แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
จุดธูปเทียนนะครับ โปรดทราบ พี่น้องพุทธบริษัททั้งหลาย ขอเรียนเชิญทราบไว้ก่อน ขณะนี้ กำลังจุดธูปเทียนอยู่นะครับ อ้า, พี่น้องพุทธบริษัททั้งหลาย ขณะนี้ก็ประธานจุดธูปเทียน เสร็จแล้ว นะครับ ผมขอเชิญทุก ๆ คน กราบพระ เพื่อบูชาพระรัตนตรัยนะครับ
ณ บัดนี้ อาตมภาพจะได้วิสัชนา อรหันตานุสติปถา (นาทีที่ 15.04) เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อ วิริยะ ความพากเพียร ของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงาม ก้าวหน้า ในทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา ผู้เป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลง ด้วยเวลา
ธรรมเทศนา ในวันนี้ หะ (นาทีที่ 15.44) ปรารภมาฆบูชา ดังที่ท่านทั้งหลาย ก็ทราบได้เป็นอย่าง
ดีอยู่แล้ว ธรรมเทศนาในวันเช่นนี้ ควรจะเป็นธรรมเทศนา ปรารภเรื่อง ของพระอรหันต์ อ่ะ, เพราะว่าเป็น วันที่พระอรหันต์ ประชุมกันในลักษณะที่ คณะสงฆ์ดำรงลง เป็นปึกแผ่นในโลกนี้ เรียกว่า พระอรหันต์ มาประชุมกัน มีพระพุทธองค์เป็นประมุข ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเป็นเหมือนกับการประกาศหลัก อ้า, พื้นฐานแห่งพระพุทธศาสนา สำหรับพระสงฆ์ทั้งหลาย จะได้ถือไว้ เป็นปฏิปทาโดยทั่วไป
วันนี้ อยากจะให้ชื่อของธรรมเทศนานี้ ในภาษาไทย ๆ ว่า เรื่อง พระอรหันต์อย่าลืม ข้อนี้ หมายความว่า พระอรหันต์เป็นบุคคลที่ใคร ๆ ไม่ควรลืม แต่เราก็ไม่รู้จัก อย่าว่าถึงจะลืม รู้จักก็ไม่รู้จัก เป็นพุทธบริษัท ยังรู้จักเรื่องของพระอรหันต์น้อยเกินไป บางทีบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายาย ในกาลก่อน จะรู้จัก มากกว่าพวกเราในบัดนี้ก็ได้ เพราะว่าคนแต่ก่อนนั้น จะตักเตือนคนที่กำลังจะตาย อยู่ข้างหูว่า พระอรหัง อย่าลืม พระอรหังอย่าลืม พระอรหังกับพระอรหันต์นั้น เป็นคำ ๆ เดียวกัน เตือนว่า อย่าลืมพระอรหันต์ นั่นเอง ถ้าเขาไม่รู้เรื่องของพระอรหันต์อยู่บ้างแล้ว เขาก็คงฟังไม่ออก ว่าอย่าลืมอะไรกัน
เดี๋ยวนี้ คนเหล่านั้นโดยทั่ว ๆ ไป รู้จักเรื่องของพระอรหันต์ เพียงแต่เตือนคำสั้น ๆ ว่า อย่าลืม อย่าลืม มันก็พอแล้ว เดี๋ยวนี้กลัวจะไม่เป็นอย่างนั้น คือ ไม่รู้ว่าพระอรหันต์นั้นคืออะไร อย่างไร เตือนว่า อย่าลืม ก็ไม่รู้ว่า อย่าลืมกันอย่างไร อาตมามีความข้องใจในข้อนี้ จึงเอามาพูดมากล่าว และเพื่อช่วยให้ พุทธบริษัทเรา รู้เรื่องของพระอรหันต์ ซึ่งเป็นใจความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีพระอรหันต์ ก็เท่ากับไม่มีพระพุทธศาสนา
อ่ะ, พระอรหันต์ คำนี้มี ความหมายสูงสุดสำหรับมนุษย์ แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ทั้งหลายทั่วไป ที่ประชุมกันในวันนี้ ๑,๒๕๐ รูป ก็เป็นพระอรหันต์ และถือว่าเป็นบุคคล สูงสุด ไม่มีบุคคลประเภทใดจะสูงสุด ไปกว่าบุคคลประเภทนี้ ขอเตือนว่า พระอรหันต์อย่าลืม แม้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอไว้เตือนกันต่อเมื่อจะตาย ต่อเมื่อจะตายจะเตือนกันก็ตามใจ แต่เดี๋ยวนี้อยากจะพูดว่า แม้เดี๋ยวนี้ เวลานี้ ที่นี่แหละ ก็อย่าลืม และต้องจำไว้พิเศษ ประพฤติปฏิบัติให้ดี จนกระทั่งว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ลืมพระอรหันต์ ถ้าพลั้งปากออกมาได้ว่า พระอรหันต์ เมื่อมีอันตราย ก็จะเป็นการดีที่สุด
เดี๋ยวนี้เมื่อมี อันตรายพรวดพราดเข้ามา คนพลั้งปากเป็นอย่างอื่น แสดงความโง่ แสดงความไม่รู้ แสดงความต่ำทรามแห่งจิตใจอยู่เป็นอันมาก เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องของพระอรหันต์ คุณธรรมของ พระอรหันต์ ไม่เป็นที่แจ่มแจ้งแก่จิตใจของเขา ไม่ซึมซาบอยู่ในจิตใจของเขา เขาจึงพลั้งปากออกเป็น เรื่องอะไรก็ไม่รู้ อาตมาคิดว่า ถ้าเป็นพุทธบริษัทจริง คงจะพลั้งปากออกมาว่า พระอรหันต์ช่วย พระอรหันต์ช่วยด้วย ทำนองนี้จะดีกว่า พลอย (นาทีที่ 20.52) จะพลั้งปากออกมา แสดงถ้อยคำชนิดที่ไม่ ประสีประสา ต่อเรื่องของพระอรหันต์ซะเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีอันตรายทางจิตใจเกิดขึ้น เช่น เมื่อกำลังเกิด ผัสสะ ทางตา หู จมูก
ลิ้น กาย ใจ แล้ว ตอนนั้นแหละ คือ ตอนที่ไม่ควรจะลืม พระอรหันต์เป็นอย่างยิ่ง ตาได้เห็นรูป เกิดจักษุวิญญาณ เป็นผัสสะขึ้นมาแล้ว ควรจะระลึกนึกถึง พระอรหันต์ว่า ท่านเป็นอย่างไร
ท่านทำอย่างไร ถ้าเราไปถามท่าน ท่านจะสอนว่าอย่างไร ก็คือ สอนว่าอย่าโง่ อ่า, ต่อสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ อย่าให้ผัสสะ มาปรุงเป็นเวทนาที่โง่ สำหรับเอาไปเป็น อ่ะ, อารมณ์ของตัณหา อ้า, ของอุปาทาน
นี่พระอรหันต์อย่าลืม อย่าลืมพระอรหันต์ พระอรหันต์อย่าลืม อยู่ตลอดเวลา แล้วคนเราก็จะไม่มี ปัญหา จะไม่เกิดทุกข์โทษชนิดไหน แต่ประการใด พระอรหันต์จะคุ้มครองโดยแท้จริง ดีกว่าแขวน พระเครื่องห้อยคอพอเป็นพิธี ไว้ยกแก้วเหล้าข้ามหัว เมื่อดื่มให้พรกัน ท่านทั้งหลาย ผู้ใดกระทำอย่างนี้ กระทำอยู่อย่างนี้ ก็ขอได้ช่วยเอาไปพิจารณาด้วย ขอเอาคุณอ่า, ของพระอรหันต์มาใส่ไว้ในใจ เพื่อจะไม่ลืม แล้วก็ไม่ลืมจริง ๆ ด้วย แล้วก็จะช่วยคุ้มครอง ยิ่งกว่าพระเครื่องที่เอามาแขวนคอ สำหรับไว้ชูแก้วเหล้า ข้ามหัว เมื่อให้พรกัน อันมีเกียรติ นี่ขอให้อย่าลืมพระอรหันต์กัน ในลักษณะเช่นนี้
เมื่อได้พูดถึงพระอรหันต์ ก็จะได้พูดกันให้ชัดเจนลงไป เออ, เกี่ยวกับคำว่า พระอรหันต์นั้นคือใคร ขอให้ตั้งหัวข้อสั้น ๆ ว่า พระอรหันต์นั้น เป็นยอดสุดของมนุษย์ มีชีวิตที่รุ่งเรือง ด้วยปัญญา เป็นมนุษย์ ที่เต็ม เป็นมนุษย์ที่เต็ม มีความเต็มเปี่ยม แห่งความเป็นมนุษย์ และก็เป็นมนุษย์เย็น คือ ไม่ร้อน อินทรีย์ ทั้งหลาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นต้นนี้ เย็น ไม่ทำให้เกิดความร้อนแก่ท่าน ได้อีกต่อไป
เวทนาทั้งหลาย ก็จะเป็นของเย็น เมื่ออินทรีย์เป็นของเย็น เวทนาที่เกิดจากอินทรีย์นั้น ๆ ก็เป็น ของเย็น เวทนาก็เป็นของเย็น อินทรีย์ก็เป็นของเย็น นี่แหละ คือ พระอรหันต์ พวกเรามันเต็มไปด้วย ความร้อน เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันยังไม่ถูกควบคุม ยังไม่ถูกฝึกฝนให้ดี นี่พอ อ่า, สัมผัสมี เวทนาขึ้นมา มันก็เป็นของร้อน เป็นเวทนาร้อน ยินดีก็เป็นของร้อน ยินร้ายก็เป็นของร้อน อย่าเข้าใจว่า ยินดีนั้นจะไม่ร้อน ไอ้ยินดีหรือความรักนั่น มันก็เป็นของร้อน และเป็นของเหน็ดเหนื่อยเท่า ๆ กับความ ยินร้าย พระอรหันต์มีชีวิตที่เยือกเย็น ถ้าจะวัดความสูงต่ำก็ คือ สูงสุดของความเป็นมนุษย์ มีชีวิตที่ไม่มี ความทุกข์เลย อยากจะเปรียบเทียบว่า เหมือนกับชีวิต อ่า,ของผีเสื้อ ผีเสื้อตัวสวยแต่บินต่ำ อ่า, ต้นไม้ มีดอก อ่า, เที่ยวดูดน้ำหวานจากดอกไม้นั้น ดอกนี้ทีดอกนั้นทีอยู่ตลอดเวลา ชีวิตผีเสื้อไม่มีความทุกข์ มีความสุข มีความสนุก อยู่ตลอดเวลา
สำหรับชีวิตพระอรหันต์นั้น เอ่อ, เราจะพูดว่าไม่มีความทุกข์ แต่ท่านก็ไม่ ไม่ต้องถึงกับว่าจะหลง ในความสุข ไม่ได้หลงในความสุข เป็นชีวิตชนิดที่น่าดู เหมือนกะชีวิต อ่า, ผีเสื้อ มีความงาม มีความสุข อยู่ในการงาน มนุษย์เรามีการงานชนิดที่ไม่รู้สึกกันว่าเป็นสุข ถ้าชีวิตของผีเสื้อมันมีชีวิต ที่แสดงให้เห็นว่า เป็นสุขอยู่ตลอดเวลา แม้เมื่อทำการงาน นี้จะเป็นอุปมา อ่า, หรือพอจะอุปมากันได้ กับว่าชีวิตของ พระอรหันต์ ท่านมีความสุขตลอดเวลา นั่งพักอยู่ก็มีความสุข ทำงานช่วยเหลือสัตว์โลกก็มีความสุข ก็มี เออ, ไม่มีความทุกข์นั่นเอง เอากันแต่ว่า ไม่มีความทุกข์
ถ้าจะดูกันอีกทางหนึ่ง พระอรหันต์ เป็นผู้ถึงซึ่งตถา ตถา แปลว่า ความเป็นเช่นนั้นเอง คือ ความเป็นเช่นนั้นเอง ของธรรมชาติ ท่านถึงด้วยความรู้ ความเป็นเช่นนั้นเอง และก็ปฏิบัติความเป็น เช่นนั้นเอง ก็ไม่เกิดสะดุ้งสะเทือน หวั่นไหว เปลี่ยนแปลง ไปตามอารมณ์ที่มากระทบ ก็ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย อ่า, พระอรหันต์นี่ ถึงซึ่งไกวัลยธรรม(นาทีที่ 26.55) เป็นคำแปลกอีกคำหนึ่ง ซึ่งเรา ไม่ค่อยจะได้ยิน คือ ถึงสิ่งทั้งหมดทั้งปวง ไม่ยกเว้นอะไร คำว่า ไกวัลยะ(นาทีที่ 27.11) เนี่ย หมายความว่า สิ่งทั้งปวงทั้งสิ้น ทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ยกเว้นอะไร ท่านถึงสิ่งทั้งปวง คือ ท่านรู้เรื่องนี้ จนไม่มีอะไร แปลก ไม่มีอะไรที่จะปรุงแต่ง จิตใจของท่านได้ หรือจะพูดอีกสำนวนหนึ่งก็ว่า พระอรหันต์นั้น ท่านมี ปริญญา หรือถึงซึ่งปริญญา ตามพระพุทธภาษิตที่ว่า ปริญญา มีอยู่ ๓ อย่าง คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ หนึ่ง อ่า, ความสิ้นไปแห่ง โทสะหนึ่ง อ่า, ความสิ้นไปแห่งโมหะหนึ่ง ๓ อย่างนี้เรียกว่า ปริญญา
ช่วยกันพิจารณาดูด้วยว่า กับปริญญาที่เขาพูดถึงกันอยู่ในโลกนี้ เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วได้ ปริญญานั้นน่ะ มันมันมีอะไร มันหมายความว่าอย่างไร แต่ในพุทธศาสนา โดยพระพุทธภาษิต คำว่า ปริญญา หมายถึง ความสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะ ควรจะเรียก พระอรหันต์ว่า ผู้มีปริญญาได้หรือไม่ ปริญญาในโลกนี้ มีกี่ปริญญา มันก็ล้วนแต่ ทำความยุ่งยากลำบาก ปริญญายาวเป็นหาง ก็โกงยาวเป็นหาง เหมือนกัน ไปนอนอยู่ในตะรางก็ได้ ปริญญาของชาวบ้านสมัยนี้ ถ้าเป็นปริญญา อย่างของพระอรหันต์ ปริญญา คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ อ่า, ความสิ้นไปแห่งโมหะ นั่นแหละ จะเห็น ได้ว่า ควรจะเรียกว่า เป็นปริญญาจริง ๆ ปริญญา คือ รอบรู้หรือรู้รอบ ปริ แปลว่า รอบ ญา แปลว่า รู้ ปริ อ่า, รู้รอบรอบรู้ ปริญญา ในสิ่งที่ควรจะรู้ พระอรหันต์ท่านรู้รอบ ในสิ่งที่ควรจะรู้ จึงควรเรียก ท่านว่า ปริญญา ไอ้สิ่งสูงสุดที่ควรจะรู้ ก็คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ สิ้นไปแห่งโทสะ สิ้นไปแห่งโมหะ ท่านรู้สิ่งนี้ เราควรจะเรียกว่า ท่านมีปริญญา
คนในโลกสมัยนี้ มีปริญญาสำหรับจะบูชากิเลส พระอรหันต์มีปริญญา สำหรับจะเข่นฆ่าซึ่งกิเลส เปรียบดูเถิด อ่า, มันต่างกันอย่างไร คุณบทของพระอรหันต์ ยังมีอีก เช่น คำว่า ฏาที (นาทีที่ 29.46) แปลว่า ผู้คงที่ไม่หวั่นไหวเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุปัจจัยอะไร ไม่มีเหตุปัจจัยอะไร จะมาปรุงแต่งจิตใจ ให้หวั่นไหวได้ ให้เปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นจึงชื่อว่า ฏาที (นาทีที่ 30.04) อ่ะ, แปลว่า ผู้คงที่ พระอรหันต์มีชื่อ อย่างหนึ่งว่า อะทะสี (นาทีที่ 30.12) ไม่มีเงื่อนต่อ สำหรับเวียนว่ายอีกต่อไป เหมือนกับว่าช่างทอหูก เมื่อทอหูกเสร็จไป เรื่องหนึ่งแล้ว เขาก็มีเงื่อนเหลือไว้สำหรับต่อด้ายใหม่ สำหรับทอหูกชุดใหม่อีกต่อไป เพราะเขาเหลือ เงื่อนไว้ เขาจึงทอหูกได้เรื่อย เขาเรียกว่า มีด้ายเชิงชาย ส่วนพระอรหันต์เป็นอะทะสี (นาทีที่ 30.45) ไม่มีด้ายเชิงชายเหลือไว้ สำหรับจะต่อด้ายและจะได้ทอหูกกันต่อไป เพราะว่าท่านไม่ทอหูกอีกต่อไป เรียกว่า อะทะสี (นาทีที่ 30.56)ไม่มีด้ายเชิงชาย
อ่า, พระอรหันต์มีชื่อเรียกว่า เกพลี(นาทีที่ 31.07) มีสิ่งทั้งปวง เกพลีมีทุกสิ่ง มีครบถ้วนอยู่ คุณธรรมใด ๆ อ่า, ที่พึงปรารถนา เป็นสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งควรบูชา ก็มีอยู่อย่างครบถ้วนในท่าน จึงเรียกว่า เป็นผู้มีทุกสิ่งที่ควรจะมี ไม่ได้มีสำหรับจะยึดถือ แต่ว่ามี เออ, สำหรับที่จะมีเพื่อไม่มีความทุกข์ อ่า, พระอรหันต์มีคุณบทอีกอย่างหนึ่ง ว่า อตัมเยโต (นาทีที่ 31.39) ไม่สำเร็จมาจากสิ่งนั้น น่ะสิ่งนั้น คือ สิ่งที่ทำให้มนุษย์เวียนว่ายตายเกิด สิ่งนั้นคือ สิ่งที่ปรุงแต่งให้เป็นมนุษย์ขึ้นมา ทั้งโดยทางร่างกาย และโดยทางจิตใจ ว่าตัวกู ว่าของกู สิ่งนั้นมันปรุงแต่งให้เกิด เออ, ผลอย่างนี้ คือ เป็นตัวตนขึ้นมา ทั้งทางฝ่ายวัตถุและทางฝ่ายจิตใจ พระอรหันต์เป็นผู้ที่ไม่สำเร็จมาจากสิ่งนั้นอีกต่อไป ได้ละขาดเสียแล้ว ซึ่งสิ่งนั้น อย่างนี้ก็มี หมายความว่า ไม่มีสิ่งนั้นที่ปรุงแต่งสัตว์ทั้งหลายนั้น มาปรุงแต่งท่านได้อีกต่อไป
อ่า, พระอรหันต์มีชื่อว่า ตถาคโต (นาทีที่ 32.31) ถึงแล้วซึ่งตถา ตถา คือ ธรรมะที่คงที่ ธรรมะที่ ไม่เปลี่ยนแปลง พระอรหันต์มีนามว่า ตถาคโต (นาทีที่ 32.44) แต่เราไม่ค่อยได้เรียนกัน เอ่อ, ในในตำรา เรียนธรรมดานี้ ไม่ค่อยมีที่จะชี้ให้เห็นว่า คำว่า ตถาคโต (นาทีที่ 32.53) นั้นหมายถึง พระอรหันต์ แม้พระพุทธเจ้าที่ได้ชื่อว่า ตถาคต ก็มีความหมายเดียวกันกับพระอรหันต์ เพราะว่าพระพุทธเจ้า ก็เป็น พระอรหันต์ดังกล่าวแล้ว ต่างกันแต่ว่า ท่านเป็นจอมของพระอรหันต์ อ่า, พระอรหันต์ที่เป็นทั่วไปก็ดี เป็นจอมโจกก็ดี ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์เสมอกัน เพราะในความหมายว่า ถึงแล้วซึ่งตถา ตถา แปลว่า อ่า, ความเป็นเช่นนั้น คือ ไม่อาจจะเป็นอย่างอื่น เช่น อริยสัจ ๔ พระพุทธเจ้าตรัส เรียกว่า ตถา ๔ อย่าง นี้ก็มี มันเป็นความจริง ที่ตายตัวอย่างนั้น ไม่อาจจะเป็นอย่างอื่นได้ อ่า, ความเป็นเช่นนั้น ในทุก ๆ ลักษณะนี้ พระอรหันต์เป็นผู้ถึงแล้ว รวบผู้ใดถึงแล้ว ซึ่งความเป็นเช่นนั้น คนนั้นเป็นพระอรหันต์
นี่แหละ ขอให้รู้จักบุคคลที่สม สมมุติเรียกกันว่า พระอรหันต์ในลักษณะอย่างนี้เถิด แล้วท่าน ทั้งหลาย ก็จะมองเห็นได้เอง ว่าท่านเป็นอย่างไร ท่านเป็นมนุษย์เย็น มนุษย์เต็มเปี่ยม มนุษย์ที่ไม่รู้จัก กับความทุกข์อย่างไร แล้วมันสมควรหรือไม่ ที่เราจะถือเอาเป็นที่พึ่ง เป็นที่ระลึกถึง ในบทที่ว่า พระอรหัง หรือพระอรหันต์อย่าลืม อย่าลืมพระอรหันต์ อ่า, เขา ๆ เขาเตือนกัน แต่คนที่ใกล้จะตาย แต่เดี่ยว เดี๋ยวนี้ อาตมาขอร้องว่า เตือนทุกคน เตือนทุกเวลา เตือนทุกสถานที่ แม้ท่านทั้งหลาย ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ ทุกคนเลย อาตมาก็กำลังเตือน เดี๋ยวนี้ว่า พระอรหันต์อย่าลืม อย่าลืมพระอรหันต์ ถ้าลืมพระอรหันต์เมื่อไร พระยามารหรือกิเลส จะยึดครองจิตใจของท่านเมื่อนั้น เหมือนกับว่า ไม่มีเครื่องป้องกันอารักขา โจรอัน เลวร้ายทารุณ ก็จะเข้ามายึดครอง นี่ เราอย่าลืมพระอรหันต์ จะได้เป็นเสมือนเครื่องคุ้มครองป้องกัน
นี่แหละ วันนี้ อ่า, เป็นวันพระอรหันต์ จึงไม่ควรจะลืม จะได้พูดกันต่อไป ให้ละเอียดที่ว่า วันนี้เป็นวันพระอรหันต์อย่างไร นี่ ช่วยกันฟังให้ดี เพราะยังมีความกำกวมกันอยู่มาก เราจะแบ่งวัน เป็น ๓ วันคือ วันพระพุทธ วันพระธรรม วันพระสงฆ์ วันพระพุทธ คือ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานของ พระพุทธเจ้า วันพระธรรม คือ ทรงแสดงธรรม ที่เป็นประมวลแห่งธรรมทั้งปวง ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ เป็นการแสดงความทุกข์ และความดับทุกข์สิ้นเชิง ส่วนวันพระสงฆ์ คือ วันเช่นมา วันมาฆบูชานี้ เป็นวันที่พระอรหันต์ อ่า, ๑๒๕๐ องค์ ที่เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา(นาทีที่ 36.12) และเป็นผู้มีปฏิสัมภิทา คือ เป็นพระอรหันต์ชั้นเลิศ นี่ มาประชุมกัน เป็นวันพระสงฆ์ ขอให้สังเกตดูให้ดี ว่ามันมี อ่า, ข้อเท็จจริง อย่างนี้ วันพระพุทธเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าโดยตรง วันพระธรรมเกี่ยวกับพระธรรมโดยตรง วันพระสงฆ์ ก็เกี่ยวกับพระสงฆ์โดยตรง แต่ เออ, ต้นเหตุให้เกิดวันนี้ ท่านหมายถึง พระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์
ดังนี้ วันนี้ วันมาฆบูชานี้ จึงเป็นวันพระอรหันต์ ซึ่งเราพูดได้เต็มปาก เรากล่าวได้เต็มปาก เป็นวันที่ อ่า, พระพุทธองค์ ประดิษฐานคณะสงฆ์ลงในโลก อย่างเป็นปึกแผ่น แน่นหนา เหมือนกับ ประกาศพุทธอาณาจักรลงในโลก อย่างเป็นปึกแผ่นแน่นหนา อยากจะพูดให้เข้าใจ ลึกขึ้นไปว่า พระพุทธเจ้าทรงพบพระธรรม พระธรรมที่พระพุทธเจ้าเคารพ แล้วพระสงฆ์ก็ถึงซึ่งพระธรรม ข้อนี้ ต้องศึกษากันให้ละเอียดสักหน่อย จึงจะรู้เรื่องนี้ว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ คือ ตรัสรู้พระธรรม ท่านตรัสรู้ พระธรรมแล้ว พระองค์ทรงคำนึงว่า จะเคารพใคร ตรัสรู้ธรรมอย่างนี้แล้ว สมบูรณ์แล้ว อย่างนี้แล้ว จะเคารพใคร ท่านก็ค้นพบว่า เคารพธรรมที่ตรัสรู้นั่นเอง ท่านจึงเคารพพระธรรม และทรงประกาศว่า พระพุทธเจ้าทั้งในอดีต อนาคต ปัจจะ ปัจจุบัน ล้วนแต่เคารพพระธรรม
ที่นี้พระสงฆ์ได้ฟังพระธรรม อ่า, ที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อ่า, กันเป็นจุดหมาย ความเป็นพระสงฆ์นั้น สูงสุดอยู่ที่พระอร ความเป็นพระอรหันต์ จึงมีความเป็น พระอรหันต์เป็นจุดหมาย อา, คำว่าพระสงฆ์นั้น หมาย หมายถึง พระสงฆ์สูงสุด ก็คือ พระอรหันต์ อย่างที่ประชุมกัน ในวันเช่นวันนี้ ข้อนี้มีเงื่อนงำที่ให้เรา มองเห็นว่า แม้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังมีที่เคารพ สูงกว่า คือ เคารพพระธรรม อาตมาเลยเรียกว่า นี่แหละ คือ พระพุทธ พระเจ้าในพุทธศาสนา สิ่งใดที่ พระพุทธเจ้าทรงเคารพ สิ่งนั้นนั่นแหละ คือ สิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา เลยเรียกเสียใหม่ว่า พระเจ้าใน พระพุทธศาสนา อ่า, คือ พระธรรม โดยเฉพาะคือ กฎของอิทัปปัจจยตา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเคารพ เป็นสิ่งสูงสุด และนำมาสอนแก่สาวกทั้งหลาย ให้เป็นว่าในพระพุทธศาสนานี้ ก็มีสิ่งสูงสุด คำว่า พระเจ้านั้น คือ สิ่งสูงสุด
ไม่ใช่คำของพวกนอกศาสนา มันเป็นคำในภาษาไทยเรา คำว่า พระเจ้านี่ เป็นภาษาไทยเรา หมายถึง สิ่งสูงสุด ใครถือว่าอะไรเป็นสิ่งสูงสุด เขาก็ถือเอาสิ่งนั้นเป็นพระเจ้า ถ้าเขาเป็นคนบูชาเงิน เห็นว่าเงินเป็นสูงสุด เป็นสิ่งสูงสุด เขาก็บูชาเงินเป็นพระเจ้า นี่ คิดดูอย่างนี้ เถิด ถ้าใครกลัวเมีย ก็มันมีเมีย เป็นพระเจ้า ใครกลัวผัว มันก็มีผัวเป็นพระเจ้า พระเจ้านั่นคือ สิ่งสูงสุด แล้วทำไมจะไม่มี สุนัขและแมว มันยังมี แล้วคนทำไมจะไม่มี นั่นเขาพูดกล่าวหา อาตมาว่า ท่านพุทธทาส นี่ชักเลอะแล้ว ชักเลอะแล้ว โดยเอาเรื่องพระเจ้ามาพูด ในพุทธศาสนา อาตมาขอยืนยัน ที่นี่เดี๋ยวนี้ว่า ไม่เลอะ ไม่เลอะ ยังพูดจริง ยืนยันจริงอยู่เสมอ ว่ามีสิ่งสูงสุดที่ใคร ๆ จะต้องเคารพ แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง ก็ทรงเคารพสิ่งนั้น คือ พระธรรม ที่เป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติ เรียกว่า กฎแห่งอิทัปปัจจยตา
ถ้าเขาถามว่า ในพุทธศาสนา มีพระเจ้ามั๊ย ก็บอกว่า มี แต่ไม่ใช่พระเจ้าอย่างคน ๆ พระอิศวร พระนารายณ์ พระอะไร ที่มันเป็นคน ๆ นั้น ไม่ ไม่ใช่และไม่มี เรามีพระเจ้าที่เป็นกฎ กฎของธรรมชาติ มีอำนาจควบคุมอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ของสิ่งที่ประกอบกัน ขึ้นเป็นจักรวาลนี้ จักรวาลนี้ทั้งหมด
อ่า, ที่เป็นอะไรก็ตามเถอะ มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันประกอบอยู่ด้วยปรมาณู ในทุก ๆ ปรมาณู มีกฎของธรรมชาติ คือ กฎอิทัปปัจจยตาควบคุมอยู่ เรียกว่า ในทุก ๆ ปรมาณูของสิ่งที่ประกอบกันขึ้น เป็นจักรวาลนั้น มีพระเจ้า เป็นพระเจ้าควบคุมอยู่ คือ กฎของธรรมชาติ นี่ คิดดูเถอะว่า มันเล็กน้อยเท่าไร มันจริงหรือไม่จริงเท่าไร ถ้าท่านทั้งหลาย อ่า, มองเห็นความจริงข้อนี้ มันจะช่วยได้มาก คือ จะรู้ความจริง ถึงที่สุดว่า ในทุก ๆ ปรมาณู มีสิ่งซึ่งมีอำนาจและควบคุม แล้วใครบ้างที่ไม่ประกอบอยู่ด้วย ปรมาณูเหล่า นั้น คนก็ดี สัตว์ก็ดี ต้นไม้ก็ดี มันก็ประกอบอยู่ด้วย ปรมาณูเหล่านี้ ซึ่งแต่ละปรมาณู มีกฎของธรรมชาติ คือ กฎอิทัปปัจจยตาควบคุมอยู่ นี่เรียกว่า พระเจ้าสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าเคารพนั้น ควบคุมอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ของสิ่งที่ประกอบกัน ขึ้นเป็นจักรวาล
เมื่อข้าพ อาตมาพูดถึง พระเจ้าในลักษณะเช่นนี้ จะ จะเลอะหรือไม่เลอะ ก็คิดดูเอาเอง ก็เอาไป ใคร่ครวญดูเอาเอง ถ้าเห็นว่าไม่เลอะก็ขอให้มีให้ได้ ขอให้ทุกคนมีพระเจ้าที่แท้จริง ที่ควรเชื่อฟังควรเคารพ นี่ให้ได้ ก็จะไม่เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนา จะใช้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาได้จริง เดี๋ยวนี้ มาถึง วันมาฆบูชา คือ วันของพระอรหันต์ อ่า, ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงซึ่ง ตถา คือ ความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คือ กฎของธรรมชาติ ที่เรียกว่า กฎอิทัปปัจจยตา หรือจะเรียกว่า เป็นพระเจ้าสูงสุด คือ พูดให้เป็นบุคคล ภาษาคนก็ว่าพระเจ้าสูงสุด ถ้าพูดเป็นภาษาธรรมก็ว่าเป็นธรรมะ อ่า, สูงสุด ที่พระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพ พระอรหันต์เป็นผู้จบกิจ(นาทีที่ 44.06)ในเรื่องนี้ ในปัญหาที่จะรู้ ในปัญหาที่จะปฏิบัติ ที่จะดับทุกข์สิ้นเชิง ท่านก็ปฏิบัติ ได้สำเร็จ เพราะท่านรู้เรื่องนี้ คือ รู้หลักเกฑณ์ (นาทีที่ 44.18) เรื่องอิทัปปัจจยตา นำมาใช้เป็นประโยชน์ เป็นที่พึ่งได้ในทุก ๆ เวลา ทุก ๆ หน ทุก ๆ แห่ง พระอรหันต์ประชุมกันในวันนี้ หมายความ (นาทีที่ 44.32) ว่าบุคคลผู้เอาชนะความทุกข์ได้ หรือผู้สามารถใช้อิทัปปัจจยตา ให้สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุดได้
อ่า, ท่านประชุมกันในวันนี้ เรียกว่า วันมาฆบูชา ที่เรียกว่า วันโอวาทปาติิโมกข์ ก็คือ ธรรมะ นั่นเอง ธรรมะข้อสุดท้าย ที่ว่าทำจิตให้บริสุทธิ์ จากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวง ก็คือ รู้สิ่งทั้งปวงแล้ว ไม่เข้าไป เกี่ยวข้อง สิ่งใด ๆ ไม่เปิดโอกาสให้สิ่งใดปรุงแต่งได้ เราสมมุติ วันนี้ว่าเป็นวันมาฆบูชา ตามปกติจะ ตกอยู่ในวันเพ็ญเดือน ๓ นับอย่างไทย ถ้าปีใดมีอธิกมาส มันก็เลื่อนไปวันเพ็ญเดือน ๔ อย่างเช่นวันนี้ ดังนี้เป็นต้น นี้เรียกว่า วันพระอรหันต์ อ่า, พระอรหันต์เป็นอย่างไร วันที่ระลึกแต่พระอรหันต์เป็นอย่างไร ๒ ข้อนี้ ก็ได้พูดไปเสร็จสิ้นแล้ว
ที่นี้ ก็จะพูดถึง สิ่งที่เราจะปฏิบัติต่อพระอรหันต์ ขอกล่าวไว้ เป็นหัวข้อสัก ๓ หัวข้อว่า อรหันตานุสสติ (นาทีที่ 46.03) ตามระลึกถึงพระอรหันต์ อรหันตทิฏฐานุสสติ (นาทีที่ 46.10) ถือเอา พระอรหันต์เป็นตัวอย่าง อรหันตานุวัตรสติ (นาทีที่ 46.16) ปฏิบัติตามท่าน ตามพระอรหันต์ ขอทบทวน อ่า, ซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อรหันตานุสสติ (นาทีที่ 46.29) ระลึกนึกถึงพระอรหันต์ อรหันตาทิฏฐานุสสติ (นาทีที่ 46.34) ถือเอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง อรหันตานุวัตรสติ (นาทีที่ 46.40) ปฏิบัติตามพระอรหันต์ นั้นบางคนก็จะฟังออกแล้ว และเข้าใจ ว่าหมายความว่าอย่างไร แต่บางคนจะยังฟังไม่ออก ก็ต้องถือโอกาส พูดไปตามที่สมควร คือ จะให้ช่วยเข้าใจได้
จะพูดถึงข้อที่ว่า อรหันตานุสสติ (นาทีที่ 47.02) ระลึกนึกถึง พระอรหันต์ก่อน คำว่า สติ แปลว่า ระลึก ระลึกถึง คำว่า สตินี้ตัวหนังสือแท้ ๆ มันแปลว่า วิ่งไปหรือแล่นไป การที่จิตแล่นไปยังสิ่งใด นี่ เขาเรียกว่า ระลึกนึกถึงสิ่งนั้น ระลึกนึกถึง ก็คือ จิตแล่นไป เรียกว่า สติ มันไม่แล่นไปเฉย ๆ มันเอาปัญญา ความรู้ที่ถูกต้อง ที่ดับทุกข์ได้นั้น ไป ไปเผชิญกับปัญหานั้นด้วย อ่า, เช่น ตาเห็นรูป เกิดปัญหา จะเป็นความทุกข์ขึ้นมา สติก็เอาปัญญา ที่เป็นตัวธรรมะ ดับทุกข์นั้นวิ่ง ไปทัน ทันทีทันควัน ในขณะแห่ง ผัสสะ จิตนั้นก็ตั้งตัวได้ ไม่เกิดกิเลสครอบงำทำให้เป็นทุกข์ นี่ คำว่า สติ แปลว่า ความระลึกถึง คือ จิตแล่นไปโดยเร็ว ถึงธรรมะจะแก้ปัญหาได้ สามารถจะนำธรรมะนั้น มาแก้ปัญหา ที่มีอยู่เฉพาะหน้า ได้จริง อย่างนี้ เราเรียกกันว่า สติ สติ
เดี๋ยวนี้ อนุสติ เติมอนุ ก็หมาย ก็แปลว่า ตามระลึก คือ ระลึกถึงติดตาม ติดตาม ทีเดียว ระลึกนึกถึงพระอรหันต์ นี่ ระลึกกันอย่างไร มันก็มีหลายนัย หลายนัย ระลึกนึกถึงพระอรหันต์ อ้า, ตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา เราได้เคยได้ยินได้ฟัง เรื่องของพระอรหันต์อย่างไร จำไว้ได้ ก็ระลึกนึกถึง พระอรหันต์ ตามที่ได้เคยได้ยินได้ฟังมา นี่ คนที่เคยบวชเคยเรียน เรื่อง พระอรหันต์แล้ว ก็ยังคงจำได้ ก็ระลึกนึกถึงพระอรหันต์ ตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา ในการเล่าเรียน ตามธรรมดาไม่ได้ระลึกนึกถึง เพราะไปวุ่นวาย ง่วนอยู่แต่กับการงาน ไม่ได้ระลึกนึกถึงพระอรหันต์ แต่พอถ้าเกิดเหตุอันใดขึ้น ต้องระลึก นึกถึงพระอรหันต์ ให้ทันทีและทันควัน ที่เรียกว่า พระอรหันต์อย่าลืม อย่าลืมพระอรหันต์ ใครมีความรู้ เรื่อง พระอรหันต์อย่างไร ตามที่เคยได้ยินได้ฟัง ได้เล่าเรียนมา ก็ระลึกนึกถึงพระอรหันต์นี้ ก็อย่างหนึ่ง
ที่นี้อย่างหนึ่ง ก็คือ คำนวณโดยตรงกันข้าม จากปัญหาที่เรากำลังมี เรากำลังมีปัญหา คือ ความทุกข์ ความเดือดร้อน ความกระวนกระวาย ระส่ำระสายอย่างไรบ้าง อยู่ในใจ จงคำนวณในฐานะ ตรงกันข้าม ว่าถ้ามันตรงกันข้าม ไม่มีสิ่งนี้แล้ว มันจะเป็นอย่างไร จะเป็นสุขสักเท่าไร จะสบายสักเท่าไร นี่คำนวณโดย นัยตรงกันข้าม กับความทุกข์ที่กำลังทนทรมาน ที่กำลังทรมานเราอยู่ เรากำลังทนทรมาน ด้วยความทุกข์ ในความหมายไหน อย่างไร เท่าไร ที่ไหน เมื่อไรก็ตาม อ่ะ, เราคำนวณโดยลักษณะ ที่ตรงกันข้าม ว่าถ้าไม่มีความทุกข์ชนิดนี้แล้ว มันจะเป็นอย่างไร ถ้าทำอย่างนี้ ก็เป็นการระลึกนึกถึง พระอรหันต์ อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน
และในที่สุด เราก็ระลึกนึกถึง พระอรหันต์ในลัก เอ่อ, ที่ ในลักษณะที่เป็น จุดหมายปลายทาง นึกถึงพระอรหันต์ หรือความเป็นพระอรหันต์ ในลักษณะที่เป็นจุดหมายปลายทาง ว่าชีวิตนี้ ในระดับ มนุษย์เรานี้ มันสูงสุดขึ้นมาถึงป่านนี้แล้ว มันจะมีจุดหมายปลายทางที่ไหน จะจบลงที่ไหน มันต้องจบลง ที่ความเป็นพระอรหันต์นั่นเอง ถ้าไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ มันไม่จบ มันไม่รู้จักจบ มันจะปรุงแต่ง ต่อไป มันจะมีความคิดนึก ซึ่งเป็นการปรุงแต่งต่อไป มันจะมีกิเลสสำหรับทำกรรม รับผลกรรม แล้วมันก็ปรุงแต่งกิเลสอีกต่อไป มันไม่จบ ไม่รู้จักจบ
จุดหมายปลายทางที่เป็นจุดจบ เอ่อ, ของมนุษย์เรา ก็คือ ความเป็นพระอรหันต์ เราระลึกนึกได้ อย่างนี้ ก็เรียกว่า ระลึกนึกถึงพระอรหันต์ เราควร อ่า, กระทำ การระลึกถึงพระอรหันต์ กันอยู่เสมอ เพื่อให้เข้ากันกับ กันกับบทว่า พระอรหันต์อย่าลืม เตือนกันอยู่เสมอว่า พระอรหันต์อย่าลืม จะมีปัญหา อย่างไรขึ้นมา อย่างเพิ่งตัดสินอย่างวู่วาม ให้ทำเหมือนกับว่า ไปถามพระอรหันต์ดูก่อน ท่านแนะว่าเรื่องนี้ ควรทำอย่างไร ก็จึงทำอย่างนั้น อย่าหย่า อย่าหย่าผัวหย่าเมียเร็วเกินไป ทำในใจเหมือนกับว่า ถามพระอรหันต์ดูก่อน ว่าท่านแนะว่าอย่างไร นี่มันจะมีสติสัมปชัญญะ พอที่จะทำให้มันถูกต้องได้ นี่ มีอะไรเกิดขึ้นขอให้ทำในใจ เหมือนกับว่า ไปถามพระอรหันต์ดูก่อน ท่านจะตอบว่าอย่างไร ถามจอมของพระอรหันต์ คือ พระพุทธเจ้าก็ยิ่งดี ว่าเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว อย่างนี้ เราควรจะตัดสินใจ อย่างไร ก็ไปถามพระอรหันต์ดูก่อน นี่การระลึกนึกถึงพระอรหันต์ มันมีประโยชน์อย่างนี้ คือ มันจะไม่มีทางที่จะทำอะไรผิดพลาดได้
ขอให้ท่านทั้งหลาย ถือไว้เป็นหลักเกณฑ์ ข้อหนึ่ง ซึ่งจะประพฤติปฏิบัติ อยู่เป็นประจำ ข้อที่ ๒ ถัดไปก็ว่า อรหันตานุทิถิ (นาทีที่ 53.34) อรหันตทิฏฐานุสสติ (นาทีที่ 53.37) อรหันตทิฏฐานุสสติ (นาทีที่ 53.40) มีพระอรหันต์เป็นทิฏฐานุสสติ (นาทีที่ 53.44) ดูกันทีละคำ คติ คติ แปลว่า เครื่องไปหรือเครื่องถึง คือ ความคิดจะถึงจะไปอย่างไร อุดมคติก็หมายถึง เครื่องไปเครื่องถึงอันสูงสุด ถ้าว่าอนุคติก็ว่าไปตามตัว ติดตาม ค้นหา เป็นทิฏฐานุสสติ (นาทีที่ 54.14) ก็เป็นไปตามที่เห็น หมายความว่า เห็นแล้วก็วิ่งไปตาม นี่ เขาเรียกว่า ตัวอย่าง คำว่า ทิฏฐานุสสติ(นาทีที่ 54.24) แปลเป็นภาษา ภาษาไทยสั้น ๆ ว่า ตัวอย่าง อรหันตทิฏฐานุสสติ(นาทีที่ 54.32) ก็แปลว่า มีพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง ท่านทั้งหลายไม่ชอบ ก็ตามใจ ท่านจะมีใครเป็นตัวอย่างก็ตามใจ แต่อาตมากำลังบอก ท่านทั้งหลายว่า พุทธบริษัททั้งหลาย มีพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง
เราจะต้องเอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง จอมพระอรหันต์ คือ พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ทั่วไป คือ สาวกของท่านก็ดี นี้เรียกว่า เป็นพระอรหันต์ เราจะเอาพระอรหันต์เหล่านี้ เป็นตัวอย่าง สำหรับการ ประพฤติหรือกระทำ เป็นอยู่ในทุกรูปแบบหรือขั้นตอน เรามีพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง ในการที่จะอยู่ ในโลก โดยไม่มีความทุกข์นี่ เราจะเอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง เราจะถึงที่สุดแห่งความทุกข์ ก็โดยมี พระอรหันต์เป็นตัวอย่าง ความเป็นมนุษย์ของเรา มีพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง พระอรหันต์ท่านเป็น มนุษย์ตัวอย่างอย่างไร เราก็เอาท่านเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ความเป็นมนุษย์ของเรานี่ อ่ะ, หมดปัญหา คือ ดับทุกข์ได้ เป็นตัวอย่างโดยเฉพาะ ก็คือ การปฏิบัติ ตัวอย่างนั้นมันมีมาก จะชี้เฉพาะเจาะจงลงไป ก็คือ การประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะขจัดเสียซึ่งปัญหาทั้งปวง เรา ล้วนแต่มี สิ่งที่ต้องกระทำ เราจะรู้หรือไม่รู้ ถ้าเราไม่รู้ กิเลสก็เป็นเหตุให้กระทำ ก็จะกระทำไปอย่างโง่เขลา ถ้าเรารู้ ไม่มีกิเลสมาบังคับบัญชาเรา ก็มีปัญญา มีความรู้ของพระอรหันต์ มาเป็นเครื่องชักจูงเรา หรือบังคับให้เรากระทำไป ตามที่ควรจะทำ
พระอรหันต์เป็นตัวอย่าง ในการกระทำ เพื่อความเป็นมนุษย์ของเรา เอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง นี้ จะเอากันถึงขนาด เต็มที่ เรียกว่า มีมานะขึ้นมา อ่า, หมายถึง มานะในทางดีนะ ไม่ใช่มานะในทางชั่ว มานะในทางดีก็ว่า เราก็เป็นคน พระอรหันต์ก็เป็นคน พระอรหันต์ก็เป็นคน เราก็เป็นคน งั้นเราก็ควร จะทำอะไรได้ เหมือนที่คนควรจะทำได้ เราอย่าท้อถอย อย่าท้อแท้ โดยต้องมานะขึ้นไว้ให้สูงว่า ท่านก็เป็นคน เราก็เป็นคน เราก็ต้องทำให้ได้ เหมือนกับที่ท่านทำ นี้ก็เรียกว่า เอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง
ในที่สุด ก็มองดูผลสุดท้าย ว่าประพฤติปฏิบัติอย่างพระอรหันต์แล้ว หรืออย่างที่พระอรหันต์ ท่านปฏิบัติกันอยู่นั้น มันมีหลักเกณฑ์อย่างไร ที่พอจะเห็นได้ มันก็มีหลักเกณฑ์ว่า ตัวเองก็ไม่มีความทุกข์ แล้วก็ช่วยผู้อื่นได้ด้วย นี่จะแยกเป็นขั้นตอน ให้ละเอียดลงไปก็ว่า เรานี่รอดชีวิตอยู่ได้ เราไม่ตาย เรารอดชีวิตอยู่ได้ โดยสะดวกสบายในขั้นหนึ่ง เราควรจะทำให้ได้ในขั้นนี้ เป็นขั้นพื้นฐาน ถ้า ๆ ๆ ๆ ทำไม่ได้ในขั้นนี้ มันก็ตายแล้ว ตายไปแล้ว ไม่มีปัญหา
เราจะต้องทำให้ได้ ในขั้นที่ว่าเราจะรอดชีวิตอยู่ได้ โดยสะดวกสบาย ไม่ตาย นี่ ถ้ายังไม่สะดวก สบาย ก็แก้ปัญหาให้ได้ ให้มันถึงขั้นที่สะดวกสบาย อย่าเหลวไหล อย่าโง่เขลา ในเรื่องของการ เป็นคนนี้ จะเป็นกันอย่างไร มันจะต้องรู้ว่า การทำหน้าที่ของคนนั่นแหละ คือ ธรรมะ งั้นเราทำหน้าที่ของคน อย่างสนุกสนาน อย่างว่า ทำนา ทำสวน ค้าขาย เป็นข้าราชการ เป็นอะไรก็ตาม มันเป็นหน้าที่ของคน ก็ทำหน้าที่นี้ให้ดี ให้ถูกต้อง นั้นแหละคือ ธรรมะ ธรรมะ คือ หน้าที่ หน้าที่ คือ ธรรมะ ประพฤติหน้าที่ ของคนอย่างถูกต้อง นั้นก็มีธรรมะ มีธรรมะ ธรรมะก็ช่วยได้ คือ ทำให้ไม่ยากจน เอาชนะความยากจนได้ มาอยู่ใน ขั้นที่มีความสะดวก ผาสุก สบาย นี้ขั้นหนึ่งก่อน เพราะเป็นมนุษย์ที่รอดอยู่ได้ ไม่ตายแน่
มีอะไร ๆ ก็พอสะดวกสบาย
ที่นี้ก็ถามต่อไปว่า มันยังมีหน้าที่อะไร ต่อไปจากนั้น ก็คือ หน้าที่ที่ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป จนถึงที่สุดที่จะทำได้ นี่คือ การปฏิบัติธรรมะ ในขั้นมรรค ผล นิพพาน ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์สมบูรณ์ นี่หน้าที่ขั้นที่ ๒ คือ ดีถึงที่สุด ที่มันจะดีได้ และก็มีหน้าที่อะไร ต่อไปขั้นที่ ๓ ก็คือ ช่วยเพื่อนมนุษย์ ให้เป็นอย่างนั้นบ้าง นี่พระอรหันต์ ท่านทำอยู่อย่างนี้ ท่านมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่ก่อนนี้ แต่ก่อนนู้น และก็ท่านเป็นพระอรหันต์ คือ ดีถึงที่สุด ที่มนุษย์จะดีได้ และก็ท่านช่วยมนุษย์ด้วยกัน ช่วยโลกให้พ้นจากความทุกข์
อย่าเข้าใจว่า เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ยึดถืออะไรแล้ว ก็จะนอนเรื่อย ไม่ต้องทำอะไร ไม่รู้ไม่ชี้ กับอะไร ซึ่งเคยเข้าใจผิด ๆ กันอยู่มากว่า พระอรหันต์ไม่ทำอะไร เอาแต่จะพักผ่อนอย่างเดียว เพราะไม่ต้องการอะไร ไม่มีกิเลสต้องการอะไร อย่างนี้เป็นต้น ท่านไม่ต้องมีกิเลสน่ะ ไม่ต้องมีกิเลส เป็นเหตุให้ทำงานน่ะ ไม่เหมือนพวกเรา มีกิเลสเป็นเหตุให้ทำงาน ท่านมีธรรมะเป็นเหตุให้ทำงาน ท่านมีปัญญาเป็นเหตุให้ทำงาน ท่านมีเมตตาเป็นเหตุให้ทำงาน ดังนั้น พระอรหันต์จึงไม่ซบเซา ไม่อยู่นิ่ง ไม่นอนนิ่ง ๆ ตามสบาย ท่านก็ขวนขวาย ทำประโยชน์แก่คนทั้งหลาย คำพูดของท่านเพียงคำเดียว ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แก่คนทั้งหลาย นี้ก็ เรียกว่า ท่านทำงาน
และบางทีมันจะน่าประหลาดยิ่งขึ้นไปว่า ท่านไม่ต้องทำอะไรก็ได้ คือ ท่านอยู่ให้ดู ท่านเป็นอยู่ ให้ดู ว่าอยู่อย่างนี้ อยู่อย่างนี้ อยู่อย่างนี้ เท่านั้นแหละ มันก็ทำให้คนเห็น ว่าทำอย่างนี้จะไม่เป็นทุกข์ ท่านเป็นตัวอย่างให้ดู คนก็ดู คนก็ทำตามอย่าง หรือว่าได้เห็นคนที่ไม่มีความทุกข์ เป็นเหตุให้เชื่อ ลงไปได้ ว่า โอ้, ไอ้ ๆ ที่ไม่มีความทุกข์ นี่มันมี และมันก็มีอย่างนี้ ๆ แล้วก็ไปถามท่าน ท่านก็อธิบายให้ เข้าไปหา พระอรหันต์แล้วก็ทูล ก็ถามปัญหาต่าง ๆ ท่านก็อธิบายให้ ก็เป็นการช่วยให้คนเหล่านั้น แก้ปัญหาของตน ได้ คือ ดับทุกข์ของตนได้ เนี่ยเรียกว่า เป็นพระอรหันต์แล้ว ยังเป็นประโยชน์หรือยิ่งเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ เป็นคนที่ชาวบ้าน จะต้องเลี้ยงให้เสียข้าวสุกเปล่า ๆ
พระอรหันต์เป็นผู้มีประโยชน์แก่โลก แม้แต่เพียงว่า มีอยู่ เที่ยวเดินให้เห็นอยู่ เท่านั้นแหละ ก็ยังมีประโยชน์ซะแล้ว ผู้ที่ไม่มีความทุกข์น่ะ เป็นอย่างนี้ ให้คนทั้งหลายได้เห็นพระอริยเจ้า เท่านั้นแหละ ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งซะแล้ว ไม่ต้องมาช่วยทำการทำงาน ไม่ต้องมาช่วยทำนาทำไร่ ไม่จะ ไม่ต้องมาช่วย ขุดคลองขุดเหมืองอะไรให้ แต่ว่ามีความเป็นอยู่ที่ถูกต้องให้ดู คนทั้งหลายดู และก็รู้จักทำตน ให้ดำรงอยู่ ในความถูกต้อง ก็เลยได้ประโยชน์อันใหญ่หลวง นี้เรียกว่า เราถือเอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง เป็นชีวิตอุดมคติ เป็นชีวิตที่มีคุณค่าสูงสุด เราปฏิบัติตามท่าน เพื่อถึงความเป็นมนุษย์ที่สูงสุด และเราจะถือหลักว่า เกิดมาเป็นคนด้วยกันทั้งนั้น ควรจะเป็นพระอรหันต์ ได้ด้วยกันทุกคน
ขออย่างเดียวอย่าประมาท อย่าประมาทซะเลย แล้วก็มีหลักที่แน่นอนว่า เราจะทำเหมือนท่าน ก็คือ ทำให้รอดชีวิตอยู่ได้ทำให้ดีถึงที่สุด และก็ช่วยเพื่อนมนุษย์ให้เป็นอย่างนั้นได้ด้วย ท่านทั้งหลายเข้าใจ รู้จักพระอรหันต์ ในลักษณะอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้จักกันในลักษณะอย่างนี้ ก็ป่วยการ จะมีใครมาบอก ให้ท่านว่า พระอรหันต์อย่าลืม พระอรหันต์อย่าลืม เพราะว่าท่านไม่รู้ว่าพระอรหันต์ เป็นอย่างไร ที่ว่าอย่าลืม อย่าลืมนั้น อย่าลืมในข้อไหน
เอาทีนี้ดูต่อไปในข้อที่ ๓ หัวข้อที่ ๓ ว่า อรหันตนุวัสติ (นาทีที่ 01:05:02) เดินตามพระอรหันต์ หรือประพฤติตามพระอรหันต์ นี้หมายความว่า เดินตามหนทาง ที่พระอรหันต์ท่านเดินกันแล้ว ทางนี้ ในบาลีเรียกว่า ทางเก่า พระพุทธเจ้าเองท่านก็เรียกว่า ทาง อ่า, ทางเก่า พระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ตรัสว่า ตถาคตเดินตามทางเก่า ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในการก่อนโน้น ด้วยยอมรับว่ามี พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในการก่อน พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ได้เดินทางกันถึงที่สุดแล้ว และเดี๋ยวนี้ท่านก็เดินตาม ทางเก่านั้น ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะว่าทางเก่านั้น คือ สิ่งที่เรียกว่า อัตฉันทิตกัมมะ อริยอัตฉันทิตกัมมัก (นาทีที่ 01:05:53) มรรคมีองค์ ๘ พระพุทธเจ้าเดินตามทางเก่าแล้ว ก็ตรัสรู้ถึงที่สุด ตรัสรู้สิ่งเดียวกัน คือ รู้ธรรมะที่ดับทุกข์ได้ ที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท(นาทีที่ 01:06.11) นี้เรียกให้ละเอียด เรียกให้ละเอียด เรียกให้มีความหมายมาก ก็เรียกว่า อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท (นาทีที่ 01:06.21) แต่เรามักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า เรื่อง อริยสัจ ก็ถูกเหมือนกันน่ะ
เพราะว่าเรื่องอริยสัจ พอขยายความออกไป มันก็กลายเป็นเรื่อง อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท (นาทีที่ 01:06.34) มีรายละเอียดมากขึ้น ตามทางเก่าที่ท่านเดินกันอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าก็เดินไปแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็เดินตามกันไปแล้ว ไอ้เรามาเดินตามทางท่าน ก็เดินตามทางนั้น คือ ทางที่ท่านเดิน กันแล้ว เดินทางเก่านี้ดีกว่า คือ มันถูกต้อง แน่นอนและปลอดภัย เดินทางใหม่ก็เป็นเรื่องลวงของกิเลส โดยเฉพาะสมัยใหม่ ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ที่เรียกว่า ของใหม่นี่แล้ว ยิ่งเป็นทาส เป็นบ่าว เป็นไอ้เหยื่อ ของกิเลสทั้งนั้น เดินตามทางเก่าดีกว่า เดินตามทางเก่าของพระอรหันต์ดีกว่า เดินตามทางเก่าของ พระพุทธเจ้าดีกว่า ท่านก็มีหลักเหมือนกันแหละ ที่พูดเมื่อตะกี๊ ว่า ท่านรอดชีวิตอยู่ได้ ท่านดีถึงที่สุด ก็ช่วยเหลือผู้อื่น
นี่ขอให้ทุกคน มีหลักอย่างนี้ไม่ว่าใคร ผู้หญิง ผู้ชาย มีอะไรอย่างไร อาชีพที่ไหนอย่างไร ก็ขอให้ถือหลักว่า เราจะต้องรอดชีวิตอยู่ได้ และดีขึ้นไป ดีขึ้นไปถึงที่สุด หลังจากนั้นก็ช่วยผู้อื่น ให้ถือว่า ช่วยผู้อื่นเป็นหน้าที่ อ่า, ของมนุษย์ทุกคน หรือมันจะยิ่งกว่าหน้าที่ ว่า ถ้าเราอยู่คนเดียว เราอยู่ไม่ได้ งั้นเราต้องมีเพื่อน งั้นเราต้องต้องทำชนิดที่ ทำให้มีเพื่อนอยู่ด้วยได้ นั่นแหละ เหตุผล ที่เราต้องช่วยผู้อื่น อาตมาพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ขอร้องให้ท่านทั้งหลาย คำนวณดูว่า ถ้าเขาให้เราอยู่คนเดียว ในโลกนี้ ในจักรวาลนี้ ทุกสิ่งในจักรวาลนี้ เขายกให้เราคนเดียวหมด เป็นของเราคนเดียวหมด และให้เราอยู่คนเดียวในโลกนี้ ในจักรวาลนี้ อยู่คนเดียว คิดดูมันอยู่ได้ไหม อยู่พักเดียวก็เป็นบ้า มันอยู่ไม่ได้ ที่จะอยู่คนเดียว เพราะงั้น เราจะต้องนึกถึงการอยู่ร่วมกัน จึงมีเรื่องเกี่ยวกับผู้อื่น มีประโยชน์ของเรา ประโยชน์ของผู้อื่น หรือประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ที่มันเกี่ยวข้องกันอยู่ เราจึงต้องบำเพ็ญประโยชน์ทั้ง ๓ คือ ประโยชน์ตน และก็ประโยชน์ผู้อื่น แล้วประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ที่มันเกี่ยวข้องพันกันอยู่ อย่างที่ไม่แยกจากกันได้ นี่ ปฏิบัติตามพระอรหันต์ต้องทำอย่างนี้
พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเดินตามหัวหน้าของท่าน คือ พระพุทธเจ้า งั้นเราก็เดินตามท่าน พระอรหันต์ทั้งหลายนั้น อีกต่อหนึ่ง เราเดินตามพระอรหันต์ทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลาย เดินตามหัวหน้าของท่าน คือ พระพุทธเจ้า ก็เรียกว่า ทุกคนเดินกันตามไปเป็นแถว อย่างถูกต้อง อย่างที่ว่า มานี้ นี่ เดี๋ยวนี้ เรากำลังทำอย่างนั้นกันหรือเปล่า หรือว่าเราไปเดินตามทาง ของพระยามาร ลุ่มหลงอยู่ด้วย อบายมุขทุก ๆ ประการ ดื่มน้ำเมาเที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้าน ทำการงาน นี่ ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไปในบ้านในเมืองนี้ และก็หาความสงบสุขไม่ได้ แล้วก็ทำร้ายกัน เบียดเบียนกันเพราะเหตุนี้
ทำร้ายกัน เบียดเบียนกัน เพื่อเอาเหยื่อมา บำรุงกิเลสของตน ที่เบียดเบียนกันน่ะ ไปดูให้ดีเหอะ ไม่มีอะไรน่ะ เขาหาเหยื่อให้กิเลสไม่ได้โดยสุจริต เขาก็ต้องทำอย่างทุจริต คือ ไปปล้น จี้ แย่งชิง ฆ่าฟัน ผู้อื่นมา แย่งชิงซึ่งหน้า ข่มขืนซึ่งหน้า ข่มขืนแล้วฆ่า ที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ มากขึ้น ๆ ในโลกยุคที่ ไม่มีศีลธรรม ยุคที่ไม่มีศีลธรรม มันก็มีความเป็นอย่างนี้มากขึ้น ในยุคที่โลกมีศีลธรรมบ้านเมืองมีศีลธรรม ยุคโบราณไปหน่อยน่ะ ไม่มีอย่างนี้ เพราะว่าคนมันกลัวบาป ยิ่งกว่ากลัวผีกลัวเสือ
เดี๋ยวนี้คนมันไม่กลัวบาป ถ้าพูดว่าบาปนั้นไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้สึกว่าน่ากลัวอะไร รู้สึกว่าบาป นั้นน่ะ มันก็เป็นของคนโง่ กลัวกันไปก็แล้วกัน เราเป็นคนฉลาด เราไม่กลัวบาป นี่ คนสมัยนี้เขาถือกัน อย่างนี้ แม้เด็ก ๆ ก็ถือกันอย่างนี้ เด็ก ๆ สมัยก่อน ถ้าเพื่อนทักเพื่อนกันทักว่า บาป มันก็หยุด มันก็สะดุ้ง เด็กสมัยนี้ทักว่า บาป มันก็แลบลิ้นหลอก บางทีมันจะถมน้ำลายรดหน้าให้ก็ได้ หรือมันจะด่าให้ก็ได้ ถ้าใครไปทักมันว่าบาป คำว่า บาปมันเปลี่ยนความหมายมากถึงอย่างนี้ เพราะว่าความไม่มีศีลธรรม มันเข้ามาคุ้มครองโลก
ขอให้ท่านทั้งหลาย พิจารณาดูให้ดีว่า โลกนี้ ปัจจุบันนี้ กำลังไม่เดินตามทาง แห่งพระอรหันต์ มนุษย์ในโลกปัจจุบัน กำลังไม่เดินตามทางแห่งพระอรหันต์ กำลังเหยียด เหยียดหยามพระอรหันต์ กำลังไปสมัครเป็น สมุนของพระยามาร คือ กิเลส ตัณหานานาประการ เดินตามทางของกิเลส ตัณหา ไม่เดินตามทางของพระอรหันต์
ฉะนั้น ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ เราเอาเรื่องของพระอรหันต์มาพูดกัน และก็มาตักเตือนกัน โดยเฉพาะว่า พระอรหันต์อย่าลืม นี่ อาตมากำลังพูดกับท่านทั้งหลายว่า พระอรหันต์นะ อย่าลืม อย่าลืมในทุก ๆ กรณี ไม่ว่าในกรณีใหญ่เล็กกรณี อ่า, ทุก ๆ กรณี เราอย่าได้ ลืมพระอรหันต์ อย่าได้ทำอะไรผิด ไปจากหลัก อ่า, ของพระอรหันต์ อย่าให้ได้ผิดไปจาก แนวทางของ พระอรหันต์ ให้เป็นเสมือนการเดิน ตามเดินตามทางเก่า ของพระอรหันต์อยู่เรื่อยไป เราก็อยู่กันเป็น ผาสุขได้ โดยไม่ต้องสงสัย นี้เรียกว่า เดินตามพระอรหันต์ ข้อที่ ๑ อรหันตานุสสติ (นาทีที่ 01:13:54) ระลึกถึงพระอรหันต์ ข้อที่ ๒ อรหันตทิฏฐานุสสติ (นาทีที่ 01:14:04) มีพระอรหันต์เป็นตัวอย่าง ข้อที่ ๓ อรหันตานุวัตรสติ (นาทีที่ 01:14:12) เดินตามพระอรหันต์ นี่ชื่อว่า พระอรหันต์อย่าลืม พระอรหันต์อย่าลืม เท่ากับอาตมาบอก กับท่านทั้งหลายว่า จงระลึกถึงพระอรหันต์ จงถือเอาพระอรหันต์ เป็นตัวอย่าง จงเดินตามพระอรหันต์เถิด
นี่ เรามาเตือนกัน ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันมาฆบูชา ถือกันว่าเป็นวันที่ระลึก แก่พระอรหันต์ ขอให้เราได้เตือนกันอย่างนี้ ขอให้เราได้สำนึกตัวอย่างนี้ แล้วปรับปรุงกันเสียใหม่ อย่าให้มีสิ่งที่ผิดพลาด นอกลู่นอกทางของพระอรหันต์ไป ในที่นี้ ก็ขอสรุปความสั้น ๆ ว่า ไอ้ชีวิตนี้ มันเป็นสิ่งที่เดินทางอยู่เสมอ มันไม่หยุดหรอก มันหยุดไม่ได้ เพราะมันอยู่ใต้อำนาจ ปัจจัยที่ปรุงแต่ง ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่เดินทางอยู่เสมอ มันก็มีเหตุปัจจัยในการเดินทางนั้น ถ้าผิดมันก็ผิด ถ้าถูกมันก็ถูก มันอยู่ที่เหตุปัจจัย ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และปรุงแต่ง เราต้องหาเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง ให้ชีวิตได้อิงอาศัย และเดินไปในทางที่ถูกต้อง นี้เรียกว่า ให้ถือว่า มันอยู่นิ่งไม่ได้ มันเดินทางไปเรื่อย ไปเรื่อย เรามีหน้าที่จัด ให้มันเดินทางให้ถูกต้องก็แล้วกัน ชีวิตเป็นสิ่งที่เดินทางอยู่เสมอ หลับตาหรือลืมตาก็ตามใจ มองให้เห็นว่า ชีวิตนี่เป็นสิ่งที่เดินทางอยู่เสมอ ไม่อยู่ที่ จัดให้การเดินทางนั้นปลอดภัย และชีวิตนั้น เป็นสิ่งที่เติมธรรมะลงไปได้
ฟังดูเดี๋ยว ก็จะหัวเราะกันอีกว่า ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่เติมธรรมะลงไปได้ เหมือนกับเติมน้ำใส่ตุ่ม เราเติมน้ำลงไปในตุ่ม เราเติมได้จนเต็ม ในชีวิตนี้ ก็เป็นสิ่งที่เติมธรรมะลงไปได้ กว่าชีวิตนี้มันจะเต็ม ไปด้วยธรรมะ ขอให้ท่านทั้งหลาย สนใจที่จะเติมธรรมะลงไปในชีวิต อะไรไม่ใช่ธรรมะ คือ ธรรมะผิด หรือไม่ใช่ธรรมะน่ะ อย่าเติมลงไป ถ้ามีอยู่ตักออกเสีย แล้วก็เติมธรรมะ คือ ความถูกต้อง ของความเป็น มนุษย์ นี่เติมลงไปให้มันเต็ม ให้เห็นว่าชีวิตนี้ไม่ ไม่เหลือวิสัย ที่ไม่ใช่สิ่งที่เหลือวิสัย ที่จะไปถึงที่สุดแห่ง ความทุกข์ คือ พระนิพพาน หรือคืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก ไอ้สภาพที่อยู่เหนือ ความทุกข์นั่นแหละ จุดหมายปลายทาง มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไปถึงได้ มนุษย์ทำให้ปรากฏได้
อย่ามัวท้อแท้ อ่อนแอ ว่าพ้นวิสัย พ้นสมัย พ้นอะไร เหมือนที่คนสมัยนี้ เขาพูดกัน ที่แท้เราอาจจะ มีชีวิต เป็นสุขสงบเย็น อย่างที่พระอรหันต์ท่านเป็น แม้ไม่เท่าเทียมกันก็ยังดี ท่านเป็นมากเราเป็นน้อย ก็ยังดี ท่านเป็นตลอดไป เราเป็นบางครั้งบางคราว แต่ให้บ่อย ๆ อย่างนี้ก็ยังดี ทุกคนต้องไม่ให้เสียที ที่มีชีวิต อาตมาพูดมันอาจออกจะแปลกไปสักหน่อย คล้าย ๆ กะจะเป็นดูหมิ่น ดูถูกไปก็ได้ ทุกคนอย่าให้ เสียทีที่ได้เกิดมามีชีวิต ถ้าเขาพูดคำหยาบเขาพูดว่า เสียชาติเกิด อาตมาเห็นว่ามันหยาบเกินไป ก็เลยพูดว่า ทุกคนระวังอย่าให้เสียทีที่ได้มีชีวิต ไหน ๆ ก็ได้เกิดมาแล้ว ได้มีชีวิตแล้ว อย่าให้มันเสียทีที่ได้มีชีวิต ทุกคนอย่าให้เสียทีที่มีชีวิต มีชีวิตแล้ว อย่าให้ต้องเป็นทุกข์ ให้มันละอายแมว ละอายแมว
ยกเอาแมวมาเป็นผู้เปรียบเทียบ ยังดีกว่าหมานะ อย่าได้เป็นทุกข์ให้ละอายแมว เป็นคนมีชีวิต อย่าให้เป็นทุกข์ให้ละอายแมว ไปหาความทุกข์ที่แมวมันเกือบจะไม่ค่อยเห็น แต่พอมาหาที่คน ทำไมมันเต็มไปหมด อย่างนี้เรียกว่า มันมีชีวิตเป็นทุกข์อย่างน่าละอายแมว พูดอีกที ไม่รู้จักเบื่อว่า แมวนอนหลับสนิท ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต ไม่เห็นแมวตัวไหน เป็นโรคประสาท นอนไม่หลับ เป็นโรคจิต ไม่เห็นแมวตัวไหน ต้องกินยานอนหลับ มีแต่คนนี่ ทำไมต้องกินยานอนหลับ กันมากนักเล่า เห็นมันขายดี นี่ ยาโรคประสาทนี้ก็ขายดี ยานอนหลับนี่ก็ขายดี โรงพยาบาลโรคจิต ก็สร้างขึ้นไม่หยุด หย่อน ทำไมมนุษย์เป็นอย่างนี้ แมวมันไม่เป็น แมวจะดีหรือจะเลว ก็ไม่ไม่ทราบ แต่ว่ามันไม่เป็นอย่างนี้ ก็แล้วกัน เราเป็นมนุษย์นี้ ถือกันว่า ดีว่าสูงสุด กว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แต่แล้วทำไมต้องเป็นทุกข์ ให้ละอายแมว แล้วเตือนว่า เออ, เพราะเราไม่เดินตามทางของพระอรหันต์ ไม่เดินตามทางของ พระอรหันต์ เราจึงต้องมีชีวิต ชนิดที่ต้องละอายแมว ท่านทั้งหลาย ได้ช่วยจดจำไปด้วย กลับไปบ้านนี่ ช่วยจดจำไปด้วยว่า อาตมาขอร้องว่า อย่าได้มีชีวิตที่ต้องละอายแมว
ทุกคนจงอย่ามีชีวิตที่ต้องละอายแมว เพื่อจะไม่ให้เป็นอย่างนั้น ก็ขอบอกว่า พระอรหันต์อย่าลืม อย่าลืมพระอรหันต์ เค้าเคยบอกใส่หูคนที่ใกล้จะตาย แต่เดี๋ยวนี้ อาตมาเอามาบอกท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ทุกคนยังไม่ตายนี่ ยังไม่มีวี่แววแห่งความตาย ก็บอก บอกว่า พระอรหันต์อย่าลืม พระอรหันต์อย่าลืม นั่งอยู่ตรงนี้ พระอรหันต์อย่าลืมตลอดเวลา ให้มีความถูกต้องตามร่องรอย ของพระอรหันต์อยู่ที่เนื้อที่ตัว ของเรา อยู่ทุกทิพาราตรี ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน ทั้งหลับทั้งตื่น จัดให้เป็นทั้งกับว่า แม้หลับอยู่ ก็ไม่มี ความผิดพลาด ที่จะต้องเป็นทุกข์ แม้แต่จะฝันก็ไม่ฝันร้าย นี่เรียกว่า อย่าลืมพระอรหันต์ ตลอดเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีผัสสะมากระทบ เมื่อมีผัสสะมากระทบตา กระทบหู กระทบจมูก กระทบลิ้น กระทบกายนี่ เรียกว่า มีผัสสะมากระทบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานี้ อย่าได้ทำผิดพลาด เวลานี้อย่าได้ลืม พระอรหันต์ว่าท่านทำกันอย่างไร ท่านจึงไม่มีความทุกข์เกิดขึ้น เพราะมีสิ่งมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นอันจบเรื่อง เรื่องจบ งั้นจบเรื่องเท่านี้ ว่าเราไม่โง่ ไม่ทำผิดเมื่อมีผัสสะ มีคำสั้น ๆ เท่านี้ อย่าโง่ อย่าทำผิด เมื่อมีผัสสะ ปัญหาก็ไม่เกิด ปัญหาก็ไม่มี เรื่องมันจบ มันเป็นพระนิพพาน อยู่ตรงที่ไม่โง่ เมื่อมีผัสสะ กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรามันโง่เมื่อมีผัสสะ เราก็ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง ทั้งยินดีและยินร้ายนั่นแหละ เป็นความผิด ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เรามันหลงว่า ดี ดี ดี และก็ให้ความหมายผิด เอาความเอร็ดอร่อย สนุกสนานเป็นความดี ไม่เอาความสงบเย็นเป็นความดี มันก็เป็นความดีชนิดปลอม เลยพูดได้เสียใหม่ว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ไอ้ดีของคนน่ะมันอัปรีย์ ทั้งชั่วทั้งดี ล้วนแต่อัปรีย์ ไปเอาเข้า มันกัดทั้งนั้นแหละ ไปยึดมั่นถือมั่น ไอ้ความดี อย่างที่คุณมี น่ะมันกัดเอาทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นความดีที่ปลอม
แต่พระพุทธเจ้าท่านยังสอนว่า แม้แต่ความดีโดยแท้จริง หรือที่ถูกต้องตามเรื่องของความดี ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ว่าของกู ว่าตัวกู มันจะกัดเอาเหมือนกัน เพราะว่าไม่มีอะไร ที่ไปยึดมั่นถือมั่นแล้ว จะไม่กัดเอานี่ไม่มี แม้แต่พระนิพพาน ท่านก็สอนไม่ยึดมั่นนิพพาน โดยความเป็นนิพพานของเรา หรือนิพพานของนิพพาน หมายความว่า ไม่ยึดมั่นอะไรกันเลย เพราะว่าไปยึดมั่นแล้วมันกัดเอาทั้งนั้น งั้นเรามีสิทธิ์ที่จะพูดว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ ไปยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้ว มันกัดเอา งั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่น เรื่องความชั่วเรื่องความดี มันจะกัดเอา ถ้าท่านไม่เคยได้ยิน ก็คงจะประหลาดใจว่า ท่านพุทธทาสชักเลอะ แล้วก็ได้ ที่พูดว่า ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์เนี่ย อาตมาก็ขอยืนยันไปตามเดิมว่า ทั้งชั่วทั้งดี ถ้าไปยึดมั่น ถือมั่นแล้ว มันกัดเอา อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปหมายมั่น มันจะกัดเอา มีจิตใจที่ถูกต้อง ตั้งไว้ถูกต้อง อย่าไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งใดโดยความเป็นตัวกูของกูเถิด นั่นแหละ คือ ร่องรอยของพระอรหันต์
หวังว่าท่านทั้งหลาย จะได้เดินตามรอยของพระอรหันต์ เพราะไม่ลืมพระอรหันต์ มีพระบาลีว่า สุขิโน วัตตะ อะระหันโต(นาทีที่ 01:24.12) พระอรหันต์ทั้งหลาย มีความสุขหนอ ตัณหา เตสัง นะวิชชติ (นาทีที่ 01:24:19)ตัณหาของท่านไม่มี อัสมิมาโน สมุจฉินโน อัสมิมานะ(นาทีที่ 01:24:24)นั้นท่านถอนขึ้น ขาดหมดแล้ว โมหะชาลังปทาลิตัง (นาทีที่ 01:24:31) ข่ายแห่งโมหะ ท่านทำลายหมดแล้ว น่ะ พระอรหันต์เป็นอย่างนั้น เราเดินตามรอยของพระอรหันต์ ขอย้ำที่ วันนี้เป็นวันพระอรหันต์ มาฆบูชา เป็นวันพระอรหันต์ คือ เป็นวันของพระสงฆ์ มานั่งชุมนุมกันอย่างนี้ ทำในใจให้เหมือนกับ ว่าครั้งพุทธกาลนู้น พระอรหันต์ท่านประชุมกัน ท่านแสดงธรรมะเป็นหลักขึ้น ในท่ามกลางสงฆ์ ทำจิตให้บริสุทธิ์เป็นข้อสำคัญ อย่าทำบาปนี่ ลัทธิไหนก็สอน ทำความดีให้เป็น ลัทธิไหนก็สอน แต่ทำให้จิตบริสุทธิ์ ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นนี่ มีสอนแต่ลัทธิเรา พระพุทธเจ้าสอน แม้ว่าจะมีลัทธิอื่น พูดคล้ายกับคำพูดคำนี้ ทำความหมาย ก็ไม่เหมือนกัน ถ้าจะมีลัทธิอื่น สอนว่า อย่ายึดมั่นถือมั่น อย่าทำจิตใจ ให้เศร้าหมองน่ะ เขามีเป้าหมายอย่างอื่น เขาไม่ได้มีความ เขาไม่ได้มีความหมายว่า จิตเศร้าหมอง เพราะความยึดมั่นถือมั่น
ในพวกเราชาวพุทธ นี่ถือว่า จิตเศร้าหมอง เพราะความยึดมั่นถือมั่น อย่ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด แล้ว ะไม่เศร้าหมอง ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด สิ่งนั้นมันจะกัดเอา ความชั่วยึดมั่นแล้วก็กัด ความดียึดมั่น แล้วก็กัด จึงเรียกว่า ทั้งชั่วและทั้งดี ยึดมั่นไม่ได้ ไปยึดมั่นแล้วมันจะกัดเอา นี่เป็นทิฏฐานุสสติ (นาทีที่ 01:26:08) ที่เราได้เห็น ได้รับ จากความเป็นพระอรหันต์ ของพระอรหันต์ทั้งหลาย เอามาระลึกนึกถึงอยู่ เอามาทำให้เป็นตัวอย่างอยู่ แล้วมาเดินตามท่านอยู่ หวังว่าท่านทั้งหลาย คงจะนำข้อความเหล่านี้ ไปคิดนึก พิจารณาดูให้ดี เห็นด้วยในส่วนไหน ก็ประพฤติกระทำ เต็มความสามารถแล้ว ให้มีความสุขอยู่ ทุกทิพาราตรีกาล ธรรมเทศนา สมควรแก่เวลา เววังก็มี ด้วยประการฉะนี้ (นาทีที่ 01:26:48 - 01:27:17 ไม่มีเสียงเทศนาธรรม)
เอ้า, ต่อไปนี้ เตรียมพิธีมาฆบูชา ทำประทักษิณ อุทิศพระอรหันต์ทั้งหลาย เราจะทำแบบที่ เราเห็นว่า เอ่อ, เหมาะสม เหมาะสม เอาแจกเครื่องสักการะถวายพระ อ่า, ชาวบ้านอย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งจุด ชาวบ้านฟังไปก่อน จนกว่าจะถึงรอบของชาวบ้าน พระสงฆ์ทั้งหลาย จะกล่าวคำบูชา เป็นภาษาบาลี ชาวบ้านจะกล่าวคำบูชา เป็นภาษาไทยรอบหลัง รอบแรกนี้ พระสงฆ์จะกล่าวคำบูชา อ่า, เป็นภาษาบาลี เราทำสหกรณ์กัน สหกรณ์ คือว่า ทำร่วมกัน มีหุ้นส่วนร่วมกัน แม้ว่าพระพระสงฆ์ จะไม่ได้ออกไป เดินเวียน ก็ถือว่าร่วมอยู่ในการเดินเวียน พร้อมท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระสงฆ์ทั้งหลาย จะช่วยสวด พระคุณ ของพระอรหันต์ นี่เรียกว่า เราไม่ได้เดินเวียนกันทุกคน แต่ก็เสมือนว่า เดินเวียนกันทุกคน อ่า, เป็นประทักษิณ
เอ้า, พระสงฆ์ทั้งหลาย และเณรทั้งหลาย จุดธูปเทียนสักการะนี่ จุดธูปเทียน ยืนขึ้น สำหรับสะดวกในการทำจิตให้ว่าง พระอรหันต์นั่นน่ะ ไม่ ไม่มีขอบเขต อัตถัง คะตัสสะ นะปะมานะมัตถิ (นาทีที่ 01:29.15) ประมาณเครื่องกำหนดใด ๆ ไม่มี เอามาใช้ไม่ได้ แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอรหันต์ไม่มีขอบเขต เราต้องทำจิตไม่ให้มีขอบเขต จึงจะถึงกันเข้า กับคุณของพระอรหันต์ งั้นยืนขึ้น ดีกว่า หลับตาเสีย หลับตาเสีย นี่ ก็เพื่ออย่าให้มีขอบเขต ทิศเหนือ ทิศใต้ ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างบน ข้างล่าง หลับตาเสีย อย่าให้มีขอบเขต ให้มีแต่ความว่างซึ่งไม่มีขอบเขต เมื่อจิตไม่ ไม่มีขอบเขต ไม่ถูกกักขัง ไว้ด้วยขอบเขต จิตนั้นจะคล้ายกับจิตของพระอรหันต์ โดยอัตโนมัติ โดยปริยาย เราทำจิต ให้ไม่มีขอบเขตเสียก่อน แล้วจึงกล่าวคำบูชาคุณของท่าน
เดี๋ยวนี้ ไม่มีทิศตะวันตก ตะวันออก ทิศเหนือ ทิศใต้ ไม่มีบน ไม่มีล่างนะ ว่างเป็นสิ่งเดียวกันนะ มีจิตใจถึงความว่างนั้น แล้วกล่าวคำบูชา คุณของพระอรหันต์ ซึ่งใครทำจิตได้ดีเท่าไร คนนั้นจะถึง พระอรหันต์ได้มากเท่านั้น ใครทำจิตได้น้อย ดีน้อย ก็ถึงพระอรหันต์น้อย หรืออาจจะไม่ถึงเลย ขอให้ทำจิตว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดถือ โดยประการทั้งปวง แม้ครู่หนึ่งขณะหนึ่ง เวลานี้ก็ยังดี (นาทีที่ 01:30:57- 01:56:53 เป็นเสียงพูดและบทสวดมนต์)