แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตั้งใจจะกล่าวคำบรรยายชุดนี้โดยหัวข้อว่า ธรรมะปริทรรศน์โดยพื้นฐาน กล่าวในความหมายทั่วๆไปปริทรรศน์แปลว่า มองดูรอบๆ ต่อ ธรรมะปริทรรศน์ก็แปลว่า มองดูรอบๆทั่วๆไปต่อสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ แล้วก็โดยพื้นฐาน หมายความว่าในขั้นที่เป็นพื้นฐานทั่วๆไป ไม่ใช่สุดยอด ทั้งนี้เป็นการเตรียมในขั้นต้น สำหรับผู้บวชใหม่หยกๆที่ศึกษาธรรมะ แล้วก็ศึกษาไปในอันดับสูงๆขึ้นไป
ในชั้นแรกนี้เราจะดูโดยทั่วๆไปในระดับพื้นฐาน คำว่าปริทรรศน์นั้นแปลว่าดูรอบๆ ดูทั่วๆ ก็ต้องให้มั่นทั่วจริงๆ เราจะกล่าวกันหลายขั้นตอน ในขั้นตอนแรกนี้ก็คือ ปัญหาขัดข้องเกี่ยวกับไม่รู้ว่าจะตั้งต้นศึกษาธรรมะกันอย่างไรนั่นเอง มันคล้ายๆกับว่าไอ้คนบ้าๆบอๆอะไรก็ไม่รู้คนหนึ่ง มันไปที่โรงพยาบาล แล้วก็ว่าให้หมอช่วยรักษาที ขอยากินที อะไรอย่างนี้ แล้วหมอก็ถามว่าเป็นอะไร มันก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร บอกว่าไม่เป็นอะไร นี่เดี๋ยวนี้คนจำนวนมากก็อยู่ในลักษณะเช่นนี้ มาศึกษาธรรมะ เห่อๆตามๆกันไป ว่ามีคนเป็นอันมากสนใจศึกษา แล้วก็ไม่รู้ว่าศึกษาทำไม ไม่มีความเจ็บไข้ หรือไม่มีความทุกข์ที่เป็นเหตุให้ต้องทำการรักษา ทุกคนควรจะพิจารณาดูตนเองว่ามันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
ถามว่ามีปัญหาอย่างไรจึงมาสนใจธรรมะ บางคนก็ตอบว่าไม่มีปัญหา ตอบซื่อๆตรงๆว่าไม่มีปัญหา นี่ก็เป็นความจริง เพราะเขาไม่รู้ ไม่รู้จักไอ้ตัวปัญหา แล้วจะพูดกันอย่างไรต่อไป เมื่อไม่มีปัญหา มันก็ไม่รู้ว่าจะศึกษาไปทำไม แม้คนไทยเราทั่วๆนี่ไปก็ยังเป็นอย่างนี้ ศึกษาธรรมะตามขนบธรรมเนียมประเพณี อย่างมากก็คาดคะเนว่ามันคงจะมีประโยชน์ บางคนก็ยังถือเอาว่าได้บุญๆ เป็นเรื่องได้บุญ เช่นเดียวกับการได้บุญอย่างอื่นๆที่เชื่อว่าได้บุญแล้วมันก็ได้บุญทั้งนั้น เขาพอใจแล้ว ไม่ต้องรู้ว่าบุญคืออะไร เป็นอย่างไร ที่เป็นนักศึกษาโดยเฉพาะก็มีที่ไม่รู้ว่ามันมีปัญหาอะไรที่ทำให้ต้องมาศึกษา ปฏิบัติธรรมะ ที่ต้องทำให้ค้นคว้าธรรมะ นั่นแหละมันเป็นปัญหาโดยพื้นฐาน ปัญหาขั้นพื้นฐาน แม้พวกฝรั่งก็เหมือนกัน เคยสอบถามดูโดยมากจะตอบว่าไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ถ้าถามว่ามีความทุกข์ไหม จะตอบว่าไม่มีความทุกข์ แล้วดูเหมือนคล้ายๆกับว่ามันจะรู้สึกว่าเสียเกียรติมาก ขายหน้ามาก ถ้าตอบว่ามีความทุกข์ เขาจึงไม่รู้ว่าจะศึกษาธรรมะเพื่อประโยชน์อะไร ถามเขาว่าถ้าอย่างนั้นมากศึกษาธรรมะทำไม มาฝ่ายบ้านนี้ เมืองนี้ มาฝ่ายตะวันออกนี้ศึกษาธรรมะทำไม เขาก็ถือว่าเป็นความรู้รอบตัวทั่วๆไปเหมือนกับความรู้อย่างอื่น ซึ่งเขาต้องการจะรู้อีกมากๆหลายอย่าง ก็มาศึกษาธรรมะในลักษณะอย่างนั้น เรียกว่าเพื่อความรู้รอบตัว นี่มันจึงเป็นเรื่องที่ทำกันไม่ค่อยจะได้ เป็นคนสบายดี แล้วก็หาความรู้อะไรก็ไม่รู้เผื่อๆไว้มากๆ แล้วบางทีน่าหัวอีกข้อหนึ่งก็คือว่า ธรรมะนี่ โดยเฉพาะพุทธศาสนานี่ เป็นเรื่องดับทุกข์ มีไว้สำหรับดับทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราบัญญัติแต่เรื่องความทุกข์ กับความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เท่านั้น คือ ๒ เรื่องเท่านั้น ทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น ทีนี้พวกฝรั่งที่เขาเรียนมาอย่างฝรั่ง หรือตามธรรมเนียมของฝรั่ง เขาว่าไอ้เรื่องดับทุกข์หรือไม่มีทุกข์นี้เป็นเรื่องไร้สาระ เพราะว่ามันจะเป็นคนผิดปกติ ถ้าเป็นคนที่ไม่มีความทุกข์เสียเลย เขาว่าเป็นคนปกติ นั่นน่ะคือเขาเข้าใจคำว่าพระอรหันต์ผู้ดับทุกข์สิ้นเชิงอันนี้ไม่ได้ เขาเข้าใจไม่ได้ ทำอย่างไรเสียก็เข้าใจไม่ได้ เพราะเขาเข้าใจว่าดับทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีทุกข์ มันเป็นคนผิดปกติ ไม่ใช่คนปกติตามที่ควรจะเป็น เขาใช้คำว่า Abnormal คือว่ามันผิดปกติ มันไม่ใช่คน วิปริต ผิดปกติ ถ้าคิดอย่างนี้แล้วมันก็ยิ่งไม่เข้าใจธรรมะ เพราะว่าธรรมะนี้มันมีแต่เรื่องดับไม่เหลือแห่งทุกข์
การเผยแผ่ธรรมะมันจึงยังมีอุปสรรค ยังมีอุปสรรค แต่ว่ามันไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้ไปเสียทั้งหมด มันมีที่พูดกันรู้เรื่อง หรือพอจะพูดกันรู้เรื่องก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนก็สนใจธรรมะกันมากขึ้น แล้วก็มีฝรั่งบางพวก เขาเบื่อๆศาสนาที่มีพระเจ้า มีพระเป็นเจ้า คือศาสนาเดิมของเขา ศาสนาคริสต์มีพระเจ้า มีพระเป็นเจ้า มีคำสอนระบบผูกขาดที่เรียก รวมเรียกกันว่า Dogma
Dogma คือ เขาเขียนไว้อย่างไร บัญญัติไว้อย่างไร แล้วก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คัดค้านไม่ได้ ต้องเชื่อเต็มตามนั้น เช่นว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก พระเจ้าจะเป็นผู้ช่วยเรา หรือพระเจ้าอะไรก็ตามที่มีอยู่ตายตัว ไม่ยอมให้วิพากษ์วิจารณ์ แล้วให้เชื่อๆๆๆๆลงไปกี่ๆชั้นก็ตาม ให้เชื่อเท่านั้น ให้เชื่อๆๆ ฝรั่งบางคนเขาเบื่อ เขาจึงหันมาศึกษาพุทธศาสนา โดยที่เห็นว่าไม่ต้องเชื่อๆ มีโอกาสที่จะใช้สติปัญญาของตนเอง เรียกว่าทำไปได้ตามความพอใจของตนเอง ดูๆก็ๆเป็นเรื่องเสรีภาพมากกว่า พุทธศาสนาให้เสรีภาพกว่า ไม่ต้องมีพระเจ้าที่ผูกขาดอะไรเสียคนเดียวอย่างนี้ก็มี ถ้ามันเป็นอย่างนี้ หรือคล้ายๆอย่างนี้มันก็ค่อยยังชั่วหน่อยที่จะศึกษาพุทธศาสนาได้โดยสะดวก โดยง่าย และก้าวหน้า ทีนี้เราดูกันเองว่า ไอ้เรานี่บวชแล้วก็จะศึกษาพุทธศาสนานี้มันด้วยเหตุผลอะไร ในการมองเห็นประโยชน์อย่างไร
ท่านก็ดูให้ดี โดยเฉพาะที่บวชใหม่ ที่เพิ่งมาวันนี้ ได้บวชนี้มันก็มีปัญหา หรือกำลังมีปัญหาเพราะว่าไอ้การบวชตามธรรมเนียมนี้มันไม่เคยมี ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาไม่เคยมี บวชตามธรรมเนียมมันไม่มี มันบวชเพราะคนนั้นทนอยู่ไม่ได้ เพราะได้ฟังธรรมะแล้วก่อนบวช ฟังธรรมะแล้วเข้าใจเห็นชัดว่าต้องทำอย่างนั้นๆๆจึงจะดับทุกข์สิ้นเชิง แล้วเขาก็มองเห็นพร้อมกันไปในตัว ในคราวเดียวกันว่า โอ้,ระบบอย่างนี้ เป็นฆราวาส ประพฤติให้ดี ให้มีผลดีไม่ได้ จะประพฤติพรหมจรรย์ เหมือน ให้บริสุทธิ์เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว นี่พูดตามสำนวนบาลี ประพฤติพรหมจรรย์ให้เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว ในเพศฆราวาสนี่ทำไม่ได้ เขาจึงมาบวช เพื่อให้สะดวกแก่การที่จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ ในลักษณะอย่างนี้ เขาจึงมาบวช นั่นแหละการบวช ถ้าจะพูดให้ตรงไปตรงมาก็พูดว่า มันสะดวก บวชเพื่อสะดวกในการประพฤติพรหมจรรย์ มีเหตุผล ๑๐๐% จึงบวช นี่เดี๋ยวนี้เรามีธรรมเนียมว่าต้องบวช รู้สึกต่อธรรมะ หรือต่อพรหมจรรย์อย่างไรก็ไม่รู้ มีธรรมเนียมว่าต้องบวชก็บวช มันก็เคว้งคว้าง ถ้าโชคดีมันไปคว้าถูก มันก็เดินไปตามรอยได้ แต่ถ้าบวชเพียงระยะสั้น ไม่มีเวลาพอที่จะเดินไปตามรอยนั้นได้ เพราะฉะนั้นบวชตามประเพณีนี่มันก็มีปัญหา แต่ถ้าเอาเป็นว่าเป็นการศึกษาตามแต่ที่จะศึกษาได้ แล้วมันก็ดีกว่าที่ไม่ได้ศึกษา เมื่อบวชแล้วมันศึกษาสะดวกกว่าก็บวช ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่บวชตามประเพณีจะต้องจัดตัวเองให้มาเข้ารูปเข้ารอยอย่างนี้ เพราะบวชตามประเพณี แต่แล้วก็ไม่บวชเปล่า หาโอกาสศึกษาให้รู้ธรรมะพื้นฐานไว้พอ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์จนตลอดชีวิต
ทีนี้มันมีอีกชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่าบวชลองดูๆ ไม่เชิงจะเป็นการบวชตามประเพณีนักแล้ว แต่เขาอยากจะบวชลองดูว่ามันจะได้อะไร อย่างนี้ก็มี บวชลองดูก็ได้ มันก็เข้ามาอย่างมืด มืดตื้อ เข้ามาอย่างมืดตื้อ เมื่อเข้ามาแล้วจะทำให้มีแสงสว่าง เป็นทาง เป็นแนวตลอดไปได้หรือไม่ นั่นหน่ะมันอยู่ที่นั่น ถ้าเข้ามาแล้วโชคดีมันจับฉวยเอาได้ถูกต้อง เดินไปตามทางได้สะดวก ก็ใช้ได้ ไม่ๆๆเสียหลาย เพราะว่าเขาคงจะไปคลำพบจุดตั้งต้นต่างๆของปัญหา ของสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ ซึ่งเป็นปัญหาของชีวิตนี้ ทั้งหมดนี้เป็นการบอกให้รู้ว่าบวชที่ การบวชที่ไม่รู้ว่าบวชทำไมมันก็มีอยู่ บวชตามประเพณีก็ดี บวชลองดูก็ดี ยังไม่รู้ว่าบวชทำไม
ทีนี้ก็จะชวนกันพิจารณาต่อไปว่า ถ้าจะให้เป็นผลดีในการบวชนี้ มันจะต้องมีความเข้าใจถูกต้องอย่างไร เรียกว่าทำกันอย่างลืมตา ทำกันอย่างลืมหูลืมตา ไม่ใช่บวชตามประเพณี ไม่ใช่บวชลองดู นี่เป็นการบวชชนิดที่มันมีเหตุผล เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของไอ้ธรรมะ ของสัจจะ ของไอ้ธรรมชาติที่ถูกต้อง มันก็พอจะพูดได้ว่ามันมีอยู่ เหตุผลอันนั้นมันมีอยู่ สำหรับเรา มันไม่เหมือนกับคนที่เขาบวชครั้งพุทธกาลหรอก เพราะเขาได้ฟังแล้ว เข้าใจแล้ว อยากจะดับทุกข์เร็วๆ เขาจึงบวชแล้วก็ไปกันเลย เดี๋ยวนี้เรายังจะต้องสึกอีก มีเข้ามาแล้วยังต้องถอยกลับออกไป แต่มันก็ควรจะรู้ๆๆหนทางของบุคคลที่เขามีเหตุผล เราจะต้องมีปัญหา เรียกว่าปัญหาแท้จริง ที่ทำให้มองเห็นว่ามันต้องบวช ซึ่งพอที่จะแจกได้เป็น ๒ ขั้นตอน นั่นคือบวชเพื่อหาวิธีกำจัดความทุกข์ตามที่ปรากฏอยู่ นี่ก็พวกหนึ่ง เรียนธรรมะ ศึกษาธรรมะเพื่อจะขจัดความทุกข์ตามที่มันปรากฏอยู่จริง ทีนี้อีกขั้นตอนหนึ่งเพื่อจะทำให้ๆแจ้งถึงธรรมะขั้นสูงสุดที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ มันจะดีที่สุดกันได้อย่างไร เราจะเข้าไปถึงที่นั่นให้ได้ คุณต้องความเข้าใจดี พวกหนึ่งมันมองเห็นความทุกข์อยู่อย่างนั้นๆ ตามที่ตัวมีอยู่จริง แล้วบวชเพื่อจะรู้วิธีดับทุกข์นั้นเสีย ทีนี้อีกพวกหนึ่งมันก็บวชเพื่อจะก้าวไปสู่จุดยอดสุดของไอ้ความดีสูงสุดของมนุษย์ แล้วมันก็รู้เหมือนกันว่าไอ้ชีวิตบวชนี้มันเร็วกว่า มันสะดวกกว่า จะอยู่เป็นฆราวาสมันก็ช้า มันก็หนัก เหมือนกับคนเดินตัวเปล่า กับคนเดินหาบของหนักๆไปด้วย อย่างไหนมันจะเดินสะดวก หรือเร็วกว่ากัน
