แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ผมก็ยังพูดเรื่องจริยา คือเรื่องวิธีการต่อไปตามเดิมไม่พูดเรื่องวิชาการ ได้บอกให้ท่านที่เข้าใจกันแล้วว่า ไอ้เรื่องวิชาการไปหาเอาที่ไหนหนังสือหนังหาที่ไหนก็ได้ แต่เรื่องวิธีการไม่ค่อยมี หาไม่ค่อยเจอ มันเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวมากกว่า เรื่องมันเป็นอย่างนี้ นี่เราตั้งใจจะเป็นผู้เผยแผ่ธรรมะ หรือเรียกกันตามตัวตรงๆก็ว่าสั่งสอนจะเป็นผู้สั่งสอน นี้ปัญหามันก็อยู่ตรงที่ว่า มันจะสามารถหรือไม่สามารถแค่นั้นเอง แล้วก็เรามาคิดกันว่าที่ไม่สามารถจะทำให้มันสามารถ จะทำให้มันสามารถ นี่ทว่าไม่สามารถมันยังไม่สามารถแล้วมันไปทำไปสั่งสอน มันก็เป็นเรื่องชิงสุกก่อนห่าม มันยังไม่แก่จัดพอที่จะไปบ่มให้สุกไปตัดเอามา มันก็ชิงสุกก่อนห่าม มันก็ต้องมีวิธีๆ เราจะได้พูดกันถึงวิธี
เท่าที่ทราบมาในพวกนิกายเซน พุทธศาสนานิกายเซนญี่ปุ่น เขามีระเบียบว่าต้องฝึกเซนปฏิบัติเซนมาแล้ว ๒๐ ปี จึงจะยอมให้เป็นผู้สอนเซนมากกว่าเถระเสียอีก ๒๐ ปี จึงจะยอมให้เป็นผู้สอนเซนประจำสำนัก เพราะว่า ๒๐ ปี มันพอมันพอที่จะรอบรู้ไปทุกด้านคล่องแคล่วไปทุกด้าน แล้วมันมีมีการที่ได้ผ่านมาแล้วด้วยตัวเองจริงๆ ถ้าไม่ถึงนั่นมันก็เขาไม่ให้สอน มีระเบียบไม่ให้เป็นอาจารย์สอนของวัด ๒๐ ปี ถ้าว่าทำจริงของพวกเซนนี่ไม่ใช่เล่น นี่เราเดี๋ยวนี้ ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓ พรรษา ส่วนมากมันก็น่าหัว นิทานเรื่องแม่ปูกับลูกปูก็ควรจะเอามาคิด แม่ปูมันสอนลูกปู ก็สอนให้เดินยักไปยักมายักไปยักมาก็สอนได้ไปในแบบแม่ปู มันก็ยังดี แต่ถ้ากลับกันเสียให้ลูกปูสอนบ้างมันจะสอนอย่างไร มันจะสอนแม่ให้เดินยักไปยักมาก็ยังไม่ได้แล้วก็ไม่รู้จะเดินอย่างไร เอาล่ะเดี๋ยวเป็นอันว่าเร่งชิงสุกก่อนห่าม หรือมีวิธีบีบบังคับให้มันสุก หรือให้มันทำไปให้ได้แล้วก็หาวิธีกันต่อไปหาวิธีกันต่อไป นี่ผมประสบการณ์มีแล้วผ่านมาแล้ว ก็ได้เห็นอยู่ทุกขั้นทุกตอน ๕๐ กว่าปี เพราะว่าผมนี้เทศน์สอนประชาชนตั้งแต่ ๒-๓ วันหลังจากบวช หรือว่า ๔-๕ วันอย่างมากหลังจากบวช ผมจะเอาไอ้ประสบการณ์นี้มาพูดให้ฟัง ว่ามันทำได้อย่างไร เราจะดูกันโดยส่วนใหญ่โดยส่วนใหญ่ก่อน ว่าความรู้ที่เราจะเอาสอนเขานะนั้น มันก็มีอยู่ ๓ ชนิดตามหลักที่เราเรียกว่าปัญญา ความรู้มี ๓ ชนิด สุตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษาเล่าเรียน จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดค้นไปตามเหตุผล มันก็จากสิ่งที่ได้เล่าเรียนมาแล้วโดยมากแล้วก็มาคิดค้นโดยหลักเหตุผล นิภาวนามยปัญญา คือปัญญาเกิดจากการทำจิตภาวนา อบรมจิต ในสิ่งนั้นจนรู้ทั่วถึงดีแล้ว ผ่านไปแล้วด้วยจิตจริงๆเรื่องอะไรก็ได้ทำมาแล้วแม้แต่เรื่องเบื้องต้นที่สุดก็ได้ผ่านมาแล้วเรื่องสูงสุดเรื่องอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ก็ได้ผ่านมาแล้วจริงๆที่มันออกมาจากการอบรมจิตโดยตรงไม่ใช่เล่าเรียน ไม่ใช่คิดตามเหตุผล มันมีอยู่ต่างหาก อันสุดท้ายเรียกว่า ภาวนามยปัญญา ภาวนาเกิดจากจิตภาวนา ปัญญาเกิดมาจาก จิตภาวนา ไอ้รอดตัวจริงๆมันอยู่ที่ ภาวนามยปัญญา นั่นแหละไอ้สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา มันก็ขอไปทีก่อนขอไปทีก่อน อันนี้มันจะมาใช้ได้กับชิงสุกก่อนห่าม คำว่าชิงสุกก่อนห่ามมันก็ไปใช้ สุตามยปัญญาหรือจินตามยปัญญา ด้วยไอ้ภาวนามยปัญญามันยังไม่มี เพราะมันยังไมได้ทำเพราะมันยังไม่ได้ลองปฏิบัติดูเอง เขาทวงเวลาไว้ว่า ๒๐ ปี จึงเป็นครูสอนผู้อื่นมันก็มีอยู่ใน ๒๐ ปีนั้นแหละไปทำๆๆ ผ่านมาจริงๆตั้ง ๒๐ ปีเหมือนกับผมแรกบวชได้สัก ๔ - ๕ วัน มันก็เทศน์แล้ว มันก็เทศน์ด้วยสุตามยปัญญา ความรู้มาจากการศึกษาเล่าเรียน แล้วต่อมามันก็ค่อยมีไอ้จินตามยปัญญามากขึ้นๆๆเพราะว่าหลายเดือนหลายปีเข้า แต่ว่าไอ้ตอนนี้ตอนเดี๋ยวนี้ ๕๐ กว่าปีมาแล้วมันก็เทศน์พูดบรรยายไปโดยภาวนามยปัญญาเกือบทั้งนั้นเลย เห็นไหม ผมคนเดียวนี่ได้ผ่านมาแล้วทั้ง ๓ ชนิดคือทั้ง ๓ ระดับ ในระดับแรกคือ สุตมยปัญญา ความรู้มาจากการศึกษาเล่าเรียนมันก็จริง มันก็ไปจำมาจากโรงเรียน พวกผมบวชแล้วเขาก็เปิดโรงเรียนนักธรรมที่วัดโพธาราม ภายในไม่กี่วันเขาก็เปิดโรงเรียนนักธรรม ผมก็ไปเข้าโรงเรียนกับเขา วันนั้นเรียนเรื่องอะไร วันนั้นเรียนเรื่องอะไรที่ในโรงเรียนนักธรรม แล้วเอาเรื่องนั้นนะมาเทศน์กลับมาถึงวัดก็ขึ้นธรรมาสน์กลับมาถึงวัดก็ขึ้นโรงธรรมขึ้นธรรมาสน์เทศน์เลยไม่ต้องขึ้นกุฏิ แล้วมันก็เตรียมลงมาจากโรงเรียน โน๊ตเตรียมมาจากโรงเรียน มันก็ได้สิทำไมมันจะไม่ได้ มันเรียนมาสดๆจำมาสดๆมันก็เทศน์ได้เต็มเวลาประมานสักชั่วโมง โดยมากการเทศน์ และเมื่อเราจำแม่นยำ ตั้งใจทำดีที่สุด มันก็เป็นการเทศน์ที่ใช้ได้หรือดีที่สุด
ทีนี้มันมีความลับอย่างหนึ่งคือว่า มันแปลกเพื่อนสิคุณถึงมองเห็น เพราะมันไม่เคยมีใครทำอย่างนั้น พอเทศน์ไปวันสองวันคนก็แตกตื่น หมอนี่ทำไมถึงเทศน์ไม่เหมือนใครอย่างนี้ไม่เคยได้ยินได้ฟังเขาก็แตกตื่นกันใหญ่ แล้วมันก็ว่าดีด้วย ไอ้เราก็ประสบความสำเร็จในการเทศน์ในไม่กี่วันก็สร้างเครดิตได้อะไรได้ นี่คือความรู้ชนิด สุตามยปัญญา เอามาใช้ เพราะถ้านอกไปจากนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำไม่ได้ก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยมา คือมันมีหลักว่าต้องไม่ให้เหลวไม่ให้เลวไม่ให้เหลวไม่ให้ล้มละลายไม่ให้พลาด จะต้องวิธีใดก็ได้ไม่ล้มละลายก็แล้วกัน ผมก็ทำอย่างนี้เรื่อยมาๆทุกวันถ้าเป็นวันพระวันพระวัน ๘ ค่ำ ไมได้ไปโรงเรียนก็ต้องนึกหารวบรวมเอา บางทีก็ยำใหญ่กันเข้าไป บางทีไอ้ที่เรียนมาแล้วก็ได้รวมๆมันเข้าไปก็ได้สำหรับเอามาเทศน์วันพระวัน ๘ ค่ำ ที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ถ้าไปโรงเรียนมาแล้วก็เทศน์ตามที่เรียนวันนั้นเองสดๆภายในเดือนสองเดือนเลยเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นคนมีชื่อเสียงเพราะเทศน์เทศน์ดี ข้อสำคัญ มันก็คือแปลกแปลกชนิดที่ว่าไม่เคยมีใครเอาเรื่องอย่างนี้มาเทศน์ด้วย ก่อนนี้ไม่มีไม่มี ๓ วัดที่ผมเรียนก็อ่านใบลานต่อมาก็มีวิธีประกอบให้มีนิทาน คือชาดกเรื่องหนึ่งเสมอ บังเอิญที่นั่นมันก็มีหนังสือชาดกอยู่หลายเล่ม ผมก็พายายามเปิดดูๆชาดกเรื่องไหนมันมีใจความสำคัญมันเข้ากันได้กับไอ้ธรรมะที่เราเรียนมา เช่นเรื่องขันตีกับความอดทนน่ะมันก็เทศน์เรื่องขันติวาทชาดกสบายไปเลย แล้วเรื่องมันดีที่สุดอยู่แล้วคือดาบสองค์นั้นมีขันตีอย่างยิ่ง โพธิสัตว์เป็นขันตีดาบส แล้วก็คอยค้นหาชาดกได้เรื่องหนึ่งเสมอที่จะคอยเตรียมไว้คอยพูดให้เข้ากับเรื่องที่เราเทศน์ นี่ก็เตรียมไว้ก่อนไปโรงเรียนก็มันรู้อยู่นี่ว่าวันนี้ที่โรงเรียนจะเรียนอะไร เราอาจจะถามครูหรือว่าจดหรือว่าโน๊ตหรือบันทึกไว้เฉพาะ แล้วก็มาเข้ากับชาดกสนิทเลย แล้วทีนี้มันก็ดีขึ้นดีขึ้น เพราะว่าไม่ได้มีเรื่องชาดกเรื่องสนุกๆเรื่องหนึ่งด้วยทุกวันทุกกัณฑ์ เดี๋ยวจะว่าอวด มันมีชื่อเสียงเป็นนักเทศน์มาตั้งแต่ไม่ไม่ ตั้งแต่ครึ่งพรรษาบวชได้ครึ่งพรรษา ไอ้ที่ว่าชื่อเสียงอวดนี่ก็คือว่าไอ้วัดอีก ๒ วัดน่ะเขาต้องการจะฟัง ทีนี้วัดเขาก็เลิกไม่ได้ ท่านสมภารไม่ยอมเลิก ก็จนเขาต้องจัดหลีก จัดหลีก ให้วัดล่างตีระฆังเนิ่นๆแล้วก็ฟังกันเสียก่อน แล้วมาฟังผมเทศน์ที่วัดใหม่ที่อยู่ตรงกลางแล้วก็วัดโพธาราม วัดแถวนี้เขาก็เลื่อนเวลาเย็นไปอีกจนค่ำไปเลย ทายกทายิกาเขาก็แห่ไปแห่มาเลยดังใหญ่ พระเด็กๆบวชไม่กี่วัน จนว่าไอ้ที่มันเคยมี ๙ คน ๑๐ คนน่ะโหลงเหลงโรงธรรม เดี๋ยวนี้เต็มแน่นเลย มันเล่าลือหลอกกันมากันเต็มโรงธรรมเลย ไม่รู้กี่สินคนเต็มโรงธรรม
