แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่าน, ท่านพระธรรมทายาททั้งหลาย การบรรยายครั้งนี้จะพูดโดยหัวข้อว่า ธรรมทายาท ส่วนการเผยแผ่ เรามาพูด เรา เราได้พูดแล้วถึงธรรมทายาทส่วนปริยัติ และต้องทำให้ถูกต้อง แล้วธรรม, แล้วก็ต้องปฏิบัติ เมื่อได้รับผลของการปฏิบัติ เป็นปฏิเวธแล้ว หน้าที่ต่อไป มันก็คือการเผยแผ่ เมื่อประโยชน์ตนเสร็จแล้ว มันก็มีเรื่องประโยชน์ท่าน ที่เรียกว่าการเผยแผ่ เรื่องก็จะสมบูรณ์ ดังนั้นขอให้ตั้งใจฟังอีกครั้งหนึ่ง และเป็นครั้งสุดท้าย
มรดกการเผยแผ่นี่ มีชัดเจนมาก เป็นพระพุทธประสงค์ซึ่งทรงจะเรียกว่าขอร้องก็ได้ บังคับก็ได้ ให้ทำ ดังที่ปรากฎอยู่ในบาลี บาลีมหาวรรค วินัยปิฎก จึงถือว่าเป็นมรดกที่ทรงมอบให้ มอบให้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แล้วทีนี้ก็ ประกาศหรือเทศนา จึงจะเป็นพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างปัจเจกพุทธะ ซึ่งไม่มีการเผยแผ่ เราดูว่าการเผยแผ่ในครั้งพุทธกาลนั้น เคยทำกันมาอย่างไร เมื่ออาศัยข้อความในพระบาลีเป็นหลัก ก็มีข้อความเป็นอันมากที่แสดงว่า ไปฉันที่บ้านไหน ก็ต้องมีการเผยแผ่ที่บ้านนั้น ตัวอย่างเช่นว่า พระไปบิณฑบาต ทายกเขาก็นิมนต์เข้าไปในบ้านเลย เลี้ยงดู ฉันเสร็จแล้ว ก็ต้องมีการสนทนากับเจ้าของบ้านเต็มที่เลย มีเรื่องอะไรที่จะพูดกัน ก็พูดกันเต็มที่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดยพระองค์เองจะมีอย่างนั้น ไม่ต้องเป็นเรื่องที่เขานิมนต์ไป เป็นพิธีรีตรองอะไรนะ แม้แต่เพียงไปบิณฑบาต ถ้าเขาขอนิมนต์แวะเข้าไปในบ้าน ไปฉัน ไปอะไร ก็จะต้องมีการพูดจาน่ะ แต่แล้วก็เป็นการแสดงธรรมอยู่ในตัว เขาก็พูดจาด้วยเรื่องดับทุกข์ สมกับที่เรียกว่าไปโปรดสัตว์
เดี๋ยวนี้ไปบิณฑบาตเฉยๆ กลับมาวัด ก็เรียกว่าไปโปรดสัตว์ มันไม่เหมือนกับครั้งพุทธกาลนะ ท่านโปรดสัตว์กันจริงๆน่ะ เข้าไปบิณฑบาตแล้วมันต้องพูดจากับเจ้าของบ้าน เพราะมันเป็นโอกาส ไปนั่งอยู่แล้ว ทักทายปราศรัยแล้ว พูดจาไต่ถามเลย ก็รู้ธรรมะตามที่อยากจะรู้ เจ้าของบ้านก็ได้รู้ธรรมะ หรือเรื่องที่มีประโยชน์ตามที่อยากจะรู้ ถ้านิมนต์กันเป็นกิจลักษณะ เป็นหมู่ใหญ่ เป็นขบวนใหญ่แล้วไม่ต้องพูดถึง ในพระบาลีก็มีชัดเหมือนกันว่า ฉันเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าจะโปรดให้ภิกษุสงฆ์กลับก่อน ท่านอยู่สนทนาธรรมีกถากับเจ้าของบ้าน หรือบางทีพระองค์ประสงค์จะกลับก่อน ก็มอบหมายให้ภิกษุสาวกองค์ใดองค์หนึ่ง อยู่สนทนาธรรมีกถากับเจ้าของบ้าน แล้วพระองค์ก็กลับวัดหรือกลับไปสู่ที่ที่ประสงค์
แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีเสียแล้วในประเทศไทยเรา ไปบิณฑบาต หรือแม้แต่นิมนต์ไปสวด ไปฉัน สวด ฉันเสร็จก็กลับหมดเลย ยถาตามธรรมเนียมไม่รู้ว่าอะไร น่าจะฟื้นฟูให้กลับมาใหม่ แบบที่ว่านี้ก็จะเป็นการดี นี้เรียกว่าแบบหนึ่งน่ะ ที่, ที่ทำกันอยู่ในครั้งพุทธกาลเป็นประจำ ไอ้ชนิดที่สอนที่พระอาราม ในบาลีไม่เคยพบว่าพระพุทธเจ้าตอนเย็นเข้า แล้วก็เทศนาสอนประชาชน ชาวบ้านที่พระอารามนั้น แต่ในอรรถกถามีมาก โดยเฉพาะอรรถกถาธรรมบถนี่จะมีว่า ตอนเย็น ประชาชนไปที่อารามเชตวันบ้าง ไปฟังธรรมบ้าง ไปเลี้ยงปานะบ้างน่ะ มีในอรรถกถา จะเป็นแบบในอรรถกถา เป็นธรรมเนียมในลังกา หรือไม่ ก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเชื่อว่าถ้ามีคนไปหรือมีโอกาสก็คงจะมีแสดงธรรม
แต่เนื่องจากว่า วัดในครั้งพุทธกาล อารามในครั้งพุทธกาล มันอยู่ไกล คือมันอยู่นอกกำแพงเมืองทั้งนั้น ทีนี้ก็มี เป็นได้ว่าพบกันที่ไหน ก็สอนกันได้ พบปะกันที่ไหนโดยบังเอิญ ถนนหนทาง ในป่า ทุ่งนา ที่ไหนที่ได้ทำให้พบกันได้ เผอิญพบกัน ก็มีสอนกันได้ อย่างนี้ก็มี หรือจะมีนัดหมายให้มีการแสดงธรรมที่ไหน สอนกันที่ไหน มันก็มี ตามที่นัดกัน นี้เรียกว่าธรรม ที่ประจำที่
ทีนี้ที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้เคลื่อนที่ เช่น ส่งภิกษุ ๖๐ รูป ไปประกาศพระศาสนา คือยกขบวนเคลื่อนที่ ซึ่งหาอ่านรายละเอียดได้จากในเรื่องพุทธประวัติที่เราเรียนกันมาแล้ว นักธรรมตรี โท
ดังนั้น ควรจะทราบไว้เป็นพิเศษอย่างหนึ่งว่า การส่งคนออกไปสั่งสอน ส่งสาวกออกไปสั่งสอนธรรมะนี้น่ะ มีเป็นครั้งแรกในโลก ก็คือในพุทธศาสนานี้ พวกนักประวัติศาสตร์เขาค้นคว้าศึกษาดูแล้ว มันไม่มี แม้ว่าจะมีลัทธิศาสนาก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนพุทธกาลมันก็ไม่มีการส่งคนออกเที่ยวเผยแผ่ เขาจึงยกให้ว่าเป็นงานชิ้นแรก ชิ้นแรกในโลกของการส่งคนออกเผยแผ่ ก็คือ ในพุทธศาสนา เพราะก่อนนั้นไม่มีใครทำ ถ้าเห็นเป็นเครดิตน่าภูมิใจก็ ก็ได้ เพราะมันมีเป็นครั้งแรก ในพุทธศาสนาเรา
ท่านก็ไปตามที่พระองค์ทรงสั่ง เธอจงไป เธอจงไป มันเป็นลักษณะคำสั่ง ตอนท้ายมีลักษณะเหมือนขอร้อง หรือถึงกับอ้อนวอน เพื่อให้เกิดกำลังใจแก่ผู้ที่จะไป สำนวนโวหารนั้นมีลักษณะเป็นขอร้องหรือว่าอ้อนวอนอย่างหน้าที่ อ้อนวอนให้ทำหน้าที่ สมัยนั้นมันก็มีแต่บาตร จีวร เป็นบริขาร ก็ไปได้โดยสะดวก อย่างที่มีสำนวนเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนก มีภาระแต่ปีกสำหรับบินไป ไอ้เครื่องบินน่ะมีสมบัติ เป็นสมบัติเท่านั้น พระก็มีภาระแต่เพียงว่าบาตรกับจีวรแล้วก็ไป ปรากฎว่ามีผลดีมาก ได้ผลในด้านจิตใจ ธรรมะด้านจิตใจดีมาก
มาถึงยุคที่ ภิกษุมีกุฏิอยู่สบาย มีเครื่องใช้ไม้สอยสบาย เป็นอยู่อย่างสบาย การเผยแผ่สั่งสอนกลับแคบหรือไม่ออก หรือไม่มีผลดี รู้ไว้แต่ว่า อยู่อย่างคนไม่มีอะไร ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร กลับทำงานได้ดี พออยู่อย่างคนมีอะไร อะไร มันก็ทำงานไม่ได้ดี ถ้ามาถึงสมัยนี้แล้วก็น่า, น่าขบขัน มีตึกมีรามมีอะไรอยู่อย่างที่เรียกว่า เหมือนกับคฤหบดีเขาอยู่กันอย่างไร พระก็อยู่อย่างนั้น มีห้องรับแขกเหมือนกับชาวบ้าน มีเก้าอี้นวมชุดเหมือนกับชาวบ้าน มีคนเขียนหนังสือ ลงหนังสือพิมพ์ว่า บาง, บางกุฏิมีสเตอริโอชนิด ๖ ลำโพง ผมไม่เชื่อ แต่มีคนยืนยันว่ามี ที่บางวัด บางกุฏิ มีสเตอริโอชนิด ๖ ลำโพง ซึ่งชาวบ้านก็ยากที่จะมี เพราะมันแพงมาก นี่ไม่รู้จะมีไปทำไม นี่, จึงถูกล้อว่าอยู่กันเหมือนอย่างคฤหบดี พอมาถึงตอนนี้ก็เลยเผยแผ่ไม่ค่อยออก เหมือนที่จะไปเดินเผยแผ่นี่คงทำไม่ได้ เพราะว่ามีอะไรมาก ไม่ได้มีแต่บาตรกับจีวรเสียแล้ว
