แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะพูดกันถึงเรื่องที่เข้าใจผิด ในความเข้าใจผิดกันอยู่ บางอย่าง เกี่ยวกับศาสนา ต่าง ๆ ที่ทำให้เราเกิดความขัดแย้งกัน คือ อยากจะให้มองเห็นกัน ในข้อแรก ในชั้นแรกนี่ว่า ศาสนาทุกศาสนา เขาต้องการที่จะตัดต้นเหตุแห่งปัญหาด้วยกันทั้งนั้น คือต้องการจะดับทุกข์ ด้วยเหตุ ด้วยการตัดต้นเหตุของมันทั้งนั้น ไม่เหมือนกับชาวบ้าน ที่มัวแก้ไขแต่ที่ปลายเหตุ
เหมือนกับการรักษาโรค เราแยกออกเป็นว่าการตัดที่ต้นเหตุ หรือการรักษาไปตามอาการที่ปรากฎอยู่ อาการที่ปรากฎอยู่ มันเป็นผล มันเป็นผล มันเรียกว่าปลายเหตุ ส่วนต้นเหตุน่ะ มันอยู่ลึกลงไป บางทีก็ค้นไม่พบ ก็ได้แต่แก้ไขกันที่ปลายเหตุ ที่ปรากฎอยู่
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่นว่า ถ้าเราปวดหัว เรากินยาแก้ปวดหัว ก็ระงับที่ปลายเหตุ ถ้าเรากินยาหรือเราจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปที่ต้นเหตุที่ทำให้ เออ, ปวดศีรษะนั่น ก็เรียกว่าแก้ปัญหากันที่ต้นเหตุ
พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะนี่ก็ต้องการที่จะแก้ปัญหาหรือตัดปัญหาลงไปที่ต้นเหตุ เหมือนกับศาสนาอื่นนั่นแหละ แต่ว่ามันถูก มันถูกตรงต่อเหตุ โดยแท้จริง ซึ่งเราพูดกันมามากนักหนาแล้วว่า กฎอิทัปปัจจยตา โดยกฎของอิทัปปัจจยตา สิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น และเป็นอย่างนั้น เหตุโดยแท้จริงของความทุกข์
ทีนี้มันมีพวกอื่น มากมายหลายพวกเสียด้วย เขาไม่ได้ถือว่า เหตุแห่งความทุกข์มันอยู่ที่อิทัปปัจ, อิทัปปัจจยตาในปัจจุบัน คุณต้อง, คุณต้องจำคำว่า อิทัปปัจจยตาในปัจจุบัน นั่นเอาไว้ให้ดี ๆ อิทัปปัจจยตา ที่ย้อนหลังไปมากนัก ก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันนะ คือมันหลาย, หลายชั้นและมันไกลเกินไป
อิทัปปัจจยตา ปัจจุบัน นั่นแหละ ที่มันกำลังเกิด ที่กำลังปรุงแต่งแหละสำคัญ
ทีนี้ศาสนาพวกอื่น เขามองเหตุไปที่อื่นโน่น ไม่ได้มองไปที่ อิทัปปัจจยตาปัจจุบัน เหมือนพวกเรา เขามองไปที่พระเจ้า หรือมองไปที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ แหละ หลาย ๆ ชนิด ตามที่คนพวกนั้นเขายึดถืออะไรอยู่ แล้วแต่เขาเชื่อ ยึดถืออะไรอยู่ เขาก็เอาสิ่งนั้นเป็น ต้นเหตุ
ถ้าว่าจะกล่าวถอยหลังไป มันก็จะมีลำดับเป็นว่า พระเจ้าน่ะ พระเจ้า เป็นสูงสุดอยู่ที่เหตุ ชนิดนี้ แล้วถอยลงไปถึงเทวดา ผีสาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ อะไรศักด์สิทธิ์ จนกระทั่งว่า ไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่เรายอมรับไม่ไหว นี่เรียกว่ากล่าวถอยหลังลงไป
ถ้ามันกล่าวมาจากเหตุอันดับแรก ๆ ขึ้นมา มันก็อย่างนั้นแหละ มนุษย์ในสมัยที่ยังเป็นคนป่า ยังไม่เกือบจะถึงขนาดมนุษย์ เขาก็มีความคิด มีความเชื่อตามแบบของเขา ที่ความรู้ ความคิด มันสมองของเขาระดับนั้นจะมองเห็น ซึ่งเขาเขียนไว้ว่า สภาพธรรมชาติ ที่น่ากลัว ที่เข้าใจไม่ได้นี่ ปรากฎการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า ฟ้าร้อง หรือแม้แต่น้ำท่วม หรือไฟไหม้อะไรต่าง ๆ นั่นเขาคิดว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในนั้น บางทีไอ้ต้นไม้ที่มันใช้เป็นยาได้ ที่เผอิญเขาไปกินมาแล้วแก้โรคบางอย่างได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่น เขาก็คิดว่ามีอะไรอยู่ในต้นไม้นั้น คือมีผีมีเทวดา มีอะไรตามแต่ที่เขาพอจะเข้าใจ
เขาไม่คิดว่ามันเป็นต้นไม้ ใบยา ที่มีตัวยา อย่างนั้นอย่างนี้อยู่ในนั้นแล้ว กินเข้าไปแล้วมันหาย เขาว่ามัน, เพราะมันมีผี มีเทวดา มีอะไรที่เหมือนกับเป็นชีวิต เป็นอัตตา เป็นวิญญาณอยู่ในนั้น มันก็เลยทำให้ต้นไม้เหล่านั้น มันกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือภูเขาหรือแม่น้ำ ที่มันทำอะไรให้เขา พอใจหรือเดือดร้อน อยู่บ่อย ๆ เขาก็เชื่อว่าในนั้นแหละ ในแม่น้ำ ในภูเขานั้นน่ะ มันมีผี มีเทวดา มีวิญญาณ มีตัวตน ที่ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ยึดถือ ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันน่าหัวเราะ ที่มันถอย ถอยเข้ามา จนกระทั่งว่า แม้แต่จอมปลวก จอมปลวกเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังเหลืออยู่กระทั่งบัดนี้ก็ได้ ในที่บางแห่งนี่ มันตั้งหลายหมื่นปีมาแล้วยังเหลืออยู่ได้ ในที่บางแห่งยังมีจอมปลวกศักดิ์สิทธิ์
เมื่อซักห้าสิบปีก่อนนู้น เมื่อผมย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ก็ยังมีเหมือนกัน จอมปลวกบางจอม ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่กราบไหว้บูชา ยิ่งใหญ่ ยิ่งอะไรหน่อย แปลกหน่อยนะเขาก็ พันผ้าแดง ผ้าลายอะไร บูชากันเป็นการใหญ่
