แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันเป็นครั้งที่ ๓ นี้ ผมก็ยังไม่พูดถึงหัวข้อธรรมะหรือหลักธรรมะอะไรนัก อยากจะพูดถึงสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะได้พูดกัน คือธรรมชาติของธรรมะมากกว่า ในหัวข้อว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะมันคืออะไร นี่เราเรียกว่าพูดถึงเนื้อตัวของธรรมชาติที่เป็นธรรมะ แล้วจะไปแจกเป็นหัวข้อหรือหลักปฏิบัติว่าอย่างไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง ในวันนี้อยากจะพูดถึงเรื่องลักษณะลึกซึ้งเร้นลับของธรรมะ นั่นคือมีหัวข้อจะพูดว่า ธรรมะเผด็จการ ธรรมะเป็นสิ่งที่มีลักษณะเป็นเผด็จการ ข้อนี้มันเกี่ยวเนื่องมาถึงภาษาทางการเมืองที่เขาใช้กันอยู่ ว่าคำว่าเผด็จการนั้นน่ะ มันเป็นสิ่งเลวร้าย พอออกชื่อเท่านั้นแหละก็ถูกปฏิเสธโดยประการทั้งปวง มันไม่ยอมฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนักศึกษาหัวซ้าย เขาเข้าใจผิดต่อคำ ๆ นี้ เกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เผด็จการนั้นมันไม่ได้ดีหรือไม่ได้ร้ายในตัวมันเองโดยส่วนเดียว เพราะว่าคำว่าเผด็จการนั้นมันไม่ใช่อุดมคติ หรือมันไม่ใช่หลักลัทธิ มันเป็นเพียงวิธีการที่จะใช้เป็นเครื่องมือ เป็นวิธีการที่จะเอาไปใช้ในทางผิดก็ได้ เอาไปใช้ในทางถูกก็ได้ ช่วยเข้าใจกันเสียใหม่เถอะ ถ้ามิฉะนั้นแล้วมันก็จะมาปะทะกันกับปัญหาทางธรรมะนี่ ซึ่งจะไม่เข้าใจกันได้ ผมฟังวิทยุได้ยินคำว่าเผด็จการที่เขาเอามาพูดถึงกันบ่อยๆ และพูดถึงในง่าเลวร้าย โดยที่เขาไม่ได้ใช้คำว่าเผด็จการทุรราช เขาพูดว่าเผด็จการเฉยๆ แล้วเขาก็เอามาตีค่าเท่ากับเผด็จการทุรราช ก่อนนี้เขาเคยพูดชัดเจนกันลงไปว่าเผด็จการทุรราช ก็หมายความว่าผู้มีอำนาจเป็นพระราชาหรือใช้วิธีการเผด็จการและก็ยังเป็นเลว ทุระ ทุระ แปลว่าเลว ในชั้นนี้อยากจะขอให้ทำจิตใจให้ยุติธรรม ให้เป็นกลางให้มันถูกต้องต่อคำว่าเผด็จการ ซึ่งเราจะต้องเผชิญหน้ากันกับธรรมะในฐานะเป็นสิ่งที่เผด็จการ เหมือนกับที่บางลัทธิที่เขามีพระเจ้า เขาก็วาดลักษณะของพระเจ้าพระเป็นเจ้าไว้ ให้เป็นผู้เผด็จการ แล้วบางทีเผด็จการเกินความยุติธรรมไปเสียอีก เราจะต้องมองเห็นว่าเผด็จการนั้นเป็นเพียงวิธีการที่เอาไปใช้เป็นเครื่องมือ ใช้ในทางดีมันก็ดีที่สุด ใช้ในทางชั่วมันก็ชั่วที่สุด คือมันไม่โอ้เอ้ ไม่เนิ่นช้า ไม่โอนไปโอนมาแบบลูบหน้าปะจมูกหรืออะไรทำนองนั้น แล้วถ้าไปดูที่ธรรมชาติแล้วมันก็จะเรียกว่ามันมีหลักการที่จะเผด็จการตามแบบของมันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมะในความหมายที่ ๒ คือกฎของธรรมชาติ มันจะเป็นตัวเผด็จการ เดี๋ยวนี้เรามาดูที่เกี่ยวกับมนุษย์ธรรมดาสามัญก่อน ที่การปกครองมันโอ้เอ้ โลเล ไม่ถึงจุดที่มุ่งหมายได้ เพราะมันไม่ได้เผด็จการ หรือมันใช้เผด็จการไม่ได้ หรือมันกลัวจนไม่กล้าจะเผด็จการ ไม่ได้เผด็จการในทางที่ถูกที่ควรที่เป็นธรรม มันก็ไม่กล้าเผด็จการ มันไปโง่เหมือนๆ กันหมด โง่รวมๆ กันหมดว่าเผด็จการเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้ นี้อยากจะขอให้ความถูกต้องเป็นธรรมแก่คำๆนี้ว่ามันไม่ได้เป็นอุดมคติ ไม่ชั่วไม่ดีอยู่ในตัวมันเอง เอาไปใช้เพียงเป็นเครื่องมือ
นี่อยากจะพูดว่าเราทุกคนนี่เป็นเนื้อเป็นตัวรอดมาได้ทุกวันนี้ มันรอดมาได้ด้วยวิธีการที่เป็นเผด็จการของบิดามารดา ของครูบาอาจารย์ ถ้าพ่อแม่เขาไม่มีความเฉียบขาดในการที่จะเลี้ยงดูหรือปกครองเรามา เราก็เหลวเละกันหมด หรือรุ่นที่ครูบาอาจารย์ยังเผด็จการกับนักเรียนได้ มันก็มีประโยชน์มากทำให้นักเรียนดีมาก ฉะนั้นมาถึงยุคที่เข้าใจผิด มันก็แสดงผลให้เห็นปรากฏว่า ไอ้เด็กๆน่ะมันเลวลงเท่าไหร่ นักเรียนนักศึกษาก็เหมือนกันแหละ มันทำให้สิ่งต่างๆ สูญหาย เสียหาย เนิ่นช้า โอ้เอ้ โลเล เราควรจะนึกขอบพระคุณพ่อแม่ที่ท่านใช้วิธีการเผด็จการกับเรา จนเรารอดตัวมาได้ บางคนพูดคล้ายๆ กับว่าจะให้เด็กๆ กับพ่อแม่น่ะใช้ลัทธิประชาธิปไตย มันใช้ไม่ได้เพราะเด็กมันยังไม่รู้อะไร จะใช้อะไรได้ แล้วก็เป็นประชาธิปไตยอมมือ มันก็ใช้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้มัน มันมีอะไรที่จะต้องดู คือว่าเผด็จการของบิดามารดานั้นมันเป็นเผด็จการของธรรมะนั่นเอง คือหัวข้อที่เรากำลังจะพูดถึง ธรรมะเป็นสิ่งเผด็จการ หรือธรรมะเผด็จการ พ่อแม่มีความรักเหลือประมาณ ถ้าจะเผด็จการอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่พ่อแม่ที่ดีเขาก็ยังเผด็จการได้ แล้วก็ไอ้เหตุ มูลเหตุที่ให้เผด็จการก็คือความรักนั่นเอง มันจึงเกิดอาการกระอักกระอวลกันอยู่ ความรักความเมตตาของพ่อแม่ที่ฉลาด ที่ฉลาด ที่มีปัญญา เขาต้องเผด็จการไปจนสำเร็จประโยชน์ จนลูกนั้นดีได้ ถ้าไอ้ความรักหรือเมตตาของพ่อแม่ที่ไม่ฉลาด มันก็เผด็จการไม่ถูกเรื่อง แล้วลูกมันก็จะเป็นอย่างไรก็ลองคิดดู ลูกอันธพาลของคนมั่งมีเป็นอันมากในกรุงเทพเวลานี้ก็มีอยู่มาก ที่พ่อแม่มั่งมี เป็นผู้ดีมีหน้ามีตาแล้วลูกเป็นอันธพาลสมัยใหม่หมด เพราะมันเผด็จการไม่ได้ คุณอาจจะเข้าใจเหมือนๆ กันกับนักศึกษาหัวซ้ายว่าเผด็จการเป็นสิ่งเลวร้าย ไม่มีอะไรที่จะมีส่วนดี จึงแบ่งแยกว่าให้ความรักเผด็จการ ให้ธรรมะ ให้เมตตาเผด็จการ ให้ธรรมะเผด็จการ นั้นแหละจึงจะไปรอด ความรักหรือความเมตตาที่เผด็จการไม่ได้ มันก็ไปไม่รอดเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านก็ปกครองสงฆ์อย่างเผด็จการโดยพระองค์เอง คือท่านอยู่เหนือวินัยทั้งหมดเลย อยู่เหนือกฎ เหนือระเบียบ เหนือวินัย อะไรทั้งหมด เพิ่งมีระบบสงฆ์ปกครองในรูปประชาธิปไตยตอนนี้ นี้ตอนหลัง ตอนหลังเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ที่ให้สงฆ์เป็นใหญ่เป็นรูปประชาธิปไตย เมื่อพระองค์ยังทรงอยู่ปกครองโดยพระองค์เอง ท่านใช้เผด็จการ นี่ขอให้เข้าใจ คือวินัย ระเบียบวินัยทั้งหลายมันไม่ใช้แก่พระพุทธเจ้า ปาฎิโมกข์หรืออะไรเหล่านี้มันไม่ใช้แก่พระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่เสียหายอะไร เพราะพระอรหันต์ย่อมไม่ทำผิดวินัย ย่อมไม่อะไร อยู่ตามธรรมชาติ ดังนั้นการที่ระบบขุนนางสมัยก่อนมันมีเผด็จการบ้าง มันก็พิสูจน์อยู่ว่าในบางกรณีมันก็ดีบ้าง คนที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาแล้ว ได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโต ยังใช้ระบบการที่ว่าให้ลูกนอนคว่ำแล้วเฆี่ยนหลัง แล้วลูกดีทุกคนเลย ไม่ต้องออกชื่อว่าใคร แต่ผมยืนยันว่าผมรู้จักและเห็น ถึงขนาดที่ว่ามีการศึกษาสมัยใหม่ แต่ยังนิยมการลงโทษให้นอนคว่ำแล้วก็เฆี่ยนหลัง ทีสองที มันก็หมด หมดปัญหา ไอ้เราเป็นเด็กวัดก็อยู่รอดตัวมาได้ก็เผด็จการของอาจารย์ทั้งนั้น มันก็มีบ้างแหละที่ผิดพลาดไปบ้าง เพราะอาจารย์บางคนโมโหโทโส หรือว่าปัญญาไม่สมบูรณ์ มันก็มีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา แต่ถึงอย่างไรท่านก็ทำด้วยความเมตตากรุณาทั้งนั้น มันจึงเป็นระเบียบดีมาก จนถึงว่าเด็กๆ จะต้องรู้เอาเอง ระเบียบทั้งหลายจะต้องรู้เอาเอง จะมาบอกว่าผมเพิ่งมาอยู่วัด ยังไม่รู้ระเบียบนี้ไม่ได้ นี่ไม่มี ไม่มีทาง ไม่มีทางจะแก้ตัว มันเข้ามาอยู่ในวัดแล้วจะต้องรู้ระเบียบทั้งหลาย โดยรู้จากเพื่อน จากอะไรก็ตามเถอะ นี่มันมีเผด็จการในรูปอย่างนี้ นั้นเด็กวัดที่ได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าพระยา เป็นอะไรกันในยุคที่แล้วมามันก็เคยมา เคยผ่านมาอย่างนี้ทั้งนั้น ไหนเล่าแล้วก็จะเล่าให้ฟังถึงว่า วัดสมุหนิมิต ที่พุมเรียงที่มันสุดหมู่บ้านไปทางทะเลนะ วัดสมุหนิมิต ชื่อสมุหนฤมิต สมุหในที่นี้หมายถึงสมุหคลัง แต่ก่อนนี้เขามีฝ่ายกลาโหม และฝ่ายคลัง เฉียบขาดเหมือนอุปราชรองจากพระเจ้าแผ่นดิน ฆ่าคนก็ได้ ราวรัชกาลที่ ๓ ก็มาสร้างวัดสมุหนิมิต กว้างขวางใหญ่โตสมบูรณ์แบบ เป็นวัดมาตรฐานสมบูรณ์แบบ ส่วนที่สวยงามเขียนลายทอง เขียนอะไรก็สมบูรณ์แบบทุกอย่าง แม้แต่ว่ารั้ว รั้ววัดก็ยังเป็นกลึง ไม้ดีกลึง แต่ละรุ่น ละรุ่น มีสระ มีกุฎิฝ่าย ฝ่ายธรรมดาหรือฝ่ายศึกษาเล่าเรียน แล้วมีกุฏิฝ่ายวิปัสสนา ฝ่ายพระป่าพระบ้านมันมีอยู่รวมอยู่ในวัดนั้น ทุกๆอย่างสมบูรณ์แบบหมด เสร็จได้ในเวลา ๓ เดือน ก็จึงขึ้นชื่อว่านิรมิต นี่มันเป็น เป็นผลของเผด็จการ ผมสืบถามนักหนาเรื่องเกี่ยวกับวัดนี้ ได้ความว่าไม่ได้มีการฆ่าเลย ไม่ได้มีการอะไรใครตายเลย มีบ้างก็ถูกเฆี่ยนหลัง ไอ้คนมันป้ำป้ำ เป๋อเป๋อ หรือมันเหลวไหล มันก็มีบ้าง เพราะเขาต้องระดมคนเป็นหมื่นคนมาทั่วภาคใต้ไป ไประดมกันทำ เพราะว่าทำ มันต้องกระทำกันเป็นพันๆหมื่นๆ พวกทำอิฐก็ทำอิฐ พวกไปเอาไม้มา ก็ไปเอาไม้มา พวกไปเอาของ ก็ไปเอาของมา มีช่างที่ไหนก็ไปเอามา กระทั่งว่าสัตว์ที่จะเลี้ยงในวัดนะ เช่น เต่าแปลกๆ ปลาแปลกๆ ต้นไม้ที่แปลกๆ ที่เราไม่เคยเห็นมีที่อื่น ดอกจำปานี่สีม่วง สีม่วงสดเลย ผมก็ไม่เคยเห็นที่ไหนนอกจากที่นี่ รวมความว่ามันเสร็จได้ใน ๓ เดือน ๓ เดือนเศษๆ ถ้าสร้างแบบประชาธิปไตย ๓ ปีก็ไม่เสร็จ หรือ ๓๐ ปีก็อาจจะไม่เสร็จสำหรับสมัยนั้น นี่เขาทำได้ใน ๓ เดือน แล้วก็ไม่ได้ฆ่าใคร ขอให้นึกถึงข้อนี้ก็ไม่ได้ฆ่าใครเลย มันบวกกันเข้ากันพอดีกับอำนาจเผด็จการของการปกครอง แล้วมันก็อำนาจศรัทธาของทุกคนนั่นแหละ แม้ประชาชนที่ถูกเกณฑ์มาสร้าง มันถูกเกณฑ์มาก็จริง แต่แล้วมันก็มีศรัทธา มันเอาบวกกันเข้ากับศรัทธาหรือเผด็จการของธรรมะ กับเผด็จการของเจ้านายนี่เอามารวมกันเข้าก็สร้างวัดนั้นสำเร็จ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พอสร้างวัดนั้นเสร็จ เขาก็ย้ายทั้งคณะเลย จากวัดตระพังจิก ไปอยู่วัดที่สร้างใหม่ วัดตระพังจิกก็ร้าง จนเราเพิ่งเอาไปทำเป็นสวนโมกข์แห่งแรก สวนโมกข์แห่งแรกนะ วัดตระพังจิก ก่อนนี้เป็นวัดเจ้าคณะเมือง วัดนี้ แต่ว่าย้ายไปอยู่วัดสร้างใหม่ คล้ายๆ กับวัดหลวง นี่ดูแบบเผด็จการ มันก็ไม่ได้ทำให้ใครตายหรือว่ามันทำให้เสียหายอะไร ทำให้มีผลเร็ว ทันแก่เวลา ดังนั้นอย่าใส่บาปกล่าวโทษให้คำว่าเผด็จการให้มันมากเกินไป มันจะโง่เอง เดี๋ยวนี้ก็กำลังโง่ต่อคำๆ นี้ และสิ่งต่างๆมันจึงโอ้เอ้ ดูสิ โอ้เอ้ ผมคิดว่าแม้ในรูปประชาธิปไตย มันก็ มันก็ต้องเผด็จการ คือเมื่อตกลงกันว่าจะเอาอย่างนี้ในที่ประชุม รัฐสภาอะไรก็ตามเมื่อตกลงกันว่าจะเอาอย่างนี้ มันก็ต้องเอากันอย่างเผด็จการ มัวโอ้เอ้โย้เย้ นั่นนี่อยู่ไม่ได้ หรือว่าในที่ประชุมของประชาธิปไตยมันตกลงไอ้คนนี้เป็นผู้บัญชาการแล้วมันก็ต้องเผด็จการ แล้วมันก็ได้ผลดี ดังนั้นเผด็จการนี่มันเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น วิธีการหรือเป็นเครื่องมือ เอาไปใช้เลวก็ได้ เอาไปใช้ดีก็ได้ มันจะเร็ว มันจะเฉียบขาด มันจะรวดเร็ว มันจะไม่โอ้เอ้ เช่นเดียวกับว่าในกองทัพ ในกองทัพ ทหารน่ะมันเต็มไปด้วยเผด็จการทั้งนั้น คำสั่งนั้นมันเฉียบขาดที่สุด แล้วมันไม่ทำ มันก็ถูกตัดหัวหรือถูกยิงเป้านะ กองทัพมันจึงทำ ดำเนินไปได้ ถ้าไม่อย่างนั้นกองทัพไหนมันก็แพ้หมดแหละ แพ้ฝ่ายข้าศึกหมด ถ้ามันไม่มีระบบเผด็จการอยู่ในการปกครอง ขอให้ดูให้ดีว่าหลายๆ อย่างมันรอดออกมา หรือรอดมาได้ด้วยอำนาจของการกระทำชนิดที่เรียกว่าเผด็จการ ในการที่จะปราบปรามอะไรที่มันแน่นอนแล้วมันก็ต้องใช้วิธีเผด็จการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะใช้เผด็จการไปทุกอย่าง แต่ว่าส่วนมากแล้วเมื่อมันยุติลงไปว่าจะเอากันอย่างไรแล้วก็ขอให้มันเผด็จการ อย่างในวัดอย่างนี้ เมื่อตกลงกันว่าจะเอาอย่างไรแล้วขอให้ระเบียบที่วางไว้นั้นเป็นไปอย่างเผด็จการ
ทีนี้ผมก็จะพูดถึงเรื่องที่ตั้งใจจะพูดว่า ธรรมะเผด็จการน่ะ คืออย่างไร ก็เมื่อคืนเราพูดกันแล้วถึงเรื่องธรรมะ ๔ ความหมาย ความหมายที่ ๒ คือ กฎของธรรมชาติ ๑ คือตัวธรรมชาติ ๒ คือกฎของธรรมชาติ ๓ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาตินั่นแหละไปดูเถอะมันไม่ไว้หน้าใคร มันเผด็จการเฉียบขาด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ กฎของธรรมชาติที่มันมีอยู่ในธรรมชาติทุกสิ่ง ทีนี้มันเผด็จการเฉียบขาดอย่างนั้นมันจึงทำให้เกิดหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติขึ้นมา ซึ่งถ้าว่าไอ้สิ่งนั้นมันไม่ปฏิบัติตามแล้วมันก็ตายเท่านั้น ที่เป็นคนก็ตาย ที่เป็นสัตว์ก็ตาย ที่เป็นต้นไม้เป็นไร่มันก็ต้องตาย ถ้ามันไม่ยอมตามกฎของธรรมชาติ ซึ่งมีลักษณะเป็นเผด็จการ ดังนั้นเรารอดอยู่ได้ก็เพราะว่ามันทำตรงตามการเผด็จการของกฎของธรรมชาตินั่นเอง นี่เราหลับตามองให้เห็นอำนาจเผด็จการอย่างหนึ่งอันลึกซึ้งที่สุดของธรรมชาติดูบ้าง นั้นธรรมชาติมันก็เป็นมาในลักษณะนี้ จึงมีดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ มีโลก มีดวงดาวทั้งหลาย หรือมีระเบียบเฉียบขาดแน่นอนตายตัวของธรรมชาติในการเดิน หรือในการหมุนเวียนของดาวพระเคราะห์ต่างๆ นี่ มันควบคุมกันอย่างเฉียบขาดเป็นเผด็จการ และที่มันจะให้เกิดวิวัฒนาการ วิวัฒนาการเรื่อยมา เรื่อยมา อย่างที่เราก็เคยเรียนกันมาแล้วทางวิทยาศาสตร์ ธรณีวิทยา ชีววิทยาก็เห็นว่า มันเป็นมาได้โดยกฎของธรรมชาติในลักษณะที่มันเป็นเผด็จการ กฎของธรรมชาติในหนึ่งปรมาณูก็ดูเถอะ ที่เราเรียนกันมาแล้วมันก็เผด็จการอย่างไร มันจะประกอบกันขึ้นเป็นอณู เป็นเซลล์ เป็นอะไรเรื่อย ก็ล้วนแล้วแต่มีลักษณะเฉียบขาด ตรงไปตรงมาอย่างที่เรียกว่าเผด็จการ พอไม่ พอผิดจากนั้นมันก็ตายเท่านั้น มันก็ล้มละลาย มันก็สูญหายไปแล้ว นี่เราดูธรรมชาติว่ามันมีลักษณะเผด็จการอย่างนี้ หรือสิ่งนั้นเรียกว่าธรรม หรือธรรมะในความหมายที่ ๒ ซึ่งถ้าไปเปรียบกับศาสนาอื่นๆ ที่เขามีพระเจ้า เขาก็ยึดหลักนี้เหมือนกัน ว่าพระเจ้าเป็น absolute คือเฉียบขาด ผมว่าพุทธศาสนาเรามีธรรมะเป็นพระเจ้า ทีนี้เขาฟังไม่ถูกว่าธรรมะ absolute ไม่ได้ ในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะน่ะ เป็นของ absolute ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าธรรมะที่ผมพูดน่ะมันหมายถึงกฎของธรรมชาติ มัน absolute ยิ่งกว่าพระเจ้าของพวกนั้นเสียอีก เพราะว่าเราอ่านดูในคัมภีร์ที่กล่าวถึงพระเจ้า พระเจ้านี่โลเลที่สุด ไม่ยุติธรรม สร้างอะไรก็ไม่เป็นระเบียบ และก็ไม่สร้างแต่สิ่งที่ดีที่ควรจะสร้าง สร้างสิ่งที่เป็นอันตราย ทำลายกันไม่มีที่สิ้นสุดในสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา กฎของธรรมชาตินี่เป็นพระเจ้า ทำหน้าที่เป็นพระเจ้าแล้วก็เฉียบขาดที่สุด รู้ไว้เถอะว่าถ้าเขาจะคัดค้านว่าธรรมะนี่เป็นพระเจ้าไม่ได้ เราก็บอกว่านั้นแหละเป็นพระเจ้าที่สุด เฉียบขาดที่สุด และอยู่ในที่ทุกแห่งซะจริงๆด้วย กฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติน่ะ มันเข้าไปอยู่ในทุกๆ ปรมาณูของสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ นี่ถ้าพระเจ้าเป็นอย่างบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคลจะไปอยู่ในทุกๆ ปรมาณู ของทุกสิ่งได้อย่างไร ก็เลยมีคำล้อว่า พระเจ้าของคุณน่ะเป็นอย่างบุคคลไปอยู่ในกองขี้หมาได้หรือ แต่พระเจ้าของฉันสิคือกฎของธรรมชาติ มันไปอยู่ในทุกๆ ปรมาณูในกองขี้หมา มันก็เข้าไปอยู่ได้ในทุกสิ่ง ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นมันจึงเผด็จการได้ เป็นก้อนหินก้อนนี้ในทุกปรมาณู ถูกเผด็จการอยู่ด้วยกฎของธรรมชาติ ก้อนหินก้อนนี้ก็จะต้องเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติ นี่เราเห็นว่าเฉียบขาดยิ่งกว่าเฉียบขาดคือกฎของธรรมชาติ พวกฝรั่งคงจะเข้าใจ พวกฝรั่งที่เป็นนักวิทยาศาสตร์น่ะเขาคงจะเข้าใจและอธิบายได้ดีกว่าเรา ว่ากฎของธรรมชาติน่ะ มันเฉียบขาดสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าเราจะเอาชนะกฎของธรรมชาติได้ ที่เราเอาธรรมชาติมาใช้เป็นประโยชน์ได้เราต้องทำให้ถูกกับกฎของธรรมชาติ จึงไปเอามันมาใช้ได้ อย่างไปเอาเหล็ก เอาทองแดง เอาโลหะธาตุอะไรก็ตามมาใช้เป็นประโยชน์ เอาปรมาณูมาใช้เป็นประโยชน์ก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของมันทั้งนั้นแหละ นี่คือความตายตัวของกฎของธรรมชาติ ผมอยากจะให้คุณมองเห็นสิ่งนี้ก่อน ให้ชัดเจนที่สุดและเห็นด้วย แล้วคุณก็จะยอมเชื่อพระธรรม ว่ามีความเฉียบขาดเช่นนั้นแหละ ได้อย่างนั้น เพราะว่าพระธรรมก็คือกฎของธรรมชาติ พระธรรมคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะที่ถูกต้องที่ไม่ใช่ธรรมะยายแก่ ธรรมะที่ถูกต้องของธรรมะจริงๆ ไม่ใช่งมงายนะ มันเฉียบขาดอย่างนั้น ฉะนั้นอย่าไปคิดว่าจะฝืนกฎของธรรมชาติเลย อย่า อย่าไปกล้าคิดว่าจะเล่นตลกกับพระธรรม ที่จะไม่เป็นไปตามกฎของธรรมะ เราจะเล่นตลกได้ ทำดีไม่ต้องได้ดี ทำชั่วไม่ต้องได้ชั่วอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นไปไม่ได้ เพื่อจะไม่ให้สงสัยในกฎของธรรมชาติที่เรียกกว่าธรรมะ จึงชักชวนให้มาพูดเรื่องนี้กันเสียอย่างยืดยาว ที่จริงมันก็ไม่ยืดยาวนะกินเวลาไม่กี่นาที ทำให้พอจะมองเห็นว่ากฎของธรรมชาติน่ะ มันเฉียบขาดอย่างไร ดังนั้นรู้เอาเองเถอะว่าธรรมะก็เฉียบขาดอย่างนั้น เพราะธรรมะนั้นก็คือกฎของธรรมชาตินั่นเอง ดังนั้นจึงหวังว่าคุณจะไปศึกษาต่อ ต่อไปข้างหน้าให้รู้ว่ากฎของธรรมชาติมันเฉียบขาดสักเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้เราไม่ได้เอามาพิจารณากันให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่รู้ ไม่พูดกันหมดได้ในวันนี้ แต่ในวันหน้าไปศึกษาต่อไปเรื่อยๆ จนมองเห็นว่า โอ้ กฎของธรรมชาตินี่ มันไม่มีอะไรจะเฉียบขาดไปกว่านั้น เราไม่มีทางจะต่อต้าน ถ้าเรา ถ้าจะให้พูดก็จะพูดว่า เราเล่นตลกกับพระเป็นเจ้าอย่างที่เขากล่าวไว้ในคัมภีร์ศาสนาได้นะ เพราะพระเป็นเจ้าก็มีความรู้สึกอย่างบุคคล รวนเรได้ รับสินบนได้ อ้อนวอนได้ แต่ถ้าธรรมชาติแล้วไม่มีทาง กฎของธรรมชาติแล้วไม่มีทางที่จะทำกับมันอย่างนั้น ดังนั้นเรากลัวกฎของธรรมชาติยิ่งกว่ากลัวพระเจ้า หรือยิ่งกว่ากลัวบุคคลชนิดนั้นเสียดีกว่า นี่เราจะได้ปลงศรัทธาของเราลงไปในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ หมด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย เรียกว่าสุดชีวิตจิตใจเลย จะเรียกว่าเชื่อก็ได้ จะเรียกว่ายอมก็ได้ จะเรียกว่ามอบก็ได้ ทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่สิ่งสูงสุดคือกฎของธรรมชาติ ที่เราเรียกว่าธรรมะ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เอามา มาจัดเป็นรูปแบบเรียกว่ากฎอิทัปปัจจยตา ในคำนี้ยังต้องศึกษากันอีกนาน แต่ต้องพูดกันอีกนาน เกี่ยวกับเรื่องอิทัปปัจจยตา คือกฎของธรรมชาติ ที่มันให้เกิดอะไรทุกอย่าง ทุกอย่าง ที่มันจะได้ ได้เกิดมาแล้ว และเกิดอยู่และจะเกิดต่อไป ล้วนแต่เป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตาทั้งนั้นแหละ ทุกอย่างเลย จะเป็นอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ หรือมีประโยชน์หรือไม่ ไม่ยกเว้นอะไร แต่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องก็เฉพาะที่มันเกี่ยวกับความดับทุกข์ของมนุษย์ ถ้าเราจะไปเกี่ยวข้องกับทุกเรื่องทุกกฎน่ะมันไมไม่ไหว มันมากเกินไป ขอให้ไปเกี่ยวข้องเฉพาะกฎที่จะดับทุกข์ได้ให้เต็มที่ นี่เราจึงพูดกันถึงเรื่องสิ่งสูดสุด คุณลองนึกเอาเองสิว่าถ้าเขาให้คุณตอบปัญหาว่าไอ้สิ่งสูดสุดกว่าสิ่งใดน่ะ คืออะไร มีปัญญาคิดค้นตอบตัวเองว่าสิ่งสูงสุดคืออะไร ผมว่าสิ่งสูงสุดก็คือนี่ กฎของธรรมชาติ ที่มันสูงสุด ที่มันเฉียบขาด ที่มันเผด็จการอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง แต่ว่าพระเจ้าแท้จริงนะไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างบุคคล พระเจ้าอย่างที่เป็นกฎ นั่นแหละมันสูงสุด อะไรสูงสุดกว่านี้อีก ช่วยไปลองคิดดูดีสิ บุคคลอยากเป็นบุคคลสูงสุดน่ะมันไม่ได้หรอก บุคคลยังมีเนื้อมีหนังมีความรู้สึกอย่างบุคคล ไอ้กฎ ไอ้คำว่ากฎนี่ เป็นคำที่ประหลาด ที่ภาษาไทย มาใช้ว่ากฎ แล้วกฎของธรรมชาตินี่ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ตั้ง เพราะกฎหมาย กฎระเบียบที่มนุษย์มันตั้งนี่มันไม่สูงสุด เพราะมันมนุษย์ที่ไม่สูงสุดมันตั้ง แต่ถ้ามันเป็นกฎของธรรมชาติแล้วมันเด็ดขาด แล้วมันสูงสุด มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่รู้จักกฎนี้ไว้ดีๆ ภาษาบาลีเรียกว่า ธรรม ธรรมะ กฎคำนั้นในภาษาบาลีเรียกว่าธรรม ธรรมะ ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ จะยืมคำว่ากฎในภาษาบาลีมาใช้ ก็ยังได้เหมือนกัน หมายถึงสิ่งที่อะไรก็ไม่รู้ได้ทำขึ้นไว้อย่างตายตัว ได้บัญญัติกันไว้อย่างตายตัว นั่นแหละคือธรรมะ แล้วน่าประหลาดที่ว่าในคัมภีร์ของคริสเตียนที่เขามีพระเจ้าอย่างบุคคล พระเจ้าที่รู้สึกอย่างบุคคล อย่างในคัมภีร์คริสเตียนนั้น มันก็มีอยู่ อยู่คัมภีร์หนึ่งในคัมภีร์สำคัญ ๔ คัมภีร์ มัทธิว มาระโก ลูกา โยฮัน ๔ คัมภีร์นั้นมันประเสริฐวิเศษกว่าคัมภีร์อื่นๆ มันก็มีอยู่ในคัมภีร์หนึ่งที่ว่า ก่อนสิ่งใดทั้งหมดโลโกส มีอยู่ คำว่า โลโกสนั้นน่ะมันแปลกันไม่ถูก ไม่ถูกตามความจริงของธรรมชาติ ไอ้โลโกสน่ะ เดี๋ยวนี้เขาแปลกันในคำสอนคริสเตียนที่แปลภาษาไทย เขาแปลว่าพระคำ พระคำ ที่เป็นภาษาอังกฤษ มันแปลว่า word word คำพูดนี่นะ คำพูดนี่นะ word ก่อนสิ่งใดหมดแรกเริ่มเดิมทีมีอยู่แต่ the word คือคำพูด และคำพูดนั้นอยู่กับ god แล้วก็พระเจ้าหรือ god นั้นสร้างสิ่งทั้งปวง โดย The word นั่นเอง The word นั่นน่ะคือคำพูด คำพูดของอะไร ผมเชื่อเหลือเกินว่าไอ้โลโกสนั้นน่ะ คือคำว่ากฎ กฎนี่ในฐานะคำพูดของธรรมชาติ คำบงการของธรรมชาติ นี่แปลเป็นภาษาไทยของหนังสือคริสเตียนหน้าหัว แรกเริ่มเดิมทีมีแต่พระคำ พระคำ ไม่รู้ว่าคำ คนที่อ่านก็ไม่รู้ว่าพระคำคืออะไร บางฉบับที่บางคนแปลผิดไกลไปถึงว่ามีพระโอวาทไปเสียก็มี word แปลว่าพระโอวาทไปเลยก็มี แต่ถ้าเอาภาษากรีซเดิมแล้วโลโกส ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า กฎ แปลว่า word แล้วมาถึงในเมืองไทยนี้แปลว่าพระคำ ผมไปบอกให้คนที่เป็นคริสตัง คริสเตียนที่เป็นชอบๆพอกัน ผมว่านั่นน่ะคือคำว่าธรรม ธรรมในพุทธศาสนา คือเป็นกฎสูงสุด แรกเริ่มเดิมทีมีแต่ธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ หนังสือบางเล่มเขาเชื่อเขาแก้ตาม หนังสือที่พวกคริสเตียนบางคณะ เขาแปลเขาพิมพ์ที่หลังเขาแก้ตามผมบอกว่า แรกเริ่มเดิมทีมีแต่พระธรรม ทีนี้คงจะเป็นด้วยเหตุว่าพูดเพื่อนๆ เขาไม่ยอม เดี๋ยวจะเป็นพระพุทธศาสนาเสีย ก็เลยสู้ไม่ได้ ไอ้พวกที่อยากจะใช้คำว่าพระธรรมก็ยกเลิกไป เหลือแต่พระคำกันต่อไปตามเดิม ดูให้ดีเถอะว่าแม้แต่ในศาสนาที่เขามีพระเจ้า พระเจ้าอย่างบุคคลเขาก็ยังมีข้อความเขียนไว้อย่างนี้ว่าแรกเริ่มเดิมทีมีแต่โลโกส ในภาษากรีซ คือ The word ในภาษาอังกฤษ หรือพระคำในภาษาไทย โลโกส ต้องอยู่กับ god god สร้างอะไรทุกอย่างโดยทางโลโกส หรือบางทีภาษามันดิ้นได้ แปลว่าไอ้โลโกส นั้นน่ะเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ในนามของ god อาตมาคือว่า god สร้าง พระเจ้าสร้าง แต่จะอย่างไรก็ตาม พวกนี้เขาก็ต้องยกเอา god เป็นสูงสุดเป็น absolute สูงสุด แล้วก็ถือ god อย่าง absolute แต่เราถือกับเขาไม่ได้ เรามองเห็นแล้วมันถือกันไม่ได้ เพราะมีความรู้สึกอย่างบุคคล มันก็อยู่ใต้อำนาจสิ่งที่เข้าไปกระทบ เดี๋ยวพระเจ้าก็มีที่รักมักที่ชัง โกรธได้ เกลียดได้ อะไรได้ โกรธขึ้นมาก็ดุร้ายเป็นยักษ์เป็นมารไปเลย ชอบใจก็ทานกันเป็นการใหญ่ ไม่ยุติธรรมได้ เราเอาสิ่งที่มิใช่มีชีวิตหรือรู้สึกอย่างบุคคลกันดีกว่า คือ กฎนั่นเอง กฏของธรรมชาติ มีลักษณะเป็นสัจจะ ในภาษาบาลีเราก็ยังมี ต้องมีคำ คำว่าสัจจะ คือของจริง ของจริง สัจจะนี่เป็นสิ่งที่ตายตัวแล้วก็เฉียบขาด เป็น absolute สัจจะจะมีแต่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จะมีสองไม่ได้ เอกัง อิสัจจัง มะคูตี ยะมัตถิย (นาทีที่ 40:24) สัจจะจะมีแต่หนึ่งเท่านั้น จะมีอันที่สองไม่ได้ นี่คือไอ้ที่มันแน่ ที่มันถูก ที่มันเฉียบขาด ดังนั้นขอให้ไปศึกษาเพิ่มเติมจากที่ผมพูดนี่ว่า มันมีสิ่งสูงสุด สูงสุดกว่าสิ่งใดที่ไม่มีอะไรไปต้านทานได้ ไปเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งนั้นน่ะคือธรรมะ ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ ดังนั้นเราอย่าไปคิดสู้เลย อย่าไปคิดฝืนธรรมะเลย มองเห็นแล้วก็ยอมรับที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมะ แล้วเอาตัวรอดได้ ไม่มีความทุกข์ ทีนี้เราก็ดูคุณสมบัติพิเศษของสิ่งนี้ว่ามันมีลักษณะเผด็จการน่ะ กฎ กฎของธรรมชาติ คือธรรมะ ในความหมายนี้มันเผด็จการ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มันไม่เห็นแก่หน้าใคร มันไม่ผ่อนผันใคร มันไม่ยืดหยุ่นอะไรได้ มันจึงควบคุมจักรวาลได้ สมมติว่ามันจะมีกี่จักรวาล กี่ร้อยกี่พันโลกธาตุ มีสามหมื่นโลกธาตุ สามหมื่นจักรวาลก็ตามใจสิ แต่กฏนี้มันคุมได้ เพราะว่ามันเป็นเผด็จการ แล้วจะไปสู้มันไหวหรือ ทีนี้เราก็จะถือประโยชน์ว่า ความเป็นเผด็จการนั่นแหละมันจะช่วยได้ มันจะช่วยแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกับที่ว่ากฎของธรรมชาติมันควบคุมธรรมชาติ ที่เราก็นิยมใช้เผด็จการในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกิเลสนั่น นี้เราทุกคนมีปัญหาอยู่ที่กิเลส ที่กิเลสมันทำให้เกิดทุกข์ มันล่อลวง มันหลอกลวงจนแก้ไขกันไม่ได้ เพราะว่ากิเลสมัน ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่าอะไรดี มันหลอกลวง มายา กลับกลอก กลิ้งกลอก เร้นลับอะไรต่างๆ ดังนั้นที่จะไปเล่นงานกับกิเลสได้ก็คือ วิธีเผด็จการเท่านั้นแหละ นี่เราจึงต้องปฏิบัติธรรมะกันอย่างวิธีเผด็จการ เพื่อจะกำจัดกิเลสให้สูญสิ้นไป ผมจึงเอามาพูดและขอร้องว่าอย่าเกลียดกลัวคำว่าเผด็จการอย่างงมงาย เพราะว่าเราจะต้องยอมรับนับถือพระเจ้าสูงสุด คือกฎของธรรมชาติที่เผด็จการเกิน เรียกว่าเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่ที่จริงมันก็ไม่มีทางที่จะพูดว่าเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าพูดว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์มันก็สูงสุดหมดแล้ว นั้นสิ่งสูดสุดคือกฎธรรมชาติมีลักษณะเผด็จการ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นควบคุมจักรวาลทั้งหลายได้ ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามกฎนั้น๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นี่เรียกว่าเผด็จการภายใต้ของกฏของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด ดังนั้นจะต้องเอาธรรมะที่เป็นกฏของธรรมชาติมาเผด็จการกับกิเลส ซึ่งเป็นเหมือนกับผี กิเลสนี่มันไม่ได้เฉียบขาด มันไม่ได้ absolute อะไรได้ เพราะมันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา ชีวิตคนมันก็มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเข้ามา ชีวิตคนนี้มันทนทุกข์ไม่ไหว มันต้องการจะดับทุกข์ มันก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติเกี่ยวกับคน เกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับกิเลส เกี่ยวกับอะไรก็ตาม แล้วที่จะสำเร็จประโยชน์ได้ตามนั้นก็ต้องเป็นวิธีเผด็จการ ดังนั้นเรารู้เรื่องนี้ให้ถูกต้องแล้วเราก็เผด็จการกับกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกิเลสนี่ เราต้องใช้วิธีเผด็จการ พูดอย่างเอาเปรียบหน่อยก็พูดได้ว่า เดี๋ยวนี้โลกไม่มีสันติภาพ โลก โลก โลกเรานี้ โลกอื่นไม่พูด โลกเรานี้ไม่มีสันติภาพ เพราะไม่มีใครเผด็จการได้ ประเทศไหน องค์การ องค์การโลกองค์การไหนที่มันเผด็จการโลกได้ มันก็ไม่มี แล้วมันก็จัดการให้โลกมีสันติภาพไม่ได้ เห็นว่าจะมีโอกาสเผด็จการ ก็ต้องเอาไอ้สิ่งที่เผด็จการได้มาสิ เอาพระเจ้ามาแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน ผมว่าเอากฎของธรรมชาตินี่แหละมา มาศึกษาให้รู้และใช้วิธีนั้นเผด็จการให้ถูกต้อง โดยความถูกต้องของกฎของธรรมชาตินี่ โลกนี้จะมีสันติภาพได้ นี่เราชวนให้ใช้วิธีการเผด็จการตามแบบของสิ่งสูงสุด คือกฎของธรรมชาติ ซึ่งจะเรียกอย่างสมมติก็ได้ว่าพระเจ้า พระเป็นเจ้าสูงสุด คือกฎของธรรมชาติ เอามาใช้ให้เผด็จการ จะแก้ปัญหาต่างๆ ในโลก
เอ้า, ทีนี้มันก็มีเรื่องเป็นชั้นๆ อยู่ คนแต่ละคนมันก็มีเรื่องของตน ของตนที่เป็นภายใน เราเผด็จการกับปัญหาภายในของคนน่ะคือกิเลสของของแต่ละคนได้ แต่ก่อนให้ได้เสียก่อน เราเผด็จการกับกิเลสของเราเองให้ได้เสียก่อน เมื่อทุกคนไม่มีกิเลส คิดดูว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าทุกคนในโลกมันไม่มีกิเลส โลกนี้มันก็เป็นสันติภาพ มีสันติภาพในพริบตาเดียว เดี๋ยวนี้ในตัวคนซึ่งมีกิเลสของแต่ละคนมันก็ยังเอาชนะไม่ได้ เพราะคนมันไม่ได้ใช้เผด็จการกับสิ่งที่เรียกว่ากิเลส ทำไมมันจึงใช้ไม่ได้ เพราะมันโง่ มันไม่รู้จักกิเลส หรือมันไม่รู้จักเผด็จการ ฝ่ายที่เป็นกิเลสมันก็ไม่รู้จักว่าคืออะไร แล้วมันจะเอาปัญญาไหนไปเผด็จการกับกิเลสเล่า นี่คือปัญหาที่คาราคาซังอยู่เดี๋ยวนี้ ที่เราเอาชนะกิเลสไม่ได้ มันกลายเป็นว่ากิเลสนั่นแหละเผด็จการกับคน คนมันก็เลยโง่เป็นทาสของกิเลสแล้วแต่กิเลสจะพาไป ในโลกปัจจุบันนี้มันแล้วแต่กิเลสจะพาไปอยู่นี่เห็นไหม กิเลสมันเผด็จการกับคนเข้าแล้ว มันก็พาโลกนี้ไปอย่างน่าละอายที่สุดนะ มนุษย์ทำสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อสันติภาพ ในลักษณะเหมือนกับเชือดคอมนุษย์นั่นเองแหละ ความเจริญก็ดี การศึกษาก็ดี เศรษฐกิจก็ดี การเมืองก็ดี อะไรก็ดี ที่มนุษย์กำลังทำกันอย่างยิ่งนี่มันก็เพื่อเชือดคอมนุษย์เอง คือทำให้มนุษย์นั่นแหละเดือดร้อนมากขึ้น มากขึ้น ความเจริญแบบนี้มากขึ้นเท่าไหร่ คนในโลกก็เดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ผมจะอวดดี พูด ผมต้องขอพูด เพราะถ้าความเจริญแบบนี้ยังคงก้าวหน้าอยู่เพียงไร มนุษย์จะเลวร้ายยิ่งขึ้นเท่านั้น ไม่มีสันติภาพยิ่งขึ้นเท่านั้น มนุษย์จะต้องรู้ รู้จักสิ่งเหล่านี้ถูกต้องตามที่เป็นจริง แล้วก็อำนาจ เอาอำนาจของพระเจ้า คือกฏของธรรมชาติมาเผด็จการกับกิเลส ให้ถูกกับเรื่องของกิเลส กำจัดกิเลสให้สูญหายไปจากจิตใจของมนุษย์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก มันก็เป็นโลกของคนที่ไม่มีกิเลส นั่นน่ะคือสูงสุดของสันติภาพ นี่ผมพูดอย่างนี้บางคนอาจจะคิดว่าผมบ้าไปคนเดียว พูดเพ้อไปคนเดียว ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครยอมรับก็ตามใจ แต่เท่าที่ศึกษามามันมองเห็นอย่างนี้ ว่าเราอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งสูงสุด คือกฎของธรรมชาติที่มีลักษณะเผด็จการ เราต้องทำให้ถูกตามนั้น เราจึงจะไม่มีความทุกข์ เช่นว่าเราจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย แล้วเราก็จะไม่มีความทุกข์ เพราะเราปฏิบัติตรงเข้ารอยกันได้กับสิ่งสูงสุดที่เผด็จการคือกฎของธรรมชาติ ดังนั้นก็เสนอให้กฏของธรรมชาติขึ้นมาว่าได้แก่ กฏอิทัปปัจจยตา ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เรื่องนี้คุณคงจะยังไม่ทราบ เพราะไม่เคยเรียน แล้วไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำไปว่าหัวใจของพระพุทธศาสนานั้นคือ เรื่องกฏอิทัปปัจจยตา เพราะเขาไม่ค่อยได้สอนกันอย่างนั้น เขาใช้คำอื่นซึ่งให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่ว่ากฎที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า กฏอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปาโท ที่พระองค์ตรัสรู้ พอตรัสรู้แล้วเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นแหละ แล้วพระองค์ก็ทรงเคารพกฏนี้ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ไปอ่านดูในพุทธประวัติ ว่าพอพระองค์ตรัสรู้แล้วก็แสวงหาที่เคารพ เพราะว่าจะอยู่อย่างไม่มีที่เคารพนั้นไม่ควร ไม่สมควร คือมันอยู่อย่างไม่มีหลักเกณฑ์นั่นเอง มันไม่สมควร ดังนั้นเราทุกคนจะต้องอยู่อย่างมีหลักเกณฑ์คือมีที่เคารพ ที่นี้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะเคารพใคร หันไปหันมาทางทิศไหนก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่เคารพได้นอกจากธรรมะสูงสุดที่ตรัสรู้ แล้วธรรมะสูงสุดที่ตรัสรู้ก็คือกฏอิทัปปัจจยตา ที่เป็นพระเจ้าเหนือสิ่งใดอยู่โดยธรรมชาติ พระองค์ก็เลยเคารพพระเจ้าอิทัปปัจจยตา หรือกฏอิทัปปัจจยตาว่าเป็นสิ่งสูงสุด นี่มันก็มาเข้าเรื่องของเราที่ว่า เราก็มีสิ่งสูงสุด คือกฏอิทัปปัจจยตา และก็เป็นสิ่งสูงสุดแม้แต่พระพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ก็ต้องทรงเคารพ ดังนั้นทางอื่นไม่มีให้เลือก นอกจากปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ตรงกับความจริงเด็ดขาดของธรรมชาติคือกฎของธรรมชาติ ที่เรียกในพระพุทธศาสนาว่า กฏอิทัปปัจจยตา มีลักษณะเป็นกฎวิทยาศาสตร์เต็มที่เลย แล้วเป็นไปทั้งฝ่ายวัตถุ วัตถุธรรม และนามธรรม คือทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิต มันก็เลยหมด ขอให้เรารู้จักสิ่งนี้กันเสียก่อนเถอะ ผมว่าจะง่าย จะง่ายในการที่จะศึกษาธรรมะ และยอมรับเอาธรรมะเป็นหลักและเป็นสิ่งสูงสุดที่จะต้องปฏิบัติตาม สรุปความสั้นๆ ว่ามันมีสิ่งสูงสุดเหนือสิ่งทั้งปวง เฉียบขาด เป็นเผด็จการอยู่สิ่งนั้นคือกฎของธรรมชาติ ไม่มีใครต่อต้านแก้ไขพลิกแพลงอะไรได้ แล้วก็บันดาลสิ่งทั้งปวงเป็นไปตามกฎนั้น ถ้าเราต้องการสันติภาพเราก็ต้องปฎิบัติทุกอย่างให้ถูกตรงตามกฎนั้น แล้วเราก็จะได้สันติภาพ ทีนี้เรามาโอ้เอ้ อ่อนแอต่อปัญหาของเราคือกิเลส เราก็ไม่ชนะกิเลสได้ เราจึงต้องใช้วิธีเผด็จการต่อกิเลส เหมือนกับที่กฎของธรรมชาติมันเผด็จการต่อทุกสิ่ง หรือถ้า ถ้าจะให้กฎอันนั้นเป็นพระเป็นเจ้า ก็พระเป็นเจ้าก็เผด็จการต่อสิ่งทุกสิ่ง มีอำนาจเหนือสิ่งทุกสิ่ง อย่างที่เรียกว่าเป็นเผด็จการ ในวันนี้ก็ไม่ได้พูดเรื่องอะไร นอกจากจะพูดเรื่องธรรมชาติของธรรมะ หรือธรรมชาติของกฎของธรรมชาติ ธรรมะในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติน่ะมันมีลักษณะอย่างไร มันมีธรรมชาติอย่างไร มันมีธรรมชาติธรรมดาอย่างไรคืออย่างนี้ แล้วเราก็จะได้แน่ใจไปเสียทีหนึ่งก่อนว่ามันมีสิ่งนี้ ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ ดังนั้นไม่มีทางจะหนีไปไหน เพราะมันอยู่ใต้อำนาจของกฏอันนี้ ไม่มีทางจะหนีไปไหน เมื่อมันหนีไปไหนไม่ได้ มันต้องเกี่ยวข้องกันอยู่กับกฏอันนี้แล้ว มันก็หลีกไม่ได้อีกเหมือนกันที่จะไม่ทำตามกฎนี้ ดังนั้นเราก็ต้องทำตามกฏนี้เพื่อรอดอยู่ได้ นับตั้งแต่ว่ารอดชีวิตอยู่ได้ไม่ตาย ก็ต้องทำตามกฎนี้ และถ้าไม่ตายแล้วจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อจะได้ดีที่สุด มันก็ต้องทำตามกฎนี้อยู่นั่นแหละ ซึ่งมันเลื่อนสูงขึ้นไป เราจึงต้องยอมรับกฎนี้ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด แล้วก็ปฏิบัติตามกฏนี้ไปจนกว่าจะถึงจุดสูงสุด ตลอดเวลามีลักษณะเผด็จการต่อสิ่งที่เป็นข้าศึก เป็นศัตรู มิฉะนั้นเราจะเอาชนะไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกิเลส เราจงเผด็จการต่อกิเลส ต่อสิ่งที่เรียกว่ากิเลส ให้ชนะกิเลสให้ได้ มันก็คือชนะความทุกข์ได้ เพราะว่าความทุกข์มันก็เป็นผลของกิเลส ดังนั้นขอให้ช่วยฟังแล้วเอาไปคิดไปนึก ผมจะอวดดีสักหน่อยว่าไม่มีใครพูดอย่างนี้ พูดเรื่องอย่างนี้กันกับคุณหลอก หรือที่ไหนก็ตาม เพราะเขาไม่มองกันมาถึงจุดนี้ ผมอุตริมองมาถึงจุดนี้ เพื่อทำสิ่งต่างๆ ให้มันชัดเจนเข้า ให้มันง่ายเข้า หรือให้มันปฎิบัติได้ สามารถปฏิบัติได้จริง เพราะเรารู้เรื่องสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง แล้วเป็นอันว่าวันนี้ไม่ได้พูดเรื่องอะไรกันเลย พูดแต่เรื่องธรรมชาติธรรมดาของสิ่งๆ หนึ่ง คือกฎของธรรมชาติ ซึ่งเราปฎิเสธไม่ได้ เราจะต้องผสมโรงกับกฎของธรรมชาติ มีวิธีการปฏิบัติ คือเผด็จการต่อสิ่งที่เราจะต้องเผด็จการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญหา หรือความทุกข์ทั้งปวง ถ้าความจริงหรือข้อเท็จจริงอันนี้มันเป็นที่กระจ่างแจ่มแจ้ง ไม่สงสัยเคลือบแคลงอย่างไรแล้ว การศึกษาธรรมะต่อไปข้างหน้าก็จะสะดวกดาย ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่มีศรัทธาในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ในวันนี้เราพูดกันเท่านี้ตามเวลาที่กำหนดไว้มันก็หมดแล้ว ๑ ชั่วโมง ขอยุติการพูด.