แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักเรียน หรือนักศึกษา ผู้ที่จะเป็นครูบาอาจารย์ในต่อไปข้างหน้าทั้งหลาย ในวันนี้จะได้พูดกันถึงเรื่องทำงานให้สนุกต่อไปอีกเล็กน้อย เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นนั่นเอง เรื่องเดียวกันมันก็ต้องเข้าใจให้ถึงที่สุด มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ไม่ใช่ฟังครั้งเดียวแล้วมันจะเข้าใจ เข้าใจบางทีก็ยังปฏิบัติไม่ได้ มันก็ต้องพูดกันให้ชัดถึงที่สุด ฉะนั้นขอให้เตรียมฟังเรื่อง “ทำงานให้สนุก” ต่อไปอีก
คำว่างานคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ คำว่าธรรมะก็คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่างานกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้นสิ่งเดียวกัน สิ่งที่มีชีวิตระดับต่ำ เช่น ต้นไม้ ก็ต้องทำ สิ่งมีชีวิตในระดับสัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำ สิ่งที่มีชีวิตในระดับสูงคือมนุษย์ หรือคนหรือเทวดาก็ตามจะต้องทำ มีหน้าที่ที่จะต้องทำ มิเช่นนั้นมันจะสูญเสียภาวะเช่นนั้น เช่น มันจะตาย มันจะต้องตาย หรือเป็นอยู่ด้วยความยากลำบาก อย่างเช่นไม่ทำงานก็ไม่มีอะไรจะกิน จะต้องตาย หรือจะต้องอยู่ด้วยความยากลำบาก แต่ถ้าสนุกด้วยการงานมันก็เหลือกินเหลือใช้หรือจะช่วยผู้อื่นด้วยก็ได้
สนุกในการงานคือสนุกในการทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต งานนี้จะเป็นงานเต็มรูปแบบหรือว่าเป็นเพียงงานเบื้องต้นคือศึกษาเพื่อให้รู้จักทำงานที่เต็มรูปแบบ ก็เรียกว่างานทั้งนั้นแหละ แต่มันต้องตั้งรากฐานอยู่บนชีวิต ทุกงานทุกชนิด เราก็จะได้รับประโยชน์เต็มตามที่ได้มีชีวิต ขอให้เรานึกถึงการที่เราได้มีชีวิต เมื่อเราได้มีชีวิตอยู่แล้ว บางคนจะไม่ยอมรับว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ฉันไม่ได้ต้องการจะเกิดมาแล้วก็ไม่ยอมรับสภาพอันนี้แล้วก็ไม่ยอมรับหน้าที่ อย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นคนบ้า เพราะมันเกิดมาแล้ว มันเป็นคนเป็นมนุษย์อยู่แล้วมันถอยหลังกลับไม่ได้ แล้วมันจะปฏิเสธก็ไม่ได้ มันมีแต่ว่าจะอยู่อย่างที่ไม่ทนทุกข์ทรมานและมีประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป เราจึงต้องสนใจกันในส่วนนี้ การศึกษาเล่าเรียนก็เพื่อให้รู้เรื่องนี้ เรื่องหน้าที่การงานที่จะต้องทำสำหรับเราจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
ทีนี้โดยมากมันเกิดมาแล้วจากท้องแม่นี้มันไม่รู้อะไร คือ มันรู้แต่เรื่องกิน เล่น สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ตามภาษาเด็กๆ เมื่อยังเป็นเด็กๆ แม้แต่เด็กจะโตขึ้นมามันก็ยังรู้แต่เพียงเท่านั้น มันไม่ค่อยจะรู้มากไปกว่านั้น เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วมันก็ยังไม่รู้อะไรมากไปกว่านั้น มันรู้แต่เรื่องสำหรับจะสนุกสนานเอร็ดอร่อยเท่านั้นเอง มันก็เลยทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น แล้วมันก็หลงสิ มันก็หลงในความสนุกสนานเอร็ดอร่อยบูชาความสนุกสนานเอร็ดอร่อย อยากจะให้ได้ยิ่งๆๆๆ ขึ้นไป มันก็เป็นความหลงมากขึ้นไป ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ในที่สุดก็หลงตัวเอง มันหลงทุกสิ่งทุกอย่างที่แวดล้อมอยู่เข้ามาทีละเล็กทีละน้อย ทีละเรื่อง ทีละเรื่อง จนรอบไปด้วยความหลง ในที่สุดมันก็หลงตัวเอง คือไม่รู้จักตัวเองว่าเกิดมาทำไม จะต้องทำอะไร ก็เรียกว่ามันตายด้านถ้ามันหลงตัวเอง เราไม่หลงในอะไร แล้วในที่สุดเราก็ไม่หลงตัวเอง คือเรารู้ทิศทางว่าจะไปข้างหน้าต่อไปอย่างไร แล้วเดี๋ยวนี้เราจะต้องทำอะไร ที่ควรจะทำให้มากที่สุด เพื่อเป็นปัจจัยแก่การอยู่ แก่การก้าวหน้า แก่การลุถึงจุดหมายปลายทาง เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเกิดมาแล้วก็เรียน ก็ได้เงินเดือนแล้วก็ซื้อหาของสนุกสนานเอร็ดอร่อยตามพอใจแล้วมันก็เลิกกัน นี่คือคนหลงตัวเองมันไม่รู้จักว่าเกิดมาทำไม มันจะเป็นมนุษย์ที่ดีไม่ได้ อย่าว่าแต่จะไปเป็นบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ที่ดี เป็นไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ไอคนที่มันหลงตัวเองถึงขนาดนี้ แล้วมันทำงานไม่สนุก เพราะว่ามันๆ สนุกอยู่แต่กับการหลงตัวเอง ได้กินได้เล่นได้สนุกสนาน ได้เอร็ดอร่อยนั้น มันก็สนุกเสียในทางนั้น ก็เกิดเป็นของสนุกอีกแบบหนึ่ง เรียกว่าความสนุกของกิเลส แต่จำไว้ให้ดี ความสนุกมีอยู่ ๒ แบบ
แบบหนึ่งคือความสนุกของกิเลส ซึ่งมีมูลเหตุอยู่ที่ความโง่ กิเลสทั้งหลายมาจากความโง่ โง่อันแรกก็คือโง่ว่ามีตัวมีตนเห็นแก่ตนแล้วมันก็โง่ ทุกอย่างที่เนื่องกันนี่เรียกว่า “โง่” มันจึงได้หลงสนุกอยู่ในความสิ่งที่ไม่มีประโยชน์หรือคุณค่าอะไร นอกจากมีรสชาติสนุกแก่อายตนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องกามารมณ์เป็นเรื่องน่า เขาว่าสนุก ทำอะไรเพื่อกามารมณ์สนุกในการบริโภคกามารมณ์ นี่ก็เรียกว่าสนุกเหมือนกันแต่ว่าสนุกของกิเลส ทีนี้มีความสนุกอีกอย่างหนึ่งเรียกว่าความสนุกของสติปัญญา เรียกกันง่ายๆ สั้นๆ ว่า “โพธิ”
ความสนุกของโพธิ คือสติปัญญานี่ความสนุกที่บริสุทธิ์ เพราะมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรจะรู้ เป็นความถูกต้องไปหมดเรียกว่า “โพธิ” ถ้าสนุกของโพธิแล้วมันไม่ไปหลงในเรื่องโง่เขลา เรื่องสนุกทางในอารมณ์ ทางกามารมณ์ เป็นต้น ความสนุกมีอยู่ ๒ อย่างอย่างนี้ เรารู้จักเลือกเฟ้นให้ดี เข้าใจให้ดีอย่าเอาไปปนกัน ว่าสนุกแล้วเป็นใช้ได้ สนุกอย่างหนึ่งมันของกิเลสนะ นำไปสู่ความต่ำความวินาศเท่านั้น สนุกอย่างหนึ่งมันของโพธิ สติปัญญาลืมหูลืมตาสว่างไสว มันก็นำไปสู่ความเจริญที่สูงขึ้นไป ขอให้รู้จักเลือกความสนุกเสียตั้งแต่บัดนี้ จะเอาหลักเกณฑ์เมื่อเป็นเด็กทารกมาเป็นประมาณนั้นไม่ได้ เด็กทารกเขาไม่รู้จักสนุกอะไรที่มันๆ สูงขึ้นไปถึงสติปัญญา สนุกสนานตามแบบทารกเล่นฝุ่นเล่นทราย คว้าอะไรได้ก็กินเข้าไปแม้ไอ้อุจจาระมันก็กินได้นะเด็กทารกมันไม่รู้นี่มันสนุกแบบเด็กทารกนี่ หมดๆ แล้วมันพ้นๆ สมัย มันพ้นวัยแล้ว ไม่มีวัยที่จะเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว ทีนี้ก็สนุกสำหรับคนที่มีอายุ มีความรู้ มีวิชา มีอะไรเพิ่มขึ้นแล้ว รู้อะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร แต่ก็ไอความพอใจชนิดนั้นๆ มันยังติดมา มันจึงพอใจในความเล่นหัวอย่างแบบคนหนุ่มคนสาวไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดมันก็จะรู้จักเลื่อนชั้นไปหาความสนุกชนิดที่เป็นสติปัญญาของบุคคลผู้มีสติปัญญา รู้จักโลกมาพอสมควรแล้ว มันก็เดินทางถูก แล้วก็เดินถูกทาง ไปสู่จุดหมายปลายทางที่น่าจะพอใจ
ทีนี้ทำงานให้สนุกมันก็ต้องหมายถึงงานชนิดนี้งานของผู้มีสติปัญญา งานที่มันมีความถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์นั้น ความเป็นมนุษย์นั้นมีวิวัฒนาการหลายรูปแบบ นับตั้งแต่ว่าเอาอายุในชาตินี้เป็นหลักว่าเกิดมาจากท้องแม่โตขึ้นเป็นทารก เป็นเด็กๆ เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนเฒ่าคนแก่นี้ ก็เรียกว่าขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ถ้าดูที่การงาน ก็มีขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ เราทำงานอย่างเด็กๆ ง่ายๆ แล้วทำงานอย่างเด็กโต อย่างหนุ่มสาว อย่างพ่อบ้านแม่เรือน อย่างคนเฒ่าคนแก่ นั่นเป็นวิวัฒนาการของการงาน ถ้าดูกันอย่างครอบจักรวาลหรือครอบโลก ก็ว่า มนุษย์นี่มันมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียว เป็นสัตว์หลายเซลล์ เป็นสัตว์สูงขึ้นมาตามลำดับล้วนแต่วิวัฒนาการ เมื่อวิวัฒนาการขึ้นมาถึงมนุษย์ความเป็นมนุษย์แล้ว ก็ต้องทำอะไรให้มันถูกต้องตามมาตรฐานของความเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้เราจึงศึกษาเล่าเรียนให้รู้จักความเป็นมนุษย์ หรือมนุษยธรรม แล้วก็มีความเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง เวลามันก็ไม่มากนักหรอก คนๆ หนึ่งมันไม่เกิน ๑๐๐ ปีไปได้อายุ มันเสียเวลาไปแล้วเท่าไร ตอนที่เป็นเด็กนั้น ทีนี้ยังมีเวลาอีกสักเท่าไรที่เราจะต้องศึกษาให้ทันแก่เวลา และให้ได้ปฏิบัติให้ได้ประโยชน์ทันแก่เวลาก่อนแต่ที่จะตายเสีย นี่ให้ทุกคนรู้ว่าเวลาไม่ได้มีมากมายอะไร เราศึกษากันไปอีกสิบปียี่สิบปี แล้วก็ต้องดำรงตนให้ถูกต้องอีกยี่สิบสามสิบปีแล้วมันก็เข้าไปในวัยแก่เฒ่า เป็นคนแก่เฒ่าที่เป็นตัวอย่างแก่ลูกหลานที่ดีไม่กี่ปีมันก็เข้าโลง อย่ารู้จักชีวิตน้อยๆ เหมือนกับที่รู้จักอยู่เดี๋ยวนี้ เรื่องสนุกสนานตามแบบของคนวัยรุ่น หรือคนหนุ่ม ถ้ารู้เพียงเท่านี้มันก็เรียกว่ารู้ในวงจำกัดอย่างน่าเวทนาสงสารนั่นแหละคือความประมาท
ท่านทั้งหลายอย่าได้มีความประมาทว่าเรารู้อะไรหมด เราทำอะไรถูกต้องหมดตามความคิดของเราเอง อย่างนั้นมันหลงตัวเอง มันโง่บรมโง่โดยไม่รู้สึกตัวมันหลงตัวเอง เหมือนกับว่าหิ่งห้อยตัวหนึ่งมันเข้าไปส่องแสงอยู่ในกะลา ด้านใต้กะลาครอบ มันก็สว่างไปทั้งกะลาที่ครอบ มันก็มีความคิดว่าเรามีแสงสว่างทั่วจักรวาล เราส่องแสงสว่างทั่วจักรวาล เหมือนที่จะพูดว่าเหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงทั่วจักรวาล หิ่งห้อยตัวนั้นส่องแสงอยู่ใต้กะลาครอบทั้งกะลา มันก็คิดว่ามันก็ส่องแสงทั่วจักรวาล ระวังให้ดีความคิดอันนี้มันจะมามีแก่เรานั้น ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่นั่น แล้วเราคิดว่าเรารู้อะไรหมดนั่น นี่เตือนสติตัวเองไว้บ้างว่าอย่าได้เขลาถึงขนาดนั้น มันต้องรู้อะไรชนิดที่ปฏิบัติได้แล้วลองปฏิบัติดู แล้วมันก็ได้ผลโดยแท้จริงจึงจะค่อยแน่ใจว่าเราก็มีความรู้อะไรกับเขาบ้าง แล้วก็ทำให้มันมากขึ้นๆ จนถึงที่สุดที่มนุษย์มันจะทำกันได้ แต่ขอให้รู้ไว้สักอย่างหนึ่งว่าธรรมชาตินั้น ธรรมชาติที่เรายังไม่รู้จักที่เป็นของลึกซึ้งลึกลับเหมือนกับพระเจ้านั้นมันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น มันสร้างเรามาสำหรับให้เป็นมนุษย์ถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ คือเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด ถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ ธรรมชาติสร้างให้มาครบเลย ให้มีเนื้อหนัง จิตใจ ความคิด ความนึก อะไร สมรรถภาพต่างๆ สำหรับเป็นมนุษย์ที่สูงสุดหละ ถ้าพูดอย่างภาษาวัดเขาก็เรียกเป็นพระอรหันต์นี่ได้ทุกคนแหละ เราไม่รู้นี่ เราไม่รู้จะไปทางไหน เราก็วนเวียนอยู่ใต้กะลาครอบเหมือนกับหิ่งห้อยตัวนั้นแหละ อะไรมาเป็นที่สนุกสนาน รื่นเริง ก็สนุกสนานอยู่แต่กับสิ่งนั้น ไม่ได้คิดว่านอกไปจากนั้นมันจะมีอะไร เหมือนปลาอยู่ในน้ำมันรู้แต่เรื่องในน้ำ มันนิดเดียว เรื่องบนบกตั้งเยอะแยะ มันไม่รู้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยหลงตัวเองอยู่ในสิ่งเหล่านั้น ไปไกลกว่านั้นไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าเสียหายมาก เขาให้เงินมาลงทุนเป็นล้าน เป็นร้อยล้าน พันล้าน เราใช้ไม่เป็น ลงทุนแค่ ๑๐ บาทหาอะไรกินสนุกๆ ไปวันหนึ่ง วันหนึ่ง นี่เป็นอุปมานะ ธรรมชาติให้เรา ให้ชีวิตเรามาสำหรับจะเป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่ก็ไม่รู้จัก เราไม่เคยคิดเลย เราเอาแต่เรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยเรื่องปากเรื่องท้องเรื่องเนื้อเรื่องหนังเหมือนลูกเด็กๆ ตลอดไป นี่มันๆ ขาดทุนเท่าไร เขาให้ทุนมาสำหรับไปให้ถึงที่สุดแห่งความเป็นมนุษย์ เรามาใช้เป็นคนโง่ๆ อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ มันขาดทุนเท่าไร นั่นแหละเรียกว่าเป็นคนประมาท เราต้องเป็นคนไม่ประมาท คำนี้ฟังยากนะ ทุกคนอย่าอวดดีว่าเข้าใจคำ ๒ คำนี้หมดแล้วครบถ้วนแล้ว เรามันจะแปลเป็นคำอื่นไม่ได้อีกแล้ว เราจะใช้คำว่าประมาทหรือคำว่าไม่ประมาทคู่กันอยู่ก็แล้วกัน ถ้าว่าเมื่อประมาทแล้วก็มันทุกอย่างเลยแหละที่เป็นในทางเสียหาย นับตั้งแต่โง่ ไม่รู้อะไร นับตั้งแต่โง่ ไม่รู้อะไร นั่นก็คือตั้งต้นของความประมาท มันก็ไม่มีสติปัญญาอะไร รวมทั้งว่าขี้เกียจก็รวมอยู่ในคำว่าประมาท หลงใหลมัวเมาในเรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยก็เรียกว่าประมาท กระทั่งอวดดีก็เรียกว่าประมาท อะไรๆ ที่มันจะเป็นไปเพื่อความเสื่อมเสียแล้วรวมอยู่ในคำว่าประมาท ไม่ใช่หมายความสั้นๆ แค่ว่าสะเพร่า เลินเล่อ อวดดี นั่นมันน้อย มันยังน้อยนัก คำว่าประมาทนี้มันทุกอย่างเลย นับตั้งแต่ความโง่ทุกอย่างที่มันคลอดออกมาจากความโง่ ไม่ขยันขันแข็งในหน้าที่การงาน ขี้เกียจขี้คร้าน ล้วนแต่รวมอยู่ในคำว่าประมาทถ้าไม่ประมาทก็ตรงกันข้ามหมด คือมันก็รู้ มันก็ฉลาด มันก็มีความตั้งใจดี ตั้งใจสูง เจตนาจะกระทำ มันก็เป็นเหตุให้ทำงานสนุกสิ จะเป็นคนไม่ประมาทเสียอย่างเดียวเท่านั้นแหละ มันจะรู้สิ่งทุกสิ่งจนทำสิ่งทุกสิ่งนั้นสนุกไปเลย เรื่องนี้อยากจะพูดอีกสักครั้งหนึ่ง ไม่กลัวว่าผู้ฟังจะรำคาญ ขอให้ทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด ทุกหน้าที่ ทุกชนิดของหน้าที่ด้วยความสนุกสนานเถิด นับตั้งแต่ว่ามันจะต้องมีอาหารกิน มันจะบริหารกาย ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ อาบน้ำอาบท่า บริหารกายทุกอย่างทุกประการ อย่าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ฟังดูมันก็น่ารำคาญ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะรำคาญ ถ้ากินอาหารก็กินอาหารให้ดีเถอะ ให้ถูกต้องมันต้องได้ประโยชน์ แม้แต่ล้างจานก็ขอให้ล้างจานให้ดีจนเป็นที่พอใจของตัว จะอาบน้ำก็อาบน้ำให้ดีที่สุด ให้มีความสุขไปในการอาบน้ำ ให้ได้รับประโยชน์จากการอาบน้ำให้ถึงที่สุดคือให้มันเย็นสบาย ให้มันสะอาด หรือให้มันเกิดกำลังวังชาอะไรก็สุดแท้ ให้มันได้ให้หมด ทีนี้มันไม่ทำอย่างนั้นนี่ มันอาบน้ำอย่างเลวๆ กันอยู่โดยมาก อาบลวกๆ ในใจคิดถึงอะไรก็ไม่รู้ คิดถึงแฟนหรือคิดถึงอะไรก็ไม่รู้ มันอาบน้ำอย่างลวกๆ มันก็กลายเป็นผลตรงกันข้าม จะถ่ายอุจจาระ จะถ่ายปัสสาวะก็ทำให้ดีที่สุด นี่ยกตัวอย่างนะ มันมีอีกมากจะทำอะไรในหน้าที่ ชีวิตประจำวันก็ทำให้ดีที่สุด นี่เรียกว่าคนไม่ประมาท แล้วก็ได้ทำสนุกในสิ่งที่จะต้องทำ บางเวลาเราจะกวาดบ้าน กวาดขยะ จะถูพื้น จะทำความสะอาดบ้านก็ทำให้สนุก มันมีทางที่จะทำให้สนุก เมื่อปรับปรุงจิตใจให้มันถูกต้อง เข้าใจว่าเกือบจะทุกคนนั้นไม่สนุก ถ้าวันนี้จะต้องเช็ดเรือน ถูเรือน กวาดเรือน ปัดหยากไย่ใยแมงมุม ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม มันไม่รู้สึกสนุก เว้นไว้แต่คนจะมีจิตใจชนิดที่ไม่ประมาทเท่านั้นคือมีธรรมะ ฉะนั้นบ้านเรือนของเรามันจึงไม่สะอาดเพราะเราไม่รู้จักหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ
ขอเตือนอีกว่าอย่าได้มีอะไรเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้ามันเป็นเรื่องที่จะต้องทำเพื่อความมีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องปกติสุขแล้วก็ขอให้ทำ ให้หัดทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ให้มันสนุกไปเสียหมด ถ้าจะต้องประกอบอาชีพบ้าง จะเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ปลูกต้นไม้ สวนครัว อะไรก็ให้มันสนุกไปทุกกระเบียดนิ้วเถิด นี่คือบทเรียนธรรมะอย่างแท้จริง ไอเรียนธรรมะในโรงเรียน เรียนธรรมะท่องได้พูดจ้อไปนั่นไม่ใช่ธรรมะอย่างแท้จริง ธรรมะอย่างแท้จริงคือปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เราเป็นสิ่งที่มีชีวิต เราปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตอย่างแท้จริง ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว พอใจตัวเองได้ทุกกระเบียดนิ้วนั่นแหละคือธรรมะ ธรรมะมันก็มีได้ทุกหนทุกแห่ง ที่เราไปทำหน้าที่ของมนุษย์หรือสิ่งที่มีชีวิต ถ้ามีอาชีพทำนาก็ทำนาให้สนุก ทำสวนก็ทำสวนให้สนุก เป็นกรรมกรก็เป็นกรรมกรให้สนุก อย่าได้เข้าใจผิดว่ามันเป็นงานที่เลว มันไม่เป็นงานที่เลวที่ดีกว่ากันไปได้หรอกเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกันทั้งนั้น ทีนี้คนโง่แหละที่มันว่างานดี งานเลว งานต่ำ งานสูง งานที่เหนื่อยน้อยได้เงินมากมันก็ว่างานดี มันก็ยิ่งโง่ มันเป็นคนยิ่งไม่เอาถ่านถ้ามันคิดอย่างนั้น งานมันจะต้องเป็นงานที่มีเกียรติเสมอกัน เป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะได้รอดอยู่ได้ เป็นชาวนาก็ได้ เป็นชาวสวนก็ได้ ค้าขายก็ได้ ทำราชการก็ได้ เป็นกรรมกรก็ได้ นั่งขอทานอยู่ก็ได้ ขอให้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามหน้าที่ มันจะค่อยๆ พ้นจากสภาพที่ทุกข์ยากลำบากไปสู่สภาพที่ปกติหรือสบาย
ถ้าเป็นขอทานปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องไม่เท่าไรก็พ้นจากความเป็นคนขอทาน นี่ขอให้สังเกตดูให้ดีๆด้วย เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจที่จะต้องเป็นชาวนาชาวสวนเป็นกรรมกรเป็นอะไรไปตามเหตุผลที่สมควรเฉพาะหน้าในเวลานั้น เมื่อทำดีแล้วมันก็จะเลื่อน เลื่อน เลื่อนไปหาสิ่งที่มันเบาสบายหรือง่ายขึ้น พร้อมๆ กับที่เรามีสติปัญญามากขึ้น มีความสามารถมากขึ้น ความชำนาญมากขึ้น อย่าได้ประมาทเลย ถ้าเดี๋ยวนี้เป็นนักเรียนเป็นนักศึกษาอะไรบ้าง จะต้องทำแล้วก็ทำเถอะ ให้มันมีความเป็นนักศึกษาที่แท้จริง ไอการเรียน เรียน เรียน ไม่ต้องพูดถึง มันต้องทำและต้องทำแน่ แล้วก็มันบังคับให้ทำหรือมันชวนให้ทำอยู่แล้ว แต่ว่าส่วนประกอบของมันก็ต้องทำ คือต้องบริหารร่างกายให้ดี อย่าเหลวไหลในการบริหารร่างกายให้ดี ทำไมจะต้องไปสูบกัญชาเล่า ทำไมจะต้องไปสูบเฮโรอีน ทินเนอร์อะไรเล่า แล้วร่างกายมันจะดีได้อย่างไรเล่า หรือว่าทำไมจะต้องไปหลงใหลในสิ่งที่มันเป็นข้าศึกแก่การเล่าเรียนเล่า มันก็ล้มละลายหมด มันก็เรียกว่าสำคัญชั้นใหญ่โตชั้นมากแหละ แต่ว่าไอความสำคัญเล็กๆ น้อยๆ มันก็สำคัญเหมือนกัน เพราะมันช่วยให้เกิดนิสัยดี นิสัยที่ดี นิสัยที่จะเป็นนักศึกษา ทำอะไรดีที่สุด ทีนี้เราก็จะต้องรักษาความถูกต้องของร่างกายไว้ให้ดีๆ ของวัตถุ เครื่องใช้ไม้สอยอะไรดีดี แม้แต่เสื้อผ้าที่เราจะต้องรักษาให้สะอาด เมื่อไรเราทำเสื้อผ้าให้สะอาดเราก็พอใจ เราไม่ประมาท เราไม่ขี้เกียจปล่อยให้เสื้อผ้านั้นมันซูบซีดเศร้าหมองด้วยของสกปรก และเมื่อไรซักเสื้อผ้าให้สะอาดมันก็ต้องพอใจตัวเองว่าทำหน้าที่ให้ถูกต้อง แม้จะรักษาไอเครื่องใช้ให้สะอาด เช่นปากกาสำหรับเขียนนี้ต้องไม่สกปรก ทว่าปากกาที่ใช้เขียนอยู่มันสกปรก ก็หมดแล้วมันเลวแล้ว มันมีอะไรที่ติเตียนตัวเองได้แล้ว มันไม่ไหว้ตัวเองได้แล้ว นี่ปากกาเล็กนิดเดียวนี่ยังปล่อยให้สกปรกได้ เครื่องใช้ไม้สอยเครื่องเล่าเครื่องเรียน แม้ของกลางของโรงเรียน เช่น โต๊ะ เช่นเก้าอี้นี่ ถ้าเราทำให้มันสกปรกเสียหาย มันก็เลวอยู่ที่เราแหละ แล้วเราก็ไม่มีทางที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้หรอก เพราะว่าเรามันปล่อยให้เลวไปหมด เพราะฉะนั้นเรามันจะต้องนึกถึงหน้าที่ของส่วนรวม ความสะอาดของส่วนรวม แม้แต่เรื่องส้วม เราไม่มีหน้าที่เพียงใช้ตามพอใจ ให้มันสกปรกให้ภารโรงมันล้าง ถ้าเราไปล้างด้วยนั่นแหละเราจะมีธรรมะตามธรรมชาติและยุติธรรมว่าเราได้ทำหน้าที่ที่ควรจะกระทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เราอาจจะยกมือไหว้ตัวเองได้ในเมื่อไปช่วยภารโรงล้างส้วม หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างทุกชนิด ทำเถิด จะสร้างนิสัยดี นิสัยแห่งความเป็นมนุษย์ที่ดี นิสัยที่จะก้าวหน้าเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป แล้วมันก็จะสนุกเพราะเรามีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราโง่เราเข้าใจไม่ถูกต้องในสิ่งเหล่านี้เราก็เป็นคนประมาท เป็นคนหลงตัวเอง เราไม่อยากทำหรอกไม่อยากทำอะไร แม้แต่ที่นอนของมันเองมันก็ยังไม่กวาด แล้วมันจะทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ล่ะ
นี่ขอให้รู้ว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตของเรา เราก็ต้องทำ และที่เป็นของเพื่อน ของเพื่อนมนุษย์ที่เราทำได้เราก็จะทำด้วยเหมือนกัน เพราะว่าในโลกนี้มันจะมีหน้าที่ร่วมกันสำหรับสิ่งที่มีชีวิต มันจึงจะเป็นโลกชนิดที่อยู่เป็นผาสุก สวยสดงดงาม น่าอยู่น่าอาศัยอยู่แล้วชื่นใจสบายใจด้วยกันทุกคน และไม่ได้หมายความถึงเรื่องเล่นหัวสนุกสนาน เอร็ดอร่อย สวยงาม สรวลเสเฮฮาว่าสนุก นั่นมันสนุกของคนโง่ สนุกของโพธิปัญญา สนุกต่อเมื่อรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องของความเป็นมนุษย์ ยิ่งเหนื่อยยิ่งสนุก บางทียิ่งสกปรกเวลาล้างท่อสกปรกเอ้าก็สนุก ก็สนุกเหมือนกัน มันก็สกปรกที่วัตถุนั้น มันไม่ได้มาสกปรกอยู่ในจิตใจของเรา เราก็ทำให้ลุล่วงไป แล้วก็มีจิตใจที่ดีขึ้นสามารถบังคับจิตได้ดีขึ้นอยู่เหนือความสกปรกหรือความไม่สกปรก รู้แต่ว่าภาวะที่เรียกว่าสกปรกนี้มันไม่น่าปรารถนา มันเป็นสิ่งที่ควรขจัดให้ออกไปมันเราถือว่าเป็นหน้าที่ของมนุษย์เราก็ช่วยกำจัดภาวะนั้นให้ออกไปโดยไม่ต้องอิดหนาระอาใจ เช่นเดียวกับภาวะสวยงามเราก็ไม่ต้องไปหลงใหล อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้บังคับจิตได้ ก็สามารถทำอะไรๆ ให้มันสนุก พอดี ถูกต้องไปหมด ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะสมมุติเรียกกันว่าต่ำหรือสูง สวยหรือไม่สวย แพงหรือถูกอะไรไม่มีความหมาย ถ้ามันถูกตามไอกฎของธรรมะ ของธรรมชาติเป็นหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องทำแล้วมันถูกหมดแหละ เพราะฉะนั้นเราก็จะมีแต่ความถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัวของเรา ทั้งทุกๆ นาที ทุกๆ ชั่วโมง ทุกวันทุกคืน ทั้งเดือนทั้งปีนั่น แล้วก็มีความสุขได้ทั้งเดือนทั้งปี เพราะเราพอใจในหน้าที่ที่แท้จริงด้วยสติปัญญา อย่าลืมคำว่าต้องด้วยโพธิหรือด้วยสติปัญญาอย่าด้วยกิเลสตัณหา ถ้าด้วยกิเลสตัณหาแล้วมันก็ไปเอาของที่เป็นโทษนั่นเอามาเป็นคุณเอามาเป็นสาระ เพราะว่ามันถูกหลอนถูกหลอกถูกทำให้โง่จนหลงตัวเอง มันก็หลงอยู่ที่ความเอร็ดอร่อยสนุกสนาน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีความจริงที่ไหน นอกจากจริงว่ามันเลว จริงว่ามันเป็นทุกข์ จริงว่ามันไม่ควรทำ มันจริงไปในทางนั้น มันไม่ถูต้อง มันไม่จริงมาในทางที่ควรทำหรือว่าจริงในทางที่ว่าทำแล้วมันมีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
เพราะฉะนั้นขอให้เราใช้กำลังกาย กำลังจิต กำลังสติปัญญานี่ แต่ละวัน แต่ละวันนี้ไปในทางที่ถูกต้อง คือพิสูจน์ความมีประโยชน์แก่ทุกฝ่าย คำว่าถูกต้องในที่นี้ ไม่ใช่ให้ใครมาบัญญัติให้ว่าถูกต้องซึ่งมันผิดก็ได้ แต่ถ้ามันมีความเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายแล้วก็เชื่อได้เลยว่ามันถูกต้อง เราทำกันโดยหลักเกณฑ์อันนี้ มีอันนี้เป็นหลักเกณฑ์ นี่ขอให้พวกเราทุกคนเป็นมนุษย์พุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ตื่นจากความโง่ แล้วเป็นสุข แล้วเบิกบาน นับตั้งแต่ว่าล้างจาน นับตั้งแต่ว่าถูพื้นกระดาน ล้างส้วมมันก็มีความสุขความพอใจอยู่ แล้วจะเอาอะไรกันอีกล่ะ คือมันมีความสุขความพอใจอยู่ได้ทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาทีเลย นี่ก็มีชีวิตสนุกดีกว่า ที่พูดว่าทำงานให้สนุกนั้นมันกว้างมันขยายไกลออกไปจนถึงว่ามีชีวิตสนุกกันดีกว่า ขอให้เตรียมนึกถึงข้อนี้ไว้ได้แล้ว ไม่เท่าไร เราก็จะไปถึงขั้นนั้น เราที่ยังเป็นคนหนุ่มสาวยังไม่ได้มีภาระอะไรนี้ ไม่เท่าไรมันจะขึ้นไปถึงขั้นนั้นแหละ นี่ต้องมีความถูกต้อง มีความสุขจากความถูกต้องอยู่จนตลอดชีวิต จนเป็นสุขสนุกไปเสียหมดไม่ว่าทำอะไร คนอื่นเขาเป็นทุกข์ไปเสียหมด ไอเราก็เป็นสุขสนุกไปเสียหมด คนโง่ คนประมาท คนหลับหูหลับตา มันจะเป็นทุกข์ไปหมดไม่ว่าทำอะไรหละ มันจะกินอาหารก็กินด้วยจิตที่เป็นทุกข์หละ มันมีจิตเร่าร้อนในความเอร็ดอร่อยจนเคี้ยวไม่ทันหละ มันมีความตะกละเกิดขึ้นแหละ ถ้ามีความตะกละแล้วก็รู้ว่ามันจะอร่อยไม่ทันแหละ มันก็ทรมานด้วยการกินอาหารนี่คนโง่ ถ้ามันกินอาหารด้วยสติสัมปชัญญะแล้วมันก็มีความรู้สึกพอใจ เยือกเย็นไปทุกๆ เมล็ดหละ ทุกๆ คำที่มันเคี้ยวนั่น นี่เราจะทำอะไรเราจะทำด้วยสติปัญญา เห็นเป็นสิ่งสำคัญว่าหน้าที่ของมนุษย์แล้วทำดีที่สุด จึงทำงานทุกชนิดเป็นสุขที่สุดเลย แล้วแต่ว่ามันจะมีอะไรมาให้ทำ จะเป็นงานในบ้าน งานในโรงเรียน งานโดยตรง งานอดิเรก งานของตัวเอง งานของผู้อื่น แล้วก็ทำดีไปหมด สนุกไปหมด สนุกไปหมด แม้ว่าจะต้องช่วยกันรักษาโรงเรียนให้สะอาดเราก็ช่วยกันสิแล้วเราก็สนุก แย่งหน้าที่ของภารโรงมาทำเสียให้สนุก แล้วมันจะเสียหายอะไร มันก็ได้นิสัยที่ดี นิสัยที่ดีที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเองโดยอัตโนมัติโดยไม่รู้สึกตัว มันก็เป็นการง่ายที่จะเจริญโดยไม่รู้สึกตัวนี่วิเศษอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็ตรงกันข้ามโดยประการทั้งปวง มันจะไม่มีอะไรที่ทำให้สบายใจ มันจะเป็นความเจ็บไข้ หรือความรบกวนทางประสาทให้วิตกกังวลหวาดผวาได้อยู่เสมอ เรียกว่าไม่ได้เป็นมนุษย์หละ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่หวาดผวาอยู่เสมอ จะเรียกว่าเป็นอสุรกาย เป็นเปรตเป็นอสุรกายก็ได้ ถ้ามีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดผวาอยู่เสมอแล้วมันจะเห็นแก่ตัวมากขึ้นจนเบียดเบียนกัน
คำแปลกประหลาดคำหนึ่งคือคำว่า วินิบาต ทุคติวินิบาต อบาย ทุคติวินิบาต วินิบาต คำนี้มันมีในบาลีมากนะแต่เขาไม่ค่อยเอามาพูดกัน จนชาวบ้านก็ไม่ค่อยรู้ว่า วินิบาตนี่คืออะไร สัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรดี มีหน้าที่เพียงกัดกินกันเอง กัดกินกันเอง ตัวที่โตกว่าแข็งแรงกว่าก็กัดกินตัวที่เล็กกว่าอ่อนแอกว่า ขีวะ ภาวะของวินิบาตนั้นคือกินกันเองนี่ มนุษย์เราก็มันจะใกล้ๆ วินิบาตเข้าไปแล้วในโลกนี้ คนที่มีกำลังกว่า แข็งแรงกว่า มีเงินกว่า อะไรกว่ามันก็กำลังกินคนที่อ่อนแอกว่า นั่นแหละคือความวินาศของมนุษย์ ของมนุษยธรรม มันเป็นอบายชั่วร้าย เป็นทุคติเลวทรามเป็นวินิบาตน่าอเนจอนาถเพราะว่ามันกัดกินกันเอง ในโลกนี้มันมีภาวะที่กัดกินกันเองของมนุษย์นี่ชนิดที่มองเห็นยาก เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ปรากฏโดยวัตถุตรงๆ มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดต้องสังเกต แต่มันมีโลกอีกโลกหนึ่งนะ ไหนๆๆ เล่าแล้วก็เล่าให้ฟังก็ได้ไม่ๆ เสียเวลานัก ไปเอาไอกล้องจุลทรรศน์มา แล้วก็ส่องดูไอ้น้ำสกปรก น้ำคลำหรือน้ำคอกสัตว์ น้ำในคอกสัตว์น่ะ เอามาสักหยดเดียวก็มาใส่ที่กระจกจุลทรรศน์แล้วมองดูจะเห็นสัตว์วิ่งพล่านไปหมด สัตว์ชนิดยาวๆ คดๆ ก็มี แบนๆ เหมือนเม็ดข้าวเม่าก็มี และกลมเล็ก เล็ก เล็ก เล็กมาก เล็กกว่าเพื่อนนั้น นั่นก็มี มีมาก เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาด้วยกัน ชั่วเวลาที่เรามองดูจะเห็นสัตว์ที่มีรูปร่างเหมือนเมล็ดข้าวเม่านั่น กระโดดตะครุบกินไอสัตว์ตัวที่กลมเล็กนิดเดียวอยู่ตลอดเวลาเลย ตลอดเวลาที่เราจะมองดูอยู่ นี่เรา โอ มีโลก มีโลกอีกโลกหนึ่งด้วยที่สัตว์ตัวโตกินสัตว์ตัวเล็กอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอย่างนี้มาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์กี่โกศล้านปีแล้ว
ถ้าฝนแรกตกใหม่ๆ ไอคอกสัตว์คอกวัวคอกควายจะมีน้ำขัง ในรอยวัวรอยควายที่มันมีอุจจาระสัตว์ น้ำชนิดนั้นเอามาดูเถอะ หยดเดียวมีชีวิตตั้งแสนตั้งล้าน แล้วมันก็มีสภาพอย่างนี้แหละกัดกินกันเองอยู่ตลอดเวลา เราคือ เอ้อ นี่โลกของวินิบาตนะ แต่ถ้ามันอยู่เท่านั้นมันก็ไม่เป็นไรสิ เดี๋ยวนี้คนแท้ๆ มันยังกัดกินกันเอง สัตว์ที่แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า แล้วมันกัดกินสัตว์ที่โง่กว่า เล็กกว่า อยู่ตลอดเวลาแล้วมันจะมีความสุขอะไรกัน มันเป็นส่วนๆ เลว ส่วนผิด ส่วนทุคติ อบายทุคติ วินิบาตฝ่ายชั่ว ช่วยกันคิดหน่อย ระวังให้ดี อย่าให้มัน อย่าให้มันลุกขึ้นมา ทำงานให้สนุกเพราะมีสติปัญญา ทำงานด้วยโพธิปัญญามันก็จะได้ผลตรงกันข้าม ลงความว่าเห็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตรวมทั้งตัวเราเองด้วย แล้วก็กระทำให้ถูกต้องอยู่ด้วยสติปัญญา เรียกว่าทำงานสนุก นี่เรื่องทำงานสนุกมีอยู่อย่างนี้นะ จบไปหนึ่งเรื่องแล้วนะ พูดขยายความมากไปกว่าวันก่อนนั้นนะว่าทำงานให้สนุก มีชีวิตชนิดที่ทำงานให้สนุกอยู่ตลอดเวลา ทั้งวันทั้งคืน ทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งเดือนทั้งปี
ทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงเรื่องที่มันเกี่ยวพันกัน ที่มักจะถูกค้านโดยคนที่เขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อว่าไอการทำงานให้สนุกนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ เขาไม่เชื่อว่าทำได้ เขาไม่ยอมเชื่อว่าทำได้ เราบอกว่าทำได้ เขาว่าทำไม่ได้ ข้อนี้มันอยู่ตรงที่ว่า เขาไม่มีการพัฒนาในทางจิตใจ มันไม่มีการพัฒนาในทางจิตใจ จิตใจมันจึงไม่สูงขึ้นมาถึงขนาดที่เรียกว่าจะทำงานให้สนุกได้ เพราะฉะนั้นเราลองพัฒนาจิตใจ มีวิธีพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นมาจนถึงขนาดที่มีความรู้อย่างถูกต้องว่าเราจะทำงานให้สนุกได้ ดังนั้นจึงขอแถมเข้าไปอีกเรื่องหนึ่งว่าถ้าจะเป็นคนทำงานให้สนุกแล้วจงฝึกฝนการบังคับจิตใจที่เขาเรียกว่าทำสมาธิภาวนากรรมฐานนั่นแหละ ที่ท่านบางคนเริ่มสนใจบ้างแล้วแต่มันนิดหน่อยเท่านั้นมันไม่พอ เป็นที่น่ายินดีว่าเดี๋ยวนี้มีนักศึกษา ครูบาอาจารย์สนใจเรื่องทำสมาธิภาวนากันขึ้นบ้างแล้วแต่มันยังไม่พอ มันต้องทำให้มากถึงขนาดมาตรฐานที่จะใช้เป็นประโยชน์ได้ ถ้าจะรวมความก็คือว่าทำให้มันบังคับจิตใจได้ จิตตามธรรมดามันฟุ้งซ่าน ก็บังคับให้มันสงบได้ จิตมันโง่เขลาไม่รู้อะไร ก็ฝึกฝนอบรมให้มันฉลาด ให้มันมีความเฉลียวฉลาดหรือว่าให้มันเป็นเหมือนกับว่าพักผ่อนอย่างเป็นสุขอยู่ด้วยเป็นประจำ นี่ถือว่าชีวิตนี้โดยธรรมชาติมันต้องการสิ่งที่เรียกว่า “วิเวก” นี่ วิเวก สงบ ไม่มีอะไรรบกวนนี่ อย่างน้อยวันหนึ่งสักหนึ่งครั้งนะถ้ามันเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนะ มีความรู้เรื่องมนุษย์ดี มันจะต้องจัดให้มีจิตใจที่ได้รับการพักผ่อนเป็นวิเวก วิเวกทางกาย วิเวกทางจิต ไม่มีอะไรรบกวนอีก วันหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ข้อนี้มันทำได้ด้วยการฝึกจิต การทำสมาธิสำเร็จ ก็ได้พบความวิเวกแห่งชีวิต วันหนึ่งอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ให้มันเป็นเสวยความสุขในปัจจุบันทันตาเห็นนี้ด้วย แล้วมันก็ให้กำลังจิตอย่างเพียงพอที่จะทำงานให้ดีด้วย แล้วมันก็จะมาเข้าในเรื่องของเรา ในเรื่องของเราที่ว่าเราจะทำงานให้สนุก ถ้าเราบังคับจิตได้ ก็ง่ายนิดเดียวที่เราจะบังคับให้มันทำงานให้สนุก ถ้าเราบังคับมันไม่ได้ มันก็ไปตามบุญตามกรรม ไปตามกิเลสตัณหา หรือธรรมชาติฝ่ายต่ำเสีย มันก็ไม่มีโอกาสที่จะทำงานให้สนุกได้ นี่ถ้าใครอยากจะประสบความสำเร็จในการมีชีวิตชนิดนี้คือทำงานให้สนุกแล้ว ก็ต้องฝึกจิตฝึกบังคับจิตให้ได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราจะเรียนแต่หนังสือวิชาชีพไม่พอหรอก มันไม่พอ เราจะต้องเรียนเรื่องจิต รู้จักบังคับจิตรู้จักใช้จิตให้เป็นประโยชน์ ชีวิตนี้จึงจะไปถึงไอ้ความสุขสงบอันแท้จริง ไม่ใช่ว่ามีเงินใช้กินดีอยู่ดีแล้วคนเราจะมีความสุขได้ เพราะว่าปัญหาอย่างอื่นที่มีอำนาจเหนือนั้นมันยังมีอยู่โน่น ปัญหาที่เกี่ยวกับกิเลสนั่นแหละ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวเกลียด เดี๋ยวกลัว เดี๋ยววิตกกังวล เดี๋ยวอาลัยอาวรณ์ เดี๋ยวอิจฉาริษยา เดี๋ยวหึง เดี๋ยวหวง เดี๋ยวฆ่ากันตาย นี้มันไม่แก้ได้ด้วยเพียงแต่ว่ามีอาหารกินดีอยู่ดี มันต้องบังคับจิตได้ด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่แจ่มใสเยือกเย็นเป็นสุขตลอดเวลาแล้วมันขึ้นอยู่กับการบังคับจิตได้ สามารถควบคุมจิตให้ดำรงอยู่แต่ในภาวะที่ถูกต้อง หรือในวิถีทางที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ก็เป็นหน้าที่ของธรรมชาติที่มันจะจัดสรรให้เองจะมีความถูกต้องอยู่ในการกระทำ แล้วเราก็ง่าย สนุกในการที่จะทำให้ชีวิตนี้มันมีประโยชน์ถึงที่สุดได้โดยแท้จริง แต่ถ้าเราเป็นเด็กอมมือ ชอบกินของเล่นอย่างเด็กอมมือ เราก็ไม่ชอบของที่ดีไปกว่านั้น นี่มันไม่เป็นการเลื่อนชั้นตัวเองเสียเลย ที่ว่ามันจะต้องเลื่อนชั้นตัวเองให้พ้นจากความเป็นเด็กอมมือ ระวังให้ดีนะ มันพ้นยากนะ มันจะรักจะพอใจจะหลงใหลอยู่ในไอความรู้สึกที่เคยชินมาตั้งแต่เด็กอมมือ โตขึ้นเท่าไรมันก็ไม่โต ในทางจิตใจมันยังเป็นเด็กอมมืออยู่เรื่อยไป นั่นแหละมันจะอะไรหละ มันกลายเป็นคำด่าที่หยาบคายมาก มันเสียชาติเกิดน่ะสิ มันเสียชาติเกิดที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วมันยังจะเสียชาติที่ว่าได้พบพระพุทธศาสนาด้วย เรามาศึกษาธรรมะกันทำไม ไม่ใช่เพียงแต่ว่ามาศึกษาว่ามันแปลกดี มันลึกซึ้งดี มันเป็นอาหารแก่สมองดี เท่านั้นไม่พอหรอก มันต้องศึกษาธรรมะ เพื่อประโยชน์ที่ให้เราจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง จะไต่เต้าขึ้นไปตามวิถีทางแห่งความเป็นมนุษย์จนถึงระดับสูงสุด จากปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลสนี้เป็นคนที่ว่าดี มีกิเลสเบาบางเป็นสัตบุรุษ เป็นสุภาพบุรุษ และเป็นอริยชน เป็นพระอริยเจ้า กระทั่งเป็นพระอรหันต์ในที่สุด อย่าลืมว่าธรรมชาติมันให้อะไรๆ มาอย่างเพียงพอ สำหรับที่จะเป็นพระอรหันต์กันทั้งนั้น แต่ละคนก็สั่นหัว สั่นหัว เป็นพระอรหันต์ไม่สนุก ไม่มีเรื่องเล่น เรื่องหัว ไม่มีสนุก ไม่อยากเป็น ไปนิพพานกันได้ทุกคนถ้าไม่เหลวไหล แต่ละคนก็สั่นหัว นิพพานไม่สนุก จืดชืด ไม่มีรสไม่มีชาติ ไม่มีรสไม่มีชาติอะไรเขาก็ไม่ต้องการนิพพาน สู้เป็นเด็กฮาร์ดนี่ไม่ได้ มันมีอะไรมากดี นี่ถ้าคิดกันเสียอย่างนี้แล้วก็ป่วยการที่จะมาศึกษาธรรมะ ถ้ามันจะศึกษาธรรมะแล้วมันก็ต้องมุ่งหมายที่จะไปให้ถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์โดยเดิมพันตามที่ธรรมชาติมอบหมายมาให้เสร็จ ให้เรามีร่างกายอย่างนี้ มีจิตใจอย่างนี้ มีธาตุแห่งสติปัญญาให้มาแล้วเท่านี้ มีธาตุแห่งความเป็นพุทธะติดมาแล้ว เหมือนเมล็ดพืชเท่านี้ ให้เรามาเพาะ ปลูก หว่าน ใส่ปุ๋ยรักษาให้เจริญงอกงาม ออกดอกออกผลเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถ้าอย่างนี้หละมันคุ้มค่า คุ้มค่าที่มาสวนโมกข์ อุตส่าห์เสียสละเวลา เงินทอง เรี่ยวแรง เหน็ดเหนื่อย มาสวนโมกข์มันก็ควรจะได้อะไรมากกว่าที่ว่าได้อะไรก็ไม่รู้ ได้อะไรก็ไม่รู้ มาเรียนอะไรแปลกๆ เพื่อนเขาหน่อย แล้วก็พูดอะไรได้แปลกกว่าเขาหน่อย เท่านี้ไม่พอหรอก จงสนใจให้รู้จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ แล้วก็สนใจรู้เครื่องมือ เครื่องมือ สิ่งที่เป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ เราจึงเรียนธรรมะทั้ง ๒ ประเภท ธรรมะประเภทที่เป็นความจริงของมนุษย์ว่ามนุษย์มันจะเป็นอย่างไรได้บ้าง และก็เรียนธรรมะประเภทที่เป็นเครื่องมือ ว่าจะเป็นเครื่องมือให้เราเข้าถึงความจริงอันสูงสุดนั้นได้อย่างไรบ้าง ธรรมะบางอย่างเป็นหลักวิชาโดยตรงว่าอะไรเป็นอะไร ธรรมะบางอย่างเป็นเครื่องมือที่จะให้ประพฤติให้สำเร็จประโยชน์ตามที่มันควรจะมีจะได้ ถ้าจดไว้แล้วก็แยกกันไว้ดีๆ ว่าธรรมะนี้เป็นธรรมะเครื่องมือ ธรรมะนี้เป็นธรรมะตัวหลักการหรือวิชา แต่ธรรมะบางอย่างก็เป็นรวมกันได้ทั้ง ๒ อย่าง ฉะนั้นถ้าเราฝึกหัดจิตใจให้บังคับจิตใจได้ก็เป็นธรรมะเครื่องมือที่ดับทุกข์ ดับทุกข์ได้ก็เป็นธรรมะแท้ที่เป็นตัวแก่นแท้ของเรื่อง จะดับทุกข์ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ธรรมะมากแหละที่จะเป็นเครื่องมือให้บรรลุมรรคผลนิพพาน รู้ไว้ให้เพียงพอให้ครบถ้วน แล้วก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ อย่าไปคิดแคบๆ ที่ว่าเราเอาเพียงเท่านี้พอแล้ว ได้กิน ได้เล่น ได้สนุกสนาน มีเงินใช้เหลือเฟือแล้วก็พอแล้ว ฉะนั้นระวังให้ดี มันจะไม่มีอะไรเลย มันจะไม่มีอะไรเหลือเลย มันจะไม่ดีกว่าสัตว์ทั่วๆ ไป ไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานด้วยซ้ำไปที่รู้จักแสวงหาสิ่งสนุกสนานเพลิดเพลินทางอายตนะ
อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะเหล่านี้ได้รับความกระตุ้นให้สนุกสนานเอร็ดอร่อยก็พอแล้ว พอแล้ว ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น อย่างนี้เดี๋ยวมันก็จะน่าละอายแมว มันจะมีความทุกข์มากกว่าแมว คนจะมีความทุกข์มากกว่าแมว เราต้องเป็นคนให้เต็มคน เหมือนกับที่แมวมันเป็นแมวเต็มแมว แมวมีความเป็นแมวเต็มที่ตามความเป็นแมว แต่มนุษย์นี่ไม่ค่อยจะมีความเป็นมนุษย์เต็มที่ของความเป็นมนุษย์ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมาเราก็พูดออกวิทยุด้วยๆๆ คำพูดเหล่านี้ เมื่อในโลกนี้หรือแม้ในประเทศไทยนี้ คนเป็นมนุษย์มันน้อยกว่าที่แมวมันเป็นแมว เมื่อเทียบกับคนคือมันบกพร่องในหน้าที่และของสิ่งที่มีชีวิตนี่ แมวมันไม่ๆ บกพร่องในหน้าที่ของแมวนี่ แต่แล้วมนุษย์มันมีความบกพร่องในการทำหน้าที่ของมนุษย์มันก็เลยน่าละอายแมว แมวเป็นแมวเต็มที่แต่มนุษย์เป็นมนุษย์ไม่เต็มที่ เรียกว่ามันน่าละอายแมว หรือว่าถ้าจะดูกันอีกทางหนึ่งก็ได้ คือแมวมันมีความทุกข์น้อย ในเมื่อมนุษย์มันมีความทุกข์มากเหลือเกิน แมวไม่รู้จักปวดหัว คนมันปวดหัววันละหลายๆ ครั้ง แล้วมันจะไม่น่าละอายแมวอย่างไรกัน คนต้องกินยานอนหลับ แมวไม่ต้องกินยานอนหลับแล้วจะไม่น่าละอายแมวอย่างไรกัน ขอให้รู้สึกรับผิดชอบในเกียรติยศของความเป็นมนุษย์อย่าให้ต้องละอายแมวแม้แต่เล็กน้อยเลย
ขอให้ทุกคนทำความเป็นมนุษย์ของตน ของตน ให้เจริญก้าวหน้า ให้สนุกแล้วก็สร้างอุปกรณ์เครื่องมือให้สำเร็จ คือการฝึกการบังคับจิต ฉะนั้นไหนถ้ามีการสอนเรื่องการบังคับจิตทำจิตให้เป็นสมาธิให้ได้ เราอุตส่าห์เถอะ ไปขนขวายศึกษาแล้วลองทำดู ฝึกฝนจิตนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำจริงๆ เป็นเรื่องที่จะศึกษาอยู่ในหนังสือหรือสมุดนั้นไม่ได้ ไม่ได้ ป่วยการ เพราะเรื่องบังคับจิตแล้วมันจะต้องศึกษาด้วยการลองทำดู ทำดู ทำดู ไม่ใช่จดไว้ในสมุดแล้วมันจะเป็นขึ้นมาให้รู้ว่าเรื่องจิตนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับต่อเราอีกมากมาย มากมาย เรารู้นิดเดียว เรารู้เรื่องของจิตนิดเดียว ทั้งที่จิตมันมีอยู่และทำงานอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรารู้เรื่องจิตครบถ้วนทั้งหมด เราก็สามารถบังคับจิตหรือดำเนินชีวิตให้เป็นไปให้ดีถึงที่สุดได้ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าจิตคืออะไร ตัวเราคืออะไร เรื่องนี้มันยากนะเพราะตัวตนตัวเราโดยแท้จริงมันไม่มี มันก็คือความคิดของจิตนั่นแหละ ไอ้ที่ว่าตัวเราหรือตัวตนมันก็คือความคิดของจิต คิดว่าเป็นตัวฉัน เป็นตัวกู เป็นของกู เพราะฉะนั้นจิตนั่นแหละมันเป็นตัวเราโดยความคิดของมันเองแล้วมันก็บังคับตัวเองไม่ได้ มันยากที่ว่าจิตเองจะบังคับจิตเอง ทีนี้ใครเล่าจะมาอบรมจิตมาฝึกฝนจิตมันก็จิตอีกแหละ มันก็จิตที่รู้จักเจ็บปวดต่อความทุกข์แหละ มันอยากดับทุกข์มันก็นึกคิดมาในทางที่จะศึกษาฝึกฝนบังคับตัวเอง การบังคับตัวเองมันก็เกิดขึ้นได้จากจิตที่มันเข็ดหลาบและมันเจ็บปวดต่อความผิดพลาด จิตนั่นแหละจะเป็นผู้ทำทั้งหมด เป็นผู้โง่ และเป็นผู้ทนทุกข์เพราะความโง่ แล้วก็เป็นผู้เข็ดหลาบ แล้วก็เป็นผู้แสวงหาช่องทางที่จะพ้นจากความทุกข์ มันก็ดิ้นรนมาหาไอ้วิธีที่จะพ้นจากความทุกข์มันก็จิตตัวนั้น แล้วมันก็จิตอันนั้น จิตตัวนั้นแหละ เรื่องยากใช่ไหมที่ให้ตัวเองเป็นที่พึ่งแก่ตัวเอง นี่มันยากนะ เพราะว่าจิตมันก็รู้สึกรู้อะไรได้เพียงทีละอย่างมันจะรู้ทีเดียวสองอย่างไม่ได้เพราะมันเป็นจิตดวงเดียว ถ้าโชคมันดีมันได้รับการอบรมตัวเองมาฉลาด ฉลาด ฉลาด จนความฉลาดมันเป็นเจ้าเรือน จิตที่มีความฉลาดเป็นเจ้าเรือนมันก็รู้จักบังคับตัวเอง รู้จักสร้างความเจริญให้แก่ตัวจิตเองมากขึ้นๆ ก็เป็นจิตที่สมบูรณ์ เป็นจิตที่รู้ถึงพระนิพพาน หลุดพ้นจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร
ขอให้ทุกคนรู้จักจิตในฐานะที่เป็นตัวเอง นั่นก็คือฝึกฝนตัวเองแหละ ฝึกฝนจิตก็คือฝึกฝนตัวเองโดยจิตเองโดยตัวเองนี่ละเอียดมาก ถ้าไม่รู้เท่าทันแล้วมันก็ทำไม่ได้ ถ้าจิตมันเคยชินกับความโง่ความหลงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกมากเกินไปแล้วก็ไม่มีหวังหละ มันไม่มีฝันที่จะ จะแก้ไขอะไร เพราะฉะนั้นจิตมันจะต้องรู้จักสังเกต แยกแยะว่าอย่างนี้เป็นความทุกข์ ไม่เอาอีกแล้วโว้ย แล้วก็ไปแต่ในทางที่มันจะไม่เป็นทุกข์ แต่มันทำได้แต่ในเรื่องง่ายๆ เช่นว่า เด็กๆ ทารกมันทำอะไรผิดพลาด เจ็บปวด แล้วมันก็กลัว มันก็ไม่ทำอีกอย่างนี้เป็นต้น แล้วมันเด็กๆ มันจึงไม่จับไฟอีกแล้วเพราะมันเคยจับไฟร้อนมือมาทีหนึ่งแล้ว หรือมันจะไม่เหยียบหนามเหยียบตะปูอะไรอีกแล้ว เพราะมันเคยมาแล้ว ไอ้อย่างนี้มันง่ายมันเป็นเรื่องทางวัตถุมันง่าย แต่ถ้าเป็นความเจ็บปวดเกี่ยวกับกิเลสเกี่ยวกับความทุกข์นี่มันหลอกหลอน มันหลอกให้เห็นเป็นความสนุกไปเสีย เด็กๆ ก็ไม่เคยคิดที่จะถอนตนออกมาจากความถูกหลอกด้วยเรื่องของกิเลส เมื่อโตเป็นพวกเราที่มานั่งกันอยู่ที่นี่เวลานี้รู้หรือยัง มันถึงขนาดที่จะรู้หรือยังว่าไอ้เรื่องความหลอกลวงของไอ้จิตเอง ของไอ้ความโง่ ความหลงของจิตเองนี่ มันก็พอที่จะทำให้จิตเกิดความเข็ดหลาบหวาดกลัวกันหรือยัง ถ้ามันทำให้เกิดความเข็ดหลาบหวาดกลัวได้ก็เป็นการดี เป็นโชคดี แล้วเราก็จะมีความก้าวหน้าไปพลาง มีชีวิตอันสนุกในทางของธรรมะไปพลาง ชีวิตสนุกสนานเยือกเย็นเป็นสุขไปพลาง ทีละน้อย ทีละน้อย เพิ่มขึ้นๆ จนกว่าจะสมบูรณ์ นี่ทำงานให้สนุกด้วยการบังคับจิต ไปฝึกฝนวิธีบังคับจิตกันให้มากให้พอ ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันสองสามชั่วโมงจบ ต้องไปหาหนังสือหนังหาเรื่องนั้นมาอ่านดูอยู่เป็นประจำ พอมีเวลาว่างเท่าไรก็ทำดูทันที เช่นว่าก่อนนอนก็ลองทำดู ตื่นนอนไม่มี ยังไม่ทันจะลุกขึ้นไปทำงานก็ลองทำดู ทุกโอกาสที่เราจะลองทำดูได้ เราก็ลองฝึกจิตมันจะสอนให้เอง คนสอนไม่ได้หรอกเรื่องการฝึกจิตนี่ คนจะสอนกันไม่ได้นอกจากบอกเค้าเงื่อนเล็กๆ น้อยๆ มันต้องกระทำดูแล้วการกระทำมันจะสอนให้เอง