ฝ่ายคริสตังก็เหมือนกัน มีคนเขียนในหนังสือพิมพ์ตรงๆ จังๆ ผมเคยอ่านพบ สมัยแรก ลูกศิษย์ของพระเยซูมีแต่ไม้เท้ากับหมวก มีเสื้อผ้านุ่งห่มก็กระรุ่งกระริ่งไปตามเรื่อง ไม้เท้าแล้วก็หมวก แล้วก็ไปเผยแผ่ไป อยู่ที่ปาเลสไตน์นี่ ไปเผยแผ่ถึงประเทศอิตาลี ข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียนไป ก็ได้ผล ได้ผลมาก แม้ว่าจะต้องตายนะ ผู้เผยแผ่คริสต์ศาสนาชุดแรกจะต้องตายก็เท่านั้น เซนต์ปอนด์ก็ดี เซนต์ปีเตอร์ก็ดี ถูกฆ่าตายทั้งนั้น แกก็ต่อสู้จนประชาชนรับเอาธรรมะ เอาคริสธรรมไว้ได้แม้ตัวจะต้องตาย โดยที่นั่นเขาไม่, เขาไม่เห็นด้วย เขาถือว่ามันไม่ถูก แถวโรมัน ประเทศโรมันนั้นเขาถือ เชื่อ สันนิษฐานว่า เรื่องที่มันขัดกันนัก ก็คือว่าเขาถือพระเจ้าหลายๆองค์ตั้งแต่โรมัน คริสเตียนไปสอนพระเจ้าองค์เดียวนี่ เขาก็เลยเห็นเป็นมิจฉาทิฐิ เขาไม่ยอม ทีนี้ก็ไม่ยอม ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ก็เลยถึงกับคอขาดบาดตายกันไป แต่เขาก็เผยแผ่ได้มาก ถ้าสมบัติมีแต่เพียงหมวกกับไม้เท้า
เดี๋ยวนี้พระชั้นสูงของคริสตังนี่ ก็ใช้เครื่องนุ่งห่มที่ทำด้วยแพรโน่น สวมแหวนเพชร มีอะไรสวมศีรษะที่เป็นเพชร เป็นทอง การเผยแผ่เลยไม่ออก แทนที่มีไม้เท้าตีหมา มีไม้เท้าอาญาสิทธิ์ชูหราโน่น มันผิด, มันผิดกัน
นี่, ขอให้จับใจความให้ได้เถิด ว่า การเผยแผ่นั้น ถ้าทำโดยมีอะไรที่มันหรูหรา สบาย สนุกสนานอะไรต่ออะไรนั้น มันเผยแผ่ยาก มันต้องไปอย่างระดับเดียวกับชาวบ้าน ที่เรียกว่าปอน อย่างปอนนั้นน่ะ มันเข้าถึงตัวประชาชน อย่างเราไปอย่างพระขอทานนี่ เขาเชิญ นิมนต์ฉัน ก็ฉันสิ แล้วก็คุยกันกี่ชั่วโมงก็ได้ เป็นอย่างนี้ น่าจะมีกลับมาอีก การไปรับนิมนต์ฉันที่บ้านไหน แล้วก็จะต้องให้ผลตอบแทนเขาคุ้มค่าทีเดียว คือทำให้เขาเข้าใจธรรมะให้จงได้นั้น คือคุ้มค่า เขาเรียกว่าโปรดสัตว์โดยแท้จริง
เดี๋ยวนี้มันน่าหัว มีเครื่องมือสื่อสาร มีวิทยุ มีหนังสือพิมพ์ เครื่องมือสื่อสารอย่างดีในโลก แทนที่จะสื่อสารให้ธรรมะ มันเป็นสื่อกิเลสไปเสียหมด คุณดูที่เขาส่งกันอยู่ ทางวิทยุก็ดี ทางหนังสือพิมพ์ก็ดี สื่อสารอย่างอื่นก็ดี เขาใช้สื่อกิเลสกันเสียทั้งนั้นนะ เครื่องบันทึกเสียงอย่างนี้ ที่เอามาบันทึกธรรมะนี่มีไม่กี่เครื่อง ล้านๆเครื่อง มันสื่อกิเลสทั้งนั้น ในโลก มันก็ไม่ได้ผล ทั้งที่ว่ามันมีเครื่องมือสื่อสารที่ดี หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทุกหน้า มันมีแต่ส่งเสริม เรื่องเอร็ดอร่อย สนุกสนาน กินดี อยู่ดีทั้งนั้นน่ะ มันเป็นสื่อกิเลสไปเสียทั้งนั้น มีไม่กี่บรรทัดที่จะสอนธรรมะ แล้วก็หายากเต็มทีนะ หนังสือพิมพ์ปัจจุบันนี้ คุณดูสิ ที่จะมีข้อความธรรมะโดยแท้จริง มันเกือบจะไม่มี นอกนั้นมันเป็นเรื่องสื่อกิเลสอย่างดี เป็นเรื่องการเมือง ยุให้รำตำให้รั่ว ให้มันขบกัดกันอยู่เสมอนี่ มันก็ไม่, ไม่เป็นการสื่อธรรมะ แต่เป็นสื่อกิเลส โลภะ โทสะ โมหะไปเสีย
ครั้งพุทธกาลไม่มี เครื่องมือสื่อสารแบบนี้ มันไม่มี เครื่องขยายเสียงไม่มี อะไรไม่มี ก็ลองคิดดูเถิด เขาทนทำกันได้อย่างไร ถ้าคนมากๆเขาจะพูดกันได้อย่างไร เขาก็ยังทำกันได้ หนังสือพิมพ์ก็ไม่มี แต่ว่าต่อมา สัก พ.ศ. ๓๐๐ ๔๐๐นี้ มันก็เริ่มมีการเผยแผ่โดยภาพ คือพระราชาที่มีอำนาจน่ะ สั่งให้สลักภูเขา สลักแผ่นหิน สลักอะไรก็ตามที่สร้างขึ้น เป็นภาพพุทธประวัติ และภาพที่สอนธรรมะได้ เป็นเครื่องจูงใจประชาชน
การที่ผมสังเกตเห็นเมื่อไปดูเอง หรือว่าดูหนังสือ เอกสาร หลักฐาน อะไรต่างๆที่เขาทำขึ้น เรื่องที่จะชักจูงประชาชน ให้บริจาค ให้ให้ทานนั้นน่ะ มีมาก เช่นหน้าผาต่างๆ สลัก เรื่องพระเวสสันดรมากที่สุด แปลว่าภาพเรื่องพระเวสสันดรถูกสลักมากที่สุด ให้ประชาชนสนใจ ยึดถือ สร้างนิสัยแห่งการบริจาค นี่ เขาต้องการอย่างนี้
แต่เรื่องอื่นก็มี เราสังเกตดูได้อย่างที่ สถูปสาญจี เขาเลือกเอาชาดกอะไรไปสลัก มันบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องการจะอบรมประชาชน ในธรรมะข้อไหน นี่ก็เรื่องเวสสันดรก็มีมากอีก ตามเคย ให้ประชาชน มีนิสัยบริจาค ให้กตัญญู อกตัญญู เช่น ทิปิชาดก เทวทัตขย่มพระลิงโพธิสัตว์ ให้ตกลงมาจากสายข้ามคลอง ลิงก็ต่อตัวกัน จนเป็นสายข้ามคลองแล้วให้ลิงน้อยๆเดินไปบนนั้น พอลิงเทวทัตเดินไปนั้น ขย่มให้สายขาดตรงที่ลิงโพธิสัตว์อยู่ นี่, ต้องการแสดงให้ประชาชนรู้เรื่องกตัญญู เรื่องอกกตัญญู เรื่องหยาบคาย เรื่องทรยศ เรื่องสุวรรณสามนี้ก็มี กตัญญูต่อบิดามารดานี้ก็มีสลัก
ดูเองก็แล้วกันนะ ว่าเขาเลือกเอาเรื่องที่มันมีธรรมะเด่นชัด ข้อหนึ่ง ข้อหนึ่งไปสลักหิน ให้ประชาชนดูกันอยู่เสมอ พูดจากันอยู่เสมอ จนมันรู้เรื่องดี แล้วฝังเข้าไปในจิตใจ ก็จะพูดได้ว่าทางพุทธนี่ทำก่อน แล้วศาสนาอื่น ลัทธิอื่นก็ทำตาม นี่ความรู้สึกของผมนะ เท่าที่ผมสังเกตดูว่า หินสลักภาพไหน ยุคไหนมันมีก่อน เป็นหินสลักในพุทธศาสนานี่เก่ามาก เก่ากว่า คล้ายๆกับเผยแผ่เครื่องมือสื่อสารน่ะ สลักหิน
การเขียนภาพตามถ้ำนี้เพิ่งมี คงไม่เกินไป ไม่ ไม่ ไม่เก่าก่อนพ.ศ. ๑๐๐๐ พ.ศ.มาหลายร้อยจนถึง ๑๐๐๐ แล้วจึงมีภาพเขียนตามถ้ำ สลักหินนั้นนะ กลับมีก่อน นี่เรียกว่าการเผยแผ่ธรรมประจำถิ่นอย่างที่ว่า แล้วก็ออกเผยแผ่อย่างที่ว่า แล้วก็ทำแบบสื่อสารสลักหินติดตั้งไว้นี่ก็เหมือนกับการสื่อสาร ท่านก็ได้ทำกันมาทุกแบบแหละ
ดังนั้น เราไม่มีอะไรจะทำให้แปลกมากออกไปกว่านั้นแล้ว อย่างที่เราทำกันอยู่นี้ ก็ในความหมายนั้น เดี๋ยวนี้มีวิทยุ มีหนังสือพิมพ์ มีอะไรก็ตาม มันก็ไม่แปลก ไม่มีความหมายแปลกไปจากนั้น แต่แล้วเราก็ไม่ได้ใช้เครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ให้สมกัน เป็น เป็น เป็นเครื่องมือสื่อกิเลสเสียมาก เพราะฉะนั้นกิเลสมันเจริญกว่าธรรมะ กิเลสมันก็ครองโลกแทนธรรมะ ดังที่เราเห็นกันอยู่ว่า มันเต็มไปด้วยเรื่องของกิเลส เดี๋ยวนี้เราก็มีโรงหนังทางวิญญาณ โรงมหรสพทางวิญญาณ เพื่อจะเผยแผ่โดยภาพได้เหมือนกัน มันไม่แปลกไปกว่าที่เขาเคยทำกันแต่ก่อน
ทีนี้ก็จะดูถึง อุปสรรคของการเผยแผ่ของพวกเรา ปัจจุบันนี้ ซึ่งพระธรรมทายาทควรจะทราบ เพราะว่าพระธรรมทายาทนี่, อาสาสมัครในการเผยแผ่ แล้วมันทำไปไม่ได้ เพราะเหตุอะไร มันก็ควรจะทราบ เพราะเรื่องส่วนตัวเราทำไม่ได้ ก็ ก็สรุปได้สั้นๆว่าความรู้ไม่พอ ความสามารถไม่พอ ความเสียสละไม่พอ ความอดกลั้นอดทนไม่พอ นั้นก็ไปทำให้มันพอสิ นี่เป็นปัญหาที่เห็นได้ง่ายๆ
แต่มีปัญหาที่เห็นได้ยาก อยู่ลึกลงไป เห็นได้ยาก ก็ยังมีอีกมากมาย นั้นน่ะ ก็จะต้องดูด้วยเหมือนกัน คือประชาชนไม่ยอมรับ ประชาชนไม่ยอมรับการเผยแผ่ เพราะเหตุอะไร ก็มีอยู่หลายประเด็น หลายเรื่อง หลายปัญหา ต้องศึกษา ผมก็เอามาพูดให้ฟัง ก็เป็นตัวอย่างสำหรับที่ได้ศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเอง ต่อไป