สรุปความแล้ว เขาเชื่อ คนครั้งกระนู้นเขาเชื่อว่าในนั้น มันมี วิญญาณ มีผีสางเทวดา กระทั่งเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขากลัว นี่เขาว่ามันเป็นเหตุ ที่ทำให้เราได้รับความทุกข์ หรือถ้าเราทำมันถูกต้อง ถูกใจของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เราก็มีความสุข
เพราะฉะนั้นเหตุแห่งความทุกข์ หรือเหตุแห่งความสุขของเขา มันอยู่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นแหละ มัน, มัน, มันวิวัฒนาการขึ้นมามากๆ จนเป็น, กระทั่งเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าอันสูงสุด
ในสมัยหนึ่งมันก็เป็น เป็นเทวดาที่นับถือกันสูงสุด ต่อมาก็พบอันอื่นที่ดีกว่า พบอันอื่นที่ดีกว่า ไอ้, ไอ้, ไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันแรกก็ลดลงไป ลดลงไป จนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เป็นพระเจ้าสูงสุด แต่ก็เป็นประเภทที่มองไม่เห็น และรู้ไม่ได้ แตะต้องไม่ อะไรทั้งนั้น จนเกิดเป็นเทวดาในระดับสูงมากมาย
อย่างในประเทศอินเดียนี่ มีพระเจ้าขึ้นมาหลายองค์ ยุคที่มีพระเจ้าหลายองค์นี่ก็ ต่างคน ก็ต่างบูชาพระเจ้าแต่ละองค์ไปตามลัทธินิกายของตน ต่อมาคนฉลาด กว่าก่อน ก็เลือกหาว่าพระเจ้าไม่ควรจะมีหลายองค์ ควรจะมีองค์เดียวเท่านั้น เขาก็เลยคัดออก เพื่อจะให้เหลือแต่องค์เดียว หรือว่าเขารวมหลายองค์ บางองค์ให้เข้าเป็นอันเดียว องค์เดียวกันเสีย ก็เหลือแต่พระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว อย่างนี้ดูจะออกไปทางนอกประเทศอินเดีย
ในประเทศอินเดีย ก็มีพระเจ้าหลายองค์ เช่น พระวิษณุ พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม ต่อมาเขาก็รวมสามองค์ ยุบสามองค์ เข้าเป็นองค์เดียวกัน แต่ก็ไม่วายที่จะเรียกว่าสามส่วน ตรีมูรติ ตรีมูรตินี่ พระเจ้าสามองค์รวมเป็นองค์เดียว บางครั้งก็ยกเอาชื่อของพระพรหมเป็น, เป็นหลัก บางทีก็ยกเอาชื่อพระอิศวรเป็นหลัก บางพวกก็ยกเอาชื่อของพระนารายณ์เป็นหลัก แต่ให้มีสามส่วนอยู่เสมอ นั่นแหละเหตุ, เหตุที่ทำให้มนุษย์มีความสุขความทุกข์ตามความเชื่อของ เอ่อ, คนเหล่านั้น
ครั้นต่อมา ลัทธิพระเจ้าหลายองค์นี่ ไม่, ยังยึดถือเป็นพระเจ้าหลายองค์ ไอ้พวกที่ไม่, ไม่ยอมรับว่ามีหลายองค์ มันก็ถอยออกไป เป็นพระเจ้าองค์เดียวเรื่อย มีเค้าเงื่อนว่าออกไปทางตะวันตก ไปเป็นพระเจ้าองค์เดียว คือพระยะโฮวา หรือพระอัลล่าห์ ก็ตาม เป็นพระเจ้าองค์เดียว แล้วถือ แล้วหาว่าที่ถือหลายองค์นี่ผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีเจตนาจะทำลาย ยุบพระเจ้าทั้งหลายเสียให้เหลือองค์เดียว ซึ่งศาสนาอิสลามก็มุ่งหมายอย่างนั้น มุ่งหมายจะทำลายผู้ที่ถือพระเจ้าหรือถือเทวดาหลายองค์ ศาสนายิวศาสนาคริสต์ก็จะมีพระเจ้าแต่องค์เดียว เน้นอยู่พระเจ้ามีแต่องค์เดียวคือพระยะโฮวา แต่ก็มีสิ่งเชื่อนะ มีสิ่งเชื่อที่เคยมีมีสามองค์ ก็มีทรินิตี้ มีพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณ สามอยู่ในพระเจ้าองค์เดียว นี่ก็ยังมีแยกเป็นสามส่วน พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณ
นี่เห็นได้ว่ามันยังไม่หมดกลิ่นไอ ของการที่สมัยก่อนมันเคยมี พระเจ้ากันหลายองค์ นี่ก็เพื่อให้รู้ว่ามนุษย์เขามีความคิดนึก ยึดถือกันมาอย่างไร ทีแรกคงจะมีนับตั้งร้อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายใน, ในโลก หรือในถิ่นที่เขาอยู่ นับเป็นร้อย เทวดาดิน เทวดาฟ้า เทวดาน้ำ เทวดาไฟ เทวดาลม เทวดาต้นไม้ เทวดาภูเขา
กระทั่งเป็นสัตว์บางชนิด สัตว์บางชนิด เช่น ลิง หรือต้นไม้บางชนิด ต้นไม้หยูกยา ต้นเล็ก ๆ บางชนิด เช่นต้นกะเพรา นี่ยัง, ยัง, ยังอ่านพบในคัมภีร์ พระไตรปิฎกของเรา ตอนที่กัณหาชาลี ถูกชูชกพาไปตีเรื่อย เด็กๆ เหล่านี้ร้องอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ออกชื่อสารพัดอย่าง ทำให้เรารู้ได้เป็นคร่าวๆ ว่าเคยถืออะไรกันมาบ้าง ทั้งต้นไม้ ต้นหญ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ คงนับไม่ไหว
ต่อมาเหลือน้อยเข้า เหลือน้อยเข้า ตามที่พอจะเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์กว่า ศักดิ์สิทธิ์จริง เหลือน้อยเข้า น้อยเข้า จนเหลือ 4-5 อย่าง จนเหลือ 3 อย่าง จนกระทั่งรวมกันเป็นอย่างเดียว แต่ประกอบอยู่ด้วยองค์ประกอบสามอย่าง
เข้าใจว่า ในครั้งพระพุทธกาลนั้น ถือเอาพระอิศวรเป็นหลัก เพราะมีอยู่ในคัมภีร์ของเรา ว่าเหตุแห่งความสุข และทุกข์ของมนุษย์นั้น มีการบันดาลมาจาก อิสสร อิสสร ในภาษาบาลี คืออิศวร ในสันสกฤต อิศวร นั่นเอง คำว่า อิสสร อิสสรในภาษาบาลี เมื่อเป็นชื่อของเทวดาก็คือพระอิศวร ไม่ใช่อิสระชน เจ้านายนั่นไม่ใช่ ในบาลีพบอิสสรนิมมานเหตุ เพราะพระอิศวระบันดาล
ทีนี้ต่อมา ดีกว่านั้นอีกในอินเดีย ก็ไม่, ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอย่างนี้ เชื่อกรรมกันหมดแล้ว
กรรม คือ การกระทำนี่ เมื่อเราได้กระทำกรรมอันใดไว้แต่หนหลัง ไอ้กรรมนั้นแหละเป็นใหญ่และมีอำนาจในทางเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หมายถึงกรรมที่ทำไว้ในก่อน ๆ ชาติก่อนโน้น ฉะนั้นจึงมีลัทธิ บางลัทธิถือกรรม เป็นต้นเหตุแห่งความสุขทุกข์ของมนุษย์ คือกรรมเก่า สุขทุกข์เป็นผลเกิดมาจากกรรมเก่า เหตุแห่งความสุข เหตุแห่งความทุกข์ คือกรรม นี่มีพ้นพระเจ้าขึ้นมาแล้ว กรรมที่ทำไว้แต่ก่อนนั้นน่ะเป็นตัวต้นเหตุ
ทีนี้พอมาถึงพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านว่า กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ปฎิจสมุทปบาท นั่นแหละคือเหตุโดยตรง เหตุปัจจุบันแท้ และเหตุโดยตรง ตามที่อธิบายแล้วในเรื่องปฎิจสมุทปบาท
นับตั้งแต่ ตา กระทบ รูป เกิด วิญญาณ
มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน และมีทุกข์
อิทัปปัจจยตาในปัจจุบันเห็นชัดอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่กรรมเก่า พ้นกรรมเก่าชาติก่อน และไม่ใช่เทวดา อิศวรเป็นต้น มาบันดาล เพราะฉะนั้นเหตุ นั่นแหละมันต่างกัน ตามความเชื่อ ตามความเข้าใจ ตามความยึดถือ
พวกหนึ่งก็ว่าไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจนกระทั่งพระเจ้าเป็นที่สุด
ทีนี้พวกหนึ่งก็ว่ากรรมเก่าทำไว้ก่อน ๆ เป็นเหตุ
ทีนี้พอมาถึงพระพุทธเจ้าท่านยกเลิก ว่ากระแสอิทัปปัจจยตาในปัจจุบันนี้เป็นเหตุ
จนถึงกับกล้าท้าว่า ไอ้กรรมเก่า กรรมชาติก่อนนั่นแหละ แม้จะมีจริงก็เอามาสิ เอามาสิ มันก็สู้ สู้เหตุปัจจุบัน คือการกระทำที่ถูกต้อง ที่เป็นอิทัปปัจจยตานี้ไม่ได้นะ ถ้ากรรมเก่ามันจะมาให้เราเป็นทุกข์ ทีนี้เรามันทำถูกต้องเสียในเรื่องของอิทัปปัจจยตาปัจจุบันนี้แหละ แม้ว่า, แม้ว่านะไอ้, ไอ้, ไอ้ผลกรรมเก่ามันจะมาถึง จะมา, จะเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรก็ตามแหละ ก็มีการกระทบหรือการรับเอาในที่นี่ และบัดนี้ มันถูกต้องเสีย มันทำถูกต้องเสีย มันรับอย่างถูกต้องเสีย มันยกเลิกไปเสีย เป็นหมันไป กรรมเก่าก็เป็นหมันไป
ส่วน, เออ, นี่ก็อยากจะพูดให้, ให้เข้าใจชัด จนถึงว่า ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าถ้ามันเป็นของกรรมเก่าแท้ ๆ จริง เราก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เราก็หมดฝีไม้ลายมือที่จะดับทุกข์ มันแน่นอนตายตัวว่า มันเป็นของกรรมเก่าเสียแล้ว นี้,เรามัน ยังทำได้นี่ เรายังเอาชนะ ควบคุมไอ้ที่มัน, กรรมเก่า แม้ว่ามันจะมี แม้ว่ามันจะให้ผล เรายังควบคุมได้ เอาชนะได้
ส่วนที่เรื่องว่าพระเจ้า หรือเทวดา หรืออะไรนั่น ไม่ต้องพูดถึง เรามีการปฎิบัติถูกต้อง ตามกฎอิทัปปัจจยตาในปัจจุบันนี่แล้ว ไม่มีทาง ไม่มีทางที่พระเจ้าไหนจะลงโทษให้เป็นทุกข์ได้ ไม่มีทางที่ว่าดวงดาว หรืออะไรต่าง ๆ ที่ว่ามันเป็นเหตุ ให้เกิดทุกข์ เกิดสุขนั่น ไม่, ไม่, ไม่ทำอะไรได้ ให้มันยกเลิกไปหมด
นี่ขอให้มองเห็น อำนาจอันสูงสุดของกฎอิทัปปัจจยตา ที่เราสามารถปรุงจิต บังคับจิต อบรมจิต ให้อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ไม่เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นไป ตามที่เขาเชื่อกันอย่างนั้น ซึ่งมันก็ไม่ได้มีจริง ถึงแม้ว่าจะมีจริง ไอ้การตั้งจิตไว้ถูกต้อง มันก็ไม่เป็นทุกข์อีกเหมือนกัน
ฉะนั้นเราจึงไม่, ไม่สนใจ หรือไม่หวังพึ่ง สิ่งที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่า ไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ เพราะมีสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีอำนาจ เฉียบขาด เหนือไสยศาสตร์ ถึงกับพูดว่าถ้าเทวดาเขาจะ, จะ, จะแกล้งเราจะลงโทษเรา เราก็สู้ได้ โดยการตั้งจิตไว้ถูกต้อง เป็นทุกข์ไม่ได้ พระเจ้าจะลงโทษเรา ก็สู้ได้ โดยตั้งจิตไว้ถูกต้องเป็นทุกข์ไม่ได้ ผีสางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นในโลก มาสิ จะให้มาพร้อม ๆ กันทั้งหมดก็ได้
ผู้ที่สามารถควบคุมจิตให้ถูกต้อง ตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา ฝ่ายดับทุกข์ มันก็ทำไปได้ และมันก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเหตุที่แท้จริง ต้นเหตุที่แท้จริง มัน, มันอยู่ที่นี่ มันอยู่ที่ทำผิดหรือทำถูก เกี่ยวกับอิทัปปัจจยตาที่ปัจจุบันนี่
มันจึงเพิกถอน เรื่องพระเป็นเจ้าก็ดี เรื่องกรรมเก่าก็ดี ออกไปได้ เพราะว่าเหตุที่แท้จริงมันอยู่ที่นี่ เหตุที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่กรรมเก่า ไม่ได้อยู่ที่พระเจ้า กรรมเก่ายอมรับว่า, ว่ามี แต่มันทำอะไรไม่ได้ ถ้าเราตั้งจิตไว้อย่างถูกต้อง ตามกฎอิทัปปัจจยตาแล้ว เรามันไม่เป็นทุกข์ ไอ้กรรมเก่าให้ผลอย่างไร อย่างไร มันก็ไม่เป็นทุกข์
อย่างที่เรียกว่าพระอรหันต์นี่ท่านเลิก, เลิกได้ ทั้งกรรมใหม่ ทั้งกรรมเก่า ทั้งกรรมใหม่ มันเพิกถอนเสียได้ เป็นผู้พ้นกรรม เป็นผู้สิ้นกรรม เป็นผู้อยู่เหนือกรรม นี่ทำให้กรรมเก่าทั้งหลายเป็นหมันไปเพราะเหตุนี้