เท่าที่เราจะประมวลดูจากเรื่องราวในพระบาลีทั้งหลาย มันพบว่ามันมีอยู่สองชนิดอย่างนี้ มีความทุกข์อยู่ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า หรือไปหาพระอรหันต์ ถามหาวิธีดับทุกข์ เพื่อดับทุกข์ที่กำลังมีอยู่ นี่ก็มีอยู่มาก นี่พวกหนึ่งเขามันเป็นพวกที่เผอิญไม่มีความทุกข์อย่างนั้น เขาบวชออกเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ แล้วพระพุทธเจ้าเองนั้น เราพบในพระบาลีว่าท่านออกบวชเพื่อแสวงหาว่าอะไรเป็นกุศลสูงสุดของมนุษย์ ไม่ใช่ความทุกข์บีบคั้นท่านแล้วก็ออกไปบวช แต่เราเข้าใจกันเอาเองว่าพระพุทธเจ้าเห็นทุกข์ ความทุกข์บีบคั้น ท่านจึงไปบวช แต่ถ้าดูตามพระบาลีที่ตรัสเอง จากหนังสือ เช่น พุทธประวัติจากพระโอษฐ์เป็นต้นที่เอามาใส่ให้ดู มันกลับปรากฏว่าท่านออกบวชด้วยการแสวงว่าอะไรเป็นกุศล คือสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์ แล้วก็มีนักบวชเป็นอันมากเลยครั้งพุทธกาล ที่ออกบวชเพื่อแสวงหาว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สูงสุดที่มนุษย์ควรจะไปให้ถึง เช่น พวกปัญจวคีย์ก็บวชด้วยเหตุผลอันนี้ ชฎิลทั้งหลายก็บวชด้วยเหตุผลอันนี้ แล้วมีนักบวชอื่นๆอีกเป็นอันมากก็บวชด้วยเหตุผลอันนี้ เขาไม่ได้บวชเพราะความทุกข์บีบคั้น หรือความทุกข์ไล่ต้อนออกมา แล้วเขาเผอิญว่าเขามันๆๆไม่ได้อยู่ในแบบไอ้ฆราวาสครองเรือน จนจมปลักอยู่ในๆเรือน มีความทุกข์บีบคั้นอยู่ในเรือนแล้วจึงออกบวช มันก็จะต้องมีตัวอย่าง มีประเพณีให้บวช บวชกันไปเลยเสียตั้งแต่แรกๆก็มี มีในพวกอื่น โดยหวังว่าจะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
ทีนี้เรามาดูของพวกเรา นี่จะเป็นได้อย่างไร ไอ้เรื่องสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์นี้ก็ไม่เคยพูด ไม่เคยมีแวว ก็คงจะหวังยาก ที่จะมาถึงก่อนก็คือว่า ไอ้ความทุกข์บางอย่างในชีวิต ในการดำรงชีวิต มันมีอยู่ แล้วก็ต้องการจะขจัดออกไปเสีย จึงได้ค้นหาวิธี ไปศึกษาค้นหาวิธีที่จะขจัดความทุกข์ออกไปเสีย นี่ขั้นต้นสำหรับผู้ครองเรือน มันควรจะเป็นอย่างนี้ แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนี้ มันก็ไม่อาจจะเป็นอย่างนี้ ไม่ค่อยจะเป็นอย่างนี้ เพราะว่าคนหนุ่มๆเหล่านั้นไม่รู้สึกว่ามีความทุกข์อะไร เขาเพลิดเพลินอยู่กับเรื่องที่เขาต้องการตามประสาของคนหนุ่ม มันก็ไม่มีความทุกข์อะไร เว้นไว้แต่ว่าเป็นคนพิเศษ เป็นบุคคลพิเศษที่มีความคิดละเอียดลออ สังเกตสังกาดี ก็จะพบเงื่อนงำของความทุกข์ นับตั้งต้นตั้งแต่ว่ามันมีอะไรที่มันทรมานใจของเขาอยู่ เขาหวังจะได้อะไร สิ่งนั้นยังไม่ได้ ที่เขาศึกษาเล่าเรียนเพื่อจะได้อะไร สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้ หรือสิ่งที่เขากำลังขวนขวาย พยายามอยู่ มันก็ไม่ได้ มันเกิดอาการที่เรียกว่าหนักอกหนักใจ หรือทรมานใจขึ้นมา นี่จะเป็นจุดตั้งต้นที่ธรรมดาสามัญที่สุดที่มนุษย์จะมาสนใจกับธรรมะ เพื่อจะกำจัดไอ้ความทรมานใจในอันดับทั่วๆไปอย่างนี้ ซึ่งในภาษาไทย หรือในภาษาที่เราใช้พูดกัน คงจะไม่เรียกว่าความทุกข์ ที่แท้มันก็เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่งที่ไม่เรียกว่าความทุกข์ แล้วจะเรียกกันโดยๆๆปกติว่าไอ้ความหนักอกหนักใจ ความไม่สบายใจ อะไรก็ไม่รู้ นั่นแหละเป็นเพียงความผิดปกติแห่งจิตใจ เป็นจิตใจที่ไม่สงบระงับ เป็นจิตใจที่อยู่ด้วยความหิวอันละเอียด ความหิวอันละเอียดเรื่อยๆไปอย่างนั้น นี่ถ้าว่าคนหนุ่มคนนั้นมันมีการคิดนึก สังเกตให้ละเอียดลออ มันจะพบว่ามีอะไรที่มันบีบคั้น กดทับอยู่ในชีวิตของเรา เขาไม่ต้องคิดว่าจะออกไปบวชหรอก แต่เขาคิดว่ามันคงจะมีวิธีกระมัง มีการประพฤติปฏิบัติอะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้เราทำหน้าที่การงานในเพศฆราวาสของเราอยู่ โดยที่ไม่ต้องมีความหนักอกหนักใจ หรือทนทรมานใจแม้แต่นิดเดียว ถ้าเราให้มันทำงานสนุก เป็นสุขไปในการงานเสียเลย ไม่มีความทนทรมานในจิตใจแม้แต่นิดเดียว ถ้ามองเห็นอย่างนี้ ต้องการอย่างนี้ แล้วก็ดีมากแหละ มันจะเป็นการจูงไปหาธรรมะ ไปศึกษาธรรมะอย่างถูกฝาถูกตัว มีเหตุมีผล แล้วก็เจริญในการศึกษาธรรมะ ให้ก้าวหน้าในการศึกษาธรรมะ แต่มันสังเกตดูแล้วไม่ค่อยจะมีๆ เขาจะรู้สึกว่าที่มันไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็อย่างนั้นแหละ มันก็ทู่ซี้ ใช้คำว่าทู่ซี้กันไป ทำลืมๆเสีย แล้วก็ทำงานให้มากขึ้น ด้วยการอดกลั้นอดทน ยอมทนให้ชีวิตนี้มันมีความหนัก หรือมีความกระวนกระวาย มีความเร่าร้อน เหมือนที่เขามีคำพูดของคนบางพวกว่า สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ก็ช่างหัวมัน จะเป็นคำของโอมาร์ คัยยาม (นาทีที่ 28:45) หรือจะเป็นคำของผู้แปลหนังสือโอมาร์ คัยยาม (นาทีที่ 28:49) ก็ได้ บรรทัดล่างๆมันมีอย่างนี้ อยากสุข แสวงสุข จึงทุกข์ทนรัน สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ก็ช่างหัวมัน ก็มีคนเคยคิดอย่างนี้ แล้วเราอยู่ในพวกนั้นหรือเปล่า ถ้าว่า ถ้าช่างหัวมัน มันก็ไม่มาแสวงหาธรรมะ แต่ถ้าคิดว่ามันมีหนทางที่จะขจัดปัญหาเหล่านี้ได้นี่จึงมาแสวงหาทาง มาหาธรรมะ มาหาศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา ซึ่งมีหนทาง ถ้าเป็นศาสนาอื่นเขามีพระเจ้า ก็ไปอ้อนวอนพระเจ้ากัน แล้วคนมันก็เบื่อในเรื่องอ้อนวอนพระเจ้า ยิ่งสมัยปัจจุบันนี้ด้วยแล้ว ไอ้การอ้อนวอนพระเจ้านั้นดูจะเป็นไปได้โดยยาก เพราะมันเป็นสมัยวิทยาศาสตร์ สมัยมีเหตุผล สมัยที่ต้องการจะใช้พลังงาน
นี่เรามีปัญหา มีความทุกข์ หรือที่เรียกว่าปัญหา ถ้าพูดว่าความทุกข์ดูความหมายมันรุนแรงจนจะเกินๆความหมายไป พูดว่ามีความไม่สบายใจ หนักอกหนักใจ มีความขุ่นมัวในใจ เป็นชีวิตที่มีความขุ่นมัวในใจ จนทำการงานทรมานนิดๆ แล้วก็มีความหิวกระหายอยู่นิดๆ มีความสงสัยอยู่นิดๆ นี่เรียกว่าชีวิตธรรมดา ถ้าใครมันเกิดคิดขึ้นมาว่ามันมีไหมวิธีที่จะขจัดไอ้สิ่งเหล่านี้ออกไปเสียได้ มันก็แสวงหา มันก็จะต้องไปพบว่า เพราะว่าพุทธศาสนาเขามีหลักธรรมะที่จะกำจัดปัญหาแห่งชีวิตตั้งแต่ในระดับนี้เป็นต้นไป
คำว่าความทุกข์ในภาษาบาลีนี้ก็มีความหมายกว้าง คลุมไปหมดถึงไอ้ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจทุกชนิด แม้แต่ชนิดที่ละเอียดเล็กน้อยเท่าไหร่ก็รวมเรียกด้วยคำๆนี้ รวมเรียกด้วยคำๆเดียวกันว่า ทุกข์ ในความหมายที่ ๒ ซึ่งเป็นความหมายที่ไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกันนัก ความหมายที่ ๑ ก็คือ ทนทรมานเจ็บปวดอยู่เรียกว่าความทุกข์ ทีนี้ความทุกข์ในความหมายที่ ๒ ก็คือ ดูแล้วน่าเกลียดชัง ทุ แปลว่า น่าเกลียด อิขะ(นาทีที่ 32:11) แปลว่า เห็น ดูแล้วน่าเกลียดชัง น่าเกลียด น่ารังเกียจ นั่นก็เป็นความทุกข์แล้ว ไม่ต้องถึงกับทนทรมาน เจ็บปวดครวญครางหรือร้องโอยๆ สิ่งใดดูแล้วมันไม่น่ารัก มันไม่น่าเอา ยึด มันดูแล้วมันน่าเกลียด แม้ที่สุดแต่มันหลอกลวง มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง อย่างนี้ก็เรียกว่าความทุกข์ได้แล้ว เพราะว่ามันทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สบายใจได้ทั้งนั้น เป็นความทุกข์ชนิดที่ซ่อนเร้นอยู่ หรือว่าโดยอ้อมอยู่ คนที่มันแบกหามของที่มันรักมาก หรือมันชอบมากนี่ มันจะไม่รู้สึกหนัก ถ้าให้มันแบกก้อนหิน อย่างนี้มันรู้สึกหนัก แต่ถ้าให้มันแบกเพชรพลอย มันจะไม่ค่อยรู้สึกหนัก หรือมันบ้าเต็มที่มันจะไม่รู้สึกหนัก มันก็จะแบกไปด้วยความไม่รู้สึกหนัก ชีวิตของคนนี้ก็เหมือนกัน มันอาจจะแบกอยู่ มันหนักหรือมันแบกอยู่ แต่มันไม่รู้สึกหนักเพราะว่ามันมีความหลงใหลในอัสสาทะของชีวิตนั้น คือว่าความเอร็ดอร่อยที่มันจะหาได้จากชีวิตนั้น มันกลบเกลื่อนไว้ คนก็ติดในอัสสาทะ รสอร่อยแห่งชีวิตนั้น มันจึงแบกชีวิตไว้ด้วยความสนุกไปเลย ไม่รู้สึกว่าหนัก นี่เรียกว่ามันยากที่จะมองเห็นชีวิตเป็นของหนัก ชีวิตเป็นของร้อน ชีวิตเป็นของทนทรมาน ถ้าเผอิญใครมันมองเห็น คนนั้นมันก็จะออกมา มันจะออกไปหาธรรมะ จะออกไปนอกขอบเขตของไอ้ความทุกข์ ของบ้านเรือน ของไอ้ความลุ่มหลงอยู่ ไปแสวงหาชีวิตแบบอื่นที่ไม่มีความทุกข์
เขาใช้คำ มันๆดีเกินไป หรือมันใช้กันไม่ได้กับภาษาไทย ที่ใช้คำว่านอกโลก เหนือโลก หรือนอกโลก คือโลกุตตระ แปลว่าเหนือโลก หรือนอกโลก มันก็ฟังยาก ไอ้คนฟังแล้วก็ไม่ค่อยรู้ ไป ออกไปอยู่นอกโลกที่ไหน เหนือโลกที่ไหน ที่จริงมันก็ยังๆคงอยู่ในโลกนี้ ยังอยู่ในโลกนี้ แต่ว่ามันนอกเหนืออิทธิพลของโลกนี้ เราอยู่ในโลกนี้ แต่อยู่นอกเหนืออิทธิพลบีบคั้นของโลก ชีวิตโลกๆที่หลงรัก หลงเกลียด หลงโกรธ หลงกลัว หลงอะไรไปต่างๆนาๆ ที่มันเป็นสิ่งบีบคั้นชีวิตให้เป็นทุกข์ เราอยู่นอกนี้ ออกไปนอกนี้หมด เรียกว่าอยู่ในโลก แต่ว่าไม่มีอะไรที่จะบีบคั้นได้ จิตใจมันออกไปได้จากการบีบคั้นหรืออิทธิพลทั้งปวงของสิ่งที่มีอยู่ในโลก นี่เขาเรียกว่าอยู่นอกโลก หรือเหนือโลก พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี พระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี เขาเรียกว่าอยู่เหนือโลกนะ หมายความว่าอะไรๆที่มันมีอยู่ในโลก ที่เคยทำให้เป็นทุกข์นี่ เดี๋ยวนี้มันทำไม่ได้แล้ว มันจะทำคนๆนี้ให้เป็นทุกข์ไม่ได้อีกแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำให้ท่านเป็นทุกข์ได้อีกต่อไป นี่เรียกว่ามันเหนือโลก เป็นโลกุตตระ เมื่อยังอยู่ใน อยู่ภายใต้อิทธิพลของโลก เรียกว่าอยู่ในโลก เป็นโลกียะ อยู่ในวิสัยโลกตามแบบชาวโลกนี้ มันก็ต้องทนรับไอ้การบีบคั้นทุกชนิดที่มันมีอยู่ในโลก ที่มันจะต้องเกิดขึ้นตามวิสัยโลกเรา นี่เขาเรียกว่าปุถุชน คนธรรมดาทั่วๆไป ก็มีอยู่หลายระดับนะ ปุถุชนชั้นเลวมาก มันก็ไม่รู้อะไรเสียเลย ปุถุชนชั้นดีหน่อยก็มองเห็น ปุถุชนชั้นดีมาก มันก็เกือบจะกระโดดออกไปนอกโลกอยู่แล้ว
จึงอยู่ที่ว่ามองเห็นไอ้ความทุกข์ของชีวิตในขั้นพื้นฐานหรือหาไม่ ถ้ามองเห็นมันก็แสวงหาไอ้สิ่งที่ดับทุกข์นั้นทันที พูดให้จำง่ายก็คือเราจะเรียกว่า ชีวิตร้อนกับชีวิตเย็นกันดีกว่า พอเริ่มมองเห็นชัด โอ้,นี่มันร้อนนี่ มันเป็นชีวิตร้อน น่าเกลียด น่าชัง เราต้องการชีวิตเย็น เราจะไปศึกษาหาวิธีที่จะให้ชีวิตนี้มันเย็น แม้ว่าเราจะยังคงเป็นคนธรรมดาสามัญอยู่ในโลก ในบ้าน ในเมือง เป็นชาวนา ชาวสวน พ่อค้า เป็นประชาชนอยู่นี้ เราต้องการจะมีชีวิตเย็น เขาจึงไปศึกษาธรรมะ แล้วก็พบ แล้วมาประพฤติปฏิบัติ โดยธรรมะนั้นมันขจัดความโง่ หรือขจัดความผิดพลาดอะไรออกไปจนได้ ขจัดราคะ โทสะ โมหะ ออกไปเสียได้ตามสมควร ไม่ใช่หมด แต่ก็ขจัดออกไปเสียได้ตามสมควร มันก็เป็นชีวิตที่เย็น อย่างน้อยมันก็เย็นกว่าเดิม เขาก็เรียกชีวิตที่เย็น เย็นอกเย็นใจตามความหมายของคำว่านิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น นิพพานจริงก็เย็นถึงที่สุดตลอดกาลไปเลย นิพพานชั่วคราว ก็เย็นชั่วคราว ชั่วขณะที่ไฟยังไม่ลุกขึ้นมา มันว่างจากไฟในบางครั้ง นี่มันก็มีอยู่ เป็นชีวิตเย็นพอสมควร มันร้อนเมื่อมีไฟ ถ้าไม่มีไฟมันก็ไม่ร้อน ไฟก็คือไอ้ราคะ โทสะ โมหะ ๓ ประเภทนี้ แต่ละประเภท มันแจกลูกออกไปได้มากมายหลายสิบอย่าง แต่ว่าแม่บทของมันก็มีอยู่เพียง ๓ อย่าง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ล้วนแต่มาจากความโง่
และคำที่กว้างก็คือ อวิชชา ภาวะที่ปราศจากความรู้เรียกว่าอวิชชา ถ้าเราใช้คำว่าความโง่ ความหมายยังแคบอยู่ อวิชชาแปลว่า ภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ควรจะรู้ อย่างนี้มันกว้าง กว้างกว่า ถ้าปราศจากความรู้ที่ควรจะรู้มันก็เกิดราคะ โทสะ หรือโมหะ เรียกอย่างอื่นก็ว่า โลภะ โกธะ โมหะ ๓ กลุ่มนี้ ไอ้ความโง่ก็ต้องจัดเป็นกลุ่มสุดท้ายคือ โมหะ ทั้ง ๓ กลุ่มมาจากอวิชชา ปราศจากความรู้ที่ควรจะรู้ มีผลทำให้เกิดกิเลสกลุ่มแรกคือ ราคะ หรือโลภะ กลุ่มแรกเรียกว่า ราคะ หรือโลภะ อันนี้มันเป็นกิเลสประเภทที่ทำให้ตะครุบเอา จับฉวยเอา ตะครุบเอามาเป็นของตัว ไอ้ราคะ การกำหนัดยินดี โลภะ ความอยากได้ มันเป็นกิเลสประเภทที่ตะครุบเอาเข้ามาหาตัว เมื่อมันน่ารัก น่าพอใจ เมื่อมันถูกใจ นี่ก็คือกิเลสกลุ่มที่ ๒ คือ โทสะ หรือโกธะนี่ มันเป็นกลุ่มกิเลสที่มีความหมายคือ ผลักออกๆผลักออกไป ผลักออกไปไม่เอาเข้ามาหาตัว แล้วก็ถ้าเป็นไปมากมันก็จะทำลายด้วย โลภะ หรือราคะ มันดึงเข้ามาหา มากอดรัดไว้ ไอ้โทสะ หรือโกธะ มันผลักออกไปๆ คือทำลายเสียให้สูญสิ้นไป นี่กิเลส นี่อันที่ ๓ โมหะๆคือมืด หลง โง่ ไม่รู้ มีความหมายกว้าง มีความโง่ หรือความสะเพร่า ความไม่ๆรู้จักหน้าที่ อะไรต่างๆเหล่านี้เรียกว่าความโง่ก็ได้ เรียกโมหะ อันนี้บอกไม่ได้ว่ามีการดึงเข้ามา หรือจะผลักออกไป เพราะมันไม่รู้มันก็ได้แต่วิ่งวนอยู่รอบๆ เพราะมันไม่เข้าใจ มันจะทำอย่างไรดี มันมีอาการเหมือนกับวิ่งวนอยู่รอบๆด้วยความสงสัย ด้วยความสนใจ ด้วยความทึ่ง อาลัยอาวรณ์ตามเรื่อง เลยเห็นภาพพจน์ได้โดยง่ายว่ากิเลสประเภทที่ ๑ คือ ราคะ หรือโลภะนั้นน่ะ มันดึงเข้ามาหาตัว โทสะ หรือโกธะนั้นมันผลักออกไป หรือทำลายเสีย ไอ้กลุ่มโมหะที่ ๓ นี้มันก็วิ่งวนอยู่รอบๆ รอบๆสิ่งนั้น ซึ่งมันไม่เข้าใจ ซึ่งมันไม่รู้ ไม่รู้จัก
ลองสังเกตดูเถิด รู้จักหรือยัง เรารู้จักกิเลส ๓ ประเภทนี้หรือยัง ทั้งที่มันเกิดแก่เราอยู่เป็นประจำตั้งแต่เด็กๆมา ถ้าเราไม่รู้จัก นึกว่าสนุกไปเลย ไม่รู้ว่าชีวิตนี้เป็นของร้อน เป็นของหนัก เป็นของมืด เป็นของระคายเคือง ถ้าเราเกิดมองเห็นขึ้นมา มันก็ทนอยู่ไม่ได้ มันก็ดิ้นรนเพื่อจะหาวิธีมาแก้ไข แต่ว่าเผอิญมันโชคดีๆ มันโชคดีโดยไม่รู้ตัว หรือโชคดีตามธรรมชาติ เหล่านี้ที่เรียกว่าสังขารทั้งหลาย กิเลส คำว่ากิเลส ชื่อกิเลสทั้งหลายนี่ก็เป็นสังขาร สังขารแปลว่าสิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง กิเลสเหล่านี้มันก็เป็นสังขารด้วยเหตุปัจจัยปรุงแต่ง มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไปได้โดยสภาวะธรรมชาติ กิเลสเกิดขึ้นเพราะได้อารมณ์ของกิเลส ก็เกิดขึ้น เดี๋ยวไอ้อารมณ์มันเปลี่ยนแปลง ปัจจัยเปลี่ยนแปลง มันก็ดับไป ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี ความโง่ก็ดี เวลาที่มันไม่เกิด หรือมันดับอยู่ มันก็มี ไอ้เวลาที่มันเกิดอยู่มันก็มี แต่แล้วเวลาที่มันไม่เกิดอยู่ หรือไม่เกิดถึงขนาดที่เผาให้ร้อนเป็นไฟ มันมีมากกว่า ลองคำนวณดูว่าใน ๒๔ ชั่วโมง ไอ้ความรู้สึกของเราที่เป็นกิเลสมันมีสักกี่ชั่วโมง แล้วความจะเป็นว่าว่างจากกิเลสนี่มันมีกี่ชั่วโมง มันได้เปรียบตรงที่ว่าอย่างน้อยเมื่อเราหลับ มันไม่เกิดได้ กิเลสที่เป็นไฟมันเกิดไม่ได้ แล้วเราก็หลับเสียคนละหลายๆชั่วโมง ในเมื่อตื่นอยู่มันก็มีระยะเวลาที่กิเลสไม่เกิดอยู่มากเหมือนกัน นี่ระยะที่กิเลสไม่เกิดนั่นแหละ เราเรียกว่าชีวิตเย็น มีความหมายแห่งนิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น แต่มันเป็นนิพพานน้อยๆ นิพพานชั่วขณะ ไม่ใช่นิพพานสมบูรณ์ ตลอดกาล นิรันดร เป็นนิพพานน้อยๆ คือไม่เต็มอัตรา แล้วก็เป็นนิพพานเป็นระยะๆๆ นี่เรียกนิพพานชั่วขณะ นิพพานนี้เป็นตัวอย่าง ถ้าเรารู้จักสังเกตเห็นไอ้ชีวิตที่เย็น เมื่อมันว่างจากกิเลส เราก็จะพอใจ และพอใจมากขึ้น พอใจที่จะให้มีชีวิตชนิดเย็นนี้มากขึ้นๆ เขาก็ไปศึกษาธรรมะ ขวนขวายศึกษาธรรมะยิ่งๆขึ้นไป ให้ชีวิตนี้มันเย็นมากขึ้น นี่เป็นจุดตั้งต้นที่ดีที่สุด ที่แน่นอนที่สุด เหมาะสมที่จะมีธรรมะ
ตรงนี้อยากจะบอกว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่านิพพานชนิดนี้ ไม่มีใครพูดกันนะ ไม่ค่อยมีใครพูด ผมจะถามคุณเคยได้ยินที่ไหนบ้าง นิพพานเป็นระยะ หรือนิพพานน้อยๆนี้จะไม่เคยได้ยิน ผมเอามาพูด เขาก็หาว่าผมบ้าแล้ว หรือว่าหลอกลวงแล้ว แบบนี้ก็มีอยู่บ่อยๆ เราถูกหาเป็นคนบ้า พูดอะไรก็ไม่รู้ มีนิพพานอยู่ตลอดเวลา ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ มันไม่ฟังอยู่ว่านิพพานน้อยๆ นิพพานตามธรรมชาติ นิพพานเป็นระยะๆอยู่ ทีนี้พวกที่นักศึกษา เป็นนักศึกษามาจากเมืองนอก เมืองนา ปริญญายาวเป็นหางมันก็ยังเกลียดนิพพาน มันจัดนิพพานเป็นสิ่งถ่วงความเจริญตามความรู้สึกของเขา ไม่ให้คนทำอะไรที่ก้าวหน้า ไม่เอานิพพานมาสั่งสอนในหลักสูตรการศึกษา อย่าออกชื่อเลยว่าเขาชื่ออะไร แต่มีอยู่จริง มันมีปัญหาในการจัดหลักสูตรการศึกษาอย่างยิ่ง ว่าเขาไม่เอานิพพาน เมื่อคนไม่รู้จักพุทธศาสนาเลย มันไม่เอานิพพานแล้วมันจะเอาอะไรจับพุทธศาสนา ถ้าว่าถ้ายกเลิกเรื่องนิพพานเสีย พุทธศาสนาก็ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเหลือที่มีค่า พระพุทธศาสนามีขึ้นมาเพื่อจะดับทุกข์ เพื่อจะขจัดความทุกข์ออกไป เมื่อไม่มีความทุกข์ คือไม่มีกิเลสนี่มันเย็น เย็นนั้นคือนิพพาน และความๆเย็นเพราะไม่มีกิเลส เพราะไม่มีกิเลสเกิดขึ้นนั่นแหละ มันช่วยเราให้รอดชีวิตอยู่ได้ ไม่เป็นโรคนอนไม่หลับ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า และไม่ตาย เพราะว่าถ้ามันมีกิเลสเหล่านั้นอยู่ตลอดวันตลอดคืน ไม่ถึง ๓ วันต้องตาย คือมี ราคะ โทสะ โมหะ ติดต่อกันอยู่ตลอดวัน ตลอดคืน ไม่ถึง ๓ วันเราก็ตาย มันก็จะเป็นประสาท เป็นบ้า แล้วก็ตาย ที่ใดที่นิพพานชนิดนี้มันได้แทรกแซงเข้ามา มีอยู่มากพอ ที่จิตมันปกติ ไม่ถูกทรมานด้วยกิเลสนี่มันมีมากพอ ดังนั้นเราจึงมีเวลาที่นอนหลับตามสมควรแก่ความต้องการของธรรมชาติ เรามีจิตใจปกติที่จะสืบต่อๆกันไป ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องตาย จึงควรจะรู้จักนิพพานชนิดนี้ที่มีอยู่จริง มีอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้กันเสียบ้าง เรียกว่าขอบพระคุณ ขอบคุณนิพพานชนิดนี้ ที่ทำให้เราไม่ต้องเป็นบ้า และเราไม่ต้องตายภายใน ๒-๓ วัน
ให้มองเห็นว่านิพพานชนิดนี้มันเป็นความเย็นที่เข้ามาแทรกแซงอยู่ในชีวิต ให้ชีวิตนี้มีความเย็นพอสมควร ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องตาย เวลาผมโกรธขึ้นมา ผมก็ใช้คำว่า ไอ้สัตว์เนรคุณ ไม่รู้จักคุณของนิพพานชนิดนี้ที่คุ้มกะลาหัวแกอยู่ นี่ถ้าจะให้พูดหยาบๆก็พูดอย่างนี้ ไอ้นิพพานชนิดนี้มันคุ้มครองคนไว้ ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องตาย ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ทั้งตลอดๆเวลา ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ทีนี้คนเหล่านั้นมันก็พูด ไม่ต้องการนิพพาน ไม่มีประโยชน์อะไร ต้องการแต่รู้ว่าทำอย่างไรให้บ้านเมืองเจริญ ทำอย่างไรให้มีกิน มีใช้ สนุกสนาน อร่อย ก็ไปคิดกันไปแถวโน้น หารู้ไม่ว่าไอ้นิพพานตามธรรมชาติของกิเลสที่มันมีการเกิดดับ แล้วมันก็มีการดับมากพอ มีการดับเป็นระยะยาวพอที่จะคุ้มครองชีวิตนี้ไม่ให้ถูกเผาไหม้เป็นจุณไป คือเป็นบ้า หรือตายไป ควรจะขอบคุณพระนิพพานชนิดนี้ที่มีบุญคุณคุ้มครองเราอยู่
มันมีพระบาลีที่ตรัสว่า ได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา บทนี้เขาสวดกันทุกที เวลาเขาสวดมนต์เย็น สวดบ้าน สวดเรือน เจริญพระพุทธมนต์ตามบ้าน เขาจะสวดบทนี้รวมอยู่ในนั้นด้วย ได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ คือไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่ต้องลงทุนไปซื้อหามา ท่านจะหมายถึงนิพพานนี้ นิพพานที่เรากำลังพูดนี้หรือเปล่า หรือท่านจะหมายถึงแต่นิพพานสมบูรณ์แบบของพระอรหันต์โน้น มันก็ๆๆๆยังจริงอยู่แหละ แม้จะหมายถึงนิพพานของพระอรหันต์โน้น เหมือนกับนิพพานนั้นให้เปล่า ไม่ต้องๆซื้อด้วยสตางค์เหมือนกัน แต่ถ้านิพพานน้อยๆที่อยู่เป็นประจำ อยู่ในชีวิตแต่ละวันๆนี่ยิ่งจริงกว่า ได้ๆนิพพานมาคุ้มครองให้ชีวิตนี้เย็นอยู่เปล่าๆโดยไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำไป แล้วจะเสียสตางค์อะไร นิพพานชนิดนี้น่าจะรวมอยู่ในพระบาลีนั้นด้วยว่าได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ มันคือชีวิตคนเราตามธรรมชาตินั้นแหละ กิเลสมันไม่ได้เกิดติดต่อกันตลอดไป มันมีระยะที่ไม่เกิด แล้วก็ได้ความดับแห่งกิเลส ดับแห่งไฟ เป็นชีวิตเย็น พอสมดุลกันที่จะไม่ตาย และอยู่ได้ นี่รู้จักสิ่งสูงสุดคือพระนิพพาน ตัวอย่างนี้เสียบ้างตั้งแต่วันแรก วันแรกพูดกันถึงธรรมะ
อย่างวันแรกเราพูดกันถึงธรรมะนี่ ชี้ให้เห็นนิพพาน ซึ่งเขาว่าสูงสุดๆ อีกกี่กัปป์ กี่กัลป์ไม่รู้ จึงจะบรรลุ เป็นบ้าน เป็นเมือง อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อย่าเอามาสอน อย่าเอาเรื่องนิพพานมาสอน เขาห้ามกันมาอย่างนี้ พอเราเอามาสอน เขาก็หาว่าผิดแล้ว บ้าแล้ว อันนี้ผมก็เคยถูกด่าอยู่ด้วยเรื่องอย่างนี้ แล้วเรื่องนิพพานก็ดี เรื่องสุญญตาก็ดี ไอ้ความว่างนั้น เรื่องอนัตตาก็ดี มาสอน แต่ประชาชนทั่วไป เขาว่าโง่ที่สุด บ้าที่สุด ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาสอน แต่ผมก็เป็นคนที่เคารพความคิด ความเห็น ของตัวเหมือนกัน มันมองเห็นอยู่ว่าต้องเอามาสอน ต้องเป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ ที่ต้องรู้ๆ เป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ จึงเอามาสอน เรื่องอนัตตาก็ดี เรื่องสุญญตาก็ดี เรื่องนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็ดี ก็เอามาสอน ก็มีคนด่าลับหลังอยู่เรื่อย ผิดกาลเทศะ บ้าแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เมตตากรุณาเอ็นดูผมก็เรียกตัวผมไปบอกว่าอย่าเพิ่งเอามาสอน ก็มีเหมือนกัน ด้วยความหวังดี มันก็จริงของท่านแหละว่ามันจะเป็นการเป่าปี่ให้เต่าฟัง เหนื่อยเปล่า ก็ไม่ต้องมาสอนก็ได้ หรือมันยังมีข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ามันเข้าใจผิด มันก็อันตรายเหมือนกัน ไอ้สิ่งลึกซึ้งสูงสุดนี้ ถ้าสอนแล้วเข้าใจถูกมันก็มีผลดี แต่ถ้ามันเข้าใจผิด มันเผอิญเดินทางผิด มันก็มีอันตรายอยู่เหมือนกัน เราจึงต้องดูกาลเทศะเหมือนกันแหละ ถ้าจะพูด เอามาพูด ก็ต้องดูกาลเทศะว่ามันจะไม่เกิดเข้าใจผิด และเป็นอันตรายขึ้น เดี๋ยวนี้ผมก็เห็นว่าพวกคุณเรียนหนังสือมาถึงขนาดนี้แล้ว มีสติปัญญาขนาดนี้แล้ว คงจะไม่เข้าใจผิด โดยที่บอกให้รู้ว่ากิเลสนั่นแหละไฟ มันร้อน พอมันไม่มีมันก็เย็น นั่นแหละคือนิพพาน กิเลสกับนิพพานสลับกันอยู่ในชีวิตของคนเรา เดี๋ยวเย็น เดี๋ยวร้อน เมื่อมีกิเลสก็ร้อน ไม่มี ว่างจากกิเลสก็เย็น
ทีนี้เราต้องการจะทำให้ไอ้ที่มันเย็น มันมากขึ้น ยาวขึ้น ยาวออกไปๆ คือนานเข้าๆ จนกว่าจะสมบูรณ์ เป็นนิพพานเต็มที่ และยาวตลอด ตลอดกาลไปเลย จึงถือว่าเป็นจุดตั้งต้น ขอร้องให้สังเกตดูให้ดี ให้ละเอียดลออว่าชีวิตนี้มันก็มีนิพพานคุ้มครองอยู่ตามสัดส่วนที่สมควร ไม่เกิดไฟคือราคะ โทสะ โมหะเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้ากิเลสเผาผลาญอยู่ตลอดเวลา มันเป็นบ้า และมันตายหมดแล้ว มันไม่ได้มานั่งกันอยู่แบบนี้ เพราะเหตุที่มันมีระยะว่างจากการเผาผลาญของกิเลสนี่ เราจึงมีความเป็นสุข เจริญงอกงามทางจิตใจ แล้วเราก็ควรจะรู้จักมัน จะทำให้กิเลสลดลง ให้นิพพานขยายตัวออกไปให้มากขึ้น เรียกว่ามีชีวิตเย็น แต่คำอื่นดูจะไม่เหมาะหรอก ใช้คำว่าชีวิตเย็น กับชีวิตร้อน ๒ คำนี้เปรียบเทียบกันไป ศึกษากันไปจะง่าย จะง่ายกว่า
ดังนั้นจึงสรุปความว่าเราเข้ามาสนใจ เกี่ยวข้อง ศึกษากับพระพุทธศาสนานี้ก็เพื่อจะมีชีวิตเย็น มันเป็นการตอบคำถามหมดทั้งสองชั้นแล้วว่าความทุกข์ทั้งหลายที่รบกวนเราอยู่มันก็จะหมดไป นี่อีกชั้นหนึ่ง แล้วเราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับในอนาคต เมื่อนิพพานตัวอย่างนี้มันขยายตัวออกเต็มที่ เป็นนิพพานสมบูรณ์แบบ และเต็มขนาดด้วย มันก็เป็นๆการถึงในสิ่งที่ดีที่สุด ยอดสุด ของความดี หรือสิ่งที่ประเสริฐที่มนุษย์ควรจะเข้าถึงได้ อย่าลืมเสียว่าที่ เหตุผลที่ๆถูกต้อง ที่สมควร ที่เราจะมาศึกษาธรรมะกันนี้ ก็เพื่อจะขจัดความทุกข์เท่าที่เรารู้จัก และรู้สึกอยู่ในชีวิตประจำวัน ให้ทำงานเป็นสุข สนุกในการทำงาน แม้การเล่าเรียนก็เรียกว่าทำงาน ให้ศึกษาสนุก ให้ทำการงานสนุก ให้ทำกิจกรรมต่างๆที่ควรกระทำเพื่อประโยชน์ตนเอง เพื่อประโยชน์ผู้อื่น ได้อย่างสนุก เพราะมีธรรมะในชีวิต แล้วก็ให้มันเลื่อนๆๆๆขึ้นไป เป็นประโยชน์ที่สูงขึ้นไป เป็นประโยชน์ที่สูงสุดยิ่งขึ้นไปจนประโยชน์สูงสุด คือนิพพานสมบูรณ์ อยู่กับนิพพานชั่วคราวระดับน้อยๆนี้ไปพลาง เรื่อยๆๆๆ แล้วมันก็เจริญงอกงามขึ้น ในที่สุดมันก็สมบูรณ์ เรียกว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ต่อท้ายด้วยคำว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนานั่นไง เรื่องมันก็จบ
ถ้าเราจะให้ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา มันก็คืออย่างนี้ ให้รู้จักพระนิพพานที่คุ้มกะลาหัว หยาบคายที่สุดคำนี้ แต่ว่ามันมีความหมายดีที่สุด ที่คุ้มกะลาหัวคนทุกคนอยู่ทุกวัน ทำไมไม่รู้จักเล่า ผู้มีบุญคุณถึงขนาดนี้ก็ยังไม่รู้จัก และถ้ารู้จักแล้วก็ควรจะขอบพระคุณ ควรจะส่งเสริม ควรจะศึกษา ควรจะทำให้เป็นที่เข้าใจกันทั่วๆไป นี่ก็คือไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา ให้รู้ว่าชีวิตแต่ละวันๆนี่มันรอดอยู่ได้ด้วยพระนิพพานชนิดตัวอย่าง ชนิดชั่วขณะ นิพพานน้อยๆ นิพพานที่ยังไม่เต็มขนาดนี่ นี่ก็เรารู้ได้ด้วยความรู้ในพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน เมื่อมันยังไม่ได้นิพพานสมบูรณ์แบบโน้น ก็ อยู่กับนิพพานนี้ให้ดีที่สุด ให้มากขึ้น ให้เย็น ให้เป็นชีวิตที่เย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำการงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหงื่อท่วมตัวอยู่ก็ขอให้มันเย็น ด้วยมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระนิพพานนี้ อย่าให้กิเลสเกิดขึ้นมา เดี๋ยวนี้คนพอเหน็ดเหนื่อยขึ้นมา กิเลสมันก็เกิด พอทำงานเหน็ดเหนื่อยขึ้นมามันก็เกิดกิเลสประเภท โดยเฉพาะว่า โทสะ โกธะ โดนไฟเผา มันก็ตกนรกอยู่ตลอดเวลาที่มันมีกิเลส คือ โทสะ และโกธะเกิดขึ้นมา เมื่อทำการงาน
ผมต้องเล่าตัวอย่างที่ได้ประสบมาเองจนคนอื่นเขารำคาญ ผมเห็นคนแจวเรือจ้างบางคน สมัยที่ผมอยู่กรุงเทพ ผมก็ชอบนั่งเรือจ้างคนแจว แต่คนแจวเรือจ้างบางคนมันร้องเพลงตลอดเวลาที่แจวเรือจ้าง แล้วก็แจวเรือนี่ ร้องเพลงไปพลาง ร้องเบาๆ ร้องได้ยินบ้าง ไม่ได้ยินบ้าง ไอ้เท้าข้างหนึ่งแกว่งอยู่ในฟ้า เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนเรือ มือก็แจวเรือ ไม่มีความทุกข์เลย มันแจว ๒ ชั่วโมงได้ ๒ บาท ไม่มีความทุกข์เลย นี่มันเป็นสิ่งที่จำ ประทับอยู่ในความจำ ไม่รู้จักลืม ว่ามันก็เป็นชีวิตเย็น มันแจวเรือเหงื่อไหล ๒ ชั่วโมงได้ ๒ บาท มันก็ยินดียิ้มแย้มแจ่มใส ถ้าเขาพอใจในการงาน คือรู้สึกว่าชีวิตมันเป็นอย่างนี้ จะต้องแก้ปัญหาอย่างไร มันก็หนามยอกเอาหนามบ่ง มันเอาความทุกข์ที่คนอื่นเห็นว่าความทุกข์มาทำเป็นความสุข เป็นความพอใจไปสิ แล้วคุณสังเกตดูให้ดี สมัยนี้มันๆไม่มีเรือจ้างแล้ว มันมีไอ้รถยนต์ แท็กซี่เล็กๆ ไอ้คนขับรถแท็กซี่โดยมากแล้วมันตกนรกทั้งเป็นนั่นแหละ มันบ่นงึมงำๆ ด่าผี ด่าเทวดา ด่าโน่นตลอดเวลา ทั้งที่มันมีไอ้รถยนต์รับจ้าง ไม่ต้องแจวเรือ มันก็ไม่มีความสุขเลย มันตกนรกอยู่ตลอดเวลาในรถยนต์ที่มันรับจ้าง เพราะมันไม่รู้จักจัดชีวิตนี้ให้มันเย็น แล้วก็เป็นอันว่า ธรรมะนี้มันจะช่วยจัดชีวิต ปรับปรุงชีวิตเสียใหม่ให้เป็นชีวิตเย็น แล้วก้าวหน้าๆไปถึงเย็นนิรันดร ถึงที่สุดเป็นเย็นนิรันดร เดี๋ยวนี้เย็นสลับ ชนิดที่สลับกันอยู่กับร้อน ให้ร้อนลดลงๆ เย็นมากขึ้น ในที่สุดเป็นเย็นนิรันดร ถ้าใครเข้าใจ หรือรู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตในลักษณะอย่างนี้ เขาจะพอใจธรรมะ มองเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต หรือเรียกว่าเป็นคู่กันกับชีวิต ยิ่งกว่าคู่ผัวตัวเมียเสียอีก เพราะธรรมะนี้มันทำให้เย็นโดยส่วนเดียว เป็นคู่ชีวิตก็จะทำชีวิตนี้ให้เย็นโดยส่วนเดียว เขาเรียกว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีคู่ชีวิตชนิดนี้ ไอ้คู่ชีวิตผัวเมียนั่นบางเวลามันกัดกัน มันจะเย็นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นธรรมะนี่เป็นคู่ชีวิตของมนุษย์ยิ่งกว่าคู่ใดๆที่เรียกกันว่าคู่ชีวิต
บางคนเขาเรียกภรรยาเขาว่าคู่ชีวิต ต่อหน้าสาธารณชน ภาษาพูดจาของเขานี่ เขามานั่งกับผม มาคุยกับผมที่ตรงนั้นแหละ แล้วเขาเรียกภรรยาของเขาที่มาด้วยว่าคู่ชีวิต เขาแนะให้ผมรู้จักว่านั่นแหละคู่ชีวิต เขาใช้คำอย่างนี้แหละเรียกคู่ชีวิตของเขา เขาไม่ใช้คำธรรมดาๆว่าแฟน ว่าภรรยา เราก็นึกขำ นึกขำว่าเขารู้สึกถึงขนาดนั้น นั่นคู่ชีวิต แล้วทีนี้ก็ธรรมะไม่รู้จะอยู่ที่ตรงไหน ธรรมะมันควรจะเป็นคู่ชีวิตสิ เมื่อเขาเอาตำแหน่งคู่ชีวิตไปให้อย่างนั้นเสียแล้ว ธรรมะไม่รู้จะนั่งลงตรงไหน ไม่มีตำแหน่งให้ นี่เราพูดมาชั่วโมงกว่า ก็พอสมควรสำหรับการพูด
สรุปความว่า จุดตั้งต้นที่จะมาสนใจธรรมะ โดยบวชก็ดี ไม่บวชก็ดี มันต้องมีรากฐานที่มั่นคง แล้วมีสติปัญญามองเห็น เรียกว่าปริทรรศน์ เรียกว่า Review หรือปริทรรศน์ ให้เห็นชัดว่าอะไรเป็นอย่างไรๆ ธรรมะคืออะไร ศาสนาคืออะไร พรหมจรรย์คืออะไร ชีวิตคืออะไร กิเลสคืออะไร ความทุกข์คืออะไร ให้เหลียวไปรอบๆว่ารู้จักพอสมควร นั่นแหละเป็นการตั้งต้นที่ดี ไม่มีอะไรที่จะงมงาย ไม่มีส่วนที่จะงมงาย ถ้าไม่รู้มาก่อน ก็รู้เสียสิ มันไม่ได้ลึกลับเกินไป มันพอจะรู้ได้ รู้ว่าชีวิตนี้มีปัญหาอะไรในตัวมันเอง แล้วอะไรที่มันแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ มันก็ไปพบกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ที่จะแก้ปัญหาทุกชนิด
คำว่าธรรมะในความหมายที่เป็นค่านะ ความหมายที่เป็นคุณค่า สิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกขั้น ทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขานี่ คำว่าธรรมะๆนี้มันหมายถึงทุกสิ่ง แปลได้หลายอย่าง ถ้าเป็นวิชาทั่วไป ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลเกิดจากการหน้าที่นั้น อย่างนั้นมันก็แสดงที่เนื้อที่ตัวโดยตรงไปแบบหนึ่ง และถูกที่สุดเหมือนกัน แต่ถ้าเราจะมองกันในแง่ของประโยชน์ ของคุณค่า ของอานิสงส์แล้ว มันมีคำตอบขึ้นมาว่าธรรมะคือ การประพฤติกระทำให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเรา ทุกขั้น ทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ ชีวิตนี้มันมีวิวัฒนาการเป็นขั้นตอนๆมา ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ออกมาแล้วเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาว เป็นพ่อบ้าน แม่เรือน เป็นคนแก่ คนเฒ่า มีหลายขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ถ้าจะให้มีความเป็นมนุษย์อย่างถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการแล้ว ธรรมะอย่างเดียวเท่านั้นช่วยได้ อย่างอื่นไม่มี ดังนั้นขอให้สนใจในสิ่งที่ว่ามีค่า และก็จำเป็นด้วย สำหรับสิ่งที่เรียกว่าชีวิต โดยเค้าเงื่อนดังที่แสดงมา ก็เป็นเค้าเงื่อนโดยสังเขป ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้