แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อตะกี้นี้ท่านได้ฟังท่านเจ้าคุณท่านอธิบายธรรมะ อันเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นสำหรับชีวิตอย่างน่าฟังจบลงไปแล้ว กลางคืนจะฟังอีก อาตมามานั่งฟังตรงนี้แต่มันไอ เลยลุกขึ้นไปนั่งตรงโน้นมันไม่ไอ อันนี้จับเหตุผลว่าตรงนี้มันเย็น ตรงโน้นมันอุ่นเลยไม่ไอ ก็ไปนั่งฟังสบาย อันนี่ได้ยินเสียงเรียกก็ต้องมาหน่อย
ความจริงก็ตั้งใจว่าจะมาพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการฉลอง ๕๐ ปี ของกิจการที่เรียกว่า คณะธรรมทาน หรือ กิจการสวนโมกข์ เพราะว่าจะมีการฉลอง ฉลองมาแล้วเมื่อวันวิสาขบูชา แต่ว่าก็ยังฉลองเรื่อยๆ ไปเหมือนกับฉลอง ๒๐๐ ปี เขาฉลองกันตั้งปี ของเราฉลอง ๕๐ ปี ก็ฉลองนานๆ ก็ไม่เป็นไร อันนี่มีคนเขียนข้อความอะไรๆ มาลงในหนังสือ อาตมานี่ไม่ค่อยมีเวลาจะนั่งเขียน เพราะว่าไปโน่นไปนี่อยู่บ่อยๆ ก็นึกว่าจะมาพูดดีกว่า พูดแล้วอัดเทปไว้ แล้วก็ถอดเทปเอาไปลงในหนังสือได้ จึงพูดให้ญาติโยมฟังในเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคณะธรรมทานว่าเป็นมาอย่างไร
เมื่อสมัยนั้นอาตมานี่เป็นพระพรรษา ๒ อยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็มีอุบาสกคนหนึ่ง ชื่อ นายกี ฐานิสสร ได้นำหนังสือ “พุทธสาสนา” ของคณะธรรมทานไปให้อ่าน แล้วบอกว่าเป็นเรื่องน่าอ่านน่าสนใจ ปกติอาตมาก็เป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว เพราะว่าแสวงหาความรู้อยู่ เมื่อได้หนังสือนี้ไปอ่านก็เกิดความชอบใจในข้อเขียนที่ได้ลงไปในหนังสือนั้น แล้วก็ชอบใจในหลักการที่จะกระทำเพื่อพระศาสนา เพราะว่าเมื่อเข้ามาบวชในพระศาสนาแล้ว ได้ศึกษานักธรรมบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจว่ามีอะไรที่เราจะต้องทำเพื่อศาสนาอยู่บ้าง แต่ว่ายังไม่ได้พูดออกไปให้ใครได้ยินได้ฟัง แต่ได้พูดกับเพื่อนฝูงมิตรสหายว่าเมื่อเราบวชแล้ว ก็ควรจะบวชกันตลอดชาติไม่น่าจะสึก เพื่อนฝูงที่ได้ยินเช่นนั้นก็บอกว่าอย่าพูดคำเช่นนั้น ถามว่ามันเป็นอย่างไรจึงพูดไม่ได้ พอบอกว่าพูดแล้วมันจะเป็นบ้า อ้อ,ถามว่าทำไมมันจึงต้องเป็นบ้า เพราะว่าต่อไปข้างหน้าจิตใจมันเปลี่ยนแปลง แล้วก็อยากจะสึก แต่นี้เมื่อพูดไว้ว่าไม่สึก ครั้นจะสึกก็ละอายใจ เลยต้องทำเป็นบ้า คือไม่ใช่บ้าจริงมันบ้าปลอมอย่างนั้น ก็บอกว่าเราไม่บ้า เพราะเรามีความคิดแน่วแน่ที่จะทำอะไรแล้วจะทำกันอย่างจริงจัง พูดกันอย่างนั้น
ต่อมาก็มีเรื่องเกิดขึ้น คือมีพระฝรั่งชื่อพระโลกนาถ มาประกาศแสวงหาพระใจสิงห์ เพื่อเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา จิตของคนหนุ่มเมื่อเห็นอะไรแปลกๆ ก็อยากจะไปกับเขาบ้าง เลยชักชวนเพื่อนฝูงมิตรสหายที่เป็นพระอยู่ร่วมสำนักเดียวกันที่นครฯ ออกเดินทางไปกรุงเทพฯ ๑๐ รูป เพื่อจะไปร่วมกับคณะมหาจาริก วางโครงการจะเดินทางรอบโลก แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าจะไปอย่างไร คือไปตามความตื่นเต้นเท่านั้นเอง ก็ไปกันไป ทีนี้เมื่อไปถึงกรุงเทพฯ ก็ไปพบพระที่มีอาวุโสกว่าองค์หนึ่ง ซึ่งนับถือว่าเป็นพี่ชายเหมือนกัน ท่านก็ไปเหมือนกัน เมื่อไปพบว่า อ้าว,พี่ท่านก็ไปเหมือนกันเหรอ บอกว่าไป แล้วก็ไปด้วยกัน เดินทางไปจนกระทั่งถึงประเทศพม่า แล้วก็มีเหตุขัดข้องจึงต้องเดินทางกลับ แต่ว่าท่านที่เรียกว่าพี่องค์นั้นน่ะ ท่านไปต่อไปถึงประเทศอินเดีย เมื่อไปอยู่อินเดียแล้วก็เขียนจดหมายมาบอกว่าให้ตามไป เพราะว่าที่อินเดียมีสำนักที่จะศึกษาภาษาได้ความรู้อยู่ ก็เลยตั้งใจว่าจะไป ก็ไปเอาจริงๆ เดินทางไป เดินทางตามไปจนถึงย่างกุ้ง พอไปถึงย่างกุ้งก็ไปพักวัดที่เคยพัก พระพม่าบอกว่า อ้าว,ท่านเขมาภิรัต กลับเมืองไทยแล้ว กลับไปเมื่อวานนี่เอง บอกว่า เออเมื่อวานนี้นั่งรถเห็นพระนั่งรถ รถลากไป ดูคล้ายๆ กับพี่ท่านองค์นั้น อ้อ,กลับแล้วจริงๆ ก็เลยนึกว่าเอเราจะไปอย่างไร ผู้ที่ให้ไปกลับเสียแล้วแล้วจะไปอย่างไร ก็เลยเดินทางกลับ เมื่อเดินทางกลับก็มาวัดโหน่ง (นาทีที่ ๖.๐๙) พี่ท่านองค์นั้นก็มาชุมพรเสียแล้ว ก็เลยเดินทางตามมาชุมพร
