แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาหรือนักเรียน ครูบาอาจารย์ ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ก่อนอื่นทั้งหมด ขอแสดงความยินดี ในการที่ท่านทั้งหลายมาสู่สถานที่นี้ ในวัตถุประสงค์อย่างนี้ คือเพื่อศึกษาธรรมะ ยินดีในขั้นแรกก็คือว่าเราต่อสู้เพื่อให้ได้ศึกษาธรรมะ ทั้งที่เป็นธรรมะ ไม่อยู่ในหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียน หรือมีก็น้อยเกินไปมันไม่เพียงพอ เราต้องขวนขวายเอาเอง ให้ได้มาอย่างเพียงพอ เรื่องนี้ดูมันประหลาดที่ว่า รัฐบาลหรือกระทรวงก็ต้องการให้มีผู้สอนธรรมะ แต่แล้วก็ไม่ได้สนับสนุนให้มีผู้รู้ธรรมะเพื่อจะสอนธรรมะกันให้สำเร็จประโยชน์ เราเลยต้องขวนขวายเอาเอง หรือแม้ธรรมะสำหรับจะประพฤติปฏิบัติ เพื่อความสุขของแต่ละคน มันก็ไม่พอ มีไม่พอในหลักสูตร เราก็ต้องขวนขวายเอาเอง นี่เรียกว่าเราต่อสู้ก็ได้ เพราะถ้าไม่มีการขวนขวายขนาดที่เป็นการต่อสู้ มันก็ไม่มีการศึกษาชนิดนั้น จึงต้องหาโอกาสศึกษาเพิ่มเติมเอาเอง ขวนขวายเอาเอง ลงทุนเอาเอง ยิ่งได้ทราบว่า พวกที่มาที่นี่นั้นก็เป็นพวกที่มีความต้องการโดยตรง พวกที่ไม่ต้องการธรรมะก็ไม่มาที่นี่ มันก็ไปเที่ยวที่อื่น นี่เป็นข้อที่มีความยินดีเป็นพิเศษว่า มีความสนใจที่จะศึกษาธรรมะ จึงได้พยายามเพื่อจะมาที่นี่ ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาแหละ มันก็จะต้องลำบากบ้าง หรือบางทีก็หมดเปลืองบ้าง แต่ถ้าเราได้รับประโยชน์พอกัน คุ้มกันหรือเกินค่า มันก็เป็นการกระทำที่ถูกต้อง เรียกว่ามันมีเหตุผลที่ควรจะทำ
ดังนั้นจึงขอแสดงความยินดี ว่าเราจะได้มีธรรมะสำหรับดำรงชีวิตของเราเอง และช่วยกันเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธศาสนาให้กว้างขวางออกไป เขาเรียกว่าเป็นการสืบอายุพระศาสนาไว้ยังมีอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์แก่คนทั้งโลก เราก็ได้ชื่อว่าได้ทำประโยชน์ในระดับสูงสุดกว่าระดับทั่วๆ ไป มันก็เป็นบุญเป็นกุศลสูงสุด ไม่มีบุญกุศลชนิดไหนจะดีไปกว่าบุญกุศลชนิดที่เผยแผ่ธรรมะ เมื่อทุกคนในโลกมีธรรมะ โลกนี้มันก็เป็นโลกที่ประเสริฐ เป็นโลกของมนุษย์ชั้นประเสริฐ อยู่กันเป็นผาสุก เราในฐานะที่เป็นพลเมืองของโลกคนหนึ่งก็พยายามทำหน้าที่ของตน เพื่อตนเองจะได้รับประโยชน์ด้วย ไม่ใช่ว่าจะได้รับแต่คนเหล่าอื่น เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก เราก็ทำทั้งฝ่ายที่เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ และทั้งฝ่ายสิทธิที่จะได้รับประโยชน์ นี่ขอให้คิดกันไปในแง่นี้
สำหรับนักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย อย่าคิดแคบๆ ว่าเราเรียนเพื่อเราจะได้มีอาชีพ จะได้เงินใช้ จะได้อะไรทำนองนั้น นั่นมันเป็นการคิดที่แคบ คิดได้เหมือนกันแหละ ไม่ใช่ใครจะห้าม หรือใครจะบังคับเราได้ แต่ว่ามันเป็นความคิดที่แคบ มันควรจะได้อะไรมากกว่านั้น มันก็เป็นที่น่าพอใจกว่าที่จะคิดกันเพียงแคบๆ ไม่ใช่ว่าจะพูดจาสบประมาทหรือดูหมิ่นดูถูกอะไร ในข้อที่รู้สึกว่ายุวชนส่วนมากส่วนใหญ่น่ะเรียนเป็นครูเพื่ออาชีพเท่านั้นเอง เพื่อได้เงินเดือนใช้ ตามต้องการเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดที่ว่าจะเป็นครู คือเป็นปูชนียบุคคลในโลก ทำประโยชน์ให้แก่โลกมากกว่าคนธรรมดา
เดี๋ยวนี้เรามาคิดดูว่าการที่เราจะเป็นบุคคลที่มีประโยชน์ในโลกนี่ ก็ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นมากมาย คือทำไปอย่างที่จะเป็นครูตามธรรมดานี่ แต่ขอให้ทำให้เต็มที่ เต็มตามหน้าที่ แล้วมันก็จะเป็นประโยชน์ไกลออกไปถึงกับว่า เป็นผู้ทำประโยชน์แก่โลก ไม่ใช่ผู้รับจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆ หนึ่ง บางทีก็ถูกประณามว่า ไม่มีหนทางอื่นแล้ว นอกจากจะมาเป็นครู อย่างนี้มันไม่ถูกหรอก มันไม่ยุติธรรม เราก็ไม่ควรจะทำตนให้เขากล่าวหาได้เช่นนั้น เราเป็นครูเพื่อจะได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์กว้างขวางแก่โลก จนถึงกับพูดได้ว่าครูนั่นแหละเป็นผู้สร้างโลก
รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มีคนยอมรับฟังกันมากขึ้น วันก่อนได้แจกหนังสือเรื่องนี้แก่ครูจำนวนใหญ่ที่มาที่นี่ แล้วปรากฎว่าครูแห่งหนึ่งได้มาขอแบ่งซื้อหนังสือนี้ไปอีกจำนวนมากไปแจกกันอีก แสดงว่าเขายอมรับในคำพูดที่ว่า ครูที่แท้จริงเป็นผู้สร้างโลก ข้อนี้ไม่ต้องใช้สติปัญญาอะไรมากมาย มองดูก็แล้วกันว่าโลกน่ะมันคืออะไร มันก็คือโลกที่ประกอบขึ้นด้วยบุคคลเป็นจำนวนใหญ่ๆ กี่พันล้านก็สุดแท้ แล้วมันก็จะดีจะเลว มันก็แล้วแต่คนเหล่านั้นแหละ ถ้าคนเหล่านั้นในโลกมันเป็นคนดี โลกนี้มันก็ดี มีความสุข ถ้าคนเหล่านั้นมันเลว มันไม่ดี โลกนี้มันก็เลว และไม่มีความสุข
ทีนี้คนเหล่านั้นมันจะเลวหรือจะดีมันเพราะอะไร ก็เพราะการศึกษา ถ้าครูพยายามทำให้สำเร็จประโยชน์ในส่วนการศึกษาให้ดี ให้ถูกต้อง ให้สมบูรณ์ ก็มีนักเรียนที่ดี โตขึ้นเป็นพลเมืองของโลกเรียกว่า “พลโลก” เมื่อพลเมืองของโลกดี ไอ้โลกนี้มันก็ดี แล้วทำไมจะไม่พูดว่า ครูเป็นผู้สร้างโลกล่ะ มันมองเห็นอยู่อย่างนี้ เราตัวน้อยๆ บางทีก็เกิดในตระกูลที่ยากจน แต่ทำไมสามารถสร้างโลกได้ล่ะ มันมีหนทางที่จะทำได้ คล้ายๆ กับว่าธรรมชาติมันเปิดให้ หรือพระเจ้าก็ได้เปิดให้ เปิดโอกาสให้ ให้เราเป็นผู้สร้างโลก ช่วยพระเจ้าที่เขากล่าวกันว่าเป็นผู้สร้างโลก แต่ที่มองเห็นชัดๆ ง่ายๆ ก็พวกครูนี่มากกว่า ดังนั้นการที่สมัครเป็นครูนี่นับว่ามีจิตใจสูง มีความตั้งใจกว้างขวางกว่าธรรมดา ไม่เห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่โลก ควรจะถือว่าไม่เสียทีแหละ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และยังแถมได้รับพระพุทธศาสนาด้วย สามารถมีส่วนในการสร้างโลก ที่มองเห็นได้ชัดว่ายิ่งกว่าพระเจ้า ที่เขากล่าวกันนะ ว่าพระเจ้านั่นเป็นคนบุคคล เป็นบุคคลสร้างโลกอย่างนั้น เราก็ไม่เห็นเลย แล้วก็ไม่เชื่อว่าสร้างได้อย่างไรไหวถ้าเป็นบุคคล เว้นไว้แต่จะเป็นอย่างอื่น เช่นเป็นกฎของธรรมชาติอันสูงสุด อันศักดิ์สิทธิ์นั้นน่ะสร้างโลกได้จริง เพราะว่าอะไรๆ ต่างๆ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ กฎบันดาลให้เป็นไป ดังนั้น กฎธรรมชาติเป็นผู้สร้างโลก ในฐานะพระเจ้าอย่างนี้ล่ะก็ได้
การที่เราอยากจะเป็นครู มีความรู้สอนผู้อื่น ก็เรียกว่าเป็นไปตามกฎธรรมชาติด้วยเหมือนกัน ความคิดนึกของเรา ความต้องการของเรามันก็เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ แต่แล้วมันก็ไม่พ้นไปจากการที่เราได้เล่าเรียนศึกษามา เราจึงจะมีความคิดนึกอย่างนั้นได้ หรือว่ากฎของธรรมชาติมันจะมาสนับสนุนให้เราได้ทำหน้าที่สูงสุด ก็เพราะว่าเราเรียนรู้ เราศึกษา โดยเฉพาะศึกษาเรื่องธรรมชาติ เรื่องกฎของธรรมชาติ เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เป็นต้น ไปๆ มาๆ ก็พอที่จะอวดได้ว่า ครูเป็นผู้สร้างโลกโดยพฤตินัยน่ะ ไม่ใช่โดยนิตินัย หรือว่าบัญญัติเอา คาดคะเนเอา โดยพฤตินัยที่เห็นอยู่ได้ชัดทั่วๆ ไปทั้งโลกว่า พวกครูแหละมีส่วนทำให้โลกเลวหรือดี แล้วแต่ครูเขาทำกันอย่างไร บางคนอาจจะค้านว่ามันแล้วแต่รัฐบาล หรือกระทรวงที่กุมอำนาจไว้ มันก็เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น เรายังมีโอกาสอีกมากที่เราจะทำตามที่เราอยากจะทำ ว่าจะทำให้มนุษย์มันดี เช่น เราจะอบรมเด็กๆ ให้ดีนี่เราก็ทำได้มากกว่าที่หลักสูตรเขาบัญญัติไว้ ดังนั้นขอให้ถือโอกาสนี้ทำ เป็นการทำบุญทำกุศลตลอดเวลา ตลอดในที่ทุกหนทุกแห่ง สรุปว่า เป็นอาชีพที่ได้บุญ มีความสุข เย็นอกเย็นใจ
อาชีพในโลกนี้มีมาก แต่ว่าอาชีพที่จะได้บุญพร้อมกันไปนี่มีน้อย ไม่กี่อาชีพ เช่น อาชีพครู หรืออาชีพที่ทำประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น หรืออาชีพของบรรพชิตซึ่งมีหน้าที่โดยตรงที่จะนำโลกไปให้ถูกทาง อาชีพอย่างนี้เรียกว่าเป็นอาชีพที่ได้บุญ ได้บุญโดยอ้อมก็มี อาชีพหมอ อาชีพตุลาการ อาชีพไอ้ตำรวจ แม้แต่ว่าถ้าว่า แม้แต่ตำรวจถ้าเขาเป็นคนดีซื่อตรง ทำให้คนนอนตาหลับจริงๆ ก็เรียกว่า มีส่วนที่จะได้บุญในอาชีพนั้นๆ แต่ถึงอย่างไรก็มันยังน้อย สู้อาชีพครู ผู้นำในทางวิญญาณนี้ไม่ได้ หรือถ้าเราจะมองให้กว้าง ให้มันกว้างจนเหลือประมาณก็ได้เหมือนกันแหละ
ถ้าว่าอาชีพอะไรมันมีประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ ก็ถือว่าได้บุญบ้างไม่มากก็น้อย อย่างนี้ก็ยังพอไป แต่ไม่ชัดเจน ไม่เห็นได้ง่าย ไม่เห็นได้ชัดเหมือนกับว่าอาชีพสั่งสอน อบรม ให้คนน่ะเขามีความรู้ มีความผาสุก ตนเองก็ผาสุก ผู้อื่นก็เป็นผาสุก ทำบ้านเมืองให้เป็นผาสุก ทำโลกให้เป็นผาสุก แล้วก็ภาคภูมิใจว่าได้ทำหน้าที่สูงสุด ภาคภูมิใจเรียกว่าพอใจในตัวเอง อันนั้นน่ะเป็นคุณธรรมสำคัญที่สุดอันหนึ่ง ถ้าใครไม่มีความพอใจในตัวเอง คนนั้นจะไม่มีความสุขเลย ไม่มีอะไรในตัวเองที่เป็นที่พอใจ แล้วคนนั้นจะไม่มีความสุขเลย นี่ถ้าว่าถึงกับเกลียดตัวเองเพราะทำไม่ดีด้วยแล้วมันก็เป็นอันว่าตกนรกเลย ดังนั้นใครทำอะไรดีจนตัวเองพอใจมากๆ มากจนรู้สึกเคารพนับถือตัวเอง เรียกว่าไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นมันเป็นสวรรค์ สวรรค์นี้ไม่ยากเย็นอะไรนัก ทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วก็เป็นสวรรค์ทันที ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว
นรกก็เหมือนกันไม่ยากนักน่ะ ถ้าอยากจะตกนรกก็ทำอะไรให้มันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง มันก็เป็นนรกขึ้นมาทันทีเหมือนกัน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว ดังนั้นครูเราอาจจะช่วยคนขึ้นสวรรค์กันเต็มไปหมด ที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็ได้ โดยสอนให้เขารู้จักทำให้เกิดความพอใจในตัวเอง อยากให้เขาตกนรกก็ได้ สอนให้เขาทำผิดๆ เลวร้ายไปหมด มันก็ตกนรกกันหมด นี่เรียกว่าโอกาสอันกว้างขวาง ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขตที่บุคคลประเภทที่เป็นครูจะทำประโยชน์แก่โลก หรือแก่มหาชน ดังนั้นเราจะต้องมองเห็นข้อเท็จจริงว่า มันเป็นความจริงที่สุดแหละ ที่เราได้สิ่งที่ดีแล้ว ได้อาชีพ หรือได้โอกาสที่จะประกอบอาชีพที่ดีที่สุด คืออาชีพที่ได้บุญ เพราะทำให้ทุกคนมีความสงบสุขอยู่ในโลก ง่ายในการที่จะพอใจในตัวเอง ง่ายที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้ตลอดเวลา
คำว่า “พอใจในตัวเอง” นี่ เป็นจริยธรรมสากล ไม่ใช่เฉพาะในพุทธศาสนา มันเป็นสากล เคยได้ยินมานานแล้ว ในตำรับตำราจริยธรรม ethics
ethics มันก็มีคำเหล่านี้ ฝรั่งเขาเคยเรียนกันมากเรื่องนี้ แล้วเขาก็พูดกันมากนะฝรั่งสมัยก่อน มาเมืองไทยก็มีของดีที่เขาภาคภูมิใจของเขามาอวดคนไทย ว่าเขามีอยู่เหนือคนไทย มีความรู้มากกว่าคนไทย แล้วได้ยินเขาพูด หรือเขาเขียน หรือที่เรารับถ่ายทอดกันมาในยุคแรกๆ นั่นน่ะ เขาจะพูดถึงไอ้เรื่องเหล่านี้ทั้งนั้นว่า บังคับตัวเอง แล้วก็มีความเชื่อถือตัวเอง แล้วก็มีความนับถือตัวเอง มีความพอใจในตัวเอง
บังคับตัวเองต้องมาก่อน ถ้าบังคับตัวเองไว้ไม่ได้มันก็ทำผิดหมด ทำชั่วทำเลวหมดแหละถ้าบังคับตัวเองไม่ได้ นี่ก็เป็นหลักศาสนาทั่วๆ ไปแหละ ซึ่งเขาไปเก็บเอามาทำเป็นจริยธรรมสากล บังคับตัวเอง “self” แปลว่า เอง “control” แปลว่า ควบคุม หรือ บังคับ “self-control” บังคับตัวเอง ทุกคนมีการบังคับตัวเองอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว มันก็มีศีล มีวัฒนธรรม มีอะไรที่ดี ที่ถูกต้องไปเสียทั้งนั้น เพราะการบังคับตัวเอง
แล้วก็มีความเชื่อในตัวเอง อันนี้ก็สำคัญมาก ถ้าเราไม่มีความเชื่อในตัวเองแล้วก็ ก็ไม่ทำหรอก แล้วก็คิดว่าทำไม่ได้ แล้วก็ไม่ทำ เมื่อมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าทำได้สิฉันต้องทำได้ ในฐานะเป็นบุคคลคนหนึ่ง หรือว่าเป็นนักเรียน นักศึกษาอะไรคนหนึ่ง ฉันเชื่อว่าอันนี้ทำได้ หรือจะเชื่อว่าโดยธรรมชาติ ธรรมชาติมันสร้างมาให้บุคคลพึ่งพาตัวเอง ก็ต้องเชื่อตนเอง เราเชื่อว่าธรรมชาติสร้างเรามาเพียงพอสำหรับที่จะทำอะไรได้ เราก็เชื่อตัวเองได้ เขาเรียกว่า “confidence” “self” ตัวเอง “self-confidence” มีความเชื่อตัวเอง หรือไว้ใจตัวเอง แน่ใจตัวเองว่ามันจะต้องทำได้ ถ้าเราไม่แน่ใจเราไม่ทำแน่ เราไม่ทำ แล้วเราก็อ่อนอก อ่อนใจ ไม่มีกำลังใจที่จะทำ ถ้ามันเชื่อตัวเอง ไว้ใจตัวเอง แน่ใจตัวเอง มันก็รีบทำเลย ทำอย่างขยันขันแข็ง
ที่ว่าเราจะต้องพอใจตัวเองนี่ เพราะว่าเรามองเห็นแต่ความถูกต้อง ในตัวเรามีแต่ความถูกต้อง ไม่มีสิ่งที่ควรตำหนิติเตียนเลย เราก็พอใจตัวเอง มันก็สนับสนุนให้ทำได้มากขึ้น ได้เข้มแข็งเรี่ยวแรงขึ้น พอใจตัวเอง พอใจในการกระทำของตัวเอง พอใจในผลแห่งการกระทำของตัวเอง เอามารวมกันหมดแล้วก็เรียกว่า พอใจตัวเอง เขาเรียกว่าไอ้ “contentment” “self-contentment” มีความอิ่มใจในตัวเอง พอใจในตัวเอง ถ้ามันครบถ้วนอย่างนี้แล้ว มันก็ไหว้ตัวเองได้
เคารพนับถือตัวเอง เรียกว่า “self-respect” “respect” เคารพนับถือ ที่จริงมันมีมากกว่านี้ แต่เอามาพูดกันเพียง ๔ อย่างเท่านี้มันก็พอ ว่าบังคับตัวเองได้ มีความเชื่อ ไว้ใจ แน่ใจในตัวเอง แล้วก็พอใจทุกอย่างที่มันเกี่ยวกับตัวเอง เพราะมันทำได้ เพราะมันทำได้ ทีนี้มันก็นับถือ เคารพนับถือตัวเองเป็นสิ่งสูงสุด ผู้ใดอยู่ด้วยความเคารพนับถือตัวเองได้น่ะผู้นั้นน่ะประเสริฐไปเสียทุกอย่างแหละ ในส่วนตัวเองมันก็ประเสริฐ เพราะว่ามันถูกต้องหมด มันไม่มีความทุกข์ ในส่วนสังคม คนเขาก็นับถือไว้ใจ เคารพ
ถ้าใครดีจนเคารพตัวเองได้ มันก็ดูจะหมดปัญหา ส่วนจะมีข้ออื่นอีกก็ได้ ในเรื่องช่วยตัวเอง เรื่องอะไรนั้น มันก็รวมอยู่ในพวกเหล่านี้ ปฏิบัติให้สำเร็จได้ ในการที่จะทำที่พึ่งให้แก่ตนเอง ก็โดยการบังคับตัวเอง ไว้ใจตัวเอง พอใจตัวเอง นับถือตัวเอง ขอให้จำไว้ เพราะมันเป็นหลักที่เขาสรุปไว้ง่ายดี เขาไปเอามาจากไอ้หลักจริยธรรมทั้งหลาย ในศาสนาต่างๆ นานา เขามาเลือกเฟ้นแล้ว เขาสรุปไว้เป็นคำสั้นๆ เราก็สบายสิ เราก็สบาย ที่จะศึกษาได้โดยง่าย ปฏิบัติได้โดยง่าย ฝรั่งรุ่นก่อนๆ เข้ามาเมืองไทยน่ะ เขาก็ภาคภูมิใจในเรื่องเหล่านี้ เขาทำทีเหมือนกับว่าเขาเหนือกว่า เขามีวัฒนธรรมสูงกว่า ก็ด้วยมีสิ่งเหล่านี้แหละ เขามักจะพูดกับเราด้วยสิ่งเหล่านี้ อวด เป็นการอวด
แต่ว่าฝรั่งเดี๋ยวนี้ก็แย่มากล่ะ ไม่ค่อยมีหรอก ฝรั่งเดี๋ยวนี้ที่จะพูดถึงเรื่องบังคับตัวเอง เชื่อตัวเอง เพราะว่าเขาก็ลดต่ำลงมาเหมือนกับคนทั่วๆ ไป เลยไม่ค่อยพูดแล้ว ไม่ค่อยพูดสอนคนไทยด้วยหัวข้อเหล่านี้แล้ว แต่ว่าเรานี้ไปคว้าเอามาจากพระคัมภีร์ในพุทธศาสนาของเราก็ได้ มีครบหมดเลยเหมือนกัน แต่เขาเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น เรียกชื่อเป็นไอ้ ศรัทธา ปีติ คารวะ อะไรก็แล้วแต่ มันเรียกชื่อเป็นบาลี เป็นภาษาแขกฟังยาก พูดเป็นภาษาไทยกันดีกว่า ว่าบังคับตัวเองให้ทำหน้าที่ และเชื่อว่าตัวเองทำได้ แล้วก็ดีใจว่าทำได้และทำแล้ว และก็มีเหตุผลพอแล้วที่จะยกมือไหว้ตัวเอง
ดังนั้น จึงขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนนี่ปรับปรุงชีวิต ความมีชีวิต การดำรงชีวิตให้มันอยู่ในรูปแบบอย่างนี้ทุกวันๆ ทุกเดือน ทุกปี จนตลอดไปแหละ ว่าเราจะมีการบังคับตัวเองให้มันอยู่ในร่องในรอย แม้ว่าไอ้คนส่วนมากคนเหล่าอื่น หรือแม้เพื่อนของเรานี่เขาจะไม่ทำ ก็ชั่งหัวเขาสิ เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำตามไอ้คนเหล่านั้น ถ้าเขาไม่อยู่ในร่องในรอยของธรรมะหรือศีลธรรม เพราะว่าเขาไม่บังคับตัวเอง เขาจะทำอบายมุขต่างๆ นานา ก็ชั่วหัวเขาสิ เขาจะดื่มน้ำเมาของเมา เขาจะเที่ยวกลางคืน เขาจะดูการเล่น เขาจะเล่นการพนัน เขาจะคบคนชั่วเป็นมิตร เขาจะเกียจคร้านทำการงานก็ชั่งหัวเขาสิ ใช้คำหยาบคายว่าชั่งหัวมันสิ เราไม่เอาก็แล้วกัน เราจะบังคับตัวเองให้มันอยู่ในร่องในรอยอย่างที่ว่ามาแล้ว
แล้วเราต้องแน่ใจตัวเองว่าเราทำได้ เราบังคับใจของเราได้ เราแน่ใจว่าเราบังคับใจของเราได้ เราบังคับการพูดจา หรือการกระทำของเราได้ เราแน่ใจ ไอ้กำลังของความแน่ใจนี่มันเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่ง การบังคับตัวเองก็ทำไปได้โดยไม่ยาก แล้วก็ควรจะรู้ รู้จักพอใจ เมื่อได้ทำสิ่งที่ถูกที่ดี ควรจะรู้จักพอใจ ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะ มันไม่ทำหรอก มันต้องรู้จักว่า นี่ถูกแล้ว นี่ดีแล้ว นี่คือธรรมะแล้ว มีธรรมะแล้วก็พอใจเพราะว่าทำได้สำเร็จ ทีนี้ก็อยู่ด้วยความพอใจ และเป็นการบูชาเคารพตัวเองว่ามีอะไรดี มีอะไรดีอยู่ในตัวเอง ไม่ต้องไปหาความดี หรืออะไรที่ไหน เพราะมันมีอยู่แล้วในตัวเอง ทุกวันรู้สึกเคารพตัวเอง จะเรียกเป็นภาพพจน์ก็ว่ายกมือไหว้ตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้นะ ถึงใครอยากจะยกมือไหว้ตัวเองมันก็ได้ แต่มันไม่ต้องทำกิริยาท่าทางก็ได้ มันคือในจิตใจมันกระทำของมัน มันไหว้ตัวเองได้ด้วยการกระทำในจิตใจ เพราะว่าถ้าจะไหว้กราบตัวเองสักทีน่ะ มันๆ มันลำบากที่ว่าจะไปกราบที่ตรงไหน
เราควรจะไหว้สิ่งที่ควรไหว้น่ะทุกวันตามที่ท่านสอนกันไว้ สอนมาแต่เดิมว่ามีไหว้ ๕ อย่างหรือ ๕ ครั้ง ไหว้พระพุทธเจ้า ไหว้พระธรรม ไหว้พระสงฆ์ ไหว้พระคุณของท่าน แล้วไหว้พระคุณของบิดามารดา แล้วก็ไหว้พระคุณของครูบาอาจารย์ ทำในใจถึงสิ่งเหล่านั้นแล้วกราบลงที่หมอนก็ได้ เมื่อจะนอนน่ะกราบลงที่หมอนก็ได้ ทำในใจให้ดีที่สุด แล้วกราบลงที่หมอนก็ได้ นั่นแหละคือกราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบบิดามารดา กราบครูบาอาจารย์ ทีนี้เรานึกถึงไอ้ความถูกต้องของเราเอง ในตัวเราเอง แล้วเราก็กราบที่หมอนก็ได้ มันก็เป็นการไหว้ตัวเองอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นเป็น ๖ อย่าง เขาสอนกันอยู่ ๕ อย่าง เราเพิ่มขึ้นอีกอย่าง ขอเพิ่มอีกอย่าง ไม่เสียหายอะไร ไม่น่าเกลียดน่าชังอะไร ทำใจดีที่สุด มองเห็นความดีความถูกต้องของตน พอใจ มีปีติ มีปราโมทย์ในตน แล้วก็กราบลงไปสิ มันจะนอนหลับสนิทนะ มันจะไม่ถูกรบกวนด้วยความฝันเปะๆ ปะๆ บ้าๆ บอๆ
ใครที่รำคาญด้วยการนอนแล้วมันฝันเปะๆ ปะๆ บ้าๆ บอๆ ทำได้ด้วย ป้องกันได้ด้วยการกระทำอย่างนี้แหละ กราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบบิดามารดา ครูบาอาจารย์ กราบตัวเอง แล้วนอนเถอะ มันจะหลับสนิท ไม่ถูกรบกวนโดยความฝันไอ้เลวร้าย หรือต่ำทราม หรือว่ามันไม่มีสาระอะไร ลองปฏิบัติดู จะเห็นจริงด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อใคร พอตื่นนอนขึ้นมาก่อนแต่จะไปทำอะไรก็ หรือก่อนแต่จะลุกขึ้นจากที่นอนก็ยังได้ นึกเสียก่อนว่าวันนี้จะต้องทำอะไร ให้ไหว้ตัวเองได้อีก ให้กราบไหว้ตัวเองได้อีก ถ้าไม่มีอะไรแปลก มันก็ทำเหมือนวันที่แล้วมา เพราะวันที่แล้วมามันก็ทำให้ดี จนกระทั่งว่าไหว้ตัวเองได้ก็ทำเหมือนวันที่แล้วมา ถ้านึกออก ก็ทำให้แปลกออกไปให้ดีกว่า แล้วก็ไป ไปทำ ไปทำที่โรงเรียน ไปทำในห้องเรียน ไปทำตลอดเวลาที่จะต้องทำ จนกว่าจะถึงเวลานอนอีก ก็ทำอย่างนี้อีก นี่เป็นวิธีที่ให้มีธรรมะ
ทีนี้จะพูดถึงคำว่า “ธรรมะ” กันบ้าง แล้วมันจะเข้าใจย้อนหลังได้เองว่า ทำไมจึงเรียกว่าธรรมะ ทำไมจึงต้องประพฤติธรรมะ แล้วไหว้ตัวเองได้ เพราะมันอาจจะสรุปเป็นใจความสั้นๆ ได้ว่า ต้องประพฤติธรรมะเท่านั้นแหละที่จะทำให้ไหว้ตัวเองได้ ทางอื่นไม่มี ถ้าไม่ประพฤติธรรมะ หรือประพฤติไม่เป็นธรรมะ ก็ไม่มีทางที่จะไหว้ตัวเองได้ นี่เราก็มีการประพฤติที่เป็นธรรมะ
ทีนี้ขอให้ฟังเป็นข้อที่สองว่า ธรรมะน่ะมันคืออะไร ทุกคนได้ยินได้ฟังว่า ธรรมะคืออะไรกันมามากแล้ว แต่มันก็เป็นคำพูดชนิดที่ยังไม่พอ เรียกว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์ก็ได้ เรื่องธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด ธรรมะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ต้องเคารพต้องเชื่อ อย่างนี้มันก็พูดได้ แล้วมันก็ถูกทั้งนั้นแหละ แต่ที่อยากจะให้ทุกคน มองเห็น เข้าใจ ยึดถือไว้เป็นหลักนั้น ให้รู้ว่า “ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต” เท่านี้ก็พอ คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต
มันจะมีชีวิตระดับไหนก็ตามใจเถอะ มันต้องมีหน้าที่ทั้งนั้นแหละ ตั้งแต่เป็นต้นไม้ต้นไร่ มีชีวิตต้องทำหน้าที่ของต้นไม้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ทำหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉาน เป็นคนก็ทำหน้าที่ของคน เป็นมนุษย์ก็ทำหน้าที่ของมนุษย์ เป็นเทวดาก็ทำหน้าที่ของเทวดา เป็นอะไรมากกว่านั้นก็ต้องทำหน้าที่ของสิ่งที่มากกว่านั้น เรียกว่าต้องทำหน้าที่กันทั้งนั้น ถ้าไม่ทำหน้าที่ มันก็คือตาย ไม่ทางกายก็ทางใจ หรือทั้งสองอย่างเลย เช่นมันไม่ทำหน้าที่หาอาหารกิน มันก็ตายทางกาย หรือมันไม่ทำหน้าที่ที่ควรจะทำให้ถูกต้อง มันก็เกิดความกิเลส มีความชั่ว มีความทุกข์ ไม่มีอะไรดี เหลืออยู่สำหรับความเป็นมนุษย์ เรียกว่ามันตายทางใจ แล้วในที่สุด มันก็ตายทางกาย เรียกว่าตายทั้งสองทาง คำว่า “ตาย” ก็มีความหมายอย่างนี้ ตายทางกายมันก็เห็นๆ กันอยู่ เข้าโลงเอาไปเผา ไปฝัง เรียกว่าตายทางกาย ตายทางใจก็คือไม่มีอะไรดีเหลืออยู่เลยสำหรับความเป็นคนของคนๆ นั้นเรียกว่า ตายหมดแล้วในทางจิตใจ แล้วมันมักจะตายในทางกายด้วย ถ้ามันตายในทางจิตใจหมายความว่ามันทำความชั่ว ไม่เท่าไรมันก็ต้องรับผลของความชั่ว คือมีใครคนใดคนหนึ่งมาตีตาย มาฆ่าตาย มันก็เลยได้ตายทั้งสองทาง นี่เรียกว่าถ้าไม่ทำหน้าที่แล้วมันก็จะต้องตาย
ชีวิตรอดอยู่ได้ด้วยการทำหน้าที่ ดังนั้นหน้าที่ทุกชนิด เรียกว่าธรรมะหมด นี่อย่า อย่าดูถูกคำๆ นี้ ที่ว่าหน้าที่ทุกชนิดของสิ่งที่มีชีวิตเรียกว่าธรรมะทั้งหมดเลย ธรรมะทั้งหมดเลย พูดถึงหัวข้อใหญ่ๆ เอาก่อนก็ได้ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลอันเกิดจากหน้าที่ นี่เรียกว่าธรรมะเสมอกัน ธรรมะคือหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละคือหน้าที่ในที่นี้เรียกว่าธรรมะ มนุษย์เริ่มรู้จักหน้าที่เมื่อไร มันก็เรียกชื่อออกมาว่าธรรมะ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด หรือก่อนระบบไอ้ศีลธรรมบางอย่างเกิด มนุษย์ก็มีความรู้เรื่องทำหน้าที่ หน้าที่อะไรที่มนุษย์สมัยนู้น สมัยยังเป็นคนป่าจะต้องทำ มันก็รู้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ แล้วมันก็เรียกว่าหน้าที่ๆ แต่เผอิญคำในภาษาบาลีในภาษาอินเดียนั้น คำนั้นมันคือคำว่า ธรรมะนั่นเอง ดังนั้นธรรมะแปลว่าหน้าที่
ถ้าศึกษากันในแง่ของตัวหนังสือ ตัวพยัญชนะ คำว่า ธรรมะ แปลว่า ทรงตัวเองไว้ ดังนั้นใครมีธรรมะ ธรรมะก็จะทรงผู้นั้นไว้ เพราะว่าธรรมะคือสิ่งที่ทรงตัวเองได้ คำว่า ธรรมะ แปลว่า สิ่งที่ทรงตัวเองได้ ทรงไว้ซึ่งตัวเอง ใครมีธรรมะ คนนั้นก็ทรงไว้ซึ่งตัวเองได้ มันก็เป็นหน้าที่ที่ถ้าใครไม่ทรงตัวเองไว้ คนนั้นมันก็ต้องตาย
ดังนั้นเขาจึงรู้จักธรรมะว่าเป็นสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งทั้งหลายมาตั้งแต่โบรมโบราณ ก่อนพุทธกาล ใช้เรียกกันมา ด้วยคำๆ เดียวกันนั่นแหละว่า ธรรมะ ธรรมะ คือหน้าที่ หน้าที่ คือธรรมะ ธรรมะ หน้าที่ ต่อมามันก็วิวัฒนาการ คือรู้มากขึ้นว่าหน้าที่อะไรบ้าง ก่อนนี้รู้แต่หน้าที่ต่ำๆ ได้ผลต่ำๆ พออยู่ไปได้ไม่ตาย รอดได้ ไม่ตาย ก็หน้าที่ขั้นหนึ่งแล้ว ต่อมารู้ว่าหน้าที่ทำให้ดีขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป สูงขึ้นไปจนเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุด เป็นพระอรหันต์
คำว่า พระอรหันต์ นี่มนุษย์สูงสุด สุดท้ายของความประเสริฐนี่ ก็เรียกว่าพระอรหันต์ เขาคิดว่าอะไรเป็นอย่างนั้น เขาก็เรียกว่า อรหันต์ ดังนั้นคำว่า อรหันต์ ก็มีมาแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาลนานไกล ตั้งแต่มนุษย์เริ่มนึกถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์มันจะเป็นกันได้ เขาก็รู้ว่ามีหน้าที่เหลืออยู่อีกแผนกหนึ่ง คือเมื่อไม่ตายแล้วก็ต้องทำให้ดีขึ้นไปๆ จนถึงยอดสุดของความเป็นมนุษย์ นี่เรียกว่า ความรอด ความรอด รู้ไว้ก็ได้ เพราะว่าไอ้คำว่าความรอด ความหลุดรอด หลุดพ้นเป็นจุดหมายปลายทางของทุกๆ ศาสนาเลย ไม่ว่าศาสนาไหนจะไปจบลงด้วยคำว่าความรอดทั้งนั้นแหละ แม้ว่ามันจะรอดต่างๆ กัน โดยคำสอนต่างๆ กัน แต่เขาเอาความหมายเดียวกันว่า รอด พระเจ้าช่วยให้รอดหรือเราทำตัวเราให้รอด ถ้ามันรอดแล้วมันก็จบไปเรื่อง นี่ทางหลักธรรมะพุทธศาสนานี่มันเป็นเรื่องที่อิงอาศัยกับความจริงของธรรมชาติตลอดมา เขาจึงพบมาตามแนวของธรรมชาติว่าธรรมะคือหน้าที่ จะต้องทำให้ถูกต้องต่อเรื่องราวของสิ่งนั้นๆ หรือชีวิตนั้นๆ น่ะ ชีวิตนั้นๆ ก็จะรอด แม้ว่าลัทธิอื่นเขาจะสอนว่าให้อ้อนวอนพระเจ้า ให้พระเจ้าช่วยแล้วก็จะรอด ก็ได้เหมือนกัน ก็รอด รอดชีวิตด้วยกัน รอดจากความทุกข์ด้วยกัน แต่วิธีมันต่างกัน เมื่อเราไม่ชอบอย่างนั้น เราก็มาชอบอย่างนี้ ชอบตามที่เราอยากจะชอบ หรือมองเห็นว่าควรจะชอบ ดังนั้นเราจึงชอบวิธีที่เราเรียกกันว่า พุทธศาสนา ธรรมะในพระพุทธศาสนาซึ่งสอนถึงวิธีที่จะช่วยให้รอด รอดชีวิตก็ได้ รอดจากความทุกข์ ความชั่วทั้งหลายก็ได้ จบเรื่องแล้วก็เป็นมนุษย์สูงสุด เป็นพระอรหันต์ ดังนั้น ธรรมะ คำนี้ แปลว่า หน้าที่ ตามที่มนุษย์คนแรกมันจะสังเกตเห็นว่าชีวิตทุกชีวิตมีหน้าที่ แล้วก็เรียกถึงสิ่งนั้นว่าธรรมะ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ตามภาษานั้นๆ แล้วแต่ว่ามันพูดกันในที่ไหน ภาษาไหน แต่ความหมายของมันยังคงเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ
ดังนั้น เราจะต้องทำหน้าที่ บกพร่องไม่ได้ ในฐานะเราเป็นสิ่งที่มีชีวิตในระดับคน ระดับมนุษย์ ถ้าเป็นต้นไม้ก็ทำหน้าที่ในระดับต้นไม้ เรานั่งอยู่ตรงนี้ เห็นต้นไม้ทั่วไปหมด เห็นต้นไม้อยู่นิ่งๆ ไม่วิ่งเต้นอะไร อาจจะคิดว่าไม่ได้ทำอะไรก็ได้ ต้นไม้ทุกต้นที่เห็นอยู่นิ่งๆ นี่มันกำลังทำหน้าที่ อย่างน้อยก็ดูดน้ำในแผ่นดินขึ้นไป ดูดแร่ธาตุในแผ่นดินขึ้นไป แล้วก็ค่อยทำปฏิกิริยากับแสงแดดให้แร่ธาตุนั้นกลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตได้ เป็นสารอินทรียวัตถุมาหล่อเลี้ยงใบ เปลือก ต้น โตขึ้นทุกวันๆ นี่หน้าที่คงทำตลอดเวลา แม้จะต่างกัน กลางวันทำอย่าง กลางคืนทำอย่าง มันก็ทำตลอดเวลา ต้นไม้จึงรอดชีวิตอยู่ได้ นี่หน้าที่มันเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะเห็นว่าต้นไม้ไม่ทำอะไรอยู่นิ่งๆ แล้วรอดอยู่ได้ เป็นของไม่มีเหตุผลน่ะ มันต้องทำหน้าที่เต็มที่ของมันมันจึงรอดอยู่ได้ แต่เพราะต้นไม้มันเคลื่อนไหวไม่ได้ มันก็เห็นอย่างนี้ มันอยู่ในสภาพนิ่งๆ อย่างนี้ สัตว์เดรัจฉานเราเห็นง่าย เราจะเห็นสัตว์เดรัจฉานทำหน้าที่ทุกอย่างแหละที่ให้มันรอดชีวิตอยู่ได้ ที่เป็นพื้นฐานเป็นหลักพื้นฐานก็หากินๆ ก็ต้องทำหน้าที่หากิน ทำหน้าที่ต่อสู้กับภัยอันตราย ให้รอดชีวิตอยู่ได้ แม้แต่การพักผ่อน บางเวลาก็ต้องพักผ่อน เพราะว่าถ้าไม่พักผ่อนเสียเลย ไม่มีแรงที่จะเที่ยวทำมาหากิน ดังนั้นการพักผ่อนมันก็รวมอยู่ในการงานน่ะเพราะว่าจะได้มีแรงทำงาน แม้แต่การพักผ่อนก็เรียกว่าหน้าที่ที่จะต้องพักผ่อน ถ้าไม่ทำหน้าที่พักผ่อน มันก็ไม่มีแรงจะทำงาน มันก็ตายเหมือนกัน แม้ที่สุดแต่การสืบพันธุ์ก็เป็นหน้าที่ที่จะไม่ให้สูญพันธุ์ นี่ชีวิตรวมสืบพันธุ์ พืชพันธุ์น่ะ ก็สืบพืชพันธุ์ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์
ดังนั้น สัตว์เดรัจฉานจึงยังคงมีอยู่ หน้าที่เพียงไม่สูญ ไม่สูญไป ก็เรียกว่าพอแล้วสำหรับสัตว์เดรัจฉาน มันจะทำมากกว่านั้นไม่ได้ เพราะมันไม่มีความคิดนึกอย่างคน ไม่มีปัญหามากเหมือนคน แต่คนนี่จะมีหน้าที่เพียงเท่านั้นไม่ได้ เพียงรอดชีวิตอยู่แล้วไม่สูญพันธุ์นั้นมันไม่ได้ เพราะว่าคนกับสัตว์นั้นมันต่างกันมากมายนัก ศึกษาชีววิทยามาแล้วก็รู้ได้เองว่ามันต่างกันอย่างไรในส่วนสมอง ในส่วนความคิดนึก มันมีความคิดนึกได้ไกล มันก็เผชิญกับปัญหามาก คือความที่อยากจะเจริญก้าวหน้าให้มากนั่นเอง มนุษย์พูดได้ มนุษย์ถ่ายทอดวิชาความรู้กันได้ จึงทำอะไรได้มากกว่าสัตว์มากมายหลายร้อยหลายพันเท่า ดังนั้นหน้าที่ของมนุษย์จึงมีมากกว่าสัตว์เดรัจฉานหลายร้อยหลายพันเท่า แล้วเราก็ต้องการที่ดีที่สุดด้วย คือจะไม่เพียงแต่ว่ารอดชีวิตอยู่ได้ แล้วไม่ใช่ดีอย่างให้เป็นไปง่ายๆ ตามธรรมชาติ เราอยากให้ดีที่สุด ดังนั้นเราจึงมีการศึกษา มีระบบการศึกษาที่สัตว์เดรัจฉานมันมีไม่ได้ เพราะมันพูดไม่ได้ มันถ่ายทอดอะไรกันไม่ได้ มันสมองจึงเล็กลงๆ ตามแบบของสัตว์ เหลือเท่าที่สัตว์จะต้องมี ส่วนมนุษย์นั้นมันเจริญงอกงาม มันสมองมันจึงมากกว่าสัตว์มาก มันจึงสามารถทำอะไรได้มาก ฉะนั้นหน้าที่มันก็มีมาก แล้วก็มีโอกาสที่จะรู้จักหน้าที่นั้นอย่างครบถ้วนไม่ว่าจะมากเท่าไร มนุษย์ที่มีสติปัญญาศึกษาเฉลียวฉลาด ถ่ายทอดกันได้ มันก็รู้มากแล้วก็มีหน้าที่ เพราะฉะนั้นเราต้องทำหน้าที่ทุกอย่างให้มันถูกต้อง ให้มันครบถ้วน เรื่องกินอาหาร มันก็ต้องถูกต้องดีกว่าสัตว์ เรื่องเครื่องนุ่งห่มก็มากกว่าสัตว์ ซึ่งสัตว์จะไม่มีก็ได้ ที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย มันก็ดีกว่าสัตว์ หยูกยา สำหรับแก้โรคภัยไข้เจ็บ มันก็มากกว่าสัตว์ แม้แต่การสืบพันธุ์ มันก็ต้องการพืชพันธุ์ที่ดีกว่าเดิมยิ่งๆ ขึ้นไป มันก็ดีกว่าสัตว์ มันก็มากกว่าสัตว์ หน้าที่ทั้งหมดนั้นเรียกว่าธรรมะ ทั้งที่เป็นขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ขนาดเล็กที่สุด เราก็จะต้องทำ แม้ที่ว่าเพื่อรอดชีวิตก็ต้องมีอาหารกิน แล้วก็ต้องรู้จักกินให้มันถูกต้อง และปลอดภัย รู้จักหาให้ถูกต้องและปลอดภัย รู้จักเก็บสะสมให้ถูกต้องและปลอดภัย รู้จักปรุงให้มันถูกต้องและปลอดภัย มันจึงมีหน้าที่ที่จะต้องทำมากกว่า แต่อย่าลืมว่าไอ้หน้าที่เหล่านั้นเรียกว่า ธรรม ธรรมะทั้งนั้นน่ะ แต่มันจะยังน้อย เล็กน้อยเกินไป เราก็ไม่ค่อยจะสนใจ เราจะต้องกินอะไรบ้าง เราก็ต้องหามากิน ไม่ได้กินแต่ข้าวอย่างเดียว ต้องกินของอื่น กระทั่งกินน้ำ หรือว่าอะไรก็ตาม มันต้องถูกต้องในส่วนร่างกาย ในส่วนเครื่องนุ่งห่มนี้ มันก็ถูกต้องสำหรับที่จะได้รับประโยชน์
ทีนี้มันมีส่วนเฟ้อ ส่วนเกิน ที่จะต้องสวยงามซึ่งมักจะหลงใหลกันนัก อันนี้เรียกว่าหน้าที่ส่วนเกิน ระวังให้ดี เรื่องกินก็เหมือนกันแหละ ให้มันพอดี อย่าให้มันเป็นเรื่องส่วนเกิน พอส่วนเกินแล้วมันก็จะกลายเป็นไม่ใช่หน้าที่ขึ้นมา คือมันจะกลายเป็นอันตรายขึ้นมา แล้วก็ระวังเครื่องนุ่งห่ม อย่าทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาเพราะเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ทำไมจะต้องดี ทำไมจะต้องแพง ดังนั้นให้รู้ไว้ว่า ถ้าเรามีเครื่องนุ่งห่มที่ดี ที่แพงกว่าธรรมดานั้นเป็นการแสดงความโง่ของเรา ทำไมเสื้อของเราจะต้องพิมพ์ข้อความอย่างนั้นอย่างนี้ที่หน้าอก ถ้าเราไม่ต้องพิมพ์ เราก็ไม่ต้องเสียค่า ค่าพิมพ์ มันยิ่งทำอะไรให้มันเกินจำเป็นไปเท่าไร มันก็คือความโง่ของเรา มันเกินหน้าที่ ถ้ามันอยู่แต่ในขอบเขตของหน้าที่ มันก็ปลอดภัย
เรื่องโรคภัยไข้เจ็บนี่ก็เหมือนกันแหละ เอาใจใส่เป็นหน้าที่ อย่าให้มันมี หรือให้มันหายไปเสีย ป้องกันอย่าให้มันเกิด เดี๋ยวนี้เรากลับไปหาเอามา เพราะความสนุกส่วนเฟ้อ สนุกสนานส่วนเฟ้อ ส่วนเกิน ก็ไปหายาเสพติดเอามา หาสิ่งที่เป็นอันตราย ทำลายสุขภาพเอามา นี่มันๆ นอกหน้าที่ มันเกินหน้าที่ จะต้องเว้นเสีย ดังนั้นขอให้จำคำว่า หน้าที่ ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต และเรียกว่าธรรมะ เมื่อได้ยินคำว่าธรรมะแล้วก็ให้รู้ว่าหน้าที่ เมื่อได้ยินคำว่า หน้าที่ ให้นึกถึงธรรมะ เพราะบางทีเราพูดด้วยคำว่า ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ แล้วเราก็ลืมไปไม่ได้นึกถึง ธรรมะ เช่น เมื่อเราเห็นชาวนาคนหนึ่งไถนาอยู่ เราก็รู้สึกแต่ว่าเขาไถนาเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้พอ เราจะรู้สึกว่าเขากำลังประพฤติธรรมะ ชาวนาที่กำลังไถนาอยู่น่ะเขากำลังประพฤติธรรมะ คือทำหน้าที่ของมนุษย์ เมื่อชาวสวนทำสวนอยู่ก็ดี พ่อค้าแม่ค้ามันค้าขายอยู่ก็ดี ข้าราชการทำงานของเขาก็ดี กรรมกรทำงานของเขาก็ดี ยากจน ถีบสามล้อ แจวเรือจ้าง ล้างท่อถนนก็ดี แม้ที่สุดแต่นั่งขอทานอยู่ก็ดี เขาทำหน้าที่ทั้งนั้น เขากำลังประพฤติธรรมะทั้งนั้น แม้ว่าเขากำลังนั่งขอทานอยู่อย่างถูกต้อง นี่เราไม่มีความคิดอย่างนั้นใช่ไหม เพราะว่าเราไม่เคยเรียนมาว่า ธรรมะ คือ หน้าที่นี่ เดี๋ยวนี้กำลังบอกกันที่นี่ เมื่อนั่งอยู่กลางดินที่นี่ วันนี้ได้รับคำบอกเล่าว่า ธรรมะ คือหน้าที่ ใครทำหน้าที่อะไรของตนอยู่เรียกว่ามัน เรียกว่าเขาประพฤติธรรมะทั้งนั้น
ดังนั้นขอให้ศึกษา ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้มาก ถ้าเห็นนั่งขอทานอยู่ก็อนุโมทนาด้วย เขาประพฤติธรรมะของคนขอทานอย่างสุจริตถูกต้อง ไม่เท่าไรเขาก็จะพ้นจากสภาพขอทาน ถ้าเขาประพฤติธรรมะของคนขอทานอย่างถูกต้องนะ ไม่เท่าไรเขาจะพ้นสภาพคนขอทาน แต่เดี๋ยวนี้มันมีขอทานอันธพาลเสียโดยมาก ไม่ใช่ขอทานอย่างถูกต้อง ขอทานเลวๆ ขอทานเอาไปกินเหล้า ขอทานเอาไปทำอบายมุข ขอทานอย่างนี้ไม่รู้จักพ้นจากสภาพขอทาน
ถ้าเขาถีบสามล้ออยู่ กวาดถนนอยู่ ล้างท่อถนนอยู่ เราก็จะอนุโมทนาว่าเขาประพฤติธรรมะ อย่าเห็นว่าเขาเป็นคนกวาดถนน แจวเรือจ้างแล้วดูถูกเขาเลย ให้เห็นว่าเขาประพฤติธรรมะ เพราะเขาทำหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต นี่คนกรรมกร ข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า ชาวนาชาวสวน เมื่อเขาทำหน้าที่ของเขาอยู่ เราจงนึกอนุโมทนาอยู่ในใจ ว่าเขากำลังประพฤติธรรมะอยู่ ซึ่งมันจะช่วยให้เขารอดชีวิตอยู่ได้ หรือว่าจะช่วยให้เขาเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปนี่ เกี่ยวกับมนุษย์เรา
เมื่อเราเห็นสัตว์เดรัจฉานมันทำหน้าที่ของมันอยู่ เช่น ไก่นี่มันจะเขี่ยอยู่ตลอดเวลา อนุโมทนาว่ามันประพฤติธรรมะของไก่ เพื่อรอดชีวิตอยู่ได้ หรือเพื่อความเจริญต่อไป หรือสัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นมันทำหน้าที่ของมันอยู่ ก็อนุโมทนาด้วยว่ามันกำลังทำหน้าที่ของมัน คือธรรมะของสัตว์นั้นๆ เห็นต้นไม้ ต้นไร่ เจริญงอกงามดี ก็อนุโมทนาว่าต้นไม้ต้นนี้มันประพฤติธรรมะถูกต้องสมบูรณ์ มันจึงเจริญงอกงามดี อย่างนี้ต่างหากที่จะเรียกว่าคนนั้นมันรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เมื่อสิ่งที่มีชีวิตใดๆ ก็ตามทำหน้าที่ของมันอยู่แล้วก็อนุโมทนาว่ามันกำลังประพฤติธรรมะ และให้ถือว่าแม้แต่การพักผ่อนมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่ เพราะว่ามันไม่นอน ไม่พักผ่อนมันก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำหน้าที่ ดังนั้นต้องรวมเข้าไปในคำว่า ทำหน้าที่ เราต้องกินอาหาร เราต้องอาบน้ำ เราต้องถ่ายอุจจาระ ต้องถ่ายปัสสาวะ แม้แต่ว่าเราคันขึ้นมาเราก็ต้องเกา คิดดูสิ ก็เรียกว่ามันทำหน้าที่ที่ให้มันรอดอยู่ได้ มันจึงรู้จักว่าได้ทำหน้าที่เมื่อไรก็มีธรรมะเมื่อนั้น แล้วก็พอใจ มีความพอใจในตัวเอง เคารพนับถือตัวเอง เลยมีความสุขอยู่ทั้งวันทั้งคืน เพราะว่าเราทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอแหละ แม้แต่เรานอนพักผ่อน มันก็เป็นการทำหน้าที่เพื่อให้มีเรี่ยวมีแรงทำงานต่อไป เมื่อเราทำงานอยู่ อ้าว, นี่มันทำหน้าที่ มันก็พอใจว่าเราประพฤติธรรมะอยู่
ถ้าเราจะต้องหุงข้าวกินเอง เราจะต้องล้างจานเอง ถูพื้นเองๆ ก็พอใจว่านี่กำลังประพฤติธรรมะอยู่ อย่ารังเกียจ เกลียดชัง เสือกไสให้คนอื่นทำเพราะว่าเราขี้เกียจ เพราะว่าเราเห็นว่ามันไม่มีค่าอะไร ดังนั้นขอให้ทำเถอะ แล้วพอใจอยู่ในขณะที่ทำนั้นน่ะมีธรรมะ แล้วก็มีความสุขอยู่ทุกๆ เวลาไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม้แต่อาบน้ำอยู่ ก็พอใจอย่างยิ่งว่าได้ประพฤติธรรมะถูกต้องในเรื่องของการอาบน้ำ เพื่อมีชีวิตอยู่ เมื่อถ่ายอุจจาระปัสสาวะอยู่ก็พอใจๆ ในการกระทำที่ถูกต้องตามหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตอยู่ อย่าทำหวัดๆ อย่าทำหยาบๆ แม้แต่เรื่องอาบน้ำ เรื่องถ่ายอุจจาระ เรื่องปัสสาวะ เรื่องจะล้างจาน เรื่องจะถูบ้าน เรื่องจะกวาดเรือนอะไรก็ตาม ที่ทำได้แหละ ยินดีทำ อย่าให้มีใครต้องใช้ เป็นนักเรียนนักศึกษาก็ทำได้ ไม่ต้องให้ภารโรงทำก็ได้ ถ้าส้วมมันสกปรกเราล้างเองก็ได้ ไม่ต้องไปเรียกภารโรงมาล้าง แล้วเราก็จะได้พอใจว่าเราได้ประพฤติธรรมะ และหน้าที่ของมนุษย์ในส่วนนั้น นี่เรียกว่าธรรมะประพฤติได้ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกอิริยาบถ เมื่ออาบน้ำนี่ก็พอใจว่ามันเป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง แล้วเราควรจะพอใจว่าถูขี้ไคลนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมะ บางคนมันโง่ถึงขนาดขี้เกียจไม่อยากถูขี้ไคลก็มีนะ แต่ถ้าเขารู้ว่าการถูขี้ไคลมันก็คือการทำหน้าที่ แล้วมันก็เป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างหนึ่ง เป็นการกระทำให้ถูกต้องตลอดเวลาที่อาบน้ำ ไม่ว่าจะทำอะไร ทำให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด กระทั่งว่าจะตากผ้า หรือจะทำทุกอย่างให้มันถูกต้องที่สุด ก็พอใจว่าเราได้ปฏิบัติธรรมะไปเสียทั้งนั้นเลย เมื่อได้รู้สึกว่าปฏิบัติธรรมะมันก็พอใจ เมื่อพอใจมันก็เป็นสุข ดังนั้น เราจึงหาความสุขได้ทุกอิริยาบถ ทุกหน้าที่การงานที่เรากระทำ เราก็เป็นผู้อิ่มอยู่ด้วยความสุขทุกเวลา ทุกวัน ทุกเดือนทุกปี ไม่มีระยะว่างเว้น เมื่อทำงานก็เป็นสุข เมื่อพักผ่อนก็เป็นสุข เพราะมองเห็นเป็นการปฏิบัติธรรมะ ด้วยกัน ดังนั้นพอค่ำลงก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อชีวิตทั้งวันเต็มไปด้วยความถูกต้องคือธรรมะ นี่คือความจริงที่ธรรมชาติกำหนดมา
เดี๋ยวนี้เราไม่นึกถึงหน้าที่ที่ถูกต้องตามธรรมชาติ เรานึกแต่ว่าวันนี้จะไปสรวลเสเฮฮากันที่ไหน จะไปเลี้ยงกันที่ไหน จะไปทำอบายมุขกันที่ไหน จะพบแฟนที่ไหน นี่ดูจะมากกว่าอย่างอื่น มันก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะทำหน้าที่ที่ถูกต้อง มันก็เลยหาไอ้ความรู้สึกที่เยือกเย็นได้ยาก มันมีแต่ความรู้สึกร้อน คือมันนอกลู่นอกทางของธรรมะ ไม่เป็นธรรมะคือไม่ใช่หน้าที่โดยตรงที่จะต้องทำ เราก็เลยมีชีวิตร้อน มันผิดธรรมะ หรือมันเป็นธรรมะเกินที่ไม่ควรจะมี สนุกสนานเกิน อะไรเกิน อย่างนี้มันไม่ใช่ธรรมะหรอก ถ้าเป็นธรรมะก็ธรรมะฝ่ายดำ คือฝ่ายผิด เรียกว่าอธรรมดีกว่า ดังนั้น ขอให้ทำให้ดีที่สุดทุกๆ กระเบียดนิ้ว ทุกๆกระเบียดนิ้ว ที่เนื้อ ที่ตัว ที่เสื้อ ที่ผ้า ที่เครื่องใช้ไม้สอย ที่เครื่องเล่าเรียน เครื่องอะไรต่างๆ ต้องถูกต้อง ต้องบริสุทธิ์ ต้องพร้อม ต้องอยู่ในภาวะที่มีประโยชน์ที่สุด แล้วก็พอใจ แล้วก็สนุก อยู่ด้วยการทำอย่างนี้ ไม่คิดว่าเมื่อไรจะถึงเวลาปิด ปิดเรียนแล้วไปเล่น ไปเที่ยว ไปกิน ไปสนุกสนาน อย่างที่ไม่รู้สึกว่าอะไรเป็นหน้าที่อะไรมิใช่หน้าที่ เราสำคัญผิด เอาสิ่งที่มิใช่หน้าที่มาเป็นหน้าที่ เราก็ไปชอบความหลอกลวงเพราะเราเข้าใจผิดเสียแล้ว ความเพลิดเพลินเอร็ดอร่อย สนุกสนานทางเนื้อทางหนัง เขาใช้คำว่าทางเนื้อทางหนัง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางผิวหนังที่เกี่ยวกับกามารมณ์นี่ก็เรียกว่าความเพลิดเพลินทางเนื้อหนังนี้ไม่ใช่ความสุข เป็นความเพลิดเพลินเท่านั้นเอง แล้วหลอกลวงด้วย ต้องซื้อด้วยราคาแพงด้วย ไอ้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงต้องใช้เงินมากจนพ่อแม่ให้มาไม่พอใช้ แม้ได้รับเงินเดือนแล้วก็เงินเดือนไม่พอใช้
ความสุขที่แท้จริงนั้นมันเย็น คือพอใจในความรู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว เราเป็นคนทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว แล้วพอใจอยู่ด้วยสิ่งนั้น จิตใจมันก็เยือกเย็นและเป็นสุข โดยไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียว ทำให้พูดได้ว่าถ้าความสุขแท้จริงแล้วไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียวก็ได้ ไอ้ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงซึ่งไม่ใช่ความสุขนั้นจะต้องใช้เงินมาก นักเรียนนักศึกษาที่ถลุงเงินของพ่อแม่วินาศวอดวายไปหมดน่ะ เพราะว่าไปหลงไอ้ความเพลิดเพลินอันหลอกลวงทั้งนั้น ถ้าเขาพอใจอยู่ด้วยความสุขอันแท้จริง จะไม่เกิดภาวะอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องจริงนะ ไม่ใช่ว่าพวกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ มีในคนเป็นอันมากแหละที่เขาได้ทำลายพ่อแม่ ทำลายเศรษฐกิจของพ่อแม่ด้วยความหลงในสิ่งเพลิดเพลินอันหลอกลวง ไม่ได้สนใจอยู่กับความสุขอันแท้จริงคือทำหน้าที่ของตนให้บริสุทธิ์ เป็นมนุษย์ทำหน้าที่ของมนุษย์ แล้วมนุษย์เป็นได้หลายอย่าง เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นนักเรียน เป็นครูบาอาจารย์ เป็นอะไรก็ตามแหละ ก็ต้องทำหน้าที่นั้นๆ ให้ถูกต้อง แล้วก็พอใจ แล้วก็เป็นสุข นี่ธรรมะคือหน้าที่
เมื่อมีคำถามก็ว่าธรรมะคืออะไร ก็ตอบว่า ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ต้องทำตามระดับชั้น ชีวิตระดับต้นไม้ ก็ทำไปตามแบบนั้น ชีวิตระดับสัตว์เดรัจฉานก็ทำไปตามแบบนั้น ชีวิตระดับคนมันก็ทำไปตามแบบนั้น ชีวิตระดับมนุษย์ คือดีกว่าคน มันก็ทำไปตามแบบนั้น ชีวิตระดับเทวดา ก็ทำไปตามแบบเทวดา จึงจะเรียกว่าเทวดา ต้องทำไปตามแบบนั้นๆ จึงจะเรียกว่ามีธรรมะอย่างนั้นๆ ถ้าเราเป็นนักเรียนนักศึกษา ก็มีธรรมะของนักเรียนนักศึกษาให้เต็มที่ๆ อยู่ตลอดเวลา ปัญหาจะไม่เกิด ก็จะมีความสุข ความเย็นใจ พอใจ ในการกระทำของตนเองอยู่ พอใจหมายความว่าดีใจ อิ่มอกอิ่มใจ ชื่นใจในชีวิตเป็นอยู่ของตนเองชนิดที่เรียกว่ายกมือไหว้ตนเองได้อยู่ตลอดเวลา เรามีความสุขได้ตั้งแต่ต้นจนปลาย เป็นเด็กทารกทำหน้าที่ของเด็กทารก เป็นเด็กโตทำหน้าที่ของเด็กโต เป็นนักเรียนเป็นนักศึกษาทำหน้าที่ของนักเรียนนักศึกษา พอใจอยู่ในหน้าที่อันถูกต้อง นี่จะมีความสุขเย็น คือสุขแท้ สุขจริง แล้วก็จะมีสุขภาพอนามัยดี สามารถดำเนินหน้าที่กิจการต่อไปๆ ต่อไปให้ดี เรียกว่ามีความสุขด้วย มีสมรรถนะในการจะดำเนินชีวิตต่อไปด้วย
นี้เรียกว่าประโยชน์ของธรรมะคือหน้าที่ที่เราจะต้องทำในฐานะเป็นสิ่งที่เรียกว่า “คู่ชีวิต” เป็นคู่ชีวิต คำว่า “คู่ชีวิต” นี่ถ้าเป็นเรื่องทางวัตถุทางกาย ทางเนื้อหนังก็คือ คู่ผัวตัวเมีย ว่าคู่ชีวิต แต่ถ้าพูดภาษาจิตภาษาวิญญาณแล้ว ธรรมะนั้นน่ะเป็นคู่ชีวิต คือหน้าที่อันถูกต้องในการมีชีวิต นั่นแหละคือธรรมะ นั่นแหละคู่ชีวิต ลองไม่ทำสิตายทันทีเลย ลองไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตมันก็ตายเลย คู่ชีวิตภาษาธรรมดาชาวบ้านพูดนั่น มันเป็นสมมติเท่านั้นแหละ แต่งงานกันไม่เท่าไรก็กัดกันก็ฮื่อแฮ่ต่อกัน เดี๋ยวก็หย่ากันเดี๋ยวก็ดีกัน คู่ชีวิตอะไรอย่างนั้นเล่า มันเป็นเรื่องที่สมมติมากเกินไป แต่ถ้าคู่ชีวิตคือธรรมะแล้วแน่นอนตายตัวแท้จริง ถ้ามีอยู่กับเนื้อกับตนแล้วก็จะมีแต่ความสุขเย็น เจริญงอกงาม ขาดธรรมะเป็นคู่ชีวิตแล้วไม่ทำหน้าที่แล้วมันตาย มันถึงกับตาย หรือแม้จะอยู่ มันก็อยู่อย่างไม่ดีกว่าตาย มันเหมือนกับตายแล้วในด้านจิตใจ อย่างนี้ก็เรียกว่าตายในด้านจิตใจ
นี่ธรรมะเป็นคู่ชีวิตยิ่งกว่าคู่ชีวิตชนิดไหน ผัวก็ต้องมีธรรมะ เมียก็ต้องมีธรรมะ ลูกก็ต้องมีธรรมะ คนใช้ก็ต้องมีธรรมะ ทุกๆ คนก็ต้องมีธรรมะเป็นคู่ชีวิต แล้วคนที่มีธรรมะก็อยู่กันเป็นผาสุกตลอดไป นี่ธรรมะมีความจำเป็นเท่าไร มีความประเสริฐเท่าไรไปคำนวณดูเอง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเขาไม่บูชานับถือธรรมะกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ก่อนพุทธกาลเขาก็บูชาธรรมะ ขวนขวายธรรมะ ศึกษาธรรมะ แสวงหาธรรมะที่ดีที่สุดสำหรับเขานะ แล้วก็ได้ปรับปรุงกันเรื่อยมา จนถึงพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านตรัสสอนธรรมะหรือหน้าที่ในชั้นดีชั้นเลิศชั้นประเสริฐ เป็นอริยบุคคลเป็นพระอรหันต์ไปเลย แต่ก่อนนั้น เขาก็มีธรรมะกันอยู่ตามระดับของเขา แต่โดยธรรมชาติ มันก็บังคับให้มี มันต้องมี ไม่มีมันตายนี่ อย่างที่บอกแล้วต้นไม้ก็ต้องมีธรรมะตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ สัตว์เดรัจฉานก็มีธรรมะตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คนรอดชีวิตล้วนๆ อยู่ก็ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่จะมีธรรมะสูงกว่านั้นเป็นธรรมชาติชั้นสูง มันก็เป็นเรื่องของเรื่องจิตใจแล้วทีนี้ สูงทางจิตใจก็เป็นบุคคลที่ประเสริฐ เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ในที่สุด จบเรื่องของมนุษย์ ตรงที่เป็นมนุษย์สูงสุด คือมีธรรมะสูงสุด บริบูรณ์ที่สุดเป็นพระอรหันต์ ถ้าเรายังทำไม่ได้ถึงขนาดเป็นพระอรหันต์ ก็ทำไว้มากที่สุด ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เป็นมนุษย์ที่ดี เป็นปุถุชนที่ดี เป็นพระอริยเจ้าน้อยๆ ชั้นน้อยๆ เป็นอริยบุคคลชั้นน้อยๆ ต่ำๆ ไปก่อนกว่าจะถึงขั้นสูงสุด
เอาละวันนี้ ตั้งใจจะพูดเรื่องเดียวว่าธรรมะคืออะไร และคงแปลกจากที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาแต่เพียงว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทำไมไม่ถามว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอะไร เขาก็จะตอบว่าสอนเรื่องหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเรื่องหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตครบถ้วนทุกระดับทุกชั้นทุกจำพวกทุกประเภท ในพระไตรปิฎกทั้งหมดถ้าเราไปเปิดดูจะพบไอ้เรื่องเหล่านี้ เรื่องหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำให้ดีที่สุด เป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุด เป็นข้อธรรมะมากมายล้วนแต่เป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำให้ดีที่สุด ดังนั้นจงรู้จักธรรมะไว้ในฐานะเป็นสิ่งคู่ชีวิต จำเป็นแก่ชีวิต ขวนขวายหามาเป็นคู่ชีวิต เป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิต แล้วก็จะมีชีวิตเย็น มิฉะนั้นจะมีชีวิตร้อนนะ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน หัวหกก้นขวิดก็ไปตามใจเถอะ แต่มันเป็นชีวิตร้อน ไม่เท่าไรมันจะเสื่อมลง ไม่เท่าไรมันจะเป็นโรคประสาท ไม่เท่าไรมันจะเป็นบ้า ไม่เท่าไรมันจะตายนั่น ไปเอากับชีวิตร้อน มันควรจะมุ่งหมายไปยังธรรมะที่ถูกต้อง ทำให้เกิดชีวิตเย็นในความหมายของพระนิพพาน
คำว่านิพพานความหมายแท้จริงมันแปลว่า เย็น เพราะมันไฟหมด ดับหมดแห่งความร้อน เป็นชีวิตเย็น ธรรมะที่ถูกต้อง เป็นไปเพื่อนิพพาน เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่เกิดมาแล้ว อยากจะถึงระดับที่ดีที่สุดก็ต้องทำอย่างนี้ ถ้าใครเกิดมาแล้วไม่ต้องการไปถึงระดับที่ดีที่สุดไม่ต้องสนใจก็ได้ ก็ไปหัวหกก้นขวิด หกคะเมนลงไปในนรกก็แล้วกัน นี่คือชีวิตที่ร้อนยิ่งกว่าร้อน ก็เรียกว่านรกแหละ ถ้าชีวิตที่เย็นก็เป็นนิพพานมีอยู่หลายระดับหลายชั้นเหมือนกัน
เราควรจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องคือมีจิตใจสูงโน้มเอียงไปในทางที่จะสูง คือเป็นมนุษย์ชั้นประเสริฐ มีชีวิตเย็น ข้อปฏิบัติโดยรายละเอียดเป็นอย่างไรบ้างนั้น ก็ไปศึกษาหาได้จากหนังสือหนังหา เยอะแยะไปหมดเดี๋ยวนี้ แต่มันสรุปเหลือสั้นๆ เพียงว่าเพื่อชีวิตรอดอยู่ได้ นี่เราดูเอาเองก็พอจะมองเห็น ทำอย่างไรชีวิตมันรอดอยู่ได้ และเมื่อรอดอยู่ได้ทำอย่างไรจะดียิ่งขึ้นๆๆ มันก็พอจะมองเห็น แต่แล้วเราทำไม่ได้ เพราะเรามันขาดการบังคับตัวเอง ขาดความไว้ใจในตัวเอง มันขาดความพอใจตัวเอง เคารพตัวเอง มันไม่เคารพว่าเราเป็นมนุษย์
เราจะต้องเป็นมนุษย์ให้ได้ ดีที่สุดให้ได้ นี่เราไม่เคารพนี่ เราไม่แน่ใจ เราไม่เชื่อ เราไม่บังคับตัวเอง จึงหวังว่าทุกคนจะบังคับตัวเองให้มีธรรมะให้จนได้ คือทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามความหมายของคำว่ามนุษย์ เราไม่เป็นกันแต่เพียงคนเพราะมันง่ายเกินไป เกิดมามันก็เป็นคน แต่ถ้าจะเป็นมนุษย์ ก็ต้องปรับปรุงอะไรอีกมาก ให้มันสูงขึ้นไปๆ เรียกว่าพัฒนาให้สูงขึ้นไป การพัฒนาจึงเป็นหน้าที่ของคน พัฒนาตนให้สูงขึ้นไปถึงความเป็นมนุษย์ ถ้าได้อย่างนี้แล้วโลกนี้มันก็เป็นโลกที่สวยสดงดงามที่สุด น่าอยู่ที่สุด ไม่เหมือนโลกที่เร่าร้อน เพราะไม่มีธรรมะ เราเรียนธรรมะ เราสอนธรรมะ เรามีธรรมะ เราใช้ประโยชน์ธรรมะให้ได้
เดี๋ยวนี้มันเพียงแต่เรียนแล้วไม่รู้ธรรมะกันเสียโดยมาก เรียนน่ะเรียนๆ เรียนอยู่ในสมุด อยู่ในสมุด ในใจไม่รู้ เรียนไม่รู้ เรียนธรรมะ แต่ไม่รู้ธรรมะก็มีกันอยู่โดยมาก ที่รู้ๆ รู้ธรรมะแต่ไม่มีตัวธรรมะ นี่ก็มีอยู่โดยมาก รู้ พูดได้ อะไรได้ จำได้ เข้าใจได้แต่ไม่มีธรรมะเพราะไม่ปฏิบัติธรรมะ แล้วก็มีธรรมะชนิดที่ไม่ได้เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ หรือไม่อาจจะใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อคนๆ นั้น มันเหลวไหลเอง มันมีธรรมะชนิดที่ใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ ดังนั้นเราเลิกเสีย อย่าเป็นเช่นนั้น เรียนให้รู้ธรรมะ ให้รู้ธรรมะ แล้วให้มีธรรมะนั้นด้วย มีธรรมะแล้วก็ใช้เป็นประโยชน์ได้ด้วย เรื่องของธรรมะก็จะจบแหละ หน้าที่ของมนุษย์เกี่ยวกับธรรมะหรือที่เรียกว่าธรรมะนั้นเราได้ทำครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ก็ไม่เสียทีที่ตั้งใจจะศึกษาธรรมะ อุตส่าห์ปลีกเวลาพยายามลงทุนลงรอนมาที่นี่เพื่อธรรมะ เพื่อเรียนธรรมะ ก็ขอให้ได้เรียนธรรมะ ให้ได้รู้ธรรมะ ให้ได้มีธรรมะ ให้ได้ใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์ให้ได้ แล้วการลงทุนเวลา เรี่ยวแรง เงินทองนี่ก็จะได้ผลเกินค่า เราจะมีความเป็นมนุษย์ที่หมดปัญหา มนุษย์ที่หมดปัญหา คือไม่มีความทุกข์
มนุษย์ที่มีปัญหานั้น ไม่เท่าไรมันก็เป็นโรคประสาท ไม่เท่าไรก็ต้องไปอยู่โรงพยาบาลบ้า มนุษย์ที่มันมีปัญหาไม่รู้จักปลดเปลื้องปัญหา มันทำผิดไปเสียหมดในหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ คือไปชอบอบายมุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี่เขากล่าวไว้แต่หัวข้อเพียง ๖ อย่างแค่นั้นนะ ถ้าแจกลูกออกไปแล้วเป็นร้อยอย่างพันอย่างเลยจากหัวข้อ ๖ อย่างนี้ระวังให้ดี อย่าไปตกลงอบายมุขเข้า ประพฤติธรรมะไว้อย่างถูกต้องแล้วไม่มีอบายมุข ไม่ตกไปฝ่ายอบายมุข มันก็มีแต่ฝ่ายที่เป็นมนุษย์ที่จิตใจมันสูงขึ้นๆ เจริญขึ้นๆ มนุษย์จะดีได้เท่าไรเราดีได้เท่านั้น ให้จนถึงสุดของความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องกลัว
บางคนกลัวจะดีเกินไป เช่นว่าพระอรหันต์ดีเกินไป เพราะว่าคนนั้นมันไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นอย่างไร มันจึงกลัวว่าดีเกินไป ไม่อยากเป็นก็มี บางคนกลัวนิพพานว่าดีเกินไป ซ้ำไม่รู้ว่านิพพานนั้นคืออะไร ไอ้ชีวิตที่เยือกเย็น ไม่มีทุกข์ร้อน ไม่มีปัญหาใดๆนั่นแหละคือนิพพาน ไม่ต้องกลัว ถึงได้ก็ดี ถึงได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
แม้ว่าเราจะใช้คำธรรมดาว่าครูเป็นผู้สร้างโลก นี่ก็อย่าบิดพลิ้ว อย่าปฏิเสธว่าครูช่วยกันสร้างโลก อย่าปฏิเสธเลย มันไม่มากเกินไปมันไม่นอกรีดนอกรอยอะไร แต่มันจะช่วยให้โลกนี้เป็นโลกที่น่าอยู่น่าดูยิ่งขึ้น ถ้าทุกคนในโลกช่วยกันทำโลกนี้ให้เป็นโลกที่น่าอยู่ น่าดู สวยสด งดงาม เยือกเย็น ก็พอแล้ว การศึกษาเพื่อสิ่งนี้ ถ้าไม่เพื่อสิ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าศึกษาไปทำไมกัน ศึกษาเพื่อให้คนเห็นแก่ตัว ให้แต่ละคนๆ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขของตัว แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่น แล้วก็ฆ่ากันวินาศในที่สุด อย่างที่มันกำลังจะเป็นน่ะ ขอให้เกลียดชังให้มาก การศึกษาที่สร้างความเห็นแก่ตัวน่ะระวัง ไม่เท่าไรมันจะต้องวินาศแหละ ได้ความความเห็นแก่ตัวมาแล้วมันต้องวินาศ
ดังนั้นช่วยกันทำลายกิเลส หรือความเห็นแก่ตัวให้อยู่กันอย่างถูกต้อง ทุกคนอยู่กันอย่างถูกต้อง เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกันอย่างถูกต้องแล้วเราก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือว่าถ้ามากกว่านั้นก็ไม่เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนา ซึ่งมีธรรมะสอนไว้อย่างครบถ้วนในหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องกระทำตั้งแต่ต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุดอย่างที่ว่ามาแล้ว
ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะให้มากขึ้นไปกว่าที่รู้มาแล้ว และให้ใช้ธรรมะนั้นให้เป็นประโยชน์ให้มากกว่าที่เคยใช้มาแล้ว เข้าถึงตัวธรรมะ มีธรรมะเป็นเครื่องดำรงไว้ซึ่งชีวิต ให้มีความผาสุกที่มนุษย์จะมีได้ยิ่งขึ้นไปตามลำดับจนกว่าจะบรรลุถึงจุดสูงสุด ที่เขาเรียกกันไว้อย่างที่เราฟังไม่ถูกว่าพระนิพพานคือเย็น ชีวิตเย็น ไม่มีความร้อนเหลืออยู่แต่ประการใด นี่การบรรยายนี้มันก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักธรรมะแล้ว นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์แล้ว มีความสุขอยู่ในชีวิตนี้ยิ่งๆ ขึ้นไปทุกทิพราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย.