเสีย แล้วก็ไม่มีจิตใจไหนที่จะเกิดตัวกูของกู มันทำเหมือนกับเครื่องจักร แต่ผมก็ยอมรับว่า ไอ้ที่พูดนี่มันง่าย แต่ที่ทำจริงมันยาก ไอ้ที่พูดนี่มันง่าย แต่พอจะเอาเข้าจริงมันก็ยาก แต่ก็ทำได้ จะยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ถ้าเราตั้งใจจะทำ พยายามฝึกไปเรื่อยๆ ทีนี้เราก็ดูสิ สังเกตดูสิว่า เวลาไหน เวลาอย่างไรที่มันขี้มักจะเกิดตัวกูของกูขึ้นมา ถ้ามันขี้มักจะเกิดเมื่อกิน มันกินอาหารอะไร ดื่มอะไร อ้าว, ก็ระวังสิ หรือว่ามันขี้มักจะเกิดเมื่อนั่งเล่น นอนเล่น ก็อย่าให้มันเกิดสิ ก็ระวัง แต่ที่จริงเมื่อนั่งเล่นนอนเล่นพักผ่อนนี่มันไม่ค่อยเกิดหรอก เพราะมันเป็นจิตใจที่มันเหนื่อยเสียแล้ว จิตใจที่มันเหนื่อยเสียแล้ว มันไม่อยากจะคิดจะนึกอะไร ตัวกูมันก็ไม่ค่อยจะเกิด ดังนั้น ใครๆ ก็รู้ เรื่องของตนสิว่าวันหนึ่งๆ ทำอะไรบ้าง เช่น เราตื่นนอนขึ้นมา ก็ทำอย่างไร ไปบิณฑบาต แล้วไปฉันอาหาร แล้วไปพักผ่อน แล้วไปศึกษาเล่าเรียน ไปไหว้พระสวดมนต์ ไปอ่านหนังสือ ไป กว่าจะครบวันหนึ่ง คืนหนึ่งนะ ทำอะไรบ้าง แล้วตอนไหนที่มันให้โอกาสแก่การรำพึงไปในทางเป็นตัวกูของกู เราก็จัดการกับตอนนั้นเสียให้มันแน่นอน เราต้องรู้ของเราเอง ใครจะมารู้ของเราได้ แล้วมันก็ไม่เหมือนกันทุกคนหรอก แต่ละคนก็รู้ของตัวเองว่าโอกาสไหน เช่นไร ที่มันมีการเกิดแห่ง ตัวกู ขึ้นมาได้ง่ายๆ อย่างในตัวอย่างนั้น อย่าลืมเสียว่าพอมีอะไรสะดุด เป็นนิมิต เป็นลาง เป็นอะไรล่วงหน้า เช่นว่า เห็นบุรุษไปรษณีย์เดินเข้ามานี่ ถ้ามันเคยเป็นอย่างนี้แล้วก็ ก็เตรียมสิ วันหลังจะไม่เป็นอย่างนั้นอีก วันหลังเห็นบุรุษไปรษณีย์เดินเข้ามาก็ไม่เป็นไร ยังเฉยอยู่ เห็นจดหมายลายมือคนนั้นคนนี้มาถึงเรา ที่เรารอ รอคอยอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่เป็นไร ไม่รับจดหมายด้วยมืออันสั่น ใช้คำว่าอย่างนี้ ไม่รับจดหมายด้วยมืออันสั่น เพราะว่าใจมันสั่น เมื่อใจมันสั่นมือมันก็สั่น อะไรๆ มันก็สั่นไปหมด ถ้าเห็นว่ามันเป็นโรคมากเสียแล้ว ไอ้ตัวกูของกูเป็นโรคมากเสียแล้วก็ ก็มีแผนการสิว่าจะทำอะไรตอนไหน ไอ้ ไอ้ระยะที่เราจะมาทำไอ้ งานทางจิต เมื่อทำงานตามหน้าที่อาชีพก็ทำอย่างที่ว่ามาแล้ว