ข้อนี้ขอให้จำตัวอย่างไว้สักเรื่องหนึ่ง ว่าที่เราจะฝึกหัดอะไรทำอะไรที่มันยากๆ แล้วคน ครูก็สอนไม่ได้ ไอ้งานนั้นมันจะสอน เราจะเล่นฟุตบอลเก่ง จะเตะตะกร้อเก่งนี่ไม่มีใครสอนได้นอกจากการกระทำเท่านั้นนะ ทำไปเถอะมันจะสอนให้เพิ่มขึ้นๆ หรือแม้ที่สุดที่เราจะพายเรือนี้ไม่มีใครสอนได้ ก็ท้าทายเดี๋ยวนี้กลับไปลองพายเรือดูสิ ถ้าพายไม่เป็น ไม่มีใครสอนได้ นอกจากเรือและพายแหละมันจะสอนให้ เขาบอก หรือว่าเราเห็นเขาพายเรืออยู่เฉื่อย สบาย สวยงาม พอเราพายบ้างมันไม่ได้หันไปหันมา เพราะว่าคนมันสอนกันไม่ได้ ก็ต้องพาย พายอย่างนั้น พายอย่างนี้ พายอย่างโน้น จนมันค่อยๆ ตรง ค่อยๆ ตรง จนกระทั่งมันตรงแหนวไปเลย พายกับเรือนั่นแหละเป็นครู การกระทำนั่นแหละเป็นครู จิตนี้ก็เหมือนกันอย่าไปหวังว่าให้ใครมาช่วยดัดให้สอนให้ ต้องกระทำเข้าแล้วมันก็จะเปะๆ ปะๆ เหมือนกับหัดพายเรือ จนกว่ามันจะเรียบไป หรือว่าถ้าไม่ค่อยจะมีเรือก็นึกดูถึงเรื่องหัดขี่รถจักรยานก็ได้ ไม่มีใครสอนกันได้หรอก อย่าพูดให้มันผิดๆ โง่ๆ รถนั่นแหละมันจะสอน พอขี่เข้าหกล้ม หกล้ม แล้วมันจะสอน กางขา แข้งขาถลอกปอกเปิกแล้วมันจะสอนไม่ให้ล้มอีก แล้วเราก็ขี่รถจักรยานได้ปลิวไปเลยวางมือก็ได้นะถ้ามันเป็นถนัดแล้ว นี่เราอย่าหวังให้คนอื่นสอนนะถ้าเรื่องจิตนะ จงกระทำลงไปแล้วมันจะสอนให้ยิ่งผิดยิ่งสอน ไอ้ผิดนั้นมันสอนมาก ไอ้ถูกมันไม่ค่อยสอน ถ้าเราขี่รถจักรยานไม่ล้มมันก็ไม่ค่อยสอนอะไร แต่ถ้าล้มแข้งขาถลอกปอกเปิกนั้นมันสอนมากทีเดียว มันระมัดระวังมากมันจะดีขึ้นเร็ว ไอ้เรื่องความผิดนี่มันสอนมากกว่าความถูกเพราะมันสอนอย่างเจ็บปวดนี่ ถ้าความถูกมันสอนเสียสนุกๆ มันลืมไปเสียมันสอนน้อย ฉะนั้นเรายินดีทำก็แล้วกันสิ่งที่เราไม่เคยทำ ยินดีทำเมื่อผิดมันก็สอนให้ เมื่อถูกมันก็สอนให้ สอนกันไปเรื่อยๆ ทั้งผิดทั้งถูกไม่เท่าไรมันก็ทำได้ ไปเรียนเรื่องจิตด้วยการลองฝึกจิต เมื่อจิตอยู่ในอำนาจของเราเมื่อไร เราก็บังคับให้มันอยู่ในทำนองคลองธรรมที่ถูกต้อง แล้วมันก็จะรู้จักธรรมะดี ว่าธรรมะนั้นคือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ คือหน้าที่สำหรับพัฒนาชีวิตให้ไปถึงที่สุด พอได้ทำเข้ามันก็พอใจ พอใจมันก็สนุกมันก็เลยสนุกในการทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ของชีวิตที่จะก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางของชีวิตเลยทำงานสนุก
นี่ขอให้ทุกคนทำงานสนุก โดยรู้จักฝึกฝนจิตให้สามารถใช้เป็นประโยชน์ได้ หวังว่าต่อไปในอนาคตเธอทั้งหลายคงจะสนใจในเรื่องการบังคับจิต วิธีง่ายๆ เบื้องต้นนั้นมันไม่ยากอะไร ทำไปวันละเล็กวันละน้อยมันจะค่อยๆ ได้ ค่อยๆ ได้ แล้วมันจะได้กันทุกแบบนะ ไม่ว่าแบบวัดไหนสำนักไหนถ้าทำเพียงบังคับจิตได้บ้างนี้มันได้กันทุกแบบหละ แต่ว่าบางแบบมันไปไกลจนถึงที่สุดได้เป็นบรรลุมรรคผลไปเลยแต่บางแบบมันไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เป็นสมาธิกันบ้างแล้วมันจะได้กันทุกแบบนะ เราก็พูดตามความรู้สึกอย่างนี้ แล้วก็ลองดูแบบไหนมันดีกว่ามันไปได้ไกลกว่าก็เอาแบบนั้นยึดถือแบบนั้นกันเรื่อยไป เรื่อยไป เรื่อยไป มันก็เป็นไปได้เอง มีอะไรมาเป็นเครื่องกำหนด ให้จิตมันกำหนด จิตมันไม่กำหนด เราฝึกให้มันกำหนด จิตมันไม่กำหนด มันหนีไปเที่ยว ก็ฝึกให้มันกำหนด นี่ต่อสู้กันอย่างนี้ไปสักพักหนึ่งก่อน เช่นกำหนดลมหายใจเข้าออก เข้าออกนี้ มันไม่กำหนดหรอก มันเหลวไหล มันจะหนีไปเรื่อยๆ ก็บังคับกันไป ทำไปๆ พอดีๆ อย่าให้เครียด อย่าให้หลวม ก็ค่อยๆ ได้พอเราบังคับจิตให้กำหนดอยู่กับลมหายใจได้ทั้งเข้าทั้งออกเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว เรียกว่าเรากำลัง เราเข้ามาสู่เขตของความสำเร็จแล้ว พูดภาษาชาวบ้านก็ว่าเป็นต่อแล้ว เราเป็นต่อแล้ว เรามีทางที่จะเอาชนะได้ต่อไปข้างหน้า ไปฝึกฝนดูสิ อย่าให้จิตหนีไปที่อารมณ์อื่น ให้อยู่ที่ว่าลมหายใจเข้าออกอย่างไร เข้าออกอย่างไร กำหนดลมหายใจอยู่ได้อย่างนั้นก็เป็นเรื่องสมาธิหละ
ถ้าพิจารณาลมหายใจจนรู้จักธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นวิปัสสนา สมาธิก็ทำให้สงบ หยุดอยู่ได้ วิปัสสนาก็ทำให้รู้แจ้งว่าอะไรเป็นอะไร อย่าได้ไปหลงยึดถือมัน อย่างน้อยก็ควรทำเป็นสมาธิ ให้จิตได้มีความเป็นสมาธิ ความเป็นสมาธิของจิตนั่นแหละวิเศษ วิเศษเหลือที่จะกล่าวแหละ จะไปใช้อะไรก็ได้ ทำงานทำการในโลกก็ได้ ปฏิบัติธรรมบรรลุมรรคผลนิพพานกันได้ ความที่จิตเป็นสมาธินี่ พูดได้เลยว่าทุกคนต้องมีจิตมั่นคงในทุกเวลาหรือในทุกกรณีก็ได้ ทุกคนต้องมีจิตที่มั่นคงในทุกกรณีหรือทุกเวลา เมื่อเราจะเรียนก็ต้องมีจิตมั่นคง มันจึงจะเรียนได้ เมื่อเราจะทำงานก็จะต้องมีจิตมั่นคงจึงจะทำงานได้ หรือเมื่อเราจะต่อสู้ ต่อสู้กันนี่ เราก็ต้องมีจิตมั่นคงจึงจะต่อสู้ได้ดี หรือเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบถูกทำร้าย หรือเป็นจำเลยหรือเป็นอะไรก็ตามใจเราต้องมีจิตมั่นคง จึงจะปฏิบัติหน้าที่ชนิดนั้นในกรณีอย่างนั้นได้ดี เรื่องความมีจิตมั่นคงนี้ไม่มีเสียเลย ไม่มีเสียหายเลย ไอความผิดพลาดของจิตนั่นแหละมันจะแก้ไขได้ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิมันเป็นจิตเลวๆ เหลวๆ มันก็ทำผิดพลาดมีความทุกข์ไปตามเรื่องของมัน ไอ้ความเลวร้ายเหล่านั้นจะแก้ไขได้ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ เมื่อใดฝึกจิตเป็นสมาธิได้ มันก็จะรู้จักจัดการกับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นให้หมดไป แล้วไอ้ความมีจิตดีเป็นสมาธินี้จะกำจัดผลอันเลวร้ายของจิตที่โง่ที่ต่ำที่สร้างความเลวร้ายขึ้นมา เป็นเรื่องของจิตเองทั้งนั้น ความผิดพลาดที่ทำขึ้นด้วยจิตโง่มันจะต้องแก้ไขได้ด้วยการกระทำของจิตที่ฉลาด เมื่อจิตมันฉลาดเองไม่ได้ เราก็ต้องฝึกฝนอบรมมันสิ ต้องพัฒนา เราจะต้องพัฒนาให้มันเป็นจิตที่เฉลียวฉลาด มีสติ มีสัมปชัญญะ มีความอดทน มีความเข้มแข็ง มีความแคล่วคล่องว่องไวไปตามเรื่องของจิต จึงขอแนะนำว่ามีโอกาสเมื่อไร ที่ไหน แล้วก็ไปศึกษาฝึกฝนในเรื่องการอบรมจิต บังคับจิต เรียกว่าฝึกจิตกันทุกๆ คน ทำดูด้วยตนเอง ลองทำให้เป็นสมาธิด้วยตนเองคือกำหนดลมหายใจ มันจะสอนให้เองเหมือนกับพายเรือ ไม่เท่าไรมันก็จะทำได้ มาก มากโขอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเป็นอันว่าเราต้องทำงานให้สนุกเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เราจะทำสำเร็จได้ก็โดยที่เรารู้จักควบคุมจิตให้จิตอยู่ในอำนาจของเรา นี่วันนี้พูดต่อออกมาถึงขั้นนี้ เวลาสำหรับบรรยายก็หมดแล้ว ยุติด้วยการแสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้พยายามกระทำดู ในสิ่งที่มองเห็นว่าจะเป็นประโยชน์คือเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้แล้วก็ลองทำดู ให้มีความก้าวหน้าในทางจิตอยู่ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย.