แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ขออนุโมทนาผ้าป่าขอให้ธรรมในใจสำเร็จประโยชน์ในการทอดผ้าป่า คำว่าผ้าป่าบอกความหมายอยู่ในตัวแล้วว่าผ้าที่ทิ้งไว้ในป่าเพื่อว่าภิกษุรูปใดรูปหนึ่งมาพบเข้าก็จะได้ถือเอา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุทั้งหลาย ส่วนมากท่านถือบังสุกุลและจีวร อยู่โดยจำเป็นไม่ได้สมบูรณ์ด้วยจีวรที่ประชาชนถวายอย่างสำเร็จรูป ท่านก็ต้องเที่ยวเก็บเล็กผสมน้อย ผ้าป่าที่ว่าเป็นชิ้นผ้าไม่ได้เป็นจีวร ยังไม่พอจะทำจีวร ต้องเก็บไปรวบรวมไว้ทำจีวรเมื่อถึงเวลาที่ทำจีวรเรียกว่าผ้าที่ทิ้งไว้ในป่าตลอดถึงผ้าที่ตกเรี่ยอยู่ในที่อื่น ๆ ก็ได้ เอามารวม ๆ กันเข้าแล้วทำเป็นจีวรทีหลัง สงเคราะห์ในผ้าบังสุกุลจีวร คือผ้าที่เขาทิ้งอยู่อย่างเปื้อนฝุ่น บังสะกุละแปลว่าเปื้อนฝุ่นละอองเพราะเขาทิ้งไว้ จึงไม่มีการชัก ไม่มีการถวาย ต่อมาเดี๋ยวนี้เรามันอยากจะทำกันอย่างนั้น รักษาแบบนั้นไว้ก็เลยทำผ้าป่าอย่างปัจจุบัน มีการถวาย มีการชัก ตามแบบเดิมไม่ต้องมีการชัก เจตนาถวายแล้วก็แล้วก็แล้วไป ต่อมามันก็เปลี่ยนเป็นต้องมีการถวาย มีการชัก และมีบริขาร เรียกว่าบริขารของผ้าป่าเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งก่อนนี้มันไม่มี ถ้ามันทำในป่าแท้ ๆ มันไม่มีบริขาร นี่ขอให้รู้ว่าผ้าป่าคืออย่างนี้ ทีแรกเป็นอย่างไร ต่อมาเป็นอย่างไรและเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร เราก็ทำพอเป็นพิธีรักษาประเพณีของผ้าป่าเอาไว้ ก็ด้วยเจตนาอย่างเดียวกันคือจะบำรุงภิกษุสงฆ์ให้ตั้งอยู่ได้ ภิกษุสงฆ์ ตั้งอยู่ได้ก็เพราะมีเครื่องนุ่งห่ม มีอาหาร มีที่อยู่อาศัย มียารักษาโรค การถวายผ้าป่าเป็นต้นนี้ก็อยู่ในพวกที่ว่าทำให้มีเครื่องนุ่งห่ม ให้ภิกษุอยู่ได้โดยสะดวกและปฏิบัติหน้าที่ในพุทธศาสนาของตน ตั้งใจว่าจะช่วยให้พระภิกษุสงฆ์มีอยู่ในพระพุทธศาสนาโดยไม่ลำบาก แล้วท่านก็จะได้ทำหน้าที่สืบอายุพระศาสนา คือเล่าเรียน ปฏิบัติ ได้ผลของการปฏิบัติแล้วก็สั่งสอนสืบต่อ ๆ กันไป ถ้ามันยังมีการเรียนการปฏิบัติการสอนต่อกันไปอยู่เพียงไร ก็ได้ชื่อว่าศาสนายังมีอยู่เพียงนั้น ดังนั้นขอให้เราถือเอาความหมายอันนี้เป็นเจตนาของการที่จะทอดผ้าป่า เป็นต้น ก็จะมีบุญกุศลเกิดขึ้นเพราะการสืบอายุพระศาสนา แม้โดยอ้อมคือตัวเองทำโดยตรงไม่ได้ ก็ทำโดยอ้อมคือส่งเสริมภิกษุสงฆ์ผู้สืบอายุพระศาสนา ขอให้ท่านทั้งหลายทำในใจถูกต้องอย่างนี้และคิดว่า เราทำบุญนี้เพื่อสืบอายุพระศาสนาไว้ เป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลก ไม่ใช่จะนอนอยู่ในวิมานคนเดียวนั่นมันเล็กเกินไป เด็กเกินไป การสืบอายุพุทธศาสนาไว้เพื่อคนทั้งโลกมันใหญ่โตทั้งโลก ขอให้สนใจอย่างนั้น ต่อไปนี้ก็ขออนุโมทนาเป็นภาษาบาลี ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา สัพพีติโย วิวัชชันตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ มาเต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายุโก ภะวะ อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ
ถ้าตรวจน้ำได้ก็ตรวจ เอาเป็นว่าเสร็จพิธี จบกิจพิธีผ้าป่า....
(ผู้ถวายผ้าป่ากล่าวกับท่านพุทธทาส)....ขอประทานโทษนะค่ะ ข้าพเจ้าคณะวิทยาลัยสตรีฉะเชิงเทรา ขอถวายจตุปัจจัยแด่พระคุณเจ้า เป็นมูลค่าหนึ่งพันหกร้อยบาทถ้วน ขอพระคุณเจ้ากรุณารับจตุปัจจัยนี้ไว้เพื่อประโยชน์และความสุขของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ
(ท่านพุทธทาส) ช่วยไปส่งเจ้าหน้าที่ที่หน้ากุฏิโน้น แล้วก็รับหนังสือมาด้วย เขาจะให้เป็นที่ระลึกมาด้วย
ต่อไปนี้ก็เป็นการบรรยายอย่างที่ตั้งใจไว้ สำหรับภิกษุขอทำความเข้าใจในเบื้องต้นเรื่อง นั่งกลางดิน เดี๋ยวนี้เรามาประชุมกันเพื่อจะศึกษาธรรมะ ขอให้รู้ไว้ทุกคนว่า ธรรมะมีกำเนิดกลางดิน ธรรมะมีกำเนิดกลางดิน นับตั้งแต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ก็เหมือนนั่งกลางดิน พระพุทธเจ้าท่านสอนก็เมื่อนั่งกันอยู่กลางดิน ตรงไหนก็ได้ เดินทางอยู่ก็ได้ แม้จะสอนที่วัด ไอ้โรงธรรมมันก็พื้นดิน จึงมีสอนกลางดินเรียกว่าธรรมะมีกำเนิดกลางดิน พระพุทธเจ้าประทับอยู่กุฏิพื้นดิน ในที่สุดท่านนิพพานที่เรียกว่าตาย ก็กลางดิน โคนต้นไม้พระพุทธเจ้ามีชีวิตกลางดินตลอดเวลา ท่านแสดงธรรมะก็เมื่อท่านนั่งกลางดิน อยู่กลางดิน เราจะถือว่าธรรมะนี่มีกำเนิดที่กลางดิน จึงกล่าวได้ว่าพระไตรปิฏกนี่ พระธรรมทั้งหมดนี่ล้วนแต่มีกำเนินกลางดิน ยกเว้นแต่อภิธรรมปิฎกที่เกิดขึ้นครั้งหลังเขาว่าแสดงในเทวโลก นี่มันไม่มีหลักฐานในบาลี ก็เขียนกันเองใน ครั้งอัตคถาว่าไปเทวโลก ไปอะไรต่างๆ แม้ตัวบาลีเองก็ไม่มี แต่เท่าที่มีกี่สูตรกี่สูตรกี่พันสูตรก็ล้วนแต่นั่งกลางดิน สอนกลางดิน เพราะว่ากุฏิมันพื้นดิน แล้วมันก็สอนนอกวัดนอกอะไรอีกมากล้วนแต่เมื่อนั่งยืนอยู่บนดินหรือกลางดิน เราจึงจัดให้มาพูดธรรมะกันกลางดิน ในลักษณะอย่างนี้ ลองเอามือคลำแผ่นดิน เพื่อที่จะเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา เพราะพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ สอน และนิพพาน กลางดิน ธรรมะจึงกำเนิดกลางดิน เราก็มานั่งกันกลางดิน ศึกษาธรรมะ มันก็ตรงเรื่องราว กว่าที่จะเรียนกันในตึกเรียนราคาแสน ราคาล้าน เตลิดเปิดเปิงไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เรื่องที่สอนก็ไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่าตึกเรียนราคาล้าน อย่างนี้ ยมบาลเขกกะบาลตายเลย เพราะมันใช้เงินไม่คุ้มค่า มานั่งกลางดินอย่างนี้ปลอดภัยดีแล้ว ว่าธรรมะมีกำเนิดกลางดินโดยพระพุทธเจ้าผู้มีชีวิตเป็นอยู่กลางดิน เราจะไม่ลืมว่าพระศาสดาของเรามีชีวิตกลางดินอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น