แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อยากจะให้ทุกคนสังเกตดู ว่าทำไมจะต้องพูดในลักษณะที่โลดโผน ลืมยาก เช่นคำว่า “ ตายเสียก่อนตาย ” ซึ่งไม่ค่อยมีใครพูด หรือไม่ชอบจะพูด แต่ผมเห็นว่ามีประโยชน์ คือมันลืมยาก แล้วมันเก็บเอาใจความสำคัญไว้ได้เต็มที่ ว่าไอ้คำสั่งสอนทั้งหมด พูดกันแล้วมันก็มาก มาก มากความ มากคำ มากอะไรต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้มาพูดให้เหลือเพียงสอง สามคำว่า จงตายเสียก่อนตาย ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร คือฟังไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเข้าใจ มันจะกลายเป็นมีประโยชน์อย่างยิ่ง คือมันจำได้ง่ายๆ ว่า ตายเสียก่อนตาย แล้วขยายความออกไปว่า ไอ้ตัวกู ตัวตน ซึ่งเป็นตัวร้าย มันตายเสียก่อนแต่ร่างกายตาย ซึ่งคนมีสติปัญญาตามธรรมดาก็จะพอมองเห็นได้ ว่าเราจงหมดความโง่ว่าตัวตน หมดความยึดถือว่าตัวตนเสียก่อนแต่ที่จะสิ้นชีวิต มันก็เท่านี้ ลองคิดดูเถอะ มันจำง่ายสักเท่าไร มันแน่นอนสักเท่าไร แล้วมันอมความไว้ทั้งหมดทั้งสิ้น ในคำสอนของพระพุทธศาสนา คือกระทำทุกอย่างให้หมดความยึดถือว่าตัวตนเสียก่อนตายก็มีเท่านั้น ธรรมดาๆ ก็ว่าให้รีบปฏิบัติให้ถึงที่สุดเสียก่อนตาย จึงเรียกว่าให้ตัวตนหมดคือตายเสียก่อนตาย คำว่าตาย ในที่นี้มันไม่ใช่ภาษาร่างกาย ไม่ใช่ภาษาวัตถุ เป็นภาษาธรรมะใช้กับสิ่งที่เป็นนามธรรม มีความหมายเป็นนามธรรม ซึ่งมีเรื่องในพระบาลี จะช่วยให้เข้าใจได้ดีหรือจำได้ง่ายว่า พระพุทธเจ้าก็ฆ่าคนตาย คือมันมีเรื่องกล่าวไว้ในพระบาลีว่า ไอ้คนฝึกม้า รับจ้างฝึกม้าที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเขาไปสนทนากับพระพุทธเจ้า เลขสนทนากันถึงเรื่องการฝึกม้า ถ้าว่าม้าตัวนั้นฝึกไม่ได้ เท่าที่ฝึกที่สุดแล้วก็ปล่อยให้เจ้าของไป มันก็เป็นม้าเลว ไปทำเสียชื่อผู้ฝึกม้าแล้วจะทำอย่างไร ไอ้คนฝึกม้าคนนั้นก็ว่า ข้าพเจ้าก็ฆ่าม้านั้นเสีย ไม่ให้ทำลายชื่อเสียงของข้าพเจ้า ว่าม้าตัวนี้ผ่านการฝึกในสำนักนี้จนถึงที่สุดแล้วมันยังเป็นม้าที่ใช้ไม่ได้ นี้ไอ้คนฝึกม้านั้นก็ย้อนถามพระพุทธเจ้าบ้างว่า ถ้าพระองค์ฝึกสาวกบางคนของพระองค์ ฝึกไปฝึกมาถึงที่สุดแล้ว มันก็ยังไม่ได้ผลอะไรแล้วพระองค์จะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านก็ตัดไปว่า ฉันก็ฆ่าเขาเสีย ไอ้คนๆ นั้นก็เลยแย้งขึ้นว่าก็ปาณาติบาตไม่สมควรแก่พระสมณโคดมมิใช่หรือ พระพุทธเจ้าก็อธิบายว่า การฆ่า คำว่าฆ่าในอริยวินัย ในธรรมวินัย ในอริยวินัยของพระสงฆ์ หมายความว่าไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป มีก็เหมือนกับไม่มีคือทำให้ไม่มี ไม่มีการเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปนั่นแหละเรียกว่าการฆ่าในอริยวินัย ไม่ต้องเอามีด อาวุธมาฆ่าให้ตาย เหมือนกับไอ้คนฝึกม้านั้นมันจะต้องทำ การไม่เกี่ยวข้องด้วยนั่นแหละ คือการฆ่าที่ถึงที่สุด มันฆ่าถึงจิตใจ ทีนี้การไม่เกี่ยวข้องด้วย ก็หมายความว่าทำให้เหมือนกับไม่มี เหมือนกับมันมิได้มี มันหายไปแล้ว นี่เรียกว่าการฆ่า ทีนี้ที่ว่าตายเสียก่อนตาย ฆ่ามันเสียให้ตาย ก็ทำให้มันถึงสภาพที่เหมือนกับไม่มีเสียก่อนแต่ที่ร่างกายนี้จะตาย ความคิด ความนึก ความรู้สึก ความยึดถืออะไรที่ว่าตัวกู ตัวกู ตัวตนนี่ ทำให้มันถึงความไม่มีเสียก่อนแต่ร่างกายตาย เรียกว่าฆ่า
ไอ้ทีนี้ก็อยากจะพูดต่อไปอีกด้วยถ้อยคำทำนองเดียวกันที่มันลืมอยาก คือว่า พูดว่า พุทธศาสนาก็คือการสอนให้ฆ่าตัวตาย ธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้นในพุทธศาสนาก็คือการสอนให้ผู้ปฏิบัติฆ่าตัวตาย นี่ฟังดูเถอะ มันจะเป็นอย่างไร ถ้าใครไม่เข้าใจมันก็ว่าบ้าบอที่สุด เป็นคำพูดที่บ้าบอที่สุด ถ้าเข้าใจก็จะเข้าใจต่อไปว่าไอ้คำสอนในพุทธศาสนาทั้งหมด ทั้งระบบนี่มันคือการสอนให้คนทำลายสิ่งที่เรียกว่าตัวตน หรือตัวกูนั้นเสียก็เท่ากับสอนให้ฆ่าตัวตาย แต่มันมีความหมายว่าตาย คือตายในทางภาษานามธรรม ภาษาธรรม ไม่ใช่ภาษาร่างกาย เพราะว่าจะเอาอาวุธมาทำลายร่างกายนี้เสีย มันก็ไม่จบเรื่อง คือมันไม่หมดกิเลสได้ จึงต้องทำโดยวิธีที่ให้ตัวกูและตัวตนนั้นดับไปหมด แม้ในความรู้สึกไม่มีอยู่ นั่นก็เรียกว่าถึงที่สุดของการปฏิบัติ ไม่มีตัวตน แล้วก็ไม่มีกิเลส แล้วก็ไม่มีความทุกข์ นั้นมาแข่งกัน ใครจะฆ่าไอ้ตัวกูนี่ได้มากกว่าใคร ใครจะฆ่าตัวกูนี่ได้เร็วกว่าใคร