แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้เป็นการกล่าวชนิดที่เรียกว่า ปัจฉิมนิเทศ เป็นครั้งสุดท้าย ตามสมควรที่เห็นว่าจะต้องกล่าว ฉะนั้นข้อแรกผมก็อยากจะพูดถึงการทำวัตร แบบที่ทำไปหยกๆ นี้ ขอแสดงความยินดีที่ยังทำกันได้ และขอแสดงความหวังว่าจะช่วยกันฟื้นฟูให้กลับมาเพื่อเป็นการกระทำที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่ขอไปที ในการทำอย่างขอไปทีนั้น เป็นการหลอกลวงตัวเองชนิดหนึ่ง ไม่ควรจะมี ที่ว่าสมบูรณ์แบบนั้น มันสมบูรณ์แบบทั้งโดยเวลา โดยกาลเวลา และโดยเนื้อหาของเรื่อง เป็นแบบเดิมของไทย บรมโบราณ ตั้งแต่ครั้งไหนนี่ต้องก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่ ก็มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยก็ได้ การทำวัตรแบบนี้ ก็เพิ่งจะมาเปลี่ยนอย่างแบบลวกๆ เมื่อพระสงฆ์ไทยไปประดิษฐานพระศาสนาในลังกา ก็ได้นำเอาแบบนี้ไปด้วย ในลังกาจึงใช้แบบนี้ของไทยและยังใช้อยู่จนบัดนี้ ส่วนไทยผู้เป็นเจ้าของเดิมนี้ชักจะเปลี่ยน นี่เรียกว่าสมบูรณ์โดยเวลาคู่กันมากับคณะสงฆ์ไทย ที่สมบูรณ์ในเนื้อหานั้นมันมีเนื้อหาที่ดี ไม่ใช่ขอโทษอย่างเดียว
ข้อที่ ๑ เป็นการแสดงความเคารพ
ข้อที่ ๒ เป็นการขอโทษ อภัย
ข้อที่ ๓ เป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน
ซึ่งเป็นความจำเป็นมาก คือจะไม่แตกสามัคคีหรืออิจฉาริษยากัน
อุกาสะ วันทามิ ภันเต นี่ขอแสดงความเคารพ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต นี่ขอโทษ
มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง นี่คือแลกเปลี่ยนส่วนบุญ ซึ่งกันและกัน
เมื่อตะกี้ขาดไปประโยคหนึ่ง สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง สามินา กะตัง เอ่อ, คุณ, อะนุโมทิตัพพัง ไม่ได้ว่า แค่ว่ามีให้ท่านอนุโมทนา ส่วนใด กุศลใดที่ท่านมี ขอให้ให้แก่ข้าพเจ้า มันมีอย่างนั้น มันเป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญ สิ่งใดที่ผมมีขอให้ใต้ท้าวอนุโมทนา ส่วนที่ใต้ท้าวมีจงให้ให้แก่กระผม นั้นคือแลกเปลี่ยนส่วนบุญ
ฉะนั้น ถ้าถือปฏิบัติได้ตามหลักนี้ ความมั่นคงก็จะมี คือจะเคารพซี่งกันและกันเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นธรรมะสำคัญสำหรับหมู่คณะ ถ้าไม่อยู่กันด้วยความเคารพแล้วมันก็ขัดแย้งวินาศนะ ฉะนั้นก็ต้องขอโทษนี้เป็นธรรมดา เพราะว่าปุถุชนมันก็มีการละเมิด แม้โดยจิตใจ ไม่ได้พูด ไม่ได้ทำอะไร แต่ในใจมันคิดละเมิด ดูหมิ่น ดูถูก อะไรก็ตาม มันก็เป็นสิ่งเศร้าหมองเหลือค้างอยู่ในใจ ควรจะกวาดทิ้งไปเสีย
นี่เรียกว่าเราจะอยู่โดยไม่มีโทษ จะอยู่ด้วยกันและกันโดยไม่ต้องมีโทษที่ล่วงเกินผูกพันอะไรกันอยู่ และแลกเปลี่ยนส่วนบุญนั้น มันเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง คือความรักสามัคคี ไม่อิจฉาริษยา มันอยู่ได้ด้วยการกระทำอย่างนี้ คือว่าระหว่าง ๒ ฝ่ายนั้นมันมีการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงขอร้องให้พยายามเถิด ให้มีการทำวัตรแบบนี้กลับมา มันจะเพาะนิสัยให้ทำอะไรทำจริง ไม่ทำพอสักว่าแล้วๆ กัน โดยถือว่าบูรพาจารย์แต่กาลก่อน ท่านได้เลือกเฟ้นดีแล้ว ท่านจึงได้ประกอบแบบทำวัตร แบบนี้เข้ามา แม้ว่าในพระบาลีจะไม่มีการทำวัตรแบบเดียวครบทั้งสามอย่างในที่เดียวกัน แต่มันก็มีคำสอนอยู่ทั้งสามอย่างนั้นน่ะในที่ต่างแห่งกัน ก็มาใส่เข้าด้วยกัน เป็นการทำวัตรที่มีสาม ความหมาย ช่วยกันรักษาไว้ และช่วยกันอบรมภิกษุ สามเณร ให้ปฏิบัติตามนี้ คือ
เคารพกัน
ขอโทษซึ่งกันและกัน
แลกเปลี่ยนส่วนบุญซึ่งกันและกัน
นี้ ขอฝากติดไปด้วย เพื่อช่วยฟื้นฟูให้กลับมาในฐานะที่ว่าจะต้องช่วยกันให้ศีลธรรมกลับมา
ทีนี้ ข้อที่ว่า ขอบคุณ นี่ผมขอพูดเป็นส่วนตัว ว่าไม่ต้องขอบคุณ เพราะมันเป็นหน้าที่ ในสา, ในฐานะที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าน่ะ มีหน้าที่ที่จะต้องทำอย่างนี้ ทำสนองพุทธประสงค์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องขอบคุณ
ถึงผมก็ดี ท่านทั้งหลายก็ดี ที่ทำนี้เพื่อสนองพระพุทธประสงค์ ถ้าว่าขอบคุณ ผมก็จะขอบคุณท่านทั้งหลายที่มาเยี่ยมที่นี่ ก็ขอบคุณ ที่มาทำให้สวนโมกข์ได้ทำงาน ได้ทำหน้าที่ ไม่เป็นหมัน นี่ก็ขอบคุณ คุณมาทำช่วยให้ผมไม่ ไม่เป็นหมัน ไม่อยู่เสียเวลาเปล่าๆ ไม่เปลืองข้าวสุกเปล่าๆ นี่ก็ต้องขอขอบคุณผู้ที่มา ถ้าขอบคุณมันต้องขอบกันทั้ง ๒ ฝ่ายอย่างนี้ แต่ถ้าถือว่าเป็นหน้าที่ หน้าที่แล้วไม่ต้องขอบคุณก็ได้
เอาล่ะ เป็นอันว่าทำตามธรรมเนียม ผมก็ขอขอบคุณท่านทั้งหลาย ที่มาช่วยทำให้สวนโมกข์เป็นสถานที่ที่มีประโยชน์ ไม่เป็นหมัน
ทีนี้ก็ เรื่อง เอ่อ, เรื่องทำวัตรน่ะ ก็ว่าเป็นตามธรรมเนียม ผมไม่รู้สึกว่ามีอะไรล่วงเกินที่จะต้องขอโทษเกี่ยวกับผม ไม่มีโทษ เราทำตามธรรมเนียมก็ดีแล้ว มาช่วยกันรักษาธรรมเนียมก็ดีแล้ว ขอบคุณตามธรรมเนียมก็ดีแล้ว ขอโทษตามธรรมเนียมก็ดีแล้ว แม้จะมีอะไรที่ไม่น่าดูเกิดขึ้น หรือกระทำอะไรชนิดที่เขาเรียกกันว่าเป็นการไม่เคารพ ก็ไม่เป็นโทษอะไร
ผมนี่อวดสักหน่อยหนึ่งว่ามันเป็นโรค ตถาตา ขึ้นสมอง ทำไปน่ะ ผมเป็นโรคตถาตาขึ้นสมอง ตถาตา แปลว่า เช่นนั้นเอง หัวใจของ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท เขาสรุปเหลือเพียง ตถาตา เป็นเช่นนั้นเอง ใครจะมาด่าผม ก็เช่นนั้นเอง ใครจะมาชมผม ก็เช่นนั้นเอง คุณจะทำอะไรแปลก หรือไม่แปลก มันก็เช่นนั้นเอง ผมไม่รู้สึกว่ามันมีใครมาล่วงเกินผม เป็นโรคตถาตาขึ้นสมองอย่างนี้ คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ตถาตา
ทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่อง การอบรม ปัจฉิมนิเทศน์ ขอให้ถือว่าเราไม่มีปิด แม้แต่การอบรม การอบรมเท่าที่ทำมาแล้วนี่ มันขนาดเด็กเล่น ยังปิดไม่ได้ และยังไม่ใช่การอบรมที่แท้จริง อบรมพูด พูด พูด พูด พูดนี่ ไม่ใช่อบรมที่แท้จริง หลังจากนี้ท่านทั้งหลายแต่ละองค์ ละองค์ ไปทำงาน ไปทำงาน ไปทำงาน ในหน้าที่เผยแผ่นั้น นั่นล่ะคือการอบรม ตัวการอบรมที่แท้จริงนะ มันอยู่ที่นั่น คือไปอบรบตัวเอง ทุกครั้งที่มีการทำงานนั้นน่ะ คือการอบรมที่แท้จริง ที่มาพูด พูด พูด กันนี่ เป็นเพียงเตรียมการอบรมเท่านั้น
ฉะนั้นการอบรมนั้นปิดไม่ได้จนตลอดชีวิตแหละ ก็จะต้องไปอบรมหน้าที่ของตนเรื่อยไป เรื่อยไป ตลอดชีวิตเลย นี่, การอบรมนี้ปิดไม่ได้ แต่ว่าเตรียมการอบรม คืออบรมด้วยวาจา หรืออะไรนี่มันก็ปิดได้ แต่การอบรมที่แท้จริง ปิดไม่ได้ ดังนั้นจึงเรียกว่าไม่มีปิดการอบรม ถ้าปิดเดี๋ยวก็บ้าแหละ อย่าปิดเป็นอันขาด กลับไปนี้ทำให้ดีที่สุด ทำให้ดีที่สุด เพราะว่าการศึกษาแท้จริง มันเกิดมาจากการกระทำ จะเรียกว่าการศึกษาก็ได้ จะเรียกว่าการอบรมก็ได้ มันอยู่ที่ตัวการกระทำ ศึกษาด้วยหนังสือนั้นมัน มันไม่เป็นศึกษากี่มากน้อยหรอก ถ้าไปศึกษาด้วยการทำลงไปจริงๆ นั้นแหละเป็นการศึกษาแท้จริง การอบรมก็เหมือนกันต้องไปทำเข้าจริงๆ แล้วก็จะเป็นการอบรม เดี๋ยวนี้มันเพียงแต่ศึกษาเรื่องการอบรม หรือเตรียมการอบรมมากกว่า วันนี้มันปิดก็ได้ สำหรับการพูดกันนะ แต่ว่าไอ้การอบรมตัวแท้นั้นปิดไม่ได้ และจะต้องทำให้หนักขึ้น หนักขึ้น ให้ดีที่สุด ให้ยิ่งขึ้น อบรมหน้าที่ ศึกษา ฝึกฝน อบรม หน้าที่ของตนตลอดไป โดยที่ว่าทำ, การกระทำนี่มันเพื่อสนองพระพุทธประสงค์ในการที่จะทำให้มหาชนน่ะ ได้รับประโยชน์ ตลอดเวลาที่มหาชนยังไม่ได้รับประโยชน์ เราหยุดการอบรมไม่ได้ ยิ่งทำยิ่งชำนาญ ยิ่งทำยิ่งชำนาญ ยิ่งทำยิ่งชำนาญ ขอให้นึกไว้ในใจ นั่นแหละ คือการอบรมที่แท้จริง ดังนั้นมันปิดไม่ได้
ขอเตือนกันไว้อย่างนี้ ว่าไปเปิดการอบรมแท้จริงขึ้นตลอดเวลา ที่ยังสามารถจะทำได้อยู่ ถ้าสึกเสียแล้วมันก็ มันก็ต้องเปลี่ยน หรือถ้าตายเสียมันก็หยุดไปในตัว แต่ถ้ายังทำได้ขอให้ทำตลอดเวลา ไม่มีอะไรดีกว่านี้สำหรับเรา ไปใคร่ครวญดูสำหรับเราในสภาพอย่างนี้ ไม่มีอะไรดีกว่านี้ คือ ทำหน้าที่อบรมมหาชนตามพระพุทธประสงค์
นี่, ผมก็ได้คิดนึกมามากเกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้ อย่างผมเองก็ต้องเรียกว่าอบรมตัวเองอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน เพราะมันยังไม่ถึงที่สุดของการกระทำ เชื่อว่าไอ้การกระทำ การเผยแผ่ และทำให้ศีลธรรมกลับมานี้ ไม่เสร็จนะ ไม่เสร็จทันในชีวิตนี้ เพราะว่าเรื่องมันมาก ปัญหามันมาก มันอยู่ลึกซึ้งมากเหมือนกับที่พูดแล้วเมื่อคืน มันเป็นปัญหา ลึกลับ ซับซ้อนกันอยู่ตั้งหลายๆ ชั้นอย่างนั้น กว่าจะถอนออกมาได้หมด มันก็ต้องทำไป จนกระทั่งตาย มันเพียงแต่จะกระเตื้องขึ้นบ้าง กระเตื้องขึ้นบ้าง แล้วคนอื่นก็รับช่วงต่อไป รับช่วงต่อๆ กันไป มันมีหวังข้างหน้าในชั้นหลังๆ
เพราะฉะนั้น เราก็ทำมันต่อไป ถ้าไม่ทำอย่างนี้ มันก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่มีใครรับ ไม่มีใครก่อขึ้นมา แล้วไม่มีใครรับช่วงต่อไปมันก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามันจะนิมิตเอาได้เดี๋ยวนี้ วันสองวันนี้ มันจะต้องทำอีก ไอ้ปัญหามันก็ไม่หมด เราก็คงจะตายกันก่อน คนข้างหลังก็รับช่วงนั้น คือการกระทำที่แท้จริง จึงหวังว่าทุกๆท่าน จะมองเห็นข้อนี้ หรือว่ามีโครงการ มีหลักการอย่างนี้ ทำจนตายให้เพื่อนรับช่วง
นี่, ที่ว่า มักจะชอบเรียกกันว่า ปิดการอบรม ผมว่าไม่ได้ ขืนปิดก็บ้า จะปิดเตรียมการอบรมก็ได้ อบรมด้วยปากนี่มันพอกันเมื่อไร ก็ปิดได้ แต่การอบรมตนเองด้วยการกระทำนั้นปิดไม่ได้นะ เพราะปัญหามันไม่หมดในชั่วชีวิตนี้
ทีนี้ผมก็มีหนังสือฝากให้เป็นที่ระลึก องค์ละชุด ให้ช่วยแจก นี่มันมี ๓ เล่ม คือการบรรยายทางวิทยุ ๕๐ ครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกมาถึงครั้งที่ ๕๐ อยู่ในหนังสือ ๓ เล่มนี้ โดยหวังว่าจะเอาไปอ่านดู อ่านแล้วก็จะเห็นตัวอย่าง วิธีการ อะไรบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะว่าได้ทำมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ ระมัดระวัง ไม่ประมาทเลย เขาให้เวลาเดือนหนึ่ง ให้พูดครั้งหนึ่ง เขาให้เวลาตั้งเดือนหนึ่ง มีเวลาตั้งเดือนสำหรับเตรียมพูดหนึ่งครั้ง นี้มันก็ตั้ง ๕๐ เดือน ใช้เวลาเตรียม ๕๐ เดือน มันก็ต้องมีเรื่องที่มีประโยชน์แน่ ไม่เสียเปล่าหรอก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความพยายามอธิบายให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่มิใช่ศีลธรรม ถ้าทำอย่างถูกต้อง ตามความมุ่งหมายที่แท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรที่มิใช่ศีลธรรม เพราะว่า คำว่า ศีลธรรม แปลว่า ความปกติ หรือ เหตุแห่งความปกติ วิธีทำความปกติ ที่มนุษย์จะต้องทำเพื่อมนุษย์อยู่เป็นผาสุข ดังนั้นจึงชี้ไปในทางที่ว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ศีลธรรม ชาวนาไถนาอยู่ก็เป็นศีลธรรม ถ้าเขาตั้งใจทำโดยบริสุทธ์ใจนะ ชาวสวนทำสวน พ่อค้าค้าขาย คนยากจนถีบสามล้อ ล้างท่อถนน กวาดถนน ก็เป็นเรื่องศีลธรรม ส่วนของเขาที่เขาจะต้องทำหน้าที่เพื่อความสงบสุขแห่งโลกแห่งมนุษย์
ทีนี้มาดูงานชิ้นใหญ่ๆ เช่นว่า การเมือง ถ้าทำอย่างบริสุทธ์มันก็เป็นศีลธรรม ที่เขาเรียก, มองกันว่า การเมืองเรื่องสกปรกนั้นมันการเมืองคดโกง มันสกปรก แต่ถ้าการเมืองที่แท้จริง คือทำให้ทุกคนอยู่เป็นสุข สงบสุข โดยไม่ต้องใช้อาชญา ฆ่าฟัน อะไรกัน ไม่ต้องลงโทษทัณฑ์อะไรกัน ไอ้การเมืองก็เป็นศีลธรรม
แม้การเศรษฐกิจ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างบริสุทธ์ มันก็เป็นเรื่องศีลธรรมหรือเป็นตัวศีลธรรมก็ได้ ถ้าว่าเศรษฐกิจดีมันก็อยู่กันเป็นผาสุข เดี๋ยวนี้มันไม่มี มันมีแต่เศรษฐโกง คือเศรษฐกิจที่ไม่มีศีลธรรม เป็นเครื่องมือสำหรับโกง
เรื่องการปกครอง ก็เป็นศีลธรรม ทุกอย่างที่มนุษย์ประพฤติปฏิบัติเพื่ออยู่กันเป็นผาสุขและเป็นศีลธรรม ในนี้มาไว้พูด, พูดไว้หมดเลย ไม่มีเหลือ ในแง่ที่มันจะเป็นศีลธรรมได้อย่างไร ขอให้เข้าใจเรื่องนี้ด้วย มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ศีลธรรม เพราะว่าทุกอย่างถ้าทำถูกต้องแล้วก็, ก็เป็นเรื่องอยู่รอดและสงบสุข
การทำมาหากินก็เป็นศีลธรรม เดี๋ยวนี้คนมันไม่มีศีลธรรม มันขี้เกียจทำมาหากิน มันคอยแต่จะปล้น จี้ ขโมย มันจึงไม่, ไม่มีศีลธรรม ความไม่มีศีลธรรมก็เกิดขึ้น ถ้าแต่ละคนมันมีศีลธรรมจริง มันจะสนุกในการทำงาน เพราะว่างานนั้นนะ คือหน้าที่ หน้าที่นั้นคือธรรมะ ที่ทำความปกติสุข การทำงานในหน้าที่ของตน คือตัวธรรมะ คือตัวศีลธรรม
ถ้าการศึกษาได้ทำให้เด็กๆรู้ความจริงข้อนี้ เด็กๆก็จะมีศีลธรรม ทุกๆ ประการนะ นับตั้งแต่ไม่เหลวใหลในการเล่าเรียน ในหน้าที่การงาน และก็ทำทุกอย่างที่มันเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข
ขอให้ไปนึก ศึกษาเรื่องนี้ให้ ให้มากเป็นพิเศษ ในการที่จะทำหน้าที่ธรรมทายาท คำบรรยายชุดนี้ ๕๐ ครั้งนี้ ชื่อว่า ศีลธรรมกลับมา คำบรรยายชื่อเรื่อง ศีลธรรมกลับมา ถ้าศีลธรรมกลับมาก็หมดปัญหา และก็ได้พูดกันอย่างละเอียด ละเอียดถึงเรื่องศีลธรรมกลับมา อย่างไร อย่างไร ๕๐ ครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมง
ขอให้ถือว่าเป็นของให้ไปเป็นที่ระลึก แต่ไม่ได้เขียนแล้ว เขียนไม่ไหว ไปเขียนเอาเองเถิด นี้วัตถุที่ระลึกแก่ท่านทั้งหลายแต่ละองค์ ละองค์ ในการที่ได้มา มาประชุมกันที่สวนโมกข์คราวนี้ โดย โดย ขอให้ถือว่าไม่ใช่กระดาษนะ ไม่ใช่ให้กระดาษ แต่ให้ข้อความหรือธรรมะที่มันมีคุณค่าอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เป็นที่ระลึก กระดาษมันจะมีค่าอะไร ฉะนั้นจึงเป็นการให้ความคิด ความนึก หรือธรรมะ อะไรก็ได้ ที่มันมีอยู่ในกระดาษเหล่านี้เป็นที่ระลึก นอกจากเป็นที่ระลึก แล้วก็ให้เป็นตัวอย่างสำหรับศึกษา ศึกษา หรือเอาอย่าง แต่มีข้อผูกมัดว่า ต้องทำให้ดีกว่าตัวอย่าง ทำดีเพียงเสมอตัวอย่างใช้ไม่ได้ พูดหยาบคายหน่อยว่าต้องใช้ไม่ได้ ถ้าทำได้เพียงเท่าที่ตัวอย่าง เพราะว่าถ้าเอาตัวอย่างนี้บวกกันเข้า กับความรู้ของเราเองที่มีอยู่ก่อน มันก็มากกว่าตัวอย่าง เพราะฉะนั้นมันก็ต้องดีกว่าตัวอย่าง ทำอะไรให้ ให้ ให้ดีกว่าครูนั้นแหละ ไม่, มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องนะ ไม่ใช่ดูถูกครู ดูหมิ่นครู เนรคุณครู ไม่ใช่ ต้องทำอะไรให้ดีกว่าครู จึงจะยุติธรรมและถูกต้อง เพราะว่าที่ครูสอน สอนให้เรา เราก็เอาไว้ แล้วที่เรามีเองอีกล่ะ เอามาบวกกันเข้าสิ ก็ทำได้มากกว่าครู
ทีนี้มันก็แปลก ตามที่ผมสังเกตุเห็นมาเรื่อยๆ มันจะเป็นลักษณะของชนชาติไทยเรานี่ ชนชาติไทยเรา ได้รับอะไรมา เราจะทำได้ดีกว่าครูเสมอไปทุกเรื่อง เราได้รับวัฒนธรรมอะไรมาจากอินเดีย เราทำดีกว่าครูทั้งนั้นเลย ยกตัวอย่าง เช่น ไอ้วิชาวรรณคดี กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์, ฉันท์ภาษาไทยนะไพเราะกว่าฉันท์ภาษาอินเดีย ทั้งที่เรารับต้นแบบคำฉันท์ รับมาจากอินเดีย แต่ทำได้ดีกว่าครู ไพเราะมากกว่า อะไรมากกว่า เรื่องอาหารการกิน แกงอินเดียนั้น บางทีไม่เคยกิน จะกินไม่ลง แต่พอเรามาเป็นแกงไทยดีกว่าแกงอินเดียมาก แม้กระทั่งพวกอินเดียก็ต้องยอมรับ ใครไปอินเดีย เคยกินแกงอินเดีย สั่นหัวทั้งนั้นนะ คนไทยเราแต่ก่อนนี้ไม่มีแกงหรอก มัน มัน มัน มันเป็นอยู่อย่างจีน คนไทยนั้นมันวัฒนธรรมเดียวกับจีน กินตะเกียบ หรือว่ากินอาหารอย่างจีน จืดๆ ไม่มีแกง แกงเผ็ดนี่มันรับมาจากอินเดีย พอเอามาเป็นไทย มันปรุงรสเลิศกว่าอาจารย์ แม้แต่ทำแกงกินก็ ก็ ก็เก่งกว่าครู ขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีรีตรอง กระทั่งการแต่งเนื้อ แต่งตัว อะไรต่างๆ ที่รับมาจากอินเดียนี้ ทำดีกว่าหมด ไอ้แบบการนุ่งผ้านี้มันรับมาจากอินเดียนะ ไทยเรา ไทยเราก่อนนี้มันนุ่งกางเกงอย่างจีนนะ พอรับวัฒนธรรมอินเดียมานุ่งผ้า ก็ทำได้ดีกว่า ตัวละครอะไรก็ตาม ดนตรีก็ตาม ที่รับมาจากอินเดีย ดีกว่าเดิมหมด
ที่รับมาจากฝรั่ง ก็ทำดีกว่าฝรั่ง ไอ้ขนมที่ ที่ทำด้วยไข่ ขนมที่ทำด้วยไข่ ฝรั่งเขามีแล้วเขามาสอนให้ คนไทยแต่เดิมมันก็วัฒนธรรมจีน มันไม่มี ฝรั่งหรือเขาเชื่อกันว่าชาวโปรตุเกสที่แรกเข้ามาทางฝ่ายนี้ มาสอนการทำขนมด้วยไข่ ตามแบบฝรั่ง โอย, เดี๋ยวนี้เราทำดีกว่าครู ไอ้พวกฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ขนมหม้อแกง อะไรต่างๆ เราทำดีกว่าอาจารย์ทั้งนั้นเลย
ไม่ว่าอะไรสักอย่างหนึ่งที่มาตกมาถึงมือคนไทยแล้ว ดีกว่าอาจารย์ทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้ถือว่า ทำดีกว่าครูนั้นแหละ คือ ลักษณะ เอกลักษณ์ของคนไทย
ฉะนั้น ขอให้ทุกท่าน ถือว่าเราจะต้องทำให้มากกว่า ดีกว่าครู ไม่บาป เพราะว่าเรารับมาจากครูเท่าไร เราบวกเอาของเราเดิมเข้าไปด้วย มันก็มากกว่าครูเสมอ ทีนี้ถ้าขืนบวกกันอย่างนี้เรื่อยๆไป มันก็มีแต่ดีกว่าครูยิ่งๆ ขึ้นไป เอาของเราบวกเข้ากับของครูที่ให้มา มันก็มากกว่าครู แล้วเราก็เกิดทีหลังครู เรา เรารวบรวมอะไรมาได้จากหลายทิศทางมากกว่าครู สมัยครูน่ะ สมัยคุณครูเขาไม่ได้มีทิศทางมาแห่งวิชาความรู้อะไรนัก เขาก็ มันแคบกว่า สมัยนี้เราอาจจะเรียนจากหลายทิศทาง จากต่างประเทศหลายๆ อย่าง มารวมกันเข้า เราต้องทำอะไรได้ดีมากกว่าครูทุกประการเลย เป็นเรื่องหนังสือหนังหา การแต่งเนื้อแต่งตัว การกินก็ อาหาร การก่อสร้างทางศิลปะ สถาปัตย์อะไร มันต้องดีกว่ารุ่นก่อนเสมอไป นั่นแหละ คือความยุติธรรมหรือถูกต้อง เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจะต้องทำให้ดีกว่าครู ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ทุกชั้น ทุกชั้น ทุกชั้น ที่มันจะสืบทอดมรดกธรรมทายาท
นี่ขอฝากไว้ด้วยและก็บังคับด้วย ขอฝากอย่างบังคับว่า ขอให้ทำให้ได้อย่างนี้ โดยสิทธิที่จะขอและบังคับ มันมีอยู่ นี่จะหมดแล้ว ปัจฉิมนิเทศน์มันมีเท่านี้ และการอบรมปิดไม่ได้ ทำต่อไป ต่อไป จนกระทั่งดีกว่าครู
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสุดท้ายตามธรรมเนียม คือ การอวยพร หรือการให้พร ผมก็มีโรค แบบของผมตามเคยว่า ให้พรนี้มันเป็นพิธีรีตรอง ทำเอาเองดีกว่า พรที่คนอื่นให้นั้น ไม่ดี เท่ากับพรที่เราทำเอาเอง ไอ้พรที่คนอื่นให้น่ะ ระวังมันจะหลอก มันจะเป็นของหลอก ของปลอม มีแต่ลมๆ แล้งๆ ไอ้พรที่คนอื่นให้นี่มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าพรที่เราทำเอาเอง ทำขึ้นมาเอง นั้นน่ะ นั้น แท้ แท้จริง ไม่ปลอม คำว่า พรแปลว่าดี หรือความดี พร คำว่าพร แปลว่าความดี ใครๆ ก็พอจะนึกออกว่ามันให้กันยาก ถ้าให้ มันก็เป็นพิธีรีตรอง มันมัวแต่ให้พรกันอยู่น่ะ มันยังจมอยู่ ขณะนี้ มันไม่มีใครทำดีด้วยตนเอง มัวแต่ให้พรกันอยู่
แต่ถ้าว่าจะเปลี่ยนเป็นว่า ให้เครื่องกระตุ้นกำลังใจ อย่างนั้น ก็พอจะได้ ผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน ถ้าให้เครื่องกระตุ้นกำลังใจ ก็อยากจะให้ พยายามจะให้อย่างที่ให้มาแล้ว แต่ถ้าให้พรนั้นดูเป็นเรื่องเหลวไหลเต็มที เพราะว่าพรมันต้องทำเอง
ฉะนั้นขอให้จำไว้เถิดว่า พรที่เขาให้นั้น ไม่แน่นอนหรอก ไอ้พรที่เราทำเอาเอง ความดีที่เราทำเอาเองน่ะ มันแน่นอน
ฉะนั้นจึงขอให้ ให้กำลังใจว่าท่านทั้งหลายจงไปทำความดี คือพร นั้น ด้วยตนเอง ด้วยตนเอง แล้วก็ไม่ต้องมีอะไรหรอก คือปฏิบัติหน้าที่ธรรมทายาทนั่นแหละ มันจะเกิดความดี ความดี ความดี ขึ้นมาเรื่อย แล้วก็เป็นพร เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนทำหน้าที่ ที่ถูกต้องตามธรรมะหรือตามธรรมชาติ เมื่อถูกต้อง ก็มีสิ่งที่เรียกว่าพร คือความดี มีความดี คือมีพร พรมันแปลว่าดี ที่เรียกพระ พระ ก็คงจะมา เชื่อว่ามาจากคำว่า วร (วะ-ระ) หรือ พร นั้นแหละ ฉะนั้นพระต้องเป็นคนดีเสมอ จะสอนเด็กๆ ให้ไหว้พระ เพราะว่าพระเป็นคนดี ไม่ถึงกับวิเศษศักดิ์สิทธ์เหมือนพระเจ้าอะไร แต่ว่ามันเป็นคนดีก็แล้วกัน เด็กๆ ควรจะไหว้ ควรจะไหว้พระ ในฐานะเป็นผู้ที่มีความดี หรือกระทำความดี เมื่อเราจะเป็นพระในความหมายนั้น ก็คือ ทำดี ทำดี ทำดี ทำให้ถูกต้องและให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
นี่ขอให้กำลังใจในการที่จะเกิดเป็นพรขึ้นมาอย่างนี้ ตามความรู้สึกของผมมันเป็นอย่างนี้ จึงไม่ค่อยจะให้พร เหมือนที่เขาให้ๆ กัน จะให้ก็ได้มันก็เป็นพิธี ขอให้เป็นอย่างนั้น ขอให้เป็นอย่างนี้ มันก็ได้เหมือนกันแต่มันเป็นพิธี แต่จะให้ ขอให้ทำอย่างนี้ ขอให้ทำอย่างนี้ ขอให้ทำอย่างนั้น ขอให้อย่างนี้ แล้วดีเอง พรเอง เป็นพรขึ้นมาเองนี้ ถูกต้อง
จึงขอให้อย่างนี้ ว่า อย่าได้บกพร่องในหน้าที่ของธรรมทายาทแม้แต่นิดเดียว ทำหน้าที่ของธรรมทายาทให้เต็มอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวก็จะล้น เปี่ยมล้นไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า พร เป็นเสบียงกรัง หรือว่าเป็นเดิมพัน หรือว่าเป็นต้นทุน สำหรับจะไปสู่นิพพาน มันไม่ใช่ดีสำหรับจะไปสวรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องหลงใหล ขอให้เป็นพร คือ ดี สำหรับจะก้าวหน้าไปในทางของพระนิพพาน โดยหลักที่พูดมาแล้ว และยืนยันอีกว่า
ให้การกระทำทุกอย่างเป็นไปเพื่อ วิเวก วิเวกนิสสิตัง
ให้เป็นไปเพื่อ วิราคะ คือคลายความยึดมั่นถือมั่น วิราคนิสสิตัง
ให้เป็นไปเพื่อความดับแห่งกิเลสและทุกข์ คือ นิโรธนิสสิตัง
และให้ โวคสัคคปรินามิง คือน้อมไปเพื่อการสลัด สละโลก สละความความทุกข์ สลัดสิ่งซึ่งผูกมัดทั้งหลาย แล้วก็หลุดพ้นขึ้นไปจากสิ่งผูกมัดรัดรึง
ทำอะไรก็ขอให้มุ่งหมายหลักเกณฑ์อันนี้ มิฉะนั้นมันไปทางอื่น แม้จะไปในทางสวรรค์มันก็ไม่ใช่ทางเดียวกับนิพพาน สวรรค์ไม่, ไม่ใช่ วิเวกนิสสิตัง วิราคนิสสิตัง นิโรธนิสสิตัง โวคสัคคปรินามิง มันกลับจะจมลงไปในของตกจม ระวังให้ดีเถิดสวรรค์นั้นน่ะ เหมือนกับว่าเมื่อก่อนมีแต่บาตรกับจีวร เผยแพร่พระศาสนาได้ดี พอมาอยู่ตึกอยู่ราม อย่างคฤหบดี เลยเผยแพร่ธรรมะไม่ออก นั้น คือมันไม่เป็นไปอย่างที่ว่า มันเป็นการตกจมลงไป มันไม่เป็นการขึ้นมาจากไอ้การตกจม การช่วยมนุษย์โลกนี่ มันช่วยพ้นจากการตกจม
ฉะนั้น เรา ขอให้เราถือไว้เป็นหลักอย่างมั่นคงเถิด นี่ ให้พร คือให้กำลังใจที่จะไปทำพรขึ้นมาด้วยตนเอง เป็นของตัวเอง ทำดี ดีกว่าขอพรนะ เราพูดกันเกร่อไปหมดแล้ว ทำดี ดีกว่าขอพร จึงขอร้องให้ไปทำความดีให้เต็มที่
นี่เรื่องปัจฉิมนิเทศน์ที่คิดว่าจะพูด ตั้งใจจะพูด มันก็มีอยู่อย่างนี้ ก็ได้แต่แสดงความหวัง ความรู้สึก ว่าท่านทั้งหลายคงจะได้รับเอาวิชาความรู้ที่ได้พูดกันนั้น ไปประพฤติปฏิบัติ ให้เกิดเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มีเท่านั้นจบ ทีนี้ก็ ย้ำอีกทีหนึ่งว่า ขอแสดงความยินดีในการมาที่นี่ของท่านทั้งหลาย เพราะว่ามันจะเป็นไปเพื่อสนองพระพุทธประสงค์ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ ความสุขเกื้อกูลแก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์เป็นแน่นอน เอาละ ผมก็กล่าวปัจฉิมนิเทศน์เพียงเท่านี้ และก็ขอปิดประชุม โดยการเตือนว่า การอบรมปิดไม่ได้