เมื่อมาถึงชุมพรได้พบกัน ท่านก็เลยชวนมาที่ไชยา มาที่สวนโมกข์เก่าคือที่พุมเรียงโน่น มาพบท่านเจ้าคุณ ซึ่งอาตมาเรียกว่า พี่ท่าน ตลอดมา เมื่อพบกันก็เลยอยู่จำพรรษาที่สวนโมกข์ในพรรษานั้น แต่ว่าอยู่จำพรรษาที่สวนโมกข์ปีนั้นไม่ได้อยู่สวนโมกข์ตลอดเวลา เพราะว่ามีความจำเป็นเกิดขึ้นที่วัดพระธาตุไชยา คือวัดพระธาตุมีสำนักเรียนนักธรรม ครูที่สอนนักธรรมป่วยไม่สามารถจะสอนนักธรรมได้ ท่านพระครูโสภณเจตสิการาม เป็นเจ้าคณะอำเภอในสมัยนั้น ก็ได้ปรารภกับพี่ท่านนี่ บอกว่า ครูนักธรรมไม่มีแล้วพระตั้ง ๒๐-๓๐ ไม่มีใครจะสอน ทำยังไงดี เมื่อพี่ท่านท่านกลับไปถึงสวนโมกข์พุมเรียง ก็ปรารภเรื่องนี้ขึ้นแล้วก็ถามว่า น้องท่านจะไปช่วยได้ไหม ก็เลยตกลงว่าจะมาช่วยสอน ก็เลยต้องสัตตาหะ คือ ๗ วันนี่ไปนอนสวนโมกข์คืน แล้วก็อีก ๖ วันนั้นมานอนอยู่ที่วัดพระบรมธาตุไชยา ช่วยสอนหนังสือพระ จนตลอดพรรษา
ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว ก็เดินทางกลับไปอยู่สงขลาอีกทีหนึ่ง แต่ว่าเมื่อกลับไปอยู่สงขลานี่ได้อะไรใหม่ๆ ไปในใจ เรียกว่า วิญญาณแห่งความคิดที่จะก้าวหน้าในเรื่องพระศาสนามันเกิดขึ้น เพราะได้มาอยู่ร่วมกันกับพี่ท่านที่นี่ เมื่อไปอยู่สงขลาก็ไปเที่ยวเทศน์เที่ยวสอนอะไรกันไปตามเรื่อง แล้วต่อมาก็ คือได้รับคำเตือนจากพี่ท่านเจ้าคุณเนี่ยท่านบอกว่าน้องท่านยังไม่รู้ภาษาบาลี ควรจะไปเรียนภาษาบาลีเสียก่อนจึงจะได้มาทำงานต่อไป ก็เลยตกลงใจว่าจะไปเรียนภาษาบาลีที่กรุงเทพฯ เพราะหัวเมืองเรียนไม่สะดวก ก็เลยไปอยู่วัดสามพระยา เรียนบาลี
เมื่อไปอยู่ที่วัดสามพระยานี่ พี่ท่านท่านได้เขียนไปรษณียบัตรไปบอกว่า ยินดีที่น้องท่านมาเรียนภาษาบาลี ให้เรียนด้วยความตั้งใจละเอียดรอบคอบ ตั้งแต่ไวยากรณ์จนกระทั่งถึงการแปล ซึ่งนับว่าเป็นคำเตือนที่ให้ประโยชน์มาก แล้วก็ตั้งใจเรียนไปๆ สอบครั้งแรกตก สอบครั้งที่สองตก ก็ตกไปสองที พอสอบครั้งที่สามคล่องแล้ว แต่ว่าปัญหามันรู้ว่าปีนั้นเลยไม่ได้ แต่ว่าไปสอบอีกทีหนึ่งเดือนหกได้ แล้วพอถึงเดือนสามสอบอีกทีได้ประโยคสี่ พอได้ประโยคสี่พอดีเกิดสงคราม ก็เที่ยวตุหรัดตุเหร่ไปที่โน่นที่นี่ต่อไป อยู่ต่อๆมาก็ได้รับจดหมายจากพี่ท่านนี้อีกฉบับหนึ่ง บอกว่าเรียนไม่สะดวกเพราะมีสงครามอยู่ที่กรุงเทพฯ ควรจะมาอยู่ที่สวนโมกข์จะได้ค้นคว้าศึกษาอะไรให้มันกว้างขวางต่อไป แต่เวลานั้นกำลังเป็นบ้าคือบ้าการเทศน์ ก็นึกว่าจะต้องเทศน์ต่อไปก็เลยไม่มาอยู่ที่นี่ ก็เทศน์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งว่าเสร็จสงคราม พอเสร็จสงครามแล้วก็มีวัดที่ท่านอาจารย์อุปัชฌาย์ไปสร้างไว้ที่มาเลเซีย มันไม่ เออมันว่าง คือ ไม่มีพระ เขาก็ส่งจดหมายเป็นภาษาอังกฤษมาบอกว่าเวลานี้พระไม่มี พระที่อยู่ก่อน ตายเสียแล้วเพราะถูกระเบิด ขอให้ส่งพระไปสักรูป จดหมายมาทิ้งอยู่ที่วัดคูหาสวรรค์ตั้ง ๒ เดือนไม่มีใครอ่าน อาตมาไปที่นั่นก็เลยเปิดอ่าน ได้ใจความว่าขอให้ส่งพระไปที่นั่น ก็เลยบอกว่า ผมจะไปเอง บอกกับท่านอาจารย์ที่นั่นว่าจะไปเอง ก็เลยไปอยู่ที่โน่น ไปอยู่ที่นั่นก็ยังมีความคิดอยู่ ที่จะทำงานเผยแผ่ธรรมะ จึงได้ตั้งใจเล่าเรียนปรับปรุงตัวเองในเรื่องอะไรต่างๆ อยู่พอสมควร แล้วก็ได้รับจดหมายจากพี่ท่านว่า ให้กลับมาเมืองไทย ให้ไปอยู่เชียงใหม่ เลยได้ขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ ไปเริ่มงานพุทธนิคมที่ เอ้อ,ไปช่วยงานพุทธนิคม งานพุทธนิคมนี่ไม่ใช่งานที่อาตมาริเริ่ม แต่ว่าคนคุณโยมเจ้าของงาน คือคุณโยม ชื่น สิโรรส กับครอบครัวเป็นผู้เริ่มไว้ ก็ไปช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้งานมันก้าวหน้าต่อไปตามสมควรแก่ฐานะ อยู่ที่นั่นเป็นเวลา ๑๐ ปี ก็ทำงานกว้างขวางมีชื่อมีเสียงในนามท่านปัญญานันทะ มันก็ดังออกไป
ทีนี้ผลของงานที่ปรากฏดังออกมานั้น ฐานมันอยู่ที่ไหน ฐานอยู่ที่งานของคณะธรรมทานที่ไชยา เพราะว่าการได้มาอยู่ร่วมกัน ได้อ่านหนังสือโดยเฉพาะหนังสือ “พุทธสาสนา” รายตรีมาส ในสมัยนั้นข้อเขียนถึงใจ น่าอ่าน เป็นข้อเขียนที่ถ้าเรียกว่าเป็นอาหารก็เรียกว่ามีผงชูรสอยู่พร้อม อร่อย น่ากิน อ่านแล้วมันเกิดอารมณ์เกิดอยากจะทำงานอยากจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา
โดยเฉพาะเรื่องหนึ่งซึ่ง คุณธรรมทาส เป็นผู้แปลมาจากภาษาอังกฤษ คือ เรื่องประวัติของท่านธรรมปาละ เป็นชาวลังกา ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อพระศาสนา ท่านเป็นลูกหัวปีของสกุลที่มั่งคั่ง แต่ก็ไม่อยู่ในสกุล แต่ว่าเสียสละความเป็นอยู่แบบชาวบ้าน ปฎิญญาณตนเป็นอนาคาริก คือ ไม่บวชแต่ว่าไม่แต่งงาน ไม่ประกอบธุรกิจตามบ้านตามเรือน แต่ว่าทำหน้าที่ในทางพระศาสนา มุ่งหมายเพื่อจะรื้อฟื้นพระพุทธศาสนาในประเทศลังกา เพราะประเทศลังกานั้น พระพุทธศาสนาอยู่ในสภาพลำบาก เพราะเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง ฝรั่งเขาไม่สนับสนุนเรื่องพระศาสนา ไม่สนับสนุนก็พอทำเนา แต่ว่าเขาหาทางเบียดเบียนด้วยประการต่างๆ เพื่อให้พระพุทธศาสนาจางหายไป เช่น มีกฎหมายบังคับเด็กที่เกิดมา พ่อแม่ต้องพาไปโบสถ์ให้พระฝรั่งตั้งชื่อให้ เพราะอย่างนั้นชาวลังกาจึงชื่อเป็นนายดอน เดวิส นายอะไรต่ออะไร เป็นชื่อคริสเตียนประดังหมด เพราะกฎหมายนั้นบังคับ เขาก็จึงต้องต่อสู้ การต่อสู้ของท่านธรรมปาละนี่ เป็นการต่อสู้เพื่ออยู่รอดของพระศาสนา
อาตมาอ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันเกิดกำลังใจ มันเกิดดลบันดาลจิตใจขึ้นมาว่าเราควรจะทำงานเหมือนท่านผู้นั้น แต่ไม่เท่าท่านผู้นั้นหรอก แต่ว่าก็ต้องทำงานเอาเยี่ยงเอาอย่างท่านผู้นั้น อันนี้คือผลงานของคณะธรรมทานที่เป็นเครื่องดลบันดาลจิตใจให้อาตมา มีความคิดที่จะทำงานต่อไปเพื่อพระศาสนา เพราะได้มาอยู่ที่คณะธรรมทานไชยาแล้วเกิดความคิดอย่างนั้น ความคิดนั้นมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงจึงได้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเรื่อยๆมา ไปอยู่ที่ไหนเขาก็บอกว่า ท่านปัญญานี่เป็นพวกสายเดียวกับท่านพุทธทาส ก็ไม่ปฏิเสธเพราะว่าทำงานร่วมกัน ดำเนินกิจกรรมแบบเดียวกัน เพื่อ รื้อฟื้นพระพุทธศาสนา ญาติโยมอาจจะนึกว่าจะไปรื้อฟื้นอะไร เพราะพระพุทธศาสนาก็อยู่ในเมืองไทยแล้ว มีวัดมากมาย มีพระสงฆ์องค์เจ้า ชาวบ้านก็เป็นพุทธบริษัทกันอยู่ทั้งนั้น ถ้าเราดูเผินๆ มันก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าดูให้ลึกซึ้งเอาหลักธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาเป็นบรรทัดฐาน ก็จะมองเห็นว่าเราเป็นอยู่อย่างไม่ถูกต้อง เรามีความเชื่อไม่ถูกต้อง มีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง มีอะไรๆหลายอย่างที่มันไม่ถูกไม่ตรงกับพระพุทธศาสนา อาตมาเองนี่มีนิสัยแปลกอยู่ตั้งแต่เด็กมา คือไม่ค่อยจะเชื่อในเรื่องเหลวไหล เช่นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของอะไรๆ นี่ไม่ค่อยเชื่อ ไม่ค่อยเชื่อ แล้วก็มักจะซุกซนเที่ยวทำลาย อะไรที่เขาเรียกว่าน่ากลัว จะเล่าให้ฟังนิดหน่อย
วันหนึ่งไปเลี้ยงวัวอยู่ที่ในทุ่ง ไอ้ที่ตรงนั้นมันมีโคกใหญ่ แล้วก็มีต้นแซะใหญ่ร่มครึ้ม ไปที่ต้นแซะนั้นกับเด็กเลี้ยงวัวด้วยกัน ไปเห็นหม้อซึ่งมีเชือกผูก แล้วก็มีผ้าขาวปิดปากไว้ แล้วมียันต์เขียนไว้ ก็ถามเพื่อนว่า หม้ออะไร เพื่อนที่เป็นเด็กโตหน่อยบอกว่า นี่แหละหม้อผี เขาจับผีมาใส่ไว้ เขาผูกผ้าไว้ แล้วเขียนยันต์ปิดไว้ไม่ให้ผีมันออกจากหม้อ อาตมามันเป็นคนนิสัยซุกซนในเรื่องอย่างนั้น เลยไปหาไม้มาอันหนึ่ง เพื่อนถามว่ามึงจะทำอะไร กูจะตีผี กูจะตีหม้อใบนี้ให้แตกให้ผีมันออกไป บอกว่าอย่าไปตีเข้า ไม่ได้ เดี๋ยวผีมันจะมาเข้าสิงแล้วแกจะเดือดร้อน เอ้า,ลองดูสิมันจะเดือดร้อนอย่างไรวะ ก็ตีโครมเข้าให้ หม้อใบนั้นแตกกระจาย เพื่อนบอกว่าเออคืนนี้มึงไม่ต้องนอน ผีมันจะไปรบกวนว่าอย่างนั้น บอกเอาเหอะลองดูสิว่ามันจะไปรบกวนอย่างไร แล้วก็ไม่มีอะไรรบกวนอะไรแม้แต่น้อย จะทำอย่างนั้น
คราวหนึ่งที่วัดอินทราวาส ที่พัทลุง มี เขาเรียกว่าเขื่อน เขื่อนไม่ใช่เขื่อนกั้นน้ำ แต่ว่าเป็นไม้ที่แกะสลักเป็นรูปดอกบัว แล้วเขาก็ปักไว้กลางลานวัด คนมาไหว้มาบูชากัน เขาถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วันพฤหัสแล้วเอาขนมโค ขนมต้มน่ะ กรุงเทพฯเขาเรียกว่า ขนมต้ม บ้านนอกปักษ์ใต้เราเรียกขนมโค เอามาเซ่นมาไหว้กันทุกวัน ทุกวันพฤหัส ทีนี้พระองค์หนึ่งท่านเห็นว่า ไอ้นี่มันอยู่กลางลานวัด ควรจะย้ายไปไว้ที่อื่น เรียกคนมาให้ขุด ไม่มีใครกล้าขุดสักคนเดียว คนใหญ่ก็ไม่กล้าขุด คนหนุ่มก็ไม่กล้าขุด ไม่มีใครกล้าขุดทั้งนั้น อาตมายืนอยู่ในที่นั้นด้วย เลยบอกว่า ไม่มีใครกล้าขุดผมจะอาสาขุดเอง เลยขุดเลย ขุดเสร็จแล้วถามว่าเอาไปไหน ตามใจมึง กูไม่สั่งว่าอย่างนั้น เลยก็แบกไอ้เจ้านั้นน่ะไม้ที่คนไหว้ แบกไปทิ้งซะเลย ไปทิ้งซะในคลองเลย ชาวบ้านมาไหว้ก็อ้าว,หายไปไหนแล้ว เขาถามกันใหญ่ บอกอื้อไอ้ปั่นมันเอาไปทิ้งเสียแล้วว่าอย่างนั้น พวกนั้นบอกว่าเออมันฉิบหายแล้วไอ้นี่เอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปทิ้ง ความจริงก็ยืนอยู่ใกล้ๆ แต่นึกในใจว่ามันไม่เป็นไร กูไม่กลัวไอ้สิ่งเหล่านี้ ไม่เป็นไร แล้วก็ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร
อันนี้เมื่อเห็นชาวพุทธเราเชื่อไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์มีเดชอะไรต่างๆ แล้วก็ไม่ค่อยชอบใจ ไม่ชอบก็อยากจะช่วยกันส่งเสริมแก้ไขสิ่งเหล่านั้น อันนี้มันมีฐานอยู่ในใจอย่างนั้นกันมา เมื่อพบงานคณะธรรมทานเข้า ซึ่งพี่ท่านๆ เป็นผู้ เรียกว่าเป็นหัวหน้าว่าอย่างนั้น เห็นว่าความคิดมันตรงกันในการที่จะปรับปรุงความเชื่อ ความเห็น การประพฤติปฏิบัติของบริษัท ที่เรียกตนเองว่าพุทธบริษัท ก็เลยรับเอาอุดมการณ์นี้ไปใช้ด้วยทำงาน แต่ว่าทำรุนแรง พูดจารุนแรงหน่อย ไปเทศน์ที่ไหนก็เทศน์รุนแรง จนใครเขาบอกว่ามันรุนแรงไป บอกว่ามันก็ต้องรุนแรงกันหน่อย ถ้าไม่รุนแรงแล้วมันพูดกันไม่เข้าใจ ต้องพูดกันให้เข้าใจว่าอะไรไม่ใช่ อะไรใช่ เป็นหลักพระพุทธศาสนา อุดมการณ์หรือความคิดอันนี้ก็เกิดจากผลงานของคณะธรรมทาน ที่ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ บัดนี้ก็ครบ ๕๐ ปีแล้ว อันนี้เป็นเครื่องดลจิตใจ ให้ได้ปฏิบัติงานอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ นี่มันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างนี้ แล้วงานนี้ก็จะต้องทำต่อไป อย่างไม่จบไม่สิ้น
เมื่อตะกี๊นี้ได้ฟังพี่ท่านๆพูดอธิบายเรื่องพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าหมายความถึงอะไร ก็ให้ญาติโยมได้รู้ว่า ไม่ใช่เรานับถือ ไม่ใช่นับถือแบบศักดิ์สิทธิ์ ที่จะไปบนบานสานกล่าววิงวอนขอร้องอย่างนั้น เมืองไทยเรานี้มีโทรทัศน์ออกประกาศทุกคืน บอกว่าจงช่วยกำจัดคอร์รัปชั่นให้สิ้นเพื่อแผ่นดินไทยอยู่รอด แต่ว่าในหมู่พุทธบริษัทเองนั้นมีการคอร์รัปชั่นกันอยู่มากเหลือเกิน คอร์รัปชั่นทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่คอร์รัปชั่นด้วยวิธีการไปให้เงินคนนั้นคนนี้ แต่คอร์รัปชั่นทางจิตวิญญาณนี่คอร์รัปชั่นอย่างไร ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง ไม่รู้จักช่วยตัวเอง ไปขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วไม่ขอร้องเปล่า ติดสินบนเข้าไปด้วย ญาติโยมเคยติดสินบนไหม ไปติดสินบนกับหลวงพ่อยโสธรหลวงพ่อโสธร หลวงพ่อวัดไร่ขิง หลวงพ่อวัดเพชรสมุทร หลวงพ่อวัดพนัญเชิง หลวงพ่อมงคลบพิตร ที่กรุงเทพฯ ก็หลวงพ่อแก้ว ไปติดสินบนไปให้สินบน นิสัยให้สินบนนี่มีตั้งแต่พระพุทธรูป เสาหลักเมือง และอะไรๆ ต่างๆ ที่เขาสร้างขึ้นไว้ เราไปให้สินบนทั้งนั้น เมื่อนิสัยคนไทยมันมีแต่การให้สินบนอย่างนี้ แล้วไปติดต่องานการกับใครๆ จะไม่ให้สินบนอย่างไร เพราะฐานมันเสีย ไม่ได้แก้ไข ถ้าไม่ได้แก้ไขฐานนี้ แล้วก็คอร์รัปชั่นมันจะหายได้อย่างไร เราจะปราบคอร์รัปชั่นจะปราบได้อย่างไร มันต้องปราบขั้นพื้นฐาน ปราบขั้นพื้นฐานก็ต้องมาปรับความคิดความเห็นของพุทธบริษัทให้เข้าใจเสียใหม่ว่า พระพุทธศาสนาของเรานั้น ไม่มีคำว่าศักดิ์สิทธิ์แบบนั้น ไม่มีคำว่าศักดิ์สิทธิ์แบบนั้น ไม่มีคำว่าศักดิ์สิทธิ์แล้วจะไปช่วยให้คนนั้นเป็นอย่างนั้นให้คนนั้นเป็นอย่างนั้นมันไม่มีแล้วอีกอันหนึ่งในพระพุทธศาสนาเรานั้นไม่มีคำว่าดลบันดาล ดลบันดาลนี่ไม่มีในพุทธศาสนา เรามักจะพูดกัน เช่น ให้พรกัน ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้ท่านเป็นอย่างนั้นให้ท่านเป็นอย่างนี้ นี่เขาเรียกว่าให้พรแบบโง่ๆ ไม่ถูกหลักการทางพระพุทธศาสนา เพราะอะไร เพราะในพระพุทธศาสนาเรานั้นไม่มีคำว่าดลบันดาล ไม่มีอะไรดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร แม้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย พระองค์ก็ไม่เคยดลบันดาลให้ใครเป็นอะไร พระองค์ตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่า ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางให้ การเดินทางเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย พระองค์พูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ แล้วเราจะให้พระองค์ดลบันดาลเราได้อย่างไร ให้หลวงพ่อนั้นดลบันดาลอย่างไร หรือให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมาดลบันดาลให้เราเป็นอย่างนั้นให้เราเป็นอย่างนี้แล้วมันจะได้ที่ตรงไหน มันถูกตรงไหน เมื่อไม่ถูก และไม่มีคนแก้ ไม่มีคนสอนให้มันถูกขึ้น ทำไมจึงไม่แก้ ทำไมจึงไม่สอน เพราะไม่กล้าจะพูดความจริงให้คนฟัง
เรามันเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีความกล้าหาญชาญชัยในการพูดความจริงให้ชาวโลกเข้าใจ พระองค์พูดความจริงอย่างไร ในอินเดียนั้นเขานับถือเทพเจ้า แล้วเขาถือว่าเทพเจ้ามีอำนาจที่จะดลบันดาลให้คนเป็นอย่างนั้นให้คนเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไปคุยกับคนอินเดียที่ลำบากยากจน เขาก็บอกว่าพระผู้เป็นเจ้าต้องการให้เป็นอย่างนี้เราก็ต้องพอใจ แต่ว่ามีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเขาก็พูดว่าพระผู้เป็นเจ้าต้องการให้เป็นอย่างนี้เขาก็พอใจ เขาเชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างนั้น แล้วก็เชื่อว่าสิ่งทั้งหลายสำเร็จจากพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนทั้งนั้น พระพรหมช่วย เราจึงมาพูดในภาษาไทยว่า พรหมลิขิต พรหมลิขิตชีวิตของเรา เดี๋ยวนี้ละครวิทยุกำลังแสดงอยู่เรื่องหนึ่งว่า พระพรหมไม่ได้ลิขิตชีวิตนี้ เขาแสดงเรื่องอย่างนั้นว่าพระพรหมไม่ได้ลิขิต พระพรหมไหนที่จะมาลิขิตชีวิตของเรา ถ้าไปพูดกับพวกหมอดูเขาบอกว่าพระพรหมลิขิตไว้ที่หน้าผากแล้วใครจะเป็นยังไงเขียนไว้เสร็จแล้ว ไอ้คนนั้นจะเกิดมาเป็นไอ้นั่น คนนั้นเกิดมาเป็นไอ้นี่ พระพรหมลิขิตไว้เสร็จแล้ว อันนี้ไม่ใช่หลักการทางพระพุทธศาสนา แต่เป็นหลักการที่เขาเชื่อกันมาเก่าแก่ คนในอินเดียเชื่ออย่างนี้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้กล้าหาญที่ไปพูดว่ามันไม่ใช่เป็นเช่นนั้น มนุษย์เป็นผู้สร้างอนาคตของตนเอง มนุษย์ขึ้นอยู่กับการคิด การพูด การกระทำของตนเอง แล้วก็ยังพูดเปลี่ยนอีก เปลี่ยนเทวดาให้เป็นธรรมะไปหมด เช่นเขาพูดว่า โลกนี้มีเทวดา ๔ องค์รักษา ท้าวจตุโลกบาล พระพุทธเจ้าว่ามันไม่ถึง ๔ องค์หรอก ที่รักษาโลกนี่มีเพียง ๒ เรื่องเท่านั้น อะไร หิริ-โอตัปปะ หิริ-โอตัปปะนี่เขาเรียกว่าธรรมคุ้มครองโลก รักษาโลก ไม่ใช่โลกแผ่นดินกลมๆ ที่กลิ้งไปกลิ้งมา ไม่ใช่ แต่หมายถึงโลก คือ สัตวโลกทั้งหลาย คือ คนเรานี่ สัตว์เดรัจฉานไม่ต้องพูดถึง แต่นี่คนเรานี่ที่อยู่กันได้สะดวกสบายนี่ไม่ใช่เพราะเทวดาหรือท้าวจตุโลกบาลไหนมารักษา แต่เรามีคุณธรรมประจำใจ เรามีความละอายบาป เรามีความกลัวบาป นี่แหละมารักษาชีวิตจิตใจของเราให้อยู่รอดปลอดภัย พระธรรมเป็นเครื่องรักษา ไม่ใช่ท้าวจตุโลกบาลที่ไหนมารักษา พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ คือเปลี่ยนตัวบุคคลเป็นธรรมะ ให้คนได้ปฏิบัติ ไม่ให้ไปวิงวอนขอร้องอะไรอยู่ หรือพูดว่าพระพรหม
พราหมณ์เคยไปถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์รู้จักพระพรหมไหม รู้จัก ทรงตอบอย่างนั้น รู้จักทางที่จะไปหาพระพรหมไหม เรารู้ บอกกับพราหมณ์อย่างนั้น พราหมณ์ก็ถามว่า พระพรหมนี่คือใคร พระองค์ก็บอกว่า ก็คือคนนี่แหละที่มีจิตใจประกอบด้วยธรรมะ ๔ ประการ คือ มีเมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่เพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย กรุณา สงสาร อดไม่ได้ทนไม่ได้เมื่อเห็นคนอื่นลำบากเดือดร้อนต้องเข้าไปช่วย มุทิตา เพลิดเพลินยินดีในเมื่อใครมีความสุขความเจริญมีความก้าวหน้าในชีวิตในการงาน อุเบกขา วางเฉย ในเมื่อไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือ อยู่เฉยๆ ไปก่อน แต่ไม่ใช่เฉยไม่เอาเรื่องไม่ใช่ เฉยดูอยู่ว่ามีอะไรจะเข้าไปสอดแทรกได้เมื่อใด พอมีอะไรจะเข้าไปสอดแทรกได้ คนนั้นต้องเข้าไปช่วย คนมีคุณธรรมอย่างนี้เรียกว่า พรหม ญาติโยมทุกคนเป็นพระพรหมได้ ผู้หญิงก็เป็นพรหมได้ ผู้ชายก็เป็นพรหมได้ เจ๊กก็เป็นพรหมได้ ฝรั่งก็เป็นพรหมได้ ใครๆก็เป็นพรหมได้ทั้งนั้น มันไม่ใช่ลำบากยากเข็ญอะไร แล้วก็เมื่อเราเป็นกันได้แล้วเราจะไปไหว้พระพรหมกันทำไม เหมือนที่กรุงเทพฯ คนไปไหว้พระพรหมหน้าโรงแรมเอราวัณกันเต็มไปหมด ได้เงินเยอะ เงินที่เกิดจากความโง่ของประชาชน ไม่น่าเอามาใช้เลยเงินอย่างนั้น มันได้มาจากความโง่ อาตมานี่ไม่ค่อยชอบ จะหาเงินสร้างวัดสร้างวา สร้างอะไรต่ออะไรในวัดนี่ ไม่อยากได้เงินที่มาจากความโง่ของประชาชน แต่ว่าทำคนให้ฉลาดเสียก่อนแล้วจึงจะเอาเงินเขา คือเขาฉลาดแล้วเขาให้เอง เราไม่เอาจากความโง่