ก่อนใคร นั่นคือการเป็นอยู่แหละ การเป็นอยู่ในทุกวันของเราก็มีว่า คนไหนจะฆ่าตัวตน ตัวกู หรืออัสมิมานะ อัตตวาทุปาทานอะไรแล้วแต่จะเรียก ความหมายคือตัวกูนั่นแหละ ใครจะฆ่าได้มากกว่าใคร มันก็เท่ากับว่าใครมันมีกิเลสน้อยกว่าใครนั่นเอง ใครทำให้มันมีกิเลสได้น้อยกว่าใคร ไหนใครจะทำได้ก่อนใคร ปฏิบัติแข่งกันเลย ไหนใครจะฆ่าตัวตายได้เสร็จเรียบร้อยก่อนใคร ก็หมายความว่าคุณเป็นพระอรหันต์ก่อนใคร หมดอัสมิมานะ ว่าตัวตน ว่าตัวกู มันคงจะลืมยากใช่ไหม คุณลองคิดดูเถอะ แล้วมันเป็นหลักที่เปลี่ยนไม่ได้ มันไม่มีทางจะเปลี่ยนความหมาย แล้วมันก็จะเข้าใจง่ายที่สุดแหละ เป็นอันว่าเรามาแข่งกันฆ่าตัวตาย ใครจะได้ ฆ่าได้มากกว่าใคร ใครจะฆ่าได้ก่อนใคร ข้อปฏิบัติทั้งหมดมันเป็นอย่างนั้นแหละ จะเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือจะเรียกว่าทางอัฏฐังคิกมรรค หรือจะเรียกอะไรก็ตามใจเถอะ เมื่อปฏิบัติไปถึงที่สุดแล้วมันก็สิ้นกิเลส สิ้นอาสวะ คือความสิ้นตัณหาอุปาทานที่ว่าตัว ว่าตน ถ้าอันนี้มันสิ้น อันอื่นมันสิ้นหมด ไม่มีอุปาทานว่าตน แล้วก็ไม่มีที่ตั้งของกิเลส เพราะกิเลสมันเกิดเพื่อตนทั้งนั้นแหละ ผมคิดว่าคงจะจำแม่นไม่ลืมไปจนตาย และว่าเราจะไม่พูดกันอีกจนกระทั่งตาย คงไม่มีใครลืมไอ้คำชนิดนี้ได้ ผมจึงเห็นว่ามีประโยชน์และก็ใช้คำชนิดนี้ ทีนี้บางคนเขาก็จะว่าพูดเล่นลิ้น พูดตลก หรือว่าพูดตลบตะแลง ตามใจได้ทั้งนั้น ขอแต่เพียงว่ามันลืมไม่ได้แล้วมันเข้าใจถูกต้อง เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพี้ยนไปไม่ได้ ให้ทุกคนรีบฆ่าตัวตายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ นี่ นี้ความหมายหนึ่งในความหมายทั่วไป
ทีนี้ยังมีความหมายพิเศษอีกความหมายหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกันนักเพราะมันอยู่แต่ในพระคัมภีร์ พระบาลี ให้ฆ่าบิดามารดาเสีย กิเลสประเภทที่ให้เกิดความรู้สึกว่าตัวตน กิเลสว่าตัวตนคือสิ่งที่เราจะต้องฆ่า แล้วกิเลสประเภทที่จะเกิดความ...เกิดกิเลสว่าตัวตน อันนั้นน่ะบิดามารดาของมัน ระบุไปที่อวิชชา ระบุไปที่ตัณหา กิเลสที่ชื่อว่าอุปาทาน อุปาทานน่ะคือตัวตน ของตน อุปาทานนี่มาจากตัณหา จริงๆ เรียกว่าแม่ของมัน ตัณหาก็มาจากอวิชชา ก็เรียกว่าพ่อของมัน เรียกว่าอวิชชาหรือตัณหาก็ตามก็เป็นพ่อ แม่ ของตัวตนคือกิเลสที่ชื่อว่า อุปาทาน ถ้าเราฆ่าอวิชชาได้ ฆ่าตัณหาได้ อุปาทานก็ไม่มี อุปาทานไม่มีคือตัวกูไม่มี คือตัวกูหมดไปแล้ว มันตายไปแล้ว นี้ลำดับในปฏิจจสมุปบาทสำคัญมากแหละ คุณจะต้องจำไว้ให้แม่นยำ เหมือนกับว่าแม่ ก. กา แม่ ก. ข. ก. กา ต้องจำกันไว้อย่างแม่นยำเป็นอันแรกเลย หรือถ้าว่าเป็นวิชาเลข มันก็เป็นสูตรคูณแหละ เป็นสูตรคูณที่เราจะต้องจำแม่นยำที่สุด ในทางธรรมะนี้ ก. ข. ก. กา หรือ สูตรคูณนี้ก็คือปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ พอพูดแล้วมันก็จะได้มองเห็นทันทียังไงว่าฆ่ามันเสีย ตัวกูแหละ ตัวกูแหละ เราฆ่ามันเสีย หรือถ้าว่าให้แยบคายกว่านั้นอีก ก็ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่มันเสีย แล้วมันก็คลอดออกมาไม่ได้อีก มิฉะนั้นมันจะคลอดออกมาเป็นประจำ วันหนึ่งๆ ไม่รู้กี่ครั้ง ไม่รู้กี่กู ไม่รู้กี่ตัว นี่พุทธศาสนามันมีการเกิดเฉพาะๆ ไม่ใช่ว่าคนนั้นตายแล้วเกิด คนนี้ตายแล้วเกิด คนเดียวกันตายแล้วเกิด อย่างนั้นเป็นลัทธิอื่น เดี๋ยวนี้ว่าเมื่อมันรับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันโง่คืออวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้องก็เกิดตัณหา ก็เกิดอุปาทาน มันก็เกิดตัวกูครั้งหนึ่ง เดี๋ยวเกิดทาง เดี๋ยวอาศัยตาเกิด เดี๋ยวอาศัยหูเกิด เดี๋ยวอาศัยจมูกเกิด ลิ้นเกิด กายเกิด ซึ่งมันจะเกิดได้ นับไม่ไหว ถ้าว่ามันมีเหตุการณ์มาก หรือมีอวิชชามาก มันเกิดได้ ทุกๆ ครั้งที่มีอะไรๆ มากระทบ จำสูตร ลำดับสูตร ลำดับในสูตรให้แม่นยำว่า อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเนื่องกันกับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็เกิดวิญญาณ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๓ อย่างนี้ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณนี่ ทำหน้าที่ด้วยได้กันอยู่ คือวิญญาณมันรู้แจ้งต่ออายตนะภายนอก โดยทางอายตนะภายในนี่เรียกว่ามันทำงานร่วมกันอยู่นี่คือผัสสะ พอมีผัสสะก็มีเวทนาหรือความรู้สึก