ที่ข้อแรก จะต้องนึกก็คือว่า ประชาชนนั้น มีลักษณะเหมือนกับน้ำเต็มขวด ขวดใส่น้ำเต็ม มันใส่ลงได้อีกเมื่อไรเล่า เทลงไปมันก็ล้น หรือที่เขาเรียกกันว่า น้ำชาล้นถ้วย ที่จริงมันแน่นกว่าน้ำชาล้นถ้วย คือมันเหมือนน้ำเต็มขวด มันใส่ลงไปอีกไม่ได้ ประชาชนมีอะไรเต็มขวด ก็คือ ลัทธิเชื่อถือผิดๆมาแต่เดิม อัดแน่นอยู่ในสันดาน นั่นก็คือไสยศาสตร์ ประชาชนถูกเติมอัดอยู่ด้วยไสยศาสตร์ ใส่ธรรมศาสตร์ หรือพุทธศาสตร์ลงไปไม่ได้ หรือว่าจะเคยพูดแล้วครั้งหนึ่ง คืนก่อนๆโน้น ว่าพอเกิดมา เด็กเกิดมา มันก็ถูกอบรมให้เป็นไสยศาสตร์ ให้เชื่อสิ่งที่เด็กเข้าใจไม่ได้ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ว่าเด็กทารกถูกสอนให้ไหว้พระครั้งแรก เด็กทารกมันเข้าใจไม่ได้หรอกว่าทำไมจะต้องไหว้ แต่ผู้ใหญ่บอกว่าไหว้สิมันจะดี จะมีบุญ จะช่วยให้รอดปลอดภัย เมื่อพูดอย่างนี้มันก็เป็นรูปไสยศาสตร์ ถ้าจะพูดให้ตรงตามเป็นจริงว่า พระเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติดี มีความดีอยู่ในตัวท่านเต็มไปหมด แล้วท่านก็สอนคนอื่นให้ดีด้วย เพราะฉะนั้นเราควรจะไหว้ ถ้าพูดอย่างนี้เด็กมันเข้าใจไม่ได้ เด็กทารกมันเข้าใจไม่ได้ มันรับเอาไม่ได้ ต้องพูดว่านี่ พระ พระเจ้า แทนพระเจ้า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้สิ จะช่วยหรือจะได้บุญ แล้วก็จะช่วย แล้วมันจะรอด เด็กทารกมันก็ไหว้บุญ ไหว้พระเจ้า พระเจ้า พระสงฆ์ที่เดินไปตามถนนหนทางน่ะ ยกมือไหว้ แต่มันไหว้ด้วยความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์จะช่วย มันก็เป็นไสยศาสตร์ ก่อหวอด หรือเพาะพันธุ์ลงไปในนิสัยสันดานของเด็กเรื่อยๆมา เกี่ยวข้องกับศาสนาในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยได้ทั้งนั้น ทุกอย่างเลย แม้แต่บุญก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยได้โดยไม่ต้องอธิบาย
ในสันดานของคนธรรมดาสามัญ ชาวบ้านทั่วๆไปในวัดท่านก็ทำอย่างนี้ มันก็มีไสยศาสตร์เต็ม อัดอยู่เหมือนกับน้ำเต็มขวด จะเติมน้ำอะไรลงไปอีก ไม่ได้ แล้วมันก็ไม่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเสียด้วยที่ว่าจะเจาะขวด หรือจะให้ทำ มันไม่มีนะ มันมีแต่เพิ่มเข้าไป เพิ่มเข้าไป ให้เป็นไสยศาสตร์มากขึ้น มากขึ้น พอเราจะสอนพุทธศาสตร์มันก็ลำบากยังไงล่ะ
นี่, ถือว่าเป็นอุปสรรคที่ละเอียดลึกซึ้งชนิดหนึ่ง ที่ประชาชนมีสันดานเต็มอยู่ด้วยไสยศาสตร์เหมือนน้ำเต็มขวด เติมไม่ลง
ทีนี้ถ้าจะเอาน้ำเก่าออก มันก็เอาออกไม่ได้นี่ อย่างที่เดี๋ยวนี้เราพยายามอยู่ ที่จะให้เขาคลายจากไสยศาสตร์ ท่านปัญญาเป็นผู้นำ มันก็ยังทำไปไม่ได้ มันก็เลยยังคาราคาซังกันอยู่ ถ้าเอาไสยศาสตร์หรือน้ำเก่าออกเสียได้เท่าไร น้ำใหม่คือพุทธศาสตร์ก็จะเข้าไปได้เท่านั้น จึงขอให้ทราบ รับทราบไว้ด้วย
แต่ว่าไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการหมดหนทางเสียทีเดียว ก็มีผู้ทำสำเร็จบ้าง สำเร็จเรื่อยๆ อยู่เรื่อยๆด้วยเหมือนกัน บางแห่ง บางจังหวัดนี่มันก็คลายไสยศาสตร์ลงได้มาก น่าเป็นที่พอใจ แต่ถ้าเมื่อกล่าวโดยส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ กำลังฝ่ายไสยศาสตร์ แล้วประชาชนผู้มีทั่วๆไปมันก็ต้องไม่มีความรู้ มันก็ต้องเชื่อถือไสยศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ช่วย ประชาชนผู้มีอำนาจก็ยังเชื่อถือไสยศาสตร์ ส่งเสริมให้ศักดิ์สิทธิ์ช่วย มันก็ยากที่จะพ้นไปได้ แต่ขอให้รู้เถิดว่า ถ้าน้ำเก่าไม่ออก น้ำใหม่ก็เข้าไปไม่ได้ นี่ก็อุปสรรคอย่างหนึ่ง จะเป็นน้ำเต็มขวด หรือ น้ำชาล้นถ้วย ก็เป็นอย่างเดียวกัน
ทีนี้ ก็มาถึงความหลงอร่อยในวัตถุ ผมเรียกว่า วัตถุนิยม คำนี้ขอให้ทำความเข้าใจกันด้วย วัตถุนิยมของผม ความหมายไม่เหมือนกับที่เขาใช้ ใช้กันอยู่
คำว่าวัตถุนิยมโดยทั่วไปที่เขาใช้กันอยู่ในโลก เขาหมายถึง ถือเอาวัตถุเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงจิตใจ อะไร อะไรก็เอาวัตถุเป็นหลัก เป็นเครื่องวัด เป็นเครื่องตรวจสอบ เป็นที่พึ่ง เป็นอะไรทั้งนั้น เอากฏเกณฑ์ทางวัตถุเป็นหลักแห่งความจริง เขาเรียกวัตถุนิยม จะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องบันทึกวัตถุทั้งนั้น เป็นเรื่องบันทึกทางวัตถุทั้งนั้น
แต่ผมนั้นขยับแคบเข้ามา ว่าที่มันหลงความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ เรียกว่า วัตถุนิยม เข้มข้นกว่าแต่แคบกว่าที่เขาใช้กันอยู่ เราก็เลยถูกด่าว่าใช้คำไม่ถูก ช่างมัน ไม่เป็นไร แต่ผมจะพูดกันในพวกเราว่า วัตถุนิยม หมายถึง มันตะกละในรสอร่อยทางวัตถุ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นั้นน่ะ ที่เรียกว่ากามคุณ ๕ นั่นน่ะ อร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง เรียกว่าวัตถุ หลงอร่อย บูชาอร่อย ทางนี้เรียกว่าวัตถุนิยม
ทีนี้ ประชาชนเขาหลงในวัตถุนิยมอย่างฝังแน่นในสันดานเท่าๆกับไสยศาสตร์เหมือนกัน มันก็เช่นเดียวกับไสยศาสตร์ พอทารกเกิดมาจากท้องมารดา เป็นทารก แม้นอนอยู่ในเบาะนี่ มันก็ถูกป้อนด้วยวัตถุนิยม ความอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง เอาของอร่อยๆมาให้เด็กกิน เอาของสวยงามมาแขวนเหนือเปลให้เด็กดู ร้องเพลงไพเราะ ไพเราะให้เด็กฟัง มีของหอมหรือของอะไรที่แล้วแต่ แต่ว่าทางจมูกนะเขาจะอร่อยได้อย่างไร ทางผิวหนังก็คือการโอบกอด การโอบอุ้ม การให้ความอบอุ่น นิ่มนวล นานาชนิด เท่าที่จะหาได้ อย่างเบาะนอนนี่ต้องนิ่มดีที่สุด อย่างดีที่สุด เด็กเขาก็พอใจ โดยไม่เจตนา โดยไม่รู้สึกตัว
ในเรื่องสวยทางตา ไพเราะทางหู หอมทางจมูก อร่อยทางลิ้น ความอบอุ่น นิ่มนวลทางผิวหนัง เหล่านี้มันเป็นจุดตั้งต้นฝังอยู่ในสันดานของเด็ก เขาก็เลยเกลียดสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาชอบอร่อยอย่างนั้นเสียแล้ว สอนธรรมะซึ่งไม่มีความอร่อยอย่างนั้น และต้องการจะกีดกันความอร่อยอย่างนั้นออกไปเสียด้วย เด็กมันก็ไม่ชอบ คนหนุ่มคนสาวก็ไม่ชอบ แม้แต่กระทั่งคนผู้ใหญ่ก็ไม่ชอบ จนเดี๋ยวนี้ เขาจึงชอบสิ่งเริงรมณ์ทั้งหลาย เลยเข้มข้นขึ้นไปถึงสิ่งมึนเมาและเสพติด เช่นรสอร่อยของน้ำเมา กระทั่งว่าจนถึงขนาดเสพติด เป็นเฮโรอีน เป็นอะไรไปตามเรื่อง ฝังแน่นอยู่ในจิตใจ ด้วยรสร้ายแรงของวัตถุนิยม
อันนั้นก็อยู่ในสันดานของคน ประชาชน ธรรมะเข้าไม่ได้ เพราะเขาเสพติดในวัตถุนิยมมากเกินไป ธรรมะเข้าไปไม่ได้
