แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การที่เรามีเวลาจะพูดกันอีกครั้งหนึ่งนี้ผมคิดว่าจะพูดเนื่อง ต่อเนื่องจากที่พูดแล้วเมื่อวาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือคำว่า การดู การดูและเห็น ซึ่งเป็นความหมายคำว่าวิปัสสนาทั้งดูและเห็น เกรงว่าจะเป็นที่ไม่เป็นที่เข้าใจกันเพียงพอ เพราะไม่เคยพูดกันอย่างนั้น พูดแต่เรื่องคิดบ้าง พิจารณาบ้าง ดังนั้นมันก็เรื่องหนึ่งนะถูกไม่ใช่ผิด แต่ว่าคำว่าวิปัสสนานี่ ใจความสำคัญนะดูให้เห็น เมื่อเห็นจึงเป็นวิปัสสนา ดังนั้นเราควรจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า ดูและเห็นนี้กันให้มกพอ คำพูดมันคำเดียวกันแต่มันคนละเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องทางกายทางวัตถุ มันก็ดูด้วยตา เหมือนที่ตามันดู ดูแล้วมันก็เห็น แต่ถ้าเป็นเรื่องทางนามธรรม ทางจิต ทางวิญญาณ มันก็จะดูด้วยตานี้ไม่ได้ มันจะดูกันด้วยตาไหนนั้นแหละจะต้องเข้าใจ และเรามักจะพูดด้วยคำอื่นไม่ได้ ไม่ได้พูดด้วยคำว่าดู ก็เลยมันจึงมืดมนอยู่ว่าจะดูกันอย่างไร ข้อนี้มันต้องเปรียบเทียบกันตั้งแต่ขั้นต่ำสุดแหละ คือขั้นที่ ที่ว่าดูด้วยตา นี่ดูด้วยตาธรรมดานี่ ท่านก็จดไว้ในกระดาษ แล้วเราก็ดูด้วยตาแล้วก็เห็น นี้มันก็เห็นตัวหนังสือที่เขียนว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ นี้ก็ดูตัวหนังสือในกระดาษมันก็เห็น แต่มันก็เห็นอย่างที่เห็นตัวหนังสือในกระดาษมันไม่เห็นธรรมะ ไม่เห็นธรรมะ เพราะมันไม่ได้ดูด้วยธรรมจักษุ มันดูด้วยตาเนื้อๆ ต่อเมื่อมันดูด้วยธรรมจักษุ จึงจะเห็น เห็นธรรม ซึ่งดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น การที่ดูตัวหนังสือในกระดาษแล้วก็เห็นเพียงแค่ตัวหนังสือในกระดาษ นี่เห็น ที่นี้ธรรมจักษุที่จะเห็นธรรมนั้นมันต้องดูด้วยอะไร ลองสังเกตของตัวเองดู ในบาลีก็มีคำว่า ธรรมจักขฺ ธรรมจักษุ จักษุสำหรับเห็นธรรม ก็คือปัญญาหรือเจตสิกธรรมที่เป็นกลุ่มของปัญญานั้นแหละ แล้วเราก็พูดกันแล้วเมื่อคืนว่า ไอ้ปัญญานี่ต้องอาศัยการดูด้วยสมาธิ ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จิตเป็นสมาธิแล้วก็น้อมไปเพื่อจะเห็นคือดู ดังนั้นจึงต้องมีปัญญาอยู่ในเวลานั้น ดังนั้นเราจะต้องทำปัญญาจักษุกันอยู่เป็นประจำ เมื่อเราเจริญสมาธิกรรมฐานอยู่ตามปกตินี่ ก็ให้เป็นการอบรมปัญญาจักษุอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ดู อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็นอยู่ด้วยปัญญาจักษุ ไม่ใช่ปากว่า ไม่ใช่ปากบริกรรม แต่ให้รู้สึกเห็น เห็นอย่างรู้สึก รู้สึกอย่างเห็น หรือว่าย้ำ ซ้อมการเห็นอยู่ เดี๋ยวนี้เราจะดูสิ่งที่มันยังไม่เกิด หรือจะเกิดหรือกำลังเกิด หรือเกิดแล้ว มันก็มีเรื่องหลายขั้นตอน ดังนั้นจะดูกันอย่างไร หรือว่าทำ ทำระบบเรื่องเค้าโครงที่ให้ดู แล้วก็ดูนับตั้งแต่ว่าดูด้วยตา แล้วก็ดูด้วยปัญญา แล้วก็รักษาการดูนั้นไว้ด้วยปัญญา ยกตัวอย่างด้วยเรื่องที่พวกเราทำกันอยู่เป็นประจำ คือว่าเดินจงกรมนี่ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ๆ ถ้าดูที่ตีน ดูที่เท้าดูด้วยตาก็คือดูเห็น ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ดูด้วยตาดูที่เท้า ที่จริงมันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ใช่ว่ายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ มันต้องศึกษามาด้วยปัญญาก่อนแล้ว จนเห็นว่ามันมีแต่การยกหรือย่าง หรือเหยียบเท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคลผู้ยก ผู้ย่าง ผู้เหยียบเลย ดังนั้นการที่พูดว่า ยกหนอ ย่างหนอ มันเป็นคำที่ย่อมาก ไอ้พวกที่เข้ามาใหม่ไม่รู้เรื่องอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ กลายเป็นว่ายกหนอ ยกอยู่หนอ ยกเท้าเห็นอยู่หนออย่างนี้ มันไม่ถูกหรอก เพราะเรื่องของธรรมชั้นปัญญานั้นมันไม่ใช่ยกเท้าขึ้นมา แล้วยืดออกไป แล้วเหยียบลง ถ้าอย่างนี้มันเป็นเรื่องของสติหรือสมาธิ ยังไม่ใช่การดูการเห็น มันต้องศึกษาจนรู้ว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา จึงมีแต่เพียงยกเท้าขึ้นมา แล้วสืบเท้าไป แล้วเอาเท้าลง ยกหนอคือว่าหมายความว่า มันสักว่ามีการยกเท้าหนอ มีเท้าที่ยกขึ้นแล้วหนอ แต่ไม่มีบุคคลที่เป็นผู้ยกหรือเป็นเจ้าของเท้า ถ้าเราว่ายกหนอ แล้วก็ขอให้เข้าใจมันเป็นสักว่า เท้าที่ยกขึ้นมาเท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคลที่เป็นเจ้าของเท้าหรือเป็นผู้ยกหนอ ถ้าพูดให้เต็มที่มันต้องว่าสักว่าการยกเท้าขึ้นมาเท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคลผู้ยกเท้าหรือเป็นเจ้าของเท้าเลย มันยืดยาวอย่างนั้น นี่เขาให้บทบริกรรมสั้นมากว่ายกหนอเท่านั้น ๒ พยางค์ แต่ใจความของมันอยู่ที่ว่ามันสักว่ายกเท้าเท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคลผู้ยกเท้าหรือเจ้าของเท้า ถ้าทำได้ลึกอย่างนั้น มันก็เป็นการเห็นอยู่ เห็นธรรมอยู่ มันก็ยกย่างเหยียบนั้นแหละ สักว่าการยกเท้าเท่านั้นหนอ สักว่าการย่างเท้าไปเท่านั้นหนอ สักว่าการเหยียบเท้าลงเท่านั้นหนอ นี่มันลึกมากมันถึงหัวใจของธรรมะทั้งหมด คือไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ดังนั้นถ้าทำถึงที่สุดเป็นวิปัสสนา มันมีความหมายอย่างนี้ ถ้าทำในขั้นริเริ่มต้นๆ ยกหนอย่างหนอ เหยียบหนอเป็นขั้นสติ เพราะสติอยู่ที่ขาที่ยกขึ้นมา เท้าที่ยกขึ้นมา ที่เท้าเสือกไป ที่เท้าเหยียบก็เป็นสติเท่านั้นยังไม่ใช่ปัญญา ยังไม่ใช่การเห็น เป็นการควบคุมด้วยสติ หรือว่าการอาการที่สติมันผูกพันติดอยู่กับเท้าที่มันยกย่างเหยียบอย่างนี้เป็นสมาธิ ยังไม่ใช่ดวงตาเห็นธรรม ยังไม่เห็น ยังไม่ใช่เห็นในขั้นวิปัสสนา มันก็ดีกว่าเห็นด้วยตาหน่อย ตาเห็นเท้ายกแล้ว เท้าย่างแล้วเท้าเหยียบแล้วนี่เห็นด้วยตา นี่ต่ำสุด เมื่อมีสติกำหนดอ้าวยกแล้ว ย่างแล้ว เหยียบแล้ว นี่ก็เป็นสติ นี่การที่จิตคอยผูกพันอยู่กับสิ่งนั้นนี่เป็นสมาธิ ถ้าขั้นวิปัสสนามันก็ต้องเห็นสิ เป็นเรื่องของการเห็นธรรมในส่วนลึกที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะดูการย่างเหยียบยกนี่เป็นอนิจจังก็ได้ หรือจะดูว่าเป็นทุกขังเพราะต้องบริหารก็ได้ แต่ที่แท้จริงต้องการให้เห็นอนัตตาหรือสุญญตา เหมือนกับว่าไม่มีบุคคล ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอะไรที่ไหนซึ่งเป็นผู้ยก ผู้ย่าง ผู้เหยียบ นั้นมันถึงหัวใจของธรรมะคือตัวธรรมะแท้ นี้เห็นด้วยปัญญาว่าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนที่ยกย่างเหยียบนั่นแหละที่ว่าวิปัสสนา ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอเป็นวิปัสสนาได้อย่างนี้ ไม่เพียงแต่เป็นสติหรือเป็นสมาธิ แต่ไม่หมายความว่าเห็นด้วยตา ที่ตาเราเห็นเท้าของเรายกย่างเหยียบ ดังนั้นคำว่าดูและเห็นเป็นวิปัสสนานั้นต้องขนาดนี้นะ ดังนั้นขอให้ทำให้ถึงขนาดวิปัสสนาคือว่าดูและเห็น นี้ไม่ใช่เห็นด้วยตาก็เห็นด้วยจิตใจว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หรือจะเอาแต่อนัตตาก็พอ ความจริงดับกิเลสตัณหานั้นก็ดับด้วยอนัตตา เพียงอนิจจังยังไม่ดับ ต้องเห็นทุกขัง เห็นทุกขังยังไม่ดับ ต้องเห็นอนัตตา มันจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดบรรลุมรรคผลได้ เหมือนกับบาลีอนัตตลักขณสูตรนั่น ต้องเห็นอนัตตาอย่างนั้นจึงจะเบื่อหน่ายคลายกำหนัดไปตามลำดับ
ที่นี้เราจะมาทำกันเดี๋ยวนั้น การเห็นอนัตตาไม่มากพอไม่ชัดพอหาโอกาสทำคราวอื่น ที่อื่น เมื่อนั่งอยู่หรือเมื่อทำที่อื่นให้เห็นว่าสังขารทั้งปวงเป็นอนัตตา สิ่งต่างสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายเป็นอนัตตา ให้เป็นความหมายทั่วไปแก่สังขารทั้งปวง ที่เดี๋ยวนี้เราจะเอามาดู เอาปัญญาจักษุ ธรรมจักษุ นี้มาดูอยู่ตลอดเวลาทุกอิริยาบถ เมื่ออิริยาบถยืน แล้วก็ยืนหนอ สักว่าการยืนเท่านั้นหนอไม่มีตัวผู้ยืน ไม่มีตัวเจ้าของผู้ยืน เมื่อเดินนี่แยกเป็นย่างเหยียบ เป็นยกย่างเหยียบนี่ก็มันสักว่ายกย่างเหยียบ เป็นตามเหตุปัจจัยของมันเท่านั้นหนอ ไม่มีส่วนไหนที่จะเป็นบุคคลตัวตนอันแท้จริง นี่ถ้าว่ามันทำสำเร็จมันก็เป็นวิปัสสนา คือดูแล้วเห็นว่าไม่มีตัวตนบุคคลอะไร ทุกระยะเวลาที่ยกย่างเหยียบ ยกย่างเหยียบ ยกย่างเหยียบ นั่นนะคือการเพ่ง เพ่งดู เมื่อทำถูกวิธีของการเพ่งดูมันก็เห็น มันก็เห็นว่าสักว่าอาการอย่างนั้นเท่านั้นหนอ ที่นี้มันก็เห็นติดต่อ ติดต่อ ติดต่อกัน คือเห็นมากหรือเห็นพอ มันเหมือนกับย้ำๆๆๆๆลงไป เหมือนกับย้ำอะไร ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอก็คือย้ำทุกครั้งที่มันยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ว่ามันเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นขอให้มันเป็นการกระทำที่เลื่อนขึ้นไปจนถึงวิปัสสนาคือเห็น ดูแล้วเห็น อย่าเพียงว่า ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอแล้วทำท่าทำทางไปตามนั้น มันก็เหมือนอะไรก็ไม่รู้ มันไม่ใช่วิปัสสนา มันเหมือนกับลำละครก็ได้ ขอให้ทำให้เป็นวิปัสสนาที่ผมพูดนี้ แม้ที่สุดแต่ว่าเดินจงกรม ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ขอให้ทำให้มันเป็นวิปัสสนาอยู่ในนั้นแหละ ไม่ทำทีว่าดูด้วยตา เห็นๆๆๆๆ ท่ามันยกย่างเหยียบ แล้วไม่ทำ ไม่ทำเพียงสติคือรู้ สติกำหนดว่ายกย่างเหยียบ หรือไม่เป็นเพียงสมาธิว่าจิตมันจดจ่ออยู่ที่นั่น ดังนั้นขอให้เป็นปัญญาชั้นวิปัสสนาเห็นแจ้งว่า โอ้,นี่มันเป็นอาการสักว่ายกย่างเหยียบ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ผู้ยกย่างเหยียบ ไปทำซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ ความเห็นอนัตตามันก็ชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้นจนกว่าจะเพียงพอ ดังนั้นผู้ที่บริกรรมว่ายกหนอขอให้รู้ความหมายในขั้นวิปัสสนาว่ามันสักว่ามีการยกเท้าขึ้นมาเท่านั้นหนอ ยาวหน่อย สักว่าเท้ายกขึ้นมาเท่านั้นหนอ ไม่มีใคร ไม่มีบุคคล ไม่มีใครที่เป็นผู้ยกหรือเจ้าของการยก เมื่อย่างก็เหมือนกัน มันสักว่าอาการที่เท้ามันย่างไปเท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคลผู้ย่าง เหยียบลงไปสักว่าอาการที่เท้า มันเหยียบลงไปด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็ตาม สักว่าเท้ามันเหยียบลงไปเท่านั้นหนอ ไม่ใช่กูเหยียบไม่ใช่มีบุคคลตัวตนอะไรมันเหยียบ ดังนั้นทุก ๆ หนออาจจะทำให้เป็นวิปัสสนาได้ อย่างว่ามาถึงขั้นฉันอาหารหยิบหนอ ยกหนอ ใส่ปากหนอ เคี้ยวหนอ กลืนหนอก็เหมือนกันอีกแหละ อาการคือมือมันหยิบอาหารมาด้วยเหตุปัจจัยนามรูปอะไรก็ตาม ไม่มีกู ไม่มีกูผู้หยิบอาหาร ไม่มีกูผู้กินอาหาร ผู้กลืนอาหาร นี้จึงจะเห็นว่าไม่มีกู ไม่มีตนนี่แหละมีวิปัสสนาอยู่ทุกอิริยาบถ ในการกินอาหารเราจะแบ่งเป็นกี่ตอนก็ตาม มันพูดสั้นๆว่าหนอ แต่มันต้องเติมคำว่าสักว่า..เท่านั้นหนอ สักว่ามือหยิบอาหารเท่านั้นหนอ สักว่าใส่ปากเท่านั้นหนอ สักว่าฟันเคี้ยวเท่านั้นหนอ นี้เรามักจะพูดสั้นกัน สั้นจนเกินไป ว่าหยิบหนอ กินหนอ เคี้ยวหนอ มันเข้าใจผิดก็ได้ หรือมันไม่เป็นวิปัสสนาก็ได้ มันกลายจะเป็นตรงกันข้ามเสียก็ได้ มีตัวกูผู้กินหนอไปเสียก็ได้ ถ้าพูดหยาบๆ ลวกๆ ว่ากินหนอ มันอาจจะกลายเป็นว่า มีตัวกูผู้กินหนอมันก็ผิดหมด ถ้าอย่างนี้ นั้นสักว่ามันมีอาการอย่างนั้นหนอ เท่านั้นหนอ ไม่มีตัวใครผู้ทำอาการอย่างนั้นหนอ ที่นี้ส่วนที่มันละเอียดออกไปอีก ถ้าเผอิญว่าอาหารคำนั้นมันอร่อย มันจะรู้สึกอร่อย อร่อยหนอ แล้วก็ความหมายแบ่งไปได้ ๒ ทิศทาง อร่อยหนอคือกูอร่อยหนอ ดีหนอ อร่อยหนอ ถ้ามันถูกต้องเป็นวิปัสสนามันจะรู้สึกว่า โอ้,นี้มันความรู้สึกที่เกิดขึ้นแก่ระบบประสาทชนิดที่เขาสมมุติเรียกกันว่าอร่อยเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวตนแห่งความอร่อย ไม่มีตัวตนแห่งบุคคลผู้อร่อยเลยนั่น ถ้าเผอิญว่าคำนี้มันไม่อร่อย คำนี้มันเลวมาก มันไม่อร่อย จะพูดสั้นๆ ไม่อร่อยหนอ เดี๋ยวก็เกิดโทสะมีตัวตนผู้ไม่อร่อยแล้วเกิดโทสะ มันต้องเป็นว่า มันเป็นความรู้สึกที่เกิดกับระบบประสาทที่ลิ้นโดยเฉพาะ อย่างที่เขาสมมุติเรียกกันว่าไม่อร่อยเท่านั้นหนอ มันเป็นสักว่าความไม่อร่อยเท่านั้นหนอ ดูเอาเถอะ ไม่มีกูผู้ไม่อร่อยแล้วโกรธ ปัญญามันรู้ว่านี้ อ้อ,นี่มันสักว่าความรู้สึกแก่ระบบประสาทอย่างที่เขาเรียกๆ กันว่าไม่อร่อยเท่านั้นหนอ นี่คือปัญญาจักษุเห็นอยู่ เป็นวิปัสสนาอยู่ เมื่อมันรู้สึกว่าไม่อร่อย เมื่อมันรู้สึกว่าอร่อยก็เหมือนกันแหละ มันสักว่าความรู้สึกตามธรรมชาติ รู้สึกเองตามธรรมชาติแก่ระบบประสาท ในลักษณะที่เขาสมมุติเรียกกันว่าไม่อร่อยหรืออร่อยเท่านั้นหนอ เรื่องมันก็พอสำหรับที่จะเป็นวิปัสสนา เมื่อหยิบ เมื่อกิน เมื่อเคี้ยว เมื่อรู้สึกอร่อยหรือไม่อร่อยเป็นต้น ดังนั้นไอ้หนอนั่น มันมีความหมายที่ดิ้นได้นั่น ถ้าให้ชัดมันต้องว่าสักว่า อย่างนั้น เท่านั้นหนอ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะกลับตรงกันข้ามคือมันจะเน้นลงไปอีกว่าอร่อยหนอ ไม่อร่อยหนอ มันกลายเป็นมีตัวกูผู้อร่อยหรือผู้ไม่อร่อย ดังนั้นทุกเรื่องนั่นแหละแล้วแต่เราจะไปหนอกับอะไร กับอิริยาบถไหน เดินยืนนั่งนอน นอนหนอแล้วสักว่ามีอิริยาบถนอนเกิดอยู่แล้วเท่านั้นหนอ ไม่ใช่กูนอน ไม่ใช่กูเป็นผู้นอน ไม่ใช่มีตัวตนแห่งการนอน จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน จะกิน จะอาบ จะถ่าย อุจาระปัสสาวะ จะทุกอย่างแหละ ถ้าจะใส่คำว่าหนอแล้วก็ให้รู้ว่าความหมายอันนี้เขาต้องการจะบอกให้รู้ว่ามันเป็นสักว่า มันเป็นสักว่าเท่านั้นหรือเช่นนั้น เท่านั้นหนอ ถ้าอย่างนี้มันเป็นวิปัสสนาอยู่ ในอิริยาบถนั้นๆ มันถึงก็อาจจะบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ในอิริยาบถนั้นๆ อยู่ก็ได้ เพราะว่ามันวิปัสสนาการดูและเห็นนั้นมันมีอยู่ในที่ไหนเมื่อไหร่ในอิริยาบถไหน มันก็เกิดการบรรลุมรรคผลขึ้นได้ในอิริยาบถนั้นที่นั่นและเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นทำให้ดีๆ ซิ ทำให้ถูกๆ ให้ดีๆ ให้มันเป็นวิปัสสนาคือดูและเห็นอยู่ด้วยปัญญาจักษุ หรือด้วยธรรมจักษุ ก็จะบรรลุธรรม บรรลุธรรมคือบรรลุมรรคผล นี่คือความหมายของคำว่าวิปัสสนา ที่เรียกว่าเห็นถ้าไม่เคยเรียนบาลี ก็รู้ไว้เถอะว่าคำว่าปัสสนะแปลว่าเห็น คำว่าดูอีกคำหนึ่งไม่ได้รวมในคำนั้น แต่ว่าการเห็นมันมาจากการดู มันต้องมีการดูแล้วมันจึงมีการเห็น ถ้าดูด้วยตาเขาเรียกว่า โอโลเกนฺติ อะไรก็ตามที่มันดูด้วยตา แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ดูด้วยตา มันกำหนดด้วยสติ และก็เรียกว่าสติเอาปัญญามาสำหรับดู ถ้าปัญญาไม่มาก็ไม่มีอะไรจะดู ไม่มีอะไรเอามาปัญญามันก็ไม่มา ดังนั้นเราเอาสติเป็นเครื่องขนส่ง ดึงเอาปัญญามาแล้วปัญญามันก็ดูในทุกๆ อิริยาบถที่เราประพฤติกระทำอยู่ นี่สรุปความว่าขอให้ทำชนิดที่มันเป็นวิปัสสนา ถึงขึ้นที่มันเป็นวิปัสสนา เช่นว่า ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอก็ให้มันถึงขั้นที่มันเป็นวิปัสสนา คือรู้อยู่แก่ใจอย่างแจ้งแจ่มชัดว่า โอ้,มันสักว่าอิริยาบถยกย่างเหยียบเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกูผู้ยกย่างเหยียบเลย สักว่าเป็นกิริยาอาการของการยกย่างเหยียบเท่านั้นหนอ ก็ใช้ได้ นี่เรียกว่าวิปัสสนาคือการเห็น
เอ้า,ที่นี้ก็มีเรื่องในปริยายอื่นที่ว่าจะดูและเห็น โดยหลักพื้นฐานทั่วไปที่จะซักซ้อมไว้ตลอดเวลา ดูให้เห็นดูให้เห็น นั่นแหละมันเป็นปัญญาที่ดูและเห็น เช่นจะดูให้เห็นว่าธาตุทั้ง ๔ ดินน้ำลมไฟคืออะไร แล้วขึ้นมาเป็นนามเป็นรูปอย่างไร ขึ้นมาเป็นอายตนะ ๖อย่างไร ขึ้นมาเป็นขันธ์ เป็นเบญจขันธ์อย่างไร นี้ต้องดูจนเห็นเหมือนกันแหละ ต้องดูแบบวิปัสสนาจึงจะเห็น ถ้าดูแบบธรรมดาก็ดูแบบเปิดหนังสือตำราขึ้นมาก็ดูว่า โอ้,อย่างนี้เรียกว่าขันธ์ ๕ อย่างนี้เรียกว่าอายตนะ ๖ อย่างนี้เรียกว่าธาตุ ๔ ก็ดูหนังสือก็ดูตัวหนังสือก็เห็น แต่มันไม่เห็นตัวธรรมะ ดังนั้นต้องทำอีกชั้นหนึ่งด้วยหลับตา ปิดหนังสือด้วย แล้วก็ดูว่ามันหมายความว่าอะไร มันมีตัวจริงอยู่ที่ไหน แต่ว่าพูดได้เลยนะ พูดได้เลยทั้งหมดทุกเรื่องมันอยู่ข้างในนี่ อยู่ข้างในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ทั้งนั้นแหละ ไปดูที่อื่นไม่มี แล้วก็ไม่พบ ไม่พบตัวจริง มันต้องดูเข้ามาในร่างกายที่ยาววาหนึ่งนี้ ธาตุทั้ง ๔ คือดินน้ำลมไฟ มันอยู่ในร่างกายนี้อย่างไร นี่ข้อนี้มันละเอียดเกินไปอาจจะไม่ต้องดูก็ได้นะ แต่ถ้าดูก็ดี มันเป็นธาตุ๔ ดินน้ำลมไฟ ไฟลมอยู่ในร่างกายอย่างไร ตัวหนังสือมักจะเขียนไว้ไม่ค่อยถูกเรื่องนัก ธาตุดินคือผมขนเล็บฟันหนัง ธาตุน้ำคือเลือดหนอง ปัสสาวะ เหงื่อไคล น้ำเหลืองนี่ธาตุน้ำ แล้วก็ธาตุลมคือลมที่มันพัดขึ้นๆ ลงๆอยู่ ธาตุไฟคือความร้อน อย่างนี้ก็ได้ ก็ดูตามตัวหนังสือแล้วมันก็ดูไปที่ตัววัตถุ ตัววัตถุจนว่าผมขนเล็บฟันหนังมันตัววัตถุ น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำตา น้ำมูกเป็นตัววัตถุ ไอ้ตัวลมที่เลอเอิ๊กอ๊ากอยู่ก็เป็นวัตถุ ที่นี้ไฟความร้อนอยู่ที่ร่างกาย มันก็เป็นเรื่องของวัตถุ ถ้าหลับตาดูเขาเห็นลึกลงไปถึง เขาเรียกว่าคุณสมบัติ คุณสมบัติหรือคุณค่าหรือคุณสมบัติ ธาตุดินเขามีคุณสมบัติหรือมีกฎเกณฑ์ของมันคือมันจะกินเนื้อที่ เนื้อหนังกระดูกเล็บฟันอะไรก็ตาม มันเป็นธาตุแข็งแล้วมันก็กินเนื้อที่หมายความว่ามันมีวัตถุ มีสภาพเป็นวัตถุ มีส่วนประกอบขึ้นมาตั้งแต่ว่าเป็นปรมาณู เป็นอณู เป็นกลุ่ม เป็นอะไรขึ้นมาจนเรียกว่ากลุ่มนี้มันแข็ง มันกินเนื้อที่ คุณสมบัติที่มันกินเนื้อที่ ต้องการเนื้อที่นั่นคือธาตุดิน ถ้าอย่างนี้เราจะเห็นลึก เห็นลึกกว่าที่จะเห็นว่าเป็นผมขนเล็บฟันหนัง นั่นมันสมมุติหรือบัญญัติไปซะแล้ว ผมขนเล็บฟันหนัง ที่เราเห็นลึกละเอียดกว่านั้น เห็นโอ้,ไอ้พวกนี้มันมี มี มีกฎเกณฑ์ มีคุณสมบัติของมันคือมันจะกินเนื้อที่คือมันแข็ง มันทำให้ต้องการเนื้อที่ ถ้าเห็นอาการหรือสภาวะที่มันกินเนื้อที่ มันจะอยู่ในขนาดไหน ระดับไหนก็ตามถ้ามันกินเนื้อที่ นั่นแหละคือธาตุดิน คือเราเห็นธาตุดิน ที่นี้ธาตุน้ำคือว่าคุณสมบัติหรือลักษณะที่มันเกาะกันไว้ มันเกาะกันไว้ มันเกาะกันอยู่ ซึ่งมันละเอียดมาก ธาตุน้ำมีคุณสมบัติคือมันจะยึด จะยึด จะยึดกันไว้ คุณสมบัติอันนั้นต้องดูด้วยปัญญาจะเห็นว่ามันยึดกันไว้ นั้นถ้ามันไม่มีน้ำ ไม่มีธาตุน้ำเป็นเครื่องยึดกันไว้ ในส่วนที่เป็นของแข็งมันก็กระจายๆ นั้นมีธาตุน้ำมันเข้าไปยึดสิ่งเหล่านั้นให้ติดกันอยู่ เป็นกลุ่ม เป็นก้อนเป็นเหมือนกับกลุ่มหนึ่ง กองหนึ่ง อย่างต้นไม้นี่ที่มันเป็นใบ เป็นต้นเป็นอะไรอยู่ได้เพราะมันมีธาตุน้ำเป็นเครื่องยึด ยึด ยึดปรมาณู ยึดอณูเหล่านั้นไม่ให้จากกัน ดูตัวน้ำนั่นเองมันมีๆ ลักษณะที่มันจะรวมกันอยู่เรื่อย ไอ้น้ำมันมีลักษณะสำหรับจะรวมกันอยู่เรื่อย ถ้าไม่มีอะไรมามีอำนาจเหนือแล้วมันจะรวมตัวกันอยู่เรื่อย ถ้ามีอะไรมาแทรกลงไปมันก็แยกตัวให้เพราะมันสู้ไม่ได้ แต่พอยกสิ่งนั้นขึ้นเสียมันจะกลับรวมตัวกันอย่างเดิม อาการที่มันเกาะกุมกันอย่างนี้ก็เรียกว่าธาตุน้ำ ไม่ใช่น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำมูก น้ำตา น้ำลายไม่ใช่ ๆ นั่นเป็นเรื่องสมมุติของส่วนต่างๆที่มันมีลักษณะอย่างนั้น แล้วเป็นอยู่ในร่างกายลักษณะอย่างนั้น เรียกว่าเห็นหยาบเกินไป ไม่ใช่เห็นด้วยปัญญา ถ้าจะพูดทางวัตถุของธาตุน้ำเกาะกลุ่มกันเหมือนกับว่าเราผสมปูนกับทราย ถ้าเราไม่ใส่น้ำมันไม่มีทางจะเกาะกันได้ ถ้าเราเอาทรายกับปูนมาผสมกันแล้วเราใส่น้ำมันเลยมันจะเกาะกันแข็งเป็นคอนกรีต นี่เรียกว่าไอ้สิ่งที่ทำให้มันเกาะกุมกันเข้านั้นเรียกว่าธาตุน้ำ ในร่างกายนี้มี ถ้าไม่มีอันนี้กระจายออก ๆๆๆไปหมด กระจายเป็นปรมาณูหมด ส่วนที่เป็นธาตุน้ำมันทำให้เกาะกุม เกาะกุม เกาะกุมกันอยู่เป็นสัดเป็นส่วนแล้วก็ทำหน้าที่ได้ ร่างกายเป็นร่างกายอยู่ได้เพราะการเกาะกุมหรือเกาะยึดของไอ้ธาตุน้ำ คือว่าประมวลให้ธาตุดินถ้ามันยังเกาะกุมกันอยู่ได้เป็นรูปร่าง เป็นคนเป็นส่วนแห่งร่างกายหรือเรียกว่าเป็นร่างกาย ที่นี้ธาตุไฟก็คือความเผาไหม้ เผาไหม้ให้เปลี่ยนไป คุณสมบัติสำหรับจะเผาไหม้ให้มันไหม้ไป แล้วมันสูญไปแล้วมันมีอะไรเข้ามาแทนอย่างนี้ เช่นไฟที่มันย่อยอาหารก็เรียกธาตุไฟย่อยอาหาร มันเผาไหม้ มันให้เกิดสิ่งอื่นขึ้นมาแทน จะเรียกว่าความร้อนก็ได้แต่เนื้อแท้ความหมายของมันแท้ๆ คือการเผาไหม้ เป็นอุณหภูมิขนาดต่างๆ กันล้วนแต่เผาไหม้ไปตามขนาดของมัน การที่ทำให้ปรมาณูหนึ่งหายไปอันหนึ่งเกิดมาแทนนี่เรียกว่ามันเผาไหม้ ดังนั้นในร่างกายมีการเผาไหม้อยู่เรื่อย แต่เรามองไม่เห็นเพราะเราไม่เรียนไม่ศึกษา เพราะเราไม่เรียนไม่ศึกษากันทางนั้นว่ามันมีการเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา คือเซลล์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายนี้มันมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการที่มีการเผาไหม้ มีธาตุไฟเผาไหม้ จะเรียกว่าธาตุไฟทำกายให้อุ่น ธาตุไฟทำให้ย่อยอาหาร ธาตุไฟทำให้กระวนกระวายแล้วแต่ที่ตัวหนังสือเขียนไว้ แต่มันไปรวมอยู่ที่คำๆเดียวว่าคุณสมบัติที่เผาไหม้ ดูให้เห็น ที่นี้ธาตุลมมีคุณสมบัติคือเคลื่อน เคลื่อน เคลื่อนไหว มันต้องมีการเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นอาการเคลื่อนไหวนั้นเขาเรียกว่าธาตุลม มันต้องไปอยู่ในรูปที่เคลื่อนไหวได้ คือกลายเป็นแก๊สอะไรขึ้นมามันจึงเคลื่อนไหวไปได้ ส่วนที่เป็นแก๊สมันก็ระเหยมันคือเคลื่อน เคลื่อนไหว ร่างกายของเรามีการระเหยมีการเคลื่อนไหวอยู่ทุกเซลล์ ทุกๆ อณู ทุกๆ ปรมาณู คุณสมบัติที่ไหวที่เคลื่อนไหวไป นี่สำคัญมากที่ทำให้เปลี่ยนแปลงได้ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าเจริญได้ เสื่อมได้ อะไรได้ ถ้าเห็นอย่างนี้ดูเข้าไปที่ดินน้ำลมไฟ ที่เป็นส่วนประกอบของร่างกาย เห็นคุณสมบัติ ๔ อย่างนี้ ก็เรียกว่าเห็นธาตุทั้ง ๔ เห็นธาตุทั้ง ๔ ทำสมาธิที่ไหนตรงไหนเมื่อไหร่ก็ดูธาตุทั้ง ๔ ในลักษณะอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาก็ได้เหมือนกัน ทีนี้ธาตุ ๔ มันก็รวมกันเข้าเป็นเนื้อหนังมังสา หรือเป็นระบบประสาท หรือเป็นอะไรที่จะมาเป็นระบบตา ระบบหู ระบบจมูก ลิ้นกายใจ เป็นระบบๆ ไป นี่มันเป็นอายตนะ ที่มันเป็นร่างกาย มันก็เป็นส่วนร่างกาย เช่น เนื้อลูกตา หรือเส้นประสาทที่อยู่ในตา มันมีลูกตา มันมีประสาทตา มันก็เป็นโอกาสให้เกิดวิญญาณธาตุที่จะมาทำหน้าที่ขึ้นทางตา นี่ก็เห็นอีกธาตุคือธาตุวิญญาณ เราก็เห็นว่าทั้งหมดนี้ ทั้งดินน้ำลมไฟและวิญญาณนั้นต้องมีที่ว่างให้มันอยู่ ถ้าไม่มีที่ว่างมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไอ้ความว่างนี่ก็เป็นธาตุอากาศเรียกว่าอากาศธาตุ เป็นที่ว่างสำหรับให้ธาตุดินน้ำลมไฟ ธาตุวิญญาณอะไรจับกลุ่มกันทำงานทำหน้าที่ได้ จนกระทั่งมีระบบตา ระบบหู ระบบจมูก ระบบอะไรต่างๆ ทุกๆ ระบบ นี่เรียกว่าเรามันเห็นอายตนะ เห็นธาตุแล้วเห็นอายตนะ ทีนี้มันก็เห็นต่อไปถึงว่ามันทำงานสัมพันธ์กัน เมื่อตาทำหน้าที่ตา ก็เรียกว่ารูป รูปธรรมคือตาเกิดขึ้น แล้วมีการติดต่อกับรูปธรรมข้างนอกคือรูป แล้วก็เกิดวิญญาณทางตานี้เรียกว่าผัสสะ มีผัสสะแล้วมีเวทนา ถ้ามีเวทนาก็ต้องมีตัณหา มีอุปาทาน มีภพ มีชาติ เมื่อตาหูเป็นต้น มันทำงานก็เรียกว่ารูปเกิดแล้ว รูปขันธ์เกิดแล้ว พอสัมผัสแล้วเกิดเวทนา ก็เท่ากับเวทนาขันธ์เกิดแล้ว หรือว่าเมื่อตากับรูปเป็นต้น ถึงกันก็เกิดรูปขันธ์แล้ว แล้วก็เกิดวิญญาณขันธ์ทางตา วิญญาณขันธ์ทางหู วิญญาณขันธ์ทางจมูก เป็นต้น เห็นวิญญาณนั้น นี่ต้องเห็นด้วยปัญญาจักษุทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เห็นจากตัวหนังสือ พอเกิดเวทนาแล้วก็เวทนาขันธ์เกิดแล้ว มีการกำหนดเวทนาขันธ์ว่าเป็นอย่างไร อย่างนี้สัญญาขันธ์เกิดแล้ว กำหนดลงไปอย่างไรด้วยสัญญานั้นแล้ว มันก็เกิดความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นมา ก็เรียกว่าสังขารขันธ์เกิดแล้ว มันครบแล้ว รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ขันธ์ ๕ เกิดครบแล้วในร่างกายที่ยังมีชีวิต ยังเป็นๆ อยู่ มีระบบ ๖ คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสกับอารมณ์ภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผทัฐพะ ธรรมารมณ์ แล้วปรุงแต่งไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มันก็ครบเป็น ๕ คือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เรานั่งกำหนดดูอยู่อย่างนี้ก็เรียกว่าเห็นขันธ์ ๕ เห็นขันธ์ ๕ ที่จะดูขันธ์ ๕ ในแง่ไหนก็ดูไปซิ ในแง่ที่มันไม่เที่ยงก็ดูไปซิ ว่ามันปรุงขึ้นมาอย่างไร แต่ก่อนนี้ไม่มี เดี๋ยวนี้มันมี แล้วมันเปลี่ยนไปอย่างไร แล้วมันยุ่งยากลำบากในการบริหาร ทำความทุกข์ให้แก่บุคคลผู้เข้าไปยึดถือ ก็เรียกขันธ์๕ มันเป็นทุกข์ แล้วขันธ์ ๕ มันก็สักว่าการปรุงแต่งอย่างนี้เท่านั้นแหละ ปรุงแต่งอย่างนี้เท่านั้นแหละ ถึงขันธ์ ๕ ไม่บุคคล ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ตัวตน ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู นี่ดูขันธ์ ๕ นี่เรียกว่าความรู้หรือปัญญาต่อสภาวธรรมที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เราดู เห็น เราดูแล้วเห็น ไม่ใช่อ่านหนังสือแล้วจดไว้ หรืออ่านหนังสือแล้วจำได้ ไม่ใช่อย่างนั้นไอ้นั่นมันเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องวัตถุไป ที่มาดูตามวิธีที่ท่านมีให้ดู แนะไว้ให้ดู สอนให้ดู จนเห็นว่ามันเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลมไฟ อย่างไร เป็นอายตนะ ๖ อย่างไร นั่นเป็นขันธ์ ๕ อย่างไร ดูๆๆๆ หลับตายิ่งเห็น หลับตายิ่งเห็น อย่างนี้ก็เรียกว่าวิปัสสนาเหมือนกันเพราะว่าดูและเห็น ดูและเห็น จนเห็นว่าธาตุ ๔ เป็นอย่างไร อายตนะ ๖ เป็นอย่างไร ขันธ์ ๕ เป็นอย่างไร ที่นี่จะเห็นกลุ่มกิเลสตัณหา อุปาทาน ภพชาติและทุกข์ เป็นทุกข์อย่างไรก็เห็นหมด ถ้าเห็น เห็น เห็นโดยหลับตา เห็นด้วยหลับตานั่นแหละคือวิปัสสนา เพราะว่าจิต วิญญาณ จิตใจวิญญาณที่ประกอบอยู่ด้วยปัญญา มันเป็นผู้ดูและผู้เห็น ดังนั้นเรามาเอาจิตมาอบรม คือทำให้มีการอบรมจิตอยู่ด้วยปัญญาคือเห็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆไป มันก็มีปัญญา เป็นทรัพย์สมบัติของจิต นี่ต่อไปข้างหน้ามันจะไปมีเรื่องอะไรมันได้ใช้ปัญญาเหล่านั้นแหละ ทรัพย์สมบัติที่มันมีไว้นั้นแหละคือปัญญาความรู้พื้นฐานทั่วไปมันมีไว้เป็นทรัพย์สมบัติ ที่มันเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา อันนี้มันจะออกไปช่วยโดยสติมันพาไป มันจะไปมีเรื่องที่ไหนเมื่อไหร่ก็ตามใจ สติมันจะพาปัญญาที่เราอบรมไว้ตลอดเวลานี้มาจัดการกับปัญหาเหล่านี้ เพื่อให้รู้ตามที่เป็นจริง ว่าไม่ใช่ตัวตน ก็เลยไม่ยึดถือสิ่งใดในความเป็นตัวตน กิเลสเกิดไม่ได้ก็ไม่มีความทุกข์ เช่นว่ายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอนี่ มันมีสติ มีปัญญามารู้ ว่าโอ้, นี่มันสักว่าอิริยาบถ ยก ย่างเหยียบเท่านั้น ไม่มีตัวตน เพราะเราได้ศึกษาเรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะมาพอสมควรแล้วว่าโอ้,มันไม่มีตัวตน เดี๋ยวนี้ร่างกายมันก็ทำอาการได้สิ ยก ย่าง เหยียบ ยก ย่าง เหยียบ หรือว่าเดิน หรือนอน หรือกินหรือเคี้ยว หรือหนอๆ ให้มันสักว่าอย่างนั้นเท่านั้นหนอ สักว่าอย่างนั้นเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวกู ไม่มีตัวตน ที่จะเป็นเจ้าของไอ้การกระทำเหล่านั้น นั่นแหละคือวิปัสสนา ดูและเห็น ที่นี้ถ้ามันเกิดเรื่องจะเอาเป็นเอาตายกัน ยิ่งจำเป็นมากที่จะต้องมีวิปัสสนารวดเร็วทันที คือว่าตา ตามันเห็นรูปที่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส ตาที่เห็นรูปน่ารักหรือน่าเกลียดก็ตาม มันต้องมีวิปัสสนาที่แท้จริงมากพอ รวดเร็วด้วยสติ มาเห็น มาเห็นด้วยปัญญาว่า โอ้,มันสักว่าเท่านั้นหนอ สักว่ารูปเท่านั้นหนอ สักว่ารูปที่เขาสมมุติบัญญัติเรียกกันว่ารูปผู้หญิงเท่านั้นหนอ ถ้ามันมีลักษณะสวย มันก็บอกว่า โอ้,มันก็มีลักษณะชนิดที่เขาสมมุติเรียกกันว่าสวยเท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคลอะไรที่จะเอาเป็นตัวตนได้ มันก็ไม่เกิดกิเลสเช่นความรัก ความกำหนัด เป็นต้น มันก็จะรู้สึกโอ้,สักว่ารูปอันหนึ่งเท่านั้นหนอ ตามที่เขาสมมุติบัญญัติกันว่ารูปหญิงหรือรูปชาย ตามที่เขาสมมุติบัญญัติกันว่าสวยหรือไม่สวยเท่านั้นหนอ เท่านั้นหนอ นี่คำว่าหนอมันมีลักษณะไปในทางเห็นความจริง เป็นเรื่องทำให้ว่าง ให้ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ คือมีลักษณะทำลายไปความโง่ ทำลายสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ถ้ามันหนอถูกต้อง ถ้ามันหนอไม่ถูกต้องมันจะตรงกันข้าม มันจะกลายเป็นมีตัวมีตนที่จะเอาจะเป็นจะได้ อย่างนี้ล้มละลายหมดแหละ มันผิดความหมายของคำว่า หนอ นั้นวิปัสสนาที่ทำไว้ คือฝึกไว้เป็น เป็นอะไร เป็นทรัพย์สมบัติ เป็นทุนรอน เป็นเดิมพัน เป็นอะไรนั้น ต้องมีอยู่มากพอพอเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะได้เอามาใช้ได้ทันได้พอ เมื่อตาเห็นรูปสวยหรือไม่สวย เมื่อหูได้ฟังเสียงไพเราะหรือไม่ไพเราะ เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็น เมื่อลิ้นได้สัมผัสรสอร่อยหรือไม่อร่อย เมื่อกายได้สัมผัสนิ่มนวลหรือหยาบกระด้าง เมื่อจิตได้รับอารมณ์ที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจนี่ ไอ้ปัญญาหรือวิปัสสนามันจะวิ่งมาทันหรือวิ่งมาได้ทัน สำหรับจะไม่ไปหลงรักไอ้รูปที่น่ารักหรือเกลียดรูปที่น่าเกลียด ไปหลงรักเสียงที่ไพเราะแล้วไปเกลียดเสียงที่ไม่ไพเราะ มันเป็นของที่มีประจำอยู่ทุกวันๆแก่ทุกคน ซึ่งไม่รู้อะไร คนโง่ไม่รู้อะไร รูปน่ารักมามันก็รู้สึกรักทันทีห้ามไม่ทัน การปรุงแต่งมันเร็วมาก ห้ามไม่ทัน เพราะคนนั้นมันไม่มีวิปัสสนา ไม่มีปัญญา เรียกว่าไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุติปัญญา วิมุติเอาซะเลย มันไม่มีวิปัสสนาหมายความว่าอย่างนั้น ดังนั้นมันก็หลงรักรูปที่น่ารักหลงเกลียดรูปที่น่าเกลียด หลงรักเสียงที่ไพเราะ หลงเกลียดเสียงที่ไม่ไพเราะ หลงรักกลิ่นหอมเกลียดกลิ่นเหม็น หลงรักรสอร่อย เกลียดรสที่ไม่อร่อย หลงใหลสัมผัสที่นิ่มนวล เกลียดชังสัมผัสที่กระด้าง เพราะปัญญามันไม่พอเพราะวิปัสสนามันไม่เห็น ตอนนี้มันไม่มีจิตที่ประกอบด้วยปัญญาที่เป็นวิปัสสนาแล้วเห็นว่ามันสักว่าอย่างนี้เท่านั้นหนอ มันสักว่ารูปตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ แต่เป็นชนิดที่เขาสมมุติเรียกกันว่าสวย หรือเป็นชนิดที่เขาสมมุติเรียกกันว่าไม่สวย นี่เป็นบัญญัติทางภาษาซึ่งใครๆทุกคนก็บัญญัติเหมือนกัน เสียงที่ไพเราะเสียงที่ไม่ไพเราะ กลิ่นที่หอมกลิ่นที่เหม็น ไอ้สิ่งทั้ง ๖ หมู่ ๖ กลุ่มนี้มันมีอยู่ทั่วไป เป็นประจำทั้งวันทั้งคืนทั้งเดือนทั้งปี แล้วก็มันจะเข้ามาสัมผัสกับเรา กับเรานี่มันคำสมมุติว่าเรานะ คือมาสัมผัสกับนามรูปอันนี้ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจ มาสัมผัสนามรูปนี้แต่เราเรียกว่า เรา เราพูดภาษาชาวบ้านสมมุติว่าเรา เราในที่นี้มันก็ไม่มีตัวเรา วิปัสสนานั่นแหละจะทำให้เห็นว่าไม่มีตัวเรา แต่เราก็สมมุติพูดเรียกกันตามภาษาคนทั่วไปว่าเรา ที่จริงคำว่าเราเป็นคำแทนชื่อของนามและรูปที่ยังมีชีวิตเป็นๆ ยังประชุมคุมกันอยู่ ยังทำอะไรได้ตามแบบของนามรูป ถ้าเราเห็นทั้งหมดนี้เราก็ โอ้,มันสักว่านามและรูปเท่านั้นหนอ ไม่มีตัวเรา นามคือจิต ธาตุที่เป็นจิต รูปคือธาตุที่เป็นวัตถุ มันสักแต่ธาตุที่เป็นวัตถุและธาตุที่เป็นนามรวมกันอยู่ ทำงานกันอยู่ ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ถ้ามีวิปัสสนามันจะรู้สึกอย่างนี้คือเห็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีวิปัสสนามันก็เห็นตามแบบกิเลส อวิชชา ความโง่ ความหลง ก็เป็นมีตัวเรา มีตัวตนแห่งความสวยงาม ตัวตนแห่งความไม่สวยงาม ตัวตนแห่งความไพเราะ ตัวตนแห่งความไม่ไพเราะเป็นต้น และก็มาหลงรักในส่วนที่ชวนให้รัก ก็หลงเกลียดหรือโกรธในสิ่งที่มันชวนให้เกลียดให้โกรธ ก็คือปุถุชนคนธรรมดาที่มีความทุกข์ ไม่มีวิปัสสนาเลย กระทั่งมันมีความรู้ชนิดนี้ ดูแล้วเห็น ดูแล้วเห็น ดูแล้วเห็น เป็นความรู้อยู่เต็มที่ คนนั้นมันมีวิปัสสนา คนนั้นจะไม่ไปหลงอะไรชนิดทำให้เกิดปรุงแต่งเป็นความทุกข์ขึ้นมาในจิตใจตลอดชีวิตเลย ก็รอดตัว รอดตัวเพราะเห็นอย่างถูกต้อง อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งถูกต้องโดยประจักษ์ หลงไม่ได้อีกต่อไป นี่คนเรามันมีปัญหาเท่านี้ เพราะว่าเกิดมาจากท้องแม่ มันก็มีแต่สิ่งที่ชวนให้หลง ไม่มีแต่ ไม่มีสิ่งที่ชวนให้รู้แจ้งตามที่เป็นจริงว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอเกิดมาจากท้องแม่ก็มีสิ่งแวดล้อมมาชวนให้หลง นั้นน่ารักนี่ไม่น่ารัก นั้นน่าเกลียดนี่น่ากลัว นี้ของเรา นี้ของแก นี้ของฉันมันมีแต่ทำให้โง่ จนเติบโตขึ้นมามันก็เป็นคนโง่ เป็นปุถุชนคนโง่ ถ้าโชคดีได้มาฟังคำสั่งสอนของพระอริยะเจ้านี่ มันจึงจะมีโอกาสฝึกจิตใจกันเสียใหม่ ให้มีการดูและการเห็น ก็เรียกว่ามีความรู้เรื่องเจโตวิมุติปัญญาวิมุติเข้ามา มันไม่มีมาแต่ในท้อง แล้วคลอดออกมาจากท้องแม่แล้วมันก็ยังไม่มี แล้วมันกลับมีสิ่งที่ทำให้เห็นผิด หลงผิด เข้าใจผิดในทางที่จะเป็นทุกข์ แต่ความทุกข์มันก็ดีเหมือนกันแหละ ไอ้ความทุกข์มันก็ดีเหมือนกันแหละคือมันกัดเอาเจ็บปวด แล้วมันทำให้คิดเสียใหม่ ไอ้ความทุกข์ทำให้คนฉลาด ความทุกข์ทำให้คนหาที่พึ่งที่จะดับทุกข์ ความทุกข์มันก็มีดีอย่างนี้ ในพระบาลีมีชัดว่าความทุกข์เป็นเหตุให้เกิดศรัทธา ศรัทธาเป็นเหตุให้เชื่อปฏิบัติตาม จนกระทั่งว่ารู้ก็ทำให้ดับทุกข์ได้ เพราะมันมีความทุกข์บีบคั้น แต่ถ้าคนโง่มันก็ไม่รู้สึกว่าความทุกข์บีบคั้น มันจะเอากันไปตามแบบของความทุกข์เรื่อยไป แต่ถ้าเขาเป็นคนฉลาด เขาจะรู้อันนี้เป็นความบีบคั้น เราจะต้องเอาชนะให้ได้ คือว่าเราจะต้องทำให้มันบีบคั้นเราไม่ได้ นั่นแหละถ้าเราได้ความรู้ชนิดนั้นมา มันก็บีบคั้นเราไม่ได้ ความรู้ชนิดนั้นแหละเขาเรียกว่าวิปัสสนา ท่านทั้งหลายที่จะทำตนเป็นวิปัสสนาจารย์ ขอให้มันมีวิปัสสนา ขอให้มีวิปัสสนาที่แท้จริง อย่ามีวิปัสสนาที่ใช้อะไรไม่ได้ ขอให้มีวิปัสสนาที่มันประพฤติ คือทำถูกต้องหมดในทุกสิ่งที่มันจะเข้ามาเกี่ยวข้องกันคนเรา เขาเรียกว่าเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าธรรมดาคือเป็นมนุษย์ที่มิใช่ปุถุชน เขาเรียกว่าพระอริยะเจ้าคือประเสริฐ ประเสริฐอย่างไร ประเสริฐกว่าคนธรรมดาไง คนธรรมดามีแต่จะโง่และเป็นทุกข์เพราะมันไม่มีวิปัสสนา อริยบุคคลมันไม่โง่ มันไม่เป็นทุกข์เพราะมีวิปัสสนา เราใคร่ครวญดูให้ดีเถอะ ให้มันพบคุณค่าหรือความหมายแท้จริงของคำว่าวิปัสสนา คือดูเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ไม่หลอกเราได้อีกต่อไป นี่วันนี้ผมไม่พูดอะไรมากไปกว่าอธิบายคำว่าดูและเห็น กลัวว่าจะไม่เข้าใจคำว่าดูและเห็นอย่างเพียงพอ แล้วกลับไป เมื่อคืนก็พูดถึงหลักเกณฑ์อันใหญ่ที่ว่าดูและเห็นเป็นวิปัสสนา ที่วันนี้ก็อธิบายความหมายของคำว่าดู ของคำว่าเห็นให้มันชัดออกไปอีก ที่จริงมีอีกมาก แต่ประมวลเอามาแต่สาระ แก่น แก่นสารของเรื่องแล้วก็มาพูด เพื่อเข้าใจคำว่าเห็น รวมทั้งคำว่าดูด้วย ถ้าไม่ดูมันก็ไม่เห็น ดังนั้นต้องดู คำว่าดูก็ต้องดูให้เป็น ดูให้ถูกต้องตามวิธีของการดู ไม่งั้นมันก็ไม่เห็น เพราะฉะนั้นขอให้ทำวิปัสสนา ทำวิปัสสนาให้มันเป็นวิปัสสนา มันจะเป็นการดูที่ถูกต้องแล้วมันก็จะเห็น แล้วมันก็จะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ปัญหาของเราก็แก้ได้ ปัญหาของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมันก็แก้ได้ ด้วยเหตุเพียงว่าดูและเห็น มีธรรมจักษุ มีปัญญาจักษุ ดูแล้วเห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ฝึกดูสิ่งทั้งปวงไว้เป็นนิสัย พอมันเกิดปัญหาขึ้นมาจากสิ่งใดๆ ก็ดูสิ่งนั้นให้มันกระจุยไปเลยให้ มันแตกสลายกระจุยกระจายไปไม่เกิดความทุกข์ขึ้นแก่เราได้ เรื่องมันมีอย่างนี้ นั้นหน้าที่ที่เราต้องทำมันมีอย่างนี้ นั้นขอให้ทุกๆ ท่านนี่ทำให้มันเป็น ทำวิปัสสนาให้เป็นวิปัสสนา และใช้วิปัสสนาให้เป็นประโยชน์สมกับความหมายของคำว่าวิปัสสนา คือลืมหูลืมตา เป็นพุทธบริษัท ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของระบบวิปัสสนาชนิดนี้ วิปัสสนาชนิดอื่นของพวกอื่นก็มี เราไม่ต้องพูดหรอก เพราะมันมีความหมายอย่างอื่น ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเอามาพูดให้เสียเวลา เราจะมีวิปัสสนาของพระพุทธเจ้าที่มันจะดับทุกข์ ดับกิเลส ดับความทุกข์ได้ ไม่ให้เวียนว่ายในกองทุกข์อีกต่อไป ขอให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้ ขอให้ศึกษารายละเอียดอื่นๆ มาประกอบกันเข้าให้สมบูรณ์ คงจะมีความรู้ความสามารถ สร้างสรรค์วิปัสสนาอันแท้จริงขึ้นมาได้ในเวลาอันสมควร
ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ และขอแสดงความหวังตามเคย ว่าถ้าท่านทั้งหลายจะมีความเข้าใจอย่างถูกต้อง มีความเชื่อ มีความกล้าหาญ มีความเสียสละอันเพียงพอที่จะดำเนินจิตอันเป็นหน้าที่ของตนให้สำเร็จมีประโยชน์มีความก้าวหน้าในหนทางแห่งพระศาสนาอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.
ขออีก ๒๐ รูปไปบิณฑบาต แล้วยังงัยจะกลับตอนไหน ตอนเย็น ตอนค่ำ รถคันใหญ่จะมารับที่นี่ ดีมาก