ซึ่งแยกได้เป็นว่าพอใจ ไม่พอใจ หรือยังไม่แน่ว่าพอใจหรือไม่พอใจ คือสุขหรือทุกข์ หรือ ทุกข์แล้วมาสุข นี่เวทนา ถ้าโง่ ถ้าคนโง่กันตอนผัสสะ และตอนเวทนา นี่คืออวิชชา อวิชชาเข้ามาเป็นพ่อ เวทนาชนิดนี้ ชนิดที่โง่อย่างนี้ก็ให้เกิดตัณหา อยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้ไปตามอำนาจของเวทนานี่มันเป็นแม่ ถ้ามีตัณหาแล้วก็เกิดอุปาทาน ความหมายมั่นว่าตัวตน ว่าของตนคือเกิดตัวกูนี่ แต่ในระยะเรียกว่ายังอ่อนอยู่ ยังอ่อนอยู่ ยังแรกตั้งครรภ์ พอมันมีอุปาทาน แล้วมันก็ ไอ้ครรภ์นั้น ทารกในครรภ์นั้นก็แก่เข้าๆ ก็เรียกว่า ภพ ภพตอนนี้ ทารกมันสมบูรณ์ในครรภ์ พอภพมันถึงที่สุดแล้วมันก็คลอด ชาติ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติออกมาเป็นตัวกู ของกู สำหรับจะจับเอานั่น จับเอานี่ จับเอาโน่นมาเป็นของกู เอาความเกิดมาเป็นของกู ความแก่เป็นของกู ความเจ็บเป็นของกู ความตายเป็นของกู กูนั้นโดยธรรมชาติ คืออะไรก็ตามที่มันมีอยู่รอบตัว พ่อของกู แม่ของกู ลูกของกู เมียของกู เงินของกู วัวของกู ควายของกู นาของกู อะไรนี่นะ มันมีชาติเต็มที่ มีตัวตนเต็มที่ ที่มันจะเกิดความรู้สึกว่าอะไรเหล่านั้นเป็นของกู ทีนี้มันก็หนัก หนักแล้วเป็นทุกข์ ด้วยความยึดมั่นว่าตัวกู ว่าของกู นี้มันมีตลอดทางนั่นแหละ ความรักก็หนักไปอย่างหนึ่ง ความโกรธก็หนักไปอย่างหนึ่ง ความเกลียดก็หนักไปอย่างหนึ่ง ความกลัวก็หนักไปอย่างหนึ่ง ความวิตกกังวลว่ามันจะสูญหายไป มันจะพลัดพรากไป มันจะมีชู้ มันจะมี ทุกอย่างเลย มันก็เป็นเรื่อง เป็นความทุกข์ นั่นเพราะมันมีตัวกู มันก็ปรุงแต่งเป็นความ.. กิเลส เป็นกิเลสได้ต่างๆ ในที่สุดก็เพื่อของกู และสิ่งต่างๆ มันไม่เป็นไปตามต้องการได้หรอก มันเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา มันก็เลยขัดใจ เป็นทุกข์ นั้นความทุกข์จะไม่มีก็ต่อเมื่อ ไม่มีกิเลส เมื่อมันไม่มีกิเลสมันก็จะมีต่อเมื่อไม่มีตัวกู ไม่มีตัวกูก็ต่อเมื่อพ่อแม่ของมันไม่คลอดออกมา คือเมื่ออวิชชา ตัณหามันไม่คลอดออกมา พูดว่าฆ่าตัวกูเสียก็คือฆ่าอุปาทานนั้นเสีย ถ้าว่าฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ของมันเสียก็คือฆ่าอวิชชาหรือตัณหานั้นเสีย พูดอย่างนี้มันพูดให้เป็นภาพพจน์ขึ้นมา มันมองเห็นภาพง่าย จำง่าย เข้าใจง่าย เขานิยมเขียนเป็นภาพปริศนาธรรม เพื่อให้มันง่าย มันง่ายแก่การฟัง การเรียน การคิด การนึก การเข้าใจ นี่เราก็พูดอย่างนั้นแหละ พูดทำนองนั้นแหละ ทำนองให้มันเป็นเหมือนกับเป็นบุคคล อุปมาเหมือนกับเป็นบุคคล พูดอย่างเหมือนกับเป็นบุคคล เป็นตัวเป็นตน ที่จริงมันก็เป็นนามธรรมทั้งนั้นแหละ ที่ว่าฆ่า ฆ่านี่ก็ฆ่าสิ่งที่เป็นนามธรรม แล้วก็โดยเครื่องมือที่เป็นนามธรรม โดยวิธีที่เป็นนามธรรม จำไว้ว่าเราจะ จะฆ่ามันได้ด้วยวิธีใด เรื่อง เรื่องธรรมชาติ ของธรรมชาติมันเป็นอยู่อย่างไร แล้วทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าเป็นการฆ่ามันเสีย ที่ว่ากฎปฏิจจสมุปบาทนี่เหมือนกับสูตรคูณ มันประหลาดมากที่ว่าแม้พระพุทธเจ้าท่านก็ยังนั่งท่องสูตรคูณ มันมีอยู่สูตรหนึ่ง หรือ ๒ สูตร แล้วไม่เกิน ๓ สูตร ในพระบาลีทั้งหมดนั้น
พระพุทธเจ้าวันหนึ่งท่านประทับนั่งอยู่องค์เดียวที่วัดคันธกุฎี แล้วทรงตรัสเรื่องแล้วแต่ จะสบายพระทัยหรืออะไรก็สุดแท้ แล้วเห็นว่าไม่มีใครท่านก็ท่องมันขึ้นมา สูตรปฏิจจสมุปบาทนี่ (นาที 21:38) จกฺขุญฺจะ ปฏิจฺจ รูเปจ อุปฺปชฺชติ วิญฺญาณํ ติณฺนํ ธมฺมานํ สงฺคาติ ผสฺโส ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ อุปาทานปจฺจยา ภโว ภวปจฺจยา ชาติ ชาติปจฺจยา ชรามรณํ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมมัส กระทั่งว่า ปายาส เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ นี่พูดเรื่องตา ท่องข้อตาแล้วก็ท่องต่อไป เป็นข้อ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเหมือนกับท่องสูตรคูณชัดๆ เลย นี่มันแปลกประหลาดจนพระพุทธเจ้าท่านก็ยังทรงนำมาท่อง ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะท่านนั้นพ้นเรื่องแล้ว หมดเรื่องแล้ว ตรัสรู้แล้วจะต้องท่องให้เพราะมันก็รู้อยู่แล้ว แต่เข้าใจว่าคงจะเป็นที่พอพระทัยที่สุด ไม่มีเรื่องอะไรที่พอพระทัยมากที่สุดเท่าเรื่องนี้ จนถึงกับท่องเล่น เพราะเมื่อตรัสรู้ก็ตรัสรู้เรื่องนี้นะ ตรัสรู้แล้วก็เอามาท่อง เมื่อตรัสรู้ใหม่ๆ แล้วเอามาสอนๆ เป็นไทยๆ ก็ว่า ตาเนื่องกันกับรูปเกิดการเห็นทางตา ๓ อย่างนี้ถึงกันอยู่เรียกว่าผัสสะ คือการกระทบมันก็มีการกระทบก็มีเวทนา เกิดความรู้สึก ถ้ามีความรู้สึกก็มีตัณหาคือความต้องการ อย่างโง่เขลา พอมีตัณหาก็เกิดอุปาทาน คือความรู้สึกมีตัวตน กูอยาก กูได้ กูมี กูเป็น กูอะไรก็ตาม นี่มันก็มีภพ มีความเป็น มีความเป็นตั้งต้นขึ้นมาแล้ว เมื่อแก่ๆ จนคลอดออกมาเป็นชาติ เป็นชาติแล้วก็จะคว้านั่น คว้านี่ คว้าโน่น มาเป็นตัวกู มาเป็นของกู เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา นี้ฆ่ามันเสียให้ตาย ฆ่าอุปาทานก็คืออย่าให้มีตัณหา ไม่มีตัณหาก็คืออย่ามีอวิชชา อย่ามีอวิชชาในขณะแห่งผัสสะ เมื่อมีผัสสะแล้วมีอวิชชานั่นแหละ แล้วก็เกิดตัณหา แล้วก็เกิดอุปาทาน มันมีเท่านั้น ๒-๓ คำเท่านั้น เรื่องนี้ผมก็พูดมากที่สุด อธิบายมากที่สุด แต่ใครจะสนใจบ้างกี่มากน้อยก็ไม่ทราบ จะเอาไปปฏิบัติได้สักกี่มากน้อยก็ไม่ทราบ แต่ได้พยายามพูดมากที่สุด ว่าพอมีผัสสะแล้วอย่าโง่ อย่าปล่อยให้ว่างจากสติและปัญญา ถ้ามันมีผัสสะแล้วอย่าให้มันว่างจากสติและปัญญา ให้สติและปัญญาวิ่งมาอย่างสายฟ้าแลบ คือมาในความรู้สึก แล้วผัสสะนั้นมันก็จะไม่ปรุงเวทนาโง่ มันจะปรุงเวทนาที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญาเหมือนกัน มันก็ไม่หลงในสุขเวทนา ในทุกขเวทนา ในอทุกขมสุขเวทนา เพราะว่ามีสติปัญญามาเกี่ยวข้องกับเวทนา มันไม่หลงในรสของเวทนา มันก็ไม่เกิดตัณหาคือความอยากไปตามอำนาจของเวทนา ไม่มีอุปาทานคือไม่มีตัวกูตั้งต้น แล้วก็ไม่มีตัวกูที่จะคลอดออกมาสำหรับทำให้เป็นทุกข์ นี่ใครจะฆ่ามันได้ก็คือปฏิบัติไม่ให้เกิดอุปาทาน ถ้าเก่งกว่านั้นก็ไม่ให้เกิดตัณหา เก่งกว่านั้นก็ไม่ให้เกิดอวิชชาในขณะแห่งผัสสะ ในขณะแห่งผัสสะ พยายามศึกษาให้มากว่าผัสสะคืออะไร ในวันหนึ่งๆ นี่ผัสสะมันดูจะยุบยิบไปหมด คุณ คุณ สังเกตหน่อยเถอะ เพราะไม่สังเกต เพราะว่าไม่รู้ไม่ชี้ เพราะอวดดี มันก็เลยไม่รู้ไม่ชี้ว่ามันมีผัสสะอะไร อย่างไร ที่ไหน เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรานั้นพร้อมที่จะทำหน้าที่อยู่เสมอ เดี๋ยวเห็นนั่น เดี๋ยวได้ยินนี่ เดี๋ยวได้ดมนั่นดมนี่ ได้รสนั่น รสนี่ ได้สัมผัสนั่น สัมผัสนี่ แล้วใจนี่ก็ไม่ใช่เล่นมันไวมาก แล้วก็มันมีอารมณ์สำรองไว้มาก คือความจำในอดีตเรียกว่า สัญญา สัญญานี่ จำไว้ได้ในอดีตมันมีมาก แล้วมันจะมาเป็นอารมณ์ของใจ มโนที่มันจะกระทบแล้วเกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เวทนา ตัณหา มันง่ายและมันเร็ว มันไม่ต้องไปไหนก็ได้ มันนั่งหลับตาอยู่ก็ได้ มันนอนอยู่ก็ได้ มันจึงเกิดได้ง่าย ได้มากกว่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กว่าทางตา จมูก ลิ้น กาย ๕ อันข้างนอกนี่ มันงุ่มง่าม มันไม่ว่องไว แต่ถ้าอันข้างในคือใจมันไวเหมือนสายฟ้าแลบ มีโอกาสจะเกิดได้ มันคือนึกแว๊บเดียวก็ได้ บางทีมันล้มตัวลงนอนแล้วก็ มันก็คิดได้มาก สัมผัสที่นอน ไม่พอใจ หรือว่ากลัวอะไร หรือว่าต้องการอะไรไม่ได้อย่างใจ นี้จิตมันก็แว๊บไปได้ แว๊บไปได้ ที่นั่น ที่นี่ คือนึกถึงคนที่อยู่ที่กรุงเทพหรืออยู่ที่ไหนก็ตามที่มันเป็นที่รักที่พอใจ หรือมันไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจ ได้ทั้งนั้นแหละ มันก็จะต้องเกิดผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวกู เป็นทุกข์ นี่ตามฆ่ามันไม่ค่อยทันเห็นไหม นั้นถ้าไม่มีสติกับสัมปชัญญะมากเพียงพอแล้วมันฆ่าไม่ได้ คือมันควบคุมการเกิดไว้ไม่ได้ จงพยายามฝึกให้มาก ให้มีสติมากพอและเร็วพอ ฝึกปัญญาให้รู้ทั่วถึงและมากพอ ปัญญาว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รวมเรียกว่าสุญญตา รวมเรียกว่า เช่นนั้นเอง ตถาตา เช่นนั้นเอง ปัญญาเรื่องตถาตามีมากพอ ให้ลึกซึ้งพอ เฉียบขาดพอ แล้วสติที่ระลึกถึงสิ่งนี้ให้มากพอ ให้เร็วพอ ให้ทันควัน ทันควันบางทียังจะไม่ค่อยพอ ต้องเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ ถ้ามีผัสสะที่ไหนละก็สติเอาปัญญามา รู้สึกต่อสิ่งนั้น โอ้,มันก็แค่นี้เอง มันก็เช่นนั้นเอง มันก็อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือมันสุญญตา แล้วแต่จะใช้ความรู้สึกอย่างไหน แต่ให้มันได้ความรู้สึกว่ามันเช่นนั้นเอง ไม่น่ารัก ไม่น่าเกลียด ไม่น่าโกรธ ไม่น่ากลัว ไม่น่าวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ นั่นแหละคือฆ่าตัวกู คือการฆ่าตัวกูเสียตั้งแต่พ่อแม่ของมัน คือฝึกมีสติปัญญาควบคุมผัสสะได้ เวทนาโง่ไม่เกิด อวิชชาก็ตายอยู่ที่ตรงผัสสะ ถ้าสมมติมันจะมีเข้ามา แต่ถ้ามีสติมีปัญญาแล้วมันเข้ามาไม่ได้ เข้ามาก็ตาย เหมือนกับเข้ามาหาความตายของอวิชชา เมื่อมีผัสสะแล้วสติกับปัญญามันอยู่ก่อนอวิชชามันเกิดไม่ได้ ถ้ามันเกิดก็คือตาย หรือถ้ามันมีอวิชชาเกิดอยู่ก่อน พอมีสติปัญญามาทันมันก็ตายอีกเหมือนกัน อวิชชานั้นมันก็ตายอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นสติและปัญญานั้นต้องมีมา ถ้าพูดอย่างภาษาวิทยาศาสตร์ทางจิตว่าต้องเกิดขึ้น สติและปัญญาต้องเกิดขึ้นทันในขณะแห่งผัสสะ เราพูดภาษาคนเราก็ต้องมา ต้องมีมา ต้องวิ่งมา ต้องขนส่งเอามา นี่พูดอย่างภาษาคน สติขนเอาปัญญามาทันเวลาแห่งผัสสะ นี่พูดอย่างภาษาสมมุติ ก็เห็นง่ายเหมือนกัน แต่ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมชาติก็ต้องว่าต้องเกิดขึ้นมา สติกับปัญญาต้องเกิดขึ้นมาทันเวลาของผัสสะ ควบคุมผัสสะไว้ได้ ถ้าอวิชชามีอยู่บ้างก่อนแล้วก็ตายไป สูญไป ถ้าอวิชชายังไม่มาก็เข้ามาไม่ได้ เพราะสติกับปัญญามันรออยู่ มันเป็นข้าศึกแก่กัน เข้ามาไม่ได้ นี่คือทำอย่างนี้เรียกว่าฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ของมัน ฆ่าตัวมันเสีย
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่าใครจะฆ่าได้มากกว่าใครในบรรดาเราทั้งหลายทุกคนนี้ ใครจะฆ่ามันได้มากกว่าใคร ใครจะได้จะฆ่ามันหมด ได้ฆ่ามันเสียให้หมดก่อนใคร ฆ่าหมดก็คือเป็นพระอรหันต์ ฆ่าได้มากหน่อยก็เป็นพระอริยบุคคลรองๆ ลงไป ฆ่าได้น้อยมากก็เป็นปุถุชนชั้นดีหน่อย เป็นปุถุชนชั้นดีหน่อย มันฆ่าได้น้อยหน่อย ฆ่าได้มากถึงขนาดก็เป็นพระอริยบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่ง โสดา สกิทาคา อนาคา อะไรก็ตาม ฆ่าหมดก็เป็นพระอรหันต์ ผมเลยพยายาม คุณสังเกตดูผมได้พยายามหาวิธีพูดและคำพูด ที่จะเอามาใช้ให้ฟังง่าย ลืมยาก และเป็นหลักที่เปลี่ยนไม่ได้ คำพูดเหล่านี้ก็ไม่ใช่ผมประดิษฐ์ขึ้นได้เอง ผมไม่เก่งถึงขนาดนั้น ก็ยืมพระพุทธภาษิตหรือคำในพระคัมภีร์ในบาลีนั่นมา คำว่าฆ่าตัณหานี้เขาก็มีอยู่แล้ว ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่เขาก็มีอยู่แล้ว คำว่าฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ โดยตรงนี่ก็มีอยู่ในพระบาลีแล้ว มาตรํ ปิตรํ หนฺตวา อกตญฺญูสิ พฺราหฺมณ แล้วเป็นคนอกตัญญูเสียด้วยนี่ คำว่าอกตัญญูนั้น รู้สิ่งซึ่งปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ คือรู้พระนิพพาน คำว่าอกตัญญูในภาษาธรรมะชั้นลึกนั้นก็ผู้รู้ซึ่งพระนิพพานอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ อกตะ อกตะ น่ะ สิ่งที่ปัจจัยกระทำหรือปรุงแต่งไม่ได้ อัญญูแปลว่ารู้ไง อกตัญญู เป็นผู้อกตัญญู คือเป็นผู้ที่รู้สิ่งซึ่งปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ก็คือนิพพาน ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ของตัวเสีย แล้วเป็นคนอกตัญญูเถิดพราหมณ์เอ๋ย คำเหล่านี้เขาก็ได้ใช้เป็นประโยชน์มาแล้วตั้งแต่ครั้งกระโน้น แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยเอามาพูดกัน มันก็เป็นเรื่องที่ยาก เข้าใจยาก ศึกษายาก เราก็เอามาใช้พูดให้ช่วยประหยัดไอ้ความยาก แต่ว่าแรกฟังแล้วก็สะดุ้ง ถ้าโง่จนไม่เข้าใจคำเหล่านี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน มันเป็นการพูดเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร
นี่เดี๋ยวนี้ก็มาพูด พุทธศาสนาไม่มีอะไรนอกจากชวนให้ฆ่าตัวตาย มันก็ยิ่งฟังประหลาดไปอีก การปฏิบัติในพระพุทธศาสนาไม่มีอะไรหรอก นอกจากการฆ่าตัวตาย ทุกคนฆ่าตัวตายได้เร็วๆ มีการชวนให้ฆ่าตัวตายกันซะเร็วๆ คือปฏิบัติให้หมดอุปาทานน่ะ อัสมิมานะ อัตวาทุปาทาน อันแล้วแต่จะเรียก อหังการ มมังการ มานานุสัย แล้วแต่จะเรียก มันมีหลายคำ แต่ทุกคำหมายถึง ตัวกู ของกูในความรู้สึก ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสทั้งปวง เมื่อผมเอาคำอย่างนี้มาพูดก็ถูก ถูกหา ถูกด่า ถูกอะไรตลอดเวลา ว่ามันอุตริหรือมันเล่นลิ้น หรือมันเอาอะไรมาพูดก็ไม่รู้ แต่เราเอาคำในพระคัมภีร์มาพูด มันคล้ายๆ กับเอาของที่มีอยู่ปัดฝุ่นขึ้นมาใช้ ของที่เขาเก็บไว้เฉยๆ จนสกปรกไปด้วยฝุ่นใช้ประโยชน์ไม่ได้ เราก็หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นแล้วเอามาใช้ ก็ยังด่าเราอีก เพราะว่าเขาไม่เข้าใจความหมายคำเหล่านั้น เมื่อวานก็พูดว่าตายเสียก่อนตายเป็นปริญญาของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ก็พูดว่าพุทธศาสนาคือการสอนให้ฆ่าตัวตาย ให้รีบชิงกันฆ่าตัวตาย ใครจะฆ่าได้มากกว่าใคร ใครจะฆ่าได้หมดก่อนใคร มันเป็นอย่างนี้ ทำให้ว่างจากตัวตนนั่นแหละ คือฆ่า ฆ่าตัวตน คำว่า ฆ่า ในอริยวินัย ในภาษาพระอริยเจ้า คำว่า ฆ่า หมายความว่า ทำให้ไม่มีความหมาย ทำให้ไม่ปรากฏอยู่ ทำให้ไม่มีความหมายนั่นแหละเรียกว่า ฆ่า ถ้าอาจารย์จะฆ่าลูกศิษย์สักคนหนึ่ง ก็หมายความว่าไม่ติดต่อกับมันเลยด้วยประการทั้งปวง ไม่ดูหน้ามัน ไม่พูดกับมัน ไม่ติดต่ออะไรกับมันด้วยประการทั้งปวง อย่างนี้ เขาก็เรียกว่า ฆ่าละ คืออาจารย์ได้ฆ่าลูกศิษย์คนนั้นแล้ว
เดี๋ยวนี้เราจะฆ่าตัวกู ของกู ข้างใน ก็คือทำอย่าให้มันมีโอกาสที่มันจะโผล่ขึ้นมาทำหน้าที่ของมัน คือไม่เกิดตัณหาอุปาทานเหล่านี้ ความหมายเดียวกันแหละกับภาษาวัตถุ ไอ้เราฆ่าวัตถุ ฆ่าคน ฆ่าม้า ฆ่าไก่ อะไรก็คือทำให้มันไม่มี ให้มันหมดไป แต่มันโดยทางวัตถุ เอาเนื้อหนังร่างกายเป็นหลัก แต่ถ้าทางธรรมะนี่เอาจิตใจเป็นหลัก ก็คือไม่ให้เกิดจิตใจชนิดนั้น ไม่ให้เกิดความรู้สึกชนิดนั้น เช่น พูดว่า ฆ่าโลภะ ฆ่าโทสะ ฆ่าโมหะเสียได้ ก็หมายความแต่เพียงว่าไอ้สิ่งเหล่านี้จะไม่มาปรากฏในจิตใจอีกต่อไป ก็เรียกว่าฆ่า ฆ่ากิเลสซะได้ ก็คือกิเลสจะไม่มาปรากฏในจิตใจอีกต่อไป เห็นโดยความเป็นของว่างอยู่เสมอ ให้จิตใจมันว่างจากตัวกู จิตใจนี้ว่างจากตัวกู ภายในตัวจิตใจเองมันก็ไม่เกิดความรู้สึกว่าตัวมันเป็นตัวกู เป็นของกู นี้ถ้ามันมองไปในภายนอก ไอ้ที่ลูก ที่เมีย ที่ผัว ที่... สมบัติพัสถาน เงินทอง ข้าวของ แก้วแหวนเงินทอง บ้านเรือน วัว ควาย ไร่นา มันก็ไม่เป็นตัวกู ไม่เป็นของๆ กู ไม่เป็นตัว... เป็นของๆ กู เรียกว่ามันว่างไปเหมือนกัน ก็เรียกว่ามันเหมือนกับถูกฆ่า มันไม่มี... ไม่มีอยู่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ นี่เห็นโลกโดยความเป็นของว่าง พระบาลีสำคัญที่สุด คาถานั้นมีว่า เธอจงเห็นโลกโดยความเป็นของว่าง ตรัสแก่บุคคลชื่อโมกขราช ว่าดูก่อนโมกขราช เธอจงเป็นคนมีสติเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อเถิด เมื่อเธอทำอย่างนี้ก็จะพ้นความตาย เพราะไม่มีตัวเธอสำหรับจะตาย ฆ่าตัวเธอเสียแล้ว ตัวเธอก็มิได้มีอยู่สำหรับจะตาย เพราะมันถูกฆ่าเสียแล้ว ความที่ไม่มีตัวตนนั่นแหละวิเศษที่สุด ความไม่มีตัวตนเป็นความตาย เมื่อไม่มีตัวตนก็คือตัวตนตาย คือไม่มีตัวตนเพราะมันตาย ความตายแห่งตัวตนนั่นแหละคือความว่าง มีบาลีที่ว่าโลกนี้ว่างจากอัตตา ว่างจากอัตตนียา โลกนี้ทั้งหมดว่างจากความหมายแห่งตัวตน ว่างจากความหมายแห่งของตน คือมันว่างจากความมีอยู่แห่งตัวตนก็เท่ากับมันตาย นี่คือสุญญตา ว่างจากตัวตน สุญญตา คือความตายในความหมายภาษาธรรม เอาสุญญตามาทำหมอนข้างไว้กอดนอนสิ มันจะง่ายขึ้นกระมัง ใครจะเอามัจจุราชมาทำหมอนข้างไว้กอดนอนบ้างก็เอาสิ นี่ถ้าพูดกันในโวหารสมมติมันก็อย่างนี้นะ ความว่างนั่นแหละเอามาไว้เป็นเครื่องราง นี่เขาแขวนพระเครื่อง เขาคาดตะกรุด คาดอะไรก็ตามใจเขา เราเอาสุญญตามาแขวนมาคาดกันลืม ให้อยู่กับเราตลอดเวลา แล้วมันก็ไม่มีปัญหาแหละ มันไม่มีตัวตนเกิด ไม่มีทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ เท่ากับว่าตัวตนตาย หรือตัวตนถูกฆ่าอยู่ตลอดเวลา ด้วยอำนาจของการมีสติเห็นความว่างอยู่ทุกเมื่อ นั้นพยายามให้เห็นว่าไอ้ที่มันไม่ว่างนั้นน่ะ มันเกิดอยู่เสมอนะมัน มัน มันเป็นอย่างไร คือความทุกข์มันเกิดอยู่เสมอมันเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่เห็นข้อนี้ ก็ไม่อยากดับทุกข์ ไม่สนใจเรื่องดับทุกข์ ถ้าไม่มองเห็นว่ามันมีความทุกข์อยู่ มันก็ไม่สนที่จะดับทุกข์ ขอให้ลองสังเกตดู ถ้าเรารู้สึกว่าเจ็บป่วยอยู่ เราก็ต้องการจะกินยา จะเยียวยา จะรักษา ถ้าว่าไม่เห็นมีป่วยเจ็บอะไร มันก็ไม่ต้องการจะกินยาจะรักษา เดี๋ยวนี้เราเห็นว่ามีความทุกข์อยู่เพราะฉะนั้น ไอ้ ไอ้จุดตั้งต้นมันอยู่ที่เห็นความทุกข์ แล้วก็อยากจะพ้นทุกข์มันจึงจะมีการศึกษาและปฏิบัติธรรมะได้ ถ้ามันเข้าใจไปว่าสบายดีแล้ว สบายดีแล้ว พอใจแล้ว สนุกสนานแล้ว ไม่มีทางที่จะมาสนใจธรรมะ และจะดับทุกข์ เพราะมันไม่ทุกข์จะดับ จึงตั้งต้นด้วยความอยากจะดับทุกข์ เหมือนว่าเด็กๆ จะเรียนหนังสือก็เพราะอยากจะรู้หนังสือ อยากจะหายโง่ อยากจะพ้นจากความไม่รู้หนังสือ ที่เราไปเรียนหนังสือกันเพราะเราอยากจะพ้นจากปัญหาการไม่รู้หนังสือ แล้วก็อยากมาก อยากจะรู้หนังสือ ก็เลยเรียนเอา เรียนเอา เรียนเอานี่ เรียนบาลี เรียนนักธรรมอะไรก็เหมือนกันเพราะมันอยากจะ จะพ้นจากความไม่รู้ มันก็เรียนสนุก เรียนเอา เรียนเอา ได้ชั้นนั้น ได้ชั้นนี้ โดยเร็วเลยได้ปริญญาแผ่นกระดาษเต็มไปหมดเลย แต่ทีไอ้ความทุกข์ มันไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่มองเห็น ว่าเป็นความทุกข์ แล้วจะต้องดับแล้วอยากจะดับ มันไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่ามันมีไฟไหม้อยู่ที่เนื้อ ที่ตัว ที่เสื้อ ที่ผ้า ไหม้อยู่บนหัว บนศีรษะ แล้วอยากจะดับ นี่มันไม่มีอาการอย่างนั้น เดี๋ยวผมก็เป่าปี่ให้แรดฟัง คือผมพูดไอ้เรื่องดับๆ แล้วไม่มีใครต้องการจะดับ ก็นั่งเป่าปี่ให้แรดฟังไปคนเดียว นี่เพื่อให้มันไม่ ไม่เป็นหมัน จงต้องคอยมีสติสังเกตดูว่ามันมีอะไรโดยแท้จริง อย่าให้มีความรู้สึกซึ่งเป็นความทุกข์ มันไม่เรียกอย่างอื่นได้ มันก็ต้องเรียกความทุกข์ คือความรู้สึกที่มันน่าเกลียดน่าชัง มันกัด มันกด มันทิ่ม มันแทง มันเผา มันลน มันผูก มันมัด มันครอบงำ มันอะไรก็แล้วแต่ ใช้คำไหนได้ทั้งนั้นเลย ไอ้คำว่าความทุกข์ แต่ไอ้คำๆ นี้มันหมายถึงไอ้ทนยากที่เราต้องทน ความรู้สึกชนิดที่ต้องทนน่ะ แม้จะทนอย่างดี ก็ตามใจ ถ้ามันต้องทนแล้วก็ นี่ว่าความทุกข์นะ ทนอย่างดีคือมันสนุกไปด้วย มันทนสนุกหรือมันทนอร่อยก็ได้ ถ้ามันจะมีการต้องทนแล้วมันก็เรียกว่าเป็นทุกข์ทั้งนั้น มันไม่ได้ว่าง มันไม่ได้เป็นอิสระ มันไม่ได้อยู่อย่างอิสระ มันเหมือนกับว่าถ้าเขาบังคับให้ต้องกินน้ำตาลอยู่เรื่อย มันก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนั่นแหละ นี่คือความหมายของคำว่าความทุกข์ คือมันต้องทน ต้องดิ้นรน แม้จะเสวยความสุข ยอดสุข กามารมณ์อะไรก็ตาม มันต้องมีความดิ้นรนแห่งจิต ไม่มีความสงบแห่งจิต มันก็ต้องทน ต้องทนทำ ต้องทนเหนื่อย แม้แต่ความดีใจ มันก็ต้องทนดีใจ มันไม่ใช่สงบ นี่จึงจัดมันว่าเป็นของน่าเกลียด เป็นความทุกข์กันทั้งหมดทั้งสิ้น ความดีใจ ความเสียใจ ความรู้สึกว่าได้ ความรู้สึกว่าเสีย ทุกคู่ ความรู้สึกทุกคู่ ที่มันเป็นที่ตั้งความยึดถือก็เรียกว่าต้องทนทั้งนั้น มันต้องทนก็เรียกว่าเป็นทุกข์ คำว่าทุกข์แปลว่าสิ่งที่ต้องทนอย่างดูแล้วมันน่าเกลียด แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตเช่น ก้อนหินอย่างนี้ ถ้ามันมีชีวิต มันก็มีความรู้สึกว่าต้องทน ทนแดด ทนฝน ทนธรรมชาติบีบคั้น ต้องเปลี่ยนแปลง ก้อนหินมันก็มีอาการเสมือนหนึ่งว่ามันต้องทน หรือมีลักษณะแห่งความทุกข์ มีลักษณะแห่งความทุกข์ แต่ไม่ได้รู้สึกถึงความทุกข์เพราะมันไม่มีจิตใจที่จะรู้สึก ส่วนสิ่งที่มันมีจิตใจที่เรารู้สึกไม่ต้องพูดถึง ต้นไม้มันก็รู้สึก สัตว์เดรัจฉานก็รู้สึก คนก็รู้สึก มันมีความรู้สึกแล้วมันก็ต้องทนด้วยความรู้สึก นั้นชีวิตจึงเป็นความทนอยู่โดยอัตโนมัติในตัวมันเอง สิ่งที่เรียกว่าชีวิตคือสิ่งที่ต้องทน ต้องทนต่อสิ่งที่มาสัมผัส กระทบ หรือต้องทนแบกความเป็นตัวตน ดำรงความเป็นตัวตน ถนอมความเป็นตัวตน อันนี้มันเป็นเรื่องต้องทนทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้เราเอากันแต่เพียงว่าอย่าต้องทนชนิดที่มัน มันรู้สึกกันโดยตรง อย่า อย่าต้องทนชนิดนั้นมันก็เอา ถ้าไม่ต้องทนเลยโดยประการทั้งปวงบางทีมันจะดีเกินไป ยังไกลเกินไป เอาแต่ว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรเป็นที่ทน เป็นเครื่องทรมานใจ ควบคุมความรู้สึกตัวกูที่จะเกิดขึ้น อย่าให้มันเกิดขึ้น แล้วมันก็จะไม่ต้องทน ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องทน มีเงินก็อย่าให้ต้องเกิดความทุกข์ในใจเพราะเงิน มีเมียก็อย่าให้ต้องเกิดความทุกข์เพราะเมีย มีผัวก็อย่าให้เกิดความทุกข์เพราะผัว มีอะไรก็ตาม อย่าให้มันต้องเกิดความทุกข์เพราะความมีสิ่งนั้น เดี๋ยวนี้มันมีอะไรแล้ว มันเกิดความทุกข์เพราะสิ่งนั้น เกิดความทนทุกข์หนักเพราะสิ่งนั้นเพราะมันไม่ฉลาดพอ ถ้ามันมีธรรมะมากสูงพอถึงขนาดที่ไม่เกิดตัวกู ของกูแล้ว มันจะไม่เกิดความทุกข์จากอะไรเลย บรรดาที่เรามีอยู่ เงินทอง ข้าวของ ทรัพย์สมบัติ วัว ควาย ไร่ นา บุตร ภรรยา สามี อะไรก็ตาม จะไม่เป็นการช่วยให้เกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ คือปรุงให้เกิดเป็นตัวกู เป็นของกู แล้วก็รู้สึกรัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ มองดูให้เป็นศิลปะจะดีกว่า จะถูกกว่า ศิลปะแห่งการมีชีวิตชนิดที่ไม่ต้องทน ถ้าเราไม่มีความรู้อันนี้หรือไม่มีศิลปะอันนี้ ไอ้ชีวิตนั่นแหละ ไอ้ตัวชีวิตเองนั่นแหละ มันจะเป็นตัวสิ่งที่ทำให้ต้องทน คือชีวิตเองนั่นแหละมันจะเป็นทุกข์เสียเอง ชีวิตของกู ที่กูทะนุถนอม กูกลัวมันจะตาย กูกลัวมันจะไปอย่างอื่น นี่ตัวชีวิตเองมันก็กลายเป็นความทุกข์เสีย หมด หมดไม่มีอะไรเหลือ เดี๋ยวนี้มันเป็นศิลปะที่จะให้ชีวิตนี้จะไม่เป็นของต้องทน อะไรๆ ที่มันเนื่องกับชีวิตนี้ก็จะไม่เป็นของต้องทน เช่น การงาน การอาชีพเป็นต้น มันจะต้องเนื่องกันอยู่กับชีวิตนี้ เรามีสติปัญญา มีศิลปะ ไม่ปล่อย ไม่เปิดโอกาสให้มันเป็นสิ่งที่จะก่อปัญหาหรือก่ออาการที่จะต้องทน อันแรกที่สุดก็รู้ว่าเราจะมีชีวิตตามปกติโดยที่ไม่เป็นทุกข์ แล้วปัจจัยแห่งชีวิต เช่น การงาน การอาชีพ หรือสิ่งของอะไรต่างๆ ที่มันเนื่องกันอยู่ก็ต้องไม่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ต้องทน ก็เลยไม่มีอะไรที่ต้องทน วันหนึ่งๆ ทำสิ่งที่จะต้องทำให้สนุกไปเลย สิ่งที่ควรทำสนุกไปเลย แล้วก็ไม่ใช่ตัวกูทำ ร่างกายที่มีสติปัญญาน่ะมันทำ ร่างกายบริสุทธิ์ไม่มีกิเลส มีแต่สติปัญญาของจิตใจที่มีสติปัญญาก็บังคับให้ร่างกายทำเพราะว่าร่างกายมันยังไม่ต้องการแตกดับนี่ ร่างกายมันยังต้องการจะมีชีวิตอยู่ ก็เป็นหน้าที่ของร่างกายสิ อย่าเอาตัวกูเข้ามาเป็นเจ้าของร่างกาย เดี๋ยวมันจะได้เกิดหนักอึ้งเป็นภูเขาขึ้นมาอีก ร่างกายชีวิตของพระอรหันต์นั้น ท่านเรียกกันว่าวิสุทธิขันธ์ วิสุทธิขันธ์ คำนี้จำไว้บ้างจะดี จะไม่เสียทีนะ คำว่าวิสุทธิขันธ์ วิสุทธขันธ์ก็ได้จะถูกภาษา วิสุทธขันธ์ วิสุทธิขันธ์ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง ๕ ขันธ์ของท่านบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ตัณหา อุปาทานมาแปดเปื้อน ท่านมีชีวิตอยู่ด้วยขันธ์ ๕ ที่บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสตัณหาเข้ามาเกี่ยวข้อง นี่ชีวิตพระอรหันต์ เรียกว่าอยู่ด้วยวิสุทธิขันธ์ เรื่องขันธ์ ๕ นี่ก็พูดกันแล้ว พอจะรู้ได้เองว่ามันคืออย่างไร สิ่งที่มีชีวิตอย่างคนเรานี่ มันจะแยกออกดูได้เป็น ๕ ส่วนนั่นแหละ ส่วนที่เป็นร่างกาย ส่วนที่เป็นจิตใจ เป็นความรู้สึกคิดนึกก็มี เป็นความรู้สึกเสวยอารมณ์ก็มี รู้แจ้งสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็มี ทั้ง ๕ ส่วนนั่นแหละ เป็นอยู่ เป็นตัวชีวิตทำหน้าที่ เรียกสั้นๆ ก็ว่า ร่างกาย กับจิตใจ ร่างกายนี่มีเป็นตัวยืนโรง แล้วมีจิต มีจิตใจ คือบางเวลาก็อยู่ในรูปเวทนาขันธ์ บางเวลาก็อยู่ในรูปสัญญาขันธ์ บางเวลาอยู่ในรูปสังขารขันธ์ บางเวลาอยู่ในรูปวิญญาณขันธ์ เรียกมันใจก็แล้วกัน มันก็อยู่ ๒ อย่างคือ กายกับใจ เมื่อไม่ถูกยึดถือว่าเป็นตัวตนของตนมันก็เป็นของธรรมชาติไป จิตเป็นของธรรมชาติ อาศัยกาย รู้สึกคิดนึกได้ ไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรแล้ว มันก็บังคับร่างกายกระทำไปตามที่ไม่มีกิเลส ใจก็ไม่เป็นทุกข์ ร่างกายก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้ามันจะเจ็บปวดขึ้นมา ถูกยิง ถูกฆ่า ถูกแทง มันก็รู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่มีตัวฉันเป็นผู้ถูกแทง ถูกฆ่า หรือเจ็บปวด ถ้าจิตมันหลุดพ้นแล้วมันเป็นอย่างนี้ ถ้าจิตมันเป็นปุถุชนเต็มที่มันก็มีตัวกู เจ็บปวด มันก็ร้องโอย ครวญคราง โอดโอยกันไปตามเรื่องของมัน เพราะมันยังมีตัวตน มันยังไม่ได้ฆ่าตัวตายโว้ย ไอ้คนพวกนี้มันยังไม่ได้ฆ่าตัวตาย มันยังมีตัวสำหรับที่จะเป็นทุกข์
ชั่วโมงหนึ่งแล้ว นั่นแหละเอาไปใคร่ครวญดู ว่าที่เราบวชเรียนกันนี่ก็เพื่อหัดฆ่าตัวตาย ฉะนั้นใครจะฆ่าตัวตายได้มากกว่าใคร เร็วกว่าใคร ก่อนใครก็ตามใจ คำพูดที่สรรหาเอามาเพื่อให้ลืมยาก ให้เข้าใจง่าย และเป็นหลักตลอดกาล อย่างไรๆ ก็ไม่ผิดไปจากนี้ แต่ถ้าว่าไม่เข้าใจแล้วก็น่ากลัวแล้ว คือบ้าที่สุดถ้าไม่เข้าใจ ในคำพูดที่บ้าที่สุดหรือน่ากลัวที่สุด ขอยุติการบรรยาย ตกลงกันไว้กับผู้บันทึกเทป จะไม่เกิน ๑ชั่วโมง
.... ตายเสียก่อนตาย ก็รีบฆ่าตัวตายมันจะได้ตายเสียก่อนตาย....
เอ้า,หมดแล้วปิดประชุม