แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งนี้ผมไม่พูดอะไรมากที่เป็นหลักวิเชิงวิชา ก็จะพูดย้ำแต่เรื่องพฤติของจิต นั่นคือลักษณะความเป็นไปของจิต เราเรียกกันว่า พฤติของจิต เป็นคำสั้นๆ จำง่ายดี พฤติ แปลว่า ความเป็นไป คำว่า ประพฤติ, ประพฤตินั่นแหละ คำนั้นมันแปลว่าความเป็นไป อยากจะให้รู้เรื่องหรือรู้จักสิ่งที่เรียกว่าพฤติของจิตกันให้มากขึ้น จนเพียงพอ, จนเพียงพอ เพราะว่าความล้มเหลวมันอยู่ที่เราไม่รู้จัก ไม่รู้สึก ไม่เห็นชัด ต่อสิ่งที่เรียกว่าพฤติของจิต เราเพียงแต่ได้ยินได้ฟัง บันทึกเกี่ยวกับพฤติของจิต หลักธรรมะ ข้อความบรรยายธรรมะ หรือการปฏิบัติธรรมะอะไรต่างๆ นั่นน่ะมันเป็นเพียงบันทึกเท่านั้น บันทึกเป็นตัวหนังสือถึงเรื่องราวอันเป็นพฤติของจิต ที่มันมีอยู่ได้ เป็นอยู่ได้ หรือเป็นไปแล้วโดยธรรมชาติของบุคคลผู้ที่เขาประพฤติปฏิบัติมาแล้ว มันไม่อาจจะเก็บรักษาไว้โดยวิธีอื่นนอกจากบันทึกไว้ ดังนั้นเราจึงมีแต่บันทึก ขอให้ฟังดีๆ เถอะ บันทึกเรื่องว่าจะต้องทำอย่างไร แล้วมันจะมีการเปลี่ยนไปของจิตอย่างไร รวมทั้งผลที่จิตมันได้รับ ผลที่จิตมันได้รับมันก็ปรากฏอยู่ที่จิต มีผลต่อจิตที่เรียกว่ามี effect ต่อจิต ดังนั้นมันก็คือพฤติของจิตด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นแปลว่าทั้งหมดมันไม่มีอะไรนอกจากเรื่องของจิต หรือเมื่อกล่าวโดยแท้จริง มันไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนอะไรที่ไหน นอกจากจิตสิ่งเดียว มันเป็นอย่างนั้น มันทำอย่างนี้ มันปรุงแต่งอย่างโน้น ทุกเรื่องเลยเป็นเรื่องของจิตหมด ตัวชีวิตเองก็ดีหรือว่าทุกอย่างที่มันรวมกันเป็นชีวิตนี้ก็ดี มันก็เป็นเรื่องของจิต และความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ต่างๆ นานาที่เราคิดว่าเป็นเรื่องของตัวกูของกู นั่นมันเป็นเรื่องของจิต ดังนั้นจึงไม่มีอะไรนอกจากจิต ไม่มีอะไรนอกจากพฤติของจิต ถ้าไม่เข้ามาสู่จิต ไม่มาเป็นพฤติในจิต มันก็เท่ากับไม่มี คือมันยังไม่มี หรือมัน มัน มันไม่มี
ฉะนั้นจิตจะรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้จักสิ่ง รู้สึกต่อสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน, นิพพาน มันหมดความร้อน มันเป็นนิพพาน อย่างนี้ก็ดี มันเป็นเรื่องของสิ่งๆ เดียวคือจิต ฉะนั้นที่เราได้เล่าเรียน ได้พูด ได้อบรมอะไรกันนี่ มันเป็นบันทึกเรื่องของจิต ฉะนั้นยังไม่มีอะไรมาก มันเป็นแต่การบันทึกเรื่องของจิต จิตของเรายังไม่ได้มีพฤติอย่างนั้น ยังไม่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้น เพียงแต่ได้ยินได้ฟังเรื่องที่เขาบันทึกไว้ให้ อันมากมายแหละ อันมากมาย เช่น พระไตรปิฎกทั้งหมดนั่นก็เป็นเรื่องบันทึก บันทึกเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า คำตรัสของพระพุทธเจ้า หรือคำพูดของใครก็ตาม มันเป็นเรื่องราวของจิตที่ได้ผ่านไปแล้ว แม้คนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไร มันก็เป็นเรื่องในจิตในหัวใจไปทั้งนั้นแหละ มันไม่ใช่เรื่องของบุคคล ตัวตน หรือบุคคลอะไรที่ไหนได้ จิตรู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้นในนามของตัวตน ของบุคคล ดังนั้นอยากจะให้เข้าใจระบบนี้ ระบบพฤติของจิต ทั้งหมดที่เราจะพูดกัน ให้ได้ยินได้ฟัง ให้ได้รู้ ให้ได้เข้าใจ
ทีนี้สำหรับผมเองผู้พูดนี่ ก็มีอยู่ไม่น้อยที่พูดไปตามบันทึก ยิ่งสมัยก่อนๆ โน้นแล้วก็มันรู้เรื่องจิตของตนเองน้อยมาก ฉะนั้นมันจึงพูดไปตามที่ได้ยินได้ฟัง ได้เล่าได้เรียนมา เคยเป็นครูสอนนักธรรม มันก็สอนตามที่จำได้และตามที่เข้าใจ ที่สรุปออกมาจากความรู้ตามที่จำได้ ต่อมาเมื่อได้เปลี่ยนความรู้ตามที่จำได้ ให้มาเป็นการปฏิบัติตามที่จะทำได้ มันก็เกิดความรู้ธรรมะจากพฤติของจิต ก่อนโน้นมีแต่ความรู้ที่ออกมาจากการเล่าเรียน การจำ การคิดคำนวณ แม้การคิดคำนวณนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ออกมาโดยตรงจากพฤติในจิต ต่อเมื่อมาทำการปฏิบัติ มันจึงเกิดความรู้สึกโดยตรงออกมาจากความรู้สึกของจิต เมื่อมันมีความรู้สึกชนิดที่ถูกต้อง เข้ารูปเข้ารอยกันดี มันก็มีความเห็นแจ้ง แต่ว่ามีส่วนน้อยเต็มที ที่ผมพูดไปตั้งมากมายนั้น มันก็มีส่วนที่พูดไปโดยความรู้สึกจากภายในจิต พวกฝรั่งบางคนเขาเขียนถึงผม เขาว่าผมมีส่วนของการพูดไปตามความรู้สึกของจิต อย่างนี้ก็มี ซึ่งในเมืองไทยก็ไม่ค่อยได้พูดหรอก ดูจะไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่ยังมีพวกฝรั่งบางคนที่เขาเขียน ปรากฏอยู่ในหนังสือที่เขาเขียน ว่าผมได้พูดไปจากความรู้สึกที่รู้สึกอยู่ในจิต ก็มีอยู่ ไม่ใช่พูดไปตามหนังสือ คัมภีร์ ตำรับตำราโดยส่วนเดียว แต่ที่จริงผมก็เคยพูดจากตำรับตำรา คัมภีร์ โดยส่วนเดียวมาเยอะแยะแล้ว มันก็เพิ่งมีในครั้งหลังๆ ที่จะพูดอะไรออกไปตามความรู้สึกจากจิต ฉะนั้นอะไรที่มันไม่มีในตำรา ในคัมภีร์ แล้วพูดนั่นแหละ ขอให้รู้เถิดว่า มันพูดออกไปจากความรู้สึกของจิต ซึ่งมันรู้สึกมากถึงขนาดที่เรียกว่าเห็นแจ้งก็มีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่แทงตลอดถึงมรรคผล นิพพานโดยสิ้นเชิง มันก็เห็นแจ้งหรือแทงตลอดในขั้น ขั้นที่มันเห็นแจ้ง
เรามาพูดกันด้วยคำธรรมดา ภาษาไทยธรรมดานะ ช่วยจำไว้สัก ๓ คำ ว่าเรามีความรู้ และเรามีความรู้สึก แล้วเรามีความเห็นแจ้ง ผมอยากจะให้ทุกองค์นี้ ทุกท่านนี้ เข้าใจคำ ๓ คำเหล่านี้ให้ดี แล้วเอาไปปรับกับเรื่องของตนเอง กับเรื่องของเราเอง อย่างไรเป็นความรู้ที่วันหนึ่งๆ ก็ป้อนให้หรือยัดให้มากทีเดียวแหละ ที่เป็นความรู้น่ะ แต่แล้วอย่างไรเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากรู้สึกของจิตที่เรียกว่า พฤติของจิต มีบ้างไหม บวชมาก็หลายวันแล้ว มีอะไรที่มันเกิดเป็นความรู้สึกออกมาโดยตรงจากความเป็นไปของจิต แล้วมีบ้างไหมที่ว่าความรู้สึกเหล่านี้มันเป็นไปมากเข้า มันสัมพันธ์กันดี, มันสัมพันธ์กันดี แล้วมันเป็นความเห็นแจ้งขึ้นมา ไม่ต้องอาศัยความจำ ไม่ต้องคำนวณ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องใช้เหตุผล มันก็เห็นแจ้งโดยประจักษ์อยู่ ความรู้สึกมันมาเป็นความเห็นแจ้ง แล้วเราก็มีความเห็นแจ้ง นี่ขอให้สนใจ จับฉวย ทดสอบสิ่งที่มีอยู่ในจิต จะเรียกอีกทีว่าพฤติของจิตก็ได้อีกเหมือนกันแหละ เรามีความรู้ เรามีความรู้สึก แล้วเรามีความเห็นแจ้งในข้อเท็จจริงอันนั้น ในชั้นแรกเราก็มีมากที่เป็นความรู้ เพราะอ่านมา เคยอ่านมามากแล้ว แล้วยังมาอ่านที่นี่อีก แล้วยังมาฟังที่นี่อีก อย่างนี้เป็นความรู้ธรรมดาสามัญ ตามธรรมดาสามัญ เป็นความรู้ จนกว่าความรู้นี้มันเปลี่ยนรูปไปเป็นความรู้สึกเพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมะนั้นๆ โดยเจตนาก็มี หรือแม้โดยไม่เจตนา เมื่อความรู้มันสัมพันธ์กันดี มันเหมาะส่วนสมดุลกันดี มันก็ให้เกิดผลเป็นความรู้สึกได้ ได้เหมือนกัน นั้นแหละมันก้าวหน้า นั่นคือความก้าวหน้าไปตามหนทาง ตามคลองของธรรมะ
คำว่า รู้สึก, รู้สึกนี่ มันต้องมีสิ่งนั้นอยู่ในใจ หรืออยู่ในความรู้สึกนั้นเอง มันจึงจะรู้สึกได้ เช่น เราได้ยินคำว่า ราคะ โทสะ โมหะ เราก็รู้เท่านั้นแหละอย่างที่เขาว่าอย่างไร จนกว่าเราจะจับตัวมันได้ คือสัมผัสรสชาติของราคะ โทสะ โมหะได้ หรือกิเลสชื่ออื่น หรือธรรมะชื่ออื่นก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ก็เรียกว่าเรามันรู้สึกต่อสิ่งนั้น คำที่เราพูดกันเป็นภาษาสากลว่า มี experience, experience มีได้ทั้งทางฝ่ายวัตถุ และทั้งทางฝ่ายจิต มันก็เป็นความรู้สึกด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเรารู้สึกทางกาย เราชิมรสของมันมาด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันก็เป็นความรู้สึก แต่ที่ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้นมันก็รู้สึก ที่ชิมมันด้วยจิตใจ รู้สึกด้วยจิตใจ นี่ขอให้มองเห็นว่าสิ่งนี้มันลึกหรือมันมากกว่า มันสูงกว่าความรู้เฉยๆ เราเห็น เราได้ยิน เราเรียน มันอาจจะไม่รู้สึกก็ได้ มันเป็นแต่เพียงความรู้
ทีนี้เมื่อรู้สึกมากเข้า, รู้สึกมากเข้า ความรู้สึกทางฝ่ายจิตน่ะ หรือประกอบด้วยฝ่ายวัตถุตามสมควร นี่เรียกว่า ความเจนจัดฝ่ายจิตมันก็มากเข้า มันก็ออกมาเป็นความเห็นแจ้ง เห็นแจ้ง คำที่เขาออกเสียงว่า convince, convince นี่มันมากกว่า experience และมันเป็นผลที่ออกมาจาก experience ถ้ามัน convince, convince มากเข้าๆ มันจะค่อยๆ กลายเป็น enlighten, enlightened, enlightened (นาทีที่ 17: 13) มันเห็นแจ้ง, มันเห็นแจ้ง ฉะนั้นคำพูดนี้มันก็ยาก แม้ในภาษาไทยมันก็ยากที่จะพูดให้ตรง ภาษาอังกฤษซึ่งบางทีเราก็จะต้องพูดกับชาวต่างประเทศ เราก็ต้องพูดให้ตรง และรู้สึกว่าภาษาอังกฤษโดยเฉพาะ มีคำสมบูรณ์มาก มีคำหลายคำที่จะใช้ได้หลายขั้นตอน เป็นตอน เป็นขั้นเป็นตอน แล้วจะตรงแก่ความหมายของคำแต่ละคำนั้นได้มาก มากกว่า เช่น เราไม่มีคำภาษาไทยที่จะแยกคำภาษาอังกฤษที่เป็นลำดับ ลำดับ ลำดับ เป็นศัพท์ เป็นศัพท์ออกไปได้ เรามักจะใช้คำแปลคำเดียวกันไปเสีย มันก็ไม่ดี คือไม่สำเร็จประโยชน์อย่างเต็มที่
ดังนั้น ขอให้ไปกำหนดเอาเอง ผมก็ไม่ใช่จะรู้ภาษาอังกฤษอะไรมากมาย ครบถ้วนถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเท่าที่สังเกตมานะ มันรู้สึกอย่างนี้ เช่นว่าเรามีความรู้, เรามีความรู้ด้วยการเรียน ที่เรามีความรู้สึก ทีนี้ไม่ใช่การเรียนแล้ว แต่เป็นผลการเรียนก็ได้ แต่มันเป็นผลการสัมผัสด้วยจิต มันไม่ใช่การเรียนจากภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันเป็นเรื่องสัมผัสด้วยจิตโดยตรง มันก็เป็นความรู้สึก รู้สึก มันมากกว่าความรู้มากนัก เมื่อความรู้สึกเป็นไป เป็นไปเพียงพอ สัมพันธ์กันดี สมดุลกันดี ความเห็นแจ้งแทงตลอดมันก็โพล่งออกมา ถ้าจะต้องไปพูดกับชาวต่างประเทศก็ไปหาเอาเอง ไปพยายามค้นหาคำที่มันตรงเผง, เผง, เผง จากตำราหรือจากบุคคลที่เขาแตกฉานในภาษานั้นๆ แต่เดี๋ยวนี้ในภาษาไทย เราพูดกันเมืองไทย พูดอย่างไทย พูดคนไทยนี้ ผมเห็นว่า ๓ คำนี้สำคัญมาก ขอให้ไปนอนคิด แยกแยะดู จะเห็นว่าความรู้คืออะไร ความรู้สึกคืออะไร ความเห็นแจ้งแทงตลอดนั้นมันคืออะไร
เอ้า, ทีนี้เรื่องสำคัญของเราที่เป็นวัตถุสำหรับการศึกษา เป็นที่ตั้งการศึกษานั้น มันคือเรื่องความทุกข์ มันพูดอย่างเป็นเรื่องพูดเล่นหรือเป็นตลกก็ได้ ถ้าว่ามันไม่มีเรื่องความทุกข์เป็นปัญหา เราก็ไม่ต้องมาศึกษาธรรมะให้เสียเวลา ดูเหมือนพระพุทธเจ้าท่านจะได้ตรัสทำนองนี้ ผมยังจำได้ เข้าใจว่าไม่ผิด คือตรัสเป็นใจความว่า ถ้ามันไม่มีความทุกข์อยู่ในหมู่สัตว์ ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นมาในโลกนี้ แต่โดยเหตุที่ความทุกข์ซึ่งท่านหมายถึง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้นนี้ โดยเฉพาะนี้ มันมีอยู่ในหมู่สัตว์ ตถาคตจึงต้องเกิดขึ้นมาในโลกนี้เพื่อมาจัดการกับปัญหาอันนี้ ฉะนั้นขอให้ถือว่า ความทุกข์นั้นน่ะ สิ่งที่เรียกว่าความทุกข์นั่นคือตัวปัญหา ตัวปัญหาที่เป็นต้นเหตุให้ต้องเกิดการกระทำต่างๆ นานา เพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านั้นเสีย เอาแหละถ้าว่าเราขจัดปัญหานี้ได้ เรื่องมันจบ ฟังดูให้ดีๆ ถ้าเรากำจัดปัญหาเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์เสียได้ เรื่องมันจบ เพราะมันเป็นนิพพาน ขจัดความทุกข์ได้หมดจดจริงๆ เป็นเรื่องนิพพาน แล้วเรื่องมันก็จะจบ ไม่ต้องมีเรื่องอะไรที่จะลำบากสำหรับการศึกษาหรือการปฏิบัติกันอีกต่อไป การประพฤติพรหมจรรย์มันก็ไปจบที่วิมุตติหรือนิพพานนั่นแหละ คือว่าดับทุกข์สิ้นเชิง รอด รอดไปจากความทุกข์ มันจบที่นั่น ถ้ามันไม่มีความทุกข์เรื่องมันจบ เดี๋ยวนี้มันยังมีความทุกข์อยู่ ดังนั้นขอให้เอาตัวความทุกข์มาเป็นตัวปัญหาหรือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทำลายมัน
ดังนั้นเราจึงต้องมีความรู้เรื่องความทุกข์ มีความรู้สึกเรื่องความทุกข์ มีความเห็นแจ้งเรื่องความทุกข์ ตอนนี้ผมจะพูดว่า อย่าไปหวังคัมภีร์ คัมภีร์หรือพระธรรม คัมภีร์อะไรนัก ใช้ชีวิตของตนเองนั่นแหละเป็นตัวสำหรับเอามาดู มาพลิกดู มาศึกษา ศึกษาที่ตัวชีวิตด้วยตนเอง สมมติว่าเราไม่มีคัมภีร์ สมมติว่าเราไม่มีพระคัมภีร์ ไม่มีอะไร ไม่มีพระไตรปิฎก ว่าอย่างนั้นเถอะ ไม่มีอะไร คัมภีร์อะไรเลย แต่เมื่อเรามีมันสมองถึงขนาดนี้เราจะไม่รู้สึกบ้างเชียวหรือว่า มันมีอะไรบ้าง มันมีความทุกข์, มันมีความทุกข์ แล้วเราก็รู้สึกสิ รู้สึกต่อสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ที่มันบีบคั้นทรมานเราอยู่ เราก็จะรู้สึกว่า เออ, มันมี, มี มีสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ รู้สึก ถ้าอย่างนี้แล้วมันก็เข้ามาในขอบเขตของความสำเร็จนั่นแหละ เพราะว่ามันมีความรู้สึกต่อสิ่งนั้น ซึ่งจะเรียกเป็นบาลีด้วยคำที่สำคัญที่สุดคำหนึ่งก็คือว่า มันเป็นสันทิฏฐิโก เดี๋ยวนี้ความทุกข์ ทุกขัง น่ะมันเป็นสันทิฏฐิกังต่อเรา สันทิฏฐิโกสำหรับคำอื่น สำหรับความทุกข์นี้เรียกว่าสันทิฏฐิกัง เป็นสันทิฏฐิกังต่อเรา นี่คือวิธีที่จะ จะจริง จะลัดสั้น และจะจริงที่สุด จงมีความรู้สึกเฉพาะเจาะจงลงไปที่ตัวปัญหาคือความทุกข์ ถ้าเรามีความรู้สึกจริงว่ามันเป็นทุกข์ทรมานจริง มันก็จริงเท่านั้นแหละ, มันก็จริงเท่านั้นแหละ มันก็ไม่ผิดไปได้ ฉะนั้นเราก็มีความรู้สึกต่อสิ่งที่เรียกว่า ทุกข์ มันมีความหมายมากนะคำว่า ความทุกข์ มันมีความหมายมากกว่าคำว่า เจ็บปวดนะ คุณดูให้ดีเถอะ ความเจ็บปวดล้วนๆ น่ะ มันยังคนละความหมายกับคำว่า ความทุกข์ ความทุกข์นี้ก็หมายถึง ส่วนที่มันยึดถือมาเป็นของเรา มาเป็นเราเจ็บ มาเป็นกูเจ็บ มาเป็นความเจ็บของกู นี่จึงเรียกว่าเป็นความทุกข์ ถ้ามันยังเป็นของธรรมชาติ ไม่มีจิตไปเก็บเอามาเป็นของกูละก็ ก็เป็นความเจ็บเฉยๆ ตามธรรมชาติ ยังไม่ใช่ความทุกข์ แต่ว่าโดยมากตามธรรมชาติของสัตว์บุถุชนนี้ มันก็ไปเก็บเอามาเป็นของกูแหละ ตามความรู้ สติปัญญาของบุถุชน มันก็ พอเจ็บมันก็เจ็บของกู แล้วกูก็จะตาย ฉะนั้นความเจ็บปวดนั้นมันก็มากลายเป็นความทุกข์ ถ้ามันยังเป็นสิ่งที่จิตไม่เอามายึดถือเป็นของของกูแล้ว ก็ยังไม่ใช่ความทุกข์ในความหมายนี้ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตามธรรมชาติ มันก็เป็นสักว่าอาการของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ แต่ถ้าผู้ใดที่มันเป็นเจ้าของ คืออาการนั้นน่ะมันยึดถือว่า ความเกิดของกู ความแก่ของกู ความเจ็บของกู ความตายของกู โดยมันรู้สึกตัวก็ตาม โดยที่มันไม่รู้สึกตัวคือไม่เจตนาก็ตาม มันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น นี่ต้องให้รู้ว่ามันแยกกันได้ กิริยาอาการเหล่านั้น ถ้าไม่ถูกยึดถือก็ไม่เป็นความทุกข์ มันแยกกันได้ตรงที่ว่า มีการยึดถือก็ได้ ไม่มีก็ได้ เช่นผู้ที่รู้ธรรมะถึงที่สุดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านไม่มีความยึดถือเหลืออยู่ ดังนั้นแม้ว่าร่างกายของท่านกำลังแก่ กำลังเจ็บ กำลังไข้ กำลังจะตาย อะไรก็ตาม พระอรหันต์นั้นไม่ได้ยึดถือเอาความแก่ เจ็บ ตายนั้นว่าเป็นของท่าน มันก็สักว่าความแก่ เจ็บ ตาย ของธรรมชาติ มันไม่เป็นทุกข์แก่ท่าน ที่พูดว่าความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นทุกข์ นี่มันเป็นทุกข์แก่บุคคลผู้ยึดถือ โง่ ไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้เรื่อง นี่แล้วก็ยึดถือเต็มที่แล้วก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นความเจ็บปวดก็เหมือนกัน ที่ไม่ได้รับการยึดถือว่าเป็นของกู มันก็สักว่าเป็นความเจ็บปวด มันยังไม่ใช่ความทุกข์ นี่เป็นตัวอย่างสำหรับวัด สำหรับเปรียบเทียบ สำหรับคำนวณ ว่าความทุกข์นี้มันต้องเป็นสิ่งที่เข้าไปทรมานอยู่ในจิตใจ ในฐานะเป็นของหนักเพราะมีความยึดถือนั่นเอง ดังนั้นถ้าผู้ใดรู้สึกต่อความทุกข์ ผู้นั้นจะต้องรู้สึกต่อความยึดถือนี้ด้วยเป็นธรรมดา เพราะว่ามันจะแฝดกันอยู่กับสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์แหละ ความเจ็บปวดก็ดี ความแก่ ความเจ็บ ความตายอะไรก็ดี เมื่อมีความยึดถือเข้าไปยึดถือ มันก็กลายเป็นความทุกข์ ถ้ามิฉะนั้นแล้ว มันเป็นเพียงอาการหรือปรากฏการณ์ กิริยาอาการตามธรรมชาติเท่านั้น มันจะไม่เป็นทุกข์แก่จิตใจที่มิได้ยึดถือ นี่คำสำคัญมันจะมีว่า มันจะไม่เป็นทุกข์แก่จิตใจที่มิได้ยึดถือ มันจะเป็นทุกข์แก่จิตใจที่ยึดถือ ฉะนั้นเราจงพยายามให้ดีที่สุดที่เราจะทำได้ ที่จะมีความรู้สึกต่อความทุกข์ที่มีความหมายสมบูรณ์ คือจิตโง่ ยึดถือเอามาเป็นของเรา แล้วแต่จะยึดถือเอาอะไรมาเป็นทุกข์ ความเกิดก็ได้ ความแก่ก็ได้ ความเจ็บก็ได้ ความตายก็ได้ ความโสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส ที่มันไม่เป็นที่สบายใจ แล้วก็ยึดถือเอาอันนั้นมาเป็นตัวเรา เป็นของเรา เป็นผู้ เจ้าของความรู้สึกอันนั้น แล้วมันก็เป็นทุกข์
มันมีพระพุทธภาษิตเปรียบเทียบไว้ดี คือว่าทีแรกมันถูกยิงด้วยลูกศรเล็กๆ นิดๆ ไม่มี ไม่มียาพิษ ไม่ได้อาบยาพิษ มันก็เจ็บเหมือนเข็มแทง ทีนี้พอไปยึดถือว่าความเจ็บของกู มันก็จะเหมือนกับมีลูกศรดอกใหญ่อาบยาพิษมาแทงเข้าไปอีกทีหนึ่ง นี่ความเจ็บปวดหรือกิริยาที่เรียกว่าเจ็บปวด ทีแรกมันเจ็บปวดเหมือนกับลูกศรเล็กๆ เกลี้ยงๆ ไม่มีอะไรแทง แต่พอมายึดว่าความเจ็บนี้ของกู ทีนี้มันกลายเป็นลูกศรใหญ่อาบยาพิษเต็มที่มาเสียบมาแทงเข้าไป มันก็เจ็บมากเพราะมันใหญ่ เพราะมันมียาพิษอันร้ายกาจ ฉะนั้นความทุกข์มันต้องมีความยึดถือรวมอยู่ด้วยเสมอไป โดยสรุปแล้ว ขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานน่ะเป็นตัวทุกข์ ถ้ามันไม่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน มันไม่เป็นทุกข์หรอก จะเป็นอะไรก็ตาม รูปกายนี้ก็ได้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อะไรก็ตาม ถ้ามันไม่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานแล้วจะไม่เป็นทุกข์ แต่ว่ามันมีลักษณะอื่นซึ่งสมมติเรียกว่าความทุกข์ ลักษณะแห่งความทุกข์ ก็ได้เหมือนกันแหละ แต่ไม่ใช่ความทุกข์ อันนั้นอีกความหมายหนึ่ง มันมีลักษณะแห่งความทุกข์ ถ้าเราเห็นนี่ ตอนที่เราจะเห็นนี่ พอรู้สึกแล้ว รู้สึกเต็มที่แล้ว มันจะมีความเห็นแจ้ง นี่อาจจะเห็นเลยไปถึงลักษณะแห่งความทุกข์ นี่กลายเป็นสังขารทั้งปวงเลย สังขารทั้งปวงมีลักษณะแห่งความทุกข์ คำว่า ทุกข์ คำนี้ มันมีคำแปลว่า มีลักษณะแห่งความทุกข์ เช่นว่า ก้อนหินก้อนนี้ ถ้าพูดว่ามันเป็นทุกข์ ก็หมายความว่ามันมีลักษณะแห่งความทุกข์ มันไม่ได้มีความเจ็บปวดรวดร้าวทนทรมานอยู่ในจิต อยู่ในก้อนหิน เพราะในก้อนหินมันไม่มีจิตใจ ฉะนั้นความทุกข์ที่ว่า เป็นความทุกข์เจ็บปวดทนทรมานนั้น มันก็มีได้เฉพาะแก่สัตว์ สังขารอะไรที่มันมีจิตใจที่จะรู้สึกคิดนึกได้ แล้วก็ยึดถือเป็นด้วย ความทุกข์จะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีความยึดถือ เพียงแต่เจ็บปวดในระยะแรกยังไม่สมบูรณ์ นี่เรารู้สึก สมมติว่าเราจะเกิดตรัสรู้เองขึ้นมานะ เราก็พยายามทำความรู้สึก ไอ้ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้น ที่มันมีอยู่จริง เรื่อยๆ ไป, เรื่อยๆ ไป จนพบข้อเท็จจริงอันนี้ ว่าความรู้สึกเป็นทุกข์ที่เรามันยึดถือเข้าไปนั่นน่ะเป็นตัวทุกข์ เราก็จะแยกออกได้ เอ้า! นี่มันเพราะยึดถือนี่หว่าจึงเป็นทุกข์ ถ้าไม่ยึดถือก็ไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้นก็เลยมุ่งหมายที่จะละความยึดถือเสีย
ถ้าความรู้มันเดินมาแนวนี้แล้วมันตรงในพระบาลี มันตรงกับในคำตรัสในพระไตรปิฎกเผงเลยแหละ ทั้งๆ ที่ว่าเราไม่ได้เคยเรียนพระไตรปิฎก หรือว่าไม่ได้รับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามา เรียกว่าอาศัยความรู้สึกประเภทสันทิฏฐิโกเรื่อยมา, เรื่อยมา, เรื่อยมา จนตลอดมา นี่เป็นเหตุให้มีผู้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าชนิดที่ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจเจกพระพุทธเจ้า ท่านรู้เฉพาะตน ท่านรู้เฉพาะเรื่อง เฉพาะเหตุการณ์ เฉพาะจำกัด วงจำกัด ก็ได้เหมือนกันแหละ ถึงขนาดเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ อย่าว่าแต่จะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นได้ แล้วเป็นพระอรหันต์ทำไมจะไม่ได้ ความรู้สึกเอง เป็นสันทิฏฐิโกมากเข้าๆ เหมาะสมกันดี มันก็เป็นการตรัสรู้แหละ เป็นการตรัสรู้เห็นแจ้งขึ้นมา เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ ไม่ได้ทนง ไม่ได้อวดดีว่าจะเป็นพระอรหันต์หรือว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าหรอก แต่เราต้องการจะรู้ จะเข้าถึงธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ ก็จะเดินตามรอยของท่าน แต่เราก็ต้องใช้วิธีเดียวกันนี้ จงมีความรู้ แล้วก็มีความรู้สึก แล้วก็มีความเห็นแจ้งมาตามลำดับๆ ในสิ่งที่กำลังเป็นปัญหา, ในสิ่งที่กำลังเป็นปัญหา แล้วมันไม่ไปไหน มันจะไม่ไปไหน มันจะไปตามแนวของพระนิพพาน จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในสิ่งที่เคยยึดถือ แล้วมันก็จะดับ มันก็จะดับทุกข์
ฉะนั้นขอให้เอาไปใช้ ไปใช้ ให้เรามีความรู้ มีความรู้สึก มีความเห็นแจ้งในทุกเรื่องๆ ที่เราได้ยินได้ฟัง แต่ว่าเรื่องที่มันเป็นเรื่องใหญ่ทั้งหมดก็คือเรื่องความทุกข์ ที่เรารู้สึกเป็นทุกข์โดยที่ไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไร แต่รู้สึกว่าไม่พอใจ ไม่พอใจเลย ไม่สะดวกสบายใจเลย ไม่โปร่งใจเลย งัวเงียอยู่แหละ นั่นแหละมันก็มีอยู่ประเภทหนึ่ง ก็จับตัวมันให้ได้ รู้สึกมันให้ดี มีสันทิฏฐิโกในมันให้ดี รู้สึกด้วยตนเอง ของตนเองแหละ คือด้วยจิต รู้สึกด้วยจิตเอง ที่จริงความรู้สึกนี้มันรู้แทนกันไม่ได้ คนอื่นจะรู้แทนคนอื่นไม่ได้ หรือจะเอาความรู้สึกของคนอื่นมารู้สึกในใจเรา มันก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นตัวมันเอง มันรู้สึกในตัวมันเอง ถ้ามันเป็น experience คือมันก็เป็น self experience อยู่ในตัวมันเอง ฉะนั้นถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อไร ก็นับว่าได้ความรู้สึก ความรู้ชนิดที่ดีกว่าธรรมดา คือเป็นความรู้ที่เป็นความรู้สึก นี่เป็นปัญญาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดมาจากการเล่าเรียนในชั้นต่ำสุด ปัญญาเกิดมาจากการใช้เหตุผลคิดนึกนี่สูงขึ้นมาหน่อย แล้วปัญญาที่มาจากภาวนา คือสิ่งที่มันเป็นขึ้นมาในจิตเองนี่คือข้อนี้ ถ้าเราทำอย่างนี้เราจะได้ภาวนามยปัญญา แม้เราอยู่อย่างคนธรรมดา เป็นฆราวาสที่บ้านที่เรือน แต่เราคอยจ้องที่จะจับตัวความรู้สึกชนิดนี้อยู่แล้ว นั่นน่ะคือจะได้ภาวนามยปัญญา ที่จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน มันจะมีความเห็นแจ้งออกมาจากปัญญาระดับนี้แหละ ปัญญาที่แท้จริงที่ออกมาจากความรู้สึกโดยตรง ลำพังความรู้ที่เรียนในโรงเรียนนั้นน่ะ มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องไปแปลงรูปเป็นความรู้สึก เป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกมากเข้าๆ ก็เป็นความเห็นแจ้งแทงตลอด ความทุกข์มันก็ถูกทำลาย มันกระทบกระเทือนถึงความทุกข์ คือความทุกข์มันจะถูกทำลาย ฉะนั้นวันคืน, วันคืนล่วงไปๆ นี่ ขอให้เราเจริญด้วยความรู้ ด้วยความรู้สึก ด้วยความเห็นแจ้ง ถ้ามันไม่เข้าไปถึงความรู้สึกที่เป็นสันทิฏฐิโกแล้ว ไม่มีหวังหรอก ไม่มีหวังที่จะเป็นไปได้ถึงกับจะเป็นความเห็นแจ้ง ฉะนั้นที่เราได้ยินได้ฟังนี่ มันมากเกินไปแล้วแหละสำหรับความรู้สึกของผม ผมรู้สึกว่า เราพูดกันหรือเราเขียนให้อ่าน มันมากเกิน แต่มันตายด้านอยู่แค่ความรู้ในสมุดสุดขัดสนอยู่นั่นเอง มันไม่ออกไปเป็นความรู้สึก และมันก็ไม่มีความเห็นแจ้ง
ทีนี้พูดถึงความทุกข์กันต่อไปอีกนิดหนึ่ง ว่าเราจะต้องรู้สึกต่อความทุกข์ พอเห็นแจ้งว่า แหม, มันเป็นสิ่งที่มีลักษณะน่าเกลียดน่าชัง น่าเกลียดน่ากลัว น่าขยะแขยง ไม่มีอะไรจะน่าเกลียดน่ากลัว น่าขยะแขยง เหมือนกับความทุกข์ ฉะนั้นถ้าเห็นลักษณะนั้นแล้วก็จำ ก็กำหนดจดจำให้ดี ลักษณะที่น่าเกลียด น่าชัง น่ากลัว น่าขยะแขยงนั้นน่ะมันมีที่ไหนบ้าง มันจะมามีในทุกสิ่ง แม้ในสิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจนะ แต่ที่ร้ายกาจมาก ที่ผมก็ไม่ค่อยกล้าพูด มันจะมามีแม้แต่ในสิ่งที่เรียกว่า บุญกุศล ความดีนั่นน่ะ นี่พูดอย่างนี้มันถูกด่า เพราะคนทั้งโลกเขาหวังจะเอาความดี เอาบุญ เอากุศลอะไรกันอยู่ ถ้าเราบอกว่าดูให้ดีเถอะในนั้นน่ะมันมีลักษณะแห่งความทุกข์ที่น่าเกลียดน่าชัง เพราะมันเป็นสังขาร เพราะมันมีปัจจัยปรุงแต่ง และมันก็เปลี่ยนแปลง แล้วมันก็กัดบุคคลที่เข้าไปยึดถือ บุญนั่นแหละเข้าไปยึดถือ มันกัดเอา กุศลนั้นน่ะเข้าไปยึดถือ มันกัดเอา เรื่องโลกๆ ของชาวบ้านน่ะ ความดีนี่เข้าไปหลงใหลหมายมั่นยึดถือ มันจะต้องน้ำตาตกเพราะความยึดถือเรื่องความดี เกียรติยศชื่อเสียงอะไรก็เหมือนกันแหละ ถ้าไปยึดถือแล้วมันกัดทั้งนั้นแหละ มันจะไม่กัดก็ต่อเมื่อเราไม่ยึดถือ ฉะนั้นได้ดิบได้ดี ได้เกียรติยศชื่อเสียง ได้บุญได้กุศลอะไร ก็ใช้เพื่อความสะดวกสบายไปเถอะ อย่าไปยึดถือเข้า ถ้าไปยึดถือแล้วมันจะกัดเอา สิ่งที่มันไม่มีชีวิตวิญญาณก็มีลักษณะอย่างนั้นแหละ เข้าไปยึดถือแล้วมันก็จะกัดเอา แก้วแหวนเงินทอง เพชรพลอยอะไรก็ตาม ลองไปยึดถือ มันก็จะกัดเอา แม้ที่เป็นนามธรรมนะ เช่น ความรวย ความจน นี่ไปยึดถือ มันก็กัดเอาทั้งนั้นแหละ ถ้ายึดถือความจน ความจนก็กัด ยึดถือความรวย ความรวยก็กัด ถ้ายึดถือความแพ้ มันก็กัด ไปยึดถือความชนะมันก็กัด ฉะนั้นเราไม่ยึดถือทั้งความแพ้ ไม่ยึดถือทั้งความชนะ เราก็อยู่ตรงกลาง แล้วไม่มีอะไรกัด ฉะนั้นสังขารทั้งหลายทั้งปวง มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ยึดถือไม่ได้ ยึดถือแล้วมันกัดทั้งนั้น นี่เรียกว่าความเห็นแจ้ง นี่ความเห็นแจ้งมาถึงขั้นนี้ เห็นแจ้งในความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์ มันมาจากความยึดถือ ก็เลยเห็นตลอดไปหมดเลยว่า อะไรก็ตามถ้าไปยึดถือแล้วจะไม่มีความทุกข์นั้นไม่มีหรอก ไม่ว่าอะไรแม้แต่พระนิพพานน่ะ ก็ ก็ไปยึดถือไม่ได้ ถ้ายึดถือแล้วไม่เป็นนิพพานหรอก พอไปยึดถือพระนิพพานแล้วจะไม่เป็นพระนิพพาน เพราะพระนิพพานมันมาจากความไม่ยึดถือ ไม่ยึดถืออะไรเลย ฉะนั้นจะยึดถือพระนิพพานให้เป็นนิพพานขึ้นมาอีก มันก็เป็นไปไม่ได้สิ จึงเรียกว่ามันเห็นจนกระทั่งว่าไม่มีอะไรที่ยึดถือได้ อาจารย์บ้านนอกคอกนาแท้ๆ เขาก็ยังกล่าวคำที่น่าสะดุ้งว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ใครไม่เคยฟังมันสะดุ้ง คือท่านหมายความว่า ทั้งชั่วและทั้งดีนั่นน่ะไปยึดถือ มันกัดเอาทั้งนั้นแหละ มันไม่น่ารักทั้งนั้นแหละ อัปรีย์ แปลว่า ไม่น่ารัก ความหมายมันเพียงว่าไม่น่ารัก ไปรักเข้ามันก็กัดเอา บุญกุศล เกียรติยศชื่อเสียง ไอ้ที่ว่าดี, ดี, ดี ลองไป ลองไปยึดถือ มันกัดเอาทันที มันจะเกิดความหนักอกหนักใจ เกิดปัญหา เกิดอะไรขึ้นมามากมาย นี่เรียกว่ามันกัดเอา
นี่จึงขอพูดย้ำอีกทีว่า ถ้าเราเห็นแจ้ง รู้สึกแล้วมาเห็นแจ้งในสิ่งที่เรียกว่าเป็นทุกข์ จะเห็นความทุกข์ในสังขารทั้งปวง แม้ความดี แม้ในบุญในกุศล มันก็เป็นสังขารเหมือนกัน มันก็มีความทุกข์อยู่ในความดี ในบุญในกุศล คืออาการที่มันมีลักษณะแห่งความทุกข์ ไปยึดถือแล้วกัดทั้งนั้น, ไปยึดถือแล้วกัดทั้งนั้น คำพูดนี้มันพูดไปแล้วมันถูกด่า เพราะว่าคนร้อยเกือบทั้งร้อยในบ้านในเมืองในโลกนี้ เขายังหวังที่จะได้ความดี เกียรติยศชื่อเสียง สอนกันให้แสวงหาความดี เกียรติยศ ชื่อเสียงอยู่นี่ เมื่อเราไปบอกอย่างนั้นเขาก็ไม่ชอบ เพราะเขาไม่เข้าใจ เขาก็ด่าเรา ฉะนั้นเราก็ไว้พูดกันเฉพาะคนที่มันจะฟังถูก ใครฟังถูกจึงค่อยพูด คือบอกให้รู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะไปยึดถือได้ ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือ ไม่มีอะไรที่ต้องยึดถือ เพราะว่าไปยึดถือแล้วมันกัดทั้งนั้น เราจึงไม่ ไม่ต้องยึดถือ นี่เห็น เห็นไหม เห็นแจ้ง เห็นแจ้งถึงขนาดที่ว่า แม้แต่ความดี ความอะไรที่ปรารถนากันนัก ถ้าเห็นแจ้งแล้วจะเห็นว่า โอ้! มันเป็นความทุกข์ มีลักษณะแห่งความทุกข์ คือเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย พอไปยึดถือเข้ามันก็กัดเอา เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะมันไม่เป็นไปตามความประสงค์ของเรา นี่การเห็นแจ้งเป็นอย่างนี้
ความรู้น่ะ เด็กๆ ไปที่โรงเรียนมันก็รู้, มันก็รู้ มันจดในสมุดก็ได้ ความรู้ แต่มันก็ไม่มีความรู้สึก มันยังไม่มีความรู้สึกอย่างสันทิฏฐิโก ต่อมามันก็มีความรู้สึกอย่างสันทิฏฐิโกในเรื่องนั้นมากเข้าๆ ก็แจ้งออกไปหมด เห็นรอบด้านเลย เห็นรอบตัวรอบด้านว่ามันเป็นอย่างไร อย่างนี้มันมากกว่าความรู้สึก เขาใช้คำว่า เห็นแจ้ง ขั้นตอนนี้ ขั้นตอนเห็นแจ้งนี้คือการสำเร็จประโยชน์ นี่การศึกษาหรือการปฏิบัติธรรมะโดยวิธีของธรรมะ ไม่ใช่วิธีในโรงเรียน ไม่ใช่วิธีคำนวณด้วยเหตุผลของนักปรัชญา เรื่องวิธีการปรัชญาหรือลัทธินั่นมันเห็นแจ้งไม่ได้หรอก แม้แต่รู้สึกก็จะไม่ได้ มันจะเป็นความรู้เสียเท่านั้นเอง เป็นความรู้ที่ถอดรูปออกมาจากการใช้เหตุผล การคำนวณด้วยการใช้เหตุผล พวกฝรั่งน่ะผมไม่ใช่จะดูถูกเขา มันติดอยู่ที่นี่ มันมาติดอยู่ที่นิยมความรู้ที่ออกมาการใช้เหตุผล ที่เขาเรียกว่าระบบปรัชญา วิธีคิดอย่างปรัชญา แล้วมันก็ติดอยู่ที่นี่ มันเห็นแจ้งไม่ได้ มันรู้สึกก็ยังไม่ได้ มันไม่มีความรู้สึกด้วยจิตใจ แต่มีการสรุปเอาเป็นความรู้ด้วยการใช้เหตุผล ด้วยการคำนวณด้วยเหตุผล แล้วมันก็ติดอยู่ที่นี่ เขามุ่งจะศึกษาธรรมะอย่างปรัชญากันทั้งนั้น เราช่วยเขาไม่ได้เพราะเหตุนี้ เพราะว่าธรรมะของเรามันไม่ใช่สิ่งที่จะใช้กับวิธีการอย่างปรัชญา ใช้วิธีการอย่างที่เป็นความรู้สึกแก่ใจ เป็นความเห็นแจ้งโดยตรงเกี่ยวกับใจ เรียกว่าไม่มีการใช้เหตุผล reasoning, reasoning น่ะ อย่าเอามาใช้กับธรรมะในขั้นที่เป็นความรู้สึก หรือเป็นความเห็นแจ้ง calculation การคำนวณ มันเป็นปรัชญา ในอินเดียเขาเรียก สางขยะ, สางขยะ การคำนวณ calculation ก็ดี การใช้เหตุผลคือ reasoning ก็ดี ไม่อาจจะเอามาใช้กันได้กับธรรมะที่จะเป็นสันทิฏฐิโก มันไม่สันทิฏฐิโกได้ มันสันทิฏฐิโกไปตามเหตุผล ทีนี้เหตุผลมันผิดได้ มันก็เลยยุติไม่ได้ ฉะนั้นเรายังไม่อาจจะช่วยพวกที่ติดเฮโรอีนปรัชญา ผมใช้คำค่อนข้างจะสบประมาท เฮโรอีนปรัชญา ที่เขาติดปรัชญา ติดคุณค่าของปรัชญาน่ะมันก็เท่ากับติดเฮโรอีนของเด็กๆ ติดเฮโรอีน มันละยาก มันถอนยาก มันจึงชะงักงันกันอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่เข้าถึงตัวธรรมะ และผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน ถ้าว่าไปพูดอย่างนี้ที่เมืองฝรั่ง จะถูกไล่เตะกลับมาก็ได้ สอนไม่ได้ สอนไม่สำเร็จ ผมจึงไม่คิดจะไปเพราะเห็นว่าเขาเมาปรัชญากันนัก
เอาละวันนี้ผมไม่มีอะไรพูดมาก ไม่ได้พูดตัวธรรมะอะไรโดยตรง แต่พูดว่าขอให้สังเกตดูพฤติของจิต จิตพฤติ พฤติของจิต process ของจิต มันจะเป็นชั้นๆ กันอยู่อย่างนี้ เรามาถึงชั้นไหน แล้วทำไมคนธรรมดาเขาจึงไม่สนใจ เพราะคนธรรมดาเขาอร่อยอยู่ด้วยความอร่อยทางอายตนะโน่น ความเพลิดเพลินทางตา ทางหู ที่เป็นที่ตั้งของกิเลสน่ะ เขากำลังอร่อยกันอยู่ คือไปหลงในสิ่งเคลือบ ของเคลือบของความทุกข์ ความทุกข์มันก็เคลือบไว้ด้วยเหยื่อ คือความอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง กระทั่งในทางจิตใจเอง ที่ต้องแยกออกมาเสียอีกส่วนหนึ่ง จิตใจที่มาอยู่ใกล้ๆ มาอยู่เนื่องๆ กันกับกาย จิตใจชนิดนี้ต่ำมาก มาอยู่กับกาย มารับใช้ร่างกายเสียมากกว่า ไม่ใช่จิตใจของสติปัญญา เดี๋ยวนี้เพื่อนมนุษย์ของเรา เขาไปหลงอยู่ในความเอร็ดอร่อย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ เรื่องเพศ เพื่อนๆ ของคุณที่เขาเรียน เขาเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนามา ปริญญายาวเป็นหางนั่นน่ะ เขาหวังอะไร เขาไม่เคยรู้เรื่องนิพพาน เขาไม่ได้หวังนิพพาน เขาหวังสูงสุดทางอร่อยของชีวิต, อร่อยของชีวิต ไปๆ มาๆ ก็เรื่องกามารมณ์ เรื่องเพศ เกียรติยศชื่อเสียง เงินทอง อำนาจวาสนาอะไร เอามาเป็นประกัน ประกันสำหรับจะสมรสให้สูงสุด แต่งงานให้วิจิตรพิสดารอย่างไร มันก็จะมีกันอยู่เพียงเท่านั้น ถึงเขาจะหาชื่อเสียงมา เขาก็หามาเพื่อเป็นบริวารของกามารมณ์ จนกว่าเมื่อไรจะแยกตัวเองออกมาเสียได้จากเสน่ห์ของอารมณ์ อายตนะเหล่านี้ นั่นแหละเขาถึงจะหันมาทางธรรมะ ภาษาธรรมะเขาเรียกว่าเป็นทาส เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นทาสของอารมณ์คือเป็นทาสของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหมด ชีวิตจิตใจทั้งหมด มัน มันจมอยู่ใต้นั้น นี่เรียกว่าจมโลก, จมโลก อยู่ใต้โลก ถ้าเขารู้อย่างที่พูดกัน มีความรู้ มีความรู้สึก มีความเห็นแจ้งในสิ่งเหล่านั้น ต่อสิ่งเหล่านั้นที่เขาเคยหลงมันอยู่ เขาก็โผล่ขึ้นมาจากอารมณ์ พ้นอารมณ์ พ้นอายตนะ เรียกว่ามันอยู่ อยู่เหนือโลกแหละ มันขึ้นมาเหนือโลกแหละ เดี๋ยวนี้มันอยู่ใต้โลก มันจมอยู่ใต้โลก เพราะมันไม่เห็นแจ้ง, เพราะมันไม่เห็นแจ้ง มันจะเห็นแจ้งอย่างไรล่ะ เพราะความรู้สึกมันก็ยังไม่มี รู้สึกสันทิฏฐิโกมันก็ยังไม่มี มันจะรู้สึกอย่างไรล่ะ เพราะความรู้ตามธรรมดาสามัญมันก็ยังไม่พอ นี่ ที่มันเรียนอยู่ด้วยความรู้ในรูปแบบธรรมดาสามัญ มันก็ยังรู้ไม่พอ ฉะนั้นการศึกษาที่ยังไม่สมบูรณ์น่ะ มันทำให้มนุษย์รู้จักปัญหาหรือรู้จักความทุกข์ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แยกตัวออกมาจากปัญหาหรือความทุกข์ มันก็เลยจมอยู่ในกองทุกข์ แล้วอย่างรัดรึง มี นันทิราคะ ความกำหนัดด้วยอำนาจของความเพลิน เหนียวแน่นอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ซึ่งเป็นความเอร็ดอร่อยของเขาทางอายตนะ
เอาละ ขอให้เข้าใจคำว่า ความรู้ ความรู้สึก ความเห็นแจ้ง สามคำนี้ให้ดีๆ เสียตั้งแต่คราวนี้ บวชมาได้กี่วันก็แล้วแต่เถอะ ขอให้มองเห็นหลักสำคัญๆ อย่างนี้กันไปก่อนเถอะ เรื่องตัวหมวดธรรมะนั้นไม่เท่าไรหรอก คุณไปเปิดหนังสือดูที่ไหน เมื่อไรก็ได้ แต่ว่าเรื่องอย่างนี้คุณจะหาไม่พบในหนังสือที่เขาเขียนกันไว้แล้ว มันจะไม่มี นี่ขอให้ใช้เวลาให้ตรงเรื่อง ให้ตรงจุด เวลาที่จะได้รับความรู้ชนิดที่ไม่มีในหนังสือนั่นน่ะ คุณก็ใช้ให้มันสำเร็จเสียสิ ความรู้ที่จะเปิดเอาได้จากหนังสือ เมื่อไรก็ได้ แล้วผมก็ไม่ค่อยชอบพูดหรอกเรื่องอย่างนั้น เพราะว่ามันมีอยู่ในหนังสือเพียงพอแล้ว นี่วันนี้พูดเรื่องคำเพียง ๓ คำ ว่า ความรู้ ความรู้สึก และความเห็นแจ้ง ฉะนั้นขอให้ทุกองค์ไปพัฒนา, ไปพัฒนา คือให้มันดีขึ้น, ดีขึ้น, ดีขึ้น เอาละก็ครบชั่วโมง พูดเกินชั่วโมงคณะอัดเทปเขาต่อว่า มันยุ่งกับเขาอัด ขอยุติการบรรยายวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ เอาไปทบทวน กลับไปถึงกุฏิแล้วทบทวนสิ่งที่ได้ฟังนี่ให้มันชัดเจน ให้มันแน่นแฟ้น ให้มันแน่นอน ถ้าจดไว้ได้ก็ดี ถ้าไม่จดไว้คิดว่าจำได้ พอมาคิด คิดได้ไม่เท่าไรจะเลือนหายไปหมด เพราะมันยังอีกมาก แล้วค่อยๆ เลือนหายหรือฟั่นเฝือกันไปหมด