แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย ก่อนอื่นทั้งหมดอาตมาขอแสดงความยินดีในการมาของท่านทั้งหลายสู่สถานสถานที่นี้ ในโอกาสที่เรียกกันว่า สิ้นปีเก่าขึ้นปีใหม่ อาตมาเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงหวังที่จะได้ประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ในโอกาสเช่นนี้ จึงได้พากันมาถึงที่นี่ อาตมาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะสนองความประสงค์อันนี้ แต่แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่านทั้งหลายด้วยเป็นส่วนสำคัญ คือว่าท่านจะรับเอาได้สักเท่าไรนั่นแหละ ท่านจะรับเอาไปได้สักเท่าไร
เดี๋ยวนี้ก็เป็นการบรรยายเพื่อทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปีใหม่ และจะต้องเอาไปปรับปรุงชีวิตของตน ๆ เกี่ยวกับปีใหม่ให้มันเจริญงอกงามตามวิถีทางที่ควรจะเป็น และถ้าว่าไม่สนใจ ไม่ทำความเข้าใจ มันก็คงจะไม่ได้รับอะไรเลยก็ได้ และแม้ว่าท่านทั้งหลายจะสนใจเรื่องของปีใหม่นี้ มันก็ยังมีอยู่เป็น ๒ ชนิด ไม่สามารถจะทำให้เป็นอย่างอื่นได้ มันมีอยู่เป็น ๒ ชนิด คือ ปีใหม่ของคนโง่ กับปีใหม่ของคนฉลาด มันไม่มีทางจะเหมือนกันได้ ปีใหม่ของคนโง่ก็เป็นไปตามประสาแบบคนโง่ ปีใหม่ของคนฉลาดก็เป็นไปตามแบบประสาของคนฉลาด พูดอีกอย่างหนึ่งก็ว่า ปีใหม่สำหรับคนโง่ที่มันจะจมโลกให้ยิ่งกว่าปีเก่า คนโง่มันจะจมลงไปในโลกให้ยิ่งกว่าปีเก่านั้นแบบหนึ่ง สำหรับคนฉลาด คือ คนที่มันจะพ้นโลกขึ้นมา พ้นโลกให้ยิ่งกว่าปีเก่า พวกหนึ่งมันจะจมโลกให้ยิ่งลงไป พวกหนึ่งมันจะโผล่พ้นขึ้นมาจากโลก แล้วก็ล้วนแต่ให้ยิ่งกว่าปีเก่าด้วยกันทั้งนั้น
ท่านทั้งหลายจะเป็นบุคคลประเภทไหนในบุคคล ๒ จำพวกนี้ คือ ปีใหม่นี้จะจมโลกให้ลึกลงไปอีก หรือว่าจะโผล่ขึ้นมาจากโลก ขอให้คิดดูให้ดี อาตมาก็จะได้กล่าวไปทั้ง ๒ อย่าง มันเว้นไม่ได้หรือมันช่วยไม่ได้ที่จะกล่าวเป็นอย่างอื่น เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำกันอยู่ทั้ง ๒ อย่าง คือ คนจมโลกก็จมลงไปในโลกอันหลอกลวง จมลงไปในกองทุกข์มากกว่าก่อน จมลงไปในกิเลสมากกว่าก่อน ฟังดูแล้วก็น่าขยะแขยง แต่แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พวกที่มันจะต้อนรับปีใหม่ด้วยการกินการดื่ม การอบายมุขต่าง ๆ ให้มันยิ่งไปกว่าวันธรรมดามันก็มีอยู่ คือ ปุถุชนทั้งหลาย คนโง่ที่เป็นปุถุชนทั้งหลายที่มันไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาจะได้อะไร คนพวกนี้มันรู้แต่เพียงว่าเกิดมาเพื่อให้ได้ความเอร็ดอร่อยอย่างเดียว ในวันปีใหม่เขาจึงแสวงหาความเอร็ดอร่อยกันสุดเหวี่ยง หาความเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นเรื่องของกามารมณ์เป็นส่วนมาก นี้คือคนโง่ที่มันจะจมโลกให้ยิ่งไปกว่าปีเก่า มันจะจมลงไปในความเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่รวมเรียกว่าทางเนื้อหนังหรือทางอายตนะ มันก็เรื่องกิน กินให้พิเศษ จัดเรื่องกินให้พิเศษ อย่างที่เขาเตรียมกินกันใหญ่ตั้งแต่วันปีใหม่ เรื่องกาม แสวงหากามารมณ์ให้มากกว่าวันธรรมดา หาเกียรติ ๆ มีหน้ามีตา ให้มันยิ่งไปกว่าธรรมดา ก็เรียกว่ามีกาม มีกิน มีเกียรติ ยิ่งไปกว่าธรรมดา ถือว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์ ของมนุษย์จำพวกคนเหล่านั้น ไม่ใช่ ของพวกมนุษย์ที่ลืมหูลืมตา นี่เรียกว่าปีใหม่แบบคนโง่ที่จะจมทุกข์ จมโลก จมกาม ให้ยิ่งไปกว่าเดิม พวกนี้ตามปกตินิสัย ก็ถือลัทธิว่าสตางค์ สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาสตางค์เป็นสรณะ คนอื่นมันจะถือพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ก็ตามใจ ฉันถือสตางค์ สรณัง คัจฉามิ ถ้าคนไหนมันถือลัทธิ สตางค์ สรณัง คัจฉามิ นี่คือพวกที่คนโง่ที่มันจะจมไปในโลกให้ยิ่งไปกว่าปีเก่า ท่านช่วยกันสังเกตไว้ให้ดี คนส่วนมากเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ดูจะเป็นอย่างนี้กันเสียมากในการต้อนรับปีใหม่ ตามแบบของคนโง่ที่จะจมกามให้ยิ่งไปกว่าปีเก่า
ทีนี้ก็มีอีกแบบหนึ่งของคนไม่โง่ คนตรงกันข้าม นี่เขาจะขึ้นมาเสียจากกาม จะขึ้นมาเสียจากกิเลส ขึ้นมาเสียจากทุกข์ เป็นเรื่องของสัตบุรุษในพุทธศาสนา เขารู้ว่าเกิดมาทำไม เขาควรจะได้อะไรที่ถูกต้องที่แท้จริง แล้วเขาก็พยายามให้ได้สิ่งเหล่านั้นให้มากกว่าปีเก่า ไม่จมกาม จมทุกข์ ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ว่าขึ้นมาให้พ้นจากกาม กิเลส และกองทุกข์ ให้ยิ่งกว่าปีเก่า เขาถือว่า จิตที่สะอาด จิตที่สว่าง จิตที่สงบ เป็นสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งใด เราจะต้องมีไว้ให้ได้ แล้วเขาถือธรรมะเป็นสรณะ ถือ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ถือ สตางค์ สรณัง คัจฉามิ อย่างพวกแรกนี่
ท่านพอที่จะสังเกตแยกแยะไอ้คน ๒ พวกนี้ ให้มันต่างกันเป็นคนละทิศคนละทางได้หรือยัง จะได้เป็นปีใหม่ของคนโง่จมกามให้หนักลงไป ปีใหม่ของคนฉลาดที่จะโผล่ขึ้นมาพ้นจากกาม จากกิเลสให้ยิ่งขึ้นไป เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายให้ชัดขึ้นอีกทีหนึ่ง ท่านมาที่นี่ มาทำบุญปีใหม่หรืออะไรก็ตาม มาที่นี่ ท่านมาในพวกไหน ท่านทั้งหลายทุกคน แต่ละคน ๆ นี่ ท่านตั้งใจจะมาปีใหม่ในลักษณะของพวกไหน พวกคนโง่จะจมลงไปในกองกามให้ยิ่งกว่าปีเก่า หรือว่าจะโงหัวขึ้นมาให้พ้นจากกิเลสและกองกาม ท่านมาที่นี่ฐานะเป็นพวกไหน มาจมหรือว่ามาโผล่ นี่เป็นสิ่งที่ต้องเปรียบเทียบ คนปุถุชนมันมีเก่ามีใหม่ มันยังยึดมั่นถือมั่นเรื่องเก่าเรื่องใหม่ พระอริยเจ้าโดยเฉพาะพระอรหันต์ ไม่มีเรื่องใหม่เรื่องเก่า ท่านเห็นเป็นอิทัปปัจจยตา เสมอกันหมด ไม่มีใหม่ ไม่มีเก่า มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ปรุงแต่งกันไปอย่างนั้น ๆ ๆ ทำผิดมันก็เกิดทุกข์ ทำถูกมันก็ไม่เกิดทุกข์ ถ้าไม่มีเก่ามีใหม่ ธรรมะไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ การปรุงแต่งตามกฎอิทัปปัจจยตาของธรรมชาตินี้ ไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ พระอรหันต์ท่านจึงไม่มีปีใหม่ ไม่มีเหตุที่ทำให้เกิดของเก่าหรือของใหม่ ท่านเห็นมันเป็นเช่นนั้นเองคือตถตา เสมอกันหมด คือเป็นอิทัปปัจจยตา เก็บไว้ให้คนโง่ ปุถุชนคนโง่ที่ยังมีของเก่าและของใหม่ ปัญหาเรื่องเก่าเรื่องใหม่มันจึงมีแต่ในหมู่ปุถุชน คนหนาไปด้วยกิเลส เรื่องเก่าเรื่องใหม่ไม่มีสำหรับพระอรหันต์ ผู้พ้นแล้วจากอุปาทานที่เป็นเหตุให้หมายมั่นว่าเก่าหรือว่าใหม่ เป็นต้น ท่านไม่มีเหตุที่จะยึดมั่นถือมั่นว่าเก่าหรือใหม่ ปุถุชนมันมีเหตุที่จะยึดมั่นว่าเก่าว่าใหม่ เพราะมันทะเยอทะยานแต่ในของเอร็ดอร่อยยิ่ง ๆ ขึ้นไป มันชะเง้อหาของใหม่อยู่เสมอตลอดเวลา แทบจะกล่าวได้ว่าทุกครั้งที่หายใจ คนปุถุชนเหล่านี้ก็หวังที่จะได้ความเอร็ดอร่อยยิ่งขึ้นไป ทุกครั้งที่หายใจ อย่าว่าทุกวันทุกเดือนเลย ทุกครั้งที่หายใจด้วยซ้ำไป นี่เขาจึงอยากจะมีอะไรใหม่ ๆ เมื่อไม่ได้อย่างใจก็ทุจริต ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมจนเต็มไปหมดในบ้านในเมือง เพราะเห็นแก่กิเลสที่จะได้ของใหม่
นี่สรุปความเสียทีหนึ่งว่า ปีใหม่มี ๒ แบบ แบบหนึ่งของคนโง่ที่จะจมลึกลงไปในกองกามหรือโลก จมโลกซึ่งเต็มไปด้วยกาม ปีใหม่แบบหนึ่งของคนฉลาด ไม่จมลงไปในกองกาม แต่จะโผล่ขึ้นมาพ้นจากกองกามหรือพ้นจากโลก ถ้าพูดให้สั้นที่สุด พวกหนึ่งเขาจะจมโลก พวกหนึ่งเขาจะขึ้นพ้นจากโลก ท่านทั้งหลายอยู่ในพวกไหน ท่านต้องเตรียมตัวรับเอาไปถูกต้องจึงจะได้ มันมีอยู่ ๒ อย่างให้เลือกเพียงเท่านี้เท่านั้น มันมีมากกว่านี้ไม่ได้หรอก เมื่อไม่ได้อย่างหนึ่งมันก็ต้องเอาอย่างหนึ่ง บางคนจะเอาอย่างพ้นโลกไม่ได้ก็เอาอย่างจมโลก มีความหวังที่จะจมโลก คือจมในสิ่งสนุกสนาน เอร็ดอร่อยให้ยิ่งขึ้นไป อย่างที่เขาจัดกันเป็นประเพณี ประเพณีปีใหม่ของปุถุชนคนธรรมดานั้นจัดเพื่อให้จมโลกยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยกันทั้งนั้น กินกันใหญ่ เลี้ยงกันใหญ่ ร่าเริงกันใหญ่ เมามายกันใหญ่ในวันปีใหม่ มันก็ต้องพูดตรง ๆ ว่ามันเป็นปีใหม่ของคนโง่ ที่จะจมโลกให้มากไปกว่าเดิม
ทีนี้ก็จะพูดให้มันลึกขึ้นไปถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดปีใหม่ซึ่งมีปัญหา ทำไมว่าปีใหม่มีปัญหาล่ะ ปีใหม่ของคนโง่ก็มีปัญหาให้จมกามยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีทุกข์ยากมากขึ้น ลำบากมากขึ้น มันก็เป็นปัญหาทำนองนั้น ส่วนปีใหม่ของคนฉลาดจะขึ้นพ้นจากกาม มันก็มีปัญหาเพราะมันยากที่จะทำได้ เขาทำไม่ได้ มันยากไปก็เป็นปัญหา เป็นปัญหากันคนละอย่างอย่างนี้ ทีนี้ก็จะศึกษาให้ละเอียดลึกลงไปถึงเรื่องที่มันจะเกิดปีใหม่ ขอให้ทุกคนสนใจเพื่อจะรับประโยชน์ คุ้มค่ามาสวนโมกข์ ได้ประโยชน์คุ้มค่าเวลา ถ้ามาแล้วเสียเวลา เสียเงิน เหน็ดเหนื่อยเรี่ยวแรง ไม่ได้ประโยชน์คุ้มค่ามาแล้วใครจะรับผิดชอบ ในเมื่อยมบาลเขาจะลงโทษคนที่ใช้เวลาไม่คุ้มค่า พูดหยาบ ๆ ที่สุดก็ว่า ยมบาลเขาจะตีกบาล ไอ้คนที่มันใช้เวลาไม่คุ้มค่า ใช้เงินไม่คุ้มค่า ใช้เรี่ยวแรงไม่คุ้มค่า มาสวนโมกข์แล้วไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่าก็จะเรียกใช้คำง่าย ๆ ว่ายมบาลเขาจะตีกบาล จะให้ใครรับผิดชอบ ใครจะมารับผิดชอบ ท่านทั้งหลายก็ต้องฟังให้ดีจึงจะได้รับประโยชน์ ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ไม่รู้ว่าจะรับผิดชอบอย่างไร จึงหวังว่าคงจะตั้งใจฟังให้ดีเป็นพิเศษ ให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่า