ทีนี้วัดวาอารามเราสมัยนี้ชอบหาเงินจากความโง่ของประชาชน หลอกต้มประชาชนกันด้วยประการต่างๆ เสกพระเครื่องขาย เสกแหวนขาย เสกเหรียญขาย ทำปลัดขาย ทำไอ้นู่นไอ้นี่ขาย อู๊ย, ขายกันหมดแหละเวลานี้ ขายกันเรื่อยไป เป็นล่ำเป็นสัน ร่ำรวยกันไปตามๆ กัน แต่หารู้ไม่การกระทำเช่นนั้น คือ การทำคนให้โง่ให้งมงาย ให้หลงใหลมัวเมาในสิ่งซึ่งไม่เป็นสาระ ทำคนให้ห่างออกจากพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ว่าไม่มีใครคัดค้านไม่มีใครกล้าพูด เพราะว่าคนใหญ่ๆ เขาทำกันทั้งนั้น คราวนี้ไอ้คนตัวเล็กๆ จะไปพูดก็เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง แต่ไม้ซีกถ้ามันหลายอันมันก็งัดไม้ซุงได้เหมือนกัน เอาไม้ซีกมามัดรวมกันเข้าเป็นร้อยอันพันอันมันก็งัดไม้ซุงได้เหมือนกัน พูดบ่อยๆ มันก็งัดได้เหมือนกัน ถ้าเราไม่พูด เราก็ไม่รักพระพุทธเจ้า เราไม่ช่วยแก้ไขสิ่งโสโครก ซึ่งเกิดขึ้นในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วมันจะอยู่กันได้อย่างไร เพราะอย่างนั้นเราต้องกล้า เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าผู้กล้าหาญ เราก็ต้องกล้า กล้าพูดกล้าทำในสิ่งถูกต้อง ถ้าเราพุทธบริษัทเป็นคนไม่กล้าทำในสิ่งถูกต้อง ศาสนาของพระพุทธเจ้าจะอยู่ได้อย่างไร อยู่อย่างโง่ๆ กัน อยู่อย่างงมงายกัน เชื่อแต่สิ่งเหลวไหลกัน เชื่อแต่สิ่งนู้นสิ่งนี้กัน ศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ใครเป็นเจ้าบ้านเจ้าเมือง เมืองไหนมันไม่มีเสาหลักเมืองก็อุตส่าห์ไปหามาสร้างเสาหลักเมืองไว้ เอ๊ะ,สร้างหลักเมืองแล้วโจรก็มันยังชุมอยู่เหมือนเดิม อันธพาลก็ยังมากอยู่เหมือนเดิม เพราะอะไร เพราะเสาหลักเมืองมันพูดไม่ได้ มีไหมเสาหลักเมืองพูดบ้างไหม ใครไปไหว้แล้วเสาหลักเมืองพูดว่า แกอย่าไปลักของเขานะ แกอย่ากินเหล้านะ แกอย่าเล่นการพนันนะ วันเสาร์วันอาทิตย์อย่าไปสนามม้านะ ให้ไปฟังเทศน์วัดชลประทานนะ เอ้อ,เสาหลักเมืองพูดบ้างหรือเปล่า ไม่มีไม่เคยพูด คนไปไหว้อย่างนั้น นี่เขาเรียกว่าไหว้ด้วยความโง่ความเขลา ไม่ก้าวหน้า เป็นเด็กอมมืออยู่ตลอดเวลา ไม่เจริญเติบโตทางจิตทางวิญญาณ แล้วเราดูดายได้หรือ อาตมาดูไม่ได้ เห็นแล้วมันสงสารญาติโยมจับจิตจับใจ ทนไม่ได้เมื่อเห็นญาติโยมอยู่ในสภาพโง่เขลาเมาหมกอย่างนั้น จึงตะโกนออกไปดังๆ ทางวิทยุบ้าง ทางโทรทัศน์บ้าง ตะโกนออกไปบ่อยๆ บางทีตะโกนแรงๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าเบาๆ หน่อยหลวงพ่อ เบาๆหน่อย บอกว่าเบาไม่ได้ เพราะว่ามันหนักเต็มทีแล้วเวลานี้ เราเบาไม่ได้ ถ้าจะให้พูดแล้วอย่ามาขัดคอกัน ต้องพูดกันอย่างเต็มที่ เพราะถ้าไม่พูด มันเต็มที่แล้วมันจะไปไม่รอด ประเทศชาติจะล่มจม เพราะคนไม่มีจิตใจ แล้วไม่เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วจะเอาอะไรมาช่วยชาติช่วยบ้านเมืองได้ บ้านเมืองของเรานี่ ที่อยู่รอดปลอดภัยมาได้เพราะธรรมะนะโยมนะ ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น ไม่ใช่เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ มาช่วยชาติไทย แต่เพราะคนไทยประพฤติธรรมจึงอยู่รอดปลอดภัย
คนสมัยก่อนเขาประพฤติธรรม เขาส่งเสริมธรรมะ บ้านเมืองจึงอยู่รอด เราดูประวัติศาสตร์ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ เวลาขึ้นเสวยราชสมบัติ พระองค์ตั้งอธิษฐาน เขาเรียกว่า ราชปณิธาน อธิษฐานใจนะ ว่าอย่างไร พระองค์อธิษฐานพระทัยและพูดออกมาดังๆ ให้คนได้ยินว่า “เราจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาไพร่พลมนตรี” ๓ เรื่อง เรื่องแรกก็คือ ยกย่องพระพุทธศาสนา ยกย่องธรรมะ เรื่องที่ ๒ ป้องกันราชอาณาจักรไม่ให้ข้าศึกรุกราน เรื่องที่ ๓ ส่งเสริมความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน เริ่มต้นด้วยธรรมะนะ หลัก ๓ ประการของในหลวงรัชกาลที่ ๑ เริ่มต้นด้วยธรรมะนะ ถ้าเอามาเทียบกับหลัก ๖ ประการของคณะราษฎร์ไม่มีธรรมะเลย ในหลัก ๖ นี่ไม่มีธรรมะเลย รัฐบาลที่ผ่านๆ มากี่ครั้งกี่หนแถลงนโยบายไม่มีเรื่องศาสนา ไม่มีเรื่องธรรมะ แถลงแต่เรื่องอื่นทั้งนั้น เรื่องธรรมะไม่ค่อยจะมี มันผิดกันนะ คนสมัยก่อนเขาสนใจธรรมะ เขาถือว่าธรรมะเป็นดวงใจของคน เป็นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตมีค่ามีราคา จะทำคนให้สมบูรณ์ถ้าคนไม่มีธรรมะแล้วมันเป็นคนแต่เพียงร่างกาย จิตใจไม่เป็นผู้เป็นคน แล้วมันจะอยู่กันได้อย่างไร เพราะอย่างนั้นท่านจึงเริ่มต้นว่า จะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา นี่เป็นเรื่องสำคัญ แล้วก็ท่านปฏิบัติต่อมาโดยลำดับ บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย
มาในสมัยนี้คนเราชักจะห่างธรรมะ ไม่ค่อยสนใจธรรมะเท่าใด ที่สนใจก็อยู่บ้านก็คนแก่ๆ ชราๆ ไปวัดไปวากันอยู่ คนหนุ่มคนสาวไปบ้างแต่ว่าจำนวนน้อย ไม่ค่อยไปเท่าใด แต่ว่าที่คนหนุ่มสาวไม่ค่อยไปวัดนี่จะโทษเด็กนักก็ไม่ได้ เราควรจะโทษวัดด้วยเหมือนกัน คือวัดไม่ค่อยจะมีอะไรให้แก่เขาเหล่านั้น เขาไปแล้วไม่ค่อยได้อะไรกลับมา ไปแล้วไม่ได้อะไรแล้วเขาจะไปทำไม ไม่มีอะไรจะให้นี่ คราวนี้ถ้าวัดใดมีของดีแจกแก่คนเหล่านั้น ของดีในที่นี้หมายความว่าพระธรรม ไม่ใช่พระเครื่อง ไม่ใช่ตะกรุด ไม่ใช่แหวน ไม่ใช่เหรียญ หรือไม่ใช่น้ำมนต์ ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าวัตถุมงคล วัตถุมงคลนี่มันไม่มีในพระพุทธศาสนา ขอให้ญาติโยมลองไปศึกษามงคลสูตรของพระพุทธเจ้า มีมงคล ๓๘ ข้อ ใน ๓๘ ข้อนั้นไม่มีคำว่า เหรียญเป็นมงคล แหวนเป็นมงคล ผ้าประเจียดเป็นมงคล ว่านชื่อนั้นเป็นมงคล ไม่มีๆทั้งนั้นไม่มีสักอย่างเดียว มงคลแบบนั้นไม่มี มีแต่ว่า การไม่คบคนพาล การคบหาด้วยบัณฑิต การบูชาคนที่ควรบูชา เรื่องดีทั้งนั้น มงคลคือเหตุแห่งความสุขความเจริญ มันอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่ที่ว่าน เดี๋ยวนี้กรุงเทพฯ เขาบ้าว่านกัน ได้ว่านชื่อนั้นชื่อนี้ มันก็ไม้ธรรมดา แต่ไปเชื่อให้มันหรูหราฟู่ฟ่าหน่อย แล้วก็ขายกันด้วยราคาแพง ตามวัดวาเขาเลี้ยงไว้ดูเล่น ขโมยลักหมดเพราะว่าเขาเอาไปขายได้ นี่เรียกว่ามันไม่เป็นมงคลแล้ว ไปลักว่านที่วัดไปขายเนี่ย บ้านไหนเอาไปไว้ก็ไม่ได้เรื่องอะไรหรอก มงคลไม่ได้อยู่ที่นั่น ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ไม่ได้อยู่ที่วินาทีนั้น เวลานั้น ชั่วโมงนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น แต่อยู่ที่การคิดถูก พูดถูก ทำถูก มงคลมันอยู่ตรงนั้น อันนี้คนไม่เข้าใจ เสาะแสวงหาสิ่งที่เป็นมงคลภายนอก เพื่อเอาไปไว้บูชาสักการะ แล้วก็เมื่อคนเข้าใจผิด คนที่ไม่สงสารญาติโยม แต่หวังลาภสักการะจากญาติโยม ก็เลยถือโอกาสเลย ถือโอกาสเพราะคนหลงเชื่ออย่างนั้น ก็เลยทำวัตถุมงคลขึ้นขายกัน ฮือกันไปหมดทุกหนทุกแห่ง วัดในกรุงเทพฯมีหลายวัดที่ไม่สอนธรรมะ แต่ว่าทำวัตถุมงคลขาย นั่งขายกันธรรมดาๆ คนไปก็ขายกันธรรมดาๆ นั่นมันไกลไปจากสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเหลือเกินแล้ว เราจะเรียกว่าเป็นพุทธศาสนาได้อย่างไร มันเป็นอย่างนี้อยู่ มันยุ่งอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงควรจะได้เข้าใจกันเสียใหม่ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นั้นมีอยู่ สิ่งนั้นคือพระธรรมนั่นเอง ธรรมะนี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร ศักดิ์สิทธิ์น่ะมันหมายความว่าอย่างไร ศักดิ์ หมายความว่า อำนาจ สิทธิ์ หมายความว่า สำเร็จ ศักดิ์สิทธิ์คืออำนาจที่จะให้เกิดความสำเร็จ อำนาจที่จะให้เกิดความสำเร็จก็คือ ธรรมะ ที่เราเอามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ถ้าเราได้ประพฤติธรรม เราก็จะสำเร็จในสิ่งนั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ธรรมดาๆ อิทธิบาท ๔ ฉันทะ-ความพอใจ วิริยะ-ความเพียร จิตตะ-เอาใจใส่ วิมังสา-ไตร่ตรองค้นคว้าหาเหตุผลในเรื่องนั้นๆ ใครเอามาใช้แล้วจะสำเร็จ ใช้ในการเรียนจะเรียนสำเร็จ ใช้ในการงานจะทำสำเร็จ ใช้ในเรื่องอะไรสักเรื่อง การปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีฉันทะ มีวิริยะ จิตตะ วิมังสา การปฏิบัติธรรมของเราจะก้าวหน้า จะพ้นทุกข์พ้นร้อนได้ เพราะอาศัยธรรมะ ๔ ประการนั้น หรือธรรมะอื่นๆที่พระพุทธเจ้าบัญญัติแต่งตั้งไว้ แต่ละข้อแต่ละเรื่อง ถ้าเราเอามาปฏิบัติแล้ว ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ คือ ช่วยให้เราสำเร็จประโยชน์จริงๆ
นี่ท่านทั้งหลายดูสวนโมกข์นี่ เมื่อก่อนไม่มีอะไร เป็นป่าดงพงพี เป็นป่า แต่ว่าด้านหน้านี่เป็นสวนผลไม้ มีเนื้อที่ประมาณ ๙๐ไร่ เป็นของท่านผู้หนึ่งซึ่งมาสร้างไว้ แล้วคณะธรรมทานก็ขอซื้อ ๙๐ ไร่นะ ราคาเท่าไหร่โยมรู้ไหม ๔๐๐ บาท ๔๐๐ บาท นี่ด้านหน้าทั้งหมดยาวไปถึงห้วย แล้วก็ไปถึงนู่นนะ ๔๐๐ บาท ซื้อ ๔๐๐ บาท ค่าลวดหนามที่เขากั้นไว้ยังแพงกว่าค่าที่ดินเลย เขาขายให้ไม่ใช่เป็นเรื่องอะไร เขาขายให้ ให้เพื่อเอามาทำประโยชน์ แล้วก็ค่อยขยับขยาย ค่อยทำอะไรเพิ่มขึ้นๆ นะ เดี๋ยวนี้มีอะไรมากมาย มีอาคาร พิพิธภัณฑ์สถาน ตรงนั้นเรียกว่า หอธรรมโฆษณ์ เข้าไปดูโยมไปดูพิจารณาดูผลงาน ไปดูผลงานของสวนโมกข์ ๕๐ ปีนี่ไปดูในนั้น ดูว่ามีอะไรบ้าง มีหนังสือกี่เล่มกี่เรื่อง มีเทปจำนวนเท่าไหร่ที่ท่านเจ้าคุณท่านพูดอัดไว้อัดไว้มากมายก่ายกองน่ะมีอะไรบ้าง แล้วก็มีอะไรต่ออะไร
เมื่อก่อนนี้กระต๊อบเล็กๆ ท่านมาอยู่ตรงนั้นกระต๊อบเล็กๆ ใช้ไม้บางๆ ตีเป็นเสา อยู่ไปอยู่มามันเอนไปด้านนี้ เอาเชือกดึงไปไว้ด้านนั้น ชักจะเอนไปด้านนั้น ดึงไปไว้ด้านนี้ เลยดึงมัน ๔ ทิศเลย ไอ้เรือนหลังนั้นตรงนั้น ดึงมัน ๔ ทิศเลย ดึงไว้ทั้ง ๔ ทิศ มันจะล้ม ไอ้เรือนเล็กๆ ตรงนั้นน่ะสร้างอะไรขึ้นมาเยอะ ถ้าถอยหลังไปพุมเรียง สวนโมกข์เก่านะ กุฏิหลังนิดเดียว ยาววากว้างนิดเดียวพออยู่ได้ แล้วก็ไม่มีไฟฟ้า มีตะเกียงจุดน้ำมันก๊าซ อยู่ในกระท่อมเล็กๆ ใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าซ แต่ว่าท่านผลิตหนังสือให้เราอ่าน อ่านกัน ๓ ปียังไม่เข้าใจเลยหนังสือที่ท่านผลิตออกมานั้น บางคนจะบอก แหม อ่านของท่านเจ้าคุณพุทธทาสแล้ว มันง่วงนอนดีเหลือเกินว่าอย่างนั้น อ่านแล้วง่วงนอน มีเด็กคนหนึ่งอยู่เชียงใหม่เขาอยากจะมาแถวนี้ เขาบอกว่าหนูจะไปสวนโมกข์ จะไปธุระอะไรบ้าง จะไปกราบถามหลวงพ่อท่านพุทธทาสหน่อยว่า ทำอย่างไรอ่านหนังสือของหลวงพ่ออย่าให้ง่วงว่าอย่างนั้น เขาจะมาถามเรื่องเดียวเท่านั้นว่า ทำอย่างไรอ่านแล้วมันไม่ง่วง อ่านไม่ง่วงก็มันต้องอ่านด้วยความพอใจ มีฉันทะ อ่านด้วยความเพียร อ่านด้วยความเอาใจใส่ อ่านด้วยการคิดค้น ให้มันร่าเริงสนุกสนาน แล้วมันจะง่วงอย่างไร เขาไม่เข้าใจ เป็นยาแก้ง่วงไป แล้วบอกว่าแหมอ่านยาก อ่านไม่เข้าใจ ครั้งแรกมันก็ยาก แต่ว่าอ่านไปอ่านไปมันก็ง่าย
มีคนหนึ่งอยู่อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง อาตมาไปเทศน์ที่นั่น แกมีหนังสือเล่มเดียว คือ แก่นพุทธศาสน์ แกบอกว่า ผมอ่านแก่นพุทธศาสน์นี่ ๕๐ เที่ยวแล้ว อ่าน ๕๐ เที่ยว ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน ยิ่งอ่านยิ่งมัน ยิ่งอ่านยิ่งเกิดประโยชน์ คล้ายๆกับเราเคี้ยวถั่วลิสงหรือเคี้ยวเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ใส่เข้าไปเต็มยับ ๒ ที กลืนไม่ได้เรื่องอะไร ไม่ได้เรื่อง ใส่เข้าแล้วนั่งเคี้ยว เคี้ยวจนมันแหลกละเอียด ทั้งหวานทั้งมัน อร่อย เรากินเพลินหมดกระป๋องเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัวแล้ว มันเป็นอย่างนั้น หนังสือธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าเป็นเรื่องนวนิยายมันก็อ่านง่ายหน่อยมันสนุกสนาน แต่เรื่องธรรมะเป็นเรื่องที่สูงหน่อย จำเป็นแก่ชีวิตมันก็ต้องลึกซึ้ง ก็ต้องอ่านด้วยความตั้งใจ อ่านบ่อยๆ ทำไมท่านเจ้าคุณ ท่านจึงเทศน์ลึกซึ้ง ทำไมท่านจึงเขียนหนังสือที่มีข้อความละเอียดในด้านธรรมะ ท่านบอกว่าอย่างนี้ เมืองไทยนี่นับถือพระพุทธศาสนามาก็นานแล้ว แต่ว่าการศึกษาพระพุทธศาสนาต้วมเตี้ยมเหมือนกับเต่าคลาน ไม่ก้าวหน้า ขายหน้าชาวต่างประเทศเขา ท่านบอกว่าขายหน้าชาวต่างประเทศ ต่างประเทศในที่นี้ไม่ใช่พม่า ลังกา อินเดียหรอก แต่ขายหน้าฝรั่งที่เขามาศึกษาทีหลังเรา แต่เขาก้าวหน้าไปไกลกว่าเรา เขาศึกษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา เขาเขียนหนังสือที่น่าอ่านออกมาให้ลูกได้เห็นได้รู้ นี่เราขายหน้า หรือว่าขายหน้าพวกมหายาน มหายานในทิเบต ในประเทศจีนนี่ ญี่ปุ่นนี่ เขามีคัมภีร์ที่ลึกซึ้งเป็นข้อน่าคิดน่าอ่านน่าศึกษา เมืองไทยเราไม่มีอะไรเลย เรามีแต่เรื่องอานิสงส์สร้างพระเจดีย์ทราย สร้างเม็ดจะกูดี (นาทีที่ ๔๗.๕๑) สร้างเสาธง สร้างศาลา สร้างไอ้นั่นสร้างไอ้นี่ เทศน์กันอยู่อย่างนั้น ถ้าไปเผาศพก็เทศน์เรื่องนกแซงแซวทุกที จนชาวบ้านบอกว่า นกแซงแซวอีกแล้วเหรอวันนี้ มีอยู่กัณฑ์เดียวนั่นแหละเทศน์อยู่นั่น เรื่องนกแซงแซวทุกที คือ นกแซงแซวมันอยู่ในถ้ำ แล้วก็พระสวดอภิธรรมทุกคืนๆ นกแซงแซวมันได้ยิน แล้วมันตายไปเกิดสวรรค์ ดูสิตัวอย่างโง่ๆ นกมันรู้เรื่องเมื่อไหร่ล่ะพระสวดมนต์น่ะ ตายแล้วยังไปเกิดสวรรค์ได้เพราะฟังพระสวดอภิธรรม เพราะว่าอันนี้เขานักอภิธรรมเขาเขียนว่าอภิธรรมน่ะมันวิเศษเหลือเกิน นกแซงแซวฟังแล้วยังได้ไปเกิดสวรรค์เลย แต่มนุษย์ฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลย ไม่เป็นผู้เป็นคนