แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พระสงฆ์ : เถเร ปะมาเทนะ ท๎วารัตตะเยนะ กะตัง, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะตุ โน ภันเต
ท่านพุทธทาส : อะหัง ขะมามิ ตะยาปิ เม ขะมิตัพพัง
พระสงฆ์ : ขะมามะ ภันเต
ท่านพุทธทาส : กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีโทษอันน่าติเตียนอันใด ถ้ามีอยู่ระหว่าเราสอบฝ่าย ขอให้เป็นอโหสิกรรม ด้วยอำนาจการทำ XX กรรมในวันนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ.
พระสงฆ์ : สาธุ
ท่านพุทธทาส : เราทำตามธรรมเนียม เราก็ไม่มีโทษอะไร ที่จะถือว่าเป็นการล่วงเกิน เป็นการอะไร ผมก็ไม่มีอะไรที่รู้สึกอย่างนั้น หมายความว่าพบกัน ครั้งสุดท้ายเป็นการลา จะให้ทำอะไร
พระสงฆ์ : (นาทีที่ 3:15 มีคนตอบแต่ไม่ได้ยินค่ะ)
ท่านพุทธทาส : นั้นก็โอวาทลานะ โอวาทมันก็ให้มาแล้ว คือว่าขอแสดงความคิดเห็นบางอย่างบางประการ ที่รู้สึกว่าดี การที่เราตั้งใจศึกษาอบรมเพื่อเป็นพระวิปัสสนาจารย์นี้นับว่า ก็ดีที่สุดคือถูกต้องที่สุด เป็นทางเลือกที่มันดีที่สุด ที่จะทำให้ชีวิตของเราเป็นสิ่งที่มีค่า ใครๆ ก็รู้ว่าชีวิตนี้มันมีเวลาจำกัด และมันก็เหลืออีกไม่เท่าไรแล้ว ก็มันไม่มีใครจะมามีอายุเกิน ๑๐๐ปีไปได้กี่คน นี่เราจะใช้เวลาที่เหลืออยู่นี่ให้มีค่าที่สุด ผมเห็นว่าไอ้ที่ทำอย่างนี้ถูกต้องที่สุด คือจะทำให้มีค่าที่สุด เกิดมาทีหนึ่งต้องทำให้ชีวิตมีค่าที่สุด แล้วก็เลือกดูสิว่า อย่างไหนมันมีค่าที่สุด ไอ้เรื่องเป็นฆราวาสนั้น มันก็เท่านั่นแหละ มันก็ธรรมดาสามัญที่สุด และก็เป็นพระนี่ก็มีหลายแบบ แบบไหนจะดีที่สุด ผมก็เห็นว่าแบบนี้ดีที่สุด คือแบบที่ทำตัวให้เป็นแสงสว่างแก่ผู้อื่น ทำตนให้เป็นแสงสว่างแก่ผู้อื่นนั่นแหละคือความหมายของคำว่าวิปัสสนาจารย์ เป็นผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเบิกตาแล้วมองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง แล้วก็ประพฤติปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงถูกต้อง และไม่เป็นทุกข์ เป็นชีวิตที่มันเยือกเย็นจนวาระสุดท้าย มันเป็นการทำพร้อมกันไปเลยก็ได้ คือว่าเราทำให้เราเย็นด้วย และก็สอนผู้อื่นให้เย็นด้วย เมื่อเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริง ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด มันไม่เกิดกิเลส เมื่อไม่เกิดกิเลส มันก็ไม่ร้อน ไม่ร้อนก็คือเย็น ดังนั้นไม่เห็นว่าอะไรมันจะดีไปกว่านี้ ทำให้เราเย็นและทำให้ผู้อื่นได้เย็นด้วย ขอให้พยายามอย่างยิ่งสุดความสามารถตลอดไป ตลอดไป เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในความมุ่งหมายอันนี้ คือเป็นผู้ทำให้มนุษย์มีแสงสว่าง นี่คือข้อที่ขอร้อง ไม่ต้องเรียกว่าโอวาทก็ได้ แต่ว่าแนะนำไปในตัว คือว่ามันถูกต้องแล้วที่เลือกเอาการงานอันนี้เป็นการงานของเรา ชีวิตจะได้มีประโยชน์ที่สุดแก่ทุกๆ ฝ่าย มองดูแล้วไม่เห็นมีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับไอ้งานชนิดนี้ ไอ้งานที่ทำให้ทุกคนมีแสงสว่างดับทุกข์ได้ มันก็เป็นงานของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ทำไว้ และทรงหวังให้เราช่วยทำสืบต่อๆ กันไป จนให้สำเร็จเต็มตามความหมาย นี้เรียกว่าพิเศษหรือประเสริฐ หรือพิเศษ คือการกระทำนี้มันเป็นการสนองพระพุทธประสงค์ด้วย ทำประโยชน์อย่างยิ่งด้วย และก็เป็นการสนองพระพุทธประสงค์อยู่ในตัว อยู่ในตัว จึงว่าวิเศษ ขอให้เข้าใจ ทำความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป และอย่าให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่าให้เกิดการถอยหลัง อย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราพิจารณาดูอยู่เสมอ เราจะเห็นว่าไม่มีงานอื่นที่ดีกว่างานนี้จริงๆ ด้วย ก็เลยทำด้วยความเพลิดเพลินและก็สนุกไปเลย เรียกว่ามีความสุขอยู่ในการกระทำ อันนี้เป็นเหตุให้อยู่ได้ ให้ทำไปได้ ถ้ารู้สึกสนุกเป็นสุขในการกระทำ มันก็ทำไปได้แน่ ถ้าไม่รู้สึกเป็นสุขเป็นที่พอใจในการกระทำ มันทำไปไม่ได้ สิ่งที่เขาไม่ค่อยพูดกันอย่างหนึ่งก็คือว่า ไอ้ทำงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม พวกฆราวาสก็เหมือนกัน พวกพระก็เหมือนกัน ถ้าว่าทำงานที่มีประโยชน์นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม ดังนั้นเราทำให้มันเป็นประโยชน์แก่ทุกคนทุกฝ่าย นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่ตบตา ไม่ใช่หลอกลวง ขอให้มองเห็นชัดจนพอใจในการกระทำ แล้วมันจะรู้สึกเป็นสุขและสนุกในการกระทำ ก็กระทำยิ่งๆ ขึ้นไป มันก็เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าไม่รู้สึกเป็นสุขหรือพอใจในการกระทำ มันก็ไปเหี่ยวแห้ง ยุบแบบเลิกไปเอง ผมทำไอ้เรื่องนี้ มาเป็น ๔๐-๕๐ปี มันก็ทำมาได้เพราะมีความสนุกและเพลิดเพลินในการกระทำ และถ้ามันไม่เพลิดเพลินสนุกในการกระทำแล้ว มันจะทำให้มากเท่านี้ไม่ได้หรอก ดูแต่หนังสืออย่างเดียวคุณไปดูในนั้น ถ้ามันทำอย่างธรรมดา อย่างไอ้ที่ไม่รู้สึกสนุกเป็นสุขในการกระทำ มันทำไม่ได้นะ นี่มันก็ทำได้มากจนเขาไม่เชื่อว่าคนเดียวกระทำ ที่จริงมันก็คนเดียวทำ นี่มันยังไม่ได้พิมพ์ให้เป็นเล่มหนังสือให้เห็นอีกมาก นี่ตัวอย่างหรือพยานหลักฐานว่า ถ้าเรามีความพอใจในการกระทำ ก็จะเป็นสุขในการกระทำ แล้วมันจะทำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยและมันก็ทำได้มาก จนใครเขาไม่ค่อยเชื่อว่าคนเดียวทำ
ไอ้งานทางวัตถุก็เหมือนกันแหละ การที่จะสร้างสรรค์ทางวัตถุ มันต้องถูกเรื่อง ถูกราวแล้วพอใจ จึงจะรู้สึกพอใจในการกระทำ ไม่บิดพลิ้ว ไม่เหลวไหล แล้วมันก็จะทำได้ ได้มากเหมือนกันแหละ ขอให้เข้าใจจำไว้สักคำหนึ่งว่า มันต้องทำให้เป็นที่พอใจ เป็นสุขสนุกในการกระทำ ทีนี้มันไม่ยากหรอกสำหรับผู้ที่มันมองเห็นความจริง ไม่ยาก เพราะมองเห็นความจริงว่านี่คือการปฏิบัติธรรม มันเลยไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะมันรู้สึกว่านี่คือปฏิบัติธรรม บอกประชาชน ชาวบ้าน ฆราวาสด้วยว่า การทำงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม ทำนา ทำสวนค้าขาย ทำอะไรก็สุดแท้ ถีบสามล้อก็ได้ แจวเรือจ้างก็ได้ ถ้าในใจมันรู้สึกอยู่ว่าไอ้งานที่เราทำนี่มันเป็นการปฏิบัติธรรม คือทำสิ่งที่มีประโยชน์แก่คนในโลก และมันก็ไม่เหนื่อย เพราะไม่เหนื่อยมันทำได้มาก พอทำได้มากมันก็พอกิน มันไม่ต้องไปขโมย เดี๋ยวนี้พวกอันธพาลทั้งหลาย มันไม่รู้สึกว่านี่คือการปฏิบัติธรรม มันเหนื่อย พอเหนื่อยมันก็ไม่ทำ ไม่ทำมันก็ไม่มีสตางค์ใช้ มันก็ขโมย ก็ปล้นจี้ อาชญากรรมเลวร้ายมันก็เกิดขึ้นในโลก เพราะว่าคนเหล่านี้มันไม่เห็นว่าไอ้งานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม เราช่วยเปิดหูเปิดตาประชาชนทั้งหลายให้รู้ข้อสำคัญ ความจริงที่สำคัญข้อหนึ่งว่า ไอ้งานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ต้องมาที่วัดเสมอไป ปฏิบัติธรรมไม่ได้หมายความว่าต้องมาที่วัดเสมอไป ทำหน้าที่ของมนุษย์ที่ไหน ที่นั่นเป็นการปฏิบัติธรรม เมื่อชาวนาไถนาอยู่กลางแดดเหงื่อโทรมตัว เขาว่านี่คือการกระทำที่ถูกต้องแล้วเป็นการปฏิบัติธรรมะของชาวนา มีธรรมะอย่างของชาวนา แล้วก็ทำสนุกเป็นสุขจนลืมกินอาหารจนเที่ยงจนสายไม่นึกเรื่องกินอาหาร เพราะมันสนุก ไอ้การที่ทำงานนาอยู่ในนา แต่ทำงานอย่างอื่นก็เหมือน ถ้าเขามองเห็นอย่างนี้ เขาก็จะทำได้มากเป็นสุขสนุกสนานเหลือกินเหลือใช้ ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัวหรือในสังคมในประเทศ ก็ช่วยกันทำให้ทุกคน ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ให้ทำงานหน้าที่ของมนุษย์นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม ทีนี้งานของเรามันสูงกว่า ไอ้งานวิปัสสนาจารย์มันสูงกว่านั้นมาก มันยิ่งทำมันก็ยิ่งเป็นการปฏิบัติธรรม นั่นแหละคือยิ่งเป็นการปฏิบัติธรรม ขอให้มองเห็นอย่างนี้ แล้วก็จะสนุก สนุกตามทางธรรม ไม่ใช่สนุกของกิเลส ก็เกิดการกระทำที่ก้าวหน้า จนสำเร็จประโยชน์ได้จริง นี่ผมขอถวายความคิดเห็น สิ่งที่จะเรียกว่าโอวาทหรืออะไรก็ตามใจ ว่าได้เลือกถูกแล้ว ได้เลือกงานที่ทำถูกแล้ว คืองานวิปัสนาจารย์ เราเลือกงานถูกแล้ว ประเสริฐที่สุด ไม่มีงานไหนจะสูงไปกว่าธรรมทานชนะทานทั้งปวง มันก็พูดกันอยู่ทั่วไปแล้ว การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง เราก็ได้เลือกเอาถูกแล้ว และก็ไม่ต้องเชื่อตามที่เขาว่าอย่างนั้นก็ได้ ก็มันเห็นอยู่นี่ มันช่วยให้ผู้อื่นดับทุกข์ได้ มันก็ประเสริฐกว่างานใดๆ หมด เพราะปัญหาของมนุษย์มันคือความทุกข์ ดับทุกข์เสียได้ก็เป็นสิ่งสูงสุด เราก็เลือกถูกงานสูงสุดที่สุดแล้วคืองานวิปัสสนาจารย์ และก็เป็นการปฏิบัติธรรมะอยู่ในตัว คือไม่เห็นแก่ตัว มันจึงทำงานอย่างนี้ได้ ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็ไม่ยอมเหนื่อย ก็ไปนอนเสีย ก็เหลวไหลเสีย แต่ถ้าว่านี่มันดีที่สุด มันก็ไม่รู้สึกเหนื่อย ก็ทำได้มาก นี่เรียกว่าเกิดความเจริญขึ้นมาในศาสนา ในโลก ในอะไรต่างๆ จึงขออนุโมทนาในการที่ทุกท่านเลือกเอางานนี้ และขอให้ทำด้วยความพอใจเป็นสุข โสมนัส ปิติ ปราโมทย์ในการกระทำ เกิดความสุขแล้วจิตก็จะดีมีสมาธิ ทำได้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป
ขอให้มีความกล้าหาญ กล้าทำ เสียสละทำ เพราะมองเห็นอยู่ชัดๆ ว่ามันประเสริฐ วิเศษ อย่างนี้จริงๆ ขอให้ทำ ให้ประสบความสำเร็จไปโดยขั้นตอน มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าอยู่ในพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
พระสงฆ์ : สาธุ สาธุ สาธุ
ราวทุ่มหนึ่งเขาจึงจะมารับ
พระสงฆ์ : ครับผม …… [ผมขอถ่ายภาพ]
ท่านพุทธทาส : นี่ไปถ่ายมาจากทางนี้สิ ไปถ่ายมาจากนี่ ถ่ายอย่างนี้ นี่แสงสว่างอยู่ทางนี้ คุณไปถ่ายจากทางนี้ บนนั้นก็ได้ นั่นบนดินน่ะ บนเนินดิน ถ่ายมานะ ทางนี้