ทำเหมือนกับเครื่องจักรที่ไม่เกิดตัวกูของกู ถ้ามันยังไม่พอ เราก็หาโอกาสสิ เวลาไหน วันอาทิตย์ วันเสาร์ หรือว่าเวลาไหน ทุกแต่ละวันที่มันอาจจะปลีกตัวได้สักนิดหนึ่ง ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง เวลาไหนก็ได้ เวลานอนก็ได้ ก่อนนอนก็ได้ ตื่น ตื่น ตื่นนอนก็ได้ แล้วแต่มันจะมีเวลาเหมาะสม แต่ผมเห็นว่าทุกโอกาสที่จะทำได้ดีกว่า จัดให้มันเป็นการทำไปเสียในทุกๆ อิริยาบถ เมื่อเราตื่นนอนขึ้นมา อ้าว, เราก็จะระวังจิตไม่ให้แล่นไปในทางตัวกูของกู ไม่ต้องขัดใจ แล้วก็ไม่ต้องดีใจ จะ จะ จะล้างหน้า อ้าว, ขันไม่มี น้ำไม่มี มันก็บ้าแล้ว มันเกิดตัวกู มันบ้าขึ้นมาแล้ว หรือจะแปรงฟัน ไม่รู้แปรงอยู่ที่ไหนเสียแล้ว มันก็เกิดตัวกู เข้าไปในห้องส้วมสกปรกก็เกิดความเกลียดชัง เกิดไอ้, จิตโทสะเป็นตัวกูของกู มันก็ มันก็เสียหายหมดแหละ มันคงไม่ปรกติถึงกับจะช่วยล้างส้วมที่ไม่สะอาดให้สะอาดได้ เพราะมันเกิด ตัวกูของกูในรูปนั้นเสียแล้ว เราทำไห้มันเข้ารูปเข้ารอยของธรรมะ เมื่อมีอะไรที่มันเป็น มันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ อ้าว, มันก็อย่างนั้นเองนี่ ขันน้ำมัน ขันน้ำมันหาย ก็ไปหาให้พบ แปรงมันหายก็ไปหาให้พบ ส้วมมันสกปรกก็ช่วยกันล้างให้สะอาด ทีนี้ จะไปไหนก็แล้วแต่สิ ผม ผมไม่รู้จะพูดเรื่องของใครดี อ้าว, ทีนี้สมมติว่ามันจะถึงเวลากินอาหาร แล้วก็ระวังเถิด แล้วสังเกตไว้เสมอว่าไอ้ ไอ้ความวิปริตแห่งจิต ผิดปรกติเพราะเรื่องยึดถือตัวกูนี่มันเกิดเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เล่า เมื่อที่เขาเอาอาหารมาตั้ง หรือว่าเมื่อจะกิน หรือว่าเมื่อกิน หรือว่าเมื่อเคี้ยว หรือว่าเมื่ออร่อย หรือว่าเมื่อไม่อร่อย ก็แล้วแต่ เราจะควบคุมให้ปรกติหมด มันจะผิดพลาดได้ เพียงครั้งเดียว ๒ ครั้ง เท่านั้นแหละ อย่างเมื่อวานมัน มันแย่แล้ว มันเกิดตัวกูของกูเมื่อกิน เมื่อเคี้ยว วันนี้ไม่เกิด วันนี้มันรู้เท่ารู้ทัน รู้ล่วงหน้า วันหนึ่งๆ มีอิริยาบถอะไรบ้าง จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน ที่ตรงไหนอย่างไร จะไปอาบน้ำอย่างไร จะแต่งตัวอย่างไร จะไปถ่ายอุจจาระอย่างไร ถ่ายปัสสาวะอย่างไร จะต้องไปทำอะไร จะต้องออกไปจากบ้าน ไปทำงาน หรือทำงานอยู่ที่ที่ทำงานแล้วจะกลับมาบ้าน ก็ดูเถิดว่ามันมักจะเกิด หรือมันเป็นโอกาสที่จะเกิดตอนไหน เราก็รู้จักควบคุม ถ้ามันผิดพลาดไป เมื่อมันผิดพลาดเสียท่าแก่กิเลส มันเกิดตัวกูแล้วก็ ไม่ต้องถึงกับให้มันเป็นทุกข์เป็นร้อน ให้มันเป็นทุกข์นะ ให้รู้ว่านี่มันผิดแล้ว มันเป็นเรื่องไม่ควร ไม่ควรจะมีอีกต่อไป เราก็รู้จัก เอ่อ, เข็ดหลาบกันเสียบ้าง เข็ดหลาบในความหมายแห่งธรรมะนะ เหมือนกับว่าคนมันธรรมดามันเดินตกร่องแล้วมันรู้จักเข็ดหลาบ มันก็ระวังไม่ให้เดินตกร่อง หน้าแข้งถลอกอีกอย่างนั้นแหละ แต่ว่านเดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องทางจิตใจ มันเปรียบเทียบกันได้ว่าอย่าให้มันเกิดอะไรขึ้นมาชนิดที่วิปริตแห่งจิตใจ ทรมานจิตใจ ก็เรียกว่าไม่ตกร่องในทางจิตใจ รู้จักเข็ดหลาบเพราะมันเจ็บนี่ แล้วมันก็ละอายทางธรรมะ ละอายอย่างธรรมะ ละอายอย่างศีลธรรม แล้วก็กลัวอย่างศีลธรรม ไม่ใช่อย่างที่ชาวบ้านเขาละอายกันด้านนอก เป็นเรื่องละอายด้านใน ทางศีลธรรม ไม่มีใครเห็นก็ละอาย moral มีคำว่า moral เข้ามาข้างหน้า moral shame ละอายอย่างศีลธรรม moral fear กลัวอย่างทางธรรม อย่างศีลธรรม ซึ่งมันอยู่ไอ้ ใบต้นนวโกวาทนั่นแหละ หิริโอตัปปะนั่นแหละ หิริโอตัปปะนี่มันช่วยได้มากนะ คุณ คุณอย่าเห็นว่าเป็นไอ้หญ้าปากคอก อยู่ที่หมวด ๒ ของนวโกวาท ถ้าคนเราไม่ ไม่ ไม่มีหิริ ไม่มีโอตัปปะแล้ว มันจะไม่ก้าวหน้า อ้า, ในทางจิตใจหรอก ทีนี้ เมื่อพลาดไปแล้วมัน มันกลัว มันละอายแก่ตัว มันกลัวด้วยเห็นอยู่ว่ามันเป็นอันตราย ไม่ต้องมีใคร มาเฆี่ยน มาตีอะไร เราก็เห็นอยู่ว่า นี่มันเป็นอันตราย มันก็กลัว แล้วมันก็ละอายแก่ตัว ถ้าความรู้สึกอันนี้มันเกิดขึ้น มากขึ้นๆ แล้วก็ แล้วมันห้ามกันได้ ไม่ให้พลาดอีกต่อไป มันจะห้ามกันได้ในตัวมันเอง เพราะจิตนี่มันดวงเดียวนี่แหละ อย่าลืมเสียว่ามันจะเอาใครที่ไหนมาช่วยห้ามมันก็ไม่มี นี่ก็ดูจะไม่มี ถ้าเรา เราคอยระวังไม่ให้พลาดซ้ำอีก ไม่ให้พลาดซ้ำอีกในสิ่งที่มันเคยพลาด จนเกิดตัวกูของกู
อ้าว, ทีนี้ก็จะปฏิบัติตรงๆ ในชั้นที่เรียกว่าเป็นวิปัสสนา ปิดกั้นการเกิดแห่งตัวกู ต้องยืมคำว่าหนอๆ มาใช้ คำว่าหนอๆ นี่มีประโยชน์มากถ้าใช้ให้ถูกต้อง แต่สังเกตดูแล้ว ดูจะใช้กันไม่ถูกต้อง มันจึงกี่ปีๆ มันก็ไม่เห็นผล เพราะอาจารย์ก็บอกให้หนอ ลูกศิษย์มันก็หนอ หนอตามๆ กันไป มันก็ไม่ ไม่ได้ผล ที่จริงมันมีคำขยายความออกไปจากคำว่าหนอ เท่านั้นหนอ เท่านั้นหนอ หรือสักแต่ว่าเช่นนั้นเท่านั้นหนอ เช่น หายใจ หายใจ แล้วกำหนดลมหายใจ กำหนดว่า สักแต่ว่ามันเป็นกริยาอาการหายใจ ตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ ทีนี้ มันยาวนักนี่ การหายใจเท่านั้นหนอ ย่อเข้ามาหายใจหนอ หายใจหนอ เพื่อให้รู้ว่ามันสักว่าเป็นกริยาอาการ ที่เรียกกันว่า การหายใจตามธรรมชาติ ที่ธรรมชาติมันทำของมันเองก็ได้เท่านั้นหนอ นี่กำหนดสั้นๆ สะดวกๆ หายใจหนอ หายใจหนอ ทีนี้ บางคนมันอาจเข้าใจผิดว่า กูหายใจหนอ นี่มันกลับ กลับเป็นตรงกันข้าม กูหายใจหนอ มีกูหายใจอยู่หนอ นี่มันฉิบหายหมดเลย มันก็แทนที่จะได้ผล เป็นการหยุดกิเลส หยุด มันกลายเป็นส่งเสริมให้ตัวกู ตัวตนให้มากขึ้นไปอีก นี่กลัวว่ามันจะเป็นอย่างนี้กันเสียโดยมาก ไอ้พวกหนอ หนอๆ ทั้งหลายนี่ เช่น เรามานั่งลง ที่ๆ ที่นั่งนั้นนะ แล้วก็ว่า ไม่มีตัวเรา ไม่มีชีวิตของเรา มันสักว่าเป็นกลุ่มหนึ่งของธาตุตามธรรมชาติ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ กลุ่มหนึ่งของธาตุ กำลังควบคุมกันอยู่ในลักษณะอาการที่เรียกว่ามานั่งอยู่ที่ตรงนี้หนอ ที่เขาสมมติเรียกกันว่านั่งอยู่เท่านั้นหนอ ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่มีตัวกูซึ่งนั่งอยู่ มันเป็นเพียงสักอาการมีอยู่แห่งกลุ่มของธาตุตามธรรมชาติอยู่ที่ตรงนี้ ในอิริยาบถที่เขาสมมติเรียกกันว่านั่งเท่านั้นหนอ ทีนี้มันยาว มันยาวนักนี่ มันกำหนดไม่ไหว มันก็กำหนดว่านั่งหนอ นั่งหนอ นั่งหนอ ที่คนมันไม่รู้ มันเข้าใจผิดว่า กูนั่งหนอ กูนั่งหนอ เลยได้ผลข้างกิเลสเลย เป็นตัวกูนั่งหนอ เป็นตัวกูนั่งหนอ กูนั่งหนอ ไม่ใช่ตรงตามความหมายของธรรมะว่า มันไม่ได้มีตัวกูผู้นั่งอยู่หนอ มันมีกลุ่มแห่งธาตุตามธรรมชาติกำลังประชุมคุมกันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ที่เขาสมมติเรียกกันว่า นั่งหนอ นั่นแหละคำว่านั่งหนอ นั่งหนอ มันมีผลได้ทั้ง ๒ ทาง ถ้าเข้าใจถูก มันก็ไม่ ไม่รู้สึกเป็นตัวกู ถ้าเข้าใจผิดมันก็เป็นตัวกูนั่งอยู่หนอ มันสักว่าอิริยาบถหนึ่งที่เขาสมมติเรียกกันว่านั่งเท่านั้นหนอ ถ้าเท่านี้ก็ใช้ได้ ก็ถูกแหละ มันสักว่า เดี๋ยวนี้มันเป็นอิริยาบถอันหนึ่งที่ชาวโลกเขาสมมติเรียกกันว่านั่ง อิริยาบถนั่ง เท่านั้นหนอ ใส่คำว่าเท่านั้นหนอ มันก็ไม่มีชีวิต ไม่มีตัวกูอะไรที่จะมานั่งอยู่ที่ตรงนี้ แต่กลัวว่า คนที่ไม่ ไม่ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แล้วสอนกันอย่างลวกๆ ให้ภาวนาว่าตามๆ กัน นั่งหนอ นั่งหนอ นั่งหนอ มันจะไปเน้นตัวกูให้มากขึ้นก็ได้ มันก็ไม่ได้ผลอะไร แล้วมันจะให้โทษด้วยซ้ำไป ดังนั้น ไปคิดเอาเองทุกอิริยาบถ เมื่อนอน เมื่อนอนลงไป โอ้นี่มันอิริยาบถที่เขาสมมติเรียกกันว่านอน ตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ หามีตัวกูผู้นอนไม่ มีสักแต่ว่าอิริยาบถที่สมมติเรียกกันว่านอนเท่านั้นหนอ เท่านั้นหนอ คำว่าเท่านั้นหนอ มัน มันกระชับมา เข้ามาหน่อยหนึ่งกว่าที่จะพูดว่าหนอๆ เฉยๆ นั่งเท่านั้นหนอ กับว่านั่งหนอนี่ มัน มันดีกว่ากัน สักว่านั่งเท่านั้นหนอนี่มันชัด มันสักว่าอิริยาบถนั่งเท่านั้นหนอ แต่ถ้านั่งหนอ นั่งหนอ มันก็กูนั่งหนอไป แล้วก็กูนอนหนอ กูเดินหนอ กูยืนหนอ กูกินหนอ กูอาบน้ำหนอ กูถ่ายอุจจาระหนอ กูถ่ายปัสสาวะหนอ นี่มันก็ไปเน้นไอ้ตัวกู ตัวกูมากเข้าไป เลยไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวหรอก ขอให้ไปตั้งหลักเอาเองก็แล้วกัน เมื่อนั่ง นอน ยืน เดิน หรือเมื่อหายใจ หายใจเข้า เมื่อหายใจออก เมื่อหายใจสั้น เมื่อหายใจยาว รู้สึกสบาย รู้สึกไม่สบาย ถ้ารู้สึกสบาย โอ้, นี่มันเป็นไอ้ความรู้สึกชนิดหนึ่ง เป็นเวทนาชนิดหนึ่งซึ่งเขาเรียกกันว่าสบายเท่านั้นหนอ อย่าได้มีกูผู้สบายเข้ามา มีแต่สักว่า ไอ้ความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าสบาย รู้สึกสบายหนอ กำหนดอยู่ที่ความรู้สึกสบายแล้วก็ว่า นั่นเป็นความรู้สึก ตามธรรมชาติอย่างนั้นเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกู ใช้ได้ ถ้ามันเปลี่ยน อ้าว, ก็ว่ามันเปลี่ยนหนอ มันเปลี่ยนหนอ มันเปลี่ยนไป ไอ้ความรู้สึกที่ไม่สบาย ก็ความเปลี่ยนของมัน ของธรรมชาติ ของอิริยาบถตามธรรมชาติไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ตัวกูเปลี่ยน เขาจึงมีวิธีละเอียดมากที่จะกำหนดจิต อย่าให้รู้สึกเป็นตัวกู หรือตัวกูอยากจะเปลี่ยน หรือตัวกูทนไม่ได้ ตัวกูอยากจะเปลี่ยน ถ้าอย่างนี้ผิดหมด มันต้องเป็นเรื่องเปลี่ยนของมันเองตามธรรมชาติ แล้วเท่านั้นหนอไว้เรื่อยไป นี่ไปดูเอาเองเถิดว่ามันมีอะไรในอิริยาบถทั้งหมด ในการเคลื่อนไหวทั้งหมด หรือในหลักอานาปานสติที่สวดอยู่ ลมหายใจสักว่าลมหายใจ สักว่าลมหายใจเท่านั้นหนอ ไม่ใช่มันเป็นตัวตน เป็นตัวกูหรือของกู อาการอย่างนี้เรียกว่าหายใจเข้าหนอ หายใจเข้าหนอ ซึ่งเหลือแต่ว่าเข้าหนอ เข้าหนอ เข้าหนอก็ได้ ไม่ใช่มีตัวกูหายใจเข้า มันเป็นลมหายใจตามธรรมชาติที่มันเข้า จะออกก็เหมือนกัน ถ้ามันสั้น ก็ โอ้, มันสั้น มันสั้น มันมีความสั้น สั้นหนอ สั้นหนอ สั้นหนอ ถ้ามันยาวๆๆ ยาวหนอ ยาวหนอ ซึมซาบในเรื่องสั้นเรื่องยาว แล้วก็จะซึมซาบ ต่อไปว่า เมื่อลมหายใจมันสั้นนะ ร่างกายมันเป็นอย่างไร มัน มันกำเริบ มันไม่สงบหรืออย่างไร เมื่อลมหายใจมันยาว ร่างกายมันเป็นอย่างไร สงบหรือไม่ เมื่อลมหายใจมันละเอียดๆ ละเอียดหนอ ละเอียดหนอนี่ ก็รู้ไปพร้อมกันว่า เมื่อลมหายใจมันละเอียดหนอนี่ ร่างกายมันรู้สึกอย่างไร ร่างกายมันก็รู้สึกสงบระงับลงไปเท่ากับความละเอียดของลมหายใจ ระงับหนอ สงบหนอ ระงับหนอ สงบหนอ ตามไป แต่อย่าว่ากูนะ อย่าเปิดโอกาสให้กูมันเกิดขึ้น เราจะสบายใจ หรือไม่สบายใจ เมื่อไรก็ตาม กำหนดให้ได้ทันเวลาทันท่วงที มันสักแต่ว่าความรู้สึก เวทนาก็ให้เป็นเวทนา เป็นสัญญาก็เห็นเป็นสัญญา รู้สึกตามที่สมมติเรียกกันว่า สบายหรือไม่สบาย เมื่อมันระงับเอา มันระงับเห็นอยู่ รู้สึกอยู่ ระงับ ระงับหนอ เมื่อมันกำเริบ ฟุ้งซ่าน โอ้, กำเริบหนอ กำเริบหนอ ให้เป็นของธรรมชาติตลอดเวลา ไม่มีตัวกูของกู เป็นตัวเรื่องเป็นเจ้าของเรื่อง นี่มันจะปิดการเกิดแห่งตัวกู ทำได้ดีถึงขั้นเห็นแจ้งเป็นวิปัสสนา มันจะบดขยี้ตัวกู หรือว่าบดขยี้ปัจจัยแห่งการเกิดตัวกู หมดเหตุหมดปัจจัยไปเลย รวมๆ เรียกว่าเป็นเรื่องปฏิบัติ หยุดการเกิดแห่งตัวกู มีรายละเอียดมากมาย เอาไว้พูดกันวันหลังอย่างเป็นวรรคเป็นเวรอีกทีหนึ่งก็ได้ ในการกำหนดหนอ การกำหนดหนอ จะ จะบอกให้รู้ว่า มันมี อ้า, มีที่ ที่จะกำหนด เท่าไร มีเวลาที่กำหนดเท่าไร สามารถมีสติเท่านั้นหนอ สักแต่ว่าเท่านั้นหนอ ในทุกเรื่องทุกราวไปแหละ แล้วก็ต้องใช้สติ มากนะ เร็ว ต้องใช้อดทนด้วย เรื่องอดทนนี้มันเป็นคู่กัน คู่กันกับนักบวช ขันตี พลัง วายะตินัง ขันตีเป็นกำลังของไอ้ ผู้บำเพ็ญพรต เป็นบรรพชิตนี่ ยกตัวอย่างเช่น ยุงกัด ยุงกัดเจ็บ ก็ทนหน่อยสิ ทนหน่อยสิ ฝึกนิสัยทนหน่อยสิ เดี๋ยวก็จะรู้ว่าไอ้ความเจ็บนั้นคืออย่างไร ความเจ็บเป็นอย่างไร ต่างกับความไม่เจ็บเป็นอย่างไร แล้วมันจะมีโอกาสฝึกอย่างที่ว่านี้ โอ้, นี่มันสักแต่ว่าความรู้สึกที่เรียกว่าความเจ็บเท่านั้นหนอ ทน ทนเจ็บหนอ เจ็บหนอ ในความหมายที่มันสักว่าความรู้สึกที่เขาบัญญัติสมมติเรียกว่าความเจ็บเท่านั้นหนอ ไม่ใช่กูเจ็บโว้ย กำหนดว่าเจ็บหนอ เจ็บหนอ เจ็บหนอนี่ ถ้า ถ้าฟังไม่ดี เข้าใจไม่ดีมันคือกูเจ็บนะ กูจะโมโหขึ้นมาแล้วนะ นี่มันก็เกิดตัวกูของกู แต่ถ้าเจ็บหนอ หรือมันเจ็บลึก มันก็สักว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่ระบบประสาทซึ่งก็เป็นธรรมชาติของความรู้สึกของร่างกาย มันเป็นความรู้สึกที่จะต้องเกิดขึ้นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ แล้วก็ศึกษาไอ้ความเจ็บ ไอ้รสชาติของความเจ็บ แล้วเดี๋ยวมันก็เปลี่ยน พอยุงมันอิ่มเข้า มันก็เปลี่ยนแหละ มันก็ไม่เจ็บ อ้อ, มันเปลี่ยนแล้วหนอ มันเปลี่ยนแล้วหนอ ไอ้ความเจ็บมันเปลี่ยนแล้วหนอ มันมากขึ้น หรือมันเจ็บน้อยลง หรือมันไม่เจ็บแล้วนี่ ครั้งนี้จะเป็นเรื่องฝึกกันอย่างเต็มที่ มันได้ฝึกทั้งอดทน และฝึกทั้งอย่างอื่นด้วย แต่ แต่ความมุ่งหมายนั้น ต้องการจะให้ฝึกในข้อที่ว่า มันไม่มีตัวตนที่จะเจ็บนะ มันเป็นไอ้ความรู้สึกเช่นนั้นตามเหตุปัจจัยของธรรมชาติ รู้สึกว่าเจ็บหนอ เจ็บหนอ ระวังเถิด พูดอย่างนี้มันก็พอจะรู้สึกได้แล้ว ถ้าเจ็บหนอ เจ็บหนอ กูเจ็บหนอ กูโกรธหนอ แล้วกูก็ตบยุงโผงเข้าไป อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องตรงกันข้าม ดังนั้น คำว่าเจ็บหนอ เจ็บหนอนี่มันวิเศษที่สุด แต่มันเลวร้ายที่สุดก็ได้ คือ มันให้เกิดความหมายแห่งตัวกู กูเจ็บ หมดเลย มันล้มละลายเลย การเจ็บ พิจารณา อนัตตา ที่ความเจ็บไม่ได้ มันไม่สำเร็จ แล้ววันนี้ก็พูดกันแต่ไอ้เค้า เค้า เค้าใหญ่ๆ เลย โดยเค้าๆ แล้ว มันมีอย่างนี้ หยุดการเกิดแห่งตัวกูโดยวิธีสมถะภาวนาก็ได้ โดยวิธีวิปัสสนาภาวนาก็ได้ ให้ไปสังเกตเอาเอง ปฏิบัติเอาเอง มันจะรู้ยิ่งๆ ขึ้นไปเอง ถ้ามัวแต่ให้คนอื่นสอนมัน มันไม่รู้ มันไม่รู้จริง มันจะไม่ยิ่งๆ ขึ้นไป มันจึงบอกกันแต่ไอ้เค้า เรื่องหลักเกณฑ์ ๒ เรื่อง แล้วไปกำหนดพิจารณา แล้วปฏิบัติเอาเอง ดูเอง ดูเอง ดูเอง มันจะรู้มากขึ้น แล้วจะมีประโยชน์ ในวันนี้ ก็บอกกันแต่เพียงว่า การพิจารณาสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงว่า มันเป็นสักว่าธรรมชาติ ตามธรรมชาติ โดยธรรมชาติ ของธรรมชาติ เท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกู คุณจะชอบไปหนอ เข้าที่อะไรก็ไปหนอได้ตามที่ต้องการ อะไรก็ได้ที่มัน มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับชีวิตนี้ แต่แล้วให้มันหนอชนิดที่ละลายตัวกู ละลายตัวกู ว่างจากตัวกู อย่าหนอชนิดที่มันเข้มข้นไปในทางเป็นเรื่องของตัวกู ผมสงสัยอยู่ว่าสำนักวิปัสสนาหนอต่างๆ นี่ คงจะทำผิดในเรื่องนี้ คือ มันไม่ค่อยจะได้ผลนี่ แล้วมันล้มละลาย หรือเกิดผลตรงกันข้ามก็มี ก็แสดงว่ามันใช้หนอนั่นผิดเสียแล้ว เอาละ เวลามันก็เลยมาแล้ว ขอยุติวันนี้ ถ้าเลยไป ๕ นาที เทปมันพอหรือไม่ เทปมันพอหรือไม่ คุณวิทยา ถ้าเลย ๕ นาที เทปมันยังพอใช่หรือไม่ อาจจะพอก็ได้ ไอ้เทปมีแน่ๆ แต่ผมว่า ไอ้ที่จะอัดใส่ตลับนะ มันจะเกิดปัญหาไหม ถ้าพูดเลยไป ๕ นาที มี มีความหมายของคำที่ละเอียดสุขุมลงไปอีก จะไว้พูดกันวันหลัง เช่น สมมติว่าเราจะบริกรรมว่าชีวิตหนอ ชีวิตหนอนี่ มันยิ่งยากที่จะทำความหมายว่ามันเป็นสักว่าธรรมชาติ เพราะเรามองชีวิตเป็นตัวตนกันไปทั้งนั้น หรือว่าจะมาเล่นงานลงบนหัวตัวกู ว่าตัวกูหนอ ตัวกูหนอ ตัวกูหนอนี่ มันจะมองไปในแง่ไหน มันก็มองในแง่มีตัวกูทั้งนั้นแหละ ไม่ได้มองไปในแง่ว่าไอ้ตัวกูนั้นไม่ใช่ตัวกู เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาในความคิดตามธรรมชาติเรียกว่าตัวกูหนอ ตัวกูหนอ โดยรู้สึกอยู่ว่ามันเป็นสิ่งหลอกลวง ไม่ได้มีตัวจริงอย่างนี้ มันจะยากขนาดนี้ อ้าว, ปิดประชุม นิมนต์