นี่คุณสังเกตดูให้ดีแม้แต่ความรู้ชนิดสุตมยปัญญา รู้จากการเล่าเรียนเราก็เอาตัวรอดได้ นี่มันเป็นเรื่องที่มันจะแก้ปัญหาผู้ที่ไปชิงสุกก่อนห่ามได้ บวชมาไม่กี่วันมันก็เทศน์ได้เพราะมันรู้จักใช้ไอ้วิธีนี้ไง วิธีเอาสิ่งที่เล่าเรียนมาโดยตรงจำมาแม่นยำแล้วมาว่า ตามหลักของพระไตรปิฏก ซึ่งไม่ต้องรับผิดชอบข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ เอวมฺเม สุตํ หันทะ มะยัง พระอานนท์ยังต้องว่าอย่างนั้นพระอานนท์ยังต้องว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพได้ฟังมาอย่างนี้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ที่นั่นก็ว่าอย่างนั้น ไอ้เราก็อย่างนั้นนะไอ้เราฟังมาอย่างนั้นเราก็พูดอย่างนั้น เราไม่ต้องรับผิดชอบ ถ้าครูสอนผิดเราก็ผิดด้วย แต่ไม่ปรากฎว่าครูสอนผิด เพราะเรื่องมันง่ายเกินไป มันก็เลยสำเร็จมาขึ้นตอนหนึ่ง ใช้สุตมยปัญญาล้วนๆ นี้ต่อมามีปีนั้น หรือว่าจะมีถัดมาก็ไม่รู้ ผมผมบวชจำพรรษาที่ภุมเวียง ตั้ง ๓ พรรษา เหมาหมดทั้ง ๓ พรรษา เพราะว่าถ้าเปลี่ยนคนเทศน์ไม่มีใครมาฟัง มันลดไปๆจนโหลงเหลงจนหมด เหลือ ๔-๕ คนเอง คราวนั้นท่านสมภารบอกว่าคุณต้องเทศน์มิลินปัญหา นี่ใบลานเขาสร้างมาแพงมากเลย คัมภีร์มิลินทปัญหา เป็นใบลานชุดหนึ่งเต็มบริบูรณ์ ผมจะเทศน์ได้อย่างไรล่ะคิดดู ไม่เคยเห็นของ แต่อาศัยที่ว่ามันเคยดูอยู่บ้างรู้ ๒-๓ ตัว พออ่านได้ก๊อกแก๊ะๆ มันจะมาอ่านจ้ออย่างนี้ ทำไม่ได้หรอก เพราะมันเพิ่งบวช ผมก็เอามาเอาใบลานมาเปิดดูกัณฑ์ต้นไปตามลำดับรู้ว่ามันเรื่องอะไร รู้ว่าไอ้ไอ้ มิลินทปัญหาตอนนี้มันเรื่องอะไรทำไมพูดแบบนี้ แล้วก็เผอิญมันมีหนังสือมิลินทปัญหาฉบับพิมพ์พิมพ์กระดาษปกแข็งอยู่ชุดหนึ่ง เหมือนกัน แล้วก็ศึกษาศึกษาจากมิลินทปัญหาฉบับพิมพ์ รู้เรื่องดีจำไว้ให้แม่นยำแล้วค่อยทวนให้แม่นยำ
ทีนี้พอถึงเวลาไปเทศน์ก็เอาใบลานไปถือ ว่าเอาตามชอบใจเลย ปรากฎว่าดีๆดีกว่าอ่านตามใบลานเสียอีก ก็เลยเก่งเก่งขึ้นไปอีก เก่งกว่าเก่าขึ้นไปอีก เพราะว่าเทศน์ดีกว่าที่เขาเคยฟังในใบลานน่ะ ซึ่งมันอ่านตามใบลานแล้วมันก็ บางทีมันอ่านผิดอ่านถูก ไม่เป็นจังหวะไม่เป็นอะไร ฟังยาก เราไม่อ่านตามใบลานนี่ เราพูดเราพูดน่ะ เทศน์เทศน์ด้วยตัวเราเอง รู้สึกจะมีที่นั่นแหละ จะเป็นเรื่องที่ไหน...(นาทีที่ 40.41)....ท่านเล่าให้ฟังแหละ มีท่านอะไรองค์หนึ่งก็อ่านใบลานเขาเทศน์ไปเทศน์ไปพอถึงตอนนั้นเขาก็เทศน์ออกมา จูงเต่าไปกินหญ้าจูงเต่าไปกินหญ้า ก็เลยงงกันใหญ่ จูงเต่าไปกินหญ้า นี่ถ้าตัวผอมไอ้ตัว ค กับตัว ต มันเหมือนกันมาก ถ้าหัวมันเล็กอยู่ข้างล่างสุดมันเป็นตัว ค ทีนี้ถ้าเป็นตัว ต หัวมันต้องใหญ่ม้วนขึ้นมา มันเหมือนกันรูปมันเหมือนกัน นี่แกคงไปทำผิดตอนนี้ละแล้วที่มันร้ายกว่านั้นนะ ก็คือถ้าเขาเขียนโดยวิธีขอม สระโอก็ไม่มีก็คือสระเอา สระเอตัวพยัญชนะแล้วก็สระอา คือสระเอาอะสระเอาต้องอ่านเป็นสระโอทังนั้นแหละถ้าเขียนเป็นอักษรขอม พระองค์นี้แกก็อ่านประจำ จูงเต่าไปกินหญ้า มันผิดทั้ง ๒ ชั้นนะ ถ้าจะอ่านให้ตามนั้นนะก็ควรจะอ่านว่าจูงเคาไปกินหญ้า นี้สระเอามันก็คือสระโอ คือจูงโค ไปกินหญ้าที่ถูกมันต้องอ่านว่าจูงโคไปกินหญ้า เลยมาเป็นตัว ต เป็นเตาก็เป็นเต่าสระเอาก็พอดี นี่ถ้าว่าอย่างนี้อย่างคุณนี่ไปอ่านอักษรขอมก็คงไม่ได้เรื่องเหมือนกันแหละ แต่ผมไปอ่านนี่อ่านไม่ทันไปอ่านเรื่องในฉบับจริงพิมพ์ในกระดาษจำเรื่องของปัญหาทุกปัญหาวันนี้จะเทศน์ ๓ ปัญหานะ จำทุกปัญหามาว่าอย่างไรว่าอย่างไรว่าเอาเองใหม่จ้อไปเลย ก็เลยได้ชื่อเสียง นี่ก็เรียกว่ามันต้องใช้ปฏิภาณนะ ปัญญามันมาจากปฏิภาณ ไม่ใช่เรียนจำมาโดยตรง มันไม่มีต้องใช้ปัญญาปฏิภาณ อ่านหนังสือไทยแล้วก็จำขึ้นใหม่ผูกผูกขึ้นใหม่ มีลักษณะเป็นความคิดหรือเป็นปฏิภาณ เรื่องนี้สำเร็จไปได้ด้วยความคิด จินตามยปัญญา ก็ทำอย่างนี้เรื่อยๆมา ๓ พรรษาเทศน์ทั้งพรรษาก็เทศน์ตลอดทั้งพรรษา ๓ เดือน ๙๐ วัน นอกพรรษา เทศน์ตั้งแต่วันพระ ไปอยู่กรุงเทพก็ถูกเกณฑ์อีกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วไปอยู่กรุงเทพที่วัดปทุมคงคาเขามีเขาเรียกว่ากัณฑ์เวียน กัณฑ์เวียน พระองค์หนึ่งซึ่งพอจะเทศน์ได้ก็ต้องเทศน์ไปตามระเบียบ ๗ วัน จะมีคนเอาหนังสือมาให้ คัมภีร์นะคัมภีร์ตัวขอมมาให้ พอได้เทศน์มาถึงตอนนั้นแล้วก็บอกคนเทศน์ต่อจากนั้นไปเรื่อยเลย จนครบ ๗ วันแล้วเราก็เอาไปคืนครบ ๗ วัน ได้ครึ่งกัณฑ์ยุ่งก็ยุ่งสู้จนนี่เพราะมันเป็นตัวขอมจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่มีไม่มีหนังสือจะมาเทียบ มันก็ต้องบากบั่นอ่านจนได้ ที่นั่นครูบาอาจารย์ถมเถไป อ่านตัวไหนไม่ออก อ่านขอมตัวไหนไม่ออกก็ไปถามครูบาอาจารย์ถามเพื่อนไป แต่ก็เล่นเอาเหงื่อแตกเหมือนกัน เพราะมันเล่นไม่คุ้นเคยเลย แต่ก็เทศน์ไปได้กะหนึ่ง ๗ วัน นี่เรียกว่า ต้องเรียกว่าเลวที่สุด เรียนมาก็ไม่ใช่คิดเอาก็ไม่ใช่ มันอ่านหนังสือไปอย่าง อย่างที่ว่าไม่มีความรู้เลย เพียงแต่อ่านหนังสือออกมาเท่านั้น เขาเรียกว่าเป็นผู้อ่านหนังสือให้ฟัง ไม่ได้เทศน์ด้วยสุตมยปัญญา จินตามยปัญญาอะไรเลย เพียงแต่อ่านหนังสือให้เขาฟังหนังสือมันยากก็ต้องพยายามเอาตัวรอดไปได้ทีหนึ่งก็ดี ก็ดีแล้ว นี่คุณคิดดูเถอะว่ามันจะเผชิญกับปัญหาอย่างนี้แหละ ในเมื่อเรามันยังเป็นสุกก่อนห่าม มันชิงสุกก่อนห่าม
ต่อมามันก็ไม่มีไม่มีโอกาสจะมาทำแบบนั้นละ ก็มาเปิดสวนโมกข์ ถ้าเทศน์มันก็เทศน์เป็นแบบความรู้ประมวลความรู้เท่าที่รู้เท่าที่ได้เรียนรู้มามาเทศน์เรื่องอริยสัจ อริยสัจก็เทศน์บ้างเหมือนกัน แต่มันยังไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่า ภาวนามยปัญญา เพราะมันไม่ได้รู้ประจักษ์จริงด้วยใจจริงตามแบบที่เรียกว่าวิปัสสนาอย่างแจ่มแจ้ง แต่แล้วมันก็ดีขึ้นๆเพราะว่าเรามันใช้ความคิดในเรื่องนั้นอยู่เรื่อย ถึงจะไม่ใช่วิปัสสนาแบบสมบูรณ์แบบแต่มันก็เป็นวิปัสสนาชนิดหนึ่ง คือเพ่งหาความหรืออรรถะอันลึกซึ้งของข้อความเหล่านั้น เรียกไว้เป็นเรื่องสมบูรณ์แบบของการเทศน์ของเทศน์แบบ ปาถกฐา รูปโครงของเรื่องมันก็เปลี่ยนไปเป็นทันสมัย แบบทันสมัยแบบที่เขาเขียนเขาแต่งอย่างทันสมัย อุทาหรณ์อะไรต่างๆ จนกระทั่งว่ามันยกตัวอย่างด้วยเรื่องต่างประเทศบ้าง เรื่องเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันเฉพาะหน้าบ้าง มันก็กลายเป็นเรื่องสูงกว่าเก่ามาก เมื่อมีสวนโมกข์แล้วมันก็เทศน์แบบนี้มากขึ้นๆ ตอนหลังมาเขียนไปลงพิมพ์หนังสือพิมพ์พุทธศาสนา ไอ้เขียนนี่มันได้เปรียบเพราะว่ามันเขียนช้าๆเรากล่อมเกลาได้เขียนแล้วกล่อมเกลาได้อะไรได้ มันก็ทำได้สะดวกกว่า มันก็เลยกลายเทศน์ด้วยวิชาความรู้และปฏิภาณ และไอ้ความรู้แจ้งในใจมากขึ้น แล้วก็การพูดจากับผู้มาถามมันก็ดีขึ้น ก็ดีขึ้น
ทีนี้มันก็มีคนที่เขาอยู่กรุงเทพมาที่สวนโมกข์ได้สนทนาพาทีกันมากขึ้นๆ อย่างคุณสัญญา ธรรมศักดิ์ รู้จักกันแต่ที่สวนโมกข์ พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์ ก็รู้จักกันที่สวนโมกข์ แล้วคนอื่นอีกหลายคน พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ นี่ราว ๑๐ ปี จำได้พ.ศ. ๘๕ ๑๐ ปี ซึ่งเป็นปีที่ออกโรงค้างคืนในป่าไปแสดงปาถกฐาที่กรุงเทพกับนักศึกษาชั้นครูบาอาจารย์เป็นนักศึกษาชั้นครูบาอาจารย์อย่างคุณสัญญา นี่ถือว่าเป็นนักศึกษาชั้นครูบาอาจารย์ ผู้ฟังมันอยู่ในระดับนั้นเป็นส่วนมาก ข้อนี้มันต้อง ต้องเล่าให้ฟังกันน่ะว่าไอ้เรามันเป็นพระเถื่อนอยู่ในป่าไม่มีเครดิตอะไร ทำไมอาจารย์สัญญากล้าเอา เกียรติยศของตัวเองมาเสี่ยงมานิมนต์ผมไปเทศน์ แล้วโฆษณาในนามพุทธสมาคมให้คนมาฟัง ถ้าเราทำพลาดมันก็ชิบหายกันหมด ไอ้คุณสัญญานี่ฉิบหาย แกเอาเกียรติของแกเสี่ยงเหมือนกับว่ารับรองเราว่าเป็นผู้ที่มีความรู้บ้างอะไรบ้างเอาไปเทศน์ที่พุทธสมาคม เป็นปาถกฐาที่ประหลาดวิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม คุณไปหามาอ่านดูนั่นนะเป็นปาถกฐาออกโรงเรื่องแรกของผม แล้วโอกาสมันมีได้อย่างไรเป็นพระป่าพระเถื่อน มันก็สร้างตัวเองขึ้นมาในระยะเวลา ๑๐ ปีนี่ จนผู้นิมนต์เขาเห็นว่าได้แน่ๆ ไม่ทำ ๕ แต้มแน่จึงเอาไปเทศน์ไปแสดงปาถกฐาว่าซะเต็มที่ ๒ ชั่วโมง พระเถื่อน มันก็ประสบความสำเร็จ เป็นปาถกฐาที่มันก็เหมือนกับไอ้ที่พูดมาแล้วล่ะ ไม่มีใครเคยฟังการแสดงธรรมแบบนี้โดยลักษณะแบบนี้อุทาหรณ์อย่างนี้ ไม่มีใครเลยฟังกล้าพูดนี่ในกรุงเทพมันไม่มีใครเคยฟัง ถ้าคุณไม่เชื่อคุณไปหามาอ่านดูเถอะไอ้เรื่องวิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม มันเป็นอย่างนั้น มันถึงขนาดนั้น มันถึงขนาดที่ว่าไม่เหมือนใครเลย แล้วก็เลยทีนี้มันก็ดังเพียงครั้งแรกออกโรงครั้งแรกสำเร็จประโยชน์ คุณๆคุณควรจะจำไว้พวกชิงสุกก่อนห่ามนั่นแหละควรจะจำไว้เพราะผมเคยมาแล้วนี่ นี่มันต้องเรียกว่าชิงสุกก่อนห่ามเหมือนกันล่ะ
ท่านเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีนักปราชญ์สมัยนั้น พ่อของคุณไฉไลแกอ่านปาถกฐานี้ ได้ยินผมได้ยินเขามาบอกนะ ไม่ใช่ว่าผมได้พบกันเขาเอง มีคนมาบอกว่าเจ้าคุณธรรมศักดิ์มนตรีพออ่านจบบอกปาถกฐานี้ไม่ตาย ว่าอย่างนี้ทำบรรยยายเรื่องนี้ไม่ตาย ไม่รู้จักตาย มันก็ดูจะจริง จนเดี๋ยวนี้มันก็ยังใช้ได้ มีคนอ่านอยู่เสมอ ผมก็ต้องถือว่าผมก็ชิงสุกก่อนห่ามเหมือนกันนะในระยะนั้นแต่นั้นมัน ๗ พรรษานั้นมัน ๑๐ พรรษามันไม่ถึง ๒๐ พรรษา มันก็ไปออกโรงที่กรุงเทพ บอร์ดติดเป็นครั้งแรก หนังสือพิมพ์ลงกันเกรียวกราวเลย ว่าแกเทศน์ไม่เหมือนใครดี นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นตัว เอ่อ เป็นตัว คล้ายๆแกเป็นเจ้าของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อยู่ตอนนั้น แกโฆษณาอยู่ แต่ปีหลังๆ แกยังคงไปอยู่ แสดงทุกปีๆ ปีละครั้งเกี่ยวกับพุทธธรรม วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม ประโยชน์แห่งการเข้าถึงพุทธธรรม ภูเขาแห่งพุทธธรรม อย่างที่บอกนี้ก็หมายความว่าแม้มันจะชิงสุกก่อนห่ามนั้นแหละ ถ้าทำเป็นมันก็ทำได้ คือมันรออยู่ไม่ไหว มันก็ต้องเอากันแบบลัดๆ ถ้าจะทำให้ได้อย่าขี้เกียจ อย่าโง่ อย่าประมาท อย่าอวดดี อย่าสะเพร่า อย่าทำอะไรหวัดๆ แล้วก็อุตส่าห์สะสมวิชาความรู้ไอ้ที่มันอวดว่าไม่ต้องจดจำได้อย่างนี้ดูมันจะไม่สำเร็จ เพราะมันมากเหลือที่จะจำได้ มันต้องสะสมด้วยการจดเสมอ ผมทำไอ้การจดนี่มาเรื่อยๆตั้งแต่แรกๆ แต่ก็ทิ้งทิ้งไปตามลำดับแหละ คือมันทำดีกว่า ตอนหลังๆมันทำดีกว่า ไอ้ตอนแรกก็ทิ้งๆๆไม่ค่อยได้เก็บ แม้เดี๋ยวนี้มันก็ยังจด ไอ้ที่มันดีดีสำหรับเราลึกซึ้งสำหรับเราก็ยังจดๆๆไว้ในสมุดโน๊ต สงสัยเปิดดูได้ทันที ถ้าลองไปค้นในพระไตรปิฏกเองก็เวียนหัวซะก่อน เลิก แต่ก่อนทำไม่ได้ ไปค้นในสมุดโน๊ตแป๊บเดี๋ยวมันก็ได้ นี่คือวิธีลัดล่ะ วิธีลัดที่เรียกว่าชิงสุกก่อนห่าม
ต่อมามันก็ถึงขนาดที่เรียกว่ามันสุกมันสุกมันเป็นเรื่องที่สุกตามลำดับ เมื่อได้ศึกษาพระไตรปิฏกเพิ่มขึ้น เมื่อได้คิดข้อความเหล่านั้นอย่างละเอียดละออครบถ้วนมากขึ้น และการศึกษามันกว้างขึ้นเหมือนที่เคยพูดวันก่อนเมื่อวานนะว่า ถ้าความมุ่งหมายมันมุ่งหมายจะทำประโยชน์แก่คนทั้งโลกนะ ไอ้ความคิดมันขยายตัวเองโดยอัตโนมัติ ความคิดมันจะขยายตัวของมันเองว่าต้องการความขวนขวายเอง ถ้าเราคิดว่าจะทำประโยชน์กว้างขวางให้คนทั้งโลกนะมันจะกว้างขวางออกไป มันจะศึกษามันจะค้นคว้ามันก็รวบรวมอะไรกว้างขวางออกไป จนกระทั่งมีความรู้พอที่จะพูดเรื่องกว้างๆๆๆออกไประดับโลกไป มันทางหนึ่งล่ะ ทางนั้นมันกว้างออกไประดับโลก แต่มันมีอีกทางหนึ่งซึ่งดีกว่านั้น คือมันลึกลงไป ไอ้ที่มันเคยเรียนมาอย่างเรียนๆมันไม่ลึก เรียนนักธรรม ๓ ชั้นมันก็แค่ผิวหนัง เดี๋ยวนี้มันเรียนลึกลงไปทุกคำทุกคำที่เคยเรียน เมื่อเรียนนักธรรมก็ดีเรียนบาลีก็ดี หรือพุทธหรือมาแต่ก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้มันปรับใหม่ลึกซึ้งลงไปกว่ายุคแรกๆ ไอ้ที่พูดไปยุคแรกๆมันก็กลายเป็นของตื้นไป พูดใหม่ต้องลึกกว่านั้นจะพูดเรื่องอริยสัจก็ดี เรื่องกรรมก็ดี เรื่องอนัตตาก็ดี มันลึกมันลึกมาก มันแหลมและลึกลงไปข้างล่างมาก นั้นแหละคือความรู้ที่จะสำเร็จประโยชน์ มันลึกไปในส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์แก่บุคคลลึกลงไปในจิตในสันดานของบุคคล อย่างนี้ไม่ใช่กว้างนะไม่ใช่กว้างไปทั่วโลก แต่มันลึกเฉพาะบุคคล โดยเฉพาะเรื่องบุคคลลึกลงไปลึกลงไป มันก็เลยได้เรื่องที่ลึก มาพูดมาใช้อย่างเพียงพอ ไอ้ตอนนี้มันจะเรียกว่าลักษณะภาวนามยปัญญา ความรู้ที่สำเร็จมาจากจิตภาวนาในการหยั่งรู้ด้วยจิตไอ้ที่ลึกซึ้งลึกซึ้งลงไป ถ้าเราเก็บไว้ได้ คำบรรยายเหล่านั้นน่ะมาเทียบดูเราก็จะตกใจว่ามันต่างกันลิบลับเลย เรื่องเดียวกันที่เราเคยเทศน์กันครั้งกระนู้นแล้วก็ที่มาเทศน์ครั้งหลังๆนี่เรื่องเดียวกันนี่มันต่างกันมาก พูดโดยความลึกนี่มันลึกต่างกันมาก พูดโดยความกว้างมันก็กว้างกว่ากันมาก
นี่คือไอ้ความสำเร็จที่มันสูงขึ้นมาสูงขึ้นมา ถึงระดับถึงระดับที่มันพอกินและมันพอใช้หรือมันพอใช้ มันเพียงพอที่จะเรียกว่าที่เรียกว่า ๒๐ ปี จึงจะสอนคนอื่นได้ นั้นที่พวกเซนเขากำหนดไว้ ๒๐ ปีจึงสอนคนอื่นได้ มันเป็นคำพูดที่มีเหตุผล แต่ผมก็ไม่ได้รอ ๒๐ ปี ผมเทศน์ตั้งแต่พรรษาแรกผมมีวิธีลัดสำหรับคนชิงสุกก่อนห่าม อย่างที่ได้เล่ามาให้ฟังนี่ ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ คุณเอาไปใช้ใช้ได้ มันแล้วแต่ความโง่ความฉลาดของคุณเองที่จะเอาไปใช้ได้ หรือใช้ไม่ได้ มันอยู่ที่คุณเองนั้นแหละ เราไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ แต่วิธีที่จะลัดจะลัดน่ะมันคืออย่างนี้ จะลัดแบบไม่ต้องรอ ๒๐ ปี จึงจะสอนคนอื่นได้ แต่มันก็แน่นอนเมื่อ ๒๐ ปี ครบ ๒๐ ปี นี้มันผิดกันมากกับเมื่อปีที่ ๑ ปีที่ ๒ แต่แล้วว่าไอ้ผลงานปีที่ ๑ ปีที่ ๒ มันก็สำเร็จประโยชน์พอสมควร ผมยังจำได้พอจะนึกออกว่าไอ้เทศน์พรรษาแรก กลับมาจากโรงเรียนแล้วมาเทศน์มันเหมือนกับแต่งกระทู้นักธรรมเอกอย่างดี ทั้งที่เรากำลังเรียนนักธรรมตรีอยู่นี่ เรายังจำได้อยู่ในใจว่าเราได้พูดได้บรรยายได้ตัวอย่างได้รูปโครงมันเหมือนแต่งกระทู้นักธรรมเองชั้น ชั้นดีอย่างนี้ นี่คือไอ้วิธีที่มันลัดลงมา ขอให้เชื่อว่ามันรับได้ อย่าอย่าปฏิเสธเสียว่ามันทำไม่ได้ คนโง่เขาก็จะปฏิเสธว่าทำไม่ได้ เราทำไม่ได้แล้วก็ไม่เคยพยายาม แล้วคนฉลาดเขาจะตั้งหลักว่าต้องทำได้ต้องทำได้แล้วก็พยายาม แล้วมันก็ได้มันก็ได้มากได้มากกว่าไม่พยายาม ขอให้พยายามพยายามบ่มมันให้ถูกวิธี ถึงมันยังไม่ทันจะห่าม แต่ถ้าบ่มมันถูกวิธี มันก็สุกกินได้ไม่เน่า นี่ผมก็เล่าไอ้เรื่องวิธีการหลักวิธีการ
เคยฟังอยู่เรื่องหนึ่งสำหรับผู้ที่จะทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา เราต้องเริ่มด้วยชั้นระดับชั้นที่ว่าข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ เหมือนพระสูตรซึ่งพระสูตรที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ แต่เราก็ไม่ได้บอกเขานะว่าฉันฟังมาอย่างนี้จากโรงเรียนเมื่อตะกี้นี้ แล้วเอามาเล่าให้คุณฟังเราไมได้บอก แต่มันก็ทำอย่างนั้นจริง ได้ฟังมาอย่างนี้เมื่อหยกๆ เมื่อตอนบ่ายนี้แล้วตอนเย็นก็เอามาพูดให้คุณฟัง แต่มันก็ไม่ง่ายนัก ใช้ทำไม่ได้สำหรับคนที่ประมาททำอะไรหวัดๆ ฉะนั้นมันต้องประณีตประณีตมากประณีตมากรอบครอบมาก จำให้เก่งให้ดีมาจดมาเลยจดใส่กระดาษ มาแล้วก็มาพูดได้แล้วมันก็จะชำนาญยิ่งขึ้นชำนาญยิ่งขึ้นทุกวันทุกวัน ทีนี้ก็คิดดูเมื่อเรายังอยู่ในระดับชิงสุกก่อนห่าม ก็ต้องทำอย่างนี้ นั้นอย่าประมาทที่จะเรียนให้แม่นยำ จำให้แม่นยำว่าข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างเพียงพอ ได้ฟังมาอย่างเพียงพอเอามาเล่าให้หมดเลย ไอ้สมัยนี้มันๆได้เปรียบกว่าสมัยผม สมัยผมมันหาหนังสืออ่านยาก หาหนังสือที่จะศึกษาด้วยตนเอง อะไรพวกนี้หายาก สมัยนี้มันเต็มไปหมดเลยหนังสือที่จะใช้ศึกษาใช้อ่านใช้ศึกษาใช้จนเครื่องมือเครื่องอะไรมันเยอะแยะไปหมด ฉะนั้นก็พยายามให้ใช้หนังสือเท่าที่มันมีอยู่แล้วนี่ทุกเล่มที่มันดีๆมีกี่เล่ม เอาไปใช้เอาไปพูดไปแสดงต่อ ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี่ ผมคิดว่าคงประสบความสำเร็จ มันก็ค่อยๆๆเจริญ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตนี่มันไม่ตาย มันมีชีวิตมันก็ต้องงอกๆๆๆงอกออกไปจนถึงที่สุดของมันนั้น เราสามารถจะทำได้ถึงกับว่าจะให้มันเผยแผ่ไปทั่วโลกทำได้ เป็นสิ่งที่ทำได้ถ้าเรามีความตั้งใจความพยายาม นี่เราก็ทำได้ นี่ลองคำนวณดูว่ามันต้องใช้ความจริงใจสักเท่าไร ความเสียสละความอดกลั้นความอดทนสักเท่าไร ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา สักเท่าไร หรือถ้าให้ดีก็อาจเอื้อมไปบารมี ๑๐ เราจะต้องใช้บารมี ๑๐ ของพระพุทธเจ้าตามระดับของเรา ซึ่งไมได้เป็นพระพุทธ ก็เจ้าใช้ใช้มันให้พอ ทาน ศีลเนกขัมมะ ปัญญา สัจจะ ขันติ อธิษฐานะ เมตตา มุทิตา อุเบกขา ให้เพียงพอ ไอ้ขันตีเว้นไม่ได้ ต้องใช้ธรรมะหมวดที่มันขันตีด้วยเสมอ คือต้องอดทน ทีนี้มันก็มีปัญญาพอที่ทำให้ทนได้ ไม่ใช่ต้องอดทนจนเป็นโรคประสาทปวดหัวตายไปเลย อย่างนั้นมันใช้ไม่ได้มันต้องมีปัญญาที่ทำให้ไม่ต้องทนจนปวดหัวจนเส้นโลหิตแตก มันสำเร็จอยู่ที่ปัญญาแต่มันต้องมีผู้ช่วยของมัน คือความอดทนความเสียสละความตั้งใจจริงให้ปัญญามันได้ทำงานของมัน แล้วมันจะเข้ารูปของมัน ไอ้การทำงานไม่ว่าอะไรมันจะต้องเข้ารูปของมัน ถ้ามันยังไม่ลงรูป มันยังไม่เข้ารูปจะหนักจะเหนื่อยจะเหน็ดเหนื่อยจะลำบากเหลือประมาณจนกว่ามันจะเข้ารูปของมัน พอเข้ารูปแล้วก็สบาย ก็สบายเหมือนกับว่ารอรอให้มันเจริญงอกงามของมันเองได้ ทำให้ดีที่สุด ด้วยสติปัญญาความเพียรอะไรก็ตาม จนมันเข้ารูป ทีนี้ก็นั่งรอได้นั่งรอได้ มันจะเจริญงอกงามไป หลักโพชฌงค์ ๗ ประการนั้นแหละใช้ได้ สตินี่ สติมาหน้าเลย ธัมมวิจยะแล้วก็เลือกเลือก วิริยะเมื่อเลือกได้แล้วก็เอาเลย ทุ่มเทกำลังเลยวิริยะ แล้วก็ใช้ปิติพอใจๆๆๆ พอใจอยู่ ไม่ใช่พอใจให้หยุด พอใจให้ทำสนุก ทำมากๆ ถ้ามาถึงนี่มันก็มีคำว่าปัสสัทธิ ระงับระงับ เท่ากับเข้ารูป ผมแปลเอาเองให้ความหมายเองว่า ปัสสิทธิก็คือเข้ารูป ทุกอย่างเข้ารูป สงบระงับลงไปคือ ปักใจ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ปักใจเต็มที่ สมาธิเต็มที่ แล้วก็ปล่อยให้มันไปของมันเอง คืออุเบกขานั่งดูอยู่เฉยๆ ถ้ามันถูกต้องแล้วมันก็จะเจริญงอกงามไปเอง เรานั่งดูอยู่เฉยๆไม่ต้องขวนขวายอะไรก็ได้ ที่เขาเปรียบเหมือนกับว่า ม้าๆเรียบร้อยแล้ว รถเรียบร้อยแล้ว ถนนเรียบร้อยแล้ว สารถีก็เพียงแต่ถือบังเหียนอยู่เฉยๆ ม้าก็วิ่งไปอย่างถูกต้องไปจนถึงจุดหมายปลายทางอุเบกขา โพชฌงค์เขามักจะอธิบายกันอย่างนี้ แต่มันจะเป็นอย่างนั้นได้ ก็ต่อเมื่อมันเข้ารูปแล้วเป็นปัสสัทธิแล้ว ไม่ไม่เฉโก ไม่แก่วงไม่อะไรออกนอกแนวนอกทางต่อไปได้ ตามหลักของโพชฌงค์ ๗ ประการ มีครบถ้วนที่จะพอกพูนปัญญา ซึ่งต้องพอกพูนปัญญาเป็นสิ่งที่ต้องพอกพูน พอกพูนปัญญาด้วยวิธีโพชฌงค์ ๗ ประการ ซึ่งผมก็ได้ใช้มากที่สุดได้อาศัยมากที่สุดได้ใช้มากที่สุด เมื่อดำเนินกิจการมาจนกระทั่งบัดนี้ สติโดยรอบครอบธัมม วิจยะมันเลือก วิริยะมันทุ่มเทกำลัง ปิติมันหล่อเลี้ยง ปัสสัทธิมันลงรูปเข้ารูป สมาธิมันเรียกว่ายิงปืนใหญ่แล้วก็นั่งดูอยู่เฉยๆ คือควบคุมให้มันเป็นไปตามเรื่องของมัน เมื่อทุกอย่างลงรูปแล้วก็นั่งดู เหมือนชาวนาเขาทำนาได้ที่แล้วอะไรได้ที่หมดแล้ว น้ำก็ได้ที่อะไรก็ได้ที่เขาก็นั่งรอว่าเมื่อไรข้าวจะออกรวงเท่านั้นแหละ ฉีดยากันเมลงก็ฉีดแล้ว น้ำท่าก็ดีแล้ว อะไรก็ดีแล้วก็นั่งรอว่าเมื่อไรมันจะออกรวง นี่คือการปรับปรุงตัวเองเพื่อเป็นผู้สืบทายาทพระพุทธศาสนาของสัมมาสัมพุทธเจ้า คล้ายๆกับวิธีของพระพุทธเจ้าวิธีเดียวกันนี้ เราจะสืบต่อมันก็วิธีเดียวกันนี้วิธีเดียวกันนี้นี่มันมีอย่างนี้
ทีนี้มันมีปัญหาอยู่นี่ว่าคุณจะเอาจริงหรือเหลวไหลไม่จริง ถ้าไม่จริงมันก็เน่าหมดแหละมันไม่ทันห่ามจะให้มันสุกมันก็เน่าหมด มันกินไม่ได้ แต่ถ้าจริงๆเราก็ทำมันอย่างเต็มที่แล้วมันก็ทำให้สุกกินได้ ก็เลยเหลืออยู่แต่หน้าที่ของฝ่ายคุณเอง จะจริงกี่มากน้อยจะมีสัจจะกี่มากน้อย ขันตีจาคะกี่มากน้อยไอ้ธรรมะ ๔ ประการที่เรียกว่าฆราวาสธรรม ก็ใช้อย่างนี้แหละ ใช้แก้ปัญหาใช้ถอนตนขึ้นมาจากปัญหาได้ทุกปัญหาได้ทุกชนิด ฆราวาสธรรมไปเรียกชื่อต่ำไปเสียสำหรับฆราวาส สัจจะธรรมะ ขันตีจาคะ เขาเรียกว่าฆราวาสธรรม ผมเลยแปลเสียใหม่ว่าฆราวาสจะถอนตนขึ้นจากความเป็นฆราวาส ถ้าใครเป็นครูสอนนักธรรมลองไปแปลเสียใหม่อธิบายเสียใหม่อย่างนี้ ฆราวาสธรรม ๔ สำหรับฆราวาสถอนตนขึ้นมาเสียให้พ้นจากความเป็นฆราวาส ไม่ใช่แค่เป็นฆราวาสดีอย่างฆราวาส แล้วหยุดอยู่อย่างฆราวาสไม่ถูก ธรรมะนี้มันใช้ไปได้มากกว่านั้นไปนิพพานก็ได้ด้วยหลัก ๔ ประการนี้ ก้าวหน้าไปนิพพานก็ได้ จึงว่าสำหรับฆราวาสใช้เพื่อพ้นจากความเป็นฆราวาสสัจจะธรรมะขันตีจาคะ ผมชอบที่สุด แล้วเคยเทศน์ธรรมะหมวดนี้มากที่สุดสัก ๑๐๐ หรือ ๒๐๐ ครั้ง ตั้งแต่แรกเทศน์มา ไปเทศน์ ๑๔ จังหวัดกับข้าหลวงพาสไปกันด้วยกัน ๑๔ จังหวัดทุกแห่งทุกอำเภอเทศน์อย่างนี้นั้นทั้งนะไม่ว่าที่ไหน เทศน์ฆราวาสธรรม ๔ ทั้งนั้นเลย จะข้าราชการก็ดีจะชาวบ้านก็ดี เทศน์ฆราวาสธรรม ๔ เพียงแต่อธิบายคนละระดับคนละชั้น เทศน์จนหลับครึ่งหนึ่งก็เทศน์ได้ มันเหนื่อยมากมันหลับไปครึ่งหนึ่งก็ว่าไปแบบหลับๆนั้นแหละ แล้วก็ไปจัดเอาตอนตื่นคาบได้คาบถึงไหน ทันทีที่ตื่นก็ตื่นออกมาแล้วจัดใหม่ว่าไป เพราะมันชินมาก เทศน์เทศน์กัณฑ์นี้มันชินมากจนว่าหลับไปครึ่งหนึ่งก็ยังพูดได้เทศน์ได้ คือเรื่องฆราวาสธรรม
เดี๋ยวนี้ก็มาพูดสำหรับว่าจะใช้เป็นเครื่องมือยกตนขึ้นจากหล่มเหมือนช้างตกหล่ม ยกตนขึ้นจากหล่ม มีสัจจะให้มันพอสิ อย่าสัจจะหลอกลวงเพื่อตัวกูสิ ให้มันสัจจะเพื่อพระพุทธศาสนาเพื่อพระพุทธะเจ้า อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธเจ้าจริงๆสิ อย่าทำงานนี้เพื่อตัวกูทำงานเพื่อพระพุทธเจ้าเรียกสัจจะ ธรรมะก็บังคับกันเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา ขันตีมันอดทนเลือดตาไหลก็ทนได้ ไม่เปลี่ยนแปลงอุดมคติ จาคะนั้นอะไรที่เป็นอุปสรรค คอยไขออกสิ่งเลวร้ายที่จะเป็นพิษในภายในคอยไขออกๆๆๆๆ ที่มันจะทำให้สึกให้เลวนั้น คอยไขออกๆมันไม่มีรบกวนในจิตใจ มันก็ทนได้สำเร็จประโยชน์ สัจจะธรรมะขันติจาคะ ที่เขาเรียกว่าฆราวาสธรรมนี่เราใช้ไปนิพพานก็ได้อย่างนี้ เอาแหละวันนี้ผมก็พูดเท่านี้ พูดเรื่องวิธีชิงสุกก่อนห่ามให้สำเร็จประโยชน์ วิธีลัดอุบายวิธีลัด แต่มันก็ฝืนไอ้คำโบราณที่เขาห้าม เขาห้ามไม่ให้ชิงสุกก่อนห่าม แต่เรามีวิธีชิงสุกก่อนห่าม เถียงยัน แต่เราก็ทำให้มันสำเร็จประโยชน์ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ทำไปเรื่อยๆทำไปช้าๆ โดยไม่มีเทคนิคอะไรทำไปตามสบาย ใช้เทคนิคให้ถูกคือระบบที่เป็นความลับของความสำเร็จมันมีอยู่เขาเรียกว่าเทคนิคๆ ภาษาไทยมันไม่แปลกัน เรียกทับศัพท์กันว่าเทคนิค ระบบความลับของธรรมชาติ ที่ให้เกิดความสำเร็จในเรื่องนั้นๆ เขาเรียกว่าเทคนิค ที่เราใช้เทคนิคให้พอให้ถูกต้อง มันก็สำเร็จประโยชน์ วิธีใช้เทคนิคให้ถูกต้องเขาเรียกว่าเทคโนโลยี ที่ได้ยินบ่อยเข้าบ่อยเข้าเทคโนโลยีอะไรก็เทคโนโลยีอะไรก็เทคโนโลยี คือการใช้เทคนิคให้สำเร็จประโยชน์ เดี๋ยวนี้เรามันถึงขนาดเทคนิคก็ไม่มี เลยไม่รู้จะใช้อะไรให้เกิดประโยชน์ มันต้องมีแล้วใช้มันให้สำเร็จประโยชน์ มันก็ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคมาขัดขวางให้ล้มละลายกลางทาง สนุก ทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงานทำงานได้ผลมาก ผมชอบอ้างให้มาดูในนี้ไง ผมทำงานชนิดที่เรียกว่าทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน มันจึงทำได้มากเท่านี้ เขาก็เห็นด้วยว่าพยานมันมีอยู่จริงทั้งหมดนี่เราทำคนเดียว โดยถือหลักเคล็ดว่าทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงานจึงทำงานได้มาก แล้วก็ไม่รู้สึกเหนื่อยด้วย ไม่รู้สึกเจ็บไข้ไม่ต้องเป็นเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย แล้วก็มีความพอใจด้วย ทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน ปรับปรุงจิตใจเสียบ้างก็ทำได้ ทุกคนทำได้ แต่ต้องปรับปรุงจิตใจให้ดีกว่าที่มีอยู่ก่อน อย่าสะเพร่าอย่าโง่อย่าอวดดี (สำเนียงใต้) ต่อจากนี้โปรแกรมอะไร หา ทำวัด.... (นาทีที่ 65.37) วิชาการให้อาจารย์วรศักดิ์บรรยาย ผมบรรยายแต่วิธีการ วิชาการกับวิธีการคนละอัน ถ้าทำกันไปเรื่อยๆให้มันเพียงพอแล้วมันก็มีหวัง ทำน้อยเกินไปมันก็ไม่ได้อะไร