ฉะนั้นขอให้มองดูว่า ศาสนาทุกศาสนา เขารู้เรื่องเหตุเหมือนกัน แต่แล้วเหตุมันต่างกัน กลายเป็นมีเหตุที่, ไม่ถึงขนาด หรือเหตุเล็กๆ ที่น่าสงสาร หรือว่าเหตุที่ไม่เฉียบขาด นี่เราพูดกันในฝ่ายเรานะ แต่ฝ่ายเขาแหละ ฝ่ายที่ถือพระเจ้าด้วยเขา, เขา ก็ว่าเฉียบขาด เขาก็ถือ พระเจ้าของเขา ตามศาสนาของเขาเฉียบขาด เช่นเดียวกับที่เราถือว่ากฎอิทัปปัจจยตานี่มันเฉียบขาด ฉะนั้นเราแย่งกันเฉียบขาดกันนะ
ก็เป็นหน้าที่ของผู้ปฎิบัติจะต้องไปศึกษาและปฎิบัติดูเองว่า อย่างไหนมันเฉียบขาดล่ะ อย่างไหนที่ทำให้ไม่มีความทุกข์เลยได้
ดังนั้นฝ่ายที่เขาถือ ฝ่ายที่มีพระเจ้าตามแบบของเขา จะเป็นคริสเตียน คริสตัง อิสลามอะไรก็ตาม เขาก็ย่อมว่าของเขาเฉียบขาด มันก็ได้แต่เถียงกันนะ มันไม่มีใครที่จะ บังคับใครให้เชื่อได้
แต่เราชาวพุทธก็ยิ่งศึกษาเข้า ศึกษาเข้า ศึกษาเข้า ก็ยิ่งเห็นว่ากฎอิทัปปัจจยตาเฉียบขาด ที่จะให้เป็นทุกข์หรือจะไม่ให้เป็นทุกข์
นี่คุณก็รู้ไว้ด้วย ถ้าเผื่อว่าในวันหน้า ในอนาคต คุณก็จะต้องเผชิญกับเพื่อนฝูงมิตรสหายที่ต่างศาสนากัน แล้วอย่าไปทะเลาะกันให้ป่วยการ คุณจะเชื่ออย่างนั้นก็เชื่อ เราก็เชื่ออย่างนี้ แล้วก็เราทำ จนเราไม่เป็นทุกข์ก็แล้วกัน เราดับทุกข์ได้โดยวิธี การปฎิบัติกฎอิทัปปัจจยตาอย่างถูกต้อง
ทีนี้เขาก็นั่งอ้อนวอนพระเจ้า อ้อนวอนพระเจ้า อ้อนวอนพระเจ้า ก็จะไม่มีความทุกข์มา มันบังคับกันไม่ได้ ต่างคนก็ต่างเลือกเอา
แต่ดู ดู เห็นได้ว่า ไอ้, หลักอิทัปปัจจยตานี้ กำลังเป็นที่พอใจ ของมนุษย์ยุคใหม่ ยุควิทยาศาสตร์ ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที ปฎิบัติเอาได้ ด้วยการทำจิตใจให้อยู่เหนือความทุกข์
นี่ผมบอกให้รู้ว่า ศาสนามีหลักอย่างนี้ว่า เราจะต้อง ตัดที่ต้นเหตุ ตัดปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ที่ปลายเหตุ
ที่นี้ มาดูโลกปัจจุบัน เขาก็ไม่สนใจอย่างนี้ เขาก็ไม่อยากจะสนใจอย่างนี้ เพราะว่ามันยาก หรือเพราะว่ามันไม่สนุกสนาน มันไม่, เขาก็คิดไปอีกทางหนึ่งโน่น คือหาอะไรมา กลบเกลื่อนความทุกข์ กลบเกลื่อนความทุกข์ โดยเฉพาะ ก็คือ เรื่องกามารมณ์ กามารมณ์มาบังหน้า มากลบเกลื่อนความทุกข์ แสวงหา ปัจจัยแห่งกามารมณ์มาไว้มากๆ เข้า จะได้กลบเกลื่อนความทุกข์ อย่าง, อย่างน้อยที่เขาปฎิบัติกันอยู่ก็เป็นทุกข์ขึ้นมา ก็กินเหล้า เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า พอเป็นทุกข์ขึ้นมาก็หันไปหาเหล้า เพื่อจะปิดระงับ ความรู้สึกที่เป็นทุกข์นั้นเสีย แล้วมันก็ไม่ได้ตัดต้นเหตุนี่ แล้วมันก็ไม่, ไม่, ไม่, ไม่ ไม่หมดความทุกข์
เดี๋ยวนี้เขา ผลิต ค้นคว้าแล้วผลิต ปัจจัยแห่งกามารมณ์ หรือความรู้สึกที่สนุกสนาน ให้มันมากขึ้น แทนที่จะไปกินเหล้า ก็ไปเล่น ไปหัว ไปหัวหกก้นขวิด อะไรกันเสียที จัดขึ้นมาเพื่อจะกลบเกลื่อนความทุกข์ แล้วมันก็ไม่สำเร็จ ก็ดู ก็เห็นอยู่ ว่าไม่สำเร็จ ก็เลยไปจนถึงว่า ต้องฆ่าตัวตายเท่านี้ก็เป็นการ ????(นาทีที่ 29.42) หรือเดี๋ยวนี้เขาก็มียา ระงับความรู้สึกที่เป็นทุกข์ พวกยาระงับ ต่างๆ ก็มี มันก็ไม่สามารถจะระงับได้ แต่ก็ดูเหมือนว่านิยมใช้กันอยู่ ยาประเภท ???? ควิไลเซอร์ (นาทีที่ 30.07) ทั้งหลาย คนเขาก็ชอบใช้กันอยู่เพื่อให้สบายใจ ระงับทุกข์ แล้วมันก็ทำไม่ได้ เพราะมันไม่ได้ตัดที่ต้นเหตุ มันก็, ว่ามันไปปิด ปก หมกเอาไว้ พอไอ้, หมดฤทธิ์ปิด ปกเอาไว้ มันก็โผล่ขึ้นมาอีก
เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีหลักที่ถูกต้อง หรือเข้ากันได้กับพุทธศาสนา ว่า จะต้องตัดที่ปลายเหตุ เอ้อ, ตัดที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ระงับ มัวระงับแต่ที่ปลายเหตุ มันแยกออกจากกันได้เลยว่า
ถ้าพุทธศาสนาก็ตัดที่ต้นเหตุที่ให้มันเกิดทุกข์ ในกระแสปรุงแต่งแห่งจิตนั่นเอง เรียกว่าเป็นภายใน เรามีเหตุที่จะจัดการเป็น ภายใน
ทีนี้พวกอื่นนั่นเขามีเหตุที่จะต้องจัดการเป็น ภายนอก พระเจ้าทั้งหลายก็ดี ไสยศาสตร์ทุกอย่างก็ดี มันอยู่ภายนอก เหตุแห่งทุกข์อยู่นอกตัวเรา เป็นดวงดาว เป็นอะไรไป อยู่นอกตัวเราทั้งนั้น
นี่ก็เป็นความแตกต่างกัน อย่างตรงกันข้ามแหละ พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์
โดยที่พุทธศาสตร์ถือว่า เหตุแห่งความทุกข์ มันอยู่ที่ภายใน
เมื่อพวกไสยศาสตร์ เขาก็ถือว่ามันอยู่ที่ภายนอก ก็อ้อนวอนพระเจ้า อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำบู, ทำพิธีบวงสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งล้วนแต่อยู่ภายนอก
ก็รู้เอาเองเลยว่าอะไรมันจะช่วยได้ ภายนอกจะช่วยได้หรือภายในจะช่วยได้ แต่เราไม่ยกเอาข้อนี้มาเป็นเรื่องเถียงทะเลาะวิวาทกัน กับเพื่อนมนุษย์ของเรา เมื่อเขาชอบอย่างนั้น เขาก็เอาไปได้ เราก็พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจสิ เมื่อเขาไม่เข้าใจ หรือเขาไม่ยอมรับ ก็ไม่ยอมรับ
ถ้าจะชวนให้เขาเป็นพุทธ มันก็กลายเป็นว่าเขาจะต้องมาดูเหตุแห่งความทุกข์ กันเป็นภายใน ที่เป็นภายใน และก็ดับกันที่ภายใน
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับแห่งโลกก็ดี ทางถึงความดับแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติว่า มีอยู่ในร่างกาย ที่มีชีวิตเป็นๆ นี้ ทีนี้เมื่อ เป็นเรื่องภายในแล้วนะ คือเราแยกตัวออกมาจากลัทธิอื่นๆทั้งหลายที่เป็นภายนอก เรามาสู่หลัก, หลักเกณฑ์เดิมเป็นภายใน และก็จัดการในภายใน มุ่งไปที่ต้นเหตุในภายใน
ที่เห็นชัด ก็คือ อิทัปปัจจยตาในปัจจุบัน ที่เรียกผัสสะ ผัสสะนั่นแหละ เคยพูดกันมาแล้ว แต่ดูไม่, ไม่ค่อยจะสนใจฟังกันนัก และก็ไม่พยายามจะทำความเข้าใจให้ถึงที่สุด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผัสสะ มันเป็นตันเหตุแห่งกรรม เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทุกชนิดแหละ กระทั่งทิฎฐิ มิจฉาทิฎฐิ สัมมาทิฎฐิ เรียกว่าผัสสะโง่ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ไอ้, ไอ้, ไอ้, ไอ้, ตา
ยกตัวอย่างกรณี ตาน่ะ ตา
ตาข้างใน รูปข้างนอก ถึงกันเข้า เกิดจักษุวิญญาณ คือจิตที่ทำหน้าที่รู้สึกที่ตา เรียกว่าจักษุวิญญาณ ที่มันได้เป็นสามอย่างนะ ตา รูป และวิญญาณ สามอย่างนี้ ทำงานร่วมกัน คือวิญญาณน่ะ มันรู้สึกลงไปที่รูป โดยอาศัยทางตา เรียกว่าสามอย่างทำงานร่วมกัน ก็นี่เรียกว่าผัสสะ ไปสนใจศึกษาจนเห็นตัวจริง
คือเขาพูดทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ ข้างใน
รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ ข้างนอก
แล้วก็ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางใจ นี่ พวกวิญญาณล้วนแต่มีหก หก นะ
จะพูดทีเดียวทั้งหกมันก็พูดไม่ได้ เลยต้องยกตัวอย่างพูดทีละเรื่อง เช่น ทางตานี้ ตา ข้างใน รูปข้างนอก พอตากับรูปถึงกันเข้า เกิดจักษุวิญญาณ คือจิตที่จะรู้สึกที่ตา ก็เพราะว่าจิตนั้นมันรู้สึก ก็ไปที่รูป โดยผ่านทางตา เขาเรียกว่าจักษุวิญญาณ วิญญาณทางตา คือ จิตที่ทำหน้าที่ทางตา
แล้วจิตนี้ไม่ใช่ตัวตนมาจากภพไหน ไม่ใช่ มันเพิ่งเกิดขึ้น เมื่อมีการกระทบกันระหว่าง ตา กับ รูป นี่
หลักพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ใช้คำว่าวิญญาณ วิญญาณ ก็คือจิตที่รู้สึกได้ ที่เกิดขึ้นเพราะไอ้ตากับรูปมาถึงกันเข้า เกิดจิตที่จะรู้สึกมันได้ ทางตา
ถ้าเป็นลัทธิอื่นเขาไม่พูดอย่างนี้ เขาจะพูดว่าวิญญาณ วิญญาณตัวตน วิญญาณอาตมัน ที่อยู่ในนี้ ที่อยู่ในร่างกาย มันวิ่งออกมา ทำความรู้สึกทางตา พอเสร็จเรื่องทางตาแล้วมันวิ่งกลับไปอยู่ที่ตรงไหนก็ไม่มีใครบอกได้ แล้วค่อยออกมาทำความรู้สึกทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ไอ้อย่างนั้นมันเป็นวิญญาณชนิดที่เป็นตัวตน ไม่ใช่ลัทธิในพระพุทธศาสนา
ในพุทธศาสนา ไม่, ไม่ได้ถือว่ามีวิญญาณที่เป็นตัวตน จะคอยวิ่งเข้าวิ่งออกอย่างนั้น
อาศัย อายตนะภายใน กับ อายตนะภายนอก กระทบกัน ก็จะเกิดจิตชนิดนี้ ก็เรียกว่า วิญญาณ
วิญญาณ ในกรณีอย่างนี้ อย่างเดียวกันกับคำว่า จิต หรือ มโน นั่นน่ะคือผัสสะ ของสามอย่างถึงกันอยู่ ทำงานด้วยกัน ถึงกันอยู่
คือ วิญญาณ รู้สึกต่ออายตนะภายนอก โดยผ่านทาง อายตนะภายใน ที่ทำหน้าที่รับอารมณ์ นี่คือผัสสะ
ไปเรียนให้รู้จัก ผัสสะ จาก ตัวผัสสะ อย่าเรียนจากหนังสืออย่างเดียว อย่าเรียนจากคำพูด ฟังอย่างเดียว ไปรู้จักตัวผัสสะเสียให้ชัด
ทั้งผัสสะที่อาศัยเกิดขึ้นทางตา
อาศัยเกิดขึ้นทางหู
อาศัยเกิดขึ้นทางจมูก
อาศัยเกิดขึ้นทางลิ้น
อาศัยเกิดขึ้นทางผิวกาย
อาศัยเกิดขึ้นทางใจเอง
ให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ดี ให้มันมีผัสสะ แล้ว, ถ้าตอนนั้นมันโง่ ก็ไม่มีสติ หรือไม่มีปัญญาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันก็โง่ โง่เพราะมันไม่มีสติ ไม่มีปัญญา มันก็เป็นไปตามอำนาจความโง่ มันก็เกิดไอ้เวทนาโง่ เวทนาที่โง่มาเสร็จ สำหรับจะให้หลงยินดี หลงรัก หลงเกลียด หลงยินดียินร้าย เป็นเวทนาหลอก ให้โง่
เวทนานี้พอเกิดแล้ว มันก็เกิดตัณหา คือความอยากไปตามรส หรือความหมายของเวทนานั้น
เช่น เวทนาน่ารัก เกิดตัณหาอยากได้
เวทนาไม่น่ารัก ก็เกิดตัณหา คืออยากจะทำลายนี่ เป็นต้น
ถ้ามันไม่แน่ว่าน่ารักหรือไม่น่ารัก มันก็เกิดความอยากชนิดที่เป็นความสงสัย สนใจ เกี่ยวเกาะอยู่เหมือนกัน นี่เพราะมันมีความอยาก ความอยากแล้ว มันก็เกิดเอง ความรู้สึกอยาก ให้เกิดความรู้สึกว่า ฉันสิอยาก ฉันมีตัว ฉันอยาก นี่คือตัวฉันที่เป็นอัตตา ตัวอัตตา มายา
อัตตา เกิดจากการปรุงแต่งในอิทัปปัจจยตา
แต่ถ้าเป็นลัทธิอื่น ที่เขามีตัวตน มีอัตตาน่ะ เขาไม่อธิบายอย่างนี้ เขามี, มีอัตตา มีอาตมันสิงอยู่ในกายนี้ เป็นเจ้าของ เดี๋ยวทำอย่างนั้น เดี๋ยวทำอย่างนี้ เดี๋ยวคิดอย่างนั้น เดี๋ยวคิดอย่างนี้ เป็นเรื่องอัตตา ชนิดนั้น ก็เป็นตัวฉันนั่นแหละ ชนิดนั้น เขาเป็นของจริง เป็นของจริงไปเลย อัตตาตัวจริง
เพราะไฉน อัตตานี่เป็นของเพิ่งเกิด เพราะการกระทบปรุงแต่งตามธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่าอัตตานั้น เป็นเพียงมายา อัตตานั้นไม่ได้มีอยู่จริง ไม่ได้เป็นของจริง ถือว่าเป็นอนัตตา มีรูปว่าอนัตตา
เวทนาอนัตตา
สัญญาอนัตตา
สังขารอนัตตา
วิญญาณก็อนัตตา
คือมันมีอัตตา มันเป็นอนัตตา แต่มันรู้สึกว่ามันเป็นอัตตา มันรู้สึกว่าฉัน ฉัน ฉันนี่อยาก ฉันอยากได้ ฉันต้องการ ฉันจะเอาให้ได้ ฉันจะกิน ฉันจะยึดครอง ฉันจะอะไรต่างๆ นี่ ฉัน ฉัน ฉัน นี้
ถ้าความรู้สึกว่า ฉันมีแล้ว มันก็หนักด้วยตัวฉัน มันก็หนักด้วยสิ่งที่เป็นของฉัน แล้วตัวมันต้องการอะไร มันเป็นตัวฉัน มันเป็นของฉัน ความรู้สึกนั้นมันก็หนักและเป็นทุกข์ อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องก็เป็นของฉันหมด
มันจึงมี ร่างกายของฉัน ชีวิตของฉัน บ้านเรือนของฉัน ลูกเมียของฉัน ทรัพย์สมบัติของฉัน เกียรติยศชื่อเสียงของฉัน อะไรมันก็ของฉันหมดแหละ นั่นแหละคือ ความหนัก เพราะมีฉัน และ มีของฉัน
ไอ้ความหนักนั้นแหละ มันจึงเป็นความทุกข์ เพราะมันหนัก เพราะมันถือไว้ แล้วมันก็หิ้วไว้ ด้วยความหวังว่าจะต้องเป็นอย่าง, จะต้องเป็นไปอย่างที่ฉันต้องการ เมื่อไม่เป็นไปอย่างฉันต้องการ นั้นคือความหนัก นั้นคือความทุกข์
ทีนี้มันไม่มีอะไร ที่จะเป็นไปตามที่ฉันต้องการหรอก มันเป็นไปตามที่ เหตุปัจจัยของมันตามธรรมชาติ ก็เลยได้เป็นทุกข์กันด้วยเหตุนี้ จะยึดถือว่าชีวิตนี้ ของฉัน ชีวิตนี้จงเป็นอย่างนี้ จงอย่าเป็นอย่างนั้น แต่ชีวิตนี้มันก็ยังเป็นไปตามธรรมชาติ เช่น มันเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น
มันก็เลยให้เกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ แก่จิตที่โง่ว่า มีตัวฉัน ต้องการอย่างนั้น อย่างนี้
จะเรียกว่า จิตโง่ นั่นแหละถูก กว่าที่จะเรียกว่า ตัวฉัน ความรู้สึกว่าตัวฉัน นั่นแหละคือจิตโง่ เมื่อมันมีความรู้สึกที่เรียกว่า ตัวฉัน เสียแล้วมันก็มี เพราะมันคิดได้แต่อย่างนั้น มันไม่คิดอย่างอื่นได้ ว่าไอ้ตัวฉันนี่ ความหมายนั่นของจิตโง่นั้น มันก็มี แน่นอน
เพราะฉะนั้นพอ ตัวฉัน ชนิดนี้เกิดขึ้นใน, ใน, ใน, ในชีวิตนี้ ในอัตภาพนี้แล้ว มันก็เป็นทุกข์ไปหมด อะไรมันก็เป็นของฉัน ซึ่งจะต้องเป็นไปตามความต้องการของฉัน แล้วมันก็ไม่ยอมเป็นตามความต้องการของฉัน มันก็ได้เป็นทุกข์
นี่ถ้าว่าจิตมันไม่โง่ คือจิตที่ศึกษาถึงที่สุด บรรลุ อ่า, ธรรมะ แล้วมันไม่มีความรู้สึกว่า ตัวฉัน ไม่รู้สึกว่าของฉัน เป็นธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ คือเป็นแต่ละอย่าง ละอย่าง อย่างที่เราแจกออกเป็น อิทัปปัจจยตา เป็นปฎิจสมุทปบาทนั้น หรือว่าเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นสักว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น มันไม่มีตัวตนที่ไหนได้ นี่เรียกว่าเป็น เบญจขันธ์ที่ไม่ถูกยึดถือด้วยอุปาทาน มันก็ไม่เป็นทุกข์ คือ ไม่หนัก
ถ้ามันโง่ เบญจขันธ์เหล่านั้น มันก็ถูกยึดถือด้วยอุปาทานว่า ของฉัน ฟังยากตามตัวหนังสือ ยึดถือว่ารูปของฉัน ยึดถือว่าเวทนาของฉัน สัญญาของฉัน มันยึดถือด้วยความโง่ โดยไม่รู้สึกตัว ยึดถือเสร็จมาตั้งแต่เกิดความคิดนึก มันก็เกิด ไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ได้ทุกรูปแบบ
ความรักก็ดี ความเกลียดก็ดี ความโกรธก็ดี ความกลัวก็ดี ความวิตกกังวลก็ดี ความอาลัยอาวรณ์ก็ดี ความอิจฉาริษยาก็ดี ความหึงก็ดี ความหวงก็ดี สารพัดอย่างแหละ ล้วนแต่เป็นความรู้สึก ที่มีพิษ กัด กัดจิตใจนั่นเอง เป็นทุกข์
นี่คือคำพูดที่ว่า เหตุนั้นอยู่ภายใน เหตุแห่งความทุกข์นั้นอยู่ภายใน ถ้ามันทำตรงกันข้าม ไม่เป็นทุกข์ เหตุนั้นก็อยู่ภายในอีกนั่นแหละ แต่ภาษาธรรมะเขาไม่ไปหลงว่าเป็นสุข เขาว่าทุกข์กับไม่มีทุกข์ ถ้าไม่มีทุกข์ก็คือสุข เราเรียกสมมติเอาว่าสุขแล้วกัน
แต่พระพุทธเจ้า ภาษาของท่าน ท่านก็ว่าไม่, ไม่, ไม่มีทุกข์ คือดับไปแห่งความทุกข์ ที่สุดแห่งความทุกข์ มันจะมีทุกข์ หรือมันจะไม่มีทุกข์ ก็เพราะเหตุปัจจัยในภายใน
เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทที่แท้จริง จึงไม่หวังพึ่งเหตุปัจจัยภายนอก ไม่หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก ให้ผู้อื่นช่วย ถ้าทำอย่างนั้นกลายเป็นไสยศาสตร์ไป ไม่ใช่พุทธศาสตร์ มันต่างกันทางนี้ ถ้ามันไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกอาศัย เอ่อ, ที่พึ่งภายนอก ให้ช่วยละก็เป็นไสยศาสตร์ ถ้ามีเหตุปัจจัยภายในต้องจัด ต้องแก้ ต้องทำกันที่ปัจจัยภายใน อย่างนี้มันก็เป็นพุทธศาสตร์
ผมจึงพูดทำนองล้อๆ ว่า เอาพระเครื่องมาแขวนคอ ถ้าแขวนกันลืมอิทัปปัจจยตาก็ใช้ได้ แต่ถ้าแขวนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยละก็หมด, หมดความเป็นพุทธ ไม่มีความเป็นพุทธ ถ้าเอาพระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้ามาแขวนเพื่อกันลืมอิทัปปัจจยตา ที่เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยในภายใน อย่างนี้ได้ ยังเป็นพุทธอยู่นะ ถ้าแขวนในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก ให้ปัจจัยภายนอกช่วยละก็หมดความเป็นพุทธ คือเป็นไสยศาสตร์ ไสยแปลว่าหลับ ศาสตร์ที่หลับ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย ไสยแปลว่าดีกว่าก็ได้ คือดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย แปลว่าหลับนั่นแหละ โดยตรง มีศาสตร์หลับ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย เพราะเป็นเครื่องปลอบใจคนเหล่านั้นมาแล้วตั้งแต่ยุคหลายหมื่นปีกระมัง ที่เขาถือปัจจัยภายนอกเป็นเครื่องอุ่นใจ เป็นมา เป็นมา จนกระทั่งบัดนี้ได้หลายหมื่นปีแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ได้อยู่ บางคนเขาก็ยอมรับว่า ไสยศาสตร์นี่มันก็ช่วยให้คน มีความสบายใจบ้าง ไม่ต้องเป็นบ้า เพราะว่าเขาจะพึ่งธรรมะอย่างถูกต้อง เขาก็ทำไม่เป็น ก็ต้องให้เขาพึ่งไสยศาสตร์ไปก่อนสิ มิฉะนั้นเขาก็เป็นบ้ากันหมด
เพราะฉะนั้นสถาบันไสยศาสตร์จะต้องอยู่ไปอีกนานนะ จนกว่าคนจะฉลาดกันหมดทุกคนแหละ มันจึงจะสลายไปเอง ถ้าคนมันยังไม่ฉลาดพอ ไม่เข้าถึงเรื่องภายในตามหลักพุทธศาสนาได้แล้ว ไสยศาสตร์ยังจำเป็นจะต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ไปว่าเขา ไม่ไปต่อต้านอะไรเขา ก็ต้องเก็บไว้ให้คนปัญญาอ่อน ก็สงสารคนปัญญาอ่อนเหล่านั้นแหละ มันจะได้ใช้เป็นที่พึ่ง มิฉะนั้นมันจะเป็นบ้ากันตายหมด
แต่ถ้าเขาเปลี่ยนได้ มาเป็นพุทธศาสตร์ได้ มันก็ดี นะ มันก็ดี ก็หมดปัญหา แต่ถ้าเปลี่ยนไม่ได้มันก็จะต้องระทมทุกข์เป็นบ้า เอาเป็นว่าเก็บไว้ให้คนปัญญาอ่อนถือปัจจัยภายนอก ฉะนั้นทำอะไร อะไร มันก็เป็นเรื่องปลายเหตุไปหมด มันไม่ถูกที่ต้นเหตุ มันก็ดับทุกข์ที่แท้จริงไม่ได้
เพราะฉะนั้น ไอ้, ไอ้, ประโยชน์ของไสยศาสตร์ มันก็ยังใช้ได้อยู่ ปัญญา (นาทีที่ 49.35) ??? ควิไลเซอร์ ไม่รู้เรียกว่าอะไร แทรนสควิไลเซอร์ ยากล่อมอารมณ์ ยาชูอารมณ์ อะไรอารมณ์ ไปตามเรื่อง ฝรั่งเขาก็ทำให้มันเก่งขึ้น เก่งขึ้น เขาประดิษฐ์, ประดิษฐ์ยาประเภทนี้ให้เก่งขึ้น เก่งขึ้น ให้ระงับ ไอ้ความทุกข์ อารมณ์ร้ายนั่นได้ดีขึ้น ดีขึ้น บางทีเขาอาจจะทำให้ดีกว่านี้ จนว่ากินเข้าไปเม็ดเดียวสบายก็ได้ เป็นเดือนก็ได้ คือไม่เกิดอารมณ์ร้ายชนิดที่ให้เป็นทุกข์ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็น ลัทธิถือปัจจัยภายนอกอยู่ดี ไม่เป็นพุทธศาสนาได้
ทีนี้พูดมาถึงเรื่องผัสสะนะ ถ้าเรารู้เรื่องผัสสะ ฉลาด ฉลาดทันเวลาของผัสสะ ก็ไม่เกิดความทุกข์ ฉะนั้นเราก็ต้องศึกษา ไอ้เรื่องความฉลาดน่ะ สติ ที่จะค้นเอาความฉลาดมาให้ทันกับผัสสะนี่ ให้มากเข้าไว้สิ
เช่น ฝึกอานาปานสติ มันก็ได้ผลเป็นว่า มีสติมาก มีสติเร็ว แล้วก็มีปัญญารู้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ตถาตามาก ทีนี้สติมันก็เอาไอ้, ปัญญานี้มาทันเวลาของผัสสะ ก็เป็นผัสสะฉลาด ได้ทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผัสสะไม่ต้องโง่ไปพักหนึ่ง แล้วเป็นทุกข์ ผัสสะฉลาดทันเวลา ไม่เกิดความทุกข์ แล้วก็แก้ปัญหาที่มันเข้ามา ในกรณีนั้นน่ะ ถ้ามันมีปัญหาก็แก้ปัญหาให้หมดไป ถ้ามันไม่มีปัญหาก็เลิกกันสิ เราไม่เป็นทุกข์แล้วเราก็ทำอะไรต่อไป
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของผัสสะที่ต้องแก้ปัญหา ต้องต่อสู้ ต่อต้าน เป็นโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอะไรก็ทำไป โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ก็แล้วกัน ได้ผลว่าเราไม่เป็นทุกข์ก็แล้วกัน เราทำอะไรทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาถูกต้อง แล้วเป็นเรื่องแก้ในภายใน เรื่อยไปจน, จนไม่มีปัญหาเหลือ
เอ้า, ทีนี้ก็มาดูเหตุอันสุดท้ายว่าทำไมเราจึง ทำอย่างนี้ไม่ได้ล่ะ ทำไมจึง, เราจึงมีผัสสะฉลาดไม่ได้ ก็เพราะว่าการศึกษาไม่พอ การปฎิบัติมันไม่พอ ไปทำให้มันพอเสียสิ การศึกษาเรื่องนี้ก็ศึกษาให้พอสิ แล้วก็ปฎิบัติฝึกฝนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ให้พอสิ มันก็หมดปัญหาแล้ว การศึกษา อ่า, ถูกต้องและก็เพียงพอ
สติ ที่จะใช้การศึกษาให้ทันแก่เวลา สติที่จะใช้ปัญญาให้ทันแก่เวลามันก็พอ มันก็เป็นผัสสะที่ไม่โง่ ไม่โง่ได้ มันก็ไม่เกิดทุกข์ เพราะไม่มีผัสสะที่โง่
เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ธรรมะให้ถูกต้อง รู้ธรรมะให้เพียงพอนั่นแหละสำคัญ เพราะเราไม่รู้ธรรมะอย่างถูกต้องและเพียงพอ มันจึงเกิดผัสสะโง่ เมื่อเกิดผัสสะโง่มันก็ต้องเป็นทุกข์ ไม่มีใครช่วยได้ ให้พระเจ้าทั้งหมดมารวมกันช่วย ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าผัสสะมันโง่ มันปรุงไปตามความโง่และเป็นทุกข์ มัน, มัน, มันต้องเป็นทุกข์
เดี๋ยวนี้เราให้ รู้ธรรมะอย่างถูกต้อง และอย่างเพียงพอนะ มันเป็นสอง สองความหมาย ต้องถูกต้องด้วย และเพียงพอด้วย ถูกต้องแล้วไม่เพียงพอนี่ใช้ไม่ได้นะ โดยมากมันรู้อะไรไม่ค่อยจะถูกต้องและมันก็ไม่ค่อยจะเพียงพอ ต้องถูกต้องและเพียงพอ
เพราะฉะนั้นจึงขอให้สนใจ ในข้อนี้แหละ อย่าทำเล่น ๆ หรืออย่าทำเคลิ้ม ๆ ทำไม่ต้องรับผิดชอบ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ได้ โดยมากก็เป็นเสียอย่างนี้ ผมสังเกตุดู บวชกันปีหนึ่ง ปีหนึ่ง มันก็มากๆ เยอะแยะเลย แต่ไม่ค่อย, ไม่ค่อยจะมีใครที่จะศึกษาให้ถูกต้องและเพียงพอ มันก็กลับสึกไปอย่างไม่มีการศึกษาที่ถูกต้องและเพียงพอ ในพระพุทธศาสนา เขาจึงไม่สามารถจะแก้ปัญหานี้ได้
จึงขอเตือนไว้แต่เนิ่นๆ นี้ว่า จงทำกันอย่างดีที่สุด ทำด้วยความพยายามพากเพียรทั้งหมดทั้งสิ้น ให้ดีที่สุด ที่จะให้ เกิดการศึกษาที่ถูกต้องและเพียงพอ และก็ปฎิบัติได้ เพราะมันถูกต้องและเพียงพอ และมันก็ปฎิบัติได้ เมื่อมันปฎิบัติได้แล้วมันก็จะไม่มีผัสสโง่ เลย ไม่ว่าในกรณีไหน มันก็รับประกันได้ ถ้าไม่มีผัสสะโง่แล้วก็ไม่มีทุกข์ก็, นี่น่ะ เรื่องที่ว่าจะตัดต้นเหตุกันในภายใน มันก็เป็นไปได้ โดยลักษณะอย่างนี้
จึงขอให้รู้ไว้ ให้ประจักษ์ชัดเจน ชัดเจน ชัดเจนที่สุด ว่าพุทธศาสนาจะต้องตัดปัญหา ด้วยการตัดต้นเหตุที่เป็นภายใน มิฉะนั้นไม่ใช่พุทธศาสนา
และข้อนี้คือข้อที่พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราจะต้องพูดกับนักศึกษา นักวิทยาศาสตร์ในโลกปัจจุบันนี้ ที่ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์มันเป็นอย่างไร พุทธศาสนาจะเป็นไสยศาสตร์ไม่ได้ กระทั่งว่าจะเป็นไอ้, นิยาย ไม่ได้ ศาสนาอย่างนิยายไม่ได้ เป็นไสยศาสตร์ก็ไม่ได้ ต้องเป็นของจริง เป็นสัจจะ เป็นของจริง ในลักษณะวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ ของธรรมชาติ คืออย่างนี้ ถ้าเราจะต้องอธิบายให้คนต่างประเทศที่เป็นนักศึกษาหรือว่านักวิทยาศาสตร์ฟัง อธิบายกันให้ถูกๆ ให้ถูกต้องว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์อย่างที่ว่านี้
นี่ นี่ มันไกลออกไปถึงเพื่อผู้อื่น และเพื่อเราเองก็ถูกต้องที่สุดจนเราไม่เป็นทุกข์ ถ้าเพื่อผู้อื่นเราก็ต้องทำให้เขาเข้าใจได้ จนเขาก็ไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน ถ้าทำได้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นอย่างนี้ ก็เรียกว่าสมบูรณ์นะ ความเป็นพุทธบริษัทของเราสมบูรณ์ ตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ให้รอดกันทั้งเราและทั้งเพื่อนของเราและผู้อื่น
และถ้าเรารู้จริง ปฎิบัติได้จริง ไม่ต้องกลัว เราพูดไปตามนั้นแหละ มันก็ช่วยผู้อื่นได้ มันต้องพูด ต้องบอกเขา ตามที่มันเป็นของจริง ที่เราได้ใช้ให้เป็นประโยชน์จริง มาแล้ว ได้รับผลมาแล้ว และก็ให้ผู้อื่นได้รู้ได้พลอยใช้ด้วย เช่นเดียวกับหยูกยา เมื่อเรามี เราหาพบ ค้นพบ มีประโยชน์แล้ว ใช้ได้ผลแล้วก็ ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้พลอยใช้ ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วย มันก็ ก็ ก็ดี ก็ดี ครบถ้วนดี อย่างครบถ้วน ทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น
หนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่มี, ไม่มีอะไร นอกจาก พูดว่า พุทธศาสนาต้องมีต้นเหตุ จัดการกันที่ต้นเหตุ และต้นเหตุนั้นอยู่ที่ภายใน ถ้าว่าไม่มีเหตุเป็นลัทธิอื่น เป็นลัทธิอื่น ถือว่าไม่มีเหตุ ไม่มีเหตุ เป็นมิจฉาทิฎฐิลัทธิอื่น แต่ถ้าถือว่าเหตุอยู่ข้างนอกก็เป็นลัทธิอื่น พระพุทธศาสนาต้องบอกว่ามีเหตุนะ และเหตุนั้นอยู่ภายใน จัดการให้ถูกต้องในภายใน ก็ดับทุกข์ได้โดยแน่นอน
ในการบรรยายแต่ละครั้ง ไป สรุปความให้ได้ใจความ สั้นที่สุด ดีที่สุด กำหนดจดจำไว้ให้แม่นยำ จด ไว้นั่นดี ที่ว่าจะจำ ไม่ได้ มันเลือนหายหมด
พุทธะ แปลว่า ตื่น
ไสยยะ แปลว่า หลับ
หลับด้วยอวิชชา ถ้ามีอวิชชาก็หลับ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกกำลังหลับด้วยอวิชชา ยังไม่ตื่น จึงยังเป็นทุกข์กันอยู่นี้ จะแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี เป็นเรื่องข้างนอก
อันที่จริงการประพฤติ กระทำให้ถูกต้องภายในจิตใจ ภายใน ก็เรียกว่าเทคโนโลยีได้เหมือนกัน แต่เขาไม่ค่อยใช้ เขาไม่, ไม่, ไม่ใช้ไปถึงเรื่องจิตใจ ใช้กันแต่เรื่องทางวัตถุ เพราะเรื่องทางจิตใจมันก็มีเทคนิคเฉพาะของมันเหมือนกัน การใช้ถูกทางเทคนิค ก็เรียกว่าเป็นเทคโนโลยีได้ แล้วก็ดับทุกข์ได้
แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมีใช้กันแต่เรื่องวัตถุ และก็ไม่ดับทุกข์ได้ มีแต่เพิ่มปัญหาแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ไม่ได้, ไม่ได้ช่วย ไม่ได้ช่วยลดปัญหา มันเพิ่มปัญหาอย่าง, ใหม่อย่างอื่นขึ้นมาทางอื่น