ปัญหาเรื่องนี้มันลึกซึ้งถึงขั้นที่เรียกว่าปรมัตถ์ เป็นชั้นปรมัตถ์ คือมีอรรถอันลึก คือมันเนื่องกันอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าเวลา ๆ บางคนจะคิดว่าเรื่องง่ายนิดเดียว เรื่องเวลา ดูนาฬิกา เรื่องเด็ก ๆ มันก็รู้เวลา นี่คนโง่จะพูดอย่างนี้ แต่ที่จริงแล้วเรื่องเวลานี่เป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่สุด ลึกซึ้งที่สุด จนไม่รู้มันอยู่ที่ไหน อะไรคือเวลา เรียกว่าฟังก็ไม่รู้ จับไม่ได้ บางคนก็พาลพาโลเอาว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่ได้มี อย่างนี้ก็ยิ่งโง่หนักขึ้นไปอีก เวลามันเป็นสิ่งที่มีนะ ไม่ใช่ว่าเป็นมายาลม ๆ แล้ง ๆ เช่นหลักพระบาลีก็มีอยู่ว่า เวลากาโล กาโลเวลา กินสรรพสัตว์พร้อมกับตัวมันเอง ถ้าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง มันจะกินสรรพสัตว์พร้อมกับตัวมันเองได้อย่างไร ดังนั้น เราจะต้องศึกษากันให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าเวลามันมีอยู่จริง แล้วมันได้ทำให้เกิดปัญหาเป็นความทุกข์ยากลำบากขึ้นมาอันเกี่ยวกับเวลาที่เกิดมีปีใหม่ปีเก่า ถ้าใครทำอะไรไม่ทันกับเรื่องของปีเก่า มันก็เป็นทุกข์คือมันขาดทุน ถ้าใครทำไม่ทันเวลาของปีใหม่ มันก็เป็นทุกข์ คือมันไม่ได้รับอะไรใหม่ เวลาเป็นเครื่องทรมานจิตใจของคนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ถ้ารู้เรื่องเวลา เข้าใจคำว่าเวลาดี ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ดี คือเรื่องปีใหม่ของคนโง่ หรือปีใหม่ของคนฉลาด จะรู้ได้ดี
ขอให้สนใจฟังให้ดี ให้เข้าใจจะรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลานั่นคืออะไร เอาตามพระบาลีนั้นก็ได้ว่า เวลาคือสิ่งที่กิน กัดกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง เวลา คือ สิ่งที่กัดกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง เวลากัดกินวัตถุร่างกายอย่างหนึ่ง เวลากัดกินจิตใจอีกอย่างหนึ่ง เป็น ๒ อย่าง เวลากัดกินวัตถุร่างกาย ก็คือว่าร่างกายเป็นต้น มันต้องเปลี่ยนตามกฎของอิทัปปัจจยตา กฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยกฎนี้วัตถุนั้นมันจึงเปลี่ยนไปในลักษณะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วมันก็กร่อนลง ๆ ๆ ที่ทำให้ร่างกายของเราชรา ชราจนกระทั่งเน่าเข้าโลงไป นี่เวลามันกัดกินส่วนที่เป็นร่างกายหรือวัตถุ
ทีนี้เวลาส่วนที่มันกัดกินจิตใจ ไม่ตาย ไม่ต้องตายเข้าโลงล่ะ เวลามันกัดกินจิตใจของเราเรื่อยไปนี้กินได้อย่างไร เวลามีเขี้ยวมีฟันที่ไหนที่จะมากัดกินจิตใจของเรา นี่หัวใจลึกที่สุดของพระธรรมในพระพุทธศาสนา เวลาเป็นสิ่งที่กัดกินจิตใจของคนของมนุษย์ มันได้แก่สิ่งที่เรียกว่าตัณหา ตัณหานั่นแปลว่า ความอยาก อยากนี้อยากด้วยความโง่ มันเกิดมานั้นไม่มีปัญญา รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันก็อยากทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความโง่ ถ้าอยากด้วยความโง่แล้วเรียกว่าตัณหา ถ้าต้องการด้วยสติปัญญาเขาไม่เรียกว่าตัณหา มันต้องต้องการด้วยความโง่จึงจะเรียกว่าตัณหา ทีนี้มันก็ต้องการตามความโง่ คนเด็กก็ต้องการ ผู้ใหญ่ก็ต้องการ ผู้หญิงก็ต้องการ ผู้ชายก็ต้องการ สารพัดอย่างที่มันจะต้องการ นี่เพราะจิตมันเกิดความคิดที่เป็นความต้องการ แล้วมันไม่ได้ทันทีหรอก ไม่ว่าที่ไหนต้องการอะไรมันไม่ได้ทันที มันมีช่วงเวลาที่ต้องการ ๆ ๆ นั้นล่ะอยู่เรื่อยไปจนกว่าจะได้ หรือหมดหวังที่จะได้ก็สุดแท้ ตัณหามันจึงจะหยุด ในระหว่างที่ตัณหามันตั้งต้นอยาก จนกว่ามันจะหยุดอยากนั้นแหละเรียกว่าเวลา ด้านจิตใจทางจิตใจน่ะ ถ้ามันไม่มีตัณหา ไม่มีความอยาก แล้วเวลามันไม่มี นี่มันลึกกว่าทางวัตถุ ซึ่งว่ามันผุกร่อนไปตามกฎของธรรมชาติ แต่ถ้าจิตใจนั้นมันจะเป็นเวลาขึ้นมาต่อเมื่อมีความอยาก มีความต้องการด้วยกิเลสตัณหานั้น ไม่ว่าใครไปอยากอะไร มันก็เกิดเวลาขึ้นมาสำหรับคนนั้นแล้วมันก็กัดกินหัวใจของผู้อยากนั้นเอง มันไม่ได้เกี่ยวกับนาฬิกาเดินต๊อกแต๊ก ๆ นั่นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นเครื่องวัดเวลาตามทางวัตถุ ไม่ใช่เรื่องจิตใจ แต่เวลาในความหมายของจิตใจ คือ ตัณหา เมื่อเขาอยากขึ้นมาแล้ว มันก็ทรมานใจ มันกัดกินหัวใจ ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้ตามต้องการ
ทีนี้คิดดูสิว่า ความอยากมากหรือน้อย รุนแรงหรือไม่รุนแรง ถ้าความอยากมันรุนแรง มันก็กัดกินหัวใจมาก ถ้าความอยากไม่รุนแรง มันก็กัดไม่รุนแรง ถ้าความอยากมันรุนแรง มันจะรู้สึกว่านาฬิกาเดินช้า ไม่ได้ผลเร็วตามที่กูต้องการ นาฬิกามันเดินช้าเสียจริง ๆ ถ้าความอยากมันมาก นาฬิกาจะเดินช้า ถ้าความอยากมันน้อยก็เป็นนาฬิกาเดินเร็ว คือมันเหมือนกับไม่มี ถ้ามันไม่ต้องการอะไรเลย นาฬิกามันหยุด ทีนี้ถ้าคนมันไม่อยาก ไม่อยากอะไรเสียเลย มันมีแต่จะให้หรืออะไรทำนองนั้นแหละ เข็มนาฬิกามันเดินกลับ เข็มนาฬิกาของใครเดินเร็ว เข็มนาฬิกาของใครเดินช้า เข็มนาฬิกาของใครหยุด เข็มนาฬิกาของใครเดินกลับ นี่มันขึ้นกับเวลา คือ ความต้องการของตัณหาที่เกิดขึ้นเผาลนจิตใจของบุคคลนั้น ถ้าเราไม่มีตัณหา ไม่ต้องการอะไร เวลามันไม่มี เช่นเวลาเรานอนหลับ มันไม่ต้องการอะไร มันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเวลา ถ้าเราตื่นอยู่ เราทำงานอะไรอยู่ มันก็มีปัญหาเกี่ยวกับเวลา ตรงที่เราจะต้องทำให้ทันให้เสร็จทันเวลา มันก็กัดกินหัวใจเราเรื่อยจนกว่าจะเสร็จ ถ้าเสร็จแล้ว ความอยากมันไม่หยุด มันอยากต่อไปอีก มันกัดต่อไปอีก เป็นกรณีที่สอง กรณีที่สามเรื่อยไปจนตลอดชีวิตน่ะ มันจะถูกเวลากัดกินอยู่เรื่อยไป ถ้าฆ่าตัณหาเสียได้ ผู้นั้นกลับกินเวลา กลับกินเวลา คือ เข็มนาฬิกามันเดินกลับ ถ้าผู้ใดมันฆ่าตัณหาเสียได้ในพระบาลีก็มีว่าอย่างนี้ ผู้ใดฆ่าตัณหาเสียได้ ผู้นั้นกินเวลา ผู้ใดมีตัณหา ผู้นั้นถูกเวลากิน
เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายอยู่ในพวกไหนซึ่งขอร้องแล้วขอร้องอีก ว่าจงจัดตัวเองเสียให้ถูกต้องว่าอยู่ในพวกไหน อยู่ในพวกที่ถูกเวลากิน หรือว่าไม่ถูกเวลากิน หรือว่าเป็นผู้กินเวลา อย่าโง่ให้มากไปเลย อย่าอวดดีให้มากไปเลย ผู้ที่กินเวลาได้นั้นมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละ แม้อริยบุคคลขั้นต้น ๆ มันก็ยังกินเวลาไม่ได้หรอก มันมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น คือผู้ที่ฆ่าตัณหาเสียได้ ทีนี้เป็นผู้ที่กินเวลา อุปมาเหมือนกับว่านาฬิกาของท่านมันหยุด หรือถ้ามันเดินก็เดินกลับหลัง มันเดินย้อนหลัง ให้เปรียบเทียบกันดูอย่างนี้ จนกระทั่งรู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวลานั้นคืออะไร อย่าไปโง่ตามคนบางพวกที่เวลาไม่มีจริง เวลาไม่ได้มีอยู่จริง เวลาเป็นคำพูดเล่น ๆ ที่จริงเวลานั้นมันมีอยู่จริง จริงยิ่งกว่าอะไร และมันเกิดขึ้นมาทันทีที่คนมีตัณหา พอคนมีตัณหา เกิดตัณหาขึ้นในใจคน เวลามันก็มีขึ้นมาทันที เวลาจะรุนแรงหรือไม่รุนแรง ก็แล้วแต่ว่าตัณหาของบุคคลนั้นรุนแรงหรือไม่รุนแรง ถ้าไม่มีตัณหาก็ไม่มีเวลา
คนธรรมดาอย่างเรา ๆ นี่ อย่างท่านทั้งหลายธรรมดานี่ ถ้าเมื่อไหร่ไม่เกิดอยากอะไร ไม่ต้องการอะไร เวลานั้นเวลาไม่กัดกิน ไม่กัดกินหัวใจของท่าน เวลาไม่มีสำหรับจิตใจของท่าน แต่เวลาที่จะกินกัดกินเนื้อหนังร่างกายทางวัตถุนั้น มันมีไปตามธรรมชาติ เพราะมันอีกส่วนหนึ่ง คือความเปลี่ยนแปลงของไอ้สังขาร หรือนามรูปตามกฎอิทัปปัจจัยตา สังขารร่างกายมันชรา อย่างนี้ถึงร่างกาย สังขารร่างกายของพระอรหันต์ก็ถูกเวลากัดกินเหมือนกัน พระอรหันต์ก็มีร่างกายทรุดโทรมลงจนตายทางร่างกาย เรียกว่า เวลาก็กัดกินร่างกายของพระอรหันต์ได้ แต่ว่าเวลาไม่อาจจะกัดกินจิตใจของพระอรหันต์ได้ เพราะว่าพระอรหันต์ท่านไม่มีตัณหา ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา รู้จักเปรียบเทียบโดยวงใหญ่วงกว้างอย่างนี้ แล้วมันจะเข้าใจได้ง่ายที่จะรู้ว่าเวลานั้นคืออะไร รวมความว่าเวลาคือสิ่งที่กัดกินสรรพสัตว์ กัดกินในทางร่างกายก็ไปอย่างหนึ่ง กัดกินในทางจิตใจก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง กัดกินในทางร่างกายไม่สู้จะมีปัญหาอะไรนัก มันเป็นสิ่งที่มันต้องเป็นอย่างนั้น แต่กัดกินในทางจิตใจนี่มันเจ็บปวดกว่า รวดร้าวกว่า ทรมานลึกซึ้งกว่า อย่าได้ให้เวลากัดกินจิตใจเลย
ปีใหม่มันกัดกินเท่าไหร่ เทียบดูกับปีเก่า ถ้าว่าปีใหม่มันกัดกินน้อยกว่า ก็เรียกว่าดีขึ้น คือ เป็นปีใหม่ ถ้าว่าปีใหม่นี้โง่หนักขึ้นไปอีก ตัณหากัดกินมากขึ้นไปอีกก็เรียกว่า เลวกว่าปีเก่า ปีใหม่จะเลวกว่าปีเก่า เพราะว่ามีความทุกข์มากกว่าปีเก่า ปีใหม่จะดีกว่าปีเก่าก็เพราะว่ามีความทุกข์น้อยกว่าปีเก่า ที่จะมีความทุกข์น้อยกว่าปีเก่าก็คือว่าไม่ยอมให้เวลามันกัดกิน เพราะเราฉลาด ฉลาดขึ้น ไม่ยอมให้เวลากัดกิน ไม่ยอมให้เกิดตัณหาในสิ่งใด ไม่ยอมให้มีความโง่ที่จะไปอยากในสิ่งใด ทั้งหญิงทั้งชายรู้กันมาดีอยู่แล้วว่าไปอยากในอะไรแล้วมันกัดหัวใจเท่าไหร่ ไปอยากในอะไรแล้วมันกัดหัวใจเท่าไหร่ ก็อย่าไปอยากมันสิ จะไปอยากให้มันกัดหัวใจทำไมเล่า ปีใหม่นี้เราจะต้องฉลาดขึ้นกว่าปีเก่า คือไม่โง่ ไม่หลงอยากอะไรให้มันกัดหัวใจมากเหมือนปีเก่า
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลามันเป็นอย่างนี้ อย่าเข้าใจว่าเวลาไม่มี อย่าเข้าใจว่าเวลาเป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ แม้เรื่องทางโลกนี่แหละ เวลาก็ยังมีความหมายมาก ทำอะไรไม่ทันเวลามันก็เสียหาย จะว่าเวลาไม่มีอำนาจ ไม่มีความหมายนั้นไม่ได้ เราจะต้องเอาชนะเวลา ชาวบ้านธรรมดายังจะเอาชนะเวลา คือทำงานให้ทันเวลา อย่าต้องเดือดร้อน เพราะทำงานไม่ทันเวลา นี้อย่างต่ำที่สุดอย่างเลวที่สุดแล้ว เอาชนะเวลาให้ได้ด้วยการทำงานให้เสร็จทันเวลา ถ้าดีกว่านั้นก็อย่าให้เวลามันกัดหัวใจเรา มีจิตใจที่ปกติ เยือกเย็นเป็นปกติ ทำงานไป ๆ ไม่ต้องให้เวลามันกัดหัวใจ แล้วงานนั้นก็เสร็จทันเวลาด้วย นี่เป็นเรื่องที่ประเสริฐที่สุด เป็นการปฏิบัติธรรมะชั้นสูงสุดของพระอรหันต์ เราไม่ต้องพูดกันถึงว่า เราจะอวดดี อวดดีแข่งกับพระอรหันต์ หรืออะไรทำนองนั้นไม่ต้องนึกก็ได้ จะนึกแต่ว่าเราจะไม่เป็นทุกข์ เกิดมาอย่าเป็นคนที่เป็นทุกข์มาก เพราะเวลามันกัดกินมาก มันจะละอายสุนัขและแมว ดูสุนัขและแมวนอนกลิ้งอยู่ตามพื้นดิน มันมีความทุกข์น้อย เพราะมันไม่สร้างปัญหาขึ้นมาให้เกิดเวลาที่กัดกินหัวใจของมัน หมาและแมวเลยไม่ต้องเป็นโรคประสาท ไม่ต้องเป็นโรคจิต ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลโรคจิต แต่คนนี่เป็นโรคประสาทเพิ่มขึ้น ๆ มีเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ด้วยกันทุกคนก็ว่าได้นะระวังให้ดี นี้คือข้อที่คนต้องละอายหมา ละอายแมว แมวมันไม่มีเวลาที่กัดกินหัวใจมัน มันไม่เป็นโรคประสาท คนนี้เป็นโรคประสาทเพิ่มขึ้น ๆ จนหมอเขาบอกว่าไม่มีโรงพยาบาลจะใส่แล้ว แล้วก็เพิ่มขึ้นเป็นแสนแล้วสำหรับประเทศไทยเพียง ๕๐ ล้านคนนี่มีคนเป็นโรคประสาทเพิ่มขึ้นเป็นแสน ๆ แล้ว แล้วที่ยังไม่สำรวจก็มีอีกมาก นี้มันส่วนที่ว่าคนมันไม่รู้จักควบคุมเวลา เวลามันกัดกินหัวใจด้วยความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ เป็นห่วง จนได้เป็นโรคประสาท ฉะนั้นอย่าทำเล่นกับเวลา มันร้ายกาจถึงขนาดนี้
ยิ่งเราไปเป็นมายึดถือเป็นปีใหม่ปีเก่า แล้วก็เท่ากับเพิ่มความหมายของมันให้มากขึ้น มันก็จะกัดให้มากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราจะมีปีเก่าปีใหม่ เราจะต้องมีปีใหม่ชนิดที่เวลาลดลง เวลาลดฤทธิ์เดชลง เรามีอำนาจเหนือเวลามากขึ้น ถ้าอย่างนี้ดี มีปีใหม่กันอย่างนี้ดี แต่ถ้าปีใหม่โง่ อยากอะไรมากกว่า มีความทุกข์มากกว่าปีเก่าแล้ว ก็เป็นเวลาปีใหม่ที่เลวมาก มันจะได้ละอายหมา ละอายแมว ซึ่งมันไม่มีความทุกข์มากเหมือนคน ซึ่งปีใหม่ของสัตว์เหล่านี้ น่ากลัวมันจะค่อย ๆ ดีขึ้น เพราะมันรู้จักเข็ดหลาบ ตามธรรมชาติมันรู้จักเข็ดหลาบ มันรู้จักป้องกันไม่ให้สิ่งนั้น ๆ ครอบงำย่ำยีมันโดยธรรมชาติ รู้จักเข็ดหลาบโดยธรรมชาติ แต่คนนี้มันโง่เกินไป มันไม่รู้จักเข็ดหลาบ มันเล่นละครฉากเดิมให้หนักขึ้นไปกว่าเดิม จนมีทุกข์มีร้อนมากขึ้นไปกว่าเดิม ถ้ามันฉลาดสำหรับจะโง่กว่าเดิม ฟังยากใช่ไหม ไอ้คนนี่มันฉลาดสำหรับจะโง่กว่าเดิม มันฉลาดที่จะโง่กว่าเดิมให้มาก ให้มากกว่าเดิม มันฉลาดอย่างนั้น มันยิ่งโตขึ้นมา โตขึ้นมา มันก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น ๆ ไม่เหมือนเมื่อยังเป็นเด็กทารก เมื่อเด็กทารกมันยังฉลาดน้อย มันไม่อยากเก่ง แล้วก็มันไม่ต้องเป็นทุกข์เก่ง เด็กทารกน้อย ๆ นอนอยู่ในเบาะนั้น ไม่มีเวลาหรอก เขาไม่รู้เรื่องเวลา เวลาไม่กัดกินหัวใจเขา อย่างดีก็จะกัดกินร่างกาย เขาไม่มีเรื่องเสียเวลา ไม่ต้องมีเรื่องที่รีบร้อนเกี่ยวกับเวลา แต่พอเป็นเด็กโต รู้จักนั้นรู้จักนี่ รู้จักไปนั่นมานี่ รู้จักเข้าโรงเรียน รู้จักต่าง ๆ เข้า ไอ้เวลามันก็มีขึ้นมา เพราะเด็กนั้นมันเริ่มรู้จักอยากอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่เวลาคืออย่างนี้ มันครอบงำย่ำยีเราอยู่ตลอดเวลาที่เรายังเป็นปุถุชน มีกิเลส มีตัณหาโดยเฉพาะ มีตัณหาโดยเฉพาะ ที่ทำให้เวลาเกิดขึ้นมา
ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักเวลาไว้อย่างนี้ แล้วท่านทั้งหลายก็จะรู้จักควบคุมเวลาให้เวลาอยู่ในอำนาจการควบคุมของท่าน แล้วท่านทั้งหลายก็จะมีความทุกข์น้อยลง เรียกว่าปีหนึ่ง ๆ เรารู้จักควบคุมให้มีความทุกข์น้อยลง นี่เรียกว่าเราชนะเวลา นั้นปีใหม่ของเราก็ใหม่ไปในทางที่ถูกต้อง คือ ใหม่ไปในทางที่มีความทุกข์น้อยลง ดังนั้น พูดได้เลยว่า ถ้าปีใหม่ใครมีความทุกข์มากกว่าปีเก่าแล้วขอให้จัดไว้เป็นคนบรมโง่ ถ้าปีใหม่นี้มันมีความทุกข์มากกว่าปีเก่าแล้วเรียกตัวเองว่าเป็นคนบรมโง่ดีกว่า ล่วงมาปีหนึ่งแล้ว มันก็ควรจะรู้จักชีวิต รู้จักอะไรดีขึ้นจนควบคุมความอยากได้ ศึกษาธรรมะ ศึกษาพุทธศาสนามากขึ้นแล้ว ก็จะต้องควบคุมความอยากหรือตัณหาได้ เมื่อตัณหาลดลงไป เวลามันก็ลดเรี่ยวแรง ลดฤทธิ์เดช ลดอำนาจลงไปเอง เราก็สบายกว่าปีเก่าเพราะว่าเราชนะเวลา ให้ท่านทั้งหลายรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวลาไว้ลักษณะอย่างนี้
ถ้าเปรียบอุปมาแล้วมันก็ยิ่งกว่ายักษ์หรือมาร ยิ่งกว่ายักษ์มารชนิดไหนหมดแหละเวลา ดุร้ายยิ่งกว่ายักษ์มารชนิดไหนหมด คือมันกัดกินคนโง่ ผู้มีชีวิตอยู่ด้วยตัณหา มาสวนโมกข์ก็มาพูดกันเรื่องนี้ ถ้ารู้เรื่องนี้ เข้าใจเรื่องนี้ แล้วก็คุ้มค่ามา คุ้มค่าเวลาที่เสียไป เพื่อจะได้อยู่เหนืออำนาจของเวลามากขึ้น นี้ก็ใช้เงิน ใช้เรี่ยวแรง ใช้เวลา มีผลคุ้มค่าหรือเกินค่า และยมบาลก็ทำอะไรท่านไม่ได้ นี้พูดอย่างกันเอง มันพูดอย่างกันเอง มันก็พูดตรงและพูดจริง ไม่ต้องอ้อมค้อมอะไร มันเป็นเรื่องที่จะต้องรู้จักสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ สิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลาอย่างหนึ่งมันกัดกินร่างกาย เป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา เวลาอีกอย่างหนึ่งมันกัดกินจิตใจ ตามกฎอิทัปปัจจยตาชั้นสูง ชั้นลึก คือ ชั้นจิตใจ เรามีอวิชชา โง่ไม่รู้เรื่องสิ่งต่าง ๆ จนหลง เกิดตัณหา ความอยากในสิ่งซึ่งแท้จริงแล้วไม่ต้องอยาก นี่จะพูดกันละเอียดในตอนหลัง
การบรรยายตอนต้นนี้จะพูดได้แต่ในเรื่องเวลาคืออะไร ขอให้เข้าใจให้ชัดเจนลงไปเสียทีหนึ่งก่อน เป็นขั้นตอนตอนหนึ่งก่อนว่าเวลานั้นมันคืออะไร รู้แล้วก็จะรู้จักความหมายของคำว่าปีใหม่ควรจะเป็นอย่างไร ปีเก่าเป็นอย่างไร เราควรจะต้อนรับปีใหม่กันในลักษณะอย่างไร ควรจะไปต้อนรับปีใหม่ ให้โง่กว่าเก่า คือเป็นทุกข์มากกว่าปีเก่าล่ะก็มันน่าละอายแมว สุนัขและแมวไม่ได้มีความทุกข์เพิ่มขึ้นทุกปี ๆ แล้วทำไมคนเราจะต้องมีความทุกข์เพิ่มขึ้นทุกปี ๆ ด้วยความวิตกกังวล ที่ใกล้ต่อความเป็นโรคประสาทแรงขึ้นทุกปี แล้วก็ได้เป็นโรคประสาทภายในไม่กี่ปี นี่ระวังให้ดี ถ้าใครเป็นโรคประสาท ต้องเรียกว่ามันไม่ใช่พุทธบริษัท มันจะมากไปไหม อาตมาพูดอย่างนี้ว่าถ้าใครเป็นโรคประสาท คนนั้นไม่ใช่พุทธบริษัท พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันโง่จนถึงกับทำอะไรไม่ถูก ขนาดที่ในที่สุดเป็นโรคประสาท เป็นโรคจิต เป็นบ้าไปเลย เพราะมันไม่รู้เรื่องเวลาที่กัดกินหัวใจ มันก็ปล่อยให้เวลากัดกินหัวใจเหมือนกับแทะกร่อนอยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่อยไป ไม่ถึงกับตาย แต่แทะกร่อนอยู่เรื่อยไป ไม่เท่าไหร่ก็ได้เป็นโรคประสาท นี่เป็นเรื่องที่พูดเหมือนกับด่า อาตมาถูกเขากล่าวหาว่ามา แล้วก็ถูกด่า มาให้ท่านพุทธทาสด่า ป่วยการเปล่า ๆ อย่างนี้คุณดูมันเป็นเรื่องด่าหรือเป็นเรื่องไม่ด่า หรือเป็นเรื่องที่ปรับทุกข์กันในหมู่พุทธบริษัทเราว่าถ้าใครเป็นโรคประสาท คนนั้นไม่ใช่พุทธบริษัท คนนั้นจะต้องรู้ธรรมะอย่างไร เท่าไร จึงจะป้องกันไว้ได้ ไม่ต้องเป็นโรคประสาท ข้อนี้สำเร็จอยู่ที่รู้เรื่องเวลา เวลาเกิดขึ้นมา เพราะมีตัณหา คือ ความอยากอย่างโง่เขลา ความอยากอย่างโง่เขลามีขึ้นมาเพราะอวิชชา การที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ความทุกข์ตั้งต้นที่อวิชชานั้นมีความจริงอย่างนี้ ถูกอย่างยิ่งอย่างนี้ เราจะต้องศึกษากันต่อไป
เอ้า, ขอยุติการบรรยายภาคนี้ไว้แต่เพียงตอบปัญหาว่า เวลาคืออะไร นาฬิกาของใครเดินเร็ว นาฬิกาของใครเดินช้า นาฬิกาของใครเดินหยุด นาฬิกาของใครเดินกลับหลัง ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับตัณหาซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเวลา ก็ขอยุติการบรรยายภาคแรกไว้เพียงแต่เท่านี้ก่อน เพราะถึงเวลาที่ว่าในหลวงจะปราศรัย เอ้า, เณรเปิดให้ดัง วิทยุน่ะเปิดให้ดัง เปิดให้ดังกว่านี้ เปิดให้พอได้ยิน
(นาทีที่ 41:07 - นาทีที่ 51:40 ถ่ายทอดการปราศรัยของในหลวง)
ทีนี้จะเทศน์ต่อไป จะบรรยายต่อไป เตรียมบันทึก พร้อมหรือยัง
ท่านสาธุชนทั้งหลาย อาตมาจะได้บรรยายเรื่องปีใหม่ต่อจากตอนต้น ตอนต้นที่พูดไปแล้วก็คือเรื่องว่า เวลานั้นคืออะไร เราพูดกันให้รู้จักเวลาว่า มันกินสรรพสัตว์ให้เจ็บปวด ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับทันเวลาไม่ทันเวลา สมประสงค์ไม่สมประสงค์ เป็นกิเลสตัณหา เมื่อไม่ทันเวลา มันก็เป็นทุกข์เป็นร้อน คนก็เป็นทุกข์เป็นร้อนเพราะไม่ทันเวลา ที่นี้มันมีหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาที่จะป้องกันไม่ให้เวลาทำอันตรายแก่เรา คือเราอย่าทำให้เวลามันมีความหมายขึ้นมา เราทำอะไรไปได้ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่ให้เวลามาเป็นนายเหนือเรา เราทำตามสติปัญญา ทำงานสำเร็จโดยที่เวลาไม่ต้องมากัดกินเรานี่ เราต้องรู้เรื่องเวลา
ทีนี้เพื่อจะควบคุมเวลานั้น เราก็ต้องรู้ต่อไปว่า ไอ้เวลานี้มันเกิดจากอะไร โดยสิ้นเชิงโดยครบถ้วนมันเกิดจากอะไร ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังตอนที่ ๒ นี้ว่าเวลานั้นมันเกิดจากอะไร เวลาอันร้ายยิ่งกว่ายักษ์กว่ามารนั้นมันเกิดจากอะไร มันจึงมากัดกินเรา ให้เป็นทุกข์เป็นร้อน ถึงกับเป็นตาย หรือว่าอย่างน้อยก็อยู่ด้วยโรคประสาท เมื่อถามว่าเวลาเกิดมาจากอะไร คำตอบมันก็ว่า เกิดมาจากความโง่ของเราเองที่ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวลา เพราะเราไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวลา เราจึงปล่อยให้เวลามันเกิดขึ้นและอาละวาด ความไม่รู้จักเวลาของเรานี่คืออวิชชา ไม่รู้ว่าพอโง่แล้วมันก็ไปอยากในสิ่งที่ไม่ควรอยาก พอไปอยากโดยอาการอย่างนี้ อยากในความโง่อย่างนี้ มันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าเวลาขึ้นกัดกินหัวใจของเรา เราจึงตอบว่า เวลาเกิดมาจากอวิชชา ความโง่ของเราเองที่ไม่รู้จักตัวสิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลาคือสิ่งที่ตัณหามันตั้งต้นแล้วมันยังไม่ได้สมอยากของมัน ตอนนั้นเป็นเวลาที่กัดกินเรา ระยะอย่างนี้อย่าให้มี เราอย่าโง่ไปหลงอยากอะไรสิ จะทำอะไรก็อย่าทำด้วยความอยากสิ ทำด้วยสติปัญญา คนสมัยนี้ โง่หนักขึ้น โดยเข้าใจไปว่าเราต้องหวัง เราต้องอยาก เราต้องทะเยอทะยาน เราต้องเอากันใหญ่ในเรื่องความอยาก แล้วมันก็ได้สวนกลับมาเป็นเวลาที่กัดกิน เป็นทุกข์ หรืออย่างน้อยก็เป็นโรคประสาทกันทั้งโลก จะทั้งโลก อย่ามีชีวิตอยู่ด้วยตัณหาหรือความอยาก อย่าทำอะไรด้วยความอยาก อย่าทำอะไรด้วยความหวัง อย่าสอนลูกเด็ก ๆ เล็ก ๆ ของท่านให้โง่ เด็ก ๆ มันไม่ได้โง่มาแต่ในท้อง พ่อแม่นี่เพิ่งสอนให้มันโง่ ให้ทำอะไรด้วยความอยาก ให้ทำกับความหวังเร็ว ๆ จะได้ทันเพื่อน จะได้ไม่แพ้เพื่อน การสอนอย่างนี้ก็เท่ากับฆ่าลูกนั้นแหละ หรือทำให้ลูกนั้นมันเป็นโรคประสาทตลอดชีวิต สอนให้ลูกทำงานด้วยสติปัญญา อย่าทำด้วยความอยาก อย่าทำด้วยความหวัง เพราะว่าความอยากและความหวังนั้นมันทำอันตราย นั้นแหละคือตัวเวลา มันเกิดจากความโง่และอยากอย่างโง่ และทำไปด้วยความอยากอย่างโง่
ทีนี้มันก็ดูกว้างออกไป เราโง่ เรามีอวิชชา ไม่รู้ว่าสิ่งต่าง ๆ มันเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ตัณหามันก็เกิดขึ้นตามกฎของอิทัปปัจจยตา มีความอยาก และก็มีเวลากัดกินหัวใจเรา ถ้าเรารู้เรื่องกฎอิทัปปัจจยตาดี เราก็ควบคุมไว้ได้ไม่ให้เกิดตัณหาขึ้นมาในจิตใจเรา นับตั้งแต่ว่ารู้จักควบคุมผัสสะ เวทนา ก็ไม่เกิดตัณหา ไม่เกิดอุปาทาน ไม่เกิดทุกข์ หัวใจพุทธศาสนาอยู่ที่ตรงนี้ คือรู้จักควบคุมตัณหา ไม่ให้เกิดเวทนาโง่ ไม่ให้เกิดตัณหา ไม่ให้เกิดอุปทาน ไม่ให้เกิดความทุกข์ เพราะเราไม่รู้เรื่องนี้ สิ่งที่เรียกว่าตัณหามันก็โผล่ออกมาเป็นยักษ์เป็นมาร คือ เป็นเวลาและกัดกินสรรพสัตว์ เราไม่ได้โง่มาแต่ในท้อง เรียกว่าไม่ได้โง่หรือไม่ได้ฉลาดอะไรเลยในท้อง เพิ่งมาโง่หรือมาฉลาด เมื่อคลอดมาแล้ว ไอ้สิ่งแวดล้อม บุคคลที่แวดล้อม หรือใครก็ตามที่แวดล้อมทารกนั้นที่จะทำให้ทารกนั้นโง่หรือฉลาด ถ้าคนเหล่านั้น มันไม่รู้ธรรมะเลย มันเป็นคนโง่ มันก็แวดล้อมทารกตัวเล็ก ๆ ให้โง่ ให้หลงใหลในของสวยงาม เอร็ดอร่อย จนกลายเป็นคนโง่ อาตมาพูดตรง ๆ ไม่ใช่พูดด่า ขนบธรรมเนียมประเพณีคือว่า พอเด็กมันคลอดมาแล้ว นอนอยู่ในเบาะนี่ คนทั้งหลายก็แวดล้อมเด็กนั้นให้มันได้รับความสบาย ได้รับความพอใจ สวยงาม เอาสิ่งสวยงามมาแขวนให้ดู เอาเพลงขับกล่อมมาให้ดู ทะนุถนอม บำรุงบำเรอให้พอใจในความสบายที่เรียกว่า อร่อยทางตา อร่อยทางหู อร่อยทางจมูก อร่อยทางลิ้น อร่อยทางกาย อร่อยทางใจ เด็กของเราก็เป็นคนโง่ หลงใหลในความอร่อย ในทางเหล่านี้ แล้วมันก็ค่อย ๆ มีตัณหาอันเจริญ ตัณหาอันเจริญไปตามความโง่ แล้วตัณหาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นตัวเวลากัดกินให้เจ็บปวดทางจิตใจ เราแวดล้อมเด็กทารกของเราให้กลายเป็นคนโง่ ตกเป็นเหยื่อของกิเลสตัณหาของเวลา บางทีมันไม่ควรจะโง่ มันก็ทำให้โง่ จงระวังอย่าอบรมแวดล้อมให้ทารกคลอดออกมากลายเป็นคนโง่ ไอ้ที่มันไม่ควรจะกลัวก็ไปอบรมให้มันกลัว ให้มันกลัวจิ้งจก ตุ๊กแก ให้มันกลัวผี กลัวอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งล้วนแต่เป็นความโง่ แล้วก็ไม่ได้บอกให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามที่เป็นจริง แต่บอกให้โง่ตาม ๆ กันมาไม่รู้กี่ชั่วอายุคนแล้ว เด็กของเราจึงพร้อมที่จะมีกิเลส มีตัณหามากขึ้น ๆ แต่ละปี ๆ ทารกของเราโง่มากขึ้นใช่ไหม พอปีใหม่ทารกของเรานั้นไม่ได้ฉลาดขึ้นสมกับที่เป็นปีใหม่ มันโง่มากขึ้นทุกปี ตั้งแต่นอนเบาะมาจนวิ่งได้ จนโตเป็นผู้ใหญ่ มันโง่เพิ่มขึ้นทุกปี โง่ในที่นี้ก็คือหลง ไม่รู้จริงในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความอร่อย ปีหน้ามันอยากจะอร่อยกว่าปีนี้ ปีหน้าโน้นมันอยากจะอร่อยกว่าปีหน้า มันมีแต่อยากจะให้เอร็ดอร่อย สนุกสนานมากยิ่งขึ้นไปนี่ เรียกว่า มันตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสตัณหา ปีใหม่ของเขาจึงเป็นปีสำหรับให้โง่ยิ่งขึ้นไปกว่าปีเก่า
ท่านทั้งหลายทุกคน ลองทบทวนความรู้สึกในชีวิตจิตใจของท่านที่เป็นมาเท่าที่จะจำความได้อย่างไร ว่าท่านฉลาดขึ้นทุกปี หรือว่าท่านโง่ลงไปทุกปี ถ้าท่านหลงใหลในความเอร็ดอร่อย สนุกสนานเพิ่มขึ้นทุกปี ๆ ก็หมายความว่าท่านได้โง่มาทุกปี ๆ จนมาถึงปีนี้ แล้วปีหน้าจะโง่ต่อไปอีกเท่าไหร่ มันก็แล้วแต่ว่ามันอยากหรือมันหลงใหลในความอยากเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ เตรียมตัวไว้ ๆ ควรจะเป็นอย่างไร ก็ให้มันได้เป็นตามที่ควรจะเป็น อย่าให้มันเกิดแต่ผลตรงกันข้ามจากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ถือกันว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี้เป็นกุศลอันสูงสุด ขอให้ได้การเกิด ให้การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ได้เป็นกุศลอันสูงสุดโดยแท้จริง อย่าให้เป็นอกุศล เป็นบาป หลงใหลในเหยื่อซึ่งมีอยู่ในโลก จมโลกลงไป ๆ ๆ โงหัวไม่ขึ้น จมโลกลงไป จมโลกลงไป ๆ หนักขึ้นทุกปี ๆ อย่างนี้ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่มนุษย์นี่ที่ได้เกิดมาแล้วมีบุญมีกุศลอะไร และไม่สมกับที่เป็นมนุษย์ได้พบกับพระพุทธศาสนาด้วย
เวลาเกิดมาจากอวิชชา ผ่านมาทางตัณหา อวิชชาเกิดตัณหา พอตัณหาเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าเวลาที่กัดกินหัวใจเรา แล้วมันก็ทรมานจนให้เป็นโรคประสาทไปได้ ให้เผลอทำผิดในระยะสั้น ตายไปเลยก็ได้ หรือว่าถ้ามันมากกว่านั้น มันก็ตายโหงตั้งแต่เล็กเลย เด็ก ๆ ของเราตายโหงเสียเป็นส่วนมากเพราะมันทำผิดในเรื่องนี้ ต้องช่วยกันระวังรักษาให้ดี ๆ อย่าให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้มันเกิดขึ้นแก่เราเพราะเราไม่รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า เราไม่รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าตามที่ควรจะรู้ เราเรียนธรรมะแล้วไม่รู้ธรรมะ เรารู้ธรรมะเปล่า ๆ ไม่มีธรรมะ ท่านรู้ธรรมะ แต่ท่านไม่มีธรรมะ หรือท่านมีธรรมะบ้าง แต่ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นี้คือความน่าละอายที่สุด ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเวลายักษ์มารอันร้ายกาจ เรียนธรรมะ ไม่รู้ธรรมะ อ่านหนังสือธรรมะแล้วก็ไม่รู้ธรรมะ เรียนอย่างไรก็ไม่รู้ธรรมะ นี้พวกแรก ที่รู้ธรรมะ รู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้ พูดได้มาก แต่ไม่มีธรรมะในตัวบุคคลนั้นเลย ไม่มีธรรมะเลย แต่มันรู้ธรรมะ พูดจ้อไปเลย ทีนี้บางทีก็มีธรรมะบ้างแต่ใช่ประโยชน์อะไรไม่ได้ มีธรรมะที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ ระวังให้ดี พวกเรานี้แหละจะมีธรรมะชนิดที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แล้วมันจะเป็นอย่างไร เป็นต้นเหตุที่ให้มันมีอวิชชา มีตัณหา แล้วก็มีเวลา เวลาเกิดมาจากความผิดพลาดเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น ข้อนี้อธิบายนิดเดียว มันก็พอแล้ว มันก็มีเท่านั้นเอง เวลาเกิดมาจากความโง่ของคน เป็นความโง่ที่ทำให้เกิดอยากอย่างโง่ ในสิ่งที่ไม่ควรจะอยาก ในลักษณะที่ไม่ควรจะอยาก แล้วความอยากกว่าจะได้สมอยากนั้นล่ะคือเวลา แล้วมันก็กัดกินหัวใจจนกว่าจะได้สมอยาก แล้วมันก็อยากอย่างอื่นต่อไป มันก็ตั้งต้นเวลาต่อไป ไม่ได้สมอยาก มันก็ยังคงอยากอยู่ต่อไป มันก็กัดกินหัวใจต่อไปนี่ อย่าทำเล่นกับความอยาก มันจะกัดหัวใจอยู่ ตลอดเวลา ทั้งได้สมอยากและไม่ได้สมอยาก อย่าให้ตัณหาหรือความอยากอย่างโง่เขลานี้มากัดกินหัวใจของเรา
เอาทีนี้ตอนต่อไป เวลา ๆ นี่มาเพื่ออะไร มาเพื่ออะไร มาเพื่อผลอย่างไร ที่จริงถ้าพูดแล้วมันก็ได้ทั้ง ๒ อย่างล่ะ เวลาร้ายกาจนี้มาเพื่อให้เกิดผลดีก็ได้ มาเพื่อให้เกิดผลร้ายก็ได้ ถ้าเราต้อนรับมันผิด มันก็เกิดผลร้าย ถ้าเราต้อนรับมันถูก มันก็ไม่มีผลร้ายอะไร แล้วมันจะมาช่วยเราฉลาด การที่เราทำผิดพลาดอะไรไปเรื่องหนึ่งมันจะช่วยให้เราฉลาดในเรื่องต่อไป ควบคุมเวลาให้ดี ถ้าผิดก็จับตัวมันให้ได้สำหรับจะไม่ผิดซ้ำ มันแล้วแต่ว่าเรามีสติปัญญาพอหรือไม่ที่จะจัดให้เวลาเกิดเป็นผลขึ้นมาอย่างไร ถ้าเราจัดถูกต้อง ไอ้เวลา เวลานี้จะมีผลที่ถูกต้อง ถ้าเราฆ่าตัณหา ฆ่าอวิชชาเสียได้ ในชีวิตนี้มันก็อยู่ได้โดยปราศจากตัณหา ปราศจากอวิชชา ท่านจงฟังให้ดีสักหน่อย ตรงนี้มันจะฟังยาก เราจะต้องจัดให้ชีวิตของเรานี้มีอยู่โดยปราศจากตัณหา ปราศจากอวิชชา พูดเป็นอุปมาก็ว่า ให้ชีวิตนี้มันได้สวรรค์เย็น ให้ได้ชีวิตเย็น ให้ได้สวรรค์เย็น ท่านได้กันแต่สวรรค์ร้อน คือ สวรรค์ของกิเลสตัณหา ร้อนระอุอยู่ด้วยกิเลสตัณหา สนุกสนาน เอร็ดอร่อย เป็นบ้าเป็นหลัง แต่เป็นเรื่องร้อน ชีวิตร้อน สวรรค์นั้นร้อน เพราะไม่รู้เรื่องความจริงของสิ่งที่เรียกว่ากิเลสตัณหา หรือเวลา เราต้องเอาธรรมะเข้ามา ธรรมะ ๆ เอาเข้ามา
ธรรมะนั้นแปลว่าหน้าที่ คำว่าธรรมะนี้แปลว่าหน้าที่ คนเขาพูดถึงกันอยู่ พูดเป็นกันอยู่ว่าธรรมะ ๆ นี้ ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล พุทธศาสนายังไม่เกิด มนุษย์สมัยนู้นเขารู้จักพูดด้วยคำว่าธรรมะ ๆ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ หน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่เป็นหน้าที่หรือการกระทำที่เป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตนั้น คือ ธรรมะ ๆ ไอ้คนยุคโน้นเขาเจ็บปวดเพราะทำผิดในหน้าที่ แล้วเขาจำไว้ เขาแก้ไขปรับปรุงจนรู้ว่าหน้าที่อย่างนี้ถูก ทำหน้าที่อย่างนี้ถูก แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ เขาก็จำไว้แล้วก็สอนต่อ ๆ กันมา เกิดคำว่าธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งสูงสุด ป้องกันไม่ให้เป็นทุกข์ ทำให้รอดชีวิตอยู่ได้แล้วก็รอดอีกครั้งหนึ่ง คือรอดจากความทุกข์ รอดทีแรกคือรอดตาย รอดจากความตาย เราทำหน้าที่ถูกต้อง เรารอดจากความตาย เราทำหน้าที่ถูกต้อง ครั้งหนึ่งรอดจากกิเลส รอดจากความทุกข์ เลยได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เช่น การบรรลุมรรคผล เป็นต้น นี่คือหน้าที่ ผลของหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ เราจะต้องรู้ว่าธรรมะคือสิ่งประเสริฐที่สุดอย่างนี้ ต่อมา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นท่านสอนหน้าที่สูงละเอียด ประณีต ครบถ้วน ธรรมะชั้นนี้จึงครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่เหมือนธรรมะตอนแรก ๆ ของคน มนุษย์ที่ยังเริ่มเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้เป็นมนุษย์ถึงขนาดมีพระพุทธเจ้าแล้วท่านสอนธรรมะถึงที่สุด ก็พบหน้าที่ที่สมบูรณ์ รอดตาย และอยู่อย่างได้รับผลประเสริฐที่สุดจนถึงกับเป็นพระอรหันต์
พอเรารู้จักธรรมะอย่างนี้ ก็รู้จักเอามาควบคุมชีวิต อย่าให้มันเกิดกิเลสตัณหา อย่าให้เกิดอวิชชา ให้ทำหน้าที่ของชีวิตอย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องเกิดตัณหา ไม่ต้องเกิดอวิชชา ชีวิตนี้มันก็ไม่ร้อน มันก็เย็น แล้วมันก็ก้าวหน้าไปตามที่ควรจะก้าวหน้า ไม่ก้าวหน้าด้วยตัณหา จึงไม่มีเวลาที่จะกัดกินเรา ระวังให้ดี มันไม่มีเวลาที่จะกัดกินเรา มันก็เย็นมันก็เป็นชีวิตเย็น ขอให้ทุกคนมองข้อนี้มาก ๆ เพราะเป็นข้อเดียวที่จะช่วยได้ให้มีชีวิตเย็น ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ อุตส่าห์มองให้ชัดลงไป ธรรมะคือหน้าที่ รู้แต่เพียงว่าธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีประโยชน์ มันไม่รู้ว่าสอนว่าอย่างไร ต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอน จงทำหน้าที่ให้ถูกต้อง จึงมีชีวิตอยู่อย่างที่ไม่มีกิเลส ตัณหา อวิชชา นี่คือหน้าที่ ๆ จงทำให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่อย่างไม่มีตัณหา ไม่มีอวิชชา นี่มันเป็นหน้าที่ พอมันไม่เกิดกิเลสมันก็ไม่ร้อน เราก็มีชีวิตเย็น มีธรรมะ ธรรมะเข้าไปค้ำจุนหมด ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน คนค้าขายทำการค้าขาย คนราชการทำราชการ กรรมกรก็ทำงานกรรมกร แจวเรือจ้าง ถีบสามล้อ ไปตามเรื่องตามหน้าที่ กระทั่งว่าถ้าเป็นคนขอทานก็จงทำหน้าที่ขอทานให้ถูกต้อง เย็นอกเย็นใจในการทำหน้าที่ของขอทานโดยสุจริต ไม่เท่าไหร่ก็จะพ้นจากสภาพขอทาน ไม่ต้องขอทานสูงขึ้นไป เลื่อนชั้นสูงขึ้นไปจนเป็นมนุษย์ที่มีความรอด รอดชีวิต รอดจากความยากจน รอดจากความเจ็บไข้ รอดจากความตาย จิตใจก็ก้าวหน้าสูงขึ้นไปในทางของมรรค ผล นิพพาน นี่เรียกว่าหน้าที่
หน้าที่ในภาษาไทยหรือธรรมะ ธรรมะในภาษาอินเดีย ปทานุกรมสำหรับลูกเด็ก ๆ ในประเทศอินเดีย ไปซื้อมาสักเล่มเปิดดูจะพบคำว่า ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ เขาไม่ได้แปลว่าคำสอนของใคร ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ เมื่อเราได้ทำหน้าที่แล้วก็รู้ว่าเราได้ปฏิบัติธรรมะ เรามีธรรมะ ก็มองให้ลึกไปลงไปว่า สิ่งใดมีชีวิต สิ่งนั้นต้องมีหน้าที่ คือมีธรรมะ ต้นไม้ต้นไร่ก็ต้องทำหน้าที่ หน้าที่ของต้นไม้ คือ ธรรมะของต้นไม้ และต้นไม้ต้นนั้นก็รอดอยู่อย่างดี สัตว์เดรัจฉานก็ต้องทำหน้าที่ของสัตว์เดรัจฉานให้ถูกต้อง แล้วมันก็รอดชีวิตเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่อย่างดี ถ้ามันทำผิดหรือมันไม่ทำ มันก็ต้องตาย คนเราก็เหมือนกัน มีหน้าที่อย่างไร ทำหน้าที่นั้นแล้วจะรอดจากตัณหาเหล่านั้น เราจงพอใจ เราจงยินดีว่าเราได้ทำหน้าที่ คือมีธรรมะ ให้รู้สึกว่ามีธรรมะนั้นแหละประเสริฐที่สุดกว่ามีอะไร ให้รู้สึกว่ามีธรรมะนั่นแหละเป็นเกียรติสูงสุดกว่าเกียรติยศอะไร ให้รู้สึกว่ามีธรรมะนั่นแหละ คือมีสรณะที่พึ่งยิ่งกว่าสิ่งใด
พอรู้สึกว่าเรามีธรรมะเราก็อุ่นใจ สบายใจ พอใจ พอใจก็มีความสุข นี่จำไว้นะ ถ้าไม่พอใจ ไม่มีทางที่จะมีความสุข ถ้าพอใจแล้วจะมีความสุข ถ้าพอใจอย่างเลว พอใจอย่างหลอกลวง มันก็เป็นความสุขอย่างเลว ความสุขอย่างหลอกลวง ถ้าพอใจอย่างถูกต้องอย่างดี ก็เป็นความสุขอย่างถูกต้องและอย่างดี เราจงทำหน้าที่ที่ถูกต้องและดี และเราก็จะพอใจอย่างถูกต้องและดี อิ่มใจเป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำหน้าที่ ชอบในตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นคือสวรรค์ สวรรค์แท้จริง สวรรค์ที่ไม่หลอกลวงใคร สวรรค์ที่ไม่ต้องลงทุนแม้สักสตางค์เดียวก็ได้ ขอให้ทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้อง จนพอใจ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นแหละมันคือสวรรค์ เมื่อใดมันทำผิดในเรื่องหน้าที่ มันก็กลายเป็นความชั่วขึ้นมา เป็นธรรมะหรือหน้าที่ของคนพาล หน้าที่ของคนชั่ว ถ้าคนดีมันก็ไหว้ตัวเองไม่ลง มันก็เกลียดตัวเอง มันก็เป็นนรกขึ้นมา เมื่อไรเกลียดตัวเองเมื่อนั้นเป็นนรกที่แท้จริงขึ้นมา เมื่อไรพอใจตัวเอง นับถือตัวเอง จนไหว้ตัวเองได้ เมื่อนั้นก็เป็นสวรรค์ขึ้นมา ถ้ามันได้สวรรค์แท้จริงอย่างนี้ ที่นี้ เดี๋ยวนี้ เป็นสันทิฎฐิโกอย่างนี้แล้วอย่ากลัว ตายไปก็ได้สวรรค์หมดทุกชั้นล่ะ มันจะมีกี่ชั้นก็ตามใจ ตายไปแล้วจะได้สวรรค์ที่แท้จริง ถ้ามีหมดทุกชั้นเลย ขอแต่ให้ได้สวรรค์แท้จริงที่นี้อย่างนี้กันเสียก่อน คือทำหน้าที่ของมนุษย์จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ถ้ามันทำไม่ได้ มันเกลียดน้ำหน้าตัวเองเป็นนรกแล้วไม่ต้องกลัว ตายแล้วมันตกนรกทุกชนิดเลย ไอ้คนชนิดนี้ เพราะมันตกนรกที่นี้เป็นสันทิฏฐิโก นรกอยู่ที่นี่แล้ว ตายแล้วมันก็เหมือนกัน ไปลงนรกทุกชนิดล่ะ
แต่ละวัน ๆ ขอให้จัดไปในทำนองที่เรามีสวรรค์ ไหว้ตัวเองได้ ทำงานทั้งวัน พอค่ำลงจะนอนแล้ว ลองคิดทบทวนดู วันนี้มีอะไรดี มีอะไรดี ๆ ๆ ๆ ๆ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นสวรรค์เสียก่อน แล้วก็นอน ตื่นขึ้นเช้าก็เหมือนกันแหละ คิดว่าวันนี้จะทำอะไรให้ยกมือไหว้ตัวเองได้อีก แล้วก็ทำ ๆ จนค่ำลง ยกมือไหว้ตัวเองได้อีก มันเป็นสวรรค์ตลอดเวลา นี่สวรรค์ที่แท้จริง สวรรค์ที่เป็นกฎอิทัปปัจจยตาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นรกสวรรค์ชนิดที่เขาพูดกันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้า นั่นมันสวรรค์คาดคะเน สวรรค์ที่บอกโดยไม่ต้องพิสูจน์ สวรรค์อย่างนั้น นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าน่ะ เขาพูดกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่คัดค้านเพราะว่าเขาเชื่อกันอยู่อย่างนั้น ไม่ไปทะเลาะกับไอ้คนบ้าพวกนี้ แต่ท่านอาจจะบอกว่า ถ้าอยากไปสวรรค์ต้องทำอย่างนี้ ๆ สิ ถ้าไม่ตกนรกจงทำอย่างนี้ ๆ สิ ท่านก็สอนได้ สอนเพิ่มเติมให้ได้ แต่พอให้ท่านสอน ท่านกลับสอนว่า สวรรค์นี้มันอยู่ที่ความถูกต้องทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นรกนี่มันอยู่ที่ทำผิดทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นรกหรือสวรรค์ทางอายตนะอย่างนี้ ฉันเห็นแล้ว ๆ ท่านว่าอย่างนี้ มายาสิกขา มายาสิกขา (ชั่วโมงที่ 1:18:25) ฉันเห็นมันแล้ว สวรรค์อย่างนี้ นรกอย่างนี้ มันไม่พ้องกับเรื่องนรกใต้ดิน หรือสวรรค์บนฟ้าหรอก ท่านชี้ระบุไปยังที่ว่าทำผิดหรือทำถูกที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามกฎอิทัปปัจจยตา ถ้าเราทำถูกต้องที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามกฎอิทัปปัจจยตา มันเป็นสวรรค์ทันที เป็นสันทิฏฐิโก เป็นอกาลิโก เป็นเอหิปัสสิโก มา ๆ ฉันมีให้ดูเดี๋ยวนี้เลย มันมีให้ดูอย่างนี้ เป็นสวรรค์อย่างนี้ หรือนรกก็เหมือนกันแหละ เมื่อทำผิดทางอายตนะจากกฎอิทัปปัจจยตา แล้วมันก็เป็นนรกที่นี่ เดี๋ยวนี้ เป็นสันทิฏฐิโก เป็นอกาลิโก เป็นเอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ ต้องมีลักษณะอย่างนี้ จึงจะเป็นคำสอนที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา
เรามีธรรมะ คือหน้าที่ที่ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา พอรู้สึกว่าเรามีอย่างนี้แล้ว เราก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ เรามีความสุขทันทีโดยไม่ต้องใช้เงินสักสตางค์เดียว ดังนั้นขอให้ถือเป็นหลักไว้ทุกคนว่า ความสุขแท้จริงนั้นไม่ต้องใช้เงินซื้อ นิพพานให้เปล่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ ถ้าต้องใช้เงินซื้อแล้วเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น เป็นความสุขหลอกลวงทั้งนั้น เป็นเพียงความเพลิดเพลินที่หลอกลวงทั้งนั้น ถ้าต้องใช้เงินซื้อ แล้วก็แพงด้วย เหมือนที่อยู่กรุงเทพกันนะ ใช้เงินซื้อกามารมณ์ แพงที่สุด แล้วเป็นความหลอกลวงของความเพลิดเพลิน ไม่ใช่ความสุขแท้จริง ถ้าเป็นความสุขแท้จริง ไม่ต้องใช้เงินซื้อแม้แต่สักสตางค์เดียว เพราะว่ามันได้จากความพอใจ ๆ ๆ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อรู้สึกว่าเรามีธรรมะ มีหน้าที่ถูกต้องของสิ่งที่มีชีวิต มีธรรมะ ยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นสุขที่นั่นเดี๋ยวนั้น ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียว ได้ความสุขอย่างถูกต้องมา เงินมันก็จะเหลือมากเข้า เหลือมากเข้าจนไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไรก็ได้ เพราะว่าความสุขมันได้เสียแล้วตลอดเวลา ชีวิตเย็น สวรรค์เย็นตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เรื่องนี้ท่านอาจจะมองเห็นเป็นเรื่องพูดเล่น แต่นี้เป็นเรื่องที่จริงที่สุดและพูดจริงที่สุด เมื่อไรรู้สึกว่ามีหน้าที่ถูกต้องของสิ่งที่มีชีวิต แล้วพอใจ แล้วเป็นสุขที่นั่นเดี๋ยวนั้น ชาวนาเป็นสุขอยู่เมื่อทำนา ชาวสวนเป็นสุขอยู่เมื่อกำลังทำสวน คนค้าขายเป็นสุขเมื่อกำลังทำการค้าขาย กรรมกรก็เป็นสุขอยู่เมื่อทำงานกรรมกร ไม่ต้องรอเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน เอาเงินไปเที่ยวอบายมุข เอาเงินที่ได้ไปซื้อกามารมณ์ ไม่มีอย่างนั้น เขาเป็นสุขเสียแล้วเมื่อกำลังทำหน้าที่
เราจงรู้จักหน้าที่แต่ละวัน ๆ เราตื่นขึ้นมา ฟังให้ดีหน่อยนะ ตักน้ำล้างหน้าและแปรงฟัน เรารู้นี่คือหน้าที่ที่ถูกต้องของสิ่งที่มีชีวิต เราพอใจในการล้างหน้าและแปรงฟันว่าเรามีธรรมะ เราพอใจตัวเองว่ามีธรรมะในการล้างหน้าและแปรงฟัน จะยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่แล้ว เอ้า, ที่นี่ไปไหนล่ะ ไปส้วม นั่งอยู่บนโถส้วม รู้สึกพอใจว่าถูกต้องแล้วที่ทำอย่างนี้ เป็นธรรมะที่จะต้องถ่ายอุจจาระนี้ ต้องทำดีที่สุด อย่าทำโง่ ๆ อย่าทำอย่างรีบร้อน อย่าทำอย่างมีตัณหาดึงไปที่อื่น ให้พิจารณาเป็นหน้าที่ที่ถูกต้องแล้ว พอใจในการถ่ายอุจจาระ มีความสุขพอใจ พอใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ เมื่อถ่ายปัสสาวะก็เหมือนกัน เมื่ออาบน้ำ ตักน้ำอาบ ตักน้ำอาบ ในใจรู้สึกเป็นหน้าที่ที่จะทำถูกต้องดีตามกฎของอิทัปปัจจยตา นี่เป็นหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต ชื่นอกชื่นใจในการที่ได้ทำหน้าที่เมื่ออาบน้ำ เอ้า, ทีนี้ ไปถูเรือนกันบ้าง ไปกวาดเรือน ไปล้างจาน ไปช่วยล้างจานกันบ้าง ก็รู้สึกอย่างนี้เหมือนกันแหละ มันเป็นหน้าที่ถูกต้องของสิ่งที่มีชีวิต พอใจเป็นสุขเมื่อล้างจาน พอใจเมื่อถูบ้าน พอใจเมื่อกวาดเรือน เอ้า, ถึงเวลาไปทำงาน เอ้า, ขึ้นรถไป เมื่อกำลังขึ้นรถก็พอใจวันนี้ไปทำหน้าที่ ถือเป็นการทำหน้าที่ขั้นตอนนี้ เพื่อไปทำหน้าที่ที่ถูกต้องที่ออฟฟิศก็พอใจ ก็เป็นสุข ตลอดที่นั่งรถไป ไปถึงที่ทำการงาน ก็พอใจอย่างยิ่งเพราะได้ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ด้วยความพอใจ เยือกเย็นใจอยู่ตลอดเวลาที่ทำการงาน เลิกงาน คิดตลอดเลยการงานที่ทำ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพอใจ กลับมาบ้านก็พอใจ ก็ถูกต้องแล้วที่ได้ทำหน้าที่แล้ว
การพักผ่อนนั้นจำเป็น ถ้าเราไม่พักผ่อน เราไม่มีแรงจะทำงาน ดังนั้น การพักผ่อนก็เป็นหน้าที่ด้วยเหมือนกัน เมื่อเราได้พักผ่อนแล้ว เราก็พอใจว่าได้ทำหน้าที่ ได้ทำหน้าที่คือการพักผ่อน พักผ่อนแล้วก็มีแรงสำหรับจะทำงาน แล้วทำงานต่อไปก็เป็นหน้าที่ เวียนกันจบอย่างนี้ทั้ง ๒๔ ชั่วโมง ไม่มีวินาทีเดียว ไม่มีที่จะเป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะเราพอใจและเป็นสุขในเมื่อทำหน้าที่ แต่ถ้าสมมติว่ามันมีอะไรเกิดขัดขวางขึ้นมา ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ โอ้, มันเช่นนั้นเองโว้ย มันเป็นตถตา เช่นนั้นเองโว้ย อย่าไปบ้ากับมัน อย่าไปทุกข์ร้อนกับมัน แก้ไขมันด้วยใจคอที่เยือกเย็น ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนกับมัน ถ้าอะไรมันเกิดขึ้นในลักษณะที่ไม่ตรงตามที่เราประสงค์ ก็มันเช่นนั้นเอง ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนกับมัน ก็ทำไป พอได้แก้ไขไอ้สิ่งผิดเหล่านั้นก็พอใจอีก ก็พอใจอีก ได้แก้ไขมันถูกต้อง มันก็เลยถูกต้องไปเรื่อย มีความพอใจอยู่ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ทุก ๆ อิริยาบถที่ตนประพฤติกระทำอยู่ ตลอดวัน ๆ นั้นแหละชีวิตเย็น มีสวรรค์เย็น เป็นสวรรค์คนมีธรรมะ สวรรค์ร้อนของคนโง่ บูชากามารมณ์เป็นสวรรค์ร้อน แล้วมันก็กัด แล้วมันก็วินาศ นี่เรียกว่าเวลามันมีอยู่อย่างนี้ที่เราจะต้องควบคุมมัน อย่าให้เกิดเป็นตัณหาขึ้นมา คือ อย่าให้เป็นเวลาที่มีปัญหา อย่าให้เป็นเวลาที่กัดกินเรา ให้มันเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้อย่างถูกต้อง ไม่มีเวลาที่เป็นยักษ์เป็นมารสำหรับจะกัดกินเรา
เราไม่มีกิเลสตัณหารุกเร้าจิตใจเรา นาฬิกาของเราหยุดเดิน ถ้าเราฆ่ากิเลสตัณหาได้ นาฬิกาของเราเดินกลับเหมือนกับนาฬิกาของพระอรหันต์ นี่ชีวิตเย็น สวรรค์เย็น ถ้าใครได้เพิ่มขึ้น เรียกว่าคนนั้นมันได้ความสุขปีใหม่ที่แท้จริง ถ้ามิฉะนั้นมันจะได้แต่ความสุขที่หลอกลวง ๆ กัดกินยิ่งกว่าปีเก่า ทรมานมากกว่าปีเก่า เป็นประสาท เป็นบ้า เป็นวิกลจริต มากกว่าปีเก่า มันใช้ไม่ได้ นี่ขอให้ใช้เวลาที่เป็นเวลาที่ไม่กัดกิน คืออย่าให้มันมีเวลา พูดให้ชัดก็ต้องพูดว่าไม่มีเวลาสำหรับเรา เพราะเราไม่มีกิเลสตัณหา ถ้าเรามีกิเลสตัณหา มันมีเวลาสำหรับเรา ดังนั้นเราต้องอยู่เหนือเวลา เหมือนกับที่พระอรหันต์ท่านเป็น เราไม่มีกิเลสตัณหาหวังอะไรหรอก เวลามันก็ไม่มีสำหรับเรา นาฬิกามันหยุดเดิน ชีวิตมันเย็น คงจะฟังไม่ถูกกันกี่คน เว้นไว้แต่ใครจะไปคิดนึกให้ละเอียดลออ ก็จะฟังได้มากขึ้น
นี่เวลา เวลามันเพื่ออะไรกัน เพื่ออะไรกัน เพื่อมาจัดให้ถูกต้อง หยุดมันเสียให้ได้ แล้วเราจะมีชีวิตเย็น มีสวรรค์เย็น ยกมือไหว้ตัวเองได้ตลอดเวลา ทุกอิริยาบถ ทุกลมหายใจเข้าออก จนกว่าร่างกายมันจะแตกตายเน่าเข้าโลงไป ชีวิตนี่มีแต่ความเยือกเย็นทุกครั้งที่หายใจและทุก ๆ อิริยาบถที่เป็นอยู่ เมื่อได้อย่างนี้แล้วจะไม่เรียกว่าได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์แล้วจะเรียกว่าอะไร เกิดมาเป็นมนุษย์ควรจะได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ก็คือการได้อย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายลองไปคิดดู ถ้าคิดเป็นจะมองเห็น และจะรู้ว่าไม่เหลือวิสัย ไม่เหลือวิสัย ธรรมะนี้ไม่เหลือวิสัย เป็นสิ่งที่เราทำได้ เราจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา นี่เวลาเพื่ออย่างนี้ เวลามันมีเพื่ออย่างนี้ เพื่อเราจะฆ่ามันเสีย เพื่อเราจะควบคุมมันเสีย เพื่อเราจะมีชีวิตชนิดที่เย็น อยู่ในความหมายของพระนิพพาน เย็นในความหมายของพระนิพพาน ทุกครั้งที่หายใจออกเข้า ทุก ๆ อิริยาบถตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือนทั้งปี ประโยชน์ของการชนะเวลา ความสุขปีใหม่แท้จริงมันสูงสุดอยู่ที่นี่
เอ้า, ทีนี้ก็จะมาถึงข้อต่อไป มีปัญหาว่าได้มาโดยวิธีใด จะได้สิ่งนี้มาโดยวิธีใด ตอบเหมือนกำปั้นทุบดิน ต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวลานั้นให้ถูกต้องเสียก่อน รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวลาคืออะไร เหมือนที่ได้พูดมาแล้วข้างต้นนั้นให้ถูกต้องเสียก่อน ให้รู้จักตัวยักษ์มาร ไอ้ตัวร้ายนั้นให้ได้เสียก่อน พอรู้จักมันแล้ว ก็รู้จักโอ้, มันมีต้นเหตุมีมูลเหตุอย่างไรก็ตัดต้นเหตุนั้นเสีย เวลามาจากตัณหาก็ตัดตัณหาเสีย หรือตัณหามาจากอวิชชาก็ตัดอวิชชาเสีย ให้เป็นผู้มีวิชชา อบรมหลักพระพุทธศาสนา ปฏิบัติกรรมฐานภาวนา วิปัสสนาอะไรก็เพื่อให้เกิดวิชชาทั้งนั้นแหละ ถ้าปฏิบัติสำเร็จก็เกิดวิชชา มันก็ฆ่าอวิชชา มันก็ไม่เกิดตัณหา มันก็ไม่มีเวลาที่จะกัดกินเรา เพราะมันไม่มีต้นเหตุแห่งเวลา คือมันไม่มีตัณหา จะมีชีวิตทั้งวัน ๆ ไม่ให้โอกาสแก่ตัณหา ชีวิตของเราตลอดทั้งวันนี้เปิดเป็นโอกาสให้การเกิดตัณหา ตัณหาไม่เกิด ถ้าเราจะทำการปฏิบัติทางจิตใจที่เรียกว่าทำกรรมฐานวิปัสสนาก็ทำเพื่ออันนี้แหละ ปิดหมดไม่ให้อวิชชาหรือตัณหาเกิด กรรมฐานหนอ หนอนั้นดีที่สุด ใช้ได้ กรรมฐานหนอ ๆ ๆ น่ะขอยืนยันว่าดีที่สุดและใช้ได้ และแบ่งแยกออกเป็น ๒ ประเภท หนอ ๆ ๆ อย่างสมถะนี่ประเภทหนึ่ง หนอ ๆ ๆ อย่างวิปัสสนานี่อีกประเภทหนึ่ง เช่นว่าลมหายใจ กำหนดลมหายใจ หายใจเข้าหนอ ออกหนอนี่ ถ้าว่าออกหนอ เข้าหนอ พองหนอ ยุบหนอ ออกหนอ เข้าหนอ อย่าไปพิจารณาอะไรเลย เพียงแต่กำหนดว่าเข้าหรือออก เข้าหรือออก เข้าหรือออก กำหนดอย่างนี้เรื่อยไปตลอดเวลานี้เป็นสมถะ มันทำให้เป็นสมาธิ มันทำให้หยุด ไม่ให้เกิดโอกาสแก่อวิชชาหรือตัณหาด้วยเหมือนกัน แต่มันได้แต่เพียงว่าหยุดไว้ชั่วคราวอย่างสมถะ ออกหนอ เข้าหนอ ออกหนอ เข้าหนอ หรือยุบหนอ พองหนอ แล้วแต่จะใช้คำไหน ถ้าจิตมันกำหนดอยู่อย่างนี้ มันทำผิดทางผัสสะไม่ได้ มันผัสสะอะไรไม่ได้ และมันทำผิดอะไรทางผัสสะไม่ได้ ทั้งวัน ๆ ๆ มันก็ไม่ทำผิดทางผัสสะ มันเป็นการควบคุมผัสสะไว้ได้ ไม่เกิดตัวกูของกูที่เป็นตัณหาอุปาทานในแต่ละกรณีทั้งวัน ๆ ตัวกูของกูมันไม่เกิด มันก็ได้ผลเท่านี้ มันก็ถมไปแล้วนะ อย่างนี้มันเป็นกำหนดอย่างบังคับเอาไว้ด้วยสมาธิหรือด้วยสมถะ
ทีนี้ถ้าให้ดีกว่านั้น ให้ดีกว่านั้น จะหนอชนิดที่เป็นวิปัสสนา ไม่ใช่หนอสมถะ จะเป็นหนอชนิดวิปัสสนา ก็คือพิจารณาเห็นว่าโอ้, ลมหายใจนี้ มันสักว่าลมหายใจเท่านั้นเองหนอ เป็นตามธรรมชาติเท่านั้นเองหนอ ไม่มีตัวบุคคลที่เป็นผู้หายใจหนอ สักว่าการหายใจตามแบบของธรรมชาติเท่านั้นหนอ ไม่มีบุคคลผู้หายใจหนอ เข้าหนอ ออกหนอ พองหนอ ยุบหนอ ก็มันเป็นแต่เพียงกิริยาอาการเช่นนั้น มิได้มีบุคคลผู้ทำอาการหายใจเข้า หรือทำอาการหายใจออก นี่มันเป็นปัญญา มันรู้ลึกลงไปว่า ไม่มีบุคคลสัตว์ตนบุคคลอะไร เป็นแต่เพียงการเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติ ตามกฎของอิทัปปัจจยตา พิจารณาอย่างนี้มันลึกกว่า ละเอียดกว่า ชัดแจ้ง สว่างไสวกว่า จึงเรียกว่าเป็นวิธีของวิปัสสนา หนอชนิดนี้มันให้เกิดผลทางวิปัสสนา ถ้าหนอเฉย ๆ เข้าหนอ ออกหนอ ยุบหนอ พองหนอ เป็นผลเพียงสมถะ มันเป็นแต่เพียงปิดกั้นการเกิดแห่งตัวกูของกู แต่ถ้าเราหนอ หนอชนิดที่ว่ามันไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นเพียงกิริยาตามธรรมชาติเท่านั้น หนออย่างนี้มันทำลาย มันทำลายตัวกูของกูให้หมดไป ไม่ใช่เพียงแต่ปิดกั้นไม่ให้เกิด มันทำลายแหลกลาญไปเลย ตัวกูของกูมันแหลกลาญไปเลย นี้เราหนออย่างวิธีวิปัสสนา มันทำลายตัวกู ถ้าหนออย่างสมถะมันเป็นเพียงปิดไว้ไม่ให้เกิด มันแตกต่างกันมาก ท่านผู้ใดชอบกรรมฐานแบบหนอ ๆ และทำอยู่ขอให้ไปชำระสะสางเสียให้ถูกต้อง กลัวว่าท่านจะไม่ได้เข้าใจมันอย่างถูกต้อง ทำให้ตายก็ไม่มีประโยชน์อะไร หนอจนตายก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์ทั้งทางสมาธิและทั้งทางสมถะ
เดี๋ยวนี้กลัวว่าจะทำไปเหมือนกับนกแก้วนกขุนทอง คือเหมือนกับหุ่นที่เขาชักใย มันไม่สามารถจะเกิดผลอะไรขึ้นมาได้ หนอจนตายก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ปิดกั้นการเกิดแห่งตัวกู ไม่ทำลายเสียซึ่งตัวกูของกูให้หมดเหตุหมดปัจจัย แล้วบางทีอาจารย์สอนวิปัสสนานั้นเอง มันมีตัวกูของกูจัด เป็นอาการที่ยกหูชูหาง จะหาลูกศิษย์กันมาก ๆ จะเป็นอาจารย์ที่หรูหรา มีลูกศิษย์ชั้นสูง มีลูกศิษย์เป็นฝรั่งมังค่า มีอะไรไปทำนองนั้น อย่างนี้ก็ป่วยการ ถ้าอาจารย์มันเป็นเสียเองอย่างนี้แล้วผลมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กรรมฐานหนอนั้นวิเศษที่สุด ใช้ในทางสมถะ ไม่พิจารณาก็ปิดกั้นการเกิดแห่งตัวกู ถ้าพิจารณาในทางแห่งวิปัสสนา มันทำลายเหตุปัจจัยของตัวกูของกู ทำไป ๆ ไม่เท่าไรมันจะทำลายอวิชชา และก็ทำลายตัณหา แล้วเวลาหมด เวลาไม่มี ทำลายตัณหาเสียได้ นี่โดยวิธีนี้เราสามารถที่จะกำจัดเหตุปัจจัยแห่งเวลา ทำให้จิตใจของเราตั้งอยู่ในธรรมะที่ถูกต้อง ที่มันจะเกิดตัณหาไม่ได้ เวลามันก็ไม่มี ปีใหม่ของเราก็ดี ปีใหม่ของเราก็สะอาด ปีใหม่ของเราก็สงบเย็นกว่าปีเก่า นี่เรียกว่าเราทำปีใหม่ให้ดีกว่าปีเก่า โดยอาศัยหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วปีใหม่ของเราจะดีกว่าปีเก่าโดยแท้จริงยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี้เป็นเรื่องทำอย่างดี อย่างสุดฝีไม้ลายมือ อย่างชั้นสูง อย่างมีธรรมะ
ทีนี้ไม่อยากให้มองข้าม ก็ลดลงมาต่ำสุดเลย โครมเดียวถึงดินต่ำสุดเลยว่า เราอย่ามองข้ามขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมเก่าแก่บรมโบราณของเรา ถ้าเราประพฤติรักษาขนบธรรมเนียมเก่าแก่บรมโบราณของเราแล้ว เราก็จะได้รับผลคล้าย ๆ กันแหละ ขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ ๆ นั่นน่ะมันเป็นเครื่องควบคุมกิเลสตัณหาทั้งนั้นแหละ ประเพณีปีใหม่มีอยู่อย่างไร ประเพณีเก่าแก่คร่ำครึมีอยู่อย่างไร ขอให้ลองปฏิบัติดูเถอะ มันจะช่วยป้องกัน กำจัด บั่นทอน บรรเทากิเลสตัณหาได้ทั้งนั้นแหละ เพราะว่ามันทำลายความเห็นแก่ตัว เราอย่าดูถูกประเพณีบรมโบราณที่ปู่ย่าตายายเขาเคยทำ ๆ กันมาว่า ปีใหม่นี่เขาทำอะไรกันบ้าง ทุกอย่างจะเป็นไปเพื่อบั่นทอนตัวกูของกู ความเห็นแก่ตัวกูของกู ไม่มีกิเลสตัณหา แล้วเวลามันก็ไม่เกิดขึ้นเป็นยักษ์เป็นมารสำหรับจะกัดกินเรา อยากจะเล่าให้ฟังสักหน่อยนะ เพราะว่าเผอิญเมื่อวานนี้มันไปอ่านหนังสือแผนกโฆษณาของประเทศญี่ปุ่น ประเทศญี่ปุ่นเขาโฆษณาทางวิทยุว่าประเพณีปีใหม่ของเขาน่ะเป็นอย่างไร แล้วเขาคุย คุยชนิดที่ท้าทายแหละว่า ประเทศญี่ปุ่นก้าวหน้ามากเหมือนฝรั่ง ก้าวหน้าทันตะวันตกทุกอย่างทุกประการ แต่แล้วญี่ปุ่นก็ยังรักษาประเพณีเก่าแก่บรมโบราณไว้ได้เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเพณีขึ้นปีใหม่ ชาวญี่ปุ่นเขายังทำอย่างที่เขาเคยทำกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ เขาไม่เป็นทาสปัญญาของพวกฝรั่ง เขาไม่เป็นทาสวัฒนธรรมของพวกฝรั่งเหมือนคนไทย คนไทยนี้เปลี่ยนเร็วมาก ไปเป็นขี้ข้าทางสติปัญญาของพวกฝรั่ง โดยทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ของตัว แต่ญี่ปุ่นเขาไม่เอา ไอ้ส่วนที่เขาจะเป็นฝรั่งเป็นสมัยใหม่เขาก็เอาที่มันไม่เป็นโทษ แต่สิ่งใดที่มันยังมีประโยชน์เขายังรักษาไว้
ขอโอกาสให้อาตมาเล่าให้ฟังสัก ๒ - ๓ เรื่อง ๒ - ๓ นาที เช่นว่า ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ที่ยังปฏิบัติอยู่จนทุกวันนี้ ทุกวันที่โฆษณาทางวิทยุ เขายังเห็นว่าประเพณีขึ้นปีใหม่นี้สำคัญ ครึ่งหลังของเดือนธันวาคมเขาเตรียมทุกอย่างเพื่อการขึ้นปีใหม่ เช่นว่า ทำงานไม่ให้ค้างปี มันธันวาคมจะสิ้นอยู่แล้ว ครึ่งหลังนี้ต้องทำงานทุกอย่างให้เสร็จ ไม่ให้ค้างปี นี่ก็ชนะเวลาเหมือนกัน แล้วก็ที่ต้องซื้อของสำหรับขึ้นปีใหม่ตามประเพณีโบราณก็ต้องไปเที่ยวซื้อเที่ยวหา จะได้จิตใจที่มันไม่เป็นทาสของตัณหา คนญี่ปุ่นนี่ส่งการ์ดความสุขปีใหม่มาตั้งแต่ก่อนฝรั่งเข้าไปเกี่ยวข้อง ไอ้ไทยเรานี่เพิ่งรู้จักประเพณีส่งการ์ดของความสุขเมื่อเกี่ยวข้องกับฝรั่ง นี่ตามก้นฝรั่ง เป็นขี้ข้าทางวัฒนธรรมฝรั่ง แต่ว่าญี่ปุ่นนี้เขามีประเพณีส่งการ์ดความสุขมาตั้งแต่ก่อนฝรั่งเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาคุยได้อย่างนั้น วันนั้นเขาต้องเตรียมทุกอย่างแหละ เตรียมบ้านเรือนให้สะอาด เตรียมเสื้อผ้าที่สวยงามที่สุดที่จะนุ่งห่มในวันปีใหม่ ก็ทำด้วยจิตใจชนิดที่ปกติ ตามขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ใช่ว่าไปเห่อ พอถึงวันก็จะได้เป็นปีใหม่ เพราะวันขึ้นปีใหม่มันจะได้กินอยู่นุ่งห่มอะไรอย่างใหม่ บ้านเรือนสะอาดใหม่ และขนบธรรมเนียมที่ว่าจะต้องกินเส้นหมี่ชนิดหนึ่ง ทำจากข้าวสาลีชนิดพิเศษ มันเรียกว่าโตชิโกชิโซบะ เป็นเส้นหมี่ชนิดพิเศษชนิดหนึ่งซึ่งต้องกินกันทุกบ้านทุกเรือนในโอกาสขึ้นปีใหม่ เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ไว้ว่าถ้ากินเส้นหมี่ชนิดนี้แล้วมันจะเยือกเย็นเป็นสุขตลอดปีปีใหม่ เขาก็ทำชนิดที่ให้ดีที่สุดตามขนบธรรมเนียมประเพณี มีชั่วโมงที่ว่าจะประชุมนักร้อง นักรำ มาร้องรำกันเป็นการใหญ่อย่างของระดับประเทศน่ะ เป็นเวลาพอสมควร ดูเขาเขียนไว้ว่า ๓ ชั่วโมง เสร็จแล้ว ทุกคนจะนั่งฟังระฆังที่ดังขึ้นมาที่วัด ๑๐๘ ครั้ง จะตีระฆังใหญ่มหึมาที่วัดนั่นแหละด้วยท่อนซุง ระฆังหลายโอบนั้น ตีดังบึม ๆ ๑๐๘ ครั้ง เพราะเขาเชื่อว่าไอ้กิเลสมารร้ายนั้นมันมีอยู่ ๑๐๘ ชนิด ข้อนี้มันตรงกับพระบาลีที่ว่า ตัณหามี ๑๐๘ ชนิด เขาก็จะตีระฆัง ๑๐๘ ชนิด ทุกคนจะนั่งยังไม่กลับบ้าน ถ้านั่งอยู่ที่สถานรื่นเริงนั้นก็จะนั่งทนฟังระฆัง ๑๐๘ ครั้งนี้ด้วยสมาธิ ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ก็คิดว่าระฆังครั้งหนึ่งกิเลสหลุดไปตัวหนึ่ง ระฆังครั้งหนึ่งกิเลสหลุดไปตัวหนึ่ง จนหมดทั้ง ๑๐๘ ครั้ง แล้วมันนั่งทำสมาธิตลอดเวลาที่ระฆังตี ๑๐๘ ครั้ง มันไม่บ้ามากถึงจะไปกินเหล้าเมายา มานั่งทำสมาธิด้วยเสียงระฆัง ๑๐๘ ครั้ง ที่นี่ยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเก่า ๆ ตามลัทธิที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาเอาไว้ได้ ศาสนาเก่าของเขา
ในวันนั้นน่ะ ค่ำวันนั้นน่ะ คนหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านจะไปหาพระที่วัดที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้พระเขาเสกให้ สวมหน้ากากเหมือนกับยักษ์ ยักษ์ชนิดเทพารักษ์ คนหนุ่มเหล่านั้นสวมหน้ากากยักษ์ไปที่วัด พระเสกให้ แล้วก็แยกย้ายกันไปตามหมู่บ้านทุกประตู ยักษ์นี้จะส่งเสียงคำรามอย่างน่ากลัวว่า บ้านนี้มีเด็กเกเรไม่เชื่อฟังพ่อแม่ไหม ยักษ์เขาก็ร้องตะโกนเป็นเสียงยักษ์อย่างนั้น บ้านนี้มีหญิงแม่บ้านโลเล ไม่เอาถ่านในการงานในครอบครัวไหม ยักษ์จะเที่ยวถามอย่างนี้ทุกบ้านทุกประตูเรือน เจ้าของบ้านก็จะตอบด้วยเสียงอ่อนหวานที่สุดว่า ไม่มีค่า ไม่มีค่ะ แล้วก็เอาของมาเลี้ยงยักษ์กินบ้างดื่มบ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสมควร แล้วยักษ์ก็ไปบ้านอื่นต่อไปอีกจนตลอดคืน บ้านนี้มีเด็กเกเรไม่เชื่อฟังพ่อแม่ไหม ยักษ์มันถามอย่างน่ากลัว คิดดูสิ เด็กมันจะเป็นยังไง เด็กนั่นน่ะ นี่เขาจะชำระปีใหม่กันในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า มีกองไฟพิเศษจัดขึ้นที่วัด เอาหญ้าศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งมาใส่ไฟ ให้ไฟลุกเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ เป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านเขาก็จะต้องต่อไฟศักดิ์สิทธิ์ คือ เอาฟางมาฟ่อนเป็นเชือกยาวเป็นชุด แล้วก็ไปจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ต่อจากไฟกองนั้น แล้วก็ถือกลับบ้าน ทุกคนถือชุดไฟจากไฟศักดิ์สิทธิ์กลับไปบ้าน ก็สวยงามมาก เต็มถนน ก็ไปถึงบ้านแล้วก็เอาไฟศักดิ์สิทธิ์นี้ไปจุดที่เตา หุงข้าว ต้มแกง หุงข้าว ต้มแกงปีใหม่ ด้วยไฟศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่าไอ้เสนียดจัญไรทั้งหลายมันจะหมดไป สวัสดีมงคลมันจะเกิดขึ้น นี่มีไฟศักดิ์สิทธิ์สำหรับปีใหม่ สวยงามในขบวนแห่ เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่เดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่ประณามว่างมงาย ไม่ประณามว่าเป็นประเพณีที่งมงาย เพราะมันเป็นประเพณีที่ดีที่ชำระรากฐานแห่งจิตใจให้เด็ก ๆ ดี ไอ้คนหนุ่มที่มันกล้าทนลำบากเที่ยวไต่ถาม เที่ยวแต่งตัวเป็นยักษ์ เที่ยวไต่ถามทุกบ้านทุกเรือน มันก็เสียสละมากนะ แล้วบางแห่งเต็มไปด้วยพายุฝน พายุหิมะ พายุหิมะมันก็ยังทนไป มันเสียสละเข้มแข็งขนาดนี้ นี่การขึ้นปีใหม่อย่างขนบธรรมเนียมประเพณีที่ญี่ปุ่นยังรักษาไว้ได้น่าสนใจ มันเก่าแก่โบราณมาก ทีนี้ถ้าเราจะเปลี่ยนเป็นไปโรงแรม ไป Hotel ไปเต้นดิสโก้ ไปอะไรก็ตามเถอะที่ตามก้นฝรั่ง มันจะมีผลต่างกันอย่างไร ขอให้คิดดู
สรุปความว่า ไอ้การที่จะให้เวลาปีใหม่ดีกว่าปีเก่านั้น ขอให้ช่วยกันกระทำทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายธรรมะอันมีเหตุผลเป็นสันทิฏฐิโกก็ทำ และทำไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่บรมโบราณเคยทำกันมา จนเดี๋ยวนี้เห็นว่าครึคระงมงายก็ทำ (ชั่วโมงที่ 1:50:20 - ชั่วโมงที่ 1:50:35 เสียงขาดหาย) ทั้งโดยทางจิตใจ ทั้งโดยทางวัตถุ ทุก ๆ อย่างที่เราจะทำได้เพื่อจะให้เด็ก ๆ ของเรามีรากฐานที่ดี โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เอาชนะกิเลสของตัวเองได้ บังคับตัวเองได้ ขอฝากไว้ว่า อย่าเพิ่งไปเลิกร้างขนบธรรมเนียมประเพณีบรมโบราณเสียเลย อย่าไปหลงเอกลักษณ์ไทยสมัยใหม่เลย เอกลักษณ์ไทยสมัยโบราณมันเคยช่วยมามากแล้ว ช่วยนึกถึงกันบ้าง ไอ้ปีใหม่มันก็จะน่าดู
เอาล่ะมันก็พอล่ะนะ สำหรับไอ้เรื่องปีใหม่นี่ เวลาคืออะไร คือสิ่งที่กัดกินสัตว์ เวลามาจากไหน มาจากความโง่ของไอ้หมอนั่นเอง เวลานี้เพื่ออะไร เพื่อให้เราเอาชนะมันได้ จะได้มีชีวิตเย็น มีสวรรค์เย็น ตลอดทุก ๆ อิริยาบถ ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก ทุกวันทุกเดือนทุกปี เพื่ออย่างนั้นน่ะ เพื่อเอาชนะให้ได้ แล้วก็โดยวิธีใด ก็โดยวิธีที่ทำให้ถูกกับเรื่องที่จะฆ่าตัณหา ฆ่าอวิชชา ให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มีผัสสะ มีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีผัสสะแล้ว ต้องฉลาดให้ทันเวลา มิฉะนั้นจะโง่ จะเกิดตัณหาอย่างโง่ แล้วเวลาจะเป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมากัดกินผู้นั้นทันทีโดยวิธีนี้ นี้เรียกว่าเวลาปีใหม่ ที่มันใหม่ ดี มีประโยชน์กว่าปีเก่า ขอให้สนใจ ให้ไปจัดการเกี่ยวกับเรื่องเวลาปีใหม่ให้สำเร็จประโยชน์ เราก็เป็นพุทธบริษัทด้วย เป็นพุทธบริษัทด้วย แล้วถ้าโง่ แล้วมันจะเป็นพุทธบริษัทได้อย่างไร ถ้าไม่เอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้แล้วจะเป็นพุทธบริษัทกันอย่างไร พุทธบริษัท แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้ คือ รู้ตามที่เป็นจริง ตื่น คือ ไม่หลับ เบิกบานก็เป็นสุข สำราญร่าเริงด้วยธรรมะ เพราะพอใจว่ามีธรรมะ ไม่ใช่ร่าเริงด้วยโง่เขลาด้วยกิเลส แต่ร่าเริงด้วยธรรมปีติ มีปีติในทางธรรม เกิดขึ้นแล้วจากการมีธรรมะ
เราก็นึกถึงเวลากันอีกหน่อยได้ไหมว่า ปัญหาเฉพาะหน้ามันมีมันมีอย่างไร ปัญหาเฉพาะหน้าในเวลายืดยาวนี่มันมีอยู่อย่างไรบ้าง อาตมาขอให้ช่วยพิจารณากันสักหน่อย ใช้คำที่ค่อนข้างสำนวนสักหน่อยนะว่าอย่างนั้นว่า พระโลกนาถ พระโลกนายก ได้เกิดขึ้นนำโลกมาเป็นเวลา ๒๕ ศตวรรษแล้ว โลกก็ยังเดินไม่ถูกทิศทางอยู่นั่นเอง พระโลกนายก นายก แปลว่า ผู้นำ โลกนายก ผู้นำโลก คือ พระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นมาในโลกเป็นเวลา ๒๕ ศตวรรษแล้ว คือ ๒,๕๐๐ ปี แล้ว เดี๋ยวนี้โลกก็ยังเดินไม่ถูกทางอยู่นั่นเอง พระพุทธเจ้าผู้นำโลกเกิดขึ้นนำโลกมา ๒๕ ศตวรรษแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็สืบต่อ ๆ กันมา ๒๕ ศตวรรษแล้ว ไอ้โลกนี้ก็ยังเดินไม่ถูกทางอยู่นั่นเอง ไม่ใช่พวกเราเหรอที่มันเดินไม่ถูกทางอยู่นั่นเอง มันไม่ใช่พวกเราหรือที่มันไปโง่ข้างนั้นที โง่ข้างนี้ที เหวี่ยงทางนั้นที เหวี่ยงทางนี้ที ไม่เดินถูกทาง นี่คือปัญหา ขอให้จำไว้สั้น ๆ ว่า พระโลกนายกเกิดขึ้นมา ๒๕ ศตวรรษแล้ว โลกก็ยังเดินไม่ถูกทางอยู่นั่นเอง
นี่ข้อที่ ๒ ปัญหาที่ ๒ ว่า พระเมศร์บาล พระเมศร์บาล (ชั่วโมงที่ 1:55:30) เกิดขึ้นมาในโลก ๒๐ ศตวรรษแล้ว ลูกแกะอนาถาก็ยังเพ่นพ่านอยู่ในโลก พระเยซูท่านเรียกพระองค์เองว่า เมศร์บาล (ชั่วโมงที่ 1:55:50) แปลว่า คนเลี้ยงแกะ พระเยซูประกาศเกียรติยศอันสูงสุดของท่านว่าเป็นเมศร์บาล (ชั่วโมงที่ 1:55:58) คือ คนเลี้ยงแกะ เมศร์บาล (ชั่วโมงที่ 1:56:01) เยซูนี่เกิดขึ้นมาในโลก ๒๐ ศตวรรษแล้วนะ ๒,๐๐๐ ปีนี่ เดี๋ยวนี้อันลูกแกะอนาถาไม่มีใครเลี้ยงดูก็ยังเพ่นพ่านอยู่ในโลก ในโลกยังเพ่นพ่านอยู่ด้วยลูกแกะที่ไม่มีใครเลี้ยง คือมนุษย์ที่ไม่มีธรรมะ มันไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ยังเพ่นพ่านอยู่ในโลก ทั้งที่พระเมศร์บาล (ชั่วโมงที่ 1:56:28) ได้เกิดขึ้นมา ๒๐ ศตวรรษแล้ว
นี่ปัญหาที่ ๓ นะ พระผู้ปราบรูปเคารพเกิดมา ๑๕ ศตวรรษแล้ว รูปเคารพก็ยังรกโลกอยู่นั่นเอง นี่พระโมฮัมหมัด พระโมฮัมหมัดตั้งตนเป็นผู้ปราบความงมงาย ทำลายรูปเคารพลงทุกโบสถ์ ทุกวิหารที่มีอยู่ในบ้านในเมือง ไม่ให้มีรูปเคารพเหลืออยู่ นี่หน้าที่ของพระโมฮัมหมัด พระผู้ปราบรูปเคารพให้หมดไปจากโลกเกิดขึ้นเมื่อ ๑๕ ศตวรรษมาแล้วคือ ๑,๕๐๐ ปีแล้ว เดี๋ยวนี้รูปเคารพมันก็ยังรกอยู่ในโลก รูปเคารพที่นับถืออย่างรูปเจว็ด (ชั่วโมงที่ 1:57:25) รูปเคารพอ้อนวอนให้ช่วย โดยไม่ต้องมีเหตุผลอะไร มันก็ยังรกอยู่ในโลกนี้ อาจจะมากขึ้นด้วย อย่าออกชื่อเลยที่ไหน นี่คือปัญหา นี่คือปัญหา เผชิญหน้าพวกเราอยู่ พระโลกนายก คือ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นตั้ง ๒๕ ศตวรรษแล้ว โลกก็ยังเดินไม่ถูกทาง พระเมศร์บาล (ชั่วโมงที่ 1:57:49) เกิดขึ้นมาในโลก ๒๐ ศตวรรษแล้ว ลูกแกะไม่มีใครเลี้ยง คือมนุษย์โง่เขลายังเต็มอยู่ทั้งโลก ผู้ปราบรูปเคารพเกิดขึ้นมา ๑๕ ศตวรรษแล้ว ๑,๕๐๐ ปี แล้ว มันก็ยังมีรูปเคารพให้รกโลกอยู่นั่นเอง นี้แสดงว่ามันไม่ได้ลืมหูลืมตา มันไม่ได้ก้าวหน้าไปแต่ละปี ๆ มันไม่ได้เกิดความถูกต้องของปีใหม่ ปัญหาคาราคาซังอยู่อย่างนี้
พูดอีกหน่อยได้ไหม หรือง่วงนอนแล้ว ถึงจะพูดถึงเรื่องส่งบัตรส.ค.ส. กันบ้าง มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปีใหม่เหมือนกัน ส่งบัตรส.ค.ส. นี่ปีหนึ่งกี่ตัน ค่าบัตรที่พิมพ์เพื่อส่งส.ค.ส.กัน มันก็ต้องเป็นตัน ๆ เป็นเงินล้าน ๆ บาทเหมือนกัน บัตรส.ค.ส. ถ้าทั้งโลก ๆ ส่งบัตรส.ค.ส.กันเป็นเงินไม่รู้กี่ล้าน ๆ บาทน่ะแล้วมันมีอะไร มันได้ผลอะไรเกิดขึ้น ส่งบัตรส.ค.ส.กันปีละร้อยล้านตัน ตันกระดาษ แล้วความสุขอะไรมันเกิดขึ้น มันเลวลงหรือเปล่า วิกฤตการณ์มันเลวลงหรือเปล่า ลองคิดดู นี่มายิ่งนิยมบัตรส่งส.ค.ส. กันแม้แต่ชาวไร่ชาวนาแล้วนะ ส่งกันกี่ล้านตันต่อปี แล้วความสุขอะไรเกิดขึ้น ช่วยเอามาดูที เพราะส่งบัตรส.ค.ส. อาตมาอยากจะขอเสนอสักอย่างว่า เอาค.ส. เอาความสุขที่ไม่ต้องส่งบัตรกันเอาไหม ความสุขชนิดที่ไม่ต้องส่งบัตรกันจะเอาหรือไม่ ถ้าเอาก็พิจารณากันดู คือ ต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา
แม้แต่ในเรื่องของการเมือง ไอ้การเมืองนี่มันมีเพื่อทำให้โลกสงบสุข ถ้ามันถูกต้องตามอุดมคติแล้ว ไม่คดโกงกันแล้วล่ะ โลกนี้มันก็มีความสงบสุขเพราะสิ่งที่เรียกว่าการเมือง เพราะคำว่าการเมืองมีความหมายว่า ทำคนจำนวนมากในโลกให้อยู่กันด้วยความผาสุกโดยไม่ต้องใช้ศาตราอาวุธ เดี๋ยวนี้มันใช้ศาตราอาวุธก็ยังไม่มีความสงบสุข เพราะมันไม่มีการเมืองที่ถูกต้อง ไม่เป็นการเมืองที่ถูกต้อง ใครจะมาช่วยทำการเมืองให้ถูกต้อง มันก็พวกเรานี้แหละ พวกประชาชนทั้งหลายนี่ เดี๋ยวนี้มันมีความบกพร่องอะไรบ้างที่มันไม่เกิดสันติสุข สันติภาพใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกปี ๆ เรามามองเห็นว่า ไอ้รัฐบาลนี่มักจะลืมไปว่าประเทศชาติเป็นของประชาชน รัฐบาลนี่มักจะเผลอไปว่าประเทศชาติเป็นของตนอยู่บ่อย ๆ รัฐบาลลืมไปว่าประเทศชาติเป็นของประชาชน แต่เผลอไปคิดว่าเป็นของตน ประเทศชาติเป็นของรัฐบาลอยู่บ่อย ๆ แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น
ทีนี้พวกผู้แทนราษฎร มันก็ลืมไปว่าประเทศชาติเป็นของประชาชน มันเผลอ ๆ จะเรียกว่า มันไม่เจตนาก็ได้ มันเผลอ เผลอไปว่าประเทศชาติเป็นของพรรคของกู กูมีพรรคอะไร พรรคการเมืองนะ ประเทศชาตินั้นมันเป็นของพรรคของกู ไม่ใช่ของประชาชน ผู้แทนราษฎรมันก็จัดให้บ้านเมืองไปในฐานะเป็นของพรรคของกู ทีนี้ประชาชนเอง ราษฎรเอง พอถูกขอร้องให้ช่วยเหลือประเทศชาติบ้าง มันก็ลืมไปว่าประเทศชาติเป็นของตน ประชาชนก็ลืมไปว่าประเทศชาติเป็นของตน โดยเฉพาะเมื่อถูกขอร้องให้ช่วยเหลือประเทศชาติ ให้ช่วยประเทศชาติน่ะ มันเป็นเสียอย่างนี้ ทุกคนเสียดายภาษีที่เสียไปแล้ว เสียดายภาษีอย่างยิ่งเลยไม่ทำอะไร อะไร ๆ ก็เกี่ยงแต่ที่จะให้รัฐบาลใช้ภาษีที่เราเสียไป ทำอะไรให้หมดทุกอย่าง เราเสียดายภาษีของเราจนเราไม่ยอมทำอะไร จะเกี่ยงให้รัฐบาลผู้เก็บเอาภาษีไปทำอะไรเองทุกอย่างให้เรา ไอ้คำว่าเพื่อประเทศชาติน่ะ มันไม่ค่อยมีความหมาย ราษฎรยังไม่ยอมรับคำว่า เพื่อประเทศชาติ เว้นไว้แต่ว่ามันมีประโยชน์ของตนรวมอยู่ในคำนั้นด้วย ถ้าประโยชน์ของตนรวมอยู่ในคำว่าเพื่อประเทศชาติ แล้วราษฎรจึงจะยินดีต่อคำว่า นี้ทำเพื่อประเทศชาติ นี้คือมันไม่จริง มันไม่จริงอย่างนี้
เขาเหล่านั้นไม่รู้ว่า ความรักผู้อื่นมันสำคัญมาก ไอ้ความรักผู้อื่นนั้นมันต้องแบ่งออกไปจากความรักตัว เรามีความรักตัว เราต้องแบ่งออกไปให้เป็นความรักผู้อื่น ความรักผู้อื่นน่ะมันต้องแบ่งออกไปจากความรักตัว ถ้ามิฉะนั้นแล้วไม่รู้มันจะเอามาจากไหน คุณจะไปหามาจากไหน ไอ้ความรักผู้อื่น ถ้าไม่แบ่งออกไปจากความรักตัว ความเห็นแก่ผู้อื่นนะมันต้องแบ่งไปจากความเห็นแก่ตัว เรามีความเห็นแก่ตัวมากเท่าไหร่เราต้องแบ่งออกไปให้เป็นความรักผู้อื่น ความรักผู้อื่น ความเห็นแก่ผู้อื่น มันต้องแบ่งออกไปจากความเห็นแก่ตัว ถ้ามิฉะนั้นมันไม่รู้ว่าจะเอามาจากไหน จะไปหามาจากไหน ถ้ามันไม่แบ่งออกไปจากความรักตัวหรือความเห็นแก่ตัว ตนของตนอยู่ในตน ก็ไม่รู้จักเสียแล้ว จะไปรู้จักผู้อื่นได้อย่างไรกัน นั้นจะต้องรู้จักตนของตนกันเสียก่อน แล้วก็จะรู้จักผู้อื่นของผู้อื่น แล้วก็รู้จักหมดทั้งตนของตน และผู้อื่นของผู้อื่น แล้วก็อยู่กันได้ด้วยความรักสามัคคีกลมเกลียวกัน ความสุขปีใหม่ก็ออกมาเองโดยไม่ต้องส่งบัตร ส.ค.ส. ขอให้แก้ปัญหาเหล่านี้ให้ลุล่วงไปให้ข้อบกพร่องเหล่านี้ลุล่วงไป ความสุขปีใหม่ก็จะเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ต้องส่งบัตร ส.ค.ส.
นี่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกันอยู่ความสุขปีใหม่กันอย่างนี้ จึงขอเอามาพูดด้วย มันยืดยาวมากจนท่านทั้งหลายจะรำคาญแล้วก็ได้ อาตมาก็จะต้องหยุดพูด พูดมากเกินไปท่านทั้งหลายก็จะรำคาญ แต่ขอสรุปใจความสั้น ๆ ทั้งหมดอีกครั้งหนึ่งว่า ความสุขปีใหม่นั้นมี ๒ แบบ ความสุขปีใหม่ของคนโง่แบบนั้นจะจมลึกลงไปในโลก จมลึกลงไปในกามารมณ์ จมลึกลงไปในกิเลส มันก็สนุกตามแบบนั้นสนุกที่สุด สนุกตามแบบนั้นแหละ ความสุขแบบนั้น นี้ความสุขแบบหนึ่งจะโผล่ ๆ ๆ เสีย ขึ้นมาเสียจากกามารมณ์ จากกิเลส จากโลกนี่ ความสุขแบบนี้โผล่ขึ้นมาจากโลก ความสุขแบบแรกจมลงไปในโลก มันเป็นของปุถุชนคนโง่ ความสุขแบบหลังโผล่ขึ้นมาเสียขึ้นจากโลกเป็นความสุขของสัตบุรุษ ของพระอริยเจ้า มันต่างกันอยู่อย่างคนละทิศคนละทาง นี่เรามันทำผิดเกี่ยวกับเวลา ไม่รู้ว่าเวลานั่นนะมันเป็นยักษ์ร้ายมารร้าย มันเกิดมาจากตัณหา ความอยาก ความต้องการที่เกิดมาจากความโง่ ถ้าเราจะฆ่ามันเสียให้ตาย ยักษ์ร้ายมารร้ายเหล่านี้ก็จะมีแต่ความถูกต้อง ความสุขปีใหม่ก็จะมีแต่ในทางที่จะให้โผล่ขึ้นมาเสียจากกองกิเลสและความทุกข์
เราจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวลา ๆ นี่ให้ดี อย่าให้มันเป็นยักษ์ร้าย มารร้ายกัดกินเราอีกต่อไป อย่าโง่หลงพูดตามคนบางคนว่าเวลาเป็นสิ่งที่ไม่มี เวลามีแต่ชื่อ นั้นมันไม่รู้ สิ่งที่เรียกว่าเวลาไม่ได้เป็นลม ๆ แล้ง ๆ มีแต่ชื่อ มันกัดกิน ๆ กัดกินทางร่างกายตามกฎของอิทัปปัจจยตาด้านร่างกาย กัดกินจิตใจ ตามกฎของอิทัปปัจจยตาด้านจิตใจ เวลามันกัดกิน หมายความว่าเมื่อมันอยากแล้ว มันไม่ได้ตามอยาก ยังไม่ได้ตามอยาก มันก็กัด ๆ ๆ ถึงได้ตามอยากแล้ว มันก็ยังอยากต่อไป มันก็ยังกัด ๆ ๆ ถ้าไม่ได้ตามอยากเรื่อย ๆ ไป มันก็ยิ่งกัดใหญ่ เวลามันกัดกินสรรพสัตว์พร้อมตัวมันเอง ผู้ใดฆ่าตัณหาเสียได้ ผู้นั้นกัดกินเวลา นี่พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนี้ เราก็จัดการกับเวลาเสียให้ถูกต้องว่าเวลานี่คือสิ่งที่กัดกินสัตว์ คือให้ความทุกข์ เวลานี้เกิดมาจากความโง่ คืออวิชชา เวลานี้ถ้าเราจัดถูกต้อง ควบคุมมันได้ อย่าให้มันมาเป็นพิษร้ายผลร้าย แล้วเราจะได้ประสบชีวิตเยือกเย็น เรียกว่าชีวิตเยือกเย็น สวรรค์เยือกเย็น ตลอดชีวิตทุกครั้งที่หายใจเข้าออกทุก ๆ อิริยาบถ ทั้งวันทั้งคืน ทั้งเดือนทั้งปี ชีวิตเย็นเป็นนิพพาน ถ้าเราฆ่าเวลาเสียได้ อยู่เหนืออำนาจของเวลา
ทีนี้เราจะทำได้โดยวิธีใด ศึกษาหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาโดยวิธีที่จะควบคุมกิเลส ปิดไม่ให้เกิดตัวกูของกูทั้งวันนี่ก็ได้ หรือว่าฆ่าทำลาย ตัวกู ของกูให้ไม่มีเหลืออยู่ทั้งวันก็ได้ ตลอดเวลาก็ได้ โดยมีกรรมฐานที่ว่าสักว่าเท่านั้นหนอ ไม่มีสัตว์บุคคลอะไร ที่จะเป็นผู้ทำอะไรอยู่ มีแต่สักว่ากิริยาอาการตามธรรมชาติเท่านั้นหนอ คำว่าหนอนี่หมายความว่า รู้ชัดเจนจนหัวเราะเยาะ หัวเราะเยาะสิ่งนั้น ความหมายคำว่า หนอ เขาเรียกมีวิธีชนะเวลา แล้วมองดูด้วยความไม่ประมาณเห็นว่า มันเสียเวลามามากนักแล้ว เป็นความประมาทของเรานี่ พระพุทธเจ้าเกิดมาในโลกตั้ง ๒๕ ศตวรรษแล้ว โลกก็ยังเดินไม่ถูกทาง พระเมศร์บาล (ชั่วโมงที่ 2:10:30) ผู้เลี้ยงแกะ เกิดมาในโลกตั้ง ๒๐ ศตวรรษแล้วก็ยังมีลูกแกะที่ไม่มีใครเลี้ยงอยู่ทั่ว ๆ โลก พระผู้ปราบรูปเคารพเกิดมาในโลกนี้ตั้ง ๑๕ ศตวรรษแล้ว คือ ๑๕๐๐ ปีแล้ว ไอ้รูปเคารพก็ยังรกเกลื่อนอยู่ในโลก นี่น่าเวทนา น่าเศร้า ที่ว่าเวลามันช่างล่วงมา ล่วงมาอย่างที่ไม่มีความถูกต้องเสียเลย ขอให้เราช่วยกันปรับปรุงให้ปีใหม่นี่ มันดำเนินไปถูกต้อง อะไรที่อยู่ในวิสัยที่เราจะช่วยแก้ไขกันได้ในทางศาสนา ในทางวัฒนธรรมประเพณีบรมโบราณ หรือแม้แต่เป็นเรื่องทางการเมือง ก็ช่วยกันทำให้ถูกต้อง แล้วความสุขปีใหม่ก็จะไหลมาเองโดยไม่ต้องมีการส่งบัตรส.ค.ส.
ขอยุติการบรรยายที่สมควรแก่เวลา สมควรแก่เวลา คือไม่ให้เวลาทรมานหัวใจเรา เราเป็นอิสระ ไม่บกพร่องตรงไหนที่ให้เวลามันทำร้ายเรา จึงขอยุติการบรรยายนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ และขอแสดงความหวังเป็นข้อสุดท้ายว่า ท่านทั้งหลายจงทำให้ได้รับประโยชน์จากการมาสวนโมกข์ในวันปีใหม่เช่นนี้ ให้ได้รับประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องนี้สำหรับตน กลับไปทุกคน ๆ อย่าให้ยมบาลเขารังแกเอาได้ ความเป็นพุทธบริษัทของเราจะถูกต้อง ไม่มีความบกพร่องแต่ประการใด แล้วก็จะได้มีความสุขที่แท้จริง เยือกเย็นแท้จริงอยู่ทุกทิพาราตรีเป็นแน่นอน ขอยุติการบรรยายเรื่องปีใหม่ไว้แต่เพียงเท่านี้