แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เป็นวันแรก ที่จะพูดกับบรรดาท่านที่เป็นภิกษุนวกะทั้งหลาย ในการพูดในวันแรกนี้ มันเป็นเรื่องเรียนมากกว่าที่จะพูดเรื่องอะไรลงไปโดยตรง คือเป็นเรื่องนำเข้าไปสู่เรื่องที่จะพูดโดยตรง เดี๋ยวนี้เรากำลังมีปัญหาอย่างไร ก็เชื่อว่ายังไม่รู้ ที่จริงไม่อาจจะพุ่งไปยังปัญหาได้เพราะยังไม่รู้ว่าปัญหานั้นมีอยู่อย่างไร และโดยเฉพาะผู้บวชใหม่นี้ก็ยังไม่แน่ว่าต้องการจะศึกษาเรื่องอะไรด้วยซ้ำไป นั้นผมจะพูดเรื่องที่มันๆเป็นหัวใจเป็นเรื่องหลักของพระพุทธศาสนาชนิดที่เป็นปัญหาทั้งระดับ โลกมนุษย์ ซึ่งมันก็รวมเรื่องส่วนบุคคลไว้ได้อยู่ดี เราประหยัดเวลาพูดถึงเรื่องส่วนใหญ่ มันจะรวมเอาเรื่องส่วนน้อยไว้ด้วย เรื่องที่บวชแล้วจะเรียนอะไรสักพักหนึ่งแล้วสึกออกไปนี่ มันก็จะมีปัญหาเฉพาะเหมือนกันว่ามันจะต้องเป็นเรื่องอะไร นี่เป็นเรื่องส่วนน้อยของเรื่องที่ว่าปัญหาของชีวิตทั้งหมดมันคืออะไร หรือปัญหาของโลกทั้งหมดมันคืออะไร ที่เราจะศึกษาเฉพาะเรากับส่วนบุคคลนี้มันก็มี และก็เป็นเรื่องที่มีค่าเหมือนกัน นั้นถ้าเราจะลาสิกขากลับออกไปด้วยความรู้ที่เพียงพอที่จะลดปัญหาต่างๆได้ เช่นที่เราจะมีสุขภาพทางจิตดีขึ้นและสุขภาพทางกายก็ดีตาม และก็สามารถทำงานได้เป็นที่พอใจหรือสะดวก ที่ไม่อึดอัด คับแค้น ไม่กระทบกระทั่งภายใน ไม่กระทบกระทั่งภายนอก เรียกว่าชีวิตมันดีขึ้นโดยทุกๆด้านก็นับว่าดีมากแหละ สำหรับเราและความมุ่งหมายอันนี้ก็เป็นความมุ่งหมายหลักเหมือนกัน แต่ว่ามันยังน้อยไปสำหรับค่าของสิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือธรรมะ ซึ่งมันจะแก้ปัญหาได้ทุกชนิดกระทั่งแก้ปัญหาของโลก ปัญหาใหญ่หลวงระดับโลกธรรมะมันแก้ได้ มีไว้สำหรับแก้ นี่เราจะแก้เฉพาะไอ้เรื่องเล็กน้อยของเรานี้ก็ มันก็ได้ มันก็รวมอยู่ รวมอยู่ในทั้งหมดนั้น นั้นจะถือโอกาสพูดกันเรื่องของมนุษย์ทั้งหมดไปเสียเลย ดีกว่าจะพูดเป็นเรื่องของบุคคลเฉพาะคน เพราะว่ามันจะไปดูเอาเองได้ เพราะเมื่อพูดไปแล้ว ไอ้เรื่องของมนุษย์นั้นมันก็จะเป็นเรื่องทั้งหมด แล้วก็จะหาพบเรื่องส่วนบุคคลพร้อมกันไปกับเรื่องของไอ้คนทั้งหมด นี่คือสิ่งที่ตั้งใจจะพูด สมมติว่าเราทำได้ถึงขนาดที่ว่าทุกคนในโลกนี้มานั่งพูดด้วยกันอย่างกันเอง เช่นเราก็จับเข่าพูดกัน จับเข่าคุยกันสำนวนอย่างนี้ แม้ว่ามนุษย์ทุกคนมานั่งจับเข่าคุยกันแล้ว มันก็ยังมีปัญหาอยู่ว่าเขาจะพูดกันด้วยเรื่องอะไร จึงจะแก้ปัญหาทั้งหมดที่เขากำลังมีอยู่ได้ นี่พูดถึงปัญหาทั้งหมดที่กำลังมีอยู่ในโลกนี่ เราก็พอจะมองเห็นกัน จะแจกแจงกันโดยรายละเอียดนั้นมันไม่ไหว และก็ป่วยการด้วย โดยหลักใหญ่ๆก็คือว่า เรารักกันไม่ได้ เราแย่งชิงประโยชน์ระหว่างกันจนเกิดเป็นศัตรูกันขึ้นมา ที่ทำให้เรารักกันไม่ได้ และปัญหาที่มันเนื่องกันในระหว่าง ๒ ฝ่าย แทบจะหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้ ความรักในระหว่างกันและกัน หรือระหว่างประเทศต่อประเทศ ในระหว่างบุคคลต่อบุคคล ไอ้เรื่องรักลูกรักเมียอย่างนั้น มันๆ คนละเรื่อง ที่รักกันในฐานะเป็นเพื่อนมนุษย์นี่มันหายาก ระหว่างประเทศซึ่งแข่งขันกันโดยผลประโยชน์ขัดกันอะไรอย่างนี้ก็ยิ่งหายาก แล้วโลกออกเป็น ๒ ซีก เป็นโลกของคนยากจนกับคนมั่งมี แล้วมันก็ยิ่งไม่มีทางที่จะรักกันได้ ซึ่งก็ว่า ซึ่งก็กล่าวได้อย่างเหวี่ยงแหว่าเพราะมันไม่มีธรรมะ
ที่นี้ก็มาดูในแต่ละฝ่ายของแต่ละฝ่าย มันก็มีปัญหาที่เขาโวยโฆษณากันอยู่ ปัญหายากจน ปัญหาเจ็บไข้ ปัญหาไม่รู้หนังสือ เหล่านี้ก็ไม่ปรากฏว่ามันกำจัดไปได้โดยเป็นที่น่าพอใจ เพราะมันมีการทำผิดอะไรบางอย่างที่ทำให้มัน ให้ปัญหามันก้าวหน้าเรื่อยจนไล่ตามไม่ทัน เช่นปัญหาไม่รู้หนังสือ เป็นปัญหาที่น่า น่าหัวเราะอย่างยิ่ง ทั้งที่มันไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ คนที่ไม่รู้หนังสือเลยจริงๆมันก็มีมากและเป็นปัญหา แต่ว่า ปัญหาที่มันรู้หนังสือกันมาก แล้วมันก็แก้ปัญหาของโลกไม่ได้ เพราะว่าสิ่งที่มันเรียนรู้มานั้น มันไม่อาจจะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ใครๆก็ต้องยอมรับว่าการศึกษาที่จัดขึ้นก็เจริญก้าวหน้า รู้หนังสือเป็นบัณฑิต เป็นมหาบัณฑิต เป็นอะไรกันก็ตามเถอะ มันก็เต็มอัดอยู่ในโลกส่วนหนึ่ง แต่แล้วมันก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มันเป็นหมันเปล่า นี่ก็เท่ากับว่าไม่รู้หนังสือเหมือนกัน มันก็มีผลเท่ากับไม่รู้หนังสือเหมือนกัน ถ้าเราเพ่งเล็งกันในข้อที่ว่า ไม่มีความสงบสุขในหมู่มนุษย์เหล่านี้ มนุษย์ที่มีการศึกษามหาศาลเหล่านี้มันก็ไม่มีความสงบสุข ประเทศมหาอำนาจที่เราไปตามหลังเขา มันเจริญในการศึกษาเหลือประมาณ แต่มันก็ไม่มีความสงบสุข มันมาสู้คนป่าสมัยที่ไม่มีหนังสือใช้ก็ไม่ได้ คิดดูให้ดี ไอ้ความผิดพลาดอะไรกันมันถึงขนาดนี้ เมื่อคนป่ายังไม่รู้จักหนังสือ ไม่ใช่หนังสือก็ยังอยู่กันอย่างปกติสุข สงบสุข เราไม่เรียนโบราณคดีกันไปถึงนั่น แล้วจะได้ละอายคนป่าเหล่านั้น แล้วมาปรับปรุงการศึกษาเสียให้ถูกต้อง แล้วคนป่าที่ไม่รู้หนังสือเหล่านั้นมันก็สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นได้ แม้ว่าไอ้โรคภัยไข้เจ็บ ก็ดูเถอะทำไมมันจึงรอดเป็นพวกเรา คือลูกหลานของพวกคนป่าเหล่านั้นนะ คนป่าเหล่านนั้นมันไม่รู้เรื่องหยูกยาอย่างที่สมัยเดี๋ยวนี้รู้ การแพทย์มันก็รู้ก้าวหน้าเหลือเกิน แต่มันก็ไม่สร้างความสงบสุขเป็นที่พอใจได้ คล้ายๆกับว่าโลกนี้มันวิ่งนำหน้าเรื่อย ไอ้ความรู้ในการรักษาโรคก็วิ่งตามหลังเรื่อยมันไม่รู้ทันกันซักที พูดถึงความอดอยาก มันก็ยิ่งน่าสงสาร สมัย คนป่ามันก็ไม่ได้ตายหมดเพราะความอดอยาก มันก็เหลือมาเกิดลูกเกิดหลานเหลือมาเป็นพวกเราได้ สมัยนี้เสียอีกที่ว่าบางแห่ง บางคราว บางประเทศมีคนอดๆอาหารตาย หรือว่าหนาวตายร้อนตาย นี่ก็ยังมีอยู่ นี่ก็ปัญหาวัตถุแท้ๆ มนุษย์เราก็ไม่ได้แก้ให้มันลุล่วงไปได้ คุณมีอะไรที่รู้เท่าไม่ถึง โดยเฉพาะไอ้ที่เรียกว่าความเจริญ ความเจริญ มันคืออะไรกัน ดูให้ดีเถอะไอ้ความเจริญคือตัวสร้างปัญหา หรือตัวปัญหาเสียเอง เมื่อไม่มีความเจริญ ปัญหามากมายไม่มี เดี๋ยวนี้มันมีความเจริญและก็เต็มไปด้วยปัญหา แล้วก็มัวแก้ปัญหากันไปอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด ยิ่งมาอยู่กันมาก มากเกินธรรมชาติ เกินความเหมาะสมตามธรรมชาติ มันก็เพิ่มปัญหาจนแก้กันไม่หวาดไหว อย่างกรุงเทพจะแก้ปัญหาเรื่องน้ำกิน เรื่องไฟฟ้า เรื่องรถราได้หรือไม่คอยดู เพราะว่าความเจริญมันวิ่ง ปัญหามันเกิดจนตามแก้ไม่ทัน นี่ก็มารุมเข้ามากๆ มันก็เกิดปัญหาชนิดสุดวิสัยขึ้นมา นั้นไอ้ความเจริญเหล่านี้ จึงมีปัจจัยแห่งปัญหา ปัจจัยแห่งความยุ่งยาก ถ้ามองเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็ยังค่อยนึกถึงว่า มันจะมีสิ่งแก้ได้ก็มี ก็มีอยู่ ไอ้สิ่งนั้นที่เราคือสิ่งที่เราต้องการจะรู้หรือจะหยิบมาศึกษา คือสิ่งที่จะเรียกกันอย่างรวมๆว่า ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้องต่อความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการคือธรรมะ เดี๋ยวนี้เรามีแต่ความยุ่งยากทนทุกข์ทรมาน เรียกว่าไม่มีความรู้อย่างเพียงพอสำหรับมนุษย์หรือมีโลกมนุษย์ เดี๋ยวนี้จะมองเห็นปัญหาที่จะไม่สิ้นสุดอย่างยิ่ง ก็เช่นปัญหาคนมั่งมีกับคนยากจน นายทุนกับชนกรรมาชีพ ใครจะแก้ปัญหานี้ได้ คอยดู คอยดู ถ้าธรรมะมันไม่มีเข้ามา มันไม่มีทาง เมื่อนายทุนไม่มี ไม่มีความรักผู้อื่นซึ่งเป็นหลักธรรมะและศาสนา และกรรมกรก็ไม่ยอมรับสภาพความเป็นกรรมกรตามที่มันเป็นจริงตามธรรมชาติ กรรมกรอยากจะกินดีอยู่ดีเท่ากับนายทุนในระดับเดียวกับนายทุนทั้งที่เขาเป็นกรรมกร เขาก็ต้องต่อสู้ ยื้อแย่ง ทำลายนายทุนตลอดไป นี่เพราะว่าไอ้ความอยากหรือกิเลสมันวิ่งออกหน้าเรื่อย พวกนายทุนเขาก็มีความอยากหรือกิเลสของเขา ความโลภของเขาวิ่งออกหน้าเรื่อย เขาก็ไม่รู้จักอิ่มจักพอเหมือนกัน แม้นายทุนเขาจะมีอะไรเกือบจะหมดโลกอยู่แล้ว เขาก็ยังไม่พอ กรรมกรเขาก็กิเลสตัณหาของเขาสำหรับที่จะไม่ยอม ที่จะวิ่งให้ทันกันเหมือนกัน เขาก็จองล้างจองผลาญนายทุนกันตลอดไป และปัญหาเหล่านี้ก็วิ่งทั้งนั้น ไม่ใช่ปัญหาเดิน นั้นจะมีอะไรมาทำความเข้าใจกัน มันก็ยังมองไม่เห็น เพราะต่างฝ่ายต่างมีความเห็นแก่ตนทั้งนั้น อย่างองค์การสหประชาชาติตั้งมากี่ปีแล้วหละก็ไม่เห็นทำอะไรได้ ได้ผลชนิดที่จะเป็นสันติภาพ มานั่งไกล่เกลี่ย นั่งจับปูใส่กระด้ง ทำชนิดที่ไม่รู้จักสิ้นจักสุด โลกยังไม่มีสันติภาพ แต่เขาอาจจะพูดได้ โอ้ถ้าไม่มีองค์การสหประชาชาติจะยิ่งร้ายกว่านี้ ก็ตามใจเราก็ไม่มีทางที่จะไปเถียงกับเขา เรามองแต่ว่าต่อให้มี ๑๐องค์การสหประชาชาติมันก็แก้ไม่ได้ นี่เพราะมันขาดอะไร ก็มันขาดที่กำลังจะเรียก กำลังจะพูดถึง คือธรรมะนี่แหละ ธรรมะสำหรับมนุษย์ แล้วมันยังมีปัญหาที่เลื่อนสูงขึ้นไป ถึงกับเป็นปัญหาสมมติ ว่าถ้านายทุนเขากินดีอยู่ดี แล้วกรรมกรก็กินดีอยู่ดีเท่ากับนายทุนแล้วอย่างนี้ ปัญหาจะหมดไหม มันก็ยังไม่หมด ในส่วนกิเลสมันก็ยังไม่หมด มันก็ยังจะยื้อแย่งกันต่อไป นี้ปัญหาสุดท้ายเลย ถ้ากินดีอยู่ดีเป็นถึงเรียกว่าเป็นเทวดากันไปหมดแล้ว ปัญหามันหมดไหม มันก็เหลือปัญหาข้างในเป็นความทุกข์ทางจิตใจเรียกว่าปัญหาทางจิตทางวิญญาณ ซึ่งเราจะต้องมีความทุกข์ตามธรรมชาติจากในภายในคือกิเลสของเรานั่นแหละ ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เผาให้ร้อนอยู่ทั้งวันทั้งคืน แม้ในหมู่พวกเทวดาก็มีอย่างนี้ และยังมีปัญหาอยู่ตามธรรมชาติ ปัญหาที่เกิดมาจากความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย ความทุกข์โศกนานาประการ เช่น ลูกตาย เมียตาย เงินหาย ที่มันเป็นทุกข์กันอยู่นั่นแหละ โดยไม่มีใครมาทำให้ ไม่เกี่ยวกับสังคม แต่ละคนก็มีความทุกข์บีบคั้น จนนอนไม่หลับ หนักเข้าก็เป็นโรคประสาทกันจนเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นโรคจิตกันเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นสิ่งที่น่าละอายคนป่า คนป่าสมัยโน้นนะ สมัยที่ไม่เจริญ มันไม่มีปัญหาอย่างนี้ ไม่มีปัญหาด้วยโรคประสาท โรคจิตอย่างที่คนสมัยนี้เป็น แล้วก็มันก็ไม่มีปัญหาเลวร้ายเพราะว่าความโง่เขลา บูชากิเลสหรือส่วนเกิน ไอ้โรคเช่นไอ้กามโรคเลวร้าย ไอ้โรคที่มาจากการกินดีอยู่ดี โรคอะไรอีกหลายๆอย่าง ซึ่งมาจากความเกิน ต้องการบำรุงร่างกายและยังมีอีกมาก ซึ่งพวกคนป่าสมัยโน้นไม่มีหนังสือใช้ มันก็ยังไม่มีปัญหาเหล่านี้ ไอ้ที่น่าละอายอย่างยิ่งก็คือว่าสัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่มี คุณดูเถอะสุนัข แมว มันไม่มีโรคอย่างที่มนุษย์เป็นเช่น นอนไม่หลับ ต้องกินยานอนหลับ หรือเป็นโรคประสาทวิปริตผิดธรรมชาติ ในที่สุดก็เป็นบ้ากันมากขึ้นเต็มไปในโลก นี่มันเป็นปัญหาที่มหาศาลและมาจากมูลเหตุอันเดียวกันคือความไม่มีธรรมะ ไม่มีความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ เพราะว่าธรรมะนี่แปลว่าความถูกต้องของมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ และก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์ด้วยที่ต้องทำความถูกต้องเหล่านั้น ธรรมะแปลว่าหน้าที่ก็ได้ หน้าที่ที่จะทำความถูกต้องให้แก่ความเป็นมนุษย์ของตนทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ บ้านเราเขาว่าธรรมะแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปทานุกรมเขียนไว้อย่างนี้ ถ้าปทานุกรมในอินเดียธรรมะแปลว่าหน้าที่ ระบุชัดเลยธรรมะคือหน้าที่ของมนุษย์ นี่ผมจึงตั้งสมมติฐานให้ดูว่า ถ้าว่าเรามีโอกาสถึงขนาดว่าทุกคนมานั่งพูดกันอย่างมิตรสหาย จะแก้ปัญหาของโลกนี่เขาจะพูดกันเรื่องอะไร เขาจะพูดกันเรื่องอะไร ทุกคนก็พูด เขาจะต้องพูด ทุกคนมีปากมีความคิดก็พูดทั้งนั้น แต่แล้วว่ามันจะพูดกันรู้เรื่องหรือไม่ มันจะพูดตรงรวมไปยังจุดเดียวที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์อย่างที่ว่าหรือไม่ นี้ถ้าสมมติว่ามนุษย์สามารถมีโอกาสมานั่งศึกษากัน นี้เพื่อเราจะดูของเราเองในวงที่แคบเข้ามา ถ้ามีโอกาสให้เราพูดกันตามพอใจว่าจะแก้ไขปัญหาของมนุษย์อย่างไร เราจะพูดเรื่องอะไรกัน พวกเราที่อยู่ที่นี่เราจะพูดเรื่องอะไรกัน หรือว่าเดี๋ยวนี้ผมอยากจะพูดตรงๆว่า ท่านทั้งหลายเป็นนักศึกษากันมาก เป็นนักศึกษากันโดยมาก เล่าเรียนมามาก ถ้าเขาจะเปิดโอกาสให้เราจัดบ้านเมือง จัดโลกเราจะจัดอย่างไร เราจะพูดกันเรื่องอะไร เราจะจัดกันอย่างไร นักศึกษา ผู้ที่เรียกตัวเองว่านักศึกษา นักศึกษาในโลกนี้กำลังเพิ่มมากขึ้น แต่โลกก็ไม่รู้จะไปทางไหนมากขึ้นเหมือนกัน มีความขัดแย้งจนต้องวิวาทกัน เป็นนักศึกษาต้องวิ่งเข้าป่า ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร จะแก้ปัญหาอะไรได้ มันแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ก็เสียเวลาเปล่าๆ นักศึกษาที่ไม่วิ่งเข้าป่ากำลังจะพยายามแก้ปัญหาในบ้านในเมืองนี้แหละ ก็มองดูซิว่าเขาแก้ปัญหาอะไรได้ เขารู้ปัญหาของมนุษย์หรือของบ้านเมืองในลักษณะอย่างไร นักศึกษานี้ก็อยู่ในฐานะที่ว่ามีสติปัญญา มีการพูดจา มีพละมาก มีพลังทางวิชามีอะไรมาก นี่แก้จะปัญหาอะไรได้ นี่ผมขอถือโอกาสพูดเสียคราวเดียวกันว่า มันเป็นปัญหาร่วมกันอย่างนี้ ตามมหาวิทยาลัยต่างๆนิยมอะไร ออก ออกสนามสังคมสงเคราะห์ก็แก้ปัญหาอะไรได้ ไม่ใช่ดูถูก ไม่ใช่จะดูถูกแต่ขอให้ดูกันเถอะว่ามันแก้ปัญหาอะไรได้ เดี๋ยวนี้พวกชาวบ้านเขามองนักศึกษาเหล่านั้นว่า มาเล่นตลก อาสาไปแก้ปัญหาสังคมสงเคราะห์ในชนบท ที่จริงเป็นโอกาสจู๋จี๋กันระหว่างเพศกับนของนักศึกษาหญิงนักศึกษาชาย เขามองกันอย่างนี้ แล้วก็ดูผลงานที่ทำมาแล้วมันไม่มี มันไม่มีชนิดที่จะพิสูจน์ได้ว่ามันถูกกับปัญหาและมันแก้ปัญหาได้ และนักศึกษาก็กำลังค้นคว้าจะประสานศาสนากับสังคม จะประสานสังคมกับสันติภาพ หรือไม่ทำกันแต่เมืองไทยเมืองนอกก็เห็น เห็นได้ข่าวว่ามี ก็เห็นว่ามันเกี่ยวข้องกัน แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าศาสนาคืออะไร จะเอาศาสนาไปประสานกับสังคม ปัญหาของสังคมก็ยังไม่รู้ ยังคาดคะเนยังเดา ตัวศาสนาแท้ๆก็ไม่รู้ว่าอะไร เอาไปประสานกันไม่ได้ ก็เลยไม่ทำศาสนาให้เป็นประโยชน์แก่สังคมได้ ฉะนั้นผมก็ยอมรับว่าพวกพระก็ยังทำไม่ได้ ที่ทำศาสนาให้เป็นประโยชน์แก่สังคม พวกพระก็ยังทำไม่ได้ ถ้านักศึกษาเขาจะทำได้ก็ลอง เท่าที่เห็นมามันก็ยังไม่เห็น ไม่เห็นลู่ทาง เพราะไม่รู้จักว่าตัวศาสนาแท้จริงนั้นคืออะไร และสังคมมีปัญหาอย่างไร ขอให้นึกถึงที่ผมพูดมายืดยาวข้างต้นว่าสังคมมันมีปัญหาอย่างไร มนุษย์มีปัญหาอย่างไร การที่นักศึกษาจะคอยจ้องจับว่าใครถูกขังติดตะรางอยู่อย่างไม่เป็นธรรมที่ไหน มีความอยุติธรรมที่ไหนเที่ยวสืบเสาะขุดค้นขุดคุ้ยขึ้นมานี่ นี่จะแก้ปัญหาอะไรได้มันเป็นความมุ่งร้ายอะไรชนิดหนึ่งเท่านั้นแหละ มันแก้ปัญหาไม่ได้หรอก ผมเคยอ่านแถลงการณ์ของสมาคมนักศึกษามากเหมือนกันแหละ พออ่านพบไอ้อย่างนี้ อ้าวนี่มันเป็นเรื่องไม่มีอะไรจะทำแล้วกระมัง คอยจะเที่ยวสืบเที่ยวค้นว่าใครถูกขังลืมอยู่ที่ไหน ไม่เป็นธรรมอย่างไร ในโลกนี้ถ้าว่าทำได้ ถ้าว่าทำได้ หรือว่าถ้าทำได้ผลจริง มันก็ยังแก้อะไรไม่ได้ แล้วมันก็ยัง ยังทำไม่ได้อย่างถูกต้องหรืออย่างแท้จริง เพราะมันซับซ้อนมากนักจนเราไม่รู้ว่าคนนี้มันถูกจับไปขังสูญเสียสิทธิมนุษยชนอย่างไม่เป็นธรรมหรือเปล่า เราก็ไม่รู้ แล้วไม่ใช่อันนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญ เป็นจริงเป็นจังอะไรได้ มันก็ต้องมีเป็นธรรมดาในโลก แล้วก็ไปเถียงกันตายว่าถูกขังอย่างยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรมเป็นต้น นักศึกษากำลังมุ่งหมายจะทำงานอย่างนี้กันทั่วโลก มันก็ยังอยู่ไกล มันก็ต้องมองนึกว่า มองให้เห็นว่าที่เขามันถูกขังเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมก็ตาม มันก็เป็นเรื่องที่เขาไม่มีธรรม เขาไม่ได้ประพฤติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะถูกจับไปขัง ส่วนใหญ่มันก็เป็นเรื่องไม่ถูกธรรมทั้งนั้น ที่ว่าจะถูกจับไปโดยไม่เป็นธรรม อันนี้มันเป็นส่วนน้อยนัก ไม่เป็นเรื่องจริงจังอะไร ถ้าแค่ว่าไอ้เรี่ยวแรงกำลังพลังของนักศึกษาเหล่านั้น เอาไปใช้ในทางที่ทำให้มนุษย์มีธรรมะเสียจะดีกว่าจะแก้ปัญหาได้มากกว่านั้น นี่คือเรื่องที่เราจะต้องพูดกันต่อไปเป็นชัดเจนว่า การทำให้มนุษย์นี้มันมีธรรมะ มีธรรมะ นั้นจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ปัญหาทุกอย่างที่กำลังมีอยู่ในโลกมันจะแก้ได้หมดเมื่อมนุษย์มันมีธรรมะ มนุษย์มีศีลธรรมก็พอมีธรรมะในระบบในขั้นศีลธรรม คนที่มีศีลธรรมมันก็ไม่สร้างปัญหา เดี๋ยวนี้คนที่ไม่มีศีลธรรมมันมากขึ้นๆมันก็สร้างปัญหา ก็เห็นแก่ตัว ปัญหาเศรษฐกิจเกิดขึ้นเพราะคนไม่มีศีลธรรม ในงานเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง การปกครอง ปัญหาอะไรทุกอย่าง เมื่อคนไม่มีศีลธรรมไปแตะต้องเข้ามันก็กลายเป็นเครื่องมือกอบโกยไปทั้งนั้น ก็เกิดปัญหา ถ้าคนมันมีศีลธรรมมันก็ไม่มีใครทำอย่างนี้ ปัญหามันก็ไม่เกิดขึ้น ปัญหาทุจริต ปัญหาที่ทำให้เกิดยุ่งยากมันก็ไม่เกิดขึ้น ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ไอ้คนที่ไม่มีศีลธรรมมันแก้ปัญหาไม่ได้หรอก อย่างคนไม่มีศีลธรรมมาเป็นผู้รักษาความสงบสุขสันติภาพ มันเป็นไปไม่ได้ จะเป็นหน้าที่ ข้าราชการ พนักงานอะไรก็ตาม จะเป็นตำรวจก็ตาม เป็นผู้พิพากษาก็ตาม ถ้าคนนั้นไม่มีศีลธรรมแล้วมันก็ทำไม่ได้ มันไม่แก้ปัญหาได้หรอก มันก็ไปกินสินบนคอรัปชั่นอะไรกันหมด เป็นการเพิ่มปัญหาเข้าไปอีก คนไม่มีศีลธรรมมันสร้างปัญหาขึ้นมาแล้ว เยอะแยะไปหมดแล้ว ที่เอาคนไม่มีศีลธรรมมาแก้ปัญหามันก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก ปัญหาก็เพิ่มหนักขึ้นไปอีก นั่นคือความไม่มีศีลธรรม หรือที่เราจะเรียกกันสั้นๆว่ามันไม่มีธรรมะสำหรับมนุษย์ ไม่มีมนุษยธรรม ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรม มันคืออะไร รู้แต่เพียงว่าเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ยอมรับนิยมกันว่าดี ว่าถูก ว่าศักดิ์สิทธิ์ ว่าเป็นที่พึ่งได้ แต่แล้วก็ไม่มีธรรมะเลย ไม่มีธรรมะอย่างถูกต้องเลย นี่เรียกว่ามัน มันน่าหัวแหละ
ที่นี้ผมก็จะพูดต่อไปถึงว่า เมื่อคนในโลกหรือพวกที่เป็นเจ้าหน้าที่จัดสันติภาพในโลก มันก็พูดกันไม่ถูกว่าจะทำอย่างไร กระทั่งนักศึกษาที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจต่อไปข้างหน้าก็พูดไม่ถูกว่าจะทำอย่างไร ทีนี้ผมอยากจะตั้งตัวเองว่า ถ้าเขาอนุญาตให้ผมพูดบ้าง ผมจะพูดว่าอย่างไร ในฐานะที่ผมสนใจเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลาย ๑๐ ปีแล้ว ไม่น้อยกว่า ๕๐ ปีที่ผมสนใจเรื่องนี้มา เดี๋ยวนี้มีอายุ ๗๙ ปี สนใจไอ้เรื่องธรรมะคืออะไร จะแก้ปัญหาของมนุษย์อย่างไร มาแล้วไม่น้อยกว่า ๕๐ปี นี้เอาเป็นว่าเพิ่งสนใจเมื่อบวชก็ได้ มันก็ต้อง๕๗ ปี เมื่อบวชแล้วก็สนใจแต่เรื่องที่ว่าธรรมะทำไมกัน ศาสนาทำไมกัน ธรรมะนี่มีไว้ทำไมกัน ศาสนามีไว้ทำไมกัน มนุษย์จะได้รับประโยชน์อะไรจากธรรมะหรือจากศาสนา เราคิดมากเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าทำละเมอๆ การที่จะมีสวนโมกข์นี่มันก็มีเพื่อเผยแผ่ธรรมะหรือเผยแผ่พระศาสนา ใช้คำว่ารื้อฟื้นและส่งเสริมธรรมะ รื้อฟื้นไอ้ธรรมะที่มันหายๆไป เข้ามาเพื่อจะใช้ให้เป็นประโยชน์และส่งเสริมให้ได้รับประโยชน์ทั้งในแง่ของการศึกษาและในแง่ของการปฏิบัติ ไอ้ส่วนผลของการปฏิบัตินั้นไม่ต้องพูดก็ได้ ถ้าเรามีการปฏิบัติถูกต้องแล้ว ผลของการปฏิบัติมันก็ต้องมี ดังนั้นจึงรื้อฟื้นและส่งเสริมในส่วนที่จะมีการศึกษาหรือปริยัติให้ถูกต้อง ให้มีการปฏิบัติให้มันถูกต้อง นี่ก็ทำมากว่า ๕๐ปีก็ลองไปอ่านบันทึกต่างๆ หรือที่มันพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือครั้งกระโน้นเมื่อ ๕๐ปีมาแล้วเราพูดกันอย่างไร เราศึกษากันอย่างไร เรามุ่งหมายกันอย่างไร แล้วต่อมาก็มีการเปิดเผยหรือเผยแผ่ธรรมะโดยตรง เป็นตัวธรรมะโดยตรงออกมาอย่างที่มีมากมายเยอะแยะที่เห็นอยู่ ทำอย่างไร ทำไปอย่างไร พอจะสรุปได้ว่า ผมนี่คิดนึกอย่างยิ่งแล้วก็เป็นเวลานานกว่า ๕๐ปี นี่ถ้าจะให้ผมได้มีโอกาสได้พูดบ้างเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมดนี้ ผมจะพูดว่าอย่างไร ผมก็ต้องพูดไปตามความรู้สึกนึกคิด ซึ่งมันเหมือนกันไม่ได้กับว่าคนเหล่านั้นเขาจะพูดจะคิดกันอย่างไร แล้วเราก็ได้รับการศึกษาเล่าเรียนหรือเรียกว่าการอบรมก็ได้ มาแต่ในทางของธรรมะเกี่ยวข้องกันอยู่กับธรรมะเรื่อยๆมา ดังนั้นจึงมีความรู้บ้าง พอจะพูดว่า จะต้องทำกันอย่างไรในการที่มนุษย์เราจะมีสันติสุขหรือมีสันติภาพ การยิ่งการศึกษาธรรมะ ยิ่งศึกษาพระพุทธศาสนานี่ มันก็ยิ่งทำให้พบว่ามันขึ้นอยู่กับธรรมะ ความรอดของมนุษย์ในทุกแง่ทุกมุม มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ยิ่งเรียนยิ่งมองเห็น แล้วผมก็กล้าพูดล่วงหน้าไว้ว่า พวกคุณนี่ถ้าจะยิ่งเรียนธรรมะให้ถูกต้องมากขึ้นแล้วคุณจะยิ่งมองเห็นชัดไปว่า ธรรมะมันมีสำหรับแก้ปัญหาคือดับทุกข์ของมนุษย์ เมื่อนั้นจะเข้าร่องเข้ารอยของธรรมะว่าจะใช้ดับทุกข์กันอย่างไร ผมยังสงสัยว่าคุณจะอดทนศึกษาธรรมะอย่างลูบคลำว่าธรรมะเป็นเวลาหลาย ๑๐ปีได้หรือไม่ หรือถ้าจะไม่พูดไปว่าหลาย ๑๐ปี ขอแต่เพียงสัก ๑๐ปีเท่านั้นจะได้หรือไม่ ไม่ถึงกับหลาย ๑๐ ปีหรอก คุณจะอดทนได้หรือไม่ สังเกตดูยังไม่ถึงขนาดที่จะพอใจในธรรมะแล้วก็ทนศึกษาจดจำอะไรมากมายได้ ที่มีจิตใจที่เลื่อนลอยบังคับไม่ได้ บังคับให้นั่งฟังเทศน์ฟังธรรมซักชั่วโมง นี่ก็ยังจะทำไม่ได้ ใจหนีไปไหนไม่รู้กี่ครั้งกี่หนฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่าจะนั่งไหว้พระสวดมนต์ด้วยจิตเป็นสมาธิจริงๆสัก ๓๐ นาทีก็จะไม่ได้ ก็จะไม่ได้ เริ่มฝึกเถอะบังคับตนคือบังคับจิตให้ทำอะไรตามที่เราจะต้องการ เช่นว่าจะทำวัตร ๓๐ นาทีก็ให้เป็นทำวัตรด้วยสมาธิตลอด ๓๐ นาที จะฟังเทศน์หรือฟังบรรยาย ๑ ชั่วโมงก็ขอให้มันได้ประโยชน์ ๑ ชั่วโมง นี้จิตใจมันเลื่อนลอยด้วยเหตุมันเป็นธรรมชาติเดิม ธรรมชาติเดิมที่มันไม่เคยถูกบังคับ มันเลื่อนลอยได้ และก็เป็นปัจจัยใหม่ๆคือไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะมีประโยชน์ ไม่เชื่อว่าทำวัตรสวดมนต์มีประโยชน์ ไม่เชื่อว่าฟังเทศน์มีประโยชน์ และฟังธรรมมีประโยชน์มันก็ยิ่งไม่อยากฟัง มันก็ยิ่งยากลำบากที่จะฟังเทศน์ฟังธรรมกันให้ติดต่อกันเป็นเวลานานสมควรอย่างนี้ การที่จะสนใจธรรมะให้ติดต่อกันเป็นเวลาสิบๆปี มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ลองดูเถอะ ๑๐ปี ๕ปี ให้มันจริงขนาดที่ว่า มันจริงจังการศึกษาธรรมะ ๕ปีแล้ว ๑๐ปี แล้วมันจะค่อยๆรู้แล้วมันจะเข้ามาในร่องรอยอันนี้ เชื่อชัดทีเดียวว่าจะเป็นสิ่งที่แก้ปัญหาได้ แม้เรื่องง่ายๆ เรื่องเชื่อผีสางเทวดา เชื่อพระเจ้า มันก็ยากที่คนจะเชื่อลงไปด้วยจิตใจที่มั่นคงและเป็นเวลานานพอ ส่วนธรรมะยังละเอียดกว่านั้น จะเข้าถึงและเชื่อด้วยจิตใจที่จริงๆ มันยังยากกว่านั้นมาก ยากกว่าที่จะเชื่อพระเจ้าหรือเชื่อผีสางเทวดา เชื่อโชคเชื่อลาง เชื่อเคราะห์กรรมต่างๆ นี่ผมจึงพูดว่าถ้าให้ผมพูดบ้างว่าจะทำอย่างไรก็จะพูดสั้นๆว่าอย่างเดียวเท่านั้น คือธรรมะกลับมา หมายความว่ามันเคยมีธรรมะกันเป็นที่น่าพอใจในยุคหนึ่งแล้วมันหายไป หายไป จึงมองเห็นว่าธรรมะต้องกลับมา ผมพูดเรื่องศีลธรรมกลับมา ศีลธรรมกลับมาแล้วก็ธรรมะกลับมา พูดตั้ง ๕๐กว่าครั้งแล้วทางวิทยุ เรื่องหัวข้อเดียว ธรรม ว่าศีลธรรมกลับมา โดยมีปรมัตถธรรมเป็นรากฐาน หรือว่าปรมัตถธรรมกลับมาเป็นรากฐานของศีลธรรม ให้ศีลธรรมได้กลับมาอย่างถูกต้อง เป็นศีลธรรมแท้ เฉพาะพูดทางวิทยุนี้ก็ ๕๐ กว่าครั้ง นี้เขียนเป็นหนังสือเรื่องศีลธรรมโดยตรง ศีลธรรมอย่างนั้น ศีลธรรมอย่างนี้ ที่จำเป็นแก่มนุษย์ในโลกนี้ ก็หลาย ๑,๐๐๐ หน้า หนังสือปกดำๆ เล่มใหญ่ๆ หนาๆเป็นเรื่องศีลธรรมเสียตั้งเกือบ ๑๐ เล่ม ในหลาย ๑๐ เล่มนั้นเป็นเรื่องศีลธรรมเสียเกือบ ๑๐ เล่ม ถ้ามองเห็นชัดเหนือชัดว่า ธรรมะต้องกลับมา ศีลธรรมต้องกลับมา ให้โลกนี้มันเป็นโลกที่มีธรรมะ มีศีลธรรม และก็จะเป็นความรอด เป็นความรอดของมนุษย์ในยุคที่มัน มันมีปัญหามากอย่างยิ่ง ข้อนี้ขอให้ช่วยกันสังเกตกันไว้ด้วยว่า ปัญหามันยาก ยากอย่างยิ่ง ยากกว่าที่แล้วมาก็เพราะว่าเรามาเจริญในทางวัตถุ สามารถผลิตวัตถุให้ส่งเสริมความสุขสนุกสนานพอใจ เอร็ดอร่อยให้มันมากขึ้นๆ ซึ่งสมัยโบราณมันไม่มี สิ่งที่จะให้ลุ่มหลง เอร็ดอร่อย โดยเฉพาะทางกามารมณ์สมัยโบราณมันไม่ ไม่มี มันไม่มี มันมีเท่าที่ธรรมชาติอำนวยให้ สมัยคนป่ายังเป็น คนป่ามันไม่มีเครื่องกระตุ้นหรือปัจจัยอะไรๆทางกามารมณ์มากเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เราก็ไปมอบจิตใจไว้กับไอ้สิ่งเหล่านี้เสียหมด แล้วมันก็เกิดความยากลำบากในการที่จะมีธรรมะ เพราะมันตรงกันข้าม เราสมัครไปเป็นบริวารของกิเลส แล้วธรรมะมันจะเข้ามาได้อย่างไร เพราะว่าธรรมะมันตรงกันข้ามกับกิเลส มันเป็นคู่ปรับกับกิเลส เมื่อเราไปมอบจิตใจให้แก่กิเลสเรียกว่าบูชากิเลสเป็นพระเจ้าเสียแล้ว มันก็ยากที่ธรรมะจะเข้ามาในจิตใจของคนนั้น จึงเรียกว่ามันมีความยากมาก สมัยนี้สมัยที่เจริญด้วยวัตถุนี่มันยากที่มนุษย์ตามธรรมชาติจะไปยินดีกับความสงบตามแบบของธรรมะ เพราะความยั่วยวนทางวัตถุทางกิเลสมันมากเหลือเกินมันมากยิ่งกว่ามาก นี้เขาจะให้คนหลงใหลในกามารมณ์กันจนกระทั่งเข้าโลงก็ไม่เบื่อ ถ้าไปตามธรรมชาติมันมีอายุที่จำกัด ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติดูสัตว์เดรัจฉานไอ้ความรู้สึกทางเพศทางกามารมณ์มันสูงสุดเมื่อเราขึ้นอายุ แล้วมันก็ลดลงๆตอนทำลายอายุ ซึ่งคนก็เหมือนกันในสมัยที่มันไม่เจริญเป็นคนป่า มันก็อย่างนั้น เดี๋ยวนี้คนมันเจริญด้วยวัตถุปัจจัยส่งเสริมกามารมณ์ยั่วยวนที่สุด ก็เลยลุ่มหลงอยู่กับกามารมณ์จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต อันนี้เองก็เป็นเหตุที่ให้คนมั่งมีก็ดี คนยากจนก็ดี ทะเยอทะยานต่อกามารมณ์ แล้วก็เผชิญหน้ากัน แย่งชิงกัน มุ่งจะทำลายล้างกัน เพื่อจะเอาปัจจัยกามารมณ์มาเป็นของตนให้มากขึ้น ในระดับประเทศมันก็เป็นอย่างนี้ คนทั้งประเทศมันมีความคิดเห็นอย่างนี้ และนโยบายของประเทศมันก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นประเทศจึงมีนโยบายจะเอาเมืองขึ้นหรือว่าเอาเปรียบโดยวิถีทางใดในทางเศรษฐกิจ แม้ว่าระบบเมืองขึ้นมันจะเลิกไปแล้ว แต่วิถีทางที่เอาเปรียบในทางเศรษฐกิจยังมีอยู่อีกมากมาย นั้นมนุษย์มันก็มุ่งจ้องกันอยู่แต่อย่างนี้ นี่เป็นเหตุให้สงครามมันสิ้นสุดลงไม่ได้ มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เดี๋ยวนี้ดูซิว่ามันไม่น่าจะรบกันเลย ที่มันรบกันอยู่เวลานี้ก็หลายคู่ คู่เล็กคู่น้อยมันก็มีหลายคู่ มันไม่น่าจะรบฆ่ากัน ฆ่าญาติพี่น้องกัน ฆ่าคนถือศาสนาเดียวกันอย่างนี้ มันก็ยังทำกันอยู่ได้ นี่แหละฤทธิ์เดชของไอ้ความเจริญทางวัตถุที่เป็นปัจจัยแห่งกามารมณ์ นี่เราก็เป็นโดยไม่รู้สึกตัวอยู่มากเหมือนกัน บุคคลแต่ละคนก็รวมอยู่ในในกลุ่มนี้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่รวมอยู่ในกลุ่มนี้ แต่เราก็ไม่หนีพ้นจากปฏิกิริยาหรืออะไรที่มันเกิดขึ้นมาจากสิ่งเหล่านี้ เพิ่งเห็นกันง่ายๆอย่างเช่นสงครามอย่างนี้ เราไม่ได้ไปทำสงครามกับเขาหรอก แต่ผลที่สะท้อนออกมาจากสงครามก็ครอบงำไปทั้งโลก เราก็พลอยเดือดร้อนกับเขาด้วยเหมือนกัน เพราะทำสงครามกันในหมู่คู่สงคราม แต่ว่ามันมีผลกระจายออกไปทั่วโลก ไปยังบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนแห่งสงคราม ก็เรียกว่ามันอยู่ในปัญหาเหมือนกัน มันต้องช่วยกันแก้ปัญหาเพราะไม่ต้องการสงคราม ทีนี้เขาจะแก้ปัญหาด้วยอะไร นี่ขอให้ช่วยคิดกันหน่อยเถอะว่า ถ้าสงครามมันเป็นสิ่งที่เกิดมาจากความไม่มีธรรมะ สิ่งแก้มีอย่างเดียวก็คือความมีธรรมะ ถ้าว่าสงครามทั้งหมดมันมีมูลมาจากความไม่มีธรรมะ สิ่งแก้มีสิ่งเดียวเท่านั้นแหละคือความมีธรรมะ สิ่งอื่นไม่มีหรอก แต่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะต้องแก้ด้วยธรรมะ เขาจะแก้ด้วยอำนาจอาวุธ อำนาจอะไรต่างๆที่เขาจะใช้ล้างผลาญกันได้ เขาไม่เคยคิดว่าจะแก้ด้วยความมีธรรมะ หรือจะพูดว่าเพราะเขาละเลยศาสนา ไม่ถือธรรมะในศาสนา เกิดสงครามยืดเยื้อ สงครามชนิดที่มองไม่เห็นตัว เขาก็ต้องแก้ด้วยความมีศาสนาหรือกลับไปสู่ศาสนา อย่างเดียวกันแหละ คำเดียวว่ามันต้องมีธรรมะไปแก้ปัญหาที่มันเกิดมาจากการไม่มีธรรมะ นี่ผมก็พูดมาทีละตอนๆ ที่จะช่วยให้คุณมองเห็นค่าของธรรมะหรือความจำเป็นที่จะต้องมีธรรมะ ซึ่งในโอกาสต่อไปแล้วก็จะได้พูดกันถึงเรื่องธรรมะให้มันเพียงพอ เดี๋ยวนี้เป็นการพูดให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นมันจำเป็นอย่างไร เมื่อให้ผมพูด ผมก็พูดว่าธรรมะคำเดียวพอ ปัญหาต่างๆแก้ไข แก้ได้ทั้งหมดด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคำเดียว พยางค์เดียว คือธรรมคำเดียว พยางค์เดียว แก้ปัญหาร้อยแปดอย่าง พันประการของในโลกได้ ปัญหาที่องค์การโลกเขาสนใจกันนั้น ปัญหาอดอยาก ปัญหาสุขภาพ ปัญหาไม่รู้หนังสือ ปัญหายากจน กระทั่งปัญหาอันธพาล อันธพาล ถ้าแยกรายละเอียดก็ไม่รู้มีกี่ ๑๐ ปัญหากี่ ๑๐๐ปัญหา แต่ทุกปัญหาแก้ได้ด้วยสิ่งที่พูด ใช้คำพูดคำเดียวพยางค์เดียวว่าธรรมะ ปัญหากี่ร้อยพันอย่างมันมาจากความไม่มีธรรมะ นั้นพอมีธรรมะมันก็ไม่มีปัญหาเหล่านี้ ฉะนั้นช่วยกันให้มีธรรมะเพื่อแก้ปัญหาส่วนตัว และช่วยกันให้มีธรรมะเพื่อแก้ปัญหาของส่วนรวมหรือของโลก อย่าถือเสียว่าปัญหาของโลกไม่ใช่ธุระของเรา มันคิดแคบนะ ถ้าคุณจะเรียนธรรมะแต่เพียงเพื่อแก้ปัญหาของตัวฝ่ายเดียวแล้วผมว่ามันแคบมาก เพราะมันต้องนึกถึงผู้อื่นที่อยู่ร่วมโลกกันด้วย เพราะมันอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลก เขาจะยกโลกทั้งหมดให้เราอยู่คนเดียว เราก็อยู่ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นมันต้องอยู่กันอย่างโลก อย่างมีเพื่อนร่วมโลก เราต้องนึกถึงคนที่อยู่ร่วมโลกกัน เราจะดีอยู่คนเดียวได้อย่างไรถ้ามันเป็นอันธพาลกันทั้งโลกมันก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นก็ต้องนึกถึงการที่จะทำโลกทั้งโลกให้มีความถูกต้องคือมีธรรมะ เราเรียนไว้เผื่อผู้อื่นบ้างสิ เรียนธรรมะเพื่อแก้ปัญหาของเราโดยเฉพาะแน่นอน แต่ควรจะเรียนเพื่อจะช่วยผู้อื่นบ้าง เพราะเดี๋ยวนี้การติดต่อกันทั้งโลกนี่มันง่ายนิดเดียว ผมเดาว่าในหมู่พวกคุณ หลายๆองค์นี้ก็ทำงานเกี่ยวกับต่างประเทศหรือต้องไปต่างประเทศหรือต้องไปนอกประเทศ มันก็ต้องมีธรรมะที่จะไปฝากฝังไอ้คนเหล่านั้นบ้าง ทำให้เรียนธรรมะเผื่อเพื่อนมนุษย์กันทั้งโลกด้วย นี่เรื่องธรรมะนี้ยังมีอีกมากนะที่ต้องพูดกัน แต่ขอให้มองในแง่ที่ว่า ปัญหาต่างๆในโลกที่เกิดขึ้นเพราะขาดธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้องของมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องมีธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ของมนุษย์ หน้าที่เพื่อทำความถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน ๆทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา และอันนี้ที่ว่าธรรมะ ธรรมะนี้ ขอให้รู้เสียเถอะว่าไม่ใช่ใครไปตั้งขึ้น ไม่ใช่ใครไปบัญญัติขึ้นมาได้ มันเป็นกฎของธรรมชาติ ตายตัวอยู่ในกฎของธรรมชาติ มันมีแต่ว่าใครค้นพบ ใครรู้แล้วเอามาใช้ นั้นธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ก็คือ พระพุทธเจ้าค้นพบกฎของธรรมชาติ แล้วมาบอกว่าจะแก้ปัญหาอะไรกันอย่างไรตามกฎของธรรมชาติ คือเราศึกษาดูแล้วเราก็จะรู้สึกว่าพระพุทธเจ้าท่านค้นมาอย่างพียงพอที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้จริงเหมือนกัน ถ้าเป็นศาสนาอื่นมีพระเจ้า เขาก็บอกว่าพระเจ้าส่งมาให้หรือพระเจ้าดลใจใครคนใดคนหนึ่งให้พูดออกมา แต่พุทธศาสนาไม่เป็นอย่างนั้น มันมีคนที่สนใจเป็นคนฉลาดค้นคว้าถึงขนาดพบว่ามันเป็นอย่างนั้น มันมีกฎเกณฑ์อย่างนั้น และก็จากของจริงทดลองในตัวเอง ในจิตใจของตัวเองว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรจะดับไปอย่างไร มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ตามกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ นี่รู้ไว้ด้วยว่า ธรรมะในพระพุทธศาสนามีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นไปตามกฎเกณฑ์แห่งวิทยาศาสตร์ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เรียกว่ากฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา ท่านค้นพบเรื่องนี้ เรื่องเกี่ยวกับความทุกข์จะเกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์จะดับไปอย่างไร คนเราจะเกิดความโลภขึ้นมาได้อย่างไร คนเราจะเกิดความโกรธขึ้นมาได้อย่างไร คนเราจะลุอำนาจแก่โทสะ ไปฆ่าผู้อื่นได้อย่างไร หรือว่าไม่ต้องฆ่าใคร มันก็มีไอ้ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นเครื่องทรมานตนอย่างไร เป็นเรื่องรอบรู้แตกฉาน แล้วก็รู้ด้วยความรู้สึกของตัวไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ที่เราสวดทำวัตรเย็นทุกวันนะ สวากขาโต ภควาตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อกาลิโก คำว่าสันทิฏฐิโกคือประจักษ์อยู่แก่ใจไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น ดังนั้นขยันทำวัตรสวดมนต์เสียบ้าง ขั้นๆ แรกๆอย่างนี้ แรกบวชนี้ แล้วก็พยายามกำหนดความหมายของแต่ละคำที่เราสวดนั้นให้ดีๆ มันจะได้ฝังความพอใจ ความเลื่อมใส ความเชื่อ ความอะไรเข้าไปให้รู้ธรรมะง่ายขึ้น นี่เรียกว่ารู้ไว้ว่ามันจะต้องรู้กันอย่างวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องเชื่อคำนวณ ไม่ต้องเชื่อคาดคะเน ไม่ต้องใช้ปรัชญาซึ่งเป็นเรื่องคำนวณเหมือนกัน ใช้วิถีทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช้วิถีทางปรัชญาหรือตรรกวิทยาเป็นต้น นี่คือเรื่องที่ผมพูดแก่พวกคุณวันแรก โดยหัวข้อจะพูดเรื่องอะไรดี ในที่สุดก็ยุติลงว่าเรื่องธรรมะคำเดียว คำเดียว ที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดในโลกได้ ซึ่งนักการเมือง นักเศรษฐกิจ นักอะไร นักศึกษา นักอะไรก็ตาม กำลังพยายามแก้อยู่หรือเคยแก้กันมาแล้วก็ตามมันแก้ไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เอาธรรมะมาแก้ ปัญหาซึ่งเกิดมาจากการไม่มีธรรมะ ปัญหาของโลกเกิดมาจากการที่ไม่มีธรรมะ แล้วไม่เอาธรรมะมาแก้ มันก็แก้ไม่ได้ ดังนั้นเดี๋ยวนี้เราจะขึ้นศักราชใหม่ ชนิดที่มันจะแก้ได้ก็ขอให้สนใจธรรมะเป็นจุดตั้งต้น จุดตั้งต้นของการพูดจาในวันนี้ โดยการบอกให้รู้ว่า ไอ้สิ่งสำคัญที่สุดที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ทั้งส่วนตัวและส่วนรวมก็คือ ธรรมะ ธรรม ธรรม คำเดียว บางทีผมจะออกเสียงว่าธรรม คำเดียว พยางค์เดียว แต่กลัวมันจะไปสับสนกับคำอื่น โดยมักจะต้องพูดคำว่า ธรรมะ ใส่สระอะเข้าไปเป็นธรรมะ ที่จริงธรรมะกับธรรมคือคำเดียวกัน แต่มันจะพูดติดปากเสียแล้วว่าธรรมะ ธรรมะจะได้หมายถึงหลักธรรมะในพระศาสนา ถ้าว่าพูดธรรม ธรรมเฉยๆเดี๋ยวมันไปพ้องกับคำบางคำ ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการพูดนี่มันก็หมดแล้ว สรุปความว่า เราพูดกันในวันนี้ก็เรื่องว่าจะพูดเรื่องอะไรดี ถ้าเขาให้เราพูด ถ้าคนทั้งโลกมีโอกาสมารวมหัวกัน มาพูดจากัน ศึกษากัน จะพูดกันเรื่องอะไรดี และเขาจะพูดกันเรื่องอะไร ให้คาดคะเนเอาเอง หรือว่าถ้าว่าผู้มีอำนาจเขาจะเปิดโอกาสให้นักศึกษาทั้งหลายพูดได้ตามพอใจให้คุณพูดกันตามพอใจ แล้วคุณจะพูดเรื่องอะไรดี นี่ถ้าว่าเขาจะให้ผมพูด ในฐานะที่เป็นผู้สนใจเรื่องนี้มาเป็นสิบๆปี ผมจะพูดเรื่องอะไรดี ผมก็พูดเรื่องสิ่งที่เรียกว่าธรรม พยางค์เดียวหรือจะเป็น ธ รอ อำ ธรรมะ คำเดียว แล้วในวันหลังเราก็จะพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้น กันโดยละเอียดอีกต่อไป วันนี้หมดเวลาแล้ว ขอยุติการพูดไว้เพียงเท่านี้คือ ๑ ชั่วโมง
ต่อไปก็ขอบคุณพระก็รวบรวมปัญหาเอาไว้ด้วย ในวันหลังๆคงจะมีปัญหา ถ้าว่ามันมีอะไรเป็นปัญหาหรือสมควรจะเป็นปัญหา ก็รวบรวมมาไว้ถาม ปัญหาที่ควรจะเป็นปัญหา บางทีมันก็ไม่ควรจะเป็นปัญหา ไม่คุ้มค่าเวลา เอ้า, ปิดประชุม ปิดประชุม หมดแล้ว นิมนต์กลับ.