แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันเป็นครั้งที่ ๒ นี้ นี่ก็จะได้พูดถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรม หรือธรรมะนั้นให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นไป ความประสงค์ก็เพื่อจะให้รู้จักสิ่งนี้ ทั้งที่เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะมีใครสนใจ อย่างที่ได้พูดมาแล้วในครั้งก่อนว่าแม้คนทั้งโลกจะมีโอกาสมาปรึกษาหารือกันเพื่อแก้ไขปัญหาของโลก ก็ดูจะไม่มีใครคิดถึงคำว่าธรรมะ สำหรับจะเอามาเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาของโลก แม้บุคคลประเภทที่เรียกตัวเองว่านักศึกษา กำลังดิ้นรนที่จะทำหน้าที่หรือสิ่งที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสันติภาพของสังคม แม้จะให้เอามารวมกัน ออกความคิดเห็นอย่างอิสระ ก็ไม่มีนักศึกษากลุ่มไหนที่จะนึกถึงธรรมะว่าจะเป็นสิ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาสังคม นี่ลองคิดดู นี่เรามันจะตะบึงตะบันดื้อดันไปคนเดียวที่จะพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ นี่สำหรับผม เพราะได้ใคร่ครวญอะไรในเรื่องเหล่านี้มาเป็นเวลานานพอแล้วก็มองเห็นอย่างนี้ และเห็นอย่างนี้ยิ่งขึ้นทุกที ว่าคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นแหละ โดยที่มองเห็นว่าปัญหาทั้งหลาย ทั้งหมด มันเกิดมาจากการที่คนมันขาดธรรมะ ปัญหาเลยพรูกันขึ้นมาทุก ๆ ด้าน ทุก ๆ ทิศทาง ทุกระดับ ถ้าธรรมะมีมาจนคนไม่ขาดธรรมะ ปัญหาเหล่านี้มันเกิดไม่ได้ นี่เป็นข้อที่ผมตั้งใจจะพูด จะเชื่อหรือจะไม่เชื่อก็ขอให้ กำหนดจดจำเอาไปศึกษา ใคร่ครวญ วิพากษ์วิจารณ์ดูเอง แต่เท่าที่เราศึกษากันมา หลักของพุทธศาสนาที่เรียกว่าธรรมะมันมีอยู่อย่างนี้ มันสามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้อย่างนี้ จึงตั้งใจจะพูดให้เป็นที่รู้จักกันสำหรับพุทธบริษัทว่าธรรมะคำเดียวจะแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งสิ้นได้ สรุปหัวข้อก็ว่าธรรมะเป็นเครื่องแก้ปัญหาของมนุษย์ ทำไมอยากระบุไปยังมนุษย์ ว่าถ้าไม่ใช่มนุษย์ มันไม่มีความหมายอะไร เพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่รู้สึกได้ มีความรู้สึกได้ รู้สึกสุขและทุกข์ได้ มันเกี่ยวกับการที่จะทนได้หรือไม่ได้ จะอยู่หรือจะตาย มันเป็นเรื่องของมนุษย์ ส่วนที่จะลงไปถึงสัตว์ถึงต้นไม้นั้นมันเป็นส่วนน้อย นี่มันอยู่ในน้ำมือของมนุษย์ที่จะทำได้ แก้ไขได้ เราจึงระบุไปยังมนุษย์ว่าเป็นเจ้าของปัญหาในโลก
นี่อยากจะให้สนใจศึกษาเป็นพิเศษถึงคำว่าธรรมะ ก็ลองนึกดูว่าตัวเอง ใครแต่ละคนตัวเองนี่ เคยรู้เรื่องของธรรมะ เข้าใจคำว่าธรรมะอย่างไร ในลักษณะอย่างไร และถ้าคนพวกอื่น ลัทธิที่อื่น ศาสนาอื่น เขาเกิดถามขึ้นมาว่าธรรมะของคุณคืออะไร เราจะตอบเขาว่าอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจ หรือดีกว่านั้นก็คือว่า เข้าใจกันได้ เอาไปใช้สำเร็จประโยชน์ได้ ได้ยินว่าพวกที่ไป ที่ไปเมืองนอก ที่เป็นชั้นนักศึกษาผู้มีสติปัญญา มีเกียรติว่าเป็นพุทธบริษัท มักจะถูกถามด้วยคำถามเหล่านี้ โดยเฉพาะไอ้คำว่าธรรมะมันคืออะไร แต่ก็มีน้อย คนเหมือนกันที่จะรู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะมันคือทั้งหมดของพุทธศาสนา บางคนจะถามไปทางอื่นที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะแต่ในนามของพุทธศาสนาอย่างนี้ก็มี ขอให้เรารู้ไว้ว่าธรรมะคือทั้งหมดของพุทธศาสนา ทีนี้มันยังแปลกไปกว่านั้นอีกก็คือว่าไอ้ธรรมะคำเดียวเป็นเรื่องทั้งหมดของธรรมชาติ ธรรมชาติ เรื่องนี้ผู้ที่เคยเรียนบาลีมาแล้ว ไม่มีปัญหา แต่กลัวส่วนมากนี้ไม่เคยเรียนบาลี เลยไม่รู้ว่าคำว่าธรรมะนั้นแปลว่าอะไร คำว่าธรรมะที่ตัวหนังสือแท้ ๆ แปลว่าธรรมชาติ บางทีก็ธรรมดา ธรรมดาซึ่งความที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เรียกว่าธรรมดา ธรรมะแปลว่าธรรมชาติ ใช้ในความหมายว่าธรรมดานั้นก็มี เช่นชาติธัมโม เรามีความเกิดเป็นธรรมดาอย่างนี้ นั่นแปลว่าธรรมดา แต่ใช้ในความหมายทั้งหมดทั่ว ๆ ไปนั้นแปลว่าธรรมชาติ แล้วก็ถือเป็นธรรมชาติหมดไม่ยกเว้นอะไร นี่ก็เป็นปัญหา ก็เพราะว่าเราเรียนมาอย่างที่เขาสอนกันอยู่ และก็เป็นเป็นอะไร เรียนตามหลังฝรั่งตามเคย พวกฝรั่งเขาจำกัดความหมายของคำว่าธรรมชาติไว้เท่าไร เราก็มักจะเอากันเท่านั้น มันจึงมีธรรมชาติและมิใช่ธรรมชาติขึ้นมาในการศึกษาของฝรั่ง ธรรมชาติหรือมิใช่ธรรมชาติ หรือเหนือธรรมชาติ มันมีขึ้นมา แต่สำหรับในพุทธศาสนาเรามันมีแต่ธรรมชาติอย่างเดียวในระดับเดียว ไม่มีสิ่งที่มิใช่ธรรมชาติ และก็ไม่มีสิ่งที่เหนือธรรมชาติขึ้นไปได้ เพราะว่ามัน มันเป็นธรรมชาติไปหมด นี่เราจะต้องรู้ไอ้ข้อเท็จจริงอันนี้ไว้เพื่อจะพูดกันรู้เรื่อง เดี๋ยวนี้พวกเราชาวบ้านธรรมดา จะเข้าใจกันแต่เพียงว่าไอ้ธรรมชาติ ธรรมชาตินั่นคือมันเป็นอยู่เองโดยที่มนุษย์ยังไม่เข้าไปแตะต้องแล้วก็เรียกว่าธรรมชาติ ถ้ามนุษย์เข้าไปจัดการเสียแล้วก็หมดความเป็นธรรมชาติอย่างนี้ แต่ถ้าหลักธรรมะในภาษาฝ่ายธรรมะมันไม่เป็นอย่างนั้น มันยังคงเป็นธรรมชาติ เขาก็เอา ดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรก็ตามเป็นธรรมชาติ เนื้อตัวของคนนี่ก็เป็นธรรมชาติ จิตใจของคนก็เป็นธรรมชาติ นั่นแหละไอ้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติที่มนุษย์จะมาดัดแปลงอะไรแล้วมันก็ยังคงเป็นธรรมชาติ ความหมายของคำว่าธรรมชาติในภาษาธรรมะมันครอบหมด ไม่มีอะไรเหลือ แต่ว่าในภาษาไทย หรือในภาษาบางภาษาที่ใช้กันอยู่ในโลกเขาไม่เป็นอย่างนั้น เขาก็อยากให้เป็นธรรมชาติก็มี ไม่ใช่ธรรมชาติก็มี คือเหนือไปกว่าธรรมชาติก็มี ตอนนี้มันก็มีส่วนถูกของเขาเหมือนกัน ก็เขามองตามแบบนั้นแล้วก็บัญญัติตามอย่างนั้น ก็ฟังไว้ ก็รับไว้ เขาอาจจะเห็นว่าบางอย่างนี่เหนือกว่าธรรมชาติ ตามความรู้สึกหรือมาตรฐานที่เขามีกันอยู่ แต่เรามันเห็นเป็นธรรมชาติไปหมดไม่มีอะไรที่เหนือธรรมชาติได้
ทีนี้ก็จะได้ดูกันถึงไอ้คำว่าธรรมะ คำเดียวนั้นมันมีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติอย่างไรบ้าง ข้อนี้ผมขอย้ำให้ช่วยกันฟังให้ดี จำให้ดี เอาไปคิดให้ดี จะสะดวกในการที่จะศึกษาธรรมะอีกมากมาย หรือว่าในการที่จะไปพูดจากับคนต่างประเทศ ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะได้ถูกตรงตามหลักของพุทธศาสนา แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปถูกตรงกับหลักของพวกอื่น เป็นไปไม่ได้ เพราะเรามีความหมายที่ไม่เท่ากัน อย่างที่กล่าวมาแล้ว เพราะธรรมะซึ่งเล็งถึงในสิ่งทุกสิ่งที่มันเป็นธรรมชาตินั้น เราถือกันว่ามีอยู่ ๔ ความหมาย คือมีความหมายอยู่ ๔ ประเภทก็ได้ หรือมีความหมายอยู่ ๔ ความหมายก็ได้
ความหมายที่ ๑ คือมันเป็นธรรมชาติ ในตามธรรมชาติคือตัวธรรมชาตินั่นเอง เรียกว่าธรรมะคือธรรมชาติ ทีนี้ความหมายที่ ๒ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ คงจะฟังออกแล้วว่าไม่ใช่ตัวธรรมชาติ คือกฎของธรรมชาติ กฎที่มีอยู่ในธรรมชาติ หรือโดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ เรียกกันสั้น ๆ ว่ากฎของธรรมชาติก็แล้วกัน นี้ความหมายที่ ๓ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่ ๔ คือผลที่ออกมาจากหน้าที่ นี่ทำความเข้าใจเฉพาะไอ้ตัวธรรมชาติเหล่านี้ ว่าอันหนึ่งหมายถึงตัวธรรมชาติที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ทุกอย่าง ทุกชนิด อย่างที่พูดแล้วไม่มีไม่ยกเว้นอะไร ที่ในตัวธรรมชาตินั้นมันมีกฎของธรรมชาติสิงสถิตอยู่ด้วย ที่ทำให้ธรรมชาติเหล่านั้นเป็นไปตามกฎโดยเฉียบขาดเลย นี่เรียกกฎธรรมชาติ จะมาแต่ไหนใครสร้างไม่มีใครตอบและไม่ต้องตอบ ไม่จำเป็นจะต้องตอบ แต่รู้ไว้ว่ามันมีกฎของธรรมชาติสิงอยู่เพื่อควบคุมไอ้สิ่งที่เป็นธรรมชาติเหล่านั้น ให้ธรรมชาติเหล่านั้นเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ทีนี้ไอ้สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย มันก็เกิดมีหน้าที่ขึ้นมา หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ มิฉะนั้นมันจะต้องตาย ความหมายนี้สำคัญมาก เป็นตัว ตัวใจความของเรื่อง หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่ ๓ ทีนี้ความหมายที่ ๔ นี่ไม่ค่อยจะสำคัญอะไรนักเพราะมัน มันเป็นผลที่ออกมาจากหน้าที่เท่านั้นถ้ามันมีหน้าที่ ทำหน้าที่แล้วมันก็มีผลออกมา จึงเรียกว่าผลที่เกิดจากหน้าที่ อันที่ ๑ คือธรรมชาติ อันที่ ๒ คือกฎของธรรมชาติ อันที่ ๓ คือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่ ๔ ก็คือผลที่เกิดมาจากหน้าที่ ในทุกสิ่งจะเป็นอย่างนี้ ที่เราควรจะสนใจก่อนก็คือ ในคน ๆ หนึ่งเอาเราเองเป็น เป็น เป็นตัววัตถุสำหรับศึกษา เรานี้ประกอบด้วย ร่างกายนี่ ร่างกายนี่เป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอะไรก็ตามใจเถอะ แล้วก็มันประกอบอยู่ด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม นี่เป็นอยู่ตามธรรมชาติที่เป็นส่วนร่างกายก็มี และส่วนหนึ่งก็เป็นจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ที่ทำหน้าที่ของจิตทั้งกายและทั้งจิตนี้ ให้เรียกว่าธรรมชาติ นั่นมันกำลังเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่สูงสุดก็คือมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็คือมันเปลี่ยนแปลงนั่นเอง และมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ เช่นเกิดมาจากท้องแม่เป็นอย่างไรมันก็เปลี่ยนแปลงมาตามกฎของธรรมชาติ นี่เรียกว่ากฎของธรรมชาติเขามีอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติคือตัวเรา ทีนี้ไอ้เรา ที่สมมติเรียกกันว่าเราทั้งกายและใจนี่ สมมติเรียกว่าเรานี่ มันก็เกิดมีหน้าที่ขึ้นมา มันมีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจึงจะรอดชีวิตอยู่ได้ มันจึงเจริญไปตามที่เราต้องการ ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกตามกฎของธรรมชาติแล้วมันต้องตาย ไม่ตายมันก็ลำบาก หรือเราต้องการจะได้ผลดีที่สุดมันก็ไม่ได้ เพราะมันไม่ถูกตามกฎของธรรมชาติ ดังนั้นจึงถือว่าไอ้สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด คนก็ได้ สัตว์ก็ได้ ต้นไม้ต้นไร่ก็ได้ที่มีชีวิต ก็มีหน้าที่ ๆ จะต้องประพฤติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ความหมายที่ ๓ นี่สำคัญที่สุด อย่างที่เคยพูดให้ยินบ่อย ๆ ว่าคำว่า ธรรมะ นั้นแปลว่าหน้าที่ นี่ความหมายที่ ๔ มันก็ผลเกิดขึ้น บางทีร่างกายเรานี่ สบายบ้างไม่สบายบ้างเป็นอย่างนั้นบ้าง เป็นอย่างนี้บ้าง เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ผลที่มันเกิดจากหน้าที่ก็เรียกว่าธรรมะด้วยเหมือนกัน แล้วคุณไปดู ไปเหลือบดู จะเห็นว่าไม่มี ไม่มีอะไรที่ยกเว้น ที่อยู่นอกไปจากไอ้คำ ๔ คำนี้ ความหมาย ๔ ความหมายนี้ได้ แล้วก็ควรจะสังเกตเห็นเสียเลยว่า ใน ๔ ความหมายนั้น ความหมายที่สำคัญที่สุดก็คือความหมายที่ ๓ ที่แปลว่าหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ความหมายนี้คงใช้กันมาแต่ดึกดำบรรพ์นะ ตั้งแต่มนุษย์ต้องทำอะไรให้ถูกต้อง เพื่อความรอดอยู่ได้ ก็เรียกว่าหน้าที่ ฉะนั้นคำว่าหน้าที่ หน้าที่ในภาษาไทยเราก็คือคำว่าธรรมะในภาษาบาลี นั้นจึงยึดถือเอาความหมายนี้มาโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้เพราะว่าไม่ ตอนนั้นก็ยังไม่ต้องไปศึกษาภาษาหรือบัญญัติคำ ภาษาปรัชญาอะไรมันยังไม่มี แต่เขาก็รู้สึกได้ตามธรรมชาติว่ามันมีสิ่งที่ต้องทำ ละเลยไม่ได้ก็คือหน้าที่ คำนี้คือธรรมะแปลว่าหน้าที่ ฉะนั้นธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถูกที่สุดเลย แปลได้ ๔ อย่าง อย่างที่ว่าแล้วแต่ที่มันจำเป็นจะต้องใช้ จะต้องเกี่ยวข้องด้วยมันก็คือ คำว่าหน้าที่ หน้าที่อะไรล่ะ ก็หน้าที่ให้รอดอยู่ได้ จะเรียกว่าหน้าที่เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ และหน้าที่รอดจากปัญหาทุกปัญหา หรือสิ่งไม่พึงปรารถนาทุกอย่างทุกประการ ให้รอดจากทั้งหมดนี้นั่นคือรอด คำว่ารอดนี่เป็นคำที่ประหลาดคำหนึ่ง รู้กันไว้เสียทีก็ไม่เสียหลาย คำว่ารอด คือทุก ๆ ศาสนามันจะมีคำว่ารอดเป็นจุดหมายปลายทางทั้งนั้น ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ศาสนาในอินเดีย กระทั่งศาสนาคริสเตียน คริสตังนั้นก็มีคำว่า รอด EMANCIPATION, SALVATION 19;20 อะไรก็ตามมีความหมายเป็นรอดด้วยกันทั้งนั้น หน้าที่คือเพื่อทำให้ ทำให้ ทำเพื่อให้รอด รอดจากตาย เป็นชีวิตอยู่และก็ทำให้รอดจากปัญหาทั้งหลายที่บีบคั้นอยู่ ก็รอดในที่สุด แล้วว่าไปอยู่อย่างนิพพาน คนหนึ่งเขาว่าไปอยู่กับพระเจ้า ก็ตามใจเขานั่นมันเป็นคำพูดชนิดที่ให้ความหมายลักษณะโฆษณา แต่ความจริงมันรอดจากสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทุกอย่างทุกประการ ฉะนั้นจะมาดูลักษณะของไอ้หน้าที่ นี้ก็มีคำว่าบัญญัติขึ้นมาอีกคำหนึ่ง เขาบัญญัติกันขึ้นว่า หน้าที่ ๆ จะทำให้ถูกต้อง แก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ไอ้บทนิยามนี้ช่วยจำไว้ดี ๆ จะมีประโยชน์ที่สุดในอนาคตที่คุณจะศึกษาต่อไป การประพฤติกระทำ เป็นระบบที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอน แห่งวิวัฒนาการของเขา นั่นแหละคือความหมายของคำว่าหน้าที่ ที่ เรานิยามให้ชัดลงไป เป็นอันว่าคำว่าหน้าที่นี่คือ คำสูงสุด สูงสุด แต่ภาษาธรรมดา ๆ จะไม่ให้เกียรติแก่คำนี้มากมายอะไร แต่ถ้าในทางธรรมะ ในทางศาสนาอย่างที่ว่านี่แล้วคำว่าหน้าที่เป็นคำที่มีเกียรติที่สุดเลย จะเป็นสิ่งที่สูงสุด ถ้าไม่ทำหน้าที่ก็ไม่มีความหมายไม่มีค่าอะไร หรือที่หลักทั่วไปที่เขาถือกันว่าถ้าไม่ทำหน้าที่ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับอะไร เหมือนกันแหละ ถ้าไม่ทำหน้าที่คนนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์อะไร ไม่มีสิทธิที่จะกินอาหารด้วยซ้ำไป ให้มันตายไปเลยถ้ามันไม่ทำหน้าที่ ขอให้จำไอ้หัวข้อ ๔ หัวข้อว่า ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลที่เกิดจากหน้าที่นั้น
ทีนี้ก็ดูต่อไปว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นมันจะแก้ปัญหาของมนุษย์ในโลกทั้งหมดได้อย่างไร ซึ่งผมก็ยืนยันมาตลอด มาว่า ธรรมะอย่างเดียวแก้ปัญหาได้หมด มันหมายถึงความถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอน ในชีวิตของเขา ถ้าทุกคนมันตั้งอยู่ในธรรมะ ปัญหาก็ไม่มี ใครมีธรรมะปัญหาของคนนั้นหมด แก้ปัญหาได้ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขาตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ จนแก่เฒ่าเข้าโลงไปมันก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงปัญหาของสังคมคือทั้งโลก เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโลก ไม่มีธรรมะ มันก็ไม่มีความถูกต้องในมนุษย์นั้น ๆ นั่นแหละมันก็สร้างปัญหาขึ้นมาทันที ปัญหาส่วนตัว ที่จะลำบากยุ่งยากและเป็นทุกข์ และก็ปัญหาทางสังคม เพราะว่ามันต้องเกี่ยวข้องกัน มันไม่มีใครอยู่ได้ตามลำพัง ทีนี้ให้เรา จะแยกกันสักหน่อยว่า ปัญหาของมนุษย์ในโลกทั้งโลก ตามหลักในพุทธศาสนาจะ จะ จะเพ่งเล็งให้เห็นชัดว่า ปัญหาระดับต่ำ ปัญหาระดับสูง อย่างที่ว่ามาแล้ว ปัญหาระดับต่ำก็คือว่ามันรอดชีวิตอยู่ได้ ไม่ตาย นี้เป็นพื้นฐานทั่วไปเรียกว่าปัญหาระดับต่ำ ทีนี้ปัญหาระดับสูงก็เมื่อรอดชีวิตอยู่ได้แล้ว มันจะต้องดีเรื่อย ๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด นั่นแหละคือปัญหาระดับสูง ไม่มีธรรมะมันก็แก้ไม่ได้แม้แต่ปัญหาระดับต่ำ คือมันจะตายหรือเกือบตายหรืออยู่ด้วยความทุเรศ ถ้ามีธรรมะสำหรับระดับต่ำก็แก้ปัญหาระดับต่ำนี้ได้หมด ครั้นแล้วก็มาถึงปัญหาระดับสูงคือทางจิตใจล้วน ๆ และก็เป็นส่วนบุคคลมากขึ้น คือปัญหาเกี่ยวกับ กิเลส ใน ในตัวคน ของคนนั้น ที่มันแผดเผาคนนั้น ปัญหาของความทุกข์ตามธรรมชาติ คือเช่นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น ที่มันเป็นปัญหาแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้นจะต้องทำให้ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับกิเลสและเกี่ยวกับความทุกข์เหล่านั้น คือปัญหาระดับสูง ถ้าว่ากันโดยยุติธรรมแล้ว ศาสนามุ่งจะแก้ปัญหาระดับสูงกันทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนามุ่งหมายจะแก้ปัญหาระดับสูงทั้งนั้น ไอ้ระดับที่รอดชีวิตอยู่ ทำมาหากินนี่ มันก็ได้ถ้าต้องการจะให้พูดด้วยก็ได้ แต่มันเป็นความทุกข์ระดับต่ำจะเรียกว่าความทุกข์เด็กเล่นเสียมากกว่า ถ้าไปเทียบความทุกข์ลึกซึ้งของชีวิต คือปัญหาที่เกิดมาจากกิเลส และปัญหาที่เกิดมาจากธรรมชาติ ตามธรรมชาติ เช่นความเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้จะมีปัญหาอยู่กัน ๒ ระดับอย่างนี้ ธรรมะก็ยังแก้ได้หมดอยู่นั่นเอง ขอให้สนใจที่นั่น นี่เราก็แยกดูเองสิว่ามันจะแก้ปัญหาทั้ง ๒ ระดับนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวนี้เขานิยมเรียกกันว่าระดับโลกียะคือของชาวโลก ระดับโลกุตตระคือพ้นโลก เหนือโลก อันนั้นที่มักจะไปหลงกับคำว่าเหนือธรรมชาติ พวกอื่นอาจจะเรียกว่าเหนือธรรมชาติ แต่ทางพุทธเราไม่ ไม่เรียกว่าเหนือธรรมชาติหรอก มันเป็นธรรมชาติระดับนั้นเท่านั้นเอง ธรรมะจะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ทั้ง ๒ ระดับ นี่อย่าลืมว่าไม่มีใครบัญญัติกฎเกณฑ์อันนี้ขึ้น ไอ้ ไอ้ธรรมะนี่ไม่ใช่ใครบัญญัติแต่งตั้งขึ้น หรือว่าศาสนาอื่นเขาจะพูดว่ามีใครบัญญัติแต่งตั้งขึ้นก็ตามใจเขา แต่ในพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าท่านว่ามันมีอยู่เอง ตถาคตเป็นแต่พบแล้วเอามาบอกเท่านั้นเอง ค้นพบไอ้ธรรมะหรือกฎเกณฑ์อันนั้นแล้วก็เอามาบอก ไม่ได้แต่งตั้งบัญญัติกฎเกณฑ์เหล่านั้น และถ้าบัญญัติแต่งตั้งมันเป็นเพียงคำพูด คำพูด ที่ว่าพูดให้เขาเข้าใจเรื่องนั้น แต่ตัวกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ว่ามันต้องเปลี่ยนแปลง มันต้องเป็นอย่างนั้น มันต้องเป็นอย่างนี้ตามกฎของธรรมชาติ นั้นท่านไม่ได้แต่งตั้ง ท่านพบว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นแล้วก็มาบอก มาสอน มาเปิดเผย เอามาทำให้ใช้ประโยชน์ได้ ทีนี้ยังมีถึงกับว่ามันมีมากเยอะแยะ ไอ้ ไอ้ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติที่เป็นความรู้เรื่องกฎของธรรมชาตินั่นหละ มีอีกมากมายที่ไม่เอามาสอน แม้จะพบแล้วรู้แล้วก็ไม่ต้อง ไม่ต้องเอามาสอน เพราะมันเกินจำเป็น คงสอนแต่ที่มันจะดับทุกข์ได้ หรือที่แก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ดังนั้นมันจึงสำคัญอยู่ที่ตัวปัญหาของมนุษย์มันมีอะไรบ้าง และท่านก็จะสอนให้ในลักษณะที่ดับความทุกข์ทั้งหมดนั้นได้ก็พอ ฉะนั้นส่วนที่มากไปกว่านั้น ลึกซึ้งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องเอาพูดกัน แต่ขอให้รู้ รู้ไว้เถอะว่าไอ้เรื่องของธรรมชาติหรือเรื่องกฎของธรรมชาตินี้มันมากมาย มันยังมีอยู่อีกมากมาย ไม่ต้องเอามาสอนไม่ต้องมาเปิดเผยก็ได้ เอามาสอนมาประกาศในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้าผู้เปิดเผยนี้ ก็จะสอนแต่เรื่องที่มันจะดับทุกข์ได้ คือแก้ปัญหาได้ และแก้ปัญหาทั้ง ๒ ชนิดที่ว่านี้ได้ ปัญหาระดับโลกหรือโลกียะก็แก้ได้ ไม่มีปัญหา ปัญหาระดับโลกุตตระมันละเอียดลึกซึ้งสูงขึ้นไปก็แก้ได้ นี่เรียกว่าแก้ปัญหาหมด จึงเป็นผู้รู้ รู้ทั้งปวง ผู้รู้สิ่งทั้งปวงที่มนุษย์ควรจะรู้ แล้วก็จะดับทุกข์ทั้งปวงของมนุษย์ได้ตามที่มีอยู่ นี่คือท่านรู้ เรามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ทุกกรณีที่มนุษย์ควรจะได้รับ ทุกกรณีที่มนุษย์ควรจะได้ทราบและเอาไป เอาไปแก้ปัญหานั้น ๆ เอ้า, ทีนี้มันก็มาถึงไอ้ปัญหาหรือตัวเรื่องเฉพาะ เฉพาะหน้า ที่เราจะต้องดูกันนั่นแหละ เพราะแม้โลก สัตว์โลก มนุษย์โลกในปัจจุบันนี้มันก็ยังคงมีปัญหา ๒ ชนิดอยู่นั่นแหละ ไม่ใช่ ไม่ใช่จะมีกันแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ เดี๋ยวนี้มนุษย์มันก็มีปัญหาระดับแรกโดยจะรอดชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุกเต็มที่นี่ นี้ปัญหานี้มันหมดไปแล้วหรือยัง ได้ยินตะโกนกันอยู่ว่ายังมีคนอดอยาก อดอาหารตาย เจ็บไข้ ทนทุกข์ทรมานอยู่นานาประการ ยังมีคนที่เป็นอันธพาล เป็นเสี้ยนหนาม เป็นศัตรูของสังคม เป็นคนโง่ เป็นคนหลง เป็นคนมิจฉาทิฐิ เห็นว่าการทำอะไรตามชอบใจตน ผู้อื่นจะเดือดร้อนไม่รู้ก็มีอยู่มาก มันก็ยังมีคนอันธพาลที่จะทำให้คนเดือดร้อนทางสังคม ทั้งหมดนี้ก็เรียกว่าปัญหาในด้านโลก ฝ่ายโลก ระดับโลกทั้งนั้น ธรรมะจะแก้ให้หมดได้อย่างไร ที่เราพูดกันเมื่อวานว่าแม้จะเอาคนทั้งโลกมานั่งพูดกันเพื่อแก้ปัญหา เขาก็ไม่เคยนึกถึงธรรมะ เขาก็จะออกความเห็นไปตามความเห็นส่วนตัวของเขา ไอ้พวกที่เป็นนักเศรษฐกิจมันก็ว่าต้องแก้ระบบเศรษฐกิจ นักการเมืองก็แก้ระบบการเมือง นักการปกครองมันก็แก้การปกครอง ตามถนัดของตนแต่ละอย่าง ละอย่าง ไม่มีใครพูดถึงว่าเอาธรรมะมาแก้ ทีนี้เรามีเหตุผลที่จะเสนอขึ้นว่ามันแก้ไม่ได้ เพราะว่าปัญหาเหล่านั้น มันเกิดมาจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์นี่ ปัญหาเศรษฐกิจมันเกิดมาจากนักเศรษฐกิจไม่มีธรรมะ ปัญหาการเมืองมันเกิดจากนักการเมืองไม่มีธรรมะ ปัญหาปกครองมันเกิดมาจากนักปกครองไม่มีธรรมะ แล้วแต่จะมองดูกันที่ไหน มันจะพบว่ามันคน คน ซึ่งมีหน้าที่ภาระ ทำหน้าที่นั้น ๆ มันไม่มีธรรมะ แล้วมันก็ทำไปอย่างไม่มีธรรมะเกิดปัญหาขึ้นมา ถ้ามันมีธรรมะแล้ว มันก็ไม่มีใครทำให้มันผิด ความถูกต้อง ตัวเองก็ถูกต้อง สังคมมันก็ถูกต้อง ปัญหามันก็ไม่มี อย่างว่าปัญหาความยากจน มันก็มาจากการที่คนมันไม่ประพฤติธรรมะ เพราะมันไม่รู้ว่าไอ้ ไอ้ ไอ้ธรรมะนั่นคือหน้าที่ มันไม่สนุกในการทำหน้าที่ มันต้องการจะไม่ทำงาน แล้วก็มี สบาย ไม่ต้องการจะทำงาน ไม่ต้องการจะทำหน้าที่ ต้องการจะมีเงิน มีอาหาร มีอะไรต่าง ๆ ไปดูที่คนยากจน เขาก็ยังไม่อยากทำงาน ก็ทนทำงานเพราะไม่มีอะไรจะกิน ก็ความยากจนมันบังคับ โดยเนื้อแท้เขาไม่อยากจะทำงาน แล้วก็เอาชนะความยากจนไม่ได้ นี่ถ้าเขารู้ว่าไอ้ ไอ้หน้าที่หรือการงานมันคือธรรมะ คือมันเป็นของสำหรับมนุษย์ จำเป็นสำหรับมนุษย์ เป็นสิ่งประเสริฐสุดกว่าสิ่งทั้งปวงของมนุษย์ เขาก็เลยบูชาการงาน บูชาหน้าที่ แล้วก็ทำหน้าที่สนุกไปเลย อย่างที่ผมพูดอยู่เป็นประจำเดี๋ยวนี้ว่า ทำงานให้สนุกแล้วก็เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน นั่นแหละคือธรรมะ ใครทำได้อย่างนั้นคนนั้นมีธรรมะเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ในระดับธรรมะทั่วไป ชาวนาสนุกอยู่กับการทำนามีความสุขอยู่เมื่อทำนาแล้วก็มีธรรมะ ชาวสวนก็เหมือนกัน พ่อค้าก็เหมือนกัน ใคร ๆ ก็เหมือนกันแล้วแต่ว่า เขาอยู่ในฐานะที่จะทำงานอะไรได้ เมื่อเขาไปเป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีไม่ได้ เขาก็ต้องลดลงมา ลดลงมา กระทั่งว่าเขาจะทำได้เพียงถีบสามล้อก็เถอะ มันเป็นไอ้หน้าที่ที่เหมาะสำหรับเขา เดี๋ยวนี้เรามันมีความสามารถเพียงว่าถีบสามล้อ มันก็เห็นว่าเป็นหน้าที่ ทำเข้าแล้วก็คือทำหน้าที่ มีธรรมะแล้วก็ประเสริฐสำหรับเรา เขาทำหน้าที่นั้นสนุกก็เป็นสุขเมื่อทำหน้าที่นั้นเอง ถ้าให้เขา เขา เขารู้อย่างนี้นะ หรือเขาเปลี่ยนจิตใจได้ถึงขนาดนี้ เขาก็ทำงานสนุกแม้ถีบสามล้อ มันก็ถีบได้มากเพราะมันไม่รู้สึกเหนื่อย แล้วมันก็มีความสุข เกิดมาจากความรู้ว่า ไอ้นี่มันดีแล้ว ประเสริฐแล้ว คือพอใจในหน้าที่นั้นแล้วมันก็เป็นความสุข ความสุขแท้จริง มันก็ไม่ต้องใช้เงินไปซื้อหาความสุขอะไรอีก หลังจากเลิกถีบสามล้อแล้ว ถ้าเขาไม่รู้สึกเป็นสุข พอใจเมื่อกำลังทำหน้าที่นั้น เขาไม่เป็นสุขเลย เขาตกนรกทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลาที่ถีบไอ้สามล้อนั้น พอ พอเลิกถีบสามล้อแล้วก็ต้องไปหาสถานเริงรมย์ ไปหาอะไร หากามารมณ์ ไอ้เงินค่าถีบสามล้อมันก็ไม่พอ แต่ถ้าเขามีธรรมะอย่างที่ว่านี้ สนุกเมื่อทำงาน มัน มันก็เป็นสุขเมื่อกำลังทำงาน มันอิ่มอยู่ด้วยความสุขที่ถูกต้อง เลิกถีบสามล้อแล้วมันก็ไม่ต้องไปจ่ายเงินซื้อหาความหลอกลวงเพลิดเพลินอะไรอีก เงินมันก็เหลือ นานเข้ามันก็ยกตัวเองขึ้นจากคนถีบสามล้อไปเป็นคนมีรถตุ๊ก ๆ กระทั่งมีแท็กซี่ มีรถยนต์ มีอะไรเรื่อย ๆ ขึ้นไปจนพ้นไอ้ความเหนื่อยยากลำบาก แต่เขาก็ต้องไปพอใจในหน้าที่อะไรใหม่ที่เขาได้รับอย่างเดียวกันอีก ก็ต้องสนุกในการงานของเขาและมีความสุขเมื่อกำลังทำงานต่อไป แล้วเขาก็เลื่อนชั้นขึ้นได้ต่อไป ต่อไป จนมีบ้าน มีเรือน มีงาน มีโรงงาน มีอะไรก็ตาม นี่มันจะพ้นปัญหาระดับพื้นฐานได้อย่างนี้ ถ้าว่าเขามีธรรมะ ไม่ว่าจะยากจนอยู่ในระดับไหน เป็นชาวนา ชาวสวน เขามีธรรมะแล้วเขาก็ปฏิบัติถูกต้องแหละ ไม่เจ็บไข้ ไม่เสื่อมสุขภาพ ไม่ ไม่ขาดอาหาร ไม่อะไรที่เป็นปัญหาเบ็ดเตล็ดทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้ปัญหาเบ็ดเตล็ดนี้กลายเป็นปัญหาโลก เป็นปัญหาขององค์การโลกที่ว่าคนยังไม่มีอาหารจะกินพอกัน ไม่มีสุขภาพ ขาดอาหาร เป็นโรคนั้นเป็นโรคนี้ ยุ่งกันไปหมด เพราะว่าคนเหล่านั้นมันไม่มีธรรมะ แล้วองค์การโลกไม่แก้ด้วยการให้มีธรรมะ เพียงแต่หาเงินมาช่วยท่าเดียว ไอ้คนที่มันเป็นเจ้าทุกข์มันก็ยังไม่ลืมหูลืมตาอะไร มันก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม มันก็ไม่ยกฐานะขึ้นมาได้ มันก็เลยไม่มี ไม่มีผล มันมีอาการเหมือนกับว่าจับปูใส่กระด้งคือมันไม่สิ้นสุด นี่เรียกว่าขาดธรรมะแล้วแม้แต่ปัญหาทางโลก ๆ นี้มันก็แก้ไม่ได้ นี่เรามองเห็นชัดว่าถ้ามีธรรมะแล้ว มันจะแก้ได้ มันจะไม่มีคนขี้เกียจ มันจะไม่มีคนขาดอาหารหรือโรคภัยไข้เจ็บ แล้วเขามีสัมมาทิฐิ มีความรู้ เกี่ยวกับธรรมะนั่นแหละมันเป็นความรู้ที่ทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ เขาจะรู้หนังสือก็ได้ เขาจะไม่รู้หนังสือก็ได้ ถ้าเขามีสัมมาทิฐิ ดำรงตนอยู่ในทางที่ถูกต้อง อย่างที่เคยพูดวันก่อนแล้วว่าเดี๋ยวนี้ปัญหาเกิดมาแต่คนที่รู้หนังสือมาก ๆ ทั้งนั้นแหละ ปัญหาในโลกที่เกิดในปัจจุบันมาแต่คนรู้หนังสือมาก ๆ ไอ้คนที่ไม่ค่อยรู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือเลยไม่ได้สร้างปัญหาอะไร คนป่าสมัยดึกดำบรรพ์โน้นไม่รู้หนังสือสักตัวหนึ่ง เขาอยู่กันอย่างมีสันติภาพยิ่งกว่ามนุษย์ในโลกปัจจุบันนี้ ไอ้รู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือนี่ ดูจะยังโง่กันอยู่มาก ถ้ารู้หนังสือเพื่อช่วยให้รู้ธรรมะก็ดีแน่ ถ้าเพียงรู้หนังสือสำหรับฉลาด สำหรับจะโกงคนได้มากแล้วก็ มันก็ยิ่งเลวไปกว่าที่จะไม่รู้หนังสือ ความฉลาดรู้หนังสือนี่มันยังไม่แน่ว่ามันจะสร้างสันติภาพหรือมันจะสร้างวิกฤติการณ์ ถ้ามันรู้หนังสือเพื่อมีธรรมะมันก็สร้างสันติภาพ เดี๋ยวนี้มันฉลาด รู้หนังสือเพื่อเห็นแก่ตัวเพื่อสร้างวิกฤติการณ์ นี้ไอ้สิ่งที่เดือดร้อนกันอยู่เพราะมันเนื่องจากการเอาเปรียบกัน โดยคนที่มันฉลาดแล้วมันมีความรู้มาก ๆ ฉะนั้นเราจะไม่หลับตาบูชา ไอ้ว่าทำคนให้รู้หนังสือแล้วปัญหาจะหมด ผมไม่เห็นด้วยตลอดเวลาว่าถ้าทำคนให้รู้หนังสือแล้วปัญหาจะหมด เพราะว่าเดี๋ยวนี้ยิ่งรู้หนังสือมันยิ่งโกงเก่ง มันเอาเปรียบเก่ง มันต้องให้ชัดลงไปว่ารู้ธรรมะสิ ถ้ารู้หนังสือก็เพื่อให้รู้ธรรมะ ไม่ต้องถึงขนาดว่าเมื่อหลายหมื่นหลายแสนปีก่อนโน้น เมื่อ เมื่อไม่กี่สิบปีร้อยปีนี่ คนไม่ค่อยรู้หนังสือหรอก หาคนรู้หนังสือยากแต่เขาอยู่กันอย่างสงบสุขยิ่งกว่าคนเดี๋ยวนี้ซึ่งรู้หนังสือกันมาก รู้หนังสือกันเกือบหมดแล้ว อย่าไปหลงว่าคำว่ารู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือมันผิดไปจากข้อเท็จจริง คนอันธพาลมันก็รู้หนังสือ ฉะนั้นเรา มุ่ง มองมุ่งไปยังธรรมะที่มันแก้ปัญหาได้ ก็มันมีสัมมาทิฐิ รู้จักผิดชอบชั่วดี ไอ้ธรรมะนี่มันหมายถึงสัมมาทิฐิเสมอแหละ ถ้าอธรรมหรือไม่มีธรรมะนั่นแหละคือมิจฉาทิฐิ และการศึกษามันก็ไม่แน่นอนว่ามันจะเป็นสัมมาทิฐิเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยปัจจุบันนี้แล้ว มันศึกษาเพื่อให้สามารถกอบโกย เอาประโยชน์ของตนมาให้ได้มาก พอได้โอกาสก็เอา พอเรียน เรียนเสร็จ จบการศึกษาก็ตั้งต้นกอบโกย โดยไม่ต้องดูว่ามันถูกหรือผิด เป็นธรรมะหรือไม่เป็นธรรมะ ถ้าเป็นอย่างยุคก่อน เขาเห็นว่ามันเป็นบาป การกอบโกย การเอาเปรียบผู้อื่นเห็นว่าเป็นบาป แล้วเขากลัวบาป เขาก็ไม่ทำกันอยู่แล้ว เขาจะรู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือ เขาก็จะไม่ทำไอ้อย่างนี้กันอยู่แล้ว ก็ดี ทีนี้เดี๋ยวนี้เราบูชาพวกฝรั่งกันนักนี่ ฝรั่งทำอะไรแล้วเราก็เรียกว่าถูกต้อง ไปเรียนจากฝรั่ง ไปต่อความรู้จากฝรั่ง มันก็ได้ความรู้ชนิดนั้นมาแหละ สำหรับฉลาด สำหรับจะเอาประโยชน์มาก จะดูดซับเอาประโยชน์ในโลกมาเป็นของตัวให้มากขึ้น ความมุ่งหมายของการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ในโลกที่มันมีกิเลส มีมิจฉาทิฐิ ทีนี้ฝรั่งเยอะแยะเลย ไอ้พวกฝรั่งขี้นก ที่ภูเก็ต ที่เกาะสมุย ให้เกลื่อนไปหมด ไอ้พวกฝรั่งขี้นก มันไม่มีความรู้แม้แต่ว่าเงินที่มีอยู่นี้จะเอามาใช้อะไร ก็อุตส่าห์ทำงานรวบรวมเงินแล้วก็มาหาไอ้ความสำราญทางเพศ ทางกามารมณ์ เหลวแหลก ที่เกาะสมุย คือที่อื่น ๆ ก็มี มีมากเหมือนกัน ทำไมมันจึงคิดไม่ได้ว่าเงินที่ได้มาแล้วมีอยู่เดี๋ยวนี้จะเอาไปใช้อะไร แล้วก็มา มาเมืองไทย มาหาซื้อหากามารมณ์ นั่นดูเหมือนกับพ่อแม่ของมัน มันก็ไม่ให้นะ ไอ้ฝรั่งพวกนี้ มันไม่เคยคิดว่าจะเอาเงินนี้ไปเลี้ยงพ่อแม่ มันเอามาเลี้ยงกามารมณ์ของมันที่เกาะสมุย นี่ดู ดูพวกฝรั่งนี่ หรือมันจะคิดว่าไอ้เงินเหล่านี้เอาไปใช้บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ กุศลอันไหนก็ยังจะดีกว่าเอามาซื้อหากามารมณ์ ที่ทำให้เลวลงไป จิตทรามลงไป โรคภัยไข้เจ็บ เสียเวลาเปล่า ๆ นั่นดูพวกฝรั่ง พวกไทยยังดี ยังไม่เป็นมากถึงอย่างนั้น คือว่ามีเงินแล้วจะไปซื้อหากามารมณ์กันมาก ๆ เหมือนที่พวกฝรั่งเขาทำกัน แล้วก็กลับไปหาเงินอีก รวบรวมเงินอีก มาซื้อหาไอ้ชีวิตแบบนี้อีก นี่มนุษย์มันจิตทรามลงอย่างไร มัน มันเลวลงอย่างไร ก็ดูเอา ใน ในเรื่องอย่างนี้ ทำไมถึงคิดไม่ออกว่าเงินนี้ไปใช้อะไรดี ถ้าว่าเป็นแบบธรรมะแท้ แบบไทย แบบพุทธ แบบโบราณ มันก็เอาไปให้พ่อแม่ จะมาซื้อของสกปรกอย่างนี้เสียทำไมเล่า เงินที่หาได้เหลือกินเหลือใช้นี่ก็มาให้พ่อแม่ ถ้าไม่ให้พ่อแม่ ก็ไปทำกุศลสาธารณะประโยชน์อย่างอื่นสิ หรือว่าเรานอนอยู่สบาย ๆ ไม่ต้องมาถลุงเงินกันอย่างนี้ นี่เราเรียก คนโบราณเขาเรียกว่า ฝรั่งขี้นก คุณ คุณเข้าใจไหมความหมายคำว่าฝรั่งขี้นก คือฝรั่งที่ไม่ได้ปลูกเลี้ยงเป็นอย่างดีในเรือกในสวน ไอ้ฝรั่งที่ ที่นกมัน มันกินแล้วมันขี้ มันถ่ายเม็ดออกมางอกเอง เขาเรียกขี้นก ฝรั่งขี้นก เป็นฝรั่งชั้นเลว ผมได้ยินทีแรกก็ไม่ ไม่รู้เหมือนกัน แล้วผมก็ถามคนพูดว่าคุณหมายความว่าอะไร อ้าวฝรั่งขี้นก หมายความว่าฝรั่งชั้นเลว ที่มันไม่ได้งอกปลูกในสวนเลี้ยงดูอย่างดี นกขี้ กิน ขี้ แล้วถ่ายออกมาแล้วก็งอกเอง ดังนั้นเราจะไปตามก้นฝรั่งในเรื่องการศึกษาหรือ ดูให้ดีว่าทำไมมันจึงออกมาอย่างนี้ ถ้ามันมีการศึกษาที่ถูกต้องในประเทศนั้น ๆ มันก็ไม่ควรออกมาอย่างนี้ มันก็เลยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มันกลายเป็นช่วยเพิ่มปัญหา ช่วยสร้างปัญหา ฉะนั้นอย่าไปหลงว่ารู้หนังสือหรือฉลาดเลย มันก็ยังไม่แก้ปัญหาได้ เอ้า นี่เรียกว่าปัญหาทางโลก ๆ ชั้นโลกียะ ถ้ามีธรรมะแล้วบูชาหน้าที่ บูชาการงาน ทำงานสนุก เป็นสุขเมื่อทำการงาน ปัญหาหมด เงินมันจะค่อย ๆ เหลือขึ้นจนเปลี่ยนฐานะ ไม่ต้องเหนื่อยยาก ไม่ต้องลำบาก ในที่สุดก็รอดตัว ในระดับอยู่ในโลก อยู่ในโลกมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างผาสุก
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาชั้นสูง หรือปัญหาระดับสูง มีเงิน มีอะไร มีหมดแล้ว ครอบครัวก็มี อะไรก็มี อะไรต้องการจะได้ก็มีแล้ว แต่มันก็มาจวน มาเจอะเข้ากับปัญหา กิเลส ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเศรษฐีร่ำรวยอะไรมา มันก็ต้องร้องไห้เมื่อลูกมันตาย เมื่อเมียมันตาย เมื่อเงินมันหายเป็นล้าน ๆ มันก็ต้องร้องไห้ มันก็ต้องเป็นทุกข์ แล้วมันก็มีอาฆาตจองเวร มันก็มีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่ต่อให้เป็นเทวดามันก็มีปัญหานี้ จึงเรียกว่าปัญหาระดับที่มันเหนือโลก ธรรมะก็จะแก้ได้อีก ถ้ามีธรรมะแล้วมันไม่เกิดกิเลสนี่ ถ้ามันมีธรรมะแล้วมันเห็นไอ้ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นของเช่นนั้นเอง คุณคิดดู มันหัวเราะเยาะความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ ถ้ามันมีธรรมะ นี่ปัญหาโลกุตตระ แก้ไปได้ด้วยธรรมะชนิดระดับสูง ผมจะสรุปคำสั้น ๆ ไว้ให้จำง่าย ๆ ว่า ความมีจิตปรกติ ความมีจิตปรกตินี่เป็นคำสำคัญคำหนึ่ง ช่วยเอาไปคิดไปนึกตลอด ถ้ามีจิตปรกติแล้วมันเป็นทุกข์ไม่ได้ อย่าว่าจะเป็นทุกข์เลย เจ็บไข้ก็ไม่ได้ ไอ้คนเราเจ็บไข้เพราะจิตมันไม่ปรกติ มันรัก มันโกรธ มันเกลียด มันกลัว ไม่ปรกติแล้วมันมีความเครียด เมื่อความเครียดนั้นออกไปไม่ได้นานเข้าก็เป็นโรคประสาท ก็กลายเป็นโรคจิตบ้าง หรือโรคอื่น ๆ ที่มันเนื่องมาจากไอ้ประสาทมันไม่ถูกต้อง มีโรคกระเพาะบ้าง มันมีโรคความดันสูงบ้าง มีความ เบาหวานบ้าง ที่สุดเป็นมะเร็งก็ได้ นี่เราถือหลักง่าย ๆ ว่าถ้าจิตปรกติแล้ว มันควบคุมร่างกายไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง เชื้อโรคเข้าไปร่างกายมันไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เพราะจิตมันไม่ยอมให้เปลี่ยนแปลง เชื้อโรคก็ชักจะเป็นหมันไป ที่เขาอธิบายว่าคำว่าทำไมโยคีจึงกินยาพิษได้ เพราะเขาก็มีการบำเพ็ญทางจิตชนิดสูงสุดตามแบบของเขา ควบคุมจิตให้ปรกติอย่างนี้เปลี่ยนไม่ได้ แล้วมันควบคุมกายไว้เปลี่ยนไม่ได้ นั้นยาพิษเข้าไปจิตก็ไม่ผิดปรกติร่างกายมันผิดปรกติไม่ได้ยาพิษมันเป็นหมันเพราะเหตุนั้น รู้ว่าไอ้คำว่าจิตปรกตินั้นมันเหลือเกิน ซึ่งในทางธรรมะนี่ก็เหมือนกัน เมื่อมันจิตปรกติแล้วมันเกิดกิเลสไม่ได้ แล้วมันเห็นถูกต้องหมด มันก็ไม่ ไม่เกิดความรัก โกรธ เกลียด กลัว อะไรได้ คำสำคัญเช่นคำว่า ตถตา ไอ้หลักธรรมที่แก้ปัญหาทางโลกุตตระได้เช่นคำว่า ตถตา เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง มันก็ไม่ทุกข์ร้อน มันจะเมียตาย ลูกตาย ผัวตาย เงินหาย หรือว่าจะเกิดความเจ็บไข้นั่นนี่ขึ้นมามันก็เป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง เขาเห็นลึกจนถึงว่าธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย คือไม่ไปรักหรือไม่ไปเกลียด นี่ก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่เป็นทุกข์ ไม่ ไม่เกิดความรู้สึกว่าตัวกู ไม่มีตัวกู ที่ยินดียินร้าย ไม่มีตัวกูที่จะอยู่หรือจะตาย คำสอนเรื่องตถตาในพุทธศาสนา มันสูงเกินจนไม่มีใครเข้าใจ แล้วไม่ต้องการและไม่เอาไปใช้ นี่คำว่า ตถตา มันจะช่วยให้ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดโลภ ไม่เกิดโกรธ ไม่เกิดหลง เห็นความแก่ เจ็บ ตาย เป็นของเช่นนั้นเอง ไม่มีความหมาย ทีนี้คำอีกคำหนึ่งก็คือว่า สุญญตา สุญญตา แปลว่าความว่าง เห็นความว่างจากตัวตน ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน แค่นั้นแหละ มันหมด มันไม่มีตัวตนที่จะเป็นที่ตั้งของความทุกข์ ไอ้ความทุกข์ทุกชนิดมันต้องตั้งอยู่บนรากฐานของความรู้สึกว่าตัวกู ตัวตน มีอยู่ ตัวกูเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ของกู ถ้ามันเห็น สุญญตา คือว่างจากตัวกูเสียแล้วมันไม่มีตัวอะไรที่จะเป็นที่ตั้งของความทุกข์ ถ้าเข้าถึงสุญญตา พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกว่า เป็นผู้ที่พ้นจากอำนาจของมัจจุราช พ้นจากอำนาจของความตาย เพราะมันเลิกไอ้ตัวคนที่จะตายนั้นเสีย มันไม่มีตัวคนที่จะอยู่หรือจะตาย นั่นเขาเรียกว่าสุญญตา มันก็เลยไม่มีใครจะอยู่หรือใครจะตาย มันก็ไม่มีปัญหา และอีกคำหนึ่งก็คำว่า วิมุตติ วิมุตติ จิตมันหลุดพ้นไปได้จากไอ้สิ่งที่ครอบ ครอบงำอยู่ ความโง่ ความมืดมนอะไรก็ตามที่มันครอบงำจิตอยู่แต่ก่อน ทีนี้ความเคยชินที่จะมีกิเลส หรือความโง่ว่าที่ว่ามีตัวตนเป็นต้น เหล่านี้มันออกไป มันถูกทำลายเสีย และจิตมันก็หลุดพ้น หลุดพ้น วิมุตติ รอดนั่นแหละ เกิดความรอด เมื่อยังไม่ตาย จิตนี้มันก็แยก แยกตัวออกมาซะได้จากไอ้สิ่งผูกมัดครอบงำ แยกออกมาเสียจากความโง่ว่าตัวกู ว่าของกู มันก็ไม่มีตัวกู ที่จะแก่ จะเจ็บ จะตาย นี่เขาเรียกว่า พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้ว่าร่างกายแท้ ๆ มันจะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของร่างกายไปสิ กูไม่เอากะมึง ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นของร่างกายไปสิ จิตที่มันหลุดพ้นแล้วมันไม่ไปเอาด้วย ให้มันร่างกายเป็นไปสิ จิตมันไม่เอาด้วย เพราะมันเป็นจิตที่ไม่มีความรู้สึกว่าตัวตน เรียกว่าจิตหลุดพ้น ฉะนั้นจิตชนิดนี้จึงอยู่เหนืออารมณ์ เหนือสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เรียกว่าอยู่เหนือโลก พ้นโลก ฉะนั้นก็เรียกว่าจิตมันหลุดพ้น เรียกว่าวิมุตติ วิมุตติหลุดพ้น นี่ธรรมะมันแก้ได้อย่างนี้ ใน ในส่วนที่เป็นปัญหาชั้นสูง ปัญหาชั้นสูง ชั้นที่ชาวโลกธรรมดา ไม่รู้จักแล้วก็ไม่เคยคิดแก้ ก็จมอยู่ในกองทุกข์ มันก็จึงมีตัวกูเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์ ถ้ามันถึงตถตา สุญญตา มีจิตหลุดพ้นแล้ว มันก็ไม่มีตัวตนที่จะเป็นอย่างนั้น ไม่มีจิตที่โง่อย่างนั้น สำหรับจะเป็นตัวตน ก็เลยหลุดพ้นหมด ปัญหาหมด มันก็ มันก็อาจจะถูกหาว่าดีเกินไปก็ได้ถ้าไม่มีใครต้องการ พวกที่เขาไม่รู้เรื่องนี้ น่าหัว ก็นี่มันบ้าแล้วไง มันวิปริตแล้ว ถ้ามันไม่มีความทุกข์เลย หรือมันไม่มีอะไรอย่างนี้เขาหาว่าเป็นเรื่องวิปริต ฝรั่งบางคนที่เคยคุยกับผม เขาบอกว่าไอ้ที่ไม่มีความทุกข์เลยนั้นเป็น ABNORMAL น่าเกลียด เขาไม่ต้องการ ถ้ามันไม่มีความทุกข์เลย ผมก็บอกถ้าอย่างนั้นไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด คุณไม่ต้องมาพูดจากับคนชาวพุทธแล้ว เพราะเขาต้องการจะไม่มีความทุกข์เลยกันทั้งนั้น ไอ้พวกนั้นก็เห็นว่าไม่มีความทุกข์เลยนั้นกลับวิปริต เพราะยังอยากจะอยู่อย่างมีความทุกข์ตาม บ้าง หรือตามพอใจของเขา เขาจะอยู่ตามปรกติ เขาคิดว่าจะต้องมีความทุกข์บ้าง แล้วเขาต้องการจะมีระบบไอ้ชีวิตแบบนั้นที่ว่ามีความทุกข์บ้างแล้วก็เป็นที่พอใจ เลยพูดกันไม่รู้เรื่อง เราพูดไอ้เรื่องความหลุดพ้นกันไม่รู้เรื่องเพราะเหตุนี้
เอาละเป็นอันว่าคุณจะต้องมองเห็นว่า ไอ้ธรรมะมันคือระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ถ้ามันอยู่ในวิวัฒนาการระดับโลก แก้ปัญหาระดับโลก ไม่มีความลำบากยากแค้น อดอยากยากจนเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ซึ่งมันเป็นปัญหาปัจจุบันทั้งนั้น แล้วพอผ่านปัญหาเหล่านั้นได้แล้วมาอยู่ในระดับสูง ชีวิตระดับสูง เขาก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับกิเลส เกี่ยวกับไอ้ธรรมชาติที่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ลองใช้ธรรมะช่วยทีหนึ่งเพื่อจะอยู่เหนือปัญหาเหล่านี้ เรื่องมันก็จบ แล้วเราก็มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นสรณะ มีธรรมะเป็นที่พึ่งเพื่อจะแก้ปัญหาทุกอย่างทุกประการ
เอาละเป็นอันว่าผมพูดเรื่องธรรมะ คือสิ่งที่แก้ปัญหาของมนุษย์ทุกระดับ ธรรมะคืออะไร คือ ๔ความหมายนั้นแหละ ความหมายสำคัญที่สุดก็คือ หน้าที่ที่ปฏิบัติกันแล้วอย่างถูกต้อง ถ้าจะสึกออกไปมีเมีย มีลูก ก็รู้หน้าที่จะต้องทำอย่างไร หรือจะทำอย่างไรมากไปกว่านั้นมันก็มีหน้าที่เฉพาะ ๆ แล้วก็หน้าที่ที่ สำคัญที่สุดก็คือจัดการกับตัวเองให้ถูกต้อง ถ้าจัดการกับตัวเองไม่ถูกต้องแล้ว มันก็ผิด เรื่องครอบครัวมันก็ผิดหมด แล้วเรื่องสังคมมันก็ผิด เรื่องทั้งโลกมันก็พลอยผิด เพราะมนุษย์มันไม่มีความถูกต้องในตัวมันเองแต่ละคน ๆ ก็ได้เวลามันหมดแล้วสำหรับวันนี้ สรุปความว่าธรรมะคืออย่างนี้ คือสิ่งที่แก้ปัญหาได้ทุกสิ่งเพราะว่ามันเป็นความจริงของทุกสิ่ง ทำไมปัญหา ทำไมธรรมะจึงแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง มันคือตัวแท้หรือตัวความจริงของทุกสิ่ง ของธรรมชาติ ๔ ความหมายนั้น ให้รู้ไว้เถอะว่าไอ้สิ่งที่ว่าธรรมะนั้น มันไม่ยกเว้นอะไรเป็นธรรมะกันหมด แล้วมันก็มีความจริงของมันเอง รู้ความจริงของทุกสิ่ง ก็แก้ปัญหาของทุกสิ่งได้ นี่วันนี้ก็พูดกันถึงคำว่าธรรมะเพียงคำเดียว ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้.