แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องที่เอามาพูดกันวันอาทิตย์ พยายามให้มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะพบ หาพบ หรือหาอ่านได้จากหนังสือที่มีๆอยู่ หรือ เอ่อ, ไม่ใช่ใน ในรูปแบบที่เราพูดกัน เป็นรูปแบบหนึ่งซึ่งจะพิมพ์เป็นหนังสือหนังหาขึ้นมา เรียกว่าเรื่องนอก นอกรูปแบบ ผมคิดว่าจะพูดเรื่องประโยชน์ของธรรมะ นี่ผู้ที่ได้ฟังก็จะคิดว่ามันก็เรื่องที่พูดๆกันอยู่ทุกวันนั่นแหละ พูดเรื่องประโยชน์ของธรรมะ อานิสงส์ของธรรมะ มันก็คือเรื่องที่พูดกันอยู่ทุกวันอย่างนี้ก็ได้ ถูกแล้วไอ้เรื่องนี้มันพูดกันอยู่ทุกวันน่ะ เรื่องประโยชน์ของธรรมะ แต่มันก็ไม่ได้พูดกันหมดจดสิ้นเชิงได้ คือมักจะพูดกันตามแบบนั่นเอง ถ้ามาพูด มาเทศน์ มาอะไรมันก็พูดกันตามแบบนั่นเอง ไอ้ส่วนที่มันไม่ได้เป็นไปตามแบบหรือมันละเอียดลงไปกว่าที่พูดกันอยู่ตามแบบ มันก็ไม่ได้พูดกัน นี่ผมก็ชอบที่จะพูดเรื่องทำนองนั้น คือมันจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์สิ้นเชิง แล้วก็มักจะจริงกว่าด้วย ไอ้เรื่องพูดตามแบบนั้นมันก็จริงแค่ตามแบบ แล้วก็ไม่ค่อยหมดจดสิ้นเชิง เช่นว่ามาบวช บวชอย่างที่บวชกันอยู่นี่ในพรรษาก็มีนิยมมาบวช แล้วก็ศึกษา เราศึกษากันตามแบบหรือพูดกันตามแบบ แม้ผู้มาบวชก็หวังจะได้อะไรกันตามแบบเหมือนกัน ขอให้มันหยุดเพียงตามแบบ ให้มันลงไปถึงไอ้ความจริงหรือข้อเท็จจริงที่เรามีอยู่จริง ที่จริงน่ะมันมีอยู่ทุกคนน่ะ แต่เขาไม่ๆมองเห็น แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนกับไม่มี เขาก็ไม่เอามาพูดกัน แต่เราอยากจะสอดส่องดูให้หมด ก็หยิบขึ้นมาพิจารณาใคร่ครวญให้หมด เอาไปใช้ให้ครบถ้วน นี่ความละเอียดสุขุมมันอยู่ตรงนี้
โดยมากมันทำตามธรรมเนียม พูดตามธรรมเนียม อะ อะไรก็ตามธรรมเนียม ผู้เทศน์ ผู้พูด ผู้บอกอานิสงส์ ผู้อบรมสั่งสอนในชั้นเรียน นอกชั้นเรียนอะไรก็ตามเถอะ มันมักจะเป็นเรื่องตามแบบไปเสียหมด ฉะนั้นเราเอาให้มันมากกว่านั้น ให้มันลึกลงไปถึงตามที่มันอยู่จริง แม้ที่พูดกันอยู่ตามพระบาลี ตามคัมภีร์ มันก็ไม่ ยังไม่ค่อยจะถูก หรือยังไม่ค่อยจะครบถ้วนตามความหมายของพระบาลี มันก็พูดตามที่บอกๆสอนๆกันมาเป็นแบบฉบับ หรืออย่างเรียนนักธรรมมา มันก็พูดไปตามแบบที่สอนกันอยู่ในโรงเรียนนักธรรม เพราะฉะนั้นมันจึงไม่บริบูรณ์สิ้นเชิง อะไรนี่คือว่า ขอให้ทุกคนสนใจที่จะดูให้มันละเอียด ให้มันหมด ให้มันเก็บเอาปัญหามาให้หมดน่ะ หรือเก็บเอาความทุกข์มาให้หมดทุกชนิด แล้วก็ทำความดับทุกข์ให้มันทุกชนิดจริงๆเหมือนกัน แล้วแต่ละชนิดก็ให้สิ้นสุดเกลี้ยงเกลา
แล้วทีนี้หัวข้อเรื่องของเราก็มีว่า ประโยชน์ของพระธรรม พระธรรมในที่นี้ก็คือพระธรรมที่เป็นตัวศาสนาน่ะ ที่เป็นตัวที่เรานับถือว่าเป็นพระพุทธศาสนา แม้ว่าไอ้คำว่าธรรมหรือธรรมะมันจะหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร แต่ถ้าเราพูดออกมาในลักษณะเช่นนี้ คำว่าพระธรรมจะหมายถึงแต่ระบบปฏิบัติเพื่อดับทุกข์เท่านั้น
ทีนี้คุณมาบวช ศึกษาพระธรรม จะเอาความรู้เรื่องพระธรรมไปดับทุกข์ ขจัดปัญหาความทุกข์ทั้งหมดได้อย่างไร ได้เท่าไร นั่นแหละสำคัญแหละ มันจะท่องกันแต่บาลี พูดตามบาลีระบุไว้ตามจำนวนในบาลี ความทุกข์ ๑๑ อย่าง ความทุกข์ ๑๒ อย่างอะไรก็ว่ากันเท่านั้น ผมไม่ ไม่เห็นด้วยว่ามันๆพอหรือมันเหมาะสม เพราะว่ามันควรจะมากกว่านั้น ฉะนั้นถ้าเราเอา จะเอาประโยชน์ของพระธรรม ซึ่งเรียกกันรวมๆว่าดับทุกข์ ดับทุกข์ มันจะต้องแยกออกเป็น ๒ ส่วนน่ะ ๒ ฝ่ายน่ะ เราจะต้องกำจัดฝ่ายที่ไม่ควรจะมีให้หมดเลย แล้วเราก็จะทำให้มีฝ่ายที่ควรจะมีอย่างครบถ้วน นี่ขอให้สนใจหัวข้อ ๒ ข้อนี้ อย่าเห็นว่าเป็นคำพูดธรรมดาๆ หรือว่ารู้อยู่แล้ว ถ้าจะมีประโยชน์จากพระธรรม มีอานิสงส์ของพระธรรม ก็อยากจะแยกเป็นหัวข้อสัก ๒ หัวข้อว่า ต้องไม่มีไอ้ส่วนที่มันไม่ควรจะมี แล้วมันต้องมีไอ้ส่วนที่ควรจะมีให้ถึงที่สุดด้วยกันทั้งนั้น
เอ้า, ทีนี้จะพูดถึงส่วนที่ไม่ควรจะมี ที่ ที่จะเรียกเหมาๆกันว่าความทุกข์นั่นแหละ ไม่ควรจะมี แต่ขอให้มันแยกไอ้รายการละเอียดออกไป ให้ละเอียดและครบถ้วนจริงๆ ฉะนั้นจึงอยากจะให้สังเกต ตั้งต้นมาตั้งแต่ไอ้คำที่เขาไม่ค่อยจะพูดกันน่ะ เอ้า, ผมจะระบุเอาคำว่า ความรำคาญ ความรำคาญในทุกชนิดน่ะ ทีนี้คุณก็ไปสอบสวนดูเองน่ะ ว่าวันหนึ่งๆน่ะคุณอยู่ หรือว่าผู้อื่น เพื่อนฝูงของเรา มนุษย์เรานี่อยู่โดยปราศจากความรำคาญโดยประการทั้งปวงหรือหาไม่ คำว่าความรำคาญนี่ ไม่มีล่ะในบัญชีเรื่องรายละเอียดของความทุกข์ ในทุกขอริยสัจ หรือทุกข์น่ะ มันจะไปมีบ้างก็ในเรื่องของนิวรณ์ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้หมายถึงความรำคาญชนิดนั้นนะ ความรำคาญที่มิใช่นิวรณ์นะ ที่มันมีอยู่สำหรับให้รำคาญ เมื่อๆๆพูดหรือจดลงไปว่ารำคาญ แล้วต่อไปนี้ก็ไปตั้งข้อสังเกตศึกษาเลย ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็ได้ หรือว่าตั้งแต่เสร็จจากนี้ไปก็ได้ว่าคุณจะมีความรำคาญอะไรบ้าง
ที่จริงคำว่ารำคาญนี่คงจะมีตั้งสิบอย่างหรือร้อยอย่างก็ได้ มันรู้สึกรำคาญแต่ที่แท้มันก็คือความทุกข์ทรมานชนิดที่ละเอียดที่สุดนั่น ชนิดที่ละเอียดที่สุด ตั้งแต่ว่าเสื้อผ้า จีวร อังสะมันไม่สะอาดอย่างนี้คุณรำคาญหรือเปล่า ถ้ารำคาญมันก็คือบ้าหรือมีความทุกข์ มันต้องมีจิตใจชนิดที่ไม่รำคาญสิ เอาไปซักเสียสิ ถ้าเมื่อมันยังไม่ได้ซักแล้วมันจะรำ จะรำคาญอยู่ไม่ได้ เช่นว่าที่นอนมันไม่อบอุ่น มันไม่สบาย มันขึ้นรา หรือมัน ไอ้ ไอ้อย่างนี้มันรำคาญหรือเปล่า หมอนมันไม่สะอาดรำคาญหรือเปล่า มดแมลงกวนรำคาญหรือเปล่า อะไรมาดังก๊อกแก๊กๆ อะไรหล่นใส่หลังคาบ้าง มันรำคาญหรือเปล่า บางทีมันก็รำคาญเสียงสัตว์ ถ้าว่าไอ้จิตมันๆโง่ขึ้นมาแล้ว มันก็รำคาญแม้แต่เสียงสัตว์ ซึ่งแท้จริงมันสามารถจะทำให้กลายเป็นไม่น่ารำคาญก็ได้ ฉะนั้นผมจึงให้ใช้คำว่าฟังยุงร้องเพลงนี่ อาบน้ำในคูรำคาญหรือเปล่า กินข้าวจานแมวนี่คุณรู้สึกรำคาญหรือเปล่า อยู่กุฏิแคบๆชนิดนั้นแล้วก็ฟังยุงร้องเพลง ถ้ายุงมาร้องอยู่ข้างหูรำคาญ นั่นแหละมันก็คือรำคาญแหละ มันเป็นสมบัติของคนโง่ ของคนไม่มีธรรมะ มันจึงรำคาญแม้แต่ยุงมาร้องเพลงอยู่ข้างหู ทีนี้ถ้ามันบังคับไม่ได้มันก็จะเกินรำคาญ คือมันจะโกรธขึ้นมา มันจะตึงตังๆอะไรขึ้นมาเพียงแต่ว่ายุงมาร้องเพลงให้ฟัง
ทีนี้คุณจะรำคาญไอ้สิ่งต่างๆน่ะที่มันไม่เรียบร้อย มันๆๆๆไม่เรียบร้อย มันไม่สะอาด มันไม่ ยิ่งว่าถ้าเราไปยึดถือแบบใหม่ๆของเขา ต้องสะอาด ต้องเรียบร้อย ต้องเรียบ ก็จะรำคาญแหละ จะรำคาญไอ้สิ่งที่มันไม่ๆเรียบร้อยในห้องนอนหรือในห้องที่อยู่อาศัย ออกไปบิณฑบาตมันมีอะไรรำคาญบ้างหรือเปล่า กลับมาแล้วมีอะไรรำคาญบ้างหรือเปล่า เช่นเสียงรถมันอื้ออยู่บ่อยๆอย่างนี้คุณรำคาญหรือเปล่า บางทีสุนัขมันกัดกันหอนกัน รำคาญหรือเปล่า เอาแต่เพียงคำว่ารำคาญอย่างเดียวเท่านั้นแหละ จดไม่ไหวแล้ว อะไรๆก็มันก็ชวนให้เกิดความรำคาญได้ทั้งนั้นแหละ ไม่ๆเข้าตา ไม่เข้าหู ไม่ถูกกับจมูก ไม่ถูกกับลิ้น ไม่ถูกกับผิวหนัง ไม่ถูกกับอายตนะทั้ง ๖ อย่างนี้แล้วมันก็รำคาญ มันไม่ใช่เรื่องกิเลสจากภายในโดยตรงหรอก มันเป็นเรื่องข้างนอกเป็นชนวน แล้วกิเลสมันก็รับเอาขึ้นไป เข้าไปปรุงแต่งเป็นความรำคาญ
นี้มันคนละอันกับที่ว่าเรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ น่ะ อุทธัจจกุกกุจจะโน่นมันปรุงขึ้นมาจากภายใน จากอนุสัยที่สะสมอยู่ในสันดาน ปรุงขึ้นมาเป็นเพียงควันฉุยๆ ไม่รุนแรงอะไร อย่างนี้เรียกว่านิวรณ์ มีคำว่ารำคาญคำหนึ่งรวมอยู่ด้วยในเรื่องของนิวรณ์ แต่ผมไม่ได้หมายถึงนิวรณ์ชนิดนั้นน่ะ หมายถึงไอ้รำคาญที่คนธรรมดามันก็มี จะเอามาเรียกว่านิวรณ์มันก็ได้เหมือนกันแหละ แต่เรามันอยากจะเอามาจัดไว้ในพวกที่เป็นความทุกข์อย่างละเอียดจนไม่เห็นว่าเป็นความทุกข์ เพราะว่าเรามันรำคาญแล้วมันทรมานใจของเราไม่ให้สงบเย็น ถ้านิวรณ์มันรบกวนสมาธิ ไม่ให้จิตเป็นสมาธิ แต่นี้ความที่เรารำคาญอย่างนี้มันรบกวนไอ้ความสงบสุข มีมดมากวน มีแมลงมากวน มีอะไรมากวนก็ตามเถอะ มันทำให้เกิดความรำคาญ มันไกลออกไปถึงว่าไอ้สิ่งต่างๆมันก็เป็นเหตุให้รำคาญ ชีวิตนี้ไม่สงบเย็นน่ะ เพราะมีความรำคาญรบกวน มันเป็นธรรมชาติพื้นฐาน ถ้าไม่มีจะดีไหม ถ้าไม่มีจะทำอย่างไร มันก็คือเรามีธรรมะพอที่จะไม่รำคาญ ไอ้พูดเรื่องตถาตาวันก่อนๆนั่นมีประโยชน์ที่สุดแหละ แต่ดูไม่ค่อยจะสนใจฟังกันกี่ๆๆองค์น่ะ เรื่องตถตา ตถาตา เรื่องเช่นนั้นเอง เรื่องเช่นนั้นเอง
ถ้ามีธรรมะเรื่องตถตาเพียงพอก็มันก็เช่นนั้นเอง แล้วก็ไม่รำคาญ แต่ก็มิได้หมายความว่าไม่แก้ไขสิ่งเหล่านั้น มันแก้ไขก็ได้ แก้ไขไม่ให้เกิดความรำคาญอีกต่อไปก็ได้ แต่ว่าต้องอย่ารำคาญกันให้เป็นทุกข์ ให้เสียความสงบสุข เห็นเช่นนั้นเองเรื่อย เช่นนั้นเองเรื่อย
บางทีเป็นพ่อแม่ ไอ้ลูกเด็กๆน่ะมันทำให้รำคาญมาก ผมไม่ได้มีลูกมีเต้าอะไรกับเขา แต่ว่าไอ้ลูกเด็กๆบางคนที่มันมาอยู่ด้วยนี่มันก็มีอะไรที่ทำให้เกิดความรู้สึกรำคาญตามประสาเด็กๆแหละ เราก็รู้รสของความรำคาญเหมือนกัน ก็เลยคำนวณดูว่าถ้าอย่างนั้นที่บ้านนั่น ที่บ้านที่เรือนที่ครอบครัวที่เขามีเด็กๆมาก เขาจะรำคาญมากกว่านี้สักกี่เท่า เหมือนคนโตๆที่มันไม่รู้จักทำอะไรให้ถูกกาลเทศะ น่ารำคาญอย่างนี้มันก็มี คนใช้หรือลูกจ้าง แม้แต่ลูกจ้างนี้ หรือแม้แต่ระหว่างบุตรภรรยาสามีมันก็ยังมีส่วนที่ทำให้คอยรำคาญเหมือนกันแหละ บางเวลา บางครั้ง บางกรณี มันทำให้เกิดความรำคาญแก่กันและกัน แล้วคุณก็รำคาญ เป็นการทรมานชีวิตอยู่ด้วยความรำคาญ ลองตั้งต้นจดรายการของสิ่งที่ทำให้เกิดความรำคาญเหล่านี้กันดูสักทีไหม จะดีไหม ผมว่าได้หลายสิบ หรือหลายร้อยก็ได้ หลายร้อยชนิดและอาการและต้นตอ นี้ยังไม่ใช่ความทุกข์ใหญ่โตอะไร ไม่ใช่ความทุกข์ชนิดที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโสกปริเทวะ โสกะ ร่ำไรรำพันนั้นมันก็ มันก็มากแหละ แล้วก็ทุกข์ ทุกข์เต็มๆอัตราของมัน
ความรำคาญนี่จะเป็นอันต่ำที่สุด เป็นพื้นฐานที่ต่ำที่สุดของความทุกข์ แล้วมันยังเขยิบสูงขึ้นมาเป็นความไม่ถูกใจ ก็เยอะแยะ ความไม่ได้อย่างใจก็สูงขึ้นมาอีก กระทั่งความขัดอกขัดใจ กระทั่งความหงุดหงิดงุ่นง่าน กระทั่งความโกรธ ความโกรธเต็มที่ ความไอ้บันดาลโทสะเต็มที่ จนถึงกับว่าปวดหัว นี่เราๆจะไม่พูดตามพระคัมภีร์ จะไม่พูดตามรายชื่อที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ แต่จะพูดตามไอ้ที่มันมีอยู่ตามธรรมชาติจริงๆของคนที่ครองเรือนมันจะต้องประสบกับอะไรบ้างที่จะทำให้ชีวิตนี้มันกระวนกระวาย สูงถึงความร้อนอกร้อนใจ ความทุกข์ทรมานใจ ถ้าเขียนเป็นรายละเอียดคงจะตั้งพัน ตั้งพันคำพันชื่อ นี่ถ้าเอาออกไปเสียได้จะดีไหม ถ้ามันไม่มีจะดีไหม คุณคิดว่าอย่างนั้นดีกว่า
ไอ้สิ่งเหล่านี้ตั้งร้อยตั้งพันแล้ว ถ้าไปเป็นฆราวาสอยู่บ้านเรือนครองเรือน ถ้ามันไม่มีสิ่งเหล่านี้จะดีไหม หรือว่าจะเอากันตามเรื่องมันก็ถูไถกันไป ถ้าอย่างนี้ก็มันไม่ค่อยจำเป็นน่ะที่จะต้องมาหาธรรมะธรรมโมอะไรกันนัก มันก็ปล่อยกันไปตามเรื่องทนๆ ทนเจ็บ ทนปวด ทนหนักอกหนักใจ ทนไอ้อะไรกันไปตามเรื่อง
ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หึงหวง นี่มันเข้มข้นมาก มันสูงกว่าความรำคาญมากทีเดียว แล้วทำไมมันจึงมีเข้ามา ทั้งที่เราไม่ปรารถนา ทำไมมันจึงมีเข้ามา หรือว่ามันมีเข้ามาแล้วทำไมเราจึงเห็นว่ามันเช่นนั้นเองไม่ได้ ไม่ค่อยรู้สึกว่าเช่นนั้นเองหรอก มันมีแต่จิตที่หวั่นไหวน่ะ จิตที่กระวนกระวายเร่าร้อน เรียกกันให้ง่ายๆก็จะเรียกว่า ชีวิตร้อนนะ ชีวิตร้อน ดูจะดีนะ ทีนี้คุณก็วัดเอาเองสิ ชีวิตร้อน ร้อน ๑ องศา ร้อน ๕ องศา ร้อน ๑๐ องศา ถ้าร้อนร้อยหนึ่งไอ้เซลเซียสมันก็เดือดนะ เดือดเป็นน้ำ เพราะฉะนั้นไอ้ความที่กระ อ่า, รำคาญนั้นมันก็คือร้อน ร้อน ๑ องศา ๒ องศา ทีนี้ถ้ามันขึ้นไปถึงขัดอกขัดใจ กระวนกระวายจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟมันก็ร้อย ครบร้อย ชีวิตนั่นร้อนครบร้อย
ทำไมต้องพูดเรื่องอย่างนี้ล่ะ เพราะว่าถ้ามันไม่มองเห็นความทุกข์แล้วมันก็จะไม่ ไม่จริงจังกับความดับทุกข์หรอก มันจะไม่มีศรัทธาในพระธรรม มีพระบาลีตรัสไว้ชัดเจนว่า ต้องมีความทุกข์จึงจะมีศรัทธาในพระธรรม ในความดับทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราไม่รู้สึกว่ามันมีความทุกข์ มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาอะไรมาดับทุกข์ มันก็ ก็ไม่ศรัทธาในสิ่งที่จะช่วยดับทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง เพราะเราไม่มีความดับทุกข์ มันเพราะเราไม่มีความทุกข์น่ะ เราไม่ได้ต้องการความดับทุกข์ แต่ถ้าเราเห็นว่าไอ้ความทุกข์มันเป็นอย่างนี้นะ มีสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์น่ะนับได้ร้อยได้พัน แล้วมันก็มีความทุกข์อยู่ในรูปแบบต่างๆกันตั้งร้อยตั้งพัน เหมือนอย่างที่ว่าน่ะ ลองจดดู ลองจดดู ผมคิดว่าตั้งหลายร้อยหรือถึงพัน
ไอ้แง่มุมที่จิตมันกระวนกระวายมัน แล้วมันก็มีมาโดยที่เราไม่อยากให้มี แล้วมันก็มีมาชนิดที่ไม่มีร่องรอย ไม่มีหัวนอนปลายตีนอะไรนัก เช่นตื่นขึ้นมาก็รำคาญ ไม่ๆได้รู้ว่าเรื่องอะไร ตื่นขึ้นมาก็รำคาญ รู้สึกละห้อยละเหี่ยใจ ว้าเหว่ใจ ซึ่งสรุปแล้วมันก็คือความรำคาญว่าไอ้ทุกสิ่งมันไม่ปลอดภัย สังเกตดูเถอะไอ้ส่วนลึกของจิตใต้สำนึกนั่นมัน มันรู้สึกว่าทุกสิ่งมันไม่ปลอดภัย หรือยังไม่ปลอดภัย หรือแม้แต่อาจจะไม่ปลอดภัยนี่ ตลอดคืนน่ะมันมีไอ้ใต้สำนึกอยู่อย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ตื่นขึ้นมาก็ละห้อยละเหี่ยแหละ ฉะนั้นถ้าเรามีอะไรมาทำไม่ให้จิตมัน ไม่ให้จิตใต้สำนึกมันปรุงความคิดอย่างนั้น ให้มันเชื่อแน่เถอะว่าปลอดภัย ปลอดภัย ปลอดภัย เช่นว่าเขาสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนน่ะ มันเป็นเคล็ดอันหนึ่ง เป็นศิลปะอันหนึ่งที่จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าปลอดภัย ปลอดภัย เพราะเขาเชื่ออย่างนั้นนี่ ทีนี้เมื่อเวลาหลับจิต จิตใต้สำนึกมันก็ไม่ปรุงไปในเรื่องความไม่ปลอดภัย เป็นห่วงวิตกกังวล เพราะฉะนั้นตื่นขึ้นมันก็จะสดชื่นแจ่มใส เยือกเย็น ฉะนั้นถ้าว่ามันตื่นขึ้นมาแล้วมันมีความว้าเหว่ หดหู่ บอกไม่ถูกน่ะ บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุอะไร คนนั้นจะบอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุอะไร แต่ความจริงมันก็คือไอ้จิตที่มันไม่รู้สึกว่าปลอดภัยได้โดยไม่มีเหตุผลน่ะ
ไอ้ความปลอดภัยที่สำคัญที่สุดมันก็คือปลอดภัยว่าเราจะไม่ตายนะ เราจะไม่ตายน่ะ ที่จริงมันมีๆความๆหมายอยู่ที่คำว่าเราจะไม่ต้องตาย เราปลอดภัยจากความตาย เราปลอดภัยจากความเจ็บไข้ หรือเรามีความปลอดภัยทางสุขภาพ ไอ้จิตบ้าๆบอๆที่ไหนก็ไม่รู้มันๆจะคิดไปในทางเรายังไม่มีความปลอดภัยในส่วนสุขภาพ เราจะเจ็บจะไข้ เราจะตาย เราจะต้องมีสุขภาพอันเลวอันนี้ มันไม่มีความแน่ใจว่ามีสุขภาพปลอดภัย มันก็ว้าเหว่เท่านั้นแหละ หรือว่ามันไม่แน่ใจว่าเรามีความปลอดภัยทางการเงินการเศรษฐกิจน่ะ จะเพราะว่ายังไม่พอก็ได้ หรือว่ามันจะกลัวว่าที่มีอยู่แล้วนี้จะวินาศ จะวิบัติ จะฉิบหาย จะมีอะไรเข้ามาแทรกแซงทำให้ฉิบหายหมดอย่างนี้ หรือว่ามันเคยหวังอะไรไว้แล้วมันก็ไม่ได้นี่ในเรื่องทางเศรษฐกิจเรื่องเงินเรื่องนั้น มันก็ไม่มีความรู้สึกว่าปลอดภัยในทางเศรษฐกิจ ฉะนั้นพอตื่นขึ้นมาโดยไม่มี ไม่มีได้คิดนึกอะไรมันก็หดหู่ละเหี่ยละห้อย ไม่สดชื่นไม่แจ่มใส นี่ไม่มีความปลอดภัยแก่ชีวิต ไม่มีความปลอดภัยแก่เศรษฐกิจ แล้วกระทั่งว่าถ้ามีครอบครัวมันก็ความปลอดภัยของครอบครัวอีกด้วย หรือภาระหน้าที่การงานที่ได้รับผิดชอบอยู่มันก็ไม่ถูกต้องและมันไม่ปลอดภัย มันทรมานจิตใต้สำนึกบ้าง เต็มสำนึกบ้าง ถึงแม้ที่ไม่ได้หลับนี่ ตื่นๆอยู่นี่มันก็ทรมานใจนะ ถ้าความรู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยแล้วมันก็ทรมานใจทั้งนั้น เรายังไม่มีความปลอดภัยในสุขภาพ ในชีวิต ไม่มีความปลอดภัยในหน้าที่การงานตำแหน่ง หรือในอาชีพของเรา หรือที่เรารับผิดชอบน่ะ ถ้าบางทีมันคิดไปในทางไม่ เห็นว่าไม่ปลอดภัย ไม่แน่ใจว่าปลอดภัย มันก็เป็นทันทีแหละ แล้วถ้ามันคิดนึกใต้สำนึกเมื่อเวลากลางคืนเมื่อนอนแล้วตื่นขึ้นมันก็เหมือนกับคน คนไม่มีกำลัง คนไม่มีชีวิตอย่างนั้น ไม่มีชีวิต
นี่ชีวิตที่ผิดพลาด ชีวิตที่มันร้อน ถ้าอย่าๆๆต้องมีอย่างนี้จะดีไหม อย่าพูดถึงไอ้ทุกข์ ความทุกข์ที่มันเข้มข้นเลย ไอ้ความทุกข์ที่มันซ่อนเร้นอยู่อย่างเข้าใจยากนี่ ไปดูเถอะ มันทรมานเรามากกว่าไอ้ๆความทุกข์ ความทุกข์ที่ดุ้นโตๆชัดเจนนั้นมันยังทรมานเราน้อยกว่าไอ้ๆๆๆความทุกข์ชนิดละเอียดจนเกือบจะจับตัวมันไม่ได้น่ะ แล้วทรมานใต้สำนึกด้วย เราใช้คำว่าชีวิตร้อนก็แล้วกัน มันจะได้คู่กันกับชีวิตเย็น สิ่งที่ไม่ควรจะมีแก่เราก็คือชีวิตร้อนในทุกรูปแบบ ชีวิตร้อนทุกรูปแบบแหละ ให้คุณไปจดรายละเอียดเอาเอง ประกวดชิงรางวัลกันสักทีก็ได้ ใครจดมาได้มากกว่าใคร มาให้ผมดูสิ ผมจะให้รางวัล ไอ้ชีวิตร้อนน่ะ ที่มันทุกรูปแบบที่มันมีแง่เงื่อนของมันน่ะมันมีอะไรบ้าง ผมว่าตั้งพันแหละ ตั้งพันรายการ อันนี้ถ้าไม่มีจะดีไหม จะเรียกว่าพระธรรมวิเศษจริงไหม
ชีวิตที่มันหนักอึ้งๆ ไอ้คำฝรั่งมันมีอยู่คำหนึ่งดีมาก ผมพอ พอได้เห็นไอ้คำแรกผมก็ชอบใจคำนี้ มันใช้คำว่า Burden of Life Burden น่ะของหนัก ภาระหนักหรือแอกนี่ Burden of Life ภาระหนักแห่งชีวิต ไอ้คำนี้คุณกระจายออกไปเถอะ มันก็จะได้อย่างที่ว่าตั้งพันรายการอีกเหมือนกันแหละ ไอ้ Burden of Life แก่ตัวเรา แก่อะไรของเรา แก่ครอบครัวของเรา แก่อะไรมันล้วนแต่ ล้วนแต่มารวมลงเป็นไอ้ Burden คือของหนัก แล้วก็ทับถมอยู่บนชีวิตตลอดเวลา ถ้ามันไม่มีจะดีไหม ถ้ามันไม่มีจะดีไหม คิดดูเถอะ มันจะเป็นชีวิตชนิดไหน จะแปลเป็นไทยๆก็ว่าอะไรล่ะ ของหนัก ภาระหนักของชีวิต ภาระของชีวิต ของหนักของชีวิต มันมีมูลมาจากความไม่ถูกต้องของไอ้ระบบจิตนั่นแหละ ถ้าพูดอย่างเอาเปรียบมันก็ว่ามันมีความยึดถือ มีความยึดถืออยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยรู้สึกตัวบ้าง โดยไม่รู้สึกตัวบ้าง สิ่งใดยึดถือแล้วสิ่งนั้นมันก็หนักแหละ อุปาทานแปลว่ายึดถือ ไปยึดถือขี้ฝุ่นสักเม็ดหนึ่งมันก็หนักเท่าขี้ฝุ่นเม็ดหนึ่งแหละ ไปยึดถือเงินทองข้าวของบุตรภรรยาสามีอะไรมันก็หนักทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นจึงมีคำว่ายึดถือแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ คือมันหนัก
ทีนี้สิ่งที่ให้เกิดความยึดถือนี่มันมาก ที่มันเข้ามายั่วตามธรรมชาตินี้ก็มีมาก เท่าที่มันเกิดขึ้นจากความคิดปรุงแต่งในภายในของเราเอง มันปรุงแต่งกันได้นะ ที่เรียกว่าสังขารๆน่ะ มันปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ปรุงแต่งสำหรับยึดถือทั้งนั้นแหละ แล้วเดี๋ยวๆมันก็ไปเข้าเรื่องหลักธรรมะสูงสุดที่ว่า ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักเน้อ เมื่อตะกี้สวดกันหรือเปล่า ภารา หะเว ปัญจักขันธา น่ะ ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระหนักเน้อ สวดอย่างนกแก้วนกขุนทองหรือเปล่า ถ้าสวดนะ นั่นน่ะมันเหลือเกินแหละไอ้คำนั้นน่ะ
ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ ภาระหนักเน้อ
ภาระหาโร จะ ปุคคะโล บุคคลนั่นแหละ ความรู้สึกว่าบุคคลนั่นน่ะเป็นผู้แบกของหนักพาไป
ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลก
ภาระนิกเขปะนัง สุขัง เหวี่ยงของหนักทิ้งไปเสียเป็นความสุข เหวี่ยงแล้วไม่เอากลับมาอีกก็เป็นพระอรหันต์
รู้คำว่าขันธ์ ๕ เป็นภาระหนักเน้อ แล้วก็คือจะรู้จักคำว่า Burden of Life มันอยู่ในรูปของรูปธรรมนี่ ภายนอกน่ะ ทรัพย์สมบัติ บุตรภรรยาสามี ข้าวของเงินทอง วัวควายไร่นา รถยนต์บ้านเรือน นี่มันๆๆเป็นรูปขันธ์แหละ แล้วก็ยึดถือกันไม่ ไม่มีที่สิ้นสุดแหละ รู้สึกไม่ปลอดภัยในสิ่งเหล่านี้แล้วก็นอนไม่หลับแหละ หรือรู้สึกว่ารถยนต์คันนี้แพงมาก มันมีอะไรบกพร่องขัดข้องไปเสียนิดหนึ่งแล้วก็ชักจะนอนไม่หลับแล้ว เพราะรถยนต์คันนี้มันแพงมากนี่ นี่คุณเอาเรื่องจริงอย่างนี้กันสิ อย่าเอาเรื่องในคัมภีร์บาลีกันนักสิ บางทีเราจะเกิดสงสัยกัน โอ๊ย, ภรรยานี่ท่าจะไม่ซื่อเสียแล้ว สามีก็ท่าจะไม่ซื่อเสียแล้วอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องฝันทั้งนั้น ให้มันเป็นทุกข์บ้าๆบอๆ มันก็เป็นเรื่อง Burden of Life ทั้งนั้นแหละ
ถ้าส่วนที่มันเป็นรูปธรรมก็เป็นรูปขันธ์แหละ รูปูปาทานักขันโธ ขันธ์เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่นคือรูป อย่างนี้ก็ ก็พวกที่มีรูปแหละที่เรายึดถือ นับตั้งแต่ว่าร่างกายเนื้อหนังนี้ก็เป็นรูป ก็ยึดถือ แล้วออกไปข้างนอกก็ บ้านเรือน ทรัพย์สมบัติ บุตรภรรยาสามี ข้าวของเงินทอง เรียกทุกอย่างที่มันเกี่ยวกันอยู่กับไอ้รูปขันธ์นี้นะ นี่ภาระหนักแห่งชีวิต มันก็มีขึ้นมาเพราะความยึดถือไอ้สิ่งที่เรายึดถืออยู่ตามธรรมดา เราไม่มีปัญญามาแต่ในท้อง เราก็มีแต่ยึดถือๆๆ มันก็หนักๆๆๆเพิ่มขึ้น
ทีนี้ไอ้ส่วนที่สองมันยึดถือที่เป็นนามธรรมน่ะ เป็นอรูปน่ะ ไอ้รูปขันธ์นั้นมันก็คือรูปแล้ว ทีนี้ที่เป็นนามน่ะมันคือเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เมื่อจิตมันทำหน้าที่ ๔ อย่างนี้แหละ ล้วนแต่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้งนั้น บางทียึดถือเมื่อเป็นรูปของเวทนา อันนี้สำคัญมากแหละ ดูพระบาลีจัดไว้เป็นต้นเหตุแห่งไอ้ปัญหาทั้งปวงแหละ ยึดถือในสุขเวทนา ในทุกขเวทนา ในอทุกขมสุขเวทนานี่ เป็นต้นเหตุแห่งกิเลส แห่งปัญหาทั้งปวงแหละ ถ้าพูดให้ง่ายๆก็ทั้งโลกทั้งๆจักรวาลน่ะ มันยึดถือในสุขเวทนา ปัญหาทั้งโลกเกิดขึ้นเพราะว่าทั้งโลกมันกำลังยึดถือในสุขเวทนา นายทุนก็ต้องการอย่างนั้น ชนกรรมาชีพก็ต้องการอย่างนั้น ต้องการสุขเวทนาอันไม่มีขอบเขตจำกัด ฉะนั้นเขาต้องแสวงหาปัจจัยอุปกรณ์แห่งสุขเวทนา เช่นเงิน อำนาจ เป็นต้น เอามาแสวงหาสุขเวทนา ถ้าเรามีอำนาจครองโลกแล้วก็ไอ้สุขเวทนาทั้งหมดก็เป็นของเรา เพราะเรามีอำนาจครองโลก นี่มันทำให้เกิดปัญหาถึงขนาดนี้
แม้ในบุคคลคนหนึ่งๆ ก็เพราะสุขเวทนาที่เขาหลงรักแหละ ผลักไสให้เขาไปทำอะไรทั้งที่ควรทำและไม่ควรทำ ถ้าไปทำที่ควรทำมันก็ดีไป มันก็ไม่ค่อยจะมีปัญหา แต่ถ้ามันไปทำที่ไม่ควรทำ คือมันไปโกง มันไปทุจริตแล้วมันก็ไปกันใหญ่ จะมีเรื่องไม่สิ้นสุด แล้วไอ้สุขเวทนานั้นมันเป็นสิ่งที่หลอกลวงที่สุด มันเป็นเพียงความรู้สึกที่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มันมีเท่านั้นนี่ มันเป็นเรื่องธรรมชาติล้วนๆ ธรรมชาติแท้ๆนะ รู้สึกที่ระบบประสาทนั้นน่ะ ไม่รู้สึกที่ไหนล่ะ แล้วก็หลอกให้จิตยึดถือได้มากมาย ก็ตามกฎของธรรมชาติที่มันจะต้องเป็นอย่างนั้น สุขเวทนาทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางผิวหนังซึ่งเป็นเรื่องทางเพศ เพศตรงข้ามแล้วยิ่งร้ายนะ ก็ดี ก็รวมอยู่นี่น่ะ มันอร่อยทางตาหูจมูกลิ้นกายนี่เพราะมันเป็นปลุกเร้าความรู้สึกแก่ระบบประสาทตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแล้วก็เรียกว่าสุขเวทนา แล้วก็หลงรักยิ่งกว่าอะไร
ทีนี้ที่ว่าสุขเวทนามันมีหลอกลวงหลายชั้นนั่น ชั้นธรรมดา ไม่เกี่ยวกับอารมณ์ อ่า, ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ คืออร่อยตามธรรมดา ไม่เกี่ยวกับเพศนี่มันก็มี ก็เป็นเหตุให้มีปัญหามากเหมือนกันนะ เช่นคนเดี๋ยวนี้เขาจะต้องกินน้ำอัดลมแทนน้ำธรรมดากันแล้ว มันๆเรื่องอะไรล่ะ เพราะว่ามันๆๆเร้าระบบประสาทได้ดีกว่านี่ ผมก็ๆๆๆฉันอยู่บ่อยๆเหมือนกันนะ แล้วก็รู้สึกว่ามันอย่างนั้นแหละ ยิ่งเขาหลอกว่ามัน มันอะไรล่ะ มันทำให้สุขสดชื่นชุ่มชื่น ยิ่งเอากันใหญ่เลย มันจะต้องกินน้ำที่แพงแหละ จะต้องกินน้ำอัดลมก่อนอาหารและหลังอาหารกันอยู่แล้ว แล้วยังจะต้องทำให้เย็นด้วย ถ้าเย็นมันๆๆมีผลกระตุ้นประสาทกว่านี่ เพราะฉะนั้นจึงเกิดระบบการกินอาหารที่แพง ที่แพงที่สุดขึ้นมา และบางทีก็น่าเกลียดน่าชัง น่าสะอิดสะเอียนด้วย นี่ที่ว่าแพงที่สุดน่ะระบบอาหารนี่ แล้วก็เกินไปแล้ว ต้องสวยด้วย ถึงกินอร่อยไม่ๆได้ ต้องสวยด้วยนะ อาหารที่ปรุงนั้นต้องสวยด้วยนะ ต้องมีกลิ่นดี ต้องมีสีสวย แล้วยังจะต้องไพเราะทางหูเมื่อกินด้วยนะ นี่ผมคิดว่าคุณคงรู้เรื่องนี้ดีกว่าผมล่ะ เพราะผมไม่เคยเลย ผมได้ยินแต่เขาว่าหรือเขาเล่า แต่คุณเป็นฆราวาสมา คุณเคยมาแล้วนี่
เดี๋ยวนี้มันบ้ามากจนถึงกับว่ามันจะต้องเอาสิ่งกระตุ้นเหล่านี้มากระตุ้นอยู่เรื่อยไป เช่นทางวิทยุนี่ พอเขาจะเปลี่ยนโปรแกรมใหม่ เขาก็มีเพลงขึ้นมาทันที รายการหมุนตามวัน รายการอะไรก็ตามเถอะ พอมันจะเปลี่ยนรายการใหม่มันมีเพลงขึ้นมาทันที มันบ้าหรือมันดีนั่นน่ะ แล้วมันทำให้เสียสมาธิในการฟังนะ เราบอก เราบอกว่าต่อไปนี้เราจะมีรายการนี้ เงียบ ทำสมาธิ ทำจิตเป็นสมาธิ แล้วก็จะดังออกมาให้ฟัง อย่างนี้จะดีกว่า นี่มันเอาเพลงเราอะไรก็ไม่รู้ ร่าขึ้นมา แล้วพอจบเพลงก็พูด พูดแต่เรื่องที่จะพูดเลย ไอ้คนฟังมันยังฟุ้งซ่านอยู่ด้วยเพลงบ้าๆอย่างนั้น มันจะจับใจความไอ้ข้อความที่พูดนั้นได้ดีอย่างไรเล่า ผมอุตส่าห์ทนฟังนะ มันมีเพลงนำทั้งนั้น จบด้วยเพลง เริ่มด้วยเพลง แม้แต่ไอ้สารคดี เรื่องสารคดีมันต้องนำด้วยเพลง มันจบด้วยเพลงนี่มันบ้ากันใหญ่ นั่นน่ะดูเถอะว่าไอ้สุขเวทนานี่มันมีอำนาจเหลือเกิน นี้ไม่เกี่ยวกับกาม ไม่เกี่ยวกับกามนะ วิทยุที่จะส่งสารคดี ต้องเอาเพลงมาใส่ด้วย หรือจะกินข้าวต้องมีคนมาร้องเพลงให้ฟัง นี่มันกลุ่มหนึ่งยังไม่เกี่ยวกับกาม ยังเป็นไอ้เรื่องกระตุ้นระบบประสาทตามธรรมชาติล้วนๆอย่างนี้ก็เป็นปัญหาหนักมากแล้ว เราจะต้องใช้เงินเพื่อการนี้เพิ่มขึ้นอีกมากดูท่า
ทีนี้ถ้าไปถึงกาม เรื่องเพศนี่ยิ่งหนักขึ้นไปอีก แพงเท่าไรก็ไม่ว่าๆ นี่ก็รู้กันอยู่แล้วไม่ต้องพูดก็ได้ แล้วเมื่อไม่ได้อย่าง ไม่ได้อย่างใจแล้วมันก็เป็นเหตุให้โกรธแค้นมาก เป็นทุกข์มาก ความทรยศทางเพศนั้นมัน ความไม่ได้ตามที่ต้องการทางเพศนั้นน่ะมันเป็นปัญหามาก เป็นความทุกข์มาก เป็นไอ้สิ่งกระวนกระวายมาก แล้วความอิจฉาริษยา ความหึงความหวง ความคิดมากไปมันก็มาจากอันนี้ นี่คือยึดถือในเวทนาขันธ์น่ะ เวทนาขันธ์ที่ปรุงขึ้นมาในสังขารร่างกายของเรา
เดี๋ยวนี้มันมีสิ่งอีกสิ่งหนึ่งซึ่งกระเด็นออกไปจากกามนี่คือ เสพติด สิ่งเสพติด เช่น บุหรี่ ยาฝิ่น เฮโรอีนอะไรนี่ เหล้าก็ตามเถอะ มันสิ่งเสพติด มันมีสุขเวทนาเกิดจากสิ่งนั้นแยกออกไปอีก เมื่อเสพติดแล้ว ไอ้ความเสพติดนั้นจะมีรสมากกว่ากามารมณ์ไปก็ได้ เช่นคนมันติดบุหรี่นี้มันจะขอไปสูบบุหรี่ก่อนมาทำกามารมณ์ก็ได้ วันก่อนหนังสือพิมพ์เขาลงหน้าหัว ผัวของเขาใช้บังคับเมียของเขาให้ไปเป็นโสเภณี ได้เงินมาเท่าไรเอามาให้เขาซื้อยาเสพติด มิฉะนั้นเขาเตะ เขาตี เขาทุบ เขาถองอะไรเรื่อย นั่นคิดดูสิ ที่มันยิ่งไปกว่ากามารมณ์คือสิ่งเสพติด มันก็สุขเวทนาเหมือนกัน ไอ้สิ่งเสพติดนั้นน่ะมันให้สุขเวทนาแบบที่บ้าหลังที่สุด มึนเมาที่สุด อะไรที่สุด
ฉะนั้นเรามีไอ้สุขเวทนานี่ เกี่ยว ไม่เกี่ยวกับกาม มันพื้นฐานทั่วไปไม่เกี่ยวกับกาม แล้วประเภทที่ ๒ มันเกี่ยวกับกาม เพศโดยตรง ประเภทที่ ๓ มันเกี่ยวกับสิ่งเสพติด อำนาจของการเสพติดนี่รุนแรงที่สุด สามอย่างนี้ก็ปัญหา ท่วมทับชีวิตจิตใจ เป็น Burden of Life หรือเป็นภาระ ภาระหาโร แบกของหนัก
ทีนี้มันยังมีส่วนที่เป็นสัญญา สังขาร วิญญาณอีกนี่ ทำหน้าที่กันคนละอย่าง ความสำคัญมั่นหมายนั้นก็เหมือนกันแหละ สำคัญว่าอะไร สำคัญว่าหญิง สำคัญว่าชาย สำคัญว่าได้ สำคัญว่าเสีย สำคัญว่าแพ้ สำคัญว่าชนะ สำคัญว่าสุข สำคัญว่าทุกข์ ไอ้สำคัญๆนี้เขาเรียกว่าคู่ เป็นคู่ๆนี่ นับไม่ไหวเหมือนกัน ในหนังสือบางเล่มเขียนให้ดู ๓๗ คู่ ล้วนแต่เห็นด้วยทั้งนั้นแหละ แต่ผมว่ามีมากกว่านั้น มีเป็นร้อยๆคู่ ที่ทำให้สำคัญว่าอย่างนั้นอย่างนี้แล้วยึดถือกันอย่างแน่นแฟ้น ยึดถือว่าลูก ยึดถือว่าเมีย ยึดถือว่าผัว ยึดถือว่าอะไรก็ตาม มัน มันสำคัญอย่างนี้ทั้งนั้น นี้ก็เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ทั้งนั้น นี่เรียกว่ายึดถือในสัญญา เพราะๆกำ เพราะจำกัดไว้เพียงขันธ์ ๕ นี้เราก็พูดได้แต่ในวงของขันธ์ ๕ นี่ความยึดถือทั้งหลายมารวมอยู่ที่หมวดสัญญา
ทีนี้หมวดสังขารก็คือ คิดนึก คิดนึก คิดนึกสารพัดอย่าง ล้วนแต่คิดนึกให้เป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละลองคิดดูเถอะ มันคิดไปสำหรับมีปัญหาสำหรับยึดถือทั้งนั้น สังขารชนิดที่เป็นความคิด มันก็เพื่อความทุกข์
ทีนี้วิญญาณ วิญญาณนั้นควรจะอยู่ข้างต้น มาอยู่ข้างปลาย เหตุ ต้นเหตุน่ะ วิญญาณนี้ก็คือว่ามันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ แล้วมันก็ได้รู้ๆ รู้แจ้ง รู้รส รู้เรื่อง รู้อะไรทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าอย่ามีไอ้วิญญาณ ๖ ประการนี้แล้วมันจะไม่มีปัญหาอะไรล่ะ สัตว์ทั้งหลาย แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายมันมีวิญญาณให้สัมผัสโลก สัมผัสทุกสิ่ง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นน่ะตัวร้ายเหมือนกันน่ะ ตัวร้าย
ในฝ่ายธรรมะเราเรียกว่าของหนักคือขันธ์ ๕ ที่ยึดถือโดยอุปาทาน ว่าเป็นตัวเราบ้าง ว่าเป็นของเราบ้าง มันตรงกันได้เลยกับคำที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Burden of Life เมื่อฝรั่งเขาพูดถึง Burden of Life เขาก็พูดในฐานะที่ว่าเป็นของเลวร้ายเหมือนกันนะ เป็นของรู้สึกน่าเกลียดน่าชัง เป็นเรื่องทุกข์ร้อนเลวทราม ทรมานจิตใจ
นี้เมื่อพูดกันตามความรู้สึกแล้วมันตรงกันทั้งนั้นแหละ แม้ตัวหนังสือจะเขียนไว้ในพระคัมภีร์ตามแบบของตนๆ ไม่ค่อยจะตรงกัน แต่เนื้อแท้ตัวจริงมันก็ตรงกัน มันคือชีวิตนี้มีสิ่งที่ทำให้ยึดถือ มันมีสิ่งที่ทำให้จิตที่คิดนึกได้นั้นน่ะไปยึดถือโดยความโง่ ด้วยอุปาทาน ด้วยอวิชชา ชีวิตนี้ก็เป็นของหนัก ไอ้ชีวิตที่ทนระมาน ทนทรมานอยู่ด้วยความหนักนี้เราจะเรียกมันว่าเป็นชีวิตร้อน คำนี้ดีมาก คุณเอาไปคิดเถอะ ชีวิตร้อนทั้งนั้นแหละ มันจะอมความหมายหมดทั้งโลกไว้ ถ้าไม่มีจะดีไหม ถ้าต่อไปนี้เราจะไม่มีชีวิตร้อน แม้แต่ความรำคาญสักนิดหนึ่งก็ไม่มีนะ ชีวิตร้อน เป็นชีวิตเย็นน่ะ เป็นชีวิตเย็น ไม่มีความรำคาญอะไรแม้แต่สักนิดหนึ่งน่ะจะดีไหม ถ้ามาบวชทีหนึ่งได้ความรู้เรื่องนี้คุ้มกันไหม มันควรจะคิดอย่างนั้นบ้าง ถ้ามันไม่ได้ความรู้อันนี้เลยแล้วไม่คุ้มค่าบวช ค่ารถไฟมาแต่วัดชลประทานก็ไม่คุ้ม อย่าว่าค่าบวชเลย ขอให้นึกกันให้ ที่ตัวจริง ที่มันลงไปที่ของจริง มันมาอย่างไร มันเป็นอยู่อย่างไร มันขึ้นมาอย่างไร
ผมไม่ใช่ไม่เป็นห่วงนะ ผมเป็นห่วงเพื่อนมนุษย์ทุกคนนั่นแหละ กลัวว่าจะทำอะไรไม่ได้คุ้มค่าที่ลงทุนไป แล้วผมก็นึกกันอยู่ตลอดเวลาแหละ แต่บางทีมันก็ไม่อาจจะพูด หรือมันไม่ ไม่ควรจะพูด แต่ความจริงกิจกรรมของเราที่เรียกว่า สวนโมกข์ นี้มันก็เพื่อจะหาหนทางปลดเปลื้องปัญหาและความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ทั้งนั้น จึงได้พยายามอธิบายแล้วอธิบายอีกในลักษณะที่คนอื่นเขาไม่อธิบายกัน แล้วเขากลับหาว่าเราบ้าๆบอๆแหวกแนวแหวกอะไรไป ไม่เป็นไรเรื่องอย่างนี้เราทนได้ แล้วไม่รำคาญด้วย ใครจะหาว่าอย่างไรก็ไม่รำคาญหรอก แต่ต้องการจะให้ได้รับประโยชน์สมกับที่ว่าเรามีพระพุทธศาสนา เราคน คนไทย ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนา เราได้เกิดมาในร่มเงาของพระศาสนา เราควรจะได้รับประโยชน์จากพระศาสนา ฉะนั้นขอให้ศึกษามันจริงๆ อย่าศึกษาตามธรรมเนียม อย่าศึกษาอย่างหนังสือวรรณคดี หรืออย่าศึกษาอย่างแบบพิธีรีตอง
นี่จึงขอร้องให้ตั้งต้นสังเกตดูให้ดีว่า ไอ้ความร้อนแห่งชีวิต ปัญหาแห่งชีวิตน่ะมันๆตั้งต้นมาตั้งแต่ว่า แม้แต่ความรำคาญเล็กๆน้อยๆที่เกิดอยู่เป็นประจำนั้นก็รวมเข้าไว้ในปัญหาด้วยเหมือนกัน อย่ามีความรำคาญใจ อย่ามีความขัดอกขัดใจ อย่ามีความหงุดหงิดงุ่นง่าน อย่ามีความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนั้นมันไม่ไหวแล้ว เลวเต็มทีแล้ว แล้วก็อย่าให้เกิดของหนัก ไอ้ความหนักแห่งชีวิต ไปยึดขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวตนแล้วมันก็หนัก
เอ้า, ทีนี้พูดถึงพระบาลีกันบ้าง ถ้าเมื่อถามว่าความทุกข์คืออะไร ในพระบาลีก็จะมีว่า
ชาติปิ ทุกขา
ชะราปิ ทุกขา
มะระณัมปิ ทุกขัง
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
เสยยะถีทัง
รูปูปาทานักขันโธ
จนไปถึง เวทะนู วิญญาณูปาทานักขันโธ ไปคิดดูเถอะ มันเรื่องที่เราพูดทั้งนั้นแหละ ทั้งหมดนั้นน่ะมันเรื่องที่เราพูด ที่ว่าความเกิดเป็นทุกข์ สอนกันอยู่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ในโรงเรียนนักธรรมครูบางคนสอนว่าเกิดจากท้องแม่เป็นทุกข์เพราะเห็น เห็นได้ว่าพอเด็กออกมามันร้องแงๆ ก็เลยสอนว่าไอ้คลอดจากท้องแม่มันเป็นทุกข์ ชาติปิ ทุกขา ที่จริงมันมากกว่านั้น ทีไอ้ชาติความเกิดเป็นทุกข์มันก็แบบเดียวนี่ Burden of Life น่ะ ความหนัก ภาระหนักแห่งการเกิดเป็นคนนั้นน่ะมันเป็นทุกข์ มันมีมาก มันรวมปัญหาทั้งหมด การที่เกิดมาเป็นคนมีภาระอะไรบ้างตามหน้าที่ทางรูปธรรม ทางนามธรรม ทางอะไรก็ ก็เรียกว่าเป็นทุกข์ได้
ทีนี้ไอ้ความแก่เป็นทุกข์เพราะว่าเราไปหลงยึดเอาความหมายของความแก่มาเป็นของเรา เอาความแก่มาเป็นของเรามันก็ทุกข์แหละ หรือความหมายต่างๆที่มันบีบคั้นจิตใจ เราไม่ชอบความแก่อย่างไรเท่าไรไอ้ความหมายเหล่านั้นน่ะมันบีบคั้นเราให้เป็นทุกข์แหละ นี่คือความแก่เป็นทุกข์ ไม่ใช่ว่าไอ้ความชราหัวหงอกฟันหักจะเป็นตัวทุกข์ แต่ว่าเราไปยึดถือเอาสิ่งนั้นมาเป็นของเราน่ะมันจึงทำความทุกข์ให้แก่เรา มันไปยึดถือว่าเราหัวหงอกฟันหัก ไอ้อะไรก็ตามเถอะที่เป็นลักษณะอาการของชรา ความเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์ เพราะเราไปยึดถือเอามาเป็นของเรา ถ้าไอ้จิตมันไม่โง่ไปยึดถือเอามาเป็นของเรา มันก็ไม่มีความทุกข์ ร่างกายของพระอรหันต์ก็แก่เจ็บตายลงทุกวันเหมือนกันน่ะ แต่ท่านก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าจิตใจของพระอรหันต์ไม่ได้ยึดเอาแก่เจ็บตายมาเป็นของท่าน มาเป็นของเรา
ไอ้ โสกะปะริเทวะ นี้มันเป็นเพียงอาการที่ออกมาจากความผิดหวัง ความไม่ได้ตามต้องการ ยึดถือสิ่งใดโดยความเป็นตัวตนเป็นของตนแล้วมันไม่เป็นไปตามนั้น ดังนั้นมันก็เกิด โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสอุปายาส มันอธิบายกันเองอยู่ในตัวนั้นแหละ ก็ไม่แปลกไปจากนั้นหรอก ปรารถนาสิ่งใดแล้วก็ไม่ได้สิ่งนั้นน่ะมันก็เป็นทุกข์แหละ ฉะนั้นถ้าเห็นว่า อ้าว, มันเช่นนี้เอง มันเช่นนั้นเอง นี่อย่าเป็นทุกข์สิ แล้วควรทำอย่างไร ควรแก้ไขอย่างไร ปรับปรุงอย่างไรก็ทำไปสิ แล้วก็อย่าเป็นทุกข์ ไอ้ความร้อนเหล่านั้นมันก็ไม่เกิดขึ้นแก่ชีวิต เมื่อไม่รับเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นของตนมันก็ไม่หนัก เมื่อไม่หนักมันก็ไม่ทุกข์ มันก็ไม่ร้อน ถ้าเราไปรับเอามามันก็เป็นชีวิตร้อน ยึดถือไอ้ความทุกข์ ความร้อน ความหนักไว้เต็มที่ นี่เป็นชีวิตร้อน
ผมขอร้องว่าจำคำนี้ไว้ดีๆ กลับออกไปคราวนี้ก็ขอให้ระวังไอ้ชีวิตร้อนนั่นแหละให้มากๆ เพราะได้เคยรู้รสชาติมาแล้วด้วย และเพราะได้รับความรู้ใหม่ๆของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสไว้นี้ไปเพิ่มให้ด้วย ฉะนั้นจึงหวังว่าคงจะรู้จักชีวิตร้อนกันถึงที่สุดสักที ไอ้นั่นมันร้อนนะ คือทุกข์แหละ จน จนเกลียดกลัวยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วก็อยากจะพ้นจากมันยิ่งกว่า ที่สุดเลย ไม่ เป็นความอยากหมดทั้งจิตใจ มีคนๆหนึ่งเขาเข้าใจธรรมะข้อนี้ แล้วเขาพูดกับผม เป็นการแสดงความคิดเห็นของเขานะ เขาเห็นแล้ว เขาๆๆเข้าใจความข้อนี้ เขาๆพูดว่าอยากเหมือนกับว่า เมื่อเราถูกกดหัวให้จมอยู่ใต้น้ำ เลยอยากจะโผล่ขึ้นพ้นน้ำ มันอยากเท่าไร เคยไหม ถ้าไม่เคยไปลองดูสิ ก้มหัวลงไปในน้ำ จมอยู่ใต้น้ำ แล้วมันก็อัดเข้าๆๆๆ แล้วมันอยากจะโผล่หัวให้พ้นน้ำ มันอยากเท่าไร นั่นน่ะคือมันอยากทั้งหมดทั้งสิ้นของความอยากและความต้องการ เดี๋ยวนี้เรารู้สึกอย่างนั้นไหม เดี๋ยวนี้เรารู้สึกอยากจะพ้นทุกข์ อยากจะพ้นจากชีวิตร้อนน่ะมากขนาดนั้นไหม นี้กลัวจะไปเห็นว่าชีวิตร้อนก็สนุกดีน่ะ มันไม่ได้อยากเหมือนกับคนที่ถูกกดหัวอยู่ใต้น้ำแล้วมันอยากจะโผล่ขึ้นพ้นน้ำ ไปลองดูสิ พูดนี้มันไม่รู้สึกหรอก ไปลองดู ไปมุดหัวลงในน้ำในสระนาฬิเกร์นี้ก็ได้ แล้วคุณจะๆรู้สึกว่ามันอยากกี่มากน้อย มันทนไม่ได้ถึงนาทีหรอก มันจะอยากเหลือประมาณแหละ ถ้ามันขึ้นมาไม่ได้มันก็ต้องตายแหละ ทีนี้มันก็อยากอย่างยิ่ง กลัวอย่างยิ่ง แล้วเดี๋ยวนี้เรากลัวความทุกข์เท่านั้นไหม เดี๋ยวนี้เราอยากจะพ้นจากความทุกข์เท่านั้นไหม นี่เป็นเครื่องวัดคำนวณ เมื่อเรารู้จักชีวิตร้อนแล้วเราอยากจะพ้นเสียมากที่สุด สุดชีวิตจิตใจ สุดทั้งหมดของกำลังอะไรทั้งสิ้นไหม นี่ฝ่ายชีวิตร้อน สรุปเรียกด้วยคำสั้นๆว่าชีวิตร้อน ในฐานะเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมี ไม่ควรจะมี
ทีนี้ก็พูดถึงสิ่งตรงกันข้ามคือชีวิตเย็น ในฐานะเป็นสิ่งที่ควรจะมี ชีวิตร้อนเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะมี ไม่ควรจะได้ ชีวิตเย็นเป็นสิ่งที่ควรจะได้หรือควรจะมี ฉะนั้นก็อาศัยพระธรรม อาศัยธรรมะนี่จะสกัดไอ้ชีวิตร้อน หรือว่าจะเปลี่ยนแปลงไอ้ชีวิตร้อนให้กลายกลับเป็นชีวิตเย็น นี้ซีกฝ่ายถูกต้องหรือฝ่ายเย็น มันก็อย่างว่าแหละ ถ้าเราไม่มีแม้แต่ความรำคาญสักนิดหนึ่งด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ไม่มีขัดอกขัดใจ ไม่มีรักโกรธเกลียดกลัวอะไรทั้งหมดนั่นน่ะ ชีวิตนี้ก็จะเป็นของเย็น
ในพระบาลีมีๆเรื่องไอ้ที่พูดไว้แล้วและก็ใช้คำพูดไว้แล้ว คำว่าชีวิตเย็นน่ะ แต่คนเขาไปแปลเป็นพระนิพพานไปเสียหมด แปลไปถึงระดับสูงสุดเป็นพระนิพพานไปเสียหมด เพราะรูปศัพท์มันรูปเดียวกัน รากศัพท์รากเดียวกัน คือเมื่อหญิงสาวในสกุลโคตมะคนหนึ่งเห็นพระสิทธัตถะเดินมา หญิงสาวคนนั้นเขาออกอุทานว่า นิพพุตา นูนะ โสปิตา นิพพุตา นูนะ โสมาตา นี่ นิพพุตา นิพพุตา นั่นน่ะ คำนี้มันคือคำเดียวกับคำว่านิพพาน แต่ที่แท้แล้วคำพูดคำนี้มันแปลว่าเย็น เย็น คือหญิงสาวคนนั้นเขาพูดว่า บุรุษนี้เป็นลูกของใคร พ่อของเขาจะ จะนิพพุตา คือเย็น บุรุษนี้เป็นลูกของใคร แม่ของเขาจะนิพพุตา คือจะเย็น บุรุษนี้เป็นสามีของใคร ภรรยาของเขาจะเย็น พูดอย่างนี้ร่ายไปเป็นหลายๆเย็นนะ คำว่าเย็นนี้ยังไม่ถึงนิพพานหรอก ยังไม่ถึงกับนิพพาน แต่ว่ามันศัพท์เดียวกัน มันเป็นความหมายเดียวกันคือเย็น เพราะนิพพานก็แปลว่าเย็น แต่คำว่าเย็นในนิพพาน ในความหมายนิพพานมันถึงที่สุด มันหมดกิเลส แต่ในประโยคนี้ คำพูดนี้เขาหมายถึงเย็นอย่างที่อยู่บ้านเรือนน่ะ ก็เป็นชีวิตเย็น ฉะนั้นพ่อแม่ก็จะมีชีวิตเย็น ภรรยาก็จะมีชีวิตเย็น เพื่อนฝูงก็จะมีชีวิตเย็น อะไรก็จะมีชีวิตเย็นกันหมด
ฉะนั้นคำว่าชีวิตเย็นคำนี้มันเป็นคำที่มีใช้แล้วในภาษาพูดของชาวบ้าน แม้ในครั้งพุทธกาล นี้ไม่เป็นไรล่ะ มันจะนานเท่าไรก็ช่างหัวมัน แต่ว่ามันมีสิ่งที่มนุษย์ได้รู้จักแล้วว่ามันเป็นชีวิตแบบหนึ่งที่เป็นชีวิตเย็น เพราะว่าเขาได้ทำถูกต้องหมด ไม่ก่อให้เกิดเรื่องทุกข์ร้อนแม้แต่ว่าจะรำคาญสักเท่าปีกริ้นมันก็ไม่มี จะเกิดรำ ความรำคาญเท่าสักปีกริ้นหนึ่งมันก็ไม่มี ไม่ขัดอกไม่ขัดใจ ไม่งุ่นง่าน ไม่เป็นฟืนไม่เป็นไฟ ไม่เป็นอะไรเรียกว่าเป็นชีวิตเย็น มันจะดีไหม มันจะดีเท่าไรก็ลองคิดดูเถอะ ฉะนั้นให้ถือว่าประโยชน์ของพระธรรมอันสูงสุดก็คือให้เว้นไอ้ที่ไม่ควรจะมี คือชีวิตร้อนเสีย แล้วก็ให้ได้รับไอ้ที่มันควรจะมี นั่นคือชีวิตเย็นนี้แหละเข้ามา ฉะนั้นท่านที่มาบวชมาเรียนแล้วจะลาสิกขากลับออกไปอีกนี้ ผมขอร้องให้สนใจเรื่องนี้ให้มากที่สุด คือให้ได้รับประโยชน์จากพระธรรมหรือพระศาสนามากที่สุด จนเลิกชีวิตร้อนกันเสียได้แล้วก็มามีชีวิตเย็น ถ้ามันถึงที่สุดโดยประการทั้งปวงได้ก็วิเศษแหละ ไม่เสีย ไม่เสียทีที่เกิดมา ทีนี้กลัวว่ามันจะไม่ๆได้น่ะ มันจะร้อนๆๆๆเย็นๆหนาวๆร้อนๆอย่างนี้เรื่อยไปจนเข้าโลง จนตายเข้าโลงไปมันก็ไม่สลัดไอ้ชีวิตร้อน หรือไม่อาจจะได้รับชีวิตเย็น
นี่มันต้องเป็นความรู้ที่ตนรู้ แล้วตนปฏิบัติ แล้วตนก็ได้รับ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น ไอ้พึ่งธรรมะนั่นคือพึ่งตนเอง รู้ธรรมะแล้วปฏิบัติด้วยตนเอง อันนี้เรียกว่ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีตนเองเป็นที่พึ่ง เราก็เรียนให้รู้ในส่วนที่เป็นธรรมะให้พอให้ถูกต้อง แล้วเราก็ปฏิบัติของเราเองในส่วนปฏิบัติ เราก็ได้ผล ฉะนั้นในระหว่างที่บวชอยู่นี่ก็ควรจะเรียนเรื่องของพระธรรมนี้ หรือจะปฏิบัติเอง ลองดูเอง ปฏิบัติดูเองเท่าที่จะปฏิบัติได้ ก็ดีที่สุดน่ะ แต่โดยเหตุที่มันเป็นเรื่องยาว เรื่องสลับซับซ้อน เรื่องยาว จะปฏิบัติเสร็จในระยะอันสั้นสองสามเดือนนี่คงทำไม่ได้ ฉะนั้นขอให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วทำเรื่อยไปเถอะ แม้สึกไปแล้ว ลาสิกขาไปแล้วก็ยังปฏิบัติได้เต็มที่ ไม่ใช่ว่าสึกไปแล้วมันจะปฏิบัติไม่ได้ เรื่องนี้มันก็ปฏิบัติได้ แต่ว่าไปเป็นชาวบ้านนั้นมันคงจะปฏิบัติยากบ้างเป็นธรรมดาเพราะสิ่งที่รบกวนมันมีมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องปฏิบัติได้ เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีไว้สำหรับภิกษุเท่านั้นน่ะ ไปดูเถอะ ท่านสอนให้มหาชนน่ะ ทั้งเทวดาและมนุษย์แหละ จะต้องประพฤติธรรมะนี้ได้ แล้วก็ได้รับผลอันนี้ได้ ก็เป็นอันที่แน่ เป็นอันแน่นอนว่าแม้ฆราวาสก็ทำได้ ทำไปเถอะ มันจะสลัดไอ้ชีวิตร้อนนั้นน่ะออกไปเสีย แล้วก็จะพบกันเข้ากับชีวิตเย็น แล้วมันก็ ก็เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป เย็นยิ่งขึ้นไปๆๆ มันก็ถึงจุดสูงสุดคือพระนิพพานอันสมบูรณ์ได้สักวันหนึ่งถ้าต้องการ
เดี๋ยวนี้ก็มันมีอย่างนี้ ว่าประโยชน์ของพระธรรมหรือพระศาสนาอยู่ตรงที่ว่าจะให้เลิกไอ้ชีวิตร้อนหรือสิ่งที่ไม่ควรจะมีนั้นออกไปเสียให้หมด แล้วก็ให้ประสบชีวิตเย็นหรือสิ่งที่ควรจะมีนี่ได้อย่างเต็มที่ แล้วไปคำนวณดูเถอะ มันจะมีอะไรอีกล่ะ มันไม่มีอะไรอีกแล้ว ที่มันเหลืออยู่สำหรับควรจะต้องการอีกน่ะมันไม่มี เขาเรียกว่าจบหน้าที่ จบกิจพรหมจรรย์ อะไรที่จะทำให้ดีไปกว่านี้อีกไม่มีอีกแล้ว มันดีเท่านี้แหละ ถ้าพูดว่าดีน่ะ ไอ้ที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อดับทุกข์น่ะมันมีเท่านี้ เลิกชีวิตร้อนเสียให้ได้ อยู่ด้วยชีวิตเย็น แล้วก็พอแล้ว ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ คือเป็นสัตว์ที่มีความคิดนึกรู้สึกได้อย่างละเอียดสุขุมสูงสุด แล้วเราก็ได้ใช้คุณค่าอันนี้ของความเป็นมนุษย์ได้เต็มที่ เต็มตามที่มันควรจะเป็น
นี้มันเรียกว่ามันเป็นเรื่องเป้าหมายที่ควรจะมีกันไว้อย่างถูกต้อง ทีนี้จะทำอย่างไรมันอีกเรื่องหนึ่งนะ จะๆๆสำเร็จเป้าหมายอันนี้โดยการกระทำอย่างไรนั่นน่ะคือการปฏิบัติทั้งหมดแหละ การปฏิบัติทั้งหมด แต่คำว่าทั้งหมดนี้อย่าตกใจ มันไม่ใช่ ๘๔,๐๐๐ เรื่อง ๘๔,๐๐๐ ธรรม พันธรรมขันธ์เหมือนที่เขาพูดๆกัน เพราะว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมันสรุปลงเหลือได้เป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำอีกเหมือนกัน มันก็มาอยู่ที่คำว่าความรู้ ความรู้ ก็รู้เหมือนที่ว่านี่ ว่ามันมีความทุกข์อย่างนี้ แล้วมันไป มันเกิดขึ้นเพราะไปจับฉวยยึดถือเอามาเป็นตัวกู มาเป็นของกู ยึดถืออะไรสักนิดหนึ่งมันก็เป็นทุกข์ทันที ฉะนั้นอย่ายึดถือ ความดับทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็คือไม่ไปยึดถือ ไม่ไปหลงยึดถือ มันก็เหลืออยู่ว่าทำไม ทำอย่างไรจึงจะไม่ยึดถือ ก็เพราะๆ ก็ตอบเท่านั้น เพราะ อ่า, ก็ ก็รู้จักมันให้ดีสิ เพราะรู้จักมันดีจึงไม่ยึดถืออะไร พูดเหมือนพูดเล่นใช่ไหม แต่เพราะรู้จักมันดีว่ามันคืออะไรมันก็ไม่ยึดถือ เพราะรู้จักมันดีว่ายึดถือไม่ได้ เพราะรู้จักมันดีว่าไปยึดถือเข้าแล้วมันก็จะกัดเอา คือมันจะเป็นชีวิตร้อนขึ้นมา ถ้าไปยึดถือเอาอะไรเข้าว่าเป็นตัวตนของตนอะไรก็ดี มันจะกัดเอาคือมันจะกลายเป็นของร้อนขึ้นมา เหมือนกับว่าวางของหนักทิ้งลงไปแล้ว ไปเอาๆกลับขึ้นมาถืออีก มันก็กัดเอาอีก ฉะนั้นอย่าไปยึดถือ มันจะหนัก คือมันจะกัดเอา พออย่างนี้มันก็ ก็ไม่ยึดถือน่ะ มันก็ทิ้งลงไป แล้วอย่าเผลอ อย่าโง่ อย่าเผลอเอามายึดถือเข้าอีก มันก็จะกัดเอาอีก
ไอ้ที่คำที่ๆพระพุทธเจ้าตรัสว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละสำคัญที่สุดแหละ ครั้งหนึ่งเราบอกว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็น ยึดมั่นถือมั่นน่ะหมายความว่าเป็นตัวเราของเรา ยึดมั่นเป็นตัวเราของเรา บอกว่าเธอไปเขียนไว้ที่กระจกส่องหน้า กระจกแต่งตัวนั่น ประโยคนี้ สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ก็มีคนไปเขียนบ้างเหมือนกัน กันลืมที่กระจกแต่งๆตัว หรือจะไปเขียนไว้ที่ตรงไหนก็ได้ ถ้าว่าเราอยากจะมีไอ้เครื่องเตือนสติกันลืมแล้วก็ผมว่าประโยคนี้เหมาะที่สุดที่จะสะ จารึกลงไปในพระเครื่องที่ใช้แขวนคอ เดี๋ยวนี้พระเครื่องแขวนคอเขาจารึกอะไรกันก็ไม่รู้นะ ผมไม่ค่อยสนใจหรอก แต่ผมว่าอันนี้จะดีที่สุดถ้าคุณจะเอาไปไว้เตือนสติก็ สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งปวงอันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
แต่เดี๋ยวๆนี้ผมมีคำใหม่แล้วเว้ย สั้นกว่านั้นอีก คือตถตา ตถตา ตถาตา เพราะมันเป็นอย่างนั้นเองจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น ตถตา สามพยางค์นั้นเขียนไว้ที่พระเครื่องนะ จารึกไว้ที่พระเครื่องว่าตถตา คำอธิบายทั้งหลายพูดกันเข้าใจดีแล้ว แล้วมองเห็นคำว่าตถตา มันก็กลับมาหมด ตถตา สามพยางค์ เช่นนั้นเอง ความเป็นเช่นนั้นเอง ไอ้คำนี้ทนทานที่สุด ไม่มีอะไรมาทำลายได้ ตถตา ความเป็นเช่นนั้นเองแข็งแกร่งที่สุด ไม่มีอะไรทำลายได้ คือมันอยู่เหนือเหตุปัจจัย ไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้ ตถาตา ไม่มีอะไรปัจจัยปรุงแต่งได้ มันเป็นกฎอสังขตะ มันเป็นอย่างนั้นเอง ถ้ามันมีอะไรปรุงแต่งได้มันไม่ตถตาหรอก มันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้ามันตถตา อย่างนั้นเองแล้วมันต้องเป็นอสังขตะ มันอยู่เหนือการปรุงแต่ง ฉะนั้นจารึกคำว่าตถตาลงไปในพระเครื่องที่แขวนคอ
เชื่อว่าที่นั่งกันอยู่ทั้งหมดนี้คงมีหลายๆองค์นะที่ๆมีพระเครื่องแขวนคอ เมื่อยังไม่บวชนะ คุณไปดูเสียใหม่สิ ถ้ามีคำว่าตถตาจารึกอยู่ที่พระเครื่องแล้วจะทนทานที่สุด จะไม่เปลี่ยนแปลง ให้ยกแก้วเหล้าข้ามหัวกี่ครั้งๆก็ไม่เปลี่ยนแปลงล่ะ ถ้าพระเครื่องจารึกอย่างอื่น รูปหลวงปู่คนนั้นคนนี้ ยกข้าม แก้วเหล้าข้ามหัวทีเดียวหนีหมดแหละ เลิกหมดแหละ อย่างเอามาแขวนไว้ที่คอนี้มันหลีกไม่ค่อยพ้นนะที่จะยกแก้วเหล้าข้ามหัว ฉะนั้นเราเอาที่ทนที่สุด ตถตา แขวนไว้ที่คอ จะยกแก้วเหล้าข้ามหัวกี่ครั้งก็ยังคงตถตาอยู่นั่นแหละ ไม่เปลี่ยนหรอก ถ้ารูปหลวงปู่หลวงพ่อหรือข้อความอย่างอื่นผมเชื่อว่ามันเปลี่ยน มันเสื่อมไป มันสลายไป เพราะมันเป็นตัวตน มันเป็นบุคคล มันเป็นไอ้เหตุปัจจัยปรุงแต่งได้ ไม่เหมือนคำว่าตถตา เป็นสิ่งที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ เป็นธรรมะสูงสุด เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งสิ่งทั้งอื่นแล้วก็ได้ ปรุงแต่งสิ่งอื่นแต่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งตถตาได้
อิทัปปัจจยตานั้นน่ะ ขยายความออกไป แต่ถ้าย่นเข้ามาก็เหลือแต่ตถตา ถ้าเรามีตถตาแล้วเราจะไม่หลงรัก หลงเกลียด หลงโกรธอะไร นี่แหละความรู้สูงสุดที่จะดับทุกข์ได้ จะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ คือความรู้เรื่องตถตา ตถตา มันไม่ลึก มันไม่ยากหรอก ไปมองเข้าไปก็จะเห็นสิ ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าต้องลงทุนเรียนกันเป็นปีๆ ไอ้เรื่องตถตานี่ไปมองดู จะมองเห็นทันที มันเป็นอย่างนั้นเองตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ อร่อยก็ตถตา ไม่อร่อยก็ตถตา แล้วจะไปยินดียินร้ายกับมันทำไมเล่า ได้ก็ตถตา เสียก็ตถตา จะไปยินดียินร้ายกับมันทำไมเล่า แพ้ก็ตะ ตถตา ชนะก็ตถตา แล้วจะไปยินดียินร้ายกับมันทำไม คงที่อยู่ดีกว่า ดีก็ตถตา ชั่วก็ตถตา อย่าไปยินดียินร้ายกับมันสิ ถ้าใครมีความรู้เรื่องตถตาแล้วก็ไอ้โลกธรรมทั้ง ๘ ไม่รู้ไปไหนหมดแหละ ได้ลาภเสื่อมลาภ ได้ยศเสื่อมยศ ได้นินทาได้สรรเสริญ ได้สุขได้ทุกข์ ที่เรียกกันว่าโลกธรรม ๘ นั่นน่ะ มันทนต่อตถตาไม่ได้หรอก ถ้าตถตาเข้ามามันหนีไปไหนหมด ไม่มีปัญหาเรื่องโลกธรรม ฉะนั้นคนเขาจึงชนะสิ่งทั้งปวงได้เพราะความรู้เรื่องตถตา ไม่มีอะไรมาทำให้หลงรักได้ ไม่มีอะไรมาทำให้หลงเกลียดหรือโกรธได้ เท่านี้มันพอแล้ว ถ้ามันไม่มีเท่านี้แล้วมันก็จะไม่มีหลงกลัว หลงไอ้อิจฉาริษยา หลงอาลัยอาวรณ์ หึงหวงอะไรมันจะไม่มีล่ะ ถ้ามันเห็นตถตาเพียงว่าไม่หลงรักและหลงโกรธก็พอแล้ว คือไม่ยินดีไม่ยินร้ายนั่นแหละ แล้วมันก็จะไม่มีปัญหาอันอื่น
ผู้ที่เห็นตถตาถึงที่สุด มันก็หมดความหมาย หมดความหมาย ดีชั่ว สุขทุกข์ แพ้ชนะ ได้เสีย หรือขาดทุนกำไรอะไร มันหมดความหมายหมด แล้วมันจะร้อนได้อย่างไร ไอ้ชีวิตนี้มันจะร้อนได้อย่างไรล่ะ เพราะมันหมดความหมายไปหมดนี่ ไอ้สิ่งที่ทำให้ร้อนน่ะมันหมดความหมายไปหมด มันก็เย็นเท่านั้นแหละ เมื่อความร้อนไม่มีแล้วมันก็เย็นแหละ ไม่ต้องไปอ้อนวอนอะไรให้เย็นแล้ว เมื่อความร้อนมันไม่มีแล้วมันก็เย็น เย็นเองมันน่ะ
แต่ว่าคนสมัยนี้ไม่ๆๆเข้าใจได้ง่าย ง่ายนักหรอก เพราะเขาหลง หลงมากเกินไปในเรื่องจะรักจะโกรธจะเกลียดจะกลัว หลงความเอร็ดอร่อยมากเกินไป พูดตถตานี้เขาก็ฟังไม่ค่อยถูก เช่นเดียวกับไอ้ผมเคยพูดเรื่องจิตว่างนั่น เขาฟังไม่ถูกหรอก ส่วนหนึ่งฟังไม่ถูก แล้วก็พูดกระทบกระเทียบกระแนะกระแหน ด่าว่าล้อเลียนอะไรไปตามเรื่อง เพราะเขาฟังไม่ถูกคำว่าจิตว่าง กลายเป็นเรื่องเสียหายไปเลย จิตว่าง นี้เรื่องเช่นนั้นเองก็เหมือนกันแหละ คนที่ฟังไม่ถูกมันจะเห็นว่า โอ๊ย, คำพูดไร้สาระ บ้าๆบอๆ ใช้อะไรไม่ได้ แต่ว่าคำว่าเช่นนั้นเองน่ะคือหัวใจของพระพุทธศาสนา ถอดรูปออกมาจากอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท เป็นหลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ตรัสรู้แล้วเคารพเลย เคารพทันทีเลย เคารพธรรมะที่ตรัสรู้คือ อิทัปปัจจยตา แล้วหัวใจของอิทัปปัจจยตาคือคำว่าตถตา ฉะนั้นเมื่อๆๆคุณสวดมนต์แปลบทปฏิจจสมุปบาท มันจะมีคำเหล่านี้ ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโท น่ะ พอสวดถึงบทนี้ช่วยนึกถึงไอ้ที่ผมพูด อย่าสวดอย่างนกแก้วนกขุนทองไปเสียหมด ไอ้ตถตานั้นมันจะทำให้มั่นคงๆ ไม่มีอะไรทำให้เปลี่ยนแปลงได้ คนเข้าถึงตถตาแล้วก็ ก็หมดปัญหา เป็นพระตถาคตไปเลย ตถาคตะ ตถาแปลว่าตถตา คตะแปลว่าถึง ตถาคตแปลว่าผู้ถึงตถา อริยสัจ ๔ เรียกว่าตถา มีในพระบาลี ถึงสิ่งที่เป็นเช่นนั้นเองคือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คืออสังขตะ คือนิพพาน คือวิสังขาร คือ แล้วแต่จะเรียกน่ะ มีคำเรียกเยอะแยะไป แต่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง มันเปลี่ยนไม่ได้
เดี๋ยวนี้เราก็มาดูกันด้วยความรู้ธรรมดาๆนี่แหละ ว่าอะไรบ้างน่ะที่มันไม่เป็นเช่นนั้นเองตามแบบของมัน ความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี ความอะไร แพ้ก็ดี ชนะก็ดี ได้กำไรก็ดี ขาดทุนก็ดี กี่คู่ๆๆเอามาจับดูเถอะ ล้วนแต่มีความเป็นเช่นนั้นเอง เป็นไปตามกฎแห่งเช่นนั้นเองคืออิทัปปัจจยตา ก็เลิกกัน เลิกๆๆๆไปหลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียด หลงกลัว หลงอะไร นี่ความรู้ที่จะแก้ได้
ทีนี้ปัญหาต่อไปมันก็เหลืออยู่แต่ว่า ทำไมจะเอา ทำอย่างไรจึงจะเอาความรู้นี้มาใช้ได้ทันๆๆท่วงทีทันเวลา อันนั้นก็คือสติ คือสติ เดี๋ยวนี้สติไม่พอนี่ อะไรมากระทบเข้าแล้วเอร็ดอร่อยจมปลักไปแล้ว พรุ่งนี้จึงตถตา แล้วมันจะช่วยกันได้หรือ เรื่องมันเกิดที่นี่เดี๋ยวนี้ แล้วพรุ่งนี้มะรืนนี้จึงจะตถตานี้มันก็ตายเลย ฉิบหายหมด มันต้องมีสติ มีอะไรมาถึงเข้ามาเผชิญเข้า ก็ตถตารับหน้า กระเด็นออกไป เพราะฉะนั้นการมีสติที่เพียงพอเท่านั้นที่จะช่วยได้ มีแต่ความรู้ไม่พอหรอก มันไม่มานี่ ไอ้ความรู้มันไม่มานี่ มันนอนหลับเสียที่ไหนก็ไม่รู้ สติต้องไปปลุกเอามา เอามาๆทันควันที่ว่ามันมีเรื่องแล้ว มีเรื่องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนังแล้ว มีเรื่องแล้ว สติเขามาทัน เอาตถตามาด้วย ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันก็เลยถูกกระทำให้เลิก ให้หมดความหมาย ให้หมดฤทธิ์หมดเดช ไม่ปรุงแต่งจิตใจได้
ฉะนั้นอุตส่าห์ฝึกสติกันให้มากๆสิ มีวิธีฝึกหลายอย่าง วิธีฝึกที่ดีที่สุดคือไอ้แบบที่เรียกว่า อานาปานสติ ฝึกอานาปานสติเรื่อยๆไปแหละ จะมีสติเพียงพอสำหรับจะไปเอาตถตาหรือความรู้มาใช้ทันควันทันเวลาที่อารมณ์มันมากระทบ ฉะนั้นมันเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ สตินี้ถ้ามีพอแล้วมันจะเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ถ้ามันไม่มีไม่พอก็มันก็ไม่มาหรอก มันก็คลานเป็นเต่ามา มันก็ไม่ทันน่ะกับเรื่องกิเลสคือมันเป็นสายฟ้าแลบ
มันอุตส่าห์หน่อย ขยันหน่อย ฝึกสติไว้เรื่อยๆทุกวันๆๆ จนเป็นผู้มีสติเพียงพอ สติเพียงพอนี้ก็หมายความมาเร็วทันเวลา สติเพียงพอคือสติมาเร็วทันเวลา ปริมาณไม่ค่อยสำคัญน่ะ แต่ต้องการความเร็วที่มาทันเวลา นั่นน่ะเป็นเรื่องของสติ ปริมาณมากพอเป็นเรื่องของปัญญา ความรู้เรื่องตถตาน่ะให้มันมากพอ แล้วสติให้มีความเร็วพอ เอาความรู้ตถตามาทันเวลา แล้วก็ เราก็ เราก็ไม่ตกเป็นฝ่ายที่กิเลสจะเกิดขึ้นหรือลากตัวไป ฉะนั้นก็ควบคุมตาหูจมูกลิ้นกายใจได้ สำรวม สังวร คุ้มครอง ป้องกันไอ้ตาหูจมูกลิ้นกายใจได้ด้วยอำนาจของสติ
ประพฤติอย่างนั้นน่ะคืออัฏฐังคิกมรรคแหละ เพราะว่าไอ้ตถตานั้นคือสัมมาทิฏฐิสูงสุดอยู่แล้ว แล้วก็ต้องการอย่างยิ่งอยู่แล้วที่จะดับทุกข์ จะออกมาเสียจากความทุกข์ แล้วสติมีพอ ไม่ผิดพลาดทางกาย ทางวาจา ทางอาชีพ ทางความเพียร ทางอะไร แล้วจิตก็มั่นคง คือสมาธิน่ะเพราะสติอีกเหมือนกัน เป็นอยู่อย่างถูกต้องสำหรับจะไม่เกิดความทุกข์ แต่เราจะไม่พูดให้ยืดยาว ยืดยาดหลายเรื่อง เก้าเรื่องสิบเรื่อง ผมก็ไม่ค่อยชอบแล้วเดี๋ยวนี้ พูดสองเรื่องว่ามีสติกับมีตถตา มีสติ แล้วก็มีปัญญาคือตถตาพอแล้ว สมาธิรวมอยู่ในนั้นแหละ รวมอยู่ในสตินั่น แล้วก็รวมอยู่ในปัญญาด้วย เมื่อทำอยู่อย่างนี้มันเป็นศีลของมันเองแหละ ไม่ต้องแยกศีลออกไปปฏิบัติจนตายก็ไม่มีศีล เพราะมัน มันยึดมั่นถือมั่นในเรื่องศีล ปฏิบัติอยู่อย่างนี้มันมีศีลดีที่สุดเป็นอัตโนมัติ มันไม่มีทางจะผิดได้
ทำอานาปานสติจะทำให้มีศีลอยู่ในตัวนั้น มีสติอยู่ในตัวนั้น มีปัญญาอยู่ในตัวนั้น มีสมาธิ มีครบหมดแหละที่ต้องการน่ะ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ที่เรียกว่า พละ ๕ อินทรีย์ ๕ มาครบโดยอัตโนมัติอยู่ในนั้น พอปฏิบัติถูกแล้วมันมาเองเป็นอัตโนมัติครบอยู่ในนั้น ฉะนั้นถ้าเราจะพูดกันเป็นธรรมดาๆก็ว่ามีสติ ฝึกสติให้เร็วให้พอ แล้วมีปัญญาพอ หรือว่าตถตา ทีนี้มันก็มีความมั่นคงอยู่ในตัวมันเอง แม้จิตใต้สำนึกเวลาหลับไปแล้ว ใต้สำนึกก็จะไม่ปรุงไปในเรื่องของกิเลส มันก็มีความ อะไร บริสุทธิ์ ผ่องใส แจ่มใส เกลี้ยงเกลา ว่องไวอะไรไปตามแบบของธรรมะ นี่เรียกว่ามันมีชีวิตเย็น มีชีวิตเย็น จิตมันบริสุทธิ์เข้มแข็ง ว่องไวในการคิดนึก คือสติ จิตว่องไวก็คือสติ
ขืนพูดจำ จำแนกแจกแจงมันก็มากแหละ ผมๆไม่ค่อยชอบนักหรอก เว้นแต่จำเป็น เดี๋ยวนี้ก็จะพูดแต่เพียงว่า มาบวชกันทั้งทีขอให้ได้ความรู้เรื่องพระธรรมหรือพระศาสนาที่จะเป็นประโยชน์คือขจัดชีวิตร้อนๆ แบบร้อนออกไปเสียได้ ให้มันกลายเป็นชีวิตแบบเย็น แล้วก็เย็นไปจนตาย อันนั้นทำได้เพราะมีสติมากพอ มีปัญญามากพอ ปัญญาในที่นี้ก็คือความรู้เรื่องว่าอย่าไปเอากับมัน มันเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติเช่นนั้นเอง อย่าไปหลงกับมัน เราเคยหลงมามากมายแล้ว หลง หลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียด หลงกลัว ไปหลงไอ้ของเป็นคู่ๆ หลงในเรื่องได้ หลงในเรื่องเสีย หลงในเรื่องแพ้ หลงในเรื่องชนะ เรื่องกำไร เรื่องขาดทุน เรื่องมั่งมี เรื่องยากจนอะไร มันหลงกันมามากมายแล้ว อย่าไปหลงในเรื่องดีเรื่องชั่ว ให้อยู่เหนือนั้นเสียเถิด ความชั่วก็กัดเอา ไอ้ความดีถ้าไปหลงกับมันมันก็กัดเอา หลงดี บ้าดี นั้นดีมันจะ จะฉิบหายหมดแหละ
ตถตาตัวเดียวช่วยได้ ทำชีวิตร้อนให้เป็นชีวิตเย็นได้ เอาไปจารึกแขวนคอไว้กันลืม หรือว่าตรงไหนที่มันจะเหลือบเห็นได้ง่ายๆ เขียนคำว่าตถตาไว้บ้าง แม้จะเขียนในส้วมก็ไม่เป็นไรนะ มันศักดิ์สิทธิ์พอที่จะไม่เปลี่ยนแปลงน่ะ รับรองว่าตถตานี่จะไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะไปเขียนไว้ในส้วม แต่คงไม่มีใครทำกระมัง เขายึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี พระพุทธรูปทุกองค์ควรจะจารึกคำว่าตถตา โดยเฉพาะที่ผ้าทิพย์ที่ปรกลงมาที่ฐานชุกชีตรงนั้นน่ะ เขียนคำว่าตถตาๆไว้ทุกองค์
ไปรู้จักชีวิตร้อนให้ถูกให้ครบให้ถ้วนให้ละเอียด แม้ละเอียดที่สุด แม้แต่ความรำคาญนิดหนึ่งก็ให้ถือว่าเป็นความผิดแล้ว ทางธรรมะมันผิดแล้ว ถ้าโมโหโทโสแล้วยิ่งบ้าเลย ฉะนั้นอย่าหงุดหงิด อย่ารำคาญ อย่ามีอารมณ์อะไรที่มันขัด ขัดแค้นหงุดหงิด รำคาญอยู่ข้างใน ผมฟังออกพระองค์ไหนให้ศีล พระที่เทศน์ที่ให้ศีลน่ะ ว่านะโมน่ะ พอว่านะโมจบผมฟังออกทันทีว่าไอ้ๆหมอนี่มีอะไร อารมณ์ค้างอะไรอยู่ข้างใน หางเสียงของคำสุดท้ายน่ะมันบอก
เอาแล้ว พอแล้วเรื่องชีวิตร้อน เลิกกัน เรื่องชีวิตเย็นสร้างขึ้นมาโดยสติและอิทัปปัจจยตา นี่คือหัวข้อ พูดแต่หัวข้อ รายละเอียดดูเองๆๆๆๆ อันนี้หัวข้อหมดแล้ว ใครมีปัญหาอะไรจะถามหรือเปล่า หมดเวลาบรรยายแล้ว มาถึงเวลาถามแล้ว
อาบน้ำ ๓ วันรำคาญไหม คุณเคยไหม ฮะ เคย ไม่อาบน้ำมา ๓ วันแล้วมันรำคาญไหม นี่ข้อสอบไล่แหละ ข้อสอบไล่ ว่าคุณจะรำคาญไหม ไม่กวาดที่นอนสัก ๕ วันแล้วนอนนี่รำคาญไหม ไปทำดูเอง อะไรที่มันจะทดสอบเราได้ว่าเรารำคาญไหม ก็ลองๆดู สอบไล่ดู ถ้ายุงมาตอม ไอ้ๆๆผู้สอบไล่ที่ดีที่สุดคือแมลงหวี่ แมลงหวี่ที่ตอมตา ถึงฤดูใหม่ ชุมเหลือเกิน ถ้าไม่รำคาญได้มันก็ดี หา, เอาสิ ปีนี้ไม่เห็นมา แมลงหวี่ ในพรรษานี่มันเป็นๆฤดูที่มีแมลงหวี่ แล้วมันตอมตาเรื่อย แล้วเข้าไปในจมูกด้วย
ภิกษุถามปัญหา : ขอโอกาสถามว่าสติกับสมาธิเป็นอันเดียวกันหรือไม่ ถ้าไม่เหมือนกันเพราะอะไร ถ้าเหมือนกันนะครับ เหมือนกันอย่างไรครับ
ท่านพุทธทาส : นั่นแหละ ปัญหาลูกเด็กๆ ปัญหาทางภาษาทางหนังสือ คำว่าสติเขาก็จัดไว้ในกลุ่มสมาธิศีล สมาธิ ปัญญาน่ะ เขาจัดไอ้สติ ไอ้สมาธิ วายามะอะไรไว้ในกลุ่มของสมาธิ คือมันเครือเดียวกัน มันมาจากความตั้งจิตแน่วแน่ด้วยกัน นี่ถ้ามันแยกไปตั้งมั่นน่ะมันเป็นสมาธิ ถ้ามันแยกไปแล่นส่งข่าวเหมือนกับจรวดนี่มันก็เรียกว่าสติ คำว่าสติคำนี้แปลว่าสิ่งที่แล่นไป คำเดียวกับลูกศรน่ะ ศระแปลว่าลูกศรน่ะ คือมันแล่นไปอย่างนั้นน่ะ คำว่าสติก็มีความหมายอย่างเดียวกับศัพท์ๆนี้ มันแปลว่ามันแล่นไป ความระลึกได้ ความระลึกได้คือความที่มันแล่นไป ถ้าว่าจิตไม่ตั้งมั่นเป็นอันเดียว แล่นไม่ไปหรอก มันแล่นไม่ไปหรอก เหมือนกับลูกศรนะมันต้องเล็กพอ แล้วก็เป็นอันเดียว เล็กๆมันแล่นได้ ถ้ามันฟุ้งซ่าน มันพวงเบ้อเร่อแล้วมันก็แล่นไม่ได้ จิตที่รวมกำลังเป็นอันเดียวตั้งมั่นทำหน้าที่ก็เรียกว่าสมาธิ ถ้าแล่นไปเพื่ออะไรก็เรียกว่าสติ โดยเนื้อตัวก็สิ่งเดียวกัน โดยหน้าที่ที่มันทำน่ะมันต่างกัน อันหนึ่งมันอยู่กับที่ อันหนึ่งมันแล่นไป นี่พูดโดยอุปมาเป็นอย่างนี้ ลูกปืนถ้ามันอยู่กับที่มันทำอะไรใครได้ ถ้ามันแล่นไปลองดูสิ มันทะลุ
นี่คุณจะให้ตอบอย่างตอบนักธรรมในโรงเรียนนี่ เขาบอกว่าโดย โดยเนื้อแท้ของคำความหมายมันสิ่งเดียวกันน่ะ แต่โดยหน้าที่การงานมันคนละอย่าง สมาธิมันหยุดอยู่กับที่ สติมันแล่นไป ตอบเท่านี้เขาให้คะแนนแน่ในโรงเรียนนักธรรม เอ้า, มีอะไรอีกก็ว่าไปอีกสิ หา
ภิกษุถามปัญหา : ไม่มีครับ
ท่านพุทธทาส : นี่เป็นปัญหานักธรรมทั้งนั้นแหละ ปัญหาโรงเรียนนักธรรมโดยตามตัวหนังสือบ้าง โดยคำอธิบายแบบนักธรรม พระพุทธเจ้าสงเคราะห์สัมมาสัง อ่า, สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโปไว้เป็นปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว เป็นศีล สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิ ที่เราอาจจะได้ยินได้ฟังแล้วเข้าใจได้จำได้ แต่ถ้าเข้าใจแล้วคงจะไม่ถาม ไอ้ ๓ อย่าง ๓ กลุ่มนี้จัดไว้อย่างนี้ กำลังจิตที่รวมกันตั้งมั่นเป็นหน่วยเดียวก็เป็นสมาธิหมด เช่นว่าวายาโมเป็นสมาธินี่มันต้องรวมกำลังจิตทั้งหมดเป็นหน่วยเดียว แล้วทำอะไรอยู่นั่นก็มันเป็นกลุ่มสมาธิ วาจา พูดดี กัมมันโต ทำดี อาชีโว เลี้ยงชีวิตดี นี้ก็เป็นศีล
อย่าลืมคำ ๓ คำ ชีวิตร้อน ชีวิตเย็น ตถาตา จะแก้ร้อนให้เป็นเย็น ผมเชื่อว่าพูดให้เด็กๆเข้าใจก็ยังทำได้ พยายามหน่อย เด็กๆเขาจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ เพราะไม ในคัมภีร์เขามีเป็นพระโสดาบันกันตั้งแต่ ๗ ขวบ เป็นพระอรหันต์กันตั้งแต่ ๑๕ ขวบมันก็มีนะ ฉะนั้นอย่าดูถูกลูกหลานเลย ช่วยสอนเขาให้รู้เรื่องที่มีประโยชน์นี้บ้าง เอ้า, ไม่ถามแล้วปิดประชุมแล้ว ผมก็เจ็บคอเป็นหวัดอยู่ด้วย ไม่ถามนี่ เพิ่งจะเป็นหวัดเมื่อวาน