พูดเป็นภาษาชาวบ้านเต็มที่ว่าท่านเกิดกลางดิน ท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านอยู่กลางดิน ท่านสอนกลางดิน ท่านตายกลางดิน นี่พระพุทธเจ้ามีชีวิตแบบกลางดินอย่างนี้ เราควรจะภาคภูมิใจที่ได้มานั่งกลางดินอย่างนี้ เอามือลูบดินดู รู้สึกว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ขอทำใจให้เข้ารูปกันกับที่ว่า สอนอยู่กลางดิน คำว่าแผ่นดินมีความหมายส่วนวัตถุ ทางวัตถุอีกอย่างหนึ่งคือว่าเป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายนับตั้งแต่ต้นไม้ขึ้นมาถึงสัตว์เดรัจฉาน ถึงคน ถึงอะไรก็ตามมันตั้งอยู่บนพื้นดิน มันอาศัยอยู่บนพื้นดิน เรามองให้เห็นว่าแผ่นดินเป็นที่ตั้งอาศัยแห่งสิ่งทั้งปวง ท่านจึงเปรียบกันกับธรรมะ ธรรมะนี่เป็นที่ตั้งที่อาศัยแห่งสิ่งทั้งปวงในด้านจิตใจ แผ่นดินเป็นที่ตั้งอาศัยแห่งสัตว์ทั้งปวงในด้านร่างกาย คนเราด้านร่างกายอาศัยอยู่บนแผ่นดิน ด้านจิตใจอาศัยอยู่บนธรรมะ ดังนั้นแผ่นดินกับธรรมะมีความหมายอย่างเดียวกัน เมื่อแตะเข้าที่ดินก็ให้นึกถึงธรรมะ เมื่อศึกษาธรรมะ รู้ธรรมะ ให้นึกถึงแผ่นดิน ว่าจะได้เป็นที่ตั้งที่อาศัยแห่งชีวิต ให้เป็นอยู่เป็นปกติแล้วก็มีความเจริญงอกงามไปตามแบบนั้น คือ เป็นที่ตั้งที่อาศัยได้จริง ขอให้ทุกท่านรู้จักธรรมะเทียบกับแผ่นดินในลักษณะเช่นนี้ อย่ามานั่งกลางดินเฉย ๆ โดยไม่รู้ความหมายอะไรเลยเหมือนสุนัขและแมวมันก็อาศัยอยู่กลางดินมันก็ไม่รู้ความหมาย เดี๋ยวนี้เราเป็นมนุษย์มานั่งกลางดินรู้ความหมายว่าดินเป็นที่เกิดของธรรมะ เป็นที่อยู่ที่อาศัย ที่นั่งที่นอน ที่ทำหน้าที่การงานของพระพุทธเจ้า ก็จะได้ชอบแผ่นดินกันมากขึ้น ก็จะชอบนั่งนอนยืนเดินบนแผ่นดินมากขึ้นกว่าจะไปอยู่ในวิมานบนสวรรค์ซึ่งได้แต่ความหลง ซึ่งมันได้แต่ความหลง ถ้าอยู่บนดินอย่างนี้ก็ได้สติปัญญา ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเพราะว่าจิตใจมันไม่หลงในสิ่งใด ๆ ขอให้ใช้ประโยชน์จากการนั่งบนดินอย่างนี้ และติดไปในความรู้สึก กลับไปที่อยู่ของตน ของตน แล้วก็ให้ระลึกนึกได้อย่างนี้ เมื่อหย่อนก้นลงบนแผ่นดินที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ก็ขอให้นึกถึงเรื่องนี้ว่าแผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งอาศัยของสัตว์ผู้มีชีวิตทางด้านร่างกาย เป็นที่รองรับพระพุทธเจ้า ผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน อยู่กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน จนตลอดชีวิตเราจะรู้สึกกับแผ่นดินในลักษณะอย่างนี้ ที่นี้ก็ถือเอาประโยชน์จากความหมายนี้ว่าแผ่นดินเป็นที่รองรับสัตว์ทั้งหลายในด้านร่างกายอย่างไร ธรรมะก็เป็นที่รองรับสัตว์ทั้งหลายในด้านจิตใจอย่างนั้น ธรรมะรองรับจิตใจอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่เราจะพูดกัน ถ้าพูดรวบรัดกันทีก่อนก็ว่าถ้าไม่มีธรรมะจิตใจมันก็ลงอเวจีไปเลย ถ้าไม่มีธรรมะรองรับไว้แล้วจิตใจมันก็ดิ่งลงอเวจีไปเลย คำนี้ไม่ต้องอธิบายนักก็ได้ว่า อเวจีหมายถึงชื่อของนรก นรกชนิดที่ร้อนแรงที่สุด อเวจีแปลว่าไฟที่ไม่มีเปลว ไฟถ่านที่แดงแล้วก็ไม่มีเปลว มันร้อนมาก อเวจีหมายความอย่างนั้น ถ้าไม่มีธรรมะรองรับจิตใจนี้มันก็เป็นไปตามอำนาจของอวิชชา ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่งเมื่อไม่มีความรู้นั่นแหละก็คือมีอวิชชา สภาพที่ไม่มีวิชชานั่นแหละคือ อวิชชา เมื่อไหร่จิตนี้ไม่มีความรู้ มันก็มีสภาพอยู่ในอวิชชา อวิชชาก็เป็นเหตุให้โง่ ให้ทำผิด ให้หลงรักที่น่ารัก ให้หลงโกรธที่น่าโกรธ หลงกลัวที่น่ากลัว หลงเกลียดที่น่าเกลียด มันเป็นคนโง่ถึงขนาดนี้ มันก็เลยได้แต่มัวหลงรัก หลงโกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง เป็นต้น ร้อนทั้งนั้นเลย นี่เพราะไม่มีธรรมะมันจึงมาหลงอยู่ในสิ่งเหล่านี้จนเกิดอารมณ์ร้ายเหล่านี้ ที่เรียกว่ากิเลสและความทุกข์ ความคิดที่ผิดที่เลวร้ายก็เรียกว่า กิเลส ได้รู้สึกผลของกิเลสก็คือ ความทุกข์ คนธรรมดาจึงมีแต่กิเลสและความทุกข์อย่างนี้ เพราะไม่มีธรรมะรองรับนั่นแหละคือมันจมลงในนรก ร้อนที่สุดก็เรียกว่า อเวจี นรกมีชื่อมากมายหลายอย่างแต่รวมความแล้วก็คือเป็นความทุกข์เพราะความร้อนทั้งนั้นแหละ ร้อนหลาย ๆ อย่าง ทีนี้จะมีธรรมะเป็นเครื่องรองรับจิตใจเหมือนแผ่นดินเป็นเครื่องรองรับร่างกายได้อย่างไร มันก็ต้องรู้เรื่องธรรมะ นับตั้งแต่รู้ความหมายของคำ ๆ นี้ รู้ตัวจริงของคำ ๆ นี้ รู้จักใช้สิ่ง ๆ นี้ให้เป็นประโยชน์ โดยชื่อโดยความหมายของชื่อ ธรรมะแปลว่าสิ่งที่มันทรงตัวเองอยู่ได้ ธรรมะตัวหนังสือแปลว่าสิ่งที่ทรงตัวเองอยู่ได้ ถ้ามันเป็นประเภทที่เป็นสังขตะ หรือสังขาร มันก็ทรงตัวเองอยู่ได้ด้วยการหมุนเวียน มันหมุนเวียนทรงตัวเองอยู่ได้ด้วยการหมุนเวียน เหมือนของที่หมุนติ๋ว มันก็ทรงตัวเองอยู่ได้ และก็ มันก็สามารถทรงสิ่งอื่นไว้ได้ด้วย เช่นเดียวกับแผ่นดินทรงร่างกาย ธรรมะทรงจิตใจ เมื่อมีธรรมะเป็นเครื่องทรงแล้วมันก็ไม่ตกต่ำ มันก็ทรงตัวอยู่ได้ แต่ถ้าเราดูให้มันมากกว่านั้น ที่เป็นวิทยาศาสตร์ให้มากกว่านั้นไม่ใช่ตัวหนังสือ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือทุกเรื่องทุกสิ่งที่เกี่ยวกับธรรมชาติ จึงพบว่าธรรมะคือธรรมชาติทั้งหลาย ธรรมะคือกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้น ๆ ธรรมะคือหน้าที่ ที่ชีวิตนี้จะต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาตินั้น ๆ แล้ว ธรรมะคือผลที่จะออกมาจากหน้าที่ เลยได้ความหมายตั้งสี่ความหมาย ถ้ารู้จักธรรมะในลักษณะอย่างนี้เรียกว่ารู้โดยความหมาย จะเห็นได้ว่ามันหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรเลย ธรรมชาติทั้งหลายในสากลจักรวาล ไม่ว่าเป็นรูปธรรมก็ดี เป็นนามธรรมก็ดี พูดสมัยใหม่หน่อยก็เรียกว่าเป็นฟิสิกส์ ก็ดี เป็นเมกกะฟิสิกส์ ก็ดี ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ สักว่าเป็นธรรมชาติ มันก็เรียกว่าธรรม ในความหมายว่าสิ่งทรงตัวมันเองอยู่ได้ ธรรมะคือตัวธรรมชาติ อยู่นอกตัวคนคือโลกนอกตัวคน ถ้าอยู่ในตัวคนทุกอย่างที่ประกอบเป็นตัวคนนี่ก็เป็นธรรมชาติ ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งสิ่งที่รู้สึกแก่จิตใจ ทั้งปฏิกิริยาเคลื่อนไหวของกาย ของใจ ก็เรียกว่าธรรมชาติ ที่นี้มันมีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ในธรรมชาตินั้น ธรรมชาติทั้งหลายจึงเป็นไปตามกฎ ธรรมชาติเป็นรูปธรรมข้างนอก นี่ก็เป็นไปตามกฎของรูปธรรม ธรรมชาติที่เป็นจิตใจที่อยู่ภายในก็เป็นไปตามกฎฝ่ายจิตใจ ดูกันง่าย ๆ ก็ที่ตัวบุคคลนั่นเอง เรามีร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เรียกว่าอาการสามสิบสอง หรือเท่าไหร่ก็ตาม นี่เป็นฝ่ายร่างกาย มันก็มีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหล่านั้นจึงเป็นไปตามกฎธรรมชาติ เช่น ความชรา หรือความเปลี่ยนแปลงให้เกิดปฏิกิริยาใด ๆ ขึ้นมาตรงตามกฎของธรรมชาติ นี่เรียกว่ามันมีกฎของธรรมชาติควบคุมอยู่ ทางจิตใจก็มีกฎธรรมชาติควบคุมอยู่ว่าถ้าคิดอย่างนั้นก็จะมีปฏิกิริยาอย่างนั้น คิดต่อไปอีกอย่างไรจะมีปฏิกิริยาต่อไปอย่างไร นี่การปรุงแต่งในทางจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มันก็เลยเกิดมีหน้าที่ว่าชีวิตนั้นจะต้องปรับปรุงตัวให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นี่คือหน้าที่ ถ้าไม่ทำหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ชีวิตนี้ก็ตายแตกสลาย ไม่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติในเรื่องกินอาหาร ในเรื่องการต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บ ในเรื่องการบริหารกาย หรืออะไรต่าง ๆ เมื่อมันไม่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้ว ชีวิตนั้นต้องแตกสลาย คนก็เป็นอย่างนั้น สัตว์เดรัจฉานก็เป็นอย่างนั้น ต้นไม้ต้นไร่ก็เป็นอย่างนั้น มันต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจึงเกิดเป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดว่าเขาจะต้องกระทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแล้วก็จะได้มีชีวิตอยู่ เรียกว่าหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตจะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฏของธรรมชาติ ธรรมะในความหมายนี้สำคัญที่สุด คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ท่านทรงสั่งสอนเรื่องหน้าที่ เด็ก ๆ ได้รับคำสั่งสอนในโรงเรียน ธรรมะแปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่ไม่ได้บอกว่าสอนอย่างไร เด็กมันก็ไม่รู้จักธรรมะนั่นแหละถ้าสอนเด็ก ๆ รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องหน้าที่ ว่าจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องเพื่อรอดชีวิตอยู่เป็นข้อแรก ครั้นรอดชีวิตอยู่ก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ดีให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นอันกล่าวได้ว่าการทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานนั่นเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์จะต้องไปถึงให้ได้ ถ้ามนุษย์ไปถึงไม่ได้ก็ว่าไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ขอให้พิจารณาข้อนี้กันให้มากสักหน่อยว่าเกิดเป็นมนุษย์ทั้งที มันไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่มีใครต้องด่า มันก็รู้สึกด้วยตัวเองว่าเสียชาติเกิดว่ามนุษย์เกิดมาไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มันเสียชาติเกิด ไม่ต้องมีใครมาด่ามันเห็นอยู่ในตัวทุกคนจะมองเห็นอยู่ในตัวว่าไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ถ้าในเรื่องทางวัตถุมันก็เจริญในทางฝ่ายวัตถุ มีกินมีใช้ผาสุขสบายไปนี่มันเรื่องวัตถุครึ่งเดียว ในเรื่องจิตใจมันจะต้องให้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับคือว่ามีจิตใจสูง อยู่เหนือความทุกข์ เหนือปัญหา เหนืออะไรทุกอย่างที่มันเป็นความทุกข์ นั่นแหละได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ถ้าแต่ละวันละวันยังมีความทุกข์ หายใจขัดอยู่ด้วยความทุกข์ ความขัดใจ แค้นใจไม่มีความโปร่งสบาย สงบเย็น สะอาดสว่าง สงบไม่มีเลย นี่มันไม่ได้รับผลในทางจิตใจ มันเรียกว่าไม่ได้รับสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้รับ ที่นี้ขอให้รู้ไว้ด้วยว่าธรรมชาติจัดมาให้พอแล้ว ธรรมชาติแท้ ๆ มันจัดมาให้พอแล้วสำหรับมนุษย์จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ธรรมชาติมันให้วัตถุ สิ่งของ ร่างกาย จิตใจ สมรรถนะของร่างกายและจิตใจ สำหรับจะใช้ให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ แต่แล้วมนุษย์มันเหลวไหลเอง มันไม่ใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับแล้วมันยังโง่ต่อธรรมชาติ มันเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้เพื่อกิเลสตัณหาเสียหมด ธรรมชาติมันจัดสิ่งนี้ให้มา เพื่อให้มนุษย์เอาไปใช้ในทางที่จะได้รับประโยชน์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ คือมรรคผลนิพพาน แหละพูดกันตรงๆ ที่นี้มนุษย์เอาร่างกายและจิตใจไปใช้ผิด ๆ ไปใช้เป็นทาสของกิเลสตัณหา เป็นบ่าว เป็นทาสของกิเลสตัณหา แสวงหากามารมณ์ เอาตาหูจมูกลิ้นกายใจไปแสวงหากามารมณ์ ไม่ได้เอาตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไปศึกษาธรรมะเพื่อมรรคผลนิพพาน ก็เรียกว่ามนุษย์นั้นกบฏแล้ว มันทรยศต่อความมุ่งหมายของธรรมชาติแล้ว ธรรมชาติอันแท้จริงบริสุทธิ์ มันไม่ต้องการให้คนเอาชีวิตนี้ไปใช้เพื่อกามารมณ์ ต้องการให้คนเอาชีวิตนี้ไปใช้เพื่อมรรคผลนิพพาน แต่คนทำไม่ได้เพราะไม่รู้ ก็ปล่อยไปตามยถากรรมมันก็ไปใช้เพื่อกิเลสเพื่อกามารมณ์เพราะอวิชชา เต็มไปหมดในจิตในใจของคนเหล่านี้ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้ว่าหน้าที่นั่นคืออย่างไร อย่าว่าแต่ว่าจะปฏิบัติอย่างไร มันไม่รู้ว่าหน้าที่คืออย่างไร หน้าที่จะต้องทำอะไร หน้าที่ที่จะต้องถอนตนขึ้นออกจากความทุกข์นี่มันก็ไม่รู้ มันก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะถอนตนออกมาจากความทุกข์ได้ ดังนั้นขอให้เราทั้งหลายยอมรู้ รับรู้ว่าธรรมชาติเขาจัดมาเพื่อให้ดี เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ อย่าเอามาถลุงเสียด้วยการเป็นทาสของกามารมณ์เลย คือรู้จักธรรมะว่าทำอย่างไรจิตใจมันจะสูงขึ้น สูงขึ้นไปในทางจิตใจชนะอารมณ์ที่เป็นที่ตั้งของกิเลสได้ ในโลกมันเต็มไปด้วยอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งของกิเลสคือกามารมณ์ เต็มไปหมดมีทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจเอง เมื่อมนุษย์ไม่รู้ตัวไม่รู้จักหน้าที่มันก็ใช้ไปในทางกามารมณ์หมด ยังอุตส่าห์เรียนรับปริญญานี้เพื่อว่าจะทำงานได้เงินมากแล้วไปซื้อหาเหยื่อของกามารมณ์ พวกเรียนปริญญานี่ ปริญญาชั้นไหนก็ตามในโลกนี้มันเรียนเพื่อมีรายได้มาก แล้วเอาเงินไปซื้อหาเหยื่อของกามารมณ์เพื่อให้ตัวเองเป็นทาสของกามารมณ์ มันก้มหัวเข้าไปเป็นทาสของกามารมณ์ มันยื่นคอเข้าไปในบ่วงของกามารมณ์ มันก็เลยเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องไม่ได้ เพราะการศึกษามันสอนผิด คือว่าไม่สมบูรณ์จะว่าผิดทีเดียวก็ไม่ได้ มันถูกชนิดที่ไม่สมบูรณ์ การศึกษาในโลกตั้งแต่อนุบาล ขึ้นถึงมหาวิทยาลัยสูงสุด มันสอนกันแต่เรื่องหนังสือกับวิชาชีพเท่านั้นเอง อักษรศาสตร์มันก็เพื่อให้ฉลาดได้จริงให้สะดวกได้ วิชาชีพก็เป็นเทคโนโลยีหาประโยชน์ทั้งนั้นแหละ ก็เรียกว่าวิชาชีพสอนกันแต่หนังสือกับวิชาชีพสองเรื่องเท่านั้น อีกเรื่องไม่ได้สอน คือเรื่องว่าจะเป็นมนุษย์อย่างไรให้ถูกต้องนั้นไม่ได้สอน ประเทศใหญ่ ๆ ที่มันนำโลก มันก็สอนกันเพียงเท่านั้นแหละสอนเพียงสองอย่าง ประเทศไทยประเทศเล็ก ๆ ก็ไปตามก้นเขา ก็เรียนอย่างประเทศใหญ่ ๆ มันมีอยู่อย่างไร ไปรับปริญญามามันก็สอนกันได้แค่นั้น มันเลยเป็นการศึกษาหมาหางด้วนกันทั้งโลกเลย การศึกษามีลักษณะเป็นหมาหางด้วนเพราะไม่มีส่วนที่สามที่ว่ารู้จนกระทั่งว่าเป็นมนุษย์เป็นอย่างไร มันรู้แต่หนังสือและรู้แต่วิชาชีพ ไม่รู้ว่าจะเป็นมนุษย์กันอย่างไร นี่จึงเรียกว่ามันด้วน เหมือนกับหมาหางด้วน ไม่น่าดู ไม่สมบูรณ์ หรือพระเจดีย์ยอดด้วน มันก็ไม่น่าดู มันไม่สมบูรณ์ งั้นเรามาแสวงหาส่วนที่ยังขาดกันอยู่ มาเติมกันให้สมบูรณ์ ที่เป็นพระนี่ก็ดี ที่เป็นฆราวาสนั้นก็ดี เพื่อมาหาความรู้ทางธรรมะไปเติมส่วนที่มันยังขาดอยู่นั่นแหละให้สมบูรณ์ ถ้าพูดตรงๆ ก็ว่าการที่มาแสวงหาธรรมะนี่มันก็คือการต่อหางหมาที่มันยังหางด้วนอยู่ให้สมบูรณ์ คุณมาหาธรรมะไปใส่ให้เต็มเป็นการศึกษาที่ไม่ด้วนไม่ขาด นี่ก็นับว่าโชคดี โชคดีมาก คนที่เรียนเพียงสองอย่าง และไม่สนใจที่เรียนธรรมะ มันก็เป็นหมาหางด้วนตามการศึกษาหางด้วนไปจนตายนั่นแหละ นี่ถ้าว่ามันตื่น มันรู้ มันมาหาธรรมะ มาต่อให้การศึกษาสมบูรณ์มันก็จะพ้นความด้วน มันจะกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทำให้ได้รับประโยชน์เต็มที่ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ อย่าลืมเสียว่าเรามีทั้งร่ายกายและจิตใจถ้าเราสมบูรณ์แต่ทางร่างกายก็เป็นมนุษย์ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละ ต่อเมื่อสมบูรณ์ทางจิตใจด้วยจึงจะเป็นมนุษย์ครบทั้งสองส่วน เป็นการดีแล้วที่มาแสวงหาส่วนที่มันยังขาดอยู่นี่ ใส่ให้สมบูรณ์ อาตมาก็ขออนุโมทนาในการทำนี้ ยินดีต้อนรับท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์มาเพื่อแสวงหาส่วนที่ยังขาดนี้ อาตมาก็พยายามที่จะช่วยเหลือ สนองความประสงค์อันนี้สุดความสามารถที่จะทำได้ ดังนั้นจึงขอให้มันพบกันอย่างถูกต้องคือ ได้รับประโยชน์ทางธรรมะนี้กลับไปจริง ๆ อย่าสักว่ามาเที่ยวทัศนาจร ทัศนาจรมีหลายอย่างนะ ขอโอกาสพูดกันเสียตอนนี้เลยว่า มีหลายอย่างทัศนาจร อย่างทัศนาจรบ้า ๆ บอ ๆ หาความเพลิดเพลินก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น ทัศนาจรหาความเพลิดเพลินนี่ก็อย่างหนึ่ง ทัศนาจรอย่างหนึ่งก็หาบุญของคนบ้าบุญ ที่จริงบุญไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก มันสร้างกันได้จากร่างกายนั่นแหละ แต่นี้คนมันบ้าบุญ มันไปเที่ยวๆ ให้เปลืองให้เหนื่อยที่ยุ่งยากลำบากแล้วก็ไม่ได้บุญอะไรมากมายคุ้มค่า นี่แหละมันทัศนาจรของคนบ้าบุญ นี่ทัศนาจรอย่างที่สาม นี่อยากจะพูดว่าทัศนาจรหาธรรมะ หาความรู้ทางธรรมะ คือไปในที่ ๆ จะให้ได้รับความรู้ทางธรรมะ ได้ธรรมะทัศนาจรหาธรรมะ ทัศนาจรของคนบ้าสนุกอย่างหนึ่ง ทัศนาจรของคนบ้าบุญนี่อย่างหนึ่ง ทัศนาจรของคนหาความรู้ซึ่งบ้าไม่ได้ เพราะความรู้มันไม่ได้ทำให้บ้า มันทำให้ฉลาด มันบ้าไม่ได้ นี่การทัศนาจรหาธรรมะนั่นแหละเหมาะสมสำหรับพุทธบริษัท พุทธบริษัทควรจะทัศนาจรเพื่อประโยชน์อย่างนี้ ถ้าท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ก็เป็นที่น่าอนุโมทนาของเทวดาและมนุษย์ที่มีความรู้ พระพุทธเจ้าก็จะทรงสรรเสริญ แต่ถ้าทำอย่างบ้าบุญ ทำอย่างพิธีรีรอง ทำอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครสรรเสริญ นอกจากคนชนิดเดียวกัน คือคนบ้า ๆ บอ ๆ เหมือนกัน มันจะสรรเสริญ ถ้ามีสติปัญญา เป็นสัตบุรุษ เป็นบัณฑิต เป็นอริยะบุคคล จะไม่สรรเสริญทัศนาจรบ้า ๆ บอ ๆ แบบนั้น ที่นี่เราก็สังเกตุเห็นมาเป็นเวลา 20, 30 ปี แล้ว วัดนี้สร้างมา 40 ปี แล้วมีอะไรที่จะแจกจ่ายเป็นธรรมะนี่แหละตั้ง 20, 30 ปี สังเกตุเห็นว่าคนมาเที่ยวนี่ส่วนมากมาเที่ยวเล่นหาความเพลิดเพลินไม่สนใจในธรรมะที่จะเป็นประโยชน์ เขาไม่สนใจตัวธรรมะที่เราจะให้ ข้อนี้ก็น่าเห็นใจที่ว่ามันเอาไม่ได้ มันโง่ เกินไปฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง ฟังธรรมะสักหน่อยหนึ่งก็ลุกขึ้นสะบัดก้นไปแล้ว มันฟังไม่รู้เรื่องมันมีอยู่ทั่ว ๆ ไปนี่ ฟังธรรมะไม่ได้ถึงครึ่งก็ลุกขึ้นสะบัดก้นไปแล้ว ไอ้คนที่มันทนอยู่ได้หมายความว่าฟังรู้เรื่อง มันจึงทนฟังอยู่ได้จนจบ ก็รู้ธรรมะเต็มตามที่ควรจะได้รับ แต่ว่ามีน้อย ปีนี้ได้ยินว่าสำรวจแล้วว่ามีคนมาเที่ยวหกเจ็ดหมื่นคน คงจะได้รับธรรมะไปไม่กี่ร้อยคน ก็เรียกว่าร้อยต่อหนึ่ง เลยต้องเขียนรูปภาพไว้ที่หัวตึกนั้นว่า คนที่ไม่ยอมรับลูกตา วิ่งกลับไปหัวขาดเป็นฝูง ๆ เลย คนที่ยอมรับลูกตา เอาลูกตาไปได้มีสอง( 2 ) สาม( 3 ) คน นี่มันเป็นซะอย่างนี้ ธรรมะที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใดนี่กลับไม่สนใจ สนใจแต่ความสนุกสนานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตนเป็นความเพลิดเพลิน แล้วก็ชนิดที่หลอกว่าเป็นบุญ ได้เพลินเพลินได้สนุกสนาน ได้พอใจ แล้วก็เรียกกันว่าบุญ บุญอย่างนี้มันจะทำให้เมา จนกลายเป็นคนเมาบุญ บ้าบุญ มันจะยิ่งกว่าเก่านะ คือมันไม่ปกติ ขอให้สนใจคำว่า ธรรมะ ดีกว่าคำว่า บุญ คำว่าบุญ เมาได้ คำว่าธรรมะเมาไม่ได้ ไปคิดดูเถอะไปสนใจให้จริง ๆ เถอะ ธรรมะยิ่งสนใจจะยิ่งหายเมา ยิ่งสนใจยิ่งหายเมา คำว่าบุญ ยิ่งสนใจยิ่งเมา เมาบุญ เมาสวรรค์ เมาอะไรในทางให้เมาทั้งนั้น สรุปแล้วมันก็เมา กามารมณ์ นั่นแหละ ทำบุญไปสวรรค์นั่นแหละ มันเต็มไปด้วยความเมากามารมณ์ สวรรค์ควรจะถูกใช้เป็นเหมือนกับว่าเครื่องมือ สำหรับจะเบื่อกามารมณ์ และมุ่งไปนิพพาน อย่างนั้นถูกหละ สวรรค์นั้นก็เป็นความเพลิดเพลิน มีกามารมณ์เป็นความมุ่งหมาย ถ้าเมื่อได้เสวยถึงขนาดนี้แล้วก็ขอให้รู้ว่าไอ้นี่มันหลอกทั้งนั้นเว้ย ไม่เอากับมันอีกแล้ว มีจิตใจน้อมไปเพื่อนิพพาน เหนืออำนาจของกามารมณ์ ความโง่ ความหลง อย่างอื่นโดยประการทั้งปวง นี่ธรรมะทำให้จิตใจหลุดพ้นไปจากสิ่งล่อลวงผูกมัดทั้งหลาย เราต้องถึงให้ได้อย่าให้เสียชาติเกิด เมื่อธรรมชาติสร้างเรามาสำหรับให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วเรามาเหลวไหลเสียเอง มาโง่เสียเอง มาทำผิดเสียเองมันไม่ได้แล้วจะไปโทษใคร จะไปหวังพึ่งการศึกษาก็ยังเป็นหมาหางด้วนอย่างนี้อยู่เรื่อยไป คุณต้องหาเติมเอาเองในส่วนที่ด้วนอยู่ อย่าให้มันด้วนอยู่ให้มันเต็มเสีย นี่ศึกษาหาธรรมะให้เพียงพอ จะค่อย ๆ รู้ธรรมะ ค่อย ๆ มีธรรมะ ใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ รู้จักดำรงค์จิตใจไว้ในสภาวะที่ถูกต้องทั้งวันทั้งคืนไม่เกิดความทุกข์ เอาก็มาถึงว่า จิตใจนี้ต้องการความถูกต้องของธรรมะ มาช่วยหล่อเลี้ยงไว้เป็นจิตใจที่ไม่มีความทุกข์ทั้งกลางวันและกลางคืน งั้นเราจึงนิยาม ความหมายของคำว่า ธรรมะ ว่า ความถูกต้องของมนุษย์ ธรรมะคือข้อปฏิบัติเพื่อความถูกต้องของมนุษย์ เพื่อจะไม่เป็นทุกข์ทั้งกลางวันและกลางคืน และเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกว่าจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ให้อยู่เป็นสุขด้วยกันทุกคนที่มีธรรมะในโลกนี้ เหมือนกับว่ามันตั้งสหกรณ์ก็ได้ ร่วมกันอยู่ในโลกนี้ ร่วมกันประพฤติกระทำสิ่ง ๆ หนึ่งซึ่งจะได้รับผลร่วมกันคือมีความสุขทั้งกลางวันกลางคืน เรียกว่า สหกรณ์ธรรมะตามพระพุทธประสงค์ การทำอย่างนี้เป็นการทำตามพระพุทธประสงค์ ขอให้ทุกคนรู้จักพระพุทธเจ้าให้ยุติธรรมสักหน่อย อย่าเอาไว้เป็นเครื่องอ้อนวอนขอร้องในสิ่งที่ต้องการ ทางกิเลสตัณหา ให้รู้จักพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่ประสงค์จะให้ทุกคนทุกชีวิตรอดจากความทุกข์ ท่านจึงตรัสว่า ธรรมะวินัย คือศาสนานี้มีอยู่เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่ความประสงค์ของท่าน ให้ธรรมะวินัย หรือศาสนานี้มันมีอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์ความสุขทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ คือทั้งแก่คนที่สบายดีแล้วในทางวัตถุคือ พวกเทวดาและคนที่ยังไม่สบายทางวัตถุคือ พวกมนุษย์คือคนยากจนยังต้องอาบเหงื่อ รวมถึงสัตว์ในนรกด้วย สัตว์ในนรกยังทนทรมานมากและผลของความผิดพลาดทนทรมานมาก มนุษย์ก็ทนทรมานอยู่ตามสมควรเรียกว่าต้องอาบเหงื่อ และถ้าประสบความสำเร็จในการงานเป็นเทวดาแล้วก็ไม่รู้จักเหงื่อ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า เทวดาไม่รู้จักเหงื่อ ถ้าเหงื่อมันออกมาปรากฏแก่เทวดาตัวไหน เทวดาตัวนั้นจะต้องตายคือจุติ นี่คือข้อความที่เขียนไว้ในบาลี เหตุให้จุติของเทวดามีหลายอย่าง อย่างหนึ่งระบุว่า เพราะมีเหงื่อ ก็หมายความว่าทำผิดแล้ว ทำผิดแล้วจึงมีเหงื่ออกมา ได้แสดงว่าไม่ทำความถูกต้องในการมีชีวิต อย่างคนร่ำรวย มั่งมี เป็นนายทุนในบัดนี้ เขาเรียกว่าเป็นพวกไม่รู้จักเหงื่อ ลองทำผิดเหงื่อออกมาคือความล้มละลาย คือมันทำผิดในเรื่องนั้น ท่านตรัสว่าให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ก็หมายความว่าแก่คนทุกพวกในโลกในจักรวาลนี้ไม่ยกเว้นพวกไหน มันกำลังรู้จักเหงื่อก็ตาม มันกำลังไม่รู้จักเหงื่อก็ตาม ทุกคนก็ได้รับประโยชน์จากธรรมะนี้ และยังทรงตรัสในทำนองขอร้องว่า เธอทั้งหลายจงสืบอายุธรรมวินัยนี้ไว้ในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ข้อนี้แสดงว่าธรรมะนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ แต่ว่าต้องช่วยกันสืบไว้ ช่วยกันสืบไว้ให้บริษัททั้งหลาย ทั้งสี่ (4 ) ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี้ช่วยกันสืบอายุธรรมวินัยนี้ไว้ในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเราทุกคน แม้ท่านทั้งหลายผู้นั่งฟังก็รู้ไว้เถอะว่า พระพุทธเจ้าทรงพระประสงค์ว่าให้ช่วยกันสืบอายุของธรรมะหรือศาสนานี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งหมด งั้นอย่ามาคิดว่าเรามาศึกษาธรรมะนี้เพื่อประโยชน์แก่เราคนเดียว อย่างนี้มันไม่ถูกและก็ไม่ถูกตามพระพุทธประสงค์ด้วย เรามีประโยชน์คนเดียวอยู่ในโลกคนเดียว มันอยู่ไม่ได้หรอกป่วยการ ขอให้มีความถูกต้องแก่ทุกคนในโลกและทุกคนคนในโลกมีธรรมะและอยู่กันเป็นผาสุขทั้งโลก งั้นโลกนี้มันเจริญด้วยวัตถุผิดกับสมัยพุทธกาล สมัยพุทธกาลเจริญด้วยจิตใจ เจริญธรรมะก็จริงแต่ความสะดวกสบายทางวัตถุมันไม่มี พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาในสมัยที่ความเจริญทางวัตถุยังไม่ค่อยจะมี เรียกว่าท่านไม่มีรถยนต์ ท่านไม่มีเรือบิน ท่านไม่มีอะไรชนิดที่จะอำนวยความสะดวก และก็ไม่สนใจกับเรื่องทางวัตถุ พระพุทธเจ้าไม่มีรองเท้า ไม่มีมุ้ง ไม่มีช้อนส้อม ไม่มีอะไรเหล่านี้ ท่านไม่สนใจกับเรื่องทางวัตถุเลย ทั้งพุทธกาลแม้จะรู้จักทำส้วมซึมใช้ก็ไม่มี มีแต่ส้วมธรรมชาติธรรมดาที่เหม็นอู้ไปหมด เพราะมันไม่เจริญก้าวหน้าทางวัตถุ เดี๋ยวนี้ในโลกนี้มันเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ คุณก็ดูเอาเอง การกินการอยู่ การอาบ การถ่ายการแต่งตัว การรักษาโรค มันวิเศษเจริญ การบำรุงบำเรอก็มี เครื่องบันเทิง เครื่องประเล้าประโลมใจเหลือประมาณ เรื่องยานพาหนะก็เหลือประมาณ อย่าว่าจะไปกันแต่ในโลกเลยนอกโลกก็ไปได้ ยังกะจะไปโลกอื่นกันอยู่แล้ว เขาออกจากเชียงใหม่ตอนเช้ามาฉันเพลที่นี่ การคมนาคมเป็นอย่างนี้ เรียกว่าทางวัตถุมันเจริญเหลือประมาณ แต่ทางจิตใจเสื่อมลง ๆ ไม่เหมือนครั้งพุทธกาล ครั้งพุทธกาลพูดสรุปความว่าเจริญด้วยอารยธรรมทางจิตใจ อารยธรรมทางจิตใจ หรือวัฒนธรรมทางจิตใจ มี civilization มี culture มีอะไรทางจิตใจ เป็นยุคเจริญทางจิตใจ พอมาถึงยุคนี้ไม่มีทางจิตใจแต่มีในทางวัตถุ มีอารยะธรรมทางวัตถุ ที่นี้มันก็ไม่มีความรู้ที่จะควบคุมสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้มันก็หลอกก็หลอนให้คนในโลกมัวเมาในรสอร่อยทางวัตถุ มันก็เกิดความเห็นแก่ตัว แล้วมันก็อิจฉาริษยาผู้อื่นขึ้นมาทันที ระวังให้ดีความอร่อยในอะไรมันจะทำให้อิจฉาริษยาผู้อื่นในเรื่องนั้น คุณๆ รู้สึกไว้เถอะว่าอร่อยในสิ่งใดสิ่งนั้นจะเป็นมูลเหตุให้อิจฉาริษยาผู้อื่นในเรื่องนั้นเพราะความอิจฉาริษยาเกิดขึ้นแล้วไม่ต้องสงสัย คือความวินาศ ความริษยาคือสิ่งที่ทำโลกให้วินาศ บาลีก็มีว่า อะระติโลกะนาสิกา ความริษยาทำโลกให้ฉิบหาย ซึ่งเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ที่เขาอิจฉาริษยากันไม่ยอมกันเขาก็รบกันไปเรื่อย รบกันไปเรื่อย ไม่เอออวยกันได้เพราะความอิจฉาริษยา ความเห็นแก่ตัว ยังต้องรบกันต่อไปและบางทีจะต้องรบกันถึงขนาดสูงสุด ว่าตายกันทีเดียวครึ่งโลก หรือหมดทั้งโลกก็ไม่แน่ เพราะเขาเตรียมอาวุธไว้ในลักษณะที่ว่ากดปุ่มแก๊กเดียวมันจะส่งอาวุธไปทำลายล้างกันครึ่งโลก มันมาถึงขนาดนี้แล้ว นี้ถ้าธรรมะมาช่วยไม่ทันเวลามันก็จะเป็นอย่างนั้นจริง ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เขาคอยจ้องกันอยู่อย่างนี้ มันเกิดเผลอตัวขึ้นมาบังคับไม่อยู่ มันปล่อยอาวุธไปก่อน อีกฝ่ายโต้ตอบกลับมา โต้ตอบกลับไปโต้ตอบกลับมาคนก็ตายกันไปครึ่งโลกเป็นอย่างน้อย เอาละเป็นว่าถ้าธรรมะมา ก็คุ้มครองโลกไว้ได้ ถ้าธรรมะไม่มาโลกนี้จะต้องวินาศเพราะความอิจฉาความริษยา อันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ที่เราอิจฉาริษยากันเป็นส่วนบุคคล ความหึงความหวงส่วนบุคคล มันก็มาจากความหลงในความเอร็ดอร่อยของสิ่งนั้นจากสิ่งนั้น ความหึง หรือ ความหวง หรือความอิจฉาริษยากันส่วนบุคคลแท้ ๆ มันก็มาจากรสอร่อยที่เกิดมาจากสิ่งนั้น เพราะคนมันโง่มันหลงตกเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยนั้นซึ่งเรียกว่ากามคุณทั้งนั้นเลย จะอร่อยทางตา อร่อยทางหู อร่อยทางจมูก อร่อยทางลิ้น อร่อยทางผิวหนัง อร่อยทางจิตใจก็เรียกได้ว่ากามคุณทั้งนั้น เมื่อหลงใหลในสิ่งนั้นแล้วก็เห็นแก่ตัว เมื่อเห็นแก่ตัวแล้วก็อิจฉาริษยา ก็ทำไปตามความอิจฉาริษยาก็เป็นทุกข์กันหมด แล้วมันน่าสงสารที่ว่าไอ้, คนที่ริษยานั้นแหละเป็นคนทนทุกข์ก่อน อย่าได้ไปกล้าอิจฉาริษยาใคร เพราะอิจฉาริษยาเขาเท่านั้นแหละ คนนั้นแหละเป็นทุกข์ก่อน คนที่ถูกอิจฉาริษยายังไม่รู้เรื่องก็มี เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าใครอิจฉาเขา ๆ ก็ไม่มีทุกข์อะไร ไอ้คนที่คิดอิจฉาใครเป็นทุกข์ทันที เมื่อคิดอิจฉาริษยาเขาและก็เป็นทุกข์ตลอดไป จะริษยาสำเร็จหรือไม่สำเร็จคนนั้นก็เป็นทุกข์ตลอดไป นี่ทำตัวเองให้วินาศ ทำตัวเองให้วินาศ นี้ถ้ามันริษยาสำเร็จ ไอ้ผู้อื่นก็วินาศ ก็เลยวินาศทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรเหลือ นี่แหละอิจฉาทำให้โลกฉิบหายกันในลักษณะอย่างนี้ โลกภายในก็ตาม โลกภายนอกก็ตามมันวินาศเพราะความริษยาในลักษณะอย่างนี้ ถ้ามีธรรมะมันควบคุมความเอร็ดอร่อยได้ ไม่หลงในความเอร็ดอร่อย ถ้ามีธรรมะไม่หลงในความเอร็ดอร่อยทุกชนิด ไม่ว่าทางหู ทางตา ทางลิ้น ทางจมูก ทางกายทางใจ ไม่หลง เมื่อไม่หลงก็ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่อิจฉาริษยาใคร ก็อยู่กันด้วยมิตรภาพ ความรักเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน แก่กันและกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ธรรมะมันเป็นความถูกต้อง สำหรับให้มนุษย์อยู่กันอย่างผาสุข สมตามความหมายของคำว่ามนุษย์ ซึ่งแปลว่า ไอ้สัตว์ที่มันมีจิตใจสูง สัตว์ที่มันมีจิตใจต่ำไม่ใช่มนุษย์ แต่ว่าในร่างกายของมนุษย์มีสัตว์จิตใจต่ำก็ได้นะ พูดง่าย ๆ ว่าร่างกายเป็นคนแต่จิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีอยู่มาก ไม่ได้ร่างกายเป็นหลักอยู่ที่ว่าจิตใจมันต่ำหรือจิตใจมันสูง งั้นขอให้รีบมีธรรมะเสียเร็ว ๆ จิตใจมันจะได้สูง มันจะสมกับที่ว่าเป็นมนุษย์ สัตว์มีจิตใจสูง สูงคือเหนือความทุกข์ เหนือความเหนือเหตุให้เกิดทุกข์ เหนือน้ำท่วม ถ้ามันสูงมันก็เหนือน้ำท่วม น้ำนี่มันคือความทุกข์โดยตรง หรือเหตุให้เกิดความทุกข์ คือกิเลสโดยตรง กิเลสท่วมทับไม่ได้ความทุกข์ท่วมทับไม่ได้ จิตใจนั้นเป็นจิตใจของมนุษย์ที่ถูกต้อง ที่ว่าธรรมชาติมันได้สร้างมาดีแล้วสำหรับให้มนุษย์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ พูดกันง่าย ๆ ก็คือ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์สมบูรณ์ ไม่เป็นมนุษย์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจอยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นอย่างนี้ด้วยกันทุกคนและทุกหมู่บ้าน ทุกประเทศ และก็ทั้งโลก เป็นโลกมนุษย์ที่มีจิตใจสูงเหนือปัญหาและความทุกข์โดยประการทั้งปวง ขอให้คนแต่ละคนเป็นมนุษย์กันก่อนเถิดท่านทั้งหลายทุกคนแต่ละ ๆ คนเป็นมนุษย์กันก่อนเถิด แล้วในครอบครัวของท่านก็จะเป็นครอบครัวมนุษย์ มีจิตใจสะอาด มีจิตใจสว่าง มีจิตใจสงบ ครอบครัวนั้นเป็นครอบครัวแห่งมนุษย์ แล้วหมู่บ้านนั้นทุกครอบครัวเป็นมนุษย์ หมู่บ้านนั้นเป็นหมู่บ้านแห่งมนุษย์ ประเทศชาตินั้นก็เป็นประเทศแห่งมนุษย์ โลกนั้นก็เป็นโลกของมนุษย์ไม่ใช่โลกสัตว์นรก เราจะช่วยกันได้มากถึงอย่างนี้โดยอาศัยธรรมะเป็นเครื่องมือ ให้มนุษย์แต่ละคนได้รับประโยชน์ของการที่เกิดเป็นมนุษย์ ไม่เป็นหมัน ไม่เกิดมาไม่เป็นหมัน สิ่งต่าง ๆ คุณสมบัติต่าง ๆ ที่ธรรมชาติมอบให้มาสำหรับจะเป็นมนุษย์สูงสุดนั้นเราได้ใช้กันอย่างถูกต้องแล้ว และก็ได้เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์โดยแท้จริง นี่ขึ้นอยู่กับธรรมะถ้ามีธรรมะก็ทำได้อย่างนั้น ถ้าไม่มีธรรมะก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดได้เลยว่าธรรมะเป็นของคู่กันกับมนุษย์ พอขาดธรรมะเมื่อใดความเป็นมนุษย์มันก็ไม่มี อย่างที่เราชอบพูดกันว่าคู่ชีวิตของมนุษย์นั้นก็คือธรรมะ พอไม่มีธรรมะก็ไม่เป็นมนุษย์ พอมีธรรมะก็เป็นมนุษย์ ชีวิตนั้นก็เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุดเพราะว่ามีธรรมะ จงเอาธรรมะเป็นคู่ชีวิตเถิด แม้คู่ชีวิตผัวเมีย เป็นต้นก็ต้องมีธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมะแล้วคู่ผัวเมียก็จะเป็นสัตว์ที่กัดกันตลอดเวลา เพราะไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะแล้วก็เป็นคู่ผัวเมียที่มีธรรมะก็อยู่กันอย่างมนุษย์ สร้างสรรค์ความเป็นมนุษย์และเป็นเพื่อนเดินทางไปนิพพานด้วยกันเร็ว ๆ นี่มันมีธรรมะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตทุกรูปแบบทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่คลอดจากท้องแม่เติบโตไปจนกว่าจะตายเข้าโลง ต้องมีธรรมะทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ต้องมีธรรมะทุกชนิดแห่งการงาน ไม่ว่าจะทำการงานชนิดไหน จนพูดได้ว่านับตั้งแต่คนขอทานไปถึงมหาจักรพรรดิแหละ เป็นขอทานอยู่ เป็นกรรมกร อยู่ เป็นคนเหน็ดเหนื่อยอยู่ เป็นพ่อค้า เป็นชาวนา เป็นอะไรแม้กระทั่งเป็นผู้ปกครอง เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นกษัตริย์ กระทั่งเป็นมหาจักรพรรดิทุกชนิดของการงานต้องประกอบไปด้วยธรรมะตามสมควรแก่การงานนั้น ๆ แล้วมันก็เลื่อนชั้นไปทุกที ๆ เป็นขอทานต้องมีธรรมะของคนขอทาน เป็นกรรมกรก็ต้องมีธรรมะของกรรมกร ชาวไร่ชาวนามีธรรมะของกสิกร พ่อค้ามีธรรมะของพ่อค้า ข้าราชการมีธรรมะของข้าราชการ นักปกครอง นักการเมือง เป็นต้น ก็มีธรรมะของนักปกครอง นักการเมือง เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นมหาจักรพรรดิ ก็ต้องมีธรรมะ พอขาดธรรมะนั้นมหาจักรพรรดิก็จะหล่นปักหัวลงในนรกเหมือนกันไม่ต้องสงสัย ขอให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะอย่างนี้ก็จะไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท ทุกเรื่องมันไปรวมอยู่ที่จิตใจ ดำรงค์จิตใจถูกต้อง ควบคุมจิตใจถูกต้อง นั้นแหละก็จะมีธรรมะได้ตามสัดส่วนหรือตามความสามารถของแต่ละคนๆ เรื่องดำรงค์จิตใจอย่างไรนั้นเป็นเรื่องใหญ่ยืดยาวไม่อาจจะมาพูดในเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่นาทีนี้แล้ว เลยไม่พูดเอาไว้พูดคราวหลังจะบอกให้รู้ก่อนว่าทุกอย่างมันรวมอยู่ที่จิตใจ ความผิดความถูกรวมอยู่ที่จิตใจ ความสุขความทุกข์รวมอยู่ที่จิตใจ ร่างกายนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจ ตัวชีวิตก็ขึ้นอยู่กับจิตใจที่มันถูกต้อง จิตใจที่มันถูกต้องแล้วมันก็จะดีหมด ชีวิต ร่างกาย จิตใจ ความรู้สึกสุขทุกข์ การเป็นการอยู่ทุกอย่างมันก็จะถูกต้อง มีลักษณะแห่งความเป็นมนุษย์ที่เป็นมนุษย์ในระดับสูงสุด ขอให้ท่านทั้งหลายมองเห็นธรรมะและมุ่งหมายที่จะมีธรรมะเป็นเครื่องดำรงค์ตนในฐานะเป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธองค์ก็ทรงเคารพ เป็นพระเป็นเณรทั้งที ถ้าไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเคารพธรรมะแล้วเป็นคนโง่ที่สุด เป็นพระเป็นเณรที่โง่ที่สุด ถ้าไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพธรรมะ ข้อนี้พระองค์ตรัสเองเมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ ๆ พอตรัสรู้แล้วก็ตั้งปัญหาขึ้นมา เป็นปัญหาเกิดขึ้นมา ปริวิตกว่า เอ๊ะเป็นผู้ตรัสรู้สมบูรณ์แล้วจะเคารพอะไร เพราะว่าอยู่โดยไม่มีที่เคารพนั้นไม่สมควร ท่านทบทวนไปมา ทบทวนไปมา อ้าวต้องเคารพธรรมะที่ตรัสรู้นั่นแหละ ธรรมะที่ตรัสรู้ มันตรัสรู้เรื่องที่ประเสริฐที่สุดที่ดับทุกข์ของมนุษย์ได้ หรือที่เป็นพุทธเจ้าขึ้นมาก็เพราะธรรมะนั้น ดังนั้นพระองค์จึงทรงเคารพธรรมะนั้นแล้วก็ประกาศเป็นอุทาน ฟังเองพูดเอง ว่าพระพุทธเจ้าในอดีตก็เคารพธรรมะ พระพุทธเจ้าในอนาคตก็เคารพธรรมะ ดังนั้นแม้พระพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ก็เคารพธรรมะ เอาธรรมะเป็นสิ่งสูงสุดเหนือสิ่งใด ธรรมะคือเรื่องธรรมชาติ ธรรมะคือเรื่องกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือเรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือเรื่องผลอันเกิดหน้าที่ นั่นคือตัวธรรมะเป็นหลักเกณฑ์ของธรรมชาติที่ทุกคนจะต้องเคารพแม้แต่พระพุทธเจ้า ที่นี่พระองค์ยังตรัสต่อไปที่ควรจะสนใจเนื่องกันไปว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตถาคต ธรรมะคือตถาคต ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรมะ จะเห็นแต่ร่างกายนี้จับฉวยอยู่นี้ไม่ชื่อว่าเห็นตถาคต ต่อเมื่อเห็นธรรมะจึงชื่อว่าเห็นตถาคต แม้ลับหลังก็ได้ แม้จะยาวนานมาถึงบัดนี้ สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ถ้าเห็นธรรมะก็คือเห็นองค์ตถาคตไม่เสียเปรียบคนที่เกิดเมื่อครั้งพุทธกาลเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้ากลางถนนอยู่มันก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าอย่างนี้ก็มี นั้นจะรู้จักพระพุทธเจ้าโดยร่างกายนั้นเป็นไปไม่ได้ นี่ก็รู้จักพระพุทธเจ้าโดยธรรมะ เห็นธรรมะคือเห็นตถาคต เห็นตถาคตคือเห็นธรรมะ เรียกว่าร่างกายของพระธรรม ธรรมกาย พรหมกาย นี่เป็นชื่อของตถาคต พอเห็นธรรมะในลักษณะครบถ้วนก็เรียกว่าเห็นตถาคต เรื่องธรรมะมีอย่างนี้ จึงขอให้กำหนดกันไว้ทีหนึ่งก่อนว่าธรรมะนั้นเกิดกลางดิน เดี๋ยวนี้มานั่งกลางดินเป็นที่เกิดของธรรมะถ้าไม่เกิดธรรมะก็เป็นความผิดของเราเองจะไปโทษธรรมะไม่ได้ ธรรมะเกิดกลางดินเราก็มานั่งกลางดินแล้วถ้ายังไม่เกิดธรรมะอีกมันก็เป็นความผิดบาปของเราเอง ให้สนใจกันเสียใหม่ชอบนั่งกลางดิน วินิจพิจารณาสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริงแล้วก็จะเห็นธรรมะ ให้ธรรมะเป็นเครื่องมือสำหรับทำให้ความมนุษย์ของเราได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มิฉะนั้นก็ต้องเรียกว่าเสียชาติเกิด ไม่ต้องมีใครมาด่า ๆ ตัวเองก็แล้วกัน เมื่อไม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับก็เรียกว่ามันเสียชาติเกิดก็ด่าตัวเองได้ ธรรมะคือความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นมาได้ ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการตั้งแต่คลอดจากท้องแม่ จนกว่าจะตายเข้าโลงทุกชนิดหน้าที่การงานนับตั้งแต่คนขอทาน จนไปถึงมหาจักรพรรดิแต่ละพวก ๆ ต้องมีธรรมะเหมาะสมกับสถานะแห่งตน ๆ เรามีธรรมะแล้วก็จะเกิดความเข้าใจถูกต้อง จะรักเพื่อนมนุษย์ว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ยกเว้นผู้ใดจึงไม่มีความเห็นแก่ตน เมื่อไม่เห็นแก่ตนก็อิจฉาริษยาใครไม่ได้ มันยอมรับทุกคนว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มันก็ช่วยกันสุดความสามารถที่จะให้แต่ละคนนั้นเป็นอยู่โดยธรรมะ สงบเย็นอยู่โดยธรรมะมีชีวิตชนิดที่เย็น สมกับที่เป็นมนุษย์มีจิตใจสูง กิเลสท่วมทับไม่ได้ มันไม่มีความร้อนแล้วมันก็ต้องเย็น ถ้าใครยังมีความร้อนก็คือไม่มีธรรมะ ไม่ได้รับประโยชน์จากความเป็นพุทธบริษัท หวังว่าท่านผู้ฟังทั้งหลายคงจะได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน ผมไม่ได้พูดอวดดี หรือจะให้อวดดีหน่อยก็ได้ ก็อวดว่าผมได้พูดในสิ่งที่พวกคุณไม่เคยได้ยินไม่มากก็น้อยละ อวดดีจะอวดอย่างนี้ ผมก็ได้พูดเพิ่มเติมสิ่งที่คุณไม่ได้ยิน แล้วก็จะอวดต่อไปว่าคำพูดเหล่านี้เอาไปใช้เป็นประโยชน์เถิด มันจะมีลักษณะเหมือนต่อหางสุนัขที่มันยังด้วนอยู่ให้มันเต็ม เรื่องมันก็จะจบเพราะมันมีความเต็ม มันสมบูรณ์ บุคคลที่เต็มแห่งความเป็นมนุษย์เขาเรียกว่า พระอรหันต์ ในบาลีก็มีเรียกแต่ไม่เอามาพูดกัน เรียกกันว่า เกพะลี เกพะลี มีความเต็ม พวกฝรั่งเสียอีกจะรู้ดีกว่าเราเพราะเขาแปลคำว่าอรหันต์ พระอรหันต์ว่า underman perfected คือมนุษย์ที่เต็มแล้ว เขารู้ว่าพระอรหันต์คือความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะว่ามีธรรมะเต็มตามที่ควรจะมี ขอให้สิ่งนี้เป็นจุดหมายปลายทาง เป็นเป้าหมายแล้วเราก็เดินไปตามนั้น ขอให้ท่านสำเร็จประโยชน์ในการเดินไปตามทางนั้นแล้ว มีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเถิด ขอยุติการบรรยายในวันนี้ หาเพื่อนนำไปเที่ยวทั่ว ๆ ศึกษารูปภาพในตึกนั้นให้มากที่สุดคิดเองดีกว่าให้เขาอธิบายรู้ธรรมะหมดในตึกหมดก็หมดละ ผมยืนยันว่าหมด เพราะมันมีเรื่องสุญญตา อนัตตา อยู่อย่างเต็มที่ เรื่องหนวดเต่าเขากระต่ายไปศึกษาให้ดีเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ฝีมือชั้นเลิศ ๆ ของบรรพบุรุษแห่งประเทศไทย ซึ่งฝรั่งก็ยังทำไม่ได้ อย่าไปเป็นขี้ข้าปัญญาของฝรั่งนักเลย เรามีอะไรที่ดีการระบายความคิดออกมาเป็นรูปภาพ เรื่องนวดเต่าเขากระต่ายนี้เอาไปโชว์ได้ทั่วโลก แต่ไม่มีเงินทุนจะพิมพ์ไปโชว์ทั่วโลก ขอนิมนต์ ปิดประชุม