เมื่อเขาหลงใหลในความเอร็ดอร่อย เขาก็ทำไปตามความหลงใหล มันก็เรื่อง กินเกิน ดีเกิน อร่อยเกิน เงินเดือนไม่พอใช้ เงินเดือนไม่พอใช้ก็ไม่ว่า ตายดาบหน้า โกงกันต่อไป เพื่อเอาเงินมาหาความเอร็ดอร่อย อย่างที่ว่ามันอยู่ในฐานะที่ไม่ควรจะมีรถยนต์ ไม่ควรจะมีเครื่องบันเทิง รื่นเริงต่างๆ มันก็มีจนได้ ก็ไปกู้ ไปยืมเขามาซื้อจนได้ อย่างที่พูดว่าไฟฟ้าเข้าไปถึงบ้านไหน ที่นั่นมันก็ต้องมีโทรทัศน์ มีวิทยุ มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายสนุกสนาน เอร็ดอร่อย จะมีงานศพ มีงานอะไร ก็ต้องไปเช่าเครื่องขยายเสียง บันทึกเสียง เครื่องเพลงอะไรมาเล่นกันจนสว่าง เสียค่าเช่า ๕๐๐ ๖๐๐ ถึง ๑,๐๐๐ ก็มี ถ้าขนาดหนักเสียเป็น ๑๐,๐๐๐ ก็มี นี่เรียกว่าอำนาจของวัตถุนิยมฝังแน่นอยู่ในจิตใจของประชาชน จนธรรมะเข้าไปไม่ได้ ประชาชนติดในรสอร่อยของวัตถุนิยมนั้นมากเกินไปเสียแล้ว เขามีอวิชชามากขนาดนั้นน่ะ เราจะใส่ธรรมะเข้าไปอย่างไร
ดังนั้น พระธรรมทายาทผู้จะเผยแผ่นี้ มันต้องมีความรู้ความสามารถในการที่จะละลายความเหนียวแน่นทางไสยศาสตร์ หรือทางวัตถุนิยมของประชาชนด้วย มันจึงจะทำได้
ปัญหา มัน มันจะมากกว่าครั้งพุทธกาล ครั้งพุทธกาลนั้น ถ้าในประเทศอินเดียโดยเฉพาะแล้ว ประชาชนเขาแสวงหาเรื่องทางจิตใจกันอยู่ทั้งนั้น ทุกหนทุกแห่ง คอยจ้องหา เรื่องหลุดพ้นทางจิตใจอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นการไปสอนมันก็ง่าย เดี๋ยวนี้ประชาชนมันหวังเรื่องทางวัตถุ เอร็ดอร่อยทางวัตถุโดยมีไสยศาสตร์เป็นเครื่องมือเกือบจะทั้งนั้น มันเลยสอนยาก
เมื่อผมไปอินเดีย ไปที่ ที่ท่าน้ำ ที่คนจนเขา, คนขอทานเขาอยู่กันมาก เขาเผาศพที่ท่าน้ำ แล้วคนก็ไปออ คอยขอทานน่ะ มันมาก สนทนากับคนขอทาน เขาต้องการบุญ ต้องการกุศลมากกว่าเงิน น่าหัว คนขอทานแท้ๆนะ มันถือกะลาขอทานอยู่แท้ๆ มันต้องการมุขคติ มุขคติ คือ วิมุติน่ะ ภาษาฮินดีธรรมดา ธรรมดา เรียกมุขคติ คนขอทานก็ต้องการมุขคติก่อนเงิน หรือก่อนอาหาร นี่, แสดงว่าพื้นเพจิตใจของชาวอินเดีย มันต้องการความหลุดพ้นทางจิตอยู่มาก จนเหลือเป็นซากอยู่อย่างนี้
อีกทีหนึ่งก็นั่งอยู่ในรถไฟ ในที่สถานีมันมีหลีก, หลีกรถน่ะ มันเคลื่อนมาเทียบกัน ๒ ขบวนชิดๆกันนี้ ก็เลยพบนักบวชผมยาวเกือบจะไม่นุ่งผ้าอยู่รถอีกคันหนึ่ง หน้าต่างมันตรงกันกับผม ผมบอกคนที่อยู่ข้างๆที่ไปด้วยกัน ให้เอาสตางค์ให้เขา เขาจะโกรธเสียโน่น ทำตาเขียวจะโกรธโน่น ไม่ยอมรับเด็ดขาดเลย เขาทำมืออย่างนี้ เหวี่ยงบนหัวอย่างนี้ อย่างนี้ แล้วพุ่ง ทำอย่างนี้ อย่างนี้น่ะ พุ่งอีกเสียสองสามหน คือ เราพูดกันไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง คนละภาษา เขาก็ต้องการจะไปที่โน่นน่ะ เขาไม่ได้ต้องการสตางค์ เราเลยอาย ละอาย คิดดูเถิด
รากฐานอินเดียในทางจิต ทางวิญญาณ ยังมีเหลืออยู่มาก มันเข้าใจว่าในประเทศอินเดียครั้งกระโน้น หรือแม้ครั้งกระนี้ มันก็ยังจะง่ายกว่าในประเทศเหมือนประเทศเราที่ เรื่องทางจิตใจมันไม่ค่อยจะมีเหลืออยู่แล้ว มันมีแต่เรื่องทางวัตถุ เมื่อยิ่งไปในเมืองฝรั่ง มันก็ยิ่งมากกว่านี้ก็ได้
นี่เดี๋ยวนี้คนเขาบูชาวัตถุ เมื่อมัน มันเหนียวแน่นอยู่ด้วยไสยศาสตร์ก็ดี วัตถุนิยมก็ดี จิตของเขาก็ปิด ปิดต่อธรรมะ ปิดต่อการจะรับธรรมะ มันจึงใส่ไม่ลง ถ้าเปิดจิตของเขาไม่ได้ มันก็ไม่มีทางที่จะใส่ลงไปได้ นี่เพราะว่าเราไม่ ไม่สามารถจะเปิดจิตของเขาได้ เราจึงใส่ของของเราไม่ลง
ถ้าจะเปรียบเทียบกับเรื่องทางค้าขาย ก็ต้องพูดว่าเราโฆษณาไม่เป็น สินค้าของเราขายไม่ออก ถ้าคุณสังเกตดู การค้าเดี๋ยวนี้นะ การโฆษณาเป็นสิ่งสูงสุด ก็ต้องลงทุนโฆษณามหาศาล จนสินค้าเขาขายได้ การโฆษณานั้นมันก็มีใจความสำคัญอยู่ที่ว่า ทำให้ผู้นั้น อยากได้ อยากมี เมื่อเขาทำสำเร็จในการที่จะให้ประชาชนเหล่านั้นอยากได้ หรืออยากจะมี ของที่เขาจะขาย มันก็แน่นอนนะ เขาก็ต้องซื้อ นี่, การโฆษณาสินค้ามันสำเร็จ คนก็แตกตื่นซื้อสินค้าใหม่ๆ แม้จะหลอกลวง แม้จะเลวๆ แม้จะหลอกลวง ไม่ควรจะมี ไม่จำเป็นจะต้องมี มันก็ยังหลงใหลซื้อ ซื้อกัน จนทำไม่ทัน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องของกินอร่อย ของอะไรที่ถูกอกถูกใจนั้น มันก็ขายดิบขายดี
ธรรมะของเรา มันเป็นสินค้าที่ขายไม่ได้ เพราะเราโฆษณาไม่เป็น ศิลปะการโฆษณาก็จะต้องศึกษากันไว้บ้าง แต่ให้มันบริสุทธิ์ ถ้าจะโฆษณาธรรมะต้องเป็นเรื่องโฆษณาบริสุทธิ์ อย่า อย่า อย่า อย่าไปโฆษณาหลอกลวง ภาษาอังกฤษมันก็มีอยู่สองคำ Advertisement มันโฆษณาซื่อๆ ตรงๆ ประกาศให้รู้ แต่ถ้าคำว่า Propaganda แล้ว คือโฆษณาหลอกลวง ชวนเชื่อ มีโฆษณาเฉยๆ กับโฆษณาชวนเชื่อ โฆษณาชวนเชื่อนี้มันก็ ก็ใช้กลโกง ใช้อะไร ซึ่งไม่ซื่อ ดูเราจะไม่ได้ทำกันทั้งสองอย่าง ที่จริงโฆษณาชวนเชื่อนั้น มันก็ทำได้ ชนิดที่ไม่ต้องโกงนะ แต่ว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว มัน มันมักมีเรื่อง เล่นไม่ซื่อ โฆษณาชวนเชื่อ มันไม่ใช่เพียงแต่โฆษณาให้รู้ มันโฆษณาชวนเชื่อด้วย
รู้จักแยกแยะกันเสีย แล้วเราจงฝึกฝนศิลปะแห่งการโฆษณานี้ให้ ให้เพียงพอ คือ พูดให้เขาฟังจนเขารู้สึกว่าธรรมะนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น ที่เขาจะต้องมี ถ้าไม่มีเขาก็จะทนทุกข์ทรมาน เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น นี่รู้จักโฆษณา หรือโฆษณาชวนเชื่อให้แก่คนที่ควรจะมีธรรมะ
ทีนี้ของกิน ของเล่น แม้แต่น้ำหอม แม้แต่สบู่ ทีนี้มันก็ขายกันอย่างที่เรียกว่า มันเกินจำเป็น ก็คนมันอยากสวย อยากงาม อยากหอม อยากเอร็ดอร่อย อยากสนุกสนาน หนังสือพิมพ์แต่ละฉบับเต็มไปด้วยการโฆษณา คนก็เลยตกบ่อ ตกหลุมโฆษณา หลงใหลกันแต่ที่นั่น อยู่ที่นั่น นี้มันก็เป็นเรื่องปิดกั้นการรับเอาธรรมะด้วยเหมือนกัน เขาหลงใหลกันอยู่ที่นั่น จนเงินหมด หรือเป็นหนี้เป็นสินนุงนังอยู่นั่น มาสนใจธรรมะไม่ได้
นี่, ก็ให้สังเกตไว้บ้างที่ว่าการเผยแผ่ธรรมะของเรา มันมีอุปสรรค เราต้องใช้ศิลปะที่บริสุทธิ์ อย่าใช้ศิลปะคดโกงหลอกลวง ถึงแม้ว่าจะคดโกงหลอกลวง มันก็ไม่เสียหายอะไรถ้าเราไม่ได้เอาอะไรจากเขา เราไม่เอาประโยชน์จากเขา มีแต่ช่วยเขาอย่างเดียว ถ้าถึงคราวที่ต้องหลอกลวงกันบ้าง มันก็ต้องหลอกลวงล่ะ เหมือนกับให้เด็กมันกลัวตุ๊กแก หรือกลัวอะไรที่มันไม่ควรจะกลัว ก็เพื่อให้มันปลอดภัยเหมือนกันแหละ
ฉะนั้น เรื่องล่อ เรื่องหลอกนี่ มันดูจะต้องมีบ้าง โดยเจตนาที่บริสุทธิ์ ที่จะดึงเขาไปในทางที่ถูกต้อง คำพูดที่ว่าเอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อ นี่มันก็มีมูลแห่งความจริง เมื่อมันยังไม่ยอมเสียสละเสียเลย มันก็ต้องมีอย่างนี้บ้าง เมื่อทำจนเป็นนิสัยแล้วจึงค่อยบอกว่ามันสูงไปกว่าสวรรค์ คือเรื่องนิพพาน เรื่องดับทุกข์ เรื่องดับทุกข์นี่มันไม่สนุกนะ เรื่องสวรรค์มันสนุก มันก็ยังต้องมีเรื่องสวรรค์ซึ่งยังยกเลิกไม่ได้ สำหรับจะดึงคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับธรรมะ
มีคนเขาพูดว่า ผมนี่พูดยกเลิกสวรรค์ มัน, มันเดาเอาเอง มันสันนิษฐานเอาเอง เราไม่ได้, ไม่ได้ยกเลิกเรื่องสวรรค์ แต่บางทีเราก็แสดงนรก หรือสวรรค์ที่ใกล้ๆตัว ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว ว่าเมื่อมันร้อนใจนั้นน่ะ มันเป็นนรกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อสบายใจมันเป็นสวรรค์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ควรจะสนใจที่นี่ก่อน ก่อนนรกหรือสวรรค์ต่อตายแล้ว ถ้ามันทำสำเร็จ ไม่ตกนรกที่นี่ เลยได้สวรรค์ที่นี่ ตายแล้วไม่ต้องสงสัยต้องได้แน่นอน เพราะมันทำอย่างเดียวกัน เราไม่ได้ยกเลิก เรื่องนรก สวรรค์ เพราะมันเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ทางศีลธรรม แล้วมันก็เลื่อนขึ้นไปถึงชั้นปรมัตถธรรม คือความหลุดพ้น ศิลปะอะไรที่จะช่วยคน, ดึงคนเข้ามาสนใจธรรมะได้ มันก็ต้องใช้
ถ้าพูดกันตรงๆก็ ได้ ก็พูดกันตรงๆว่าทำอย่างนี้สิดี เห็นชัดๆ เป็นสันทิฏฐิโก ว่าถ้าปฏิบัติอย่างที่จะบอกนี้แล้วก็ มันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เคยร้อน มันจะเป็นชีวิตที่เย็น ชีวิตที่เคยหนักอึ้ง ก็จะเป็นชีวิตที่เบาสบายขึ้นมา เขาคงจะสนใจเพราะว่าเขาอยู่ด้วยความร้อน มีชีวิตที่ร้อน ชีวิตที่หนักอึ้ง จนเป็นโรคประสาท จนเป็นบ้า จนอะไรกันอยู่มากมายอย่างที่เห็นๆกันอยู่ ถ้าเราพูดให้เขาเข้าใจว่าธรรมะนี้มันจะช่วยให้ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น คือ จะไม่ต้องมีชีวิตที่หนัก แต่มีชีวิตที่เบา คือ ความไม่ยึดถือ ชีวิตที่ร้อนเป็นไฟเพราะกิเลสนั้น มันจะกลายเป็นเย็น เพราะไม่มีไฟคือกิเลส ถ้าต้องการให้มันสนุกกว่านั้น ให้ชีวิตที่สนุกสนานด้วยก็ได้ มัน ไม่ ไม่ ไม่น่าเบื่อหน่าย ไม่น่าเหงา
ผมนึกคำขึ้นมาอีกคำหนึ่งเรียกว่า ชีวิตผีเสื้อ เคยพูดมาหลายหนแล้วเหมือนกันนะ ชีวิตผีเสื้อ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่เป็นสิ่งที่ควรจะสนใจ น่าสนใจ ว่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ทั้งคน ทั้งสัตว์ มันต้องทำงานเลี้ยงชีวิต แน่นอน ชาวนาต้องทำนา ชาวสวนต้องทำสวน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่มันจะต้องหาอาหารกิน บางชนิดมันเหน็ดเหนื่อยมาก ลำบากมาก ยุ่งยากมาก แต่ผีเสื้อนั้นมันได้เปรียบ มันบินไปตามสบาย ไปหาดอกไม้ที่สวยงาม แล้วมันดูดน้ำหวานจากดอกไม้ที่สวยงาม เหมือนกับเที่ยวเล่น อาชีพของมันเหมือนกับการเที่ยวเล่น เที่ยวสูดเกสรดอกไม้ น้ำหวานดอกไม้ไป กว่าจะอิ่ม จะกลับรัง หรือเหมือนแมลงผึ้งก็ยังดี มันเที่ยวสูดน้ำหวาน เที่ยวอะไรมา ทำรัง มีแบบฉบับที่ดีอยู่ในชีวิตผึ้ง มันสนุกในการไปหาน้ำผึ้ง แล้วเอามาทำเพื่อส่วนรวมของทั้งรัง เป็นธรรมะอยู่มากนะ ระบบชีวิตผึ้งมีธรรมะอยู่ ไม่มีตัวไหนขี้เกียจ ไม่มีตัวไหนหลีกงาน ไม่มีตัวไหนเอาเปรียบ ทำหน้าที่เต็มที่ แต่ว่าสนุกสู้ชีวิตผีเสื้อไม่ได้ เที่ยวไปตามที่สบาย อากาศดี สวยงามดี ดอกไม้ก็สวยงามดี แล้วก็ไปสูดเอาแต่น้ำหวานแล้วก็บินไปนี่
ถ้าชอบอย่างนี้เราก็มีทางจะทำ คือ เรารู้ว่า ไอ้, ไอ้หน้าที่การงานนั้นน่ะคือธรรมะ ธรรมะนั้นเป็นของที่ถูกต้องและดี แล้วเราก็พอใจ ดังนั้นเมื่อเราทำหน้าที่การงานเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อย เราก็ยังพอใจนะ นี่เราทำงาน เรา, เราเปลี่ยนแปลง งานที่หนัก เหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อย ให้กลายเป็นงานที่น่าสนุกสนาน น่าเสน่หา เหมือนกับชีวิตผีเสื้อก็ได้ แต่ต้องมีธรรมะมากพอ ธรรมะลึกซึ้งพอ คือมีวิปัสสนามาก จนเห็นชัดว่า ไอ้, ไอ้, ไอ้งานคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือการงาน เมื่อทำการงานเหงื่อไหลไคลย้อยมันกลับพอใจ เพราะมันเป็นธรรมะ พอใจที่ว่าได้ประพฤติธรรมะ
ดังนั้น เมื่อเหงื่อไหลอยู่ก็ยิ่งพอใจว่ามีธรรมะมาก มีธรรมะมาก พอใจเหมือนกับผีเสื้อเที่ยวสูดน้ำหวาน แต่ถ้าทำใจอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ก็เป็นชีวิตควายนะ ลากแอก ลากไถไปเถอะ ไม่ว่าชาวนาคนไหน แต่ถ้าเขาทำใจเสียใหม่อย่างนี้ได้ แม้ชาวนานั้นแหละ มันก็เป็นชีวิตผีเสื้อได้
ดังนั้น พอใจอยู่ในนา ในการไถนา ในการทำไร่ ทำสวน ทำอะไรทุกอย่างที่มันเหงื่อไหลไคลย้อย แต่ในจิตมันอิ่มอยู่ด้วยความพอใจว่า เราได้ประพฤติธรรมะที่ถูกต้อง สภาพชีวิตมันก็เปลี่ยนเป็นเหมือนสภาพชีวิตผีเสื้อ สวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อย อยู่ในความงามนั้น ถ้าต้องการอย่างนี้ก็ได้ ก็ต้องมีธรรมะที่ถูกต้องนั่นเอง รู้จักธรรมะ พอใจในธรรมะ เมื่อพอใจแล้วมันก็เป็นความสุข นี่ให้ชื่อว่าชีวิตแบบผีเสื้อ ไม่มีความทุกข์ กลับเป็นสุขในหน้าที่ ในการทำงาน
ถ้าเป็นไก่มันก็ต้องเขี่ยทั้งวัน มันไม่น่าสนุกเหมือนกับผีเสื้อ เป็นแมว เป็นหมาอะไรมันก็ต้องยุ่งยากลำบากตัว เกือบจะทุกข์ ทุกข์ทั้งวัน กระทั่งเป็นคน
ผีเสื้อมันก็สนุกสนาน สบายอยู่ในการงาน เลี้ยงปากเลี้ยงท้องนั่นเอง เราก็ทำอย่างนั้นได้ ถ้าเรามีจิตใจรู้ธรรมะพอ รู้ธรรมะจนพอใจในการงานที่กำลังกระทำอยู่ แล้วเป็นสุขอยู่ในการงานนั้น มันก็มีความหมายเท่ากับชีวิตผีเสื้อ ไม่ต้องมีความทุกข์เลย เป็นสุข สบายไปตลอดเวลา ธรรมะช่วยได้อย่างนี้ คุณจะเอาไหม นี่โฆษณาขายสินค้าขนาดนี้ เชื่อว่าเขาจะพอใจ อยากจะได้สินค้าของเรา คือธรรมะ ไปทำให้ชีวิตนี้เย็น ทำให้ชีวิตนี้เบา ทำให้ชีวิตนี้สนุก เหมือนกับชีวิตผีเสื้อ นี่การโฆษณาธรรมะ มันจะต้องดำเนินลึกขึ้นไป ลึกขึ้นไป ถึงขนาดนี้
นี่ถ้าว่ามันยังจะไปอีก ไกลกว่าชีวิตนี้ไปอีก มันก็เป็นชีวิตที่ว่างนะ ไม่ต้องเป็นอะไร ไม่ต้อง ไม่ต้องเกี่ยวกับหนัก เบา งาม สวย อะไร ไม่ต้อง ไม่ต้อง เอาว่างกันหมดเลย ชีวิตว่าง หลุดพ้นนิพพานไปเลย แต่คงขายยาก สินค้านี้ มันสู้อย่างสวยงาม สนุกสนานไม่ได้ แต่ก็ต้องรู้ไว้ว่า บางคนมันคงต้องการ ถ้าคนมันขึ้นมาถึงระดับชีวิตผีเสื้อแล้วก็มีเหมือนกัน ไม่รู้จะไปทางไหนต่อไป เราก็เสนอชีวิตว่าง
นี่ตัวอย่างที่ว่าจะเป็นแนวทางสำหรับเอาไปคิด ไปนึก ที่จะพูดจาให้คนสนใจธรรมะ อยากได้ธรรมะ นั้นน่ะมันคือการไขรูรั่ว ให้น้ำในขวดมันรั่ว พร่องลงไป แล้วเติมน้ำใหม่ได้ หรือเทน้ำชาที่เต็มถ้วยออกเสีย แล้วเติมน้ำใหม่ได้ มันจะต้องเอาของเก่าออก ของใหม่จึงจะใส่เข้าไปได้ คือ ยอมรับธรรมะไปแทนที่ลัทธิต่างๆที่ถือไว้แต่ก่อน
เราจึงมาพิจารณากัน ทำให้เขาเกิดความต้องการอยากได้ในสิ่งที่เราต้องการจะให้ ก่อนนี้แม้เราจะให้ ให้เปล่าๆ ไม่คิดสตางค์ เขาก็ยังไม่เอา มันต้องพูดจากันจนเขาอยากได้ แล้วเขาอยากจะเอา คือชีวิตเย็น ถ้าพูดให้ดีเขาคงต้องการนะ เขาไม่ชอบชีวิตร้อน ชีวิตหนักอึ้งก็ไม่มีใครชอบ ถ้าพูดให้เห็นทางว่ามันจะเบาได้ คงจะเอาชีวิตสนุกสนาน สวยงามอย่าง อย่าง อย่างบริสุทธิ์นะ ไม่ใช่อย่างกิเลสนะ เขาก็คงอยากจะได้
ทีนี้มาถึงชีวิตว่าง ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ตัวกู ของกู ว่างสบาย , จิตว่าง นั้นแหละ คือจิตปกติ เรื่องจิตว่างนี้มีคนเข้าใจน้อยมาก เข้าใจผิด เข้าใจเอาเอง ว่าเอาเอง หาว่าเป็นเรื่องโง่เขลา บ้าบอไปเสีย เขาไม่ยอมรับจิตว่าง เขาคัดค้าน แล้วมากกว่านั้น เขาก็ด่า มีคนเอาเรื่องจิตว่างไปด่าผมทางวิทยุอยู่บ่อยๆเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้มันซาไปแล้ว ไม่เหมือนกับเมื่อแรกๆพูด เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว เมื่อแรกๆพูด คือ มันเริ่มเข้าใจคำว่า ว่าง ถูกต้อง
คำว่า ว่าง นี้มันมีความหมายพิเศษ เป็น ว่างทางสติปัญญา ว่างทางความรู้ ไม่ใช่ว่างทางวัตถุ
ถ้า ว่างทางวัตถุ ก็คือ ไม่มี ไม่มีอะไรเลย นี้มันเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตมันมีอยู่
ทีนี้จิตว่างนี้ ไม่ใช่ว่าจิตมันสลบไสลไม่คิดนึกอะไร มันยังคงคิดนึกอยู่ตามปกตินั้นแหละ แต่ว่าความคิดนึก, ความคิดนึกนั้นมันไม่ไปยึดถือตัวกู ของกู จิตคิดนึกด้วยไม่วุ่นวาย แต่ด้วยความสงบเย็น ว่างจากความหมายแห่งตัวกู ว่างจากความหมายแห่งตัวตน เรียกว่า จิตว่าง
คิด ทำอะไรก็ได้ หรือทำอะไรอยู่ก็ได้ แต่ความคิดนึกรู้สึกนั้น อย่าให้มันอัดอยู่ด้วยความคิดประเภทตัวกู ของกู ซึ่งมันเป็นกิเลสและเป็นของร้อน การปรุงแต่งที่ผิด เมื่อมีผัสสะ จิตปรุงแต่งผิด คือปรุงแต่งด้วยอวิชชา มันก็เป็นกิเลส เป็นโลภะ โทสะ โมหะ เป็นอุปาทาน เป็นตัวกู ของกู มันก็ยิ่งมีโลภะ โทสะ โมหะ นั้นคือวุ่นวาย ไม่ว่าง
คิดไปด้วยสติสัมปชัญญะ คิดไปในทางที่เป็นประโยชน์แล้วก็ทำไปด้วยก็ได้ ไม่มีความหมายแห่งตัวกู ของกู ไม่มีกิเลสโลภะ โทสะ โมหะ อย่างนี้เรียกว่า คิดด้วยจิตว่าง ทำงานด้วยจิตว่าง สบายที่สุด และได้ผลงานดีที่สุด เขาไม่มองเห็นอย่างนี้ เขาเห็นเป็นเรื่องบ้าๆบอๆ เรื่องไม่รับผิดชอบอะไร แล้วเอาไปด่า เรื่องจิตว่าง
ทีนี้คนที่ด่าผมเรื่องจิตว่างนั้นแหละ ได้รับผล เป็นคนประสาทบ้าง ยังนอนแบบอยู่ก็มี เพราะว่าจิตว่างนั้นน่ะ มันป้องกันโรคได้ จิตวุ่นน่ะมันสร้างโลก พูดกันสักหน่อย เผื่อว่าจะเป็นความรู้เอาไปใช้ในอนาคต ผมจะใช้คำสั้นๆ จำง่ายว่า จิตว่าง นั้น ป้องกันและแก้ไขโรคได้ทุกชนิด เข้าใจว่าไม่เชื่อ
จิตว่าง ความมีจิตว่างน่ะจะป้องกันและแก้ไขโรคได้ทุกชนิด ป้องกันคือป้องกันไม่ให้เกิด ถ้าเกิดแล้วแก้ไขก็เรียกว่าแก้ไข จิตว่างนั่นจะป้องกัน แก้ไขโรคทุกชนิด เพราะว่าจิตว่างนั้น คือจิตตามธรรมชาติ จิตตั้งอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ผิดไปจากธรรมชาติ เป็นจิตที่สมดุลที่สุด ปกติที่สุด เป็นธรรมชาติเดิมที่สุด ถ้ามันเป็นธรรมชาติเดิมแล้ว ของใหม่มันเกิดไม่ได้
โรคความดันสูง มันก็ผิดปกติแล้ว ความดันมันสูง ถ้าจิตมันปกติ ไม่ผิดปกติ ความดันมันสูงไม่ได้ ต่อเมื่อจิตมันผิดปกติแล้ว ความดันมันจึงจะสูง ต้องรักษาสภาพจิตปกติถึงขนาดเป็นจิตว่างด้วยแล้ว มันดันไม่ได้ มันสูงไม่ได้ มันก็ป้องกันและแก้ไขโรคความดันสูง หรือถึงกับเส้นโลหิตแตก การที่เส้นโลหิตจะแตกนั้น มันต้องมีความผิดปกติทางจิตมากจากความดันสูงหรืออะไรก็ตาม เมื่อจิตเป็นปกติหรือว่าง มันก็แตกไม่ได้ เพราะมันไม่มีอะไรจะดันให้แตก อย่างนี้เป็นต้น
หรือแม้แต่โรคกระเพาะ โรคกระเพาะนั้นมันเกิดมาจากวิตกกังวลทั้งนั้น เขาวิตกกังวล เอาโลหิตไปใช้เสียหมด จนโลหิตที่จะมาทำน้ำย่อยอาหาร หรือจะมาย่อยอาหารนั้นมันไม่, ไม่มี เพราะเอาไปใช้วิตกกังวลเสียหมด มันผิดปกติ ทีนี้เราไม่มีวิตกกังวล มีจิตปกติอยู่เสมอ โลหิตมันก็เหลือใช้ มันก็มาใช้ในระบบการย่อยอาหารได้ มันก็ย่อยอาหารดี มันก็ไม่เป็นโรคกระเพาะ เป็นโรคกระเพาะนี้เป็นเพราะจิตผิดปกติ ไปทรมานอยู่ด้วยเรื่องราวต่างๆ วิตกกังวล ตัวกู ของกู ทั้งนั้นแหละ ถ้าจิตมันไม่มีตัวกู ของกู มันว่างอย่างนี้น่ะ มันก็ไม่ทำลายโลหิต คือไม่ใช้โลหิตไปในเรื่องอย่างนั้น มันก็เหลืออยู่ สำหรับไปใช้ในการบำรุงรักษาร่างกายให้ปกติ ดังนั้นคนที่มีจิตปกติจึงไม่เป็นโรคกระเพาะ
ทีนี้โรคเบาหวาน การใช้น้ำตาลไม่ถูกต้องตามธรรมชาติ เพราะจิตมันผิดปกติ คุณต้องมีจิตผิดปกติ วิตกกังวล หรืออะไรก็ตามที่ทำให้จิตผิดปกติ สูญเสียสภาพปกติ สูญเสียสภาพเดิม มันก็ใช้น้ำตาลไม่หมดตามธรรมชาติที่ควรจะใช้ น้ำตาลมันก็เหลืออยู่ คนมันก็เป็นโรคเบาหวาน ถ้าจิตปกติ ระบบต่างๆมันปกติ มันก็ใช้น้ำตาลหมด คนมันก็ไม่เป็นโรคเบาหวาน จิตว่างนั้น คือจิตที่ปกติสูงสุดไม่มีอะไรเท่า
โรคมะเร็งนี้ก็เหมือนกันนะ มันต้องมีอะไรไปทำความผิดปกติให้แก่เซลล์ เซลล์หนึ่ง น้ำเลี้ยงเซลล์ หรืออะไรก็ตามในเซลล์นั้นมันผิดปกติ มันจึงเป็นโรคมะเร็ง ถ้าจิตปกติมันไม่เป็นอย่างนั้น มันคงสภาพธรรมชาติเดิมของมัน มันก็ไม่เป็นโรคก่อเชื้อมะเร็งขึ้นมาได้ คุยโตแล้วเห็นไหม ว่าจิตว่าง จิตปกติมันป้องกันแม้กระทั่งโรคมะเร็ง ไปคิดดูเองเถิดน่ะ หรือไปถามหมอดูก็ได้ ผมท้าให้ไปถาม
การสร้างเม็ดโลหิตอย่างที่ไม่เพียงพอที่จะใช้น่ะ เพราะจิตมันวุ่นวาย ไขข้อ น้ำมันกระดูกมันก็ไม่สร้างเม็ดโลหิตเป็นต้น เพราะจิตมันผิดปกติ มันวุ่นวาย ระส่ำระสายไปหมด ถ้าจิตปกติการสร้างเม็ดโลหิต ทั้งแดง ทั้งขาว ทั้งอะไร มันก็ถูกต้องปกติ มันก็มีเม็ดโลหิตเพียงพอ มีคุณสมบัติเพียงพอ มันก็ไม่เป็นโรคที่เกี่ยวกับโลหิตทุกชนิด
โรคระบบควบคุมร่างกายให้ ให้ ให้ปกติ เขาเรียกว่าไอโอดีน เป็นธาตุไอโอดีนที่เรากินติดเข้าไปกับน้ำแล้วก็ให้อยู่จนทุกวัน ทุกวัน ในอาหารมีธาตุไอโอดีน ไอโอดีนจะไปช่วยคุม ควบคุมระบบปกติของต่อมไทรอยด์หรืออะไรทุกๆอย่าง พอจิตไม่, ไม่ ไม่ปกติ ไม่เป็นตามธรรมชาติเท่านั้นแหละ ไอ้ ไอ้ อาการเหล่านั้นผิดหมด ควบคุมไม่ได้ ทำงานไม่ได้ มันก็เกิดโรคต่างๆ นานาชนิด มันเกิดมาจากการที่ธาตุไอโอดีนมันควบคุมระบบปกติไม่ได้ ในน้ำที่ฉันนั้นนะ ถ้ามีไอโอดีนถูกต้องแล้วก็มีประโยชน์ แต่ถึงจะมีธาตุไอโอดีนอยู่ แต่ถ้าจิตผิดปกติแล้วมันทำงานไม่ได้หรอก ไอ้ธาตุนั้นมันจะทำงานในหน้าที่ของมันไม่ได้ ก็เป็นโรคต่างๆเกี่ยวกับการที่ไม่มีอิทธิพลของแร่ธาตุไอโอดีนช่วยควบคุม มีมากโรคเหมือนกัน
นี่เป็นอันสรุปความว่า ถ้าจิตปกติ ธรรมชาติสมดุล ว่างโดยสมดุล สมดุลนั้น ว่างน่ะคือสมดุลที่สุด ถ้าไม่ ไม่มีอะไรมาทำลายสมดุลได้ มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางผิดปกติ มันก็เลยปกติ ไม่มีโรค
เราพูดอย่างนี้ถ้าเขาเข้าใจนะ เขายินดีรับทันทีนะ รับระบบวิปัสสนา สมถะ อะไรที่จะทำให้จิตปกติ หรือจิตไม่วุ่นวาย นี่เราขายสินค้าได้ เพราะคนเหล่านั้นกลัวตายทั้งนั้นแหละ กลัวตาย กลัวโรค ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเสนอแนะสิ่งที่มันป้องกันโรคได้ เขาก็เอาแหละ
ดังนั้นขอให้ช่วยกันโฆษณาพระธรรม ที่ป้องกันโรคได้ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ ทุกโรคเลย การเผยแผ่ธรรมะมันก็จะง่ายขึ้น เหมือนที่เขาโฆษณาสินค้าเก่งๆ คนเขาก็ซื้อกันใหญ่ บริษัทก็รวย เดี๋ยวนี้เราก็มีธรรมะที่จะต้องเผยแผ่ให้เขายอมรับ เขาไม่ยอมรับ เราก็โฆษณาสรรพคุณกันไปตามที่สมควรสิ มันจะดีขึ้น ดีขึ้น มันจะเป็นไปได้ ดีขึ้น ดังนั้นเราต้องเรียนเรื่องนี้กันบ้างนะ เราต้องมีการศึกษาที่เพียงพอ ไม่ใช่เรียนแต่นวโกวาทนะ ต้องมีเรียนเรื่องอะไรต่างๆ ที่มันจะช่วยให้ธรรมะนั้นน่ะ มันเป็นไปได้ สนใจศึกษา อบรมพิเศษให้รู้เรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะ กว้างขวางออกไป โรงเรียนธรรมะ ชั้นพิเศษเพื่อให้รู้ปริยัติ รู้ปฏิบัติ รู้ปฏิเวธ และรู้จักการเผยแผ่นี้ ต้องมี เรายังใช้โอกาสหรือเวลาอย่างที่เรามาประชุมกันอย่างนี้นะ ให้ได้รับการศึกษา และความรู้ที่กว้างขวางออกไป มากกว่าเท่าที่รู้อยู่ ซึ่งมันยังไม่เพียงพอ มันจะกลายเป็นตรงกันข้ามคือว่า เดี๋ยวนี้เรามีเครื่องมือสื่อสารที่ดี พิเศษ แต่ความรู้ที่ว่า ที่จะสื่อสารมันไม่มี สมมติว่าเขามาตั้งเครื่องส่งวิทยุให้เราเครื่องหนึ่ง แล้วเราจะเอาอะไรไปส่ง คิดดูแล้วกัน พวกเราทั้งหมดนี้ ถ้ามีใครมีอำนาจเข้ามาตั้งเครื่องส่งวิทยุให้ สถานีหนึ่งนี่ เราจะเอาอะไรส่ง เดี๋ยวมันจะเอาเรื่องบ้าๆบอๆส่ง มันก็น่าหัวนะ เพราะฉะนั้นรีบศึกษาให้มันมีความรู้พอที่ว่า ถ้าว่าเรามีเครื่องมือที่จะส่ง แล้วเราต้องมีของที่เราจะส่ง
ผมรู้สึกอยู่ว่า เรายังไม่มีความรู้มากพอ สมกับที่ว่าเรามีเครื่องมือ เรา เรามีความรู้สำหรับสอนนี่ ไม่เท่ากับที่เรามีเครื่องมือที่วิเศษ เดี๋ยวนี้มันเป็นปัญหาของโลก ไม่ใช่ของเรา เขามีเครื่องมือวิทยุสื่อสาร เหลือที่จะวิเศษ ดาวเทียมก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ว่าความรู้ที่จะส่งทางเครื่องมือเหล่านั้น ไม่มี คือไม่มีความรู้ที่จะส่งให้เกิดสันติภาพ นั้นเครื่องมือสื่อสาร วิเศษมหาศาล ไปไหนก็ได้ แต่ไม่มีความรู้ที่จะส่งออกเพื่อสันติภาพ ก็เลยใช้เครื่องมือเหล่านั้นไปในทางตรงกันข้าม คือใช้ประหัตประหารกัน ก็ดูเครื่องมือสื่อสารทางวิทยุก็ดี ไม่ ไม่ ไม่ใช่วิทยุก็ดี มีแยะ แล้วก็ไม่ได้ส่งสิ่งที่จะทำโลกให้มีสันติภาพ โลกนี้มันก็ไม่มีสันติภาพอย่างที่เห็นๆกันอยู่ ความวิเศษของเครื่องมือมันมีมากกว่าความรู้ของผู้ที่จะสอน ระวังให้ดี เรามีเครื่องมือสมัยใหม่ทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ แต่เรามีความรู้ที่จะใช้มันให้เป็นประโยชน์ หรือความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ ใช้เครื่องเหล่านั้นออกไป มันก็ไม่มี เรามีเครื่องขยายเสียง เครื่องบันทึกเสียง เครื่องอะไรต่างๆ แต่ดูเหมือนว่าเรายังใช้มันเป็นประโยชน์สมกันไม่ได้ เพราะเรายังไม่มีความรู้มากพอ ต้องเขยิบความรู้ให้มากพอ ให้สมกับว่าเครื่องมือที่มันจะวิเศษยิ่งขึ้นทุกที แล้วจะมีมาใช้กันมากขึ้นทุกที จะเอาเครื่องขยายเสียงไว้ร้องเพลง ไว้พูดเล่น พูดหัว พูดเขลาๆ ไม่มีสาระนี้ มันก็ไม่ ไม่ ไม่ถูกหรอก มันไม่สมกับที่ว่าเครื่องมือนั้นมันวิเศษ ต้องเตรียมความรู้ไว้ให้เพียงพอ สำหรับที่จะมีเครื่องมือ เครื่องใช้วิเศษยิ่งๆขึ้นทุกที สนใจศึกษาธรรมะไว้ให้มากพอ ในการที่จะชักจูงประชาชนเข้ามาสู่พระธรรมหรือพระศาสนามันมีปัญหาอย่างนี้แหละ มีปัญหาอย่างที่ยกตัวอย่างมานี้
ทีนี้ผมจะพูดเลยไปถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องปาฏิหาริย์ มีคนเขาพูดว่าเราไม่มีปาฏิหาริย์ เราทำไม่ได้ เราจะ, เราเหาะให้เขาดูไม่ได้ เราดำดินให้เขาดูไม่ได้ เราไม่มีปาฏิหาริย์ นั้น, มันจะเป็นคำพูดที่โง่เขลาที่สุด เพราะปาฏิหาริย์จริงๆนั้น มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มันเป็นเรื่องหลอกลวง หรือเป็นเรื่องมายากล หรือเป็นเรื่องอะไรไปมากกว่า ถึงแม้จะมีได้จริงตามนั้น ก็ยังไม่ใช่ปาฏิหาริย์ที่สูงสุด ปาฏิหาริย์ที่สูงสุด ก็คือปาฏิหาริย์ที่ทำให้เขา ยินดีปฏิบัติตามเรา
ปาฏิหาริย์สูงสุดในพุทธศาสนา ก็คือ การปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้ ปฏิบัติให้ดับทุกข์ได้ คือปาฏิหาริย์ที่สุด ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ใดๆ อนุสาสนีปาฏิหาริย์นั้นน่ะ ไม่ใช่เพียงแต่สอนกันเฉยๆ มันต้องสอนชนิดที่ดับทุกข์ได้ และอะไรที่จะมาจูงใจคน ให้มาสนใจอย่างปาฏิหาริย์นั้นน่ะ ไม่มีอะไรสูงไปกว่า มีความสุขให้เขาดู ประโยคนี้ช่วยจำไว้ด้วยว่า มีความสุขให้เขาดู นั่นน่ะ คือ ยอดสุดของปาฏิหาริย์
ปาฏิหาริย์ใน, อย่างอื่น เหาะเหินเดินฟ้าอะไร ก็ไม่ ไม่สูงสุดเท่ากับว่า มีความสุข เป็นสุขให้เขาดู มันจะจูงใจเขามาได้ทันที ถ้าเรามีความสุขจริงๆให้เขาดู นั้นล่ะ คือยอดของปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ หรือว่าปาฏิหาริย์ใดๆที่เขารู้จักกันอยู่ ผมว่าไม่เท่าปาฏิหาริย์ คือเป็นสุขให้เขาดู ซึ่งเราจะชนะน้ำใจเขา แล้วเขาจะทำตามเรา เป็นสุขให้เขาดู อยู่ทุกกระเบียดนิ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมณสารูป คำนี้มันหมายถึง เป็นสุข
สมณสารูป มีรูปสมแก่สมณะนี่ คือ มีความสุขอยู่ทุกกระเบียดนิ้วแห่งร่างกายนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ลูกตานั้น มันเห็นได้ง่ายที่สุด คนจะมีความสุข หรือไม่มีความสุข มันรู้ได้ที่แววตา ถ้าแววตามันแสดงความเป็นสุขอยู่ นั่นแหละ คือยอดปาฏิหาริย์ คนเขาจะยินดี ติดตาม สนใจและปฏิบัติตาม
การสอนด้วยปากนี้ มัน, มัน ถ้าสอนเป็นมันก็ดี ใน ในระดับปาฏิหาริย์ได้เหมือนกัน แต่มันไม่สู้เป็น, เอ่อ, มีความสุขให้เขาดู คือทำตัวอย่างที่ดีให้เขาดู เขายังค่อยยังชั่ว คือมันน่าไว้ใจ ไม่เหมือนกับสอนแต่ปาก เราสอนแต่ปาก เขาไม่ไว้ใจ เขาไม่เข้าใจ
ที่เราปฏิบัติให้เขาดูนี่ เป็นปาฏิหาริย์ขึ้นมาแล้ว ทีนี้ถ้าเรามีความสุขให้เขาดูอีกทีหนึ่งนี่ล่ะยอดปาฏิหาริย์ ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี มีความสุขให้เขาเห็นชัดอยู่แล้วเขาก็จะเชื่อ เขาจะไว้ใจ เขาจะสนใจ ก็จูงคนไปได้โดยง่าย ไม่ยากเหมือนกับว่าจูงอูฐ จูงช้างลอดรูเข็ม หรือแม้แต่กลิ้งครกขึ้นภูเขา มันก็ไม่ค่อยถูกหรอก นี่เราจะต้องมีปาฏิหาริย์ชนิดที่ทำให้มันง่ายขึ้น ให้เขาสมัครใจ ติดตามไป
นี่เรายังจะต้องใช้ปาฏิหาริย์กันอีกมากนะ ในลักษณะนี้น่ะ พระธรรมทายาททั้งหลายจะทำอย่างไร จึงจะมีปาฏิหาริย์ชนิดนี้ ขอให้ช่วยกันคิดดูด้วย
ปาฏิหาริย์เป็นเครื่องให้สำเร็จประโยชน์นี้มันแน่นอน แต่ขอให้มันสำเร็จประโยชน์จริง อิทธิปาฏิหาริย์น่ะ มันเป็นเรื่องมายากลเสียเป็นส่วนมาก ใช้ประโยชน์แน่นอน ถาวรไม่ได้ เช่นไม่มีอาหารกิน ถ้ามีอิทธิปาฏิหาริย์จริงลองทำให้มีอาหารกิน หรือกินตลอดไป บางทีมันจะกินได้ครั้งเดียว ครั้งเดียวมันก็ยังทำไม่ได้ก็มี เพราะมันเป็นมายากลชนิดหนึ่งเสียมากกว่า สู้ปาฏิหาริย์แท้จริงไม่ได้ คือดับทุกข์ให้มันได้จริงๆ แล้วพิสูจน์ให้เห็นว่ามันทำได้จริงๆ แล้วเขาก็จะพากันทำตาม นี่เรียกว่ายอดสุดของปาฏิหาริย์ ซึ่ง, ซึ่งเป็นอุปกรณ์อันสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการเผยแผ่ ธรรมทายาทในส่วนเผยแผ่ต้องทำปาฏิหาริย์ชนิดนี้ได้
พระพุทธเจ้าท่านมีปาฏิหาริย์ชนิดนี้ ชนิดที่ว่าใครเห็นเข้าแล้วก็ สนใจยินดีทำตาม แม้สาวกของท่าน เช่นพระอัสสชิที่ทำให้พระสารีบุตร ก่อนมาสู่ศาสนานี้ สนใจ ติดตาม มันก็เป็นปาฏิหาริย์ชนิดนี้แหละ มันมีอะไรแสดงอยู่ ที่เนื้อ ที่ตัวของพระอัสสชิ ว่าประเสริฐ ว่าเต็มไปด้วยสันติสุข มีอินทรีย์แสดง อินทรีย์ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แสดงความสุขและสันติสุข ท่านก็ไม่ต้องพูดกันกี่คำ ดูอำนาจปาฏิหาริย์ชนิดนี้สิว่ามันมีมากน้อยเท่าไร เพราะฉะนั้นสนใจกันให้มากๆ อย่ามัวแต่เหลาะแหละ หัวเราะ หยอกล้อ เล่นหัว อย่างนั้นมันทำลายหมดแหละ มันทำลายปาฏิหาริย์ชนิดนี้หมด นี่ต้องเสียสละและอดกลั้น อดทน
เอาล่ะเนื้อเรื่องพอกันที สรุปความว่าเราจะต้องสนองพระพุทธประสงค์ ด้วยการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงหวังว่าสาวกเหล่านี้จะช่วยกันรักษาธรรมวินัยนี้ไว้ยังคงมีอยู่ในโลก ฉะนั้นประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่มหาชน ทั้งเทวดาและมนุษย์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ เพื่อจะรวมความว่า ทั้งคนยากจนและคนร่ำรวย ในโลกนี้ หรือในจักรวาลนี้ มันก็มีคนยากจนและคนร่ำรวย คนยังทนทุกข์ทรมานด้วยความยากจนก็ต้องให้เขาได้รับประโยชน์ คนร่ำรวย พวกนายทุน พวกเศรษฐี พวกเทวดาอะไรก็ตาม ซึ่งมันก็ยังมีกิเลส ยังมีความทุกข์อีกระดับหนึ่ง ก็ต้องให้เขาได้รับประโยชน์ เผยแผ่ธรรมะที่มหาชนได้รับประโยชน์สุข เกื้อกูลทั้งเทวดาและมนุษย์ในคำตรัสที่ส่งสาวกออกไปประกาศพระพุทธศาสนา ให้แสดงธรรม ประกาศพรหมจรรย์ งดงาม ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ก็คือ ให้เป็นที่สนใจ เป็นที่น่าสนใจ ดึงดูดจิตใจนั้นล่ะ เรียกว่างดงามล่ะ ข้างต้นก็เป็นอย่างนั้น ตรงกลางก็เป็นอย่างนั้น สุดท้ายก็เป็นอย่างนั้น
ในเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลายนี้ อธิบายได้ต่างๆกัน บางพวกอธิบายว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อย่างนี้ก็มี หรือจะอธิบายเป็นศีล สมาธิ ปัญญาก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ผมว่าธรรมดา ธรรมดานี่ พอ, พอแรกพบกันเข้าก็ให้มันน่าสนใจ อยู่ด้วยกันนานๆตลอดไป ก็ให้มันน่าสนใจ วาระสุดท้าย ก็ให้มันน่าสนใจ น่าไว้ใจ และยินดี รับถือเอา
สรุปความก็ว่า ตลอดเวลาให้มันน่าสนใจ ความงามเป็นความหมายของศิลปะ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเรื่องของศิลปะ การเผยแผ่จะสำเร็จนี้เป็นเรื่องของศิลปะ ศิลปะเขาใช้ความงามเป็น เป็นค่านิยม ถ้าใช้อำนาจหรือใช้อะไรอย่างอื่นนั้น ไม่ ไม่ใช่ศิลปะ ถ้าใช้ความงามที่ใครเห็นเข้าแล้วก็ชอบใจ เป็นเครื่องมือ เป็นอำนาจเป็นอะไร ก็เป็นศิลปะไปหมด เพราะศิลปะ สงวนไว้สำหรับความงาม การใช้ความงามเป็นเครื่องมือ ให้งามทั้งเบื้องต้น งามทั้งท่ามกลาง งามทั้งเบื้องปลาย ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง คือ ไม่มีความผิดพลาด มีความถูกต้องและเพียงพอ เป็นประโยคจำง่ายๆ ถูกต้องและเพียงพอ ถ้าจะจำให้แม่นๆ ถูกต้องแต่ไม่พอนะ ใช้ไม่ได้ มันต้องทั้งถูกต้องและเพียงพอ นี่บริสุทธิ์ บริบูรณ์ หมายความว่าถูกต้องและเพียงพอ สมบูรณ์ทั้งอรรถะ พยัญชนะ
ที่จะพูดกันแต่หัวข้อ ก็ถูกต้อง สมบูรณ์ เพียงพอ
จะพูดกันโดยรายละเอียด ก็ถูกต้องและเพียงพอ
นี่, ถูกต้องทั้งอรรถะ ทั้งพยัญชนะ
โดยคำพูด ก็ถูกต้องและเพียงพอ
โดยคำอธิบาย ก็ถูกต้องและเพียงพอ
โดยชื่อ ก็ถูกต้องและเพียงพอ
โดยคุณสมบัติ ก็ถูกต้องและเพียงพอ
อย่างนี้เรียกว่าสมบูรณ์ทั้งอรรถะและพยัญชนะ
ท่านทรงประสงค์ให้เผยแผ่กันเร็วๆที่สุด จึงตรัสว่าอย่าไปทางเดียวกัน ๒ รูป ให้แยกกันไปรูปเดียว รูปเดียว มันจะได้เร็วเข้า มันจะได้มากเข้า ฉะนั้นคงหมายความว่า อย่าไปคิดจับกลุ่มกัน สรวญเส เฮฮา สนุกสนาน ต้องไปกันเป็นกลุ่มๆ ฝูงๆนี่ คงไม่ตรงตามพระพุทธประสงค์ ท่านจึงตรัสว่า อย่าไปทางเดียวกัน ๒ รูป แล้วในคำสุดท้าย พระองค์ตรัสที่เราควรจะนึกถึงด้วยจิตใจ คือว่า แม้ฉันก็จะไปเหมือนกัน ท่านไม่เอาเปรียบ ท่านไม่ใช้แต่พวกเราหรอก แม้ท่านก็จะ, ก็จะเสด็จไปอย่างเดียวกัน ไปทำอย่างเดียวกัน จะไปอุรุเวลา อย่างนี้เป็นต้น
เอาล่ะ, เป็นอันว่า เราจะต้องสนองพระพุทธประสงค์ตามพระพุทธภาษิตที่ไพเราะที่สุด ในวันที่ส่งสาวก ๖๐ รูปออกไปประกาศพระศาสนา บทนี้ควรจะเอามาสวดเป็นสวดมนต์แปลเสียด้วย ในบทสวดของพระธรรมทายาท
การบรรยายในวันนี้สมควรแก่เวลาแล้ว แล้วมันก็เป็นการบรรยายครั้งสุดท้ายด้วย ขอยุติการบรรยาย เนื่องจากเป็นวันสุดท้าย ไม่ ไม่ ไม่ถามปัญหา ไม่ตอบปัญหา ไม่มีโอกาสแห่งการถามตอบปัญหา ดังนั้นก็ปิดประชุม