แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้สนใจเป็นพิเศษเฝ้าระวังดูจิตดูจิตดูจิตของตนเองอยู่ว่ามันปกติหรือไม่ ถ้ามันผิดปกติไปแล้วมันจะต้องเป็นทุกข์แหละ มันจะต้องเกลียดต้องกลัวต้องรักต้องโกรธต้องเกลียดต้องกลัวต้องวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยาหึงหวง เป็นต้น ตื่นนอนขึ้นมาสังเกตดูสักนิดว่าจิตปกติหรือไม่ หรือว่าจะนอนแล้วก็ดูว่าจิตปกติหรือไม่ ถ้ามันยังมีอะไรเป็นความกดดันแม้แต่นิดเดียว แม้แต่นิดเดียว ว้าเหว่หวาดกลัวอะไรก็ตามแม้แต่นิดเดียวก็เรียกว่ามันไม่ปกติมันเป็นทุกข์ พบว่ามันไม่ปกติแล้ว ก็ดูต่อไปว่ามันไม่ปกติเพราะเหตุอะไรเดี๋ยวมันก็จะพบว่า อ้าว,มันไปยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ คิดถึงคนนั้นคิดถึงคนนี้ เป็นห่วงสิ่งนั้นเป็นห่วงสิ่งนี้และอาจจะเป็นห่วงได้โดยที่ไม่รู้ว่าห่วงอะไรนี่ โดยมากมันก็เป็นห่วงอนาคตมันเป็นเรื่องของความหวาดกลัวที่คอยครอบงำใจอยู่เสมอจิตนี้มันก็ไม่ปกติ มันก็เป็นความทุกข์ นี่คือข้อที่คนจะละอายแมวละอายหมา ขออภัยคำนี้หยาบแล้วเห็นไหม แมวหมามันยังมีจิตปกตินั่น มันไม่เป็นบ้า มันไม่ปวดหัว มันไม่เป็นอะไรอย่างที่คนเป็นนั่น มันนอนหลับนั่นเพราะมันคิดไม่เป็นนี่ มันคิดผิดปกติไม่เป็นมันคิดไม่เป็นไอ้เรามันคิดเก่งนี่ เพราะมนุษย์มันมีวิวัฒนาการสูงขึ้นมาถึงจิตคิดเก่ง เพราะความคิดเก่งมันจึงเป็นโอกาสให้ผิดปกติได้ง่าย ผิดปกติแล้วมันเกิดเรื่อง จิตเป็นตัวแกนกลางแต่ไม่ใช่ตัวตนนะ จิตไม่ใช่ตัวตน จิตเป็นของธรรมดาตามธรรมชาติเป็นธาตุชนิดหนึ่งเท่านั้น แล้วค่อยพูดกันทีหลังว่าจิตคืออะไร จิตเป็นสิ่งที่เป็นแกนกลางของชีวิตถ้าปกติก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่ปกติแล้วจะมีปัญหา อะไรมาทำให้ผิดปกติ เป็นความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว วิตกกังวลอาลัยอาวรณ์นี่ จิตผิดปกติ แล้วมันจะมีอิทธิพลมีอำนาจสร้างวัตถุ เป็นสารวัตถุทางเคมีขึ้นมาในระบบกายนั่นแหละ เช่นเมื่อเราโกรธจัดนี่ มันสร้างสารเคมีขึ้นมาในระบบกายจนเราสั่นระรัวไปทั้งตัว กินข้าวไม่ลง เมื่อเราเสียใจมากมันสร้างสารเคมีอะไรขึ้นมาชนิดหนึ่งทำให้กินข้าวไม่ลง เป็นทุกข์มาก หรือผิดปกติด้วยรัก ด้วยโกรธ ด้วยเกลียด ด้วยกลัว ด้วยวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อะไรก็ตาม ย่อมสร้างสารเคมีซึ่งเป็นวัตถุขึ้นมาในระบบเลือด ระบบเนื้อหนัง ระบบทุกอย่างในร่างกายนี่ มันก็เกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมา ถ้าจิตปกติคือไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัวเป็นต้น มันไม่ได้สร้างขึ้นมาเราก็อยู่สบายในสภาพเดิม นี่พอมันสร้างขึ้นมามันก็ผิดปกติออกมาถึงกาย จิตผิดปกติก็สร้างกายให้ผิดปกติเนื้อหนังผิดปกติ ระบบประสาทผิดปกติ น้ำย่อยอาหารผิดปกติ ผิวพื้นกระเพาะผิดปกติ เช่นกินข้าวไม่ลงขืนกินเข้าไปก็ตาย ไม่เท่าไหร่ก็เป็นโรคกระเพาะที่ไม่รู้จักหาย หรือว่ามันใช้น้ำตาลไม่หมดมันก็เป็นโรคเบาหวาน อย่างนี้มันเป็นผลของการมีจิตผิดปกติ ถ้ามีจิตปกติมันเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นปกติไปหมดเราจึงสบายดี ย่อยอาหารดี นอนหลับดีอะไรดี ถ้าจิตผิดปกติแล้วมันจะเกิดอาการทางกายได้ทุกแง่ทุกมุม ขอให้ไปถามคุณหมอที่สนใจเรื่องนี้ ศึกษาเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเคยได้ยินว่าคุณหมอประเวศ วะสี สนใจเรื่องนี้ไปคุยกับท่านเถอะว่าถ้าจิตผิดปกติในทางไหนแล้วมันสร้างสารเคมีอย่างไรจนเกิดโรคอะไร แต่รวมความได้ว่าถ้าจิตผิดปกติมันสร้างสารเคมีขึ้นมาในระบบกายทำให้เกิดโรคทางกายขึ้นมา ก็ได้เป็นทุกข์ โรคกระเพาะ โรคลำไส้ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันสูง ทุกอย่าง เพราะความผิดปกติได้เกิดขึ้นในระบบกายแล้ว มีต้นเหตุมาจากจิตไม่ปกติ เอ้า,ทีนี้จะพูดให้ตลอดมาถึงข้างนอกอีกว่า จิตผิดปกติจะสร้างกายผิดปกติวัตถุที่เกี่ยวข้องบุคคลนั้นก็จะผิดปกติ ไปดูบ้านเรือนห้องนอนของคนจิดผิดปกติจะรกรุงรังเกะกะไม่เป็นระเบียบ มันผิดปกติมาที่วัตถุนั้นแล้ว ก็ดูเถอะทางวัตถุแท้ๆมันก็ผิดปกติเพราะว่าจิตโน้นมันผิดปกติ ทีนี้ดูไปทั่วบ้านทั่วเมืองสังคมนั้นมันก็ผิดปกติเพราะว่าสังคมนั้นมันมีแต่คนมีจิตผิดปกติ หมู่บ้านนี้มีแต่คนจิตผิดปกติ มันก็แสดงความเป็นผิดปกติออกมาที่หมู่บ้านนี้กระทั่งโลกนี้ ขอให้สนใจว่าจิตปกติไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดตัวกูของกูนั่นแหละ เป็นหัวใจของพุทธศาสนาในส่วนที่เป็นผล ในส่วนที่เป็นเหตุ ก็ทำให้มันว่างมันก็ไม่ผิดปกติ ว่างแล้วมันก็เป็นปกติ มันก็ไม่เกิดเป็นความทุกข์อะไรขึ้นมาได้ จิตปกติอย่างสูงสุด จิตปกติอย่างสูงสุดนี่พวกเราก็ทำไม่ค่อยได้และไม่ค่อยจะสนใจ สนใจแต่เรื่องวิปัสสนา เรื่องปัญญา เรื่องวิชาความรู้ที่ทำให้ความรู้ปกติ ซึ่งช่วยจิตปกติได้เหมือนกันแหละแต่ไม่ถึงขนาดสูงสุด อย่างที่พวกโยคีเขานิยมกันพวกโยคีตามปกตินั้นก็นิยมแต่เรื่องจิต ทำจิตให้ปกติเขาควบคุมจิตให้ปกติได้ที่สุด ไม่ให้เกิดการหวั่นไหวเปลี่ยนแปลงแม้แต่ประการได โยคีสามารถบังคับจิตให้ปกติคงตัวเสมอ ก็ไม่ทำให้เกิดการผิดปกติทางกายเพราะว่าความปกติทางจิตมันควบคุมความปกติทางกายไว้ได้ ไม่สร้างสารเคมีโทษร้ายอะไรในระบบกาย เขาจึงสบาย ถ้าเขากินยาพิษเข้าไป คงมีจิตปกติ ยาพิษไม่ได้ทำให้จิตผิดปกติ ความปกติทางจิตก็ควบคุมความปกติของร่างกาย ร่างกายระบบลำไส้ระบบอะไรก็ไม่ผิดปกติยาพิษนั้นก็เป็นหมันคือโยคีไม่ตาย การที่โยคีกินยาพิษได้เขาอธิบายกันอย่างนี้ เขาฝึกฝนแต่การควบคุมจิตปกติ ปกติสูงสุดยิ่งกว่าในพุทธศาสนาเสียอีก เฉพาะในส่วนจิตนะ จิตปกติมันก็ควบคุมกายปกติไม่เปลี่ยนแปลงทางกายยาพิษที่กินเข้าไปในกระเพาะมันก็เป็นหมันเพราะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระเพาะหรือลำไส้ ยาพิษก็เป็นหมันดังนั้นโยคีจึงกินยาพิษได้ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าไร้เหตุผลมันเป็นเรื่องที่มีเหตุผลแต่มันลึกโดยกฎของอิทัปปัจจยตา ส่วนลึกที่โยคีเขาสามารถใช้ทำจิตปกติ ควบคุมความปกติทั้งหมดไว้ได้จึงกินยาพิษได้ไม่ทำให้ตาย นี่จงมองดูอานิสงค์ของความมีจิตปกติไว้ให้ถึงที่สุดอย่างนี้ แล้วพยายามรักษาจิตให้ปกติเถิดไม่เกิดกิเลสและก็ไม่มีความทุกข์
นี้เรามันพูดกันในระบบปัญญามีความรู้ทำจิตปกติแล้วก็ไม่เกิดความทุกข์ ไม่เกิดรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยาหึงหวงเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็หมดแล้ว เพียงเท่าที่ออกชื่อมามันก็แย่แล้วหมดแล้ว รัก โกรธ เกลียด กลัว วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง ฆ่ากันตายเพราะหึงหวงมันมีมากน้อยเท่าไหร่ จิตปกติมันไม่เป็นอย่างนั้น แล้วมันยังมีมากกว่านั้น ที่ออกชื่อมานี้มันไม่กี่อย่าง รัก โกรธ เกลียด กลัววิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง นี้มันนับได้แต่ที่จริงแล้วมันมีมากกว่านั้นมาก ถ้าจิตผิดปกติแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นมาก แล้วมันก็ฉิบหายหมดไม่มีอะไรเหลือ ถ้าจิตปกติแล้วอย่างนี้มันไม่มี แล้วเราก็มีชีวิตเย็นเป็นนิพพานเพราะความมีจิตปกติ แม้แต่คำว่านิพพานนี้ก็ยังแปลว่าปกติก็ได้ เรามีความปกติแห่งจิต เพราะรู้จักทำจิตให้ว่าง ไม่เป็นที่ปรุงแต่งแห่งกิเลสตันหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออุปาทาน ไม่ปรุงแต่งตัวกูของกูขึ้นมาสำหรับสร้างปัญหา นี่มันมีจิตปกติเพราะเหตุนี้ เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นเรื่องทำจิตให้ปกติ แล้วกายก็ปกติและปัญญาความรู้ก็ปกติ นี่หลักของพุทธศาสนา จิตปกตินั่นแหละคือจิตขาวรอบที่ว่า สจิตตปริโยทปนัง มีจิตขาวรอบเพราะมันว่างจากของสกปรกขุ่นมัวมืดดำมันจึงขาวรอบ
สรุปความว่าพระพุทธเจ้าท่านได้สอนเรื่องความว่างของสิ่งทั้งปวงซึ่งเมื่อบุคคลนั้นเห็นแล้ว จิตจะว่างเองจะไม่จับฉวยเอาอะไรขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน จิตนั้นมันว่างเอง เพราะจิตมองเห็นสิ่งทั้งปวงโดยความเป็นของว่างจากตัวตนจากของตน ฉะนั้นขอให้เลิกพูดกันทีว่า เรื่องจิตว่างไม่มีในพุทธศาสนา เลิกพูดกันเสียที สอนแต่เรื่องความว่างแล้วไม่ได้สอนเรื่องจิตว่างเขาคัดค้านอย่างนี้ แล้วก็ถามเขาว่าความว่างของอะไรล่ะที่ว่าสอนเรื่องความว่าง ความว่างของอะไรมันไม่มีอะไรนอกจากความว่างของจิต ท่านสอนให้เห็นความว่างของสิ่งทั้งปวง เพื่อเมื่อจิตเห็นแล้วจิตมันว่าง จึงทรงกำชับว่าจงมองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อเถิด ระบบคำสอนในพระพุทธศาสนาท่านจะสอนเรื่องสุญญตาเป็นความว่าง ความว่างของจิตแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงมีชีวิตอยู่ด้วยสุญญตาวิหาร วิหารแปลว่าอยู่ ความเป็นอยู่มีอยู่ ด้วยสุญญตาคือความว่างของจิตถ้าเป็นชั้นสูงสุดก็เรียกว่าอัปปรมานุตตรสุญญตา ความว่างอย่างเป็นปรม อย่างเป็นอนุตรนี้เป็นวิหารธรรมของพระองค์ ไม่เคยพบบาลีที่ไหนว่าพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พรหมวิหารนี่ไม่เคยพบว่าพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยพรหมวิหาร พบแต่ที่พระองค์ตรัสเองว่าตถาคตอยู่ด้วยสุญญตาวิหารบางทีก็ถึงขนาดเป็นอัปปมานุตรสุญญตา คือความว่างอย่างยิ่ง พรหมวิหารมันก็ยังว่ามีผู้แผ่มีผู้รับ มีตัวตนฝ่ายแผ่มีตัวตนฝ่ายรับมันยังไม่ว่างถึงที่สุด มันก็ต้องว่างจากตัวตนทุกชนิดแล้วก็จะเป็นความว่างที่แท้จริงเป็นนิพพานจริง โดยบทว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ถ้าเป็นนิพพานจริงต้องว่างอย่างยิ่ง แล้วมันก็จะเป็นสุขอย่างยิ่งโดยบทว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง แล้วธรรมมะนี้ความว่างนี้ก็จะเป็นสิ่งสูงสุดที่กล่าวว่า นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่าเป็นบรมธรรมคือเป็นสิ่งสูงสุด นี่คือเรื่องความว่าง เป็นปัญหาที่คาราคาซังอยู่ในปัจจุบันนี้ สำหรับอาตมาก็ไม่ต้องการจะทะเลาะกับใคร เขาพูดอย่างไรก็พูดไปเถิด เราพูดแต่เพียงว่าจงรู้จักความว่างที่ถูกต้อง อย่าเป็นความว่างอันธพาล ของจิตอันธพาล ของบุคคลอันธพาล ที่มันดีแต่จะอิจฉาริษยาคนอื่น เราจะพูดให้ถูกต้องอย่างไร เขาก็ยังมองในแง่ร้ายได้เสมอ เอาล่ะเป็นอันว่าเรื่องสุญญตามันก็มีเพียงเท่านี้นี่พูดได้เพียงสามข้อถ้าจะเอามาล้อ เราพูดเรื่องสุญญตาของพระพุทธเจ้าเขาก็เอาสุญญตาของอันธพาลมาด่าเรา แล้วจะไม่ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่รู้สึกควรจะล้อตัวเอง ก็จะล้อตัวเองเสียบ้าง แหมโชคดีจริงหนอจะได้ถูกด่าถูกว่าทุกวันทุกคืน ตั้งใจจะเผยแผ่ธรรมะให้ถูกต้อง ก็ถูกกล่าวหาว่าจะสร้างลัทธิใหม่ของตนเอง จะพูดเรื่องสุญญตาให้ถูกต้องก็ถูกหาว่าเป็นเรื่องของอันธพาล ให้บริโภคกามด้วยจิตว่าง ให้ฆ่าคนด้วยจิตว่าง ให้โขมยของของเขาด้วยจิตว่าง ให้ทำทุจริตอะไรต่างๆนาๆด้วยจิตว่าง นี่ไม่เกี่ยวกับจิตว่างในพระพุทธศาสนา และจิตว่างนั้นไม่ใช่เรื่องมหายานเป็นเรื่องในพระพุทธศาสนาอย่างเถรวาทในพระไตรปิฎกอยู่เต็มไปหมด จนพระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้าไม่มีเรื่องสุญญตาแล้วไม่ใช่ตถาคภาษิต คือไม่ใช่คำกล่าวตถาคต ดังนั้นให้รู้ว่าเรื่องความว่างนั้นไม่ใช่เรื่องของมหายานหรือของนิกายเซน แต่เป็นเรื่องหัวใจของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
นี่เรื่องจิตว่างเท่าที่พวกเราควรจะทราบแล้วใช้ให้สำเร็จประโยชน์ ถ้ามีใครเข้าใจผิดก็ช่วยพูดให้เขาเข้าใจถูกก็จะช่วยกันสืบอายุพระศาสนานั่นเอง ให้ความถูกต้องยังมีอยู่ในหมู่พุทธบริษัทเรามีหลักธรรมในพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดถือสำหรับปฏิบัติ ๓ เรื่อง เดี๋ยวนี้ก็ ๑๒ โมงแล้ว ขอยุติการบรรยายภาคเช้าไว้แต่เพียงเท่านี้ บ่ายสามโมงก็ตั้งต้นกันใหม่พูดเรื่องที่น่าล้อหรือควรจะล้ออีกต่อไป
ในระหว่างนี้กว่าจะถึงการบรรยายใหม่นี้ อยากจะขอร้องว่าจงช่วยพร้อมเพรียงกัน มาช่วยกันพิจารณากฎบัตรของพุทธบริษัทขึ้นใหม่อีกสักชุดหนึ่งเถิด แล้วเราก็จัดวิธีการเหมือนครั้งที่แล้วมา มีฝ่ายที่ยึดถือหลักพระคัมภีร์และมีฝ่ายที่ยึดถือเหตุผลมาศึกษาวิสัชนาซักไซ้ไล่เลียง ไอ้หลักที่เราจะตั้งขึ้นเป็นกฎบัตร อาตมาคิดว่าทุกคราวที่มีการล้ออายุจะขอร้องให้ช่วยกันสร้างกฎบัตรของพุทธบริษัทขึ้นมาได้สักชุดหนึ่งเสมอไป เป็นเรื่องสั้นๆ เฉพาะวันนี้อยากจะพูดถึงกฎบัตรของพุทธบริษัทเกี่ยวกับศีลธรรม เราจะพูดกันถึงเรื่องศีลธรรมจึงเกิดเป็นกฎบัตรสำเร็จรูปขึ้นมา เพื่อใช้เป็นหลักศึกษาปฏิบัติสนทนาอะไรได้ทั่วๆไป ขอยุติการบรรยายในภาคเช้าไว้แต่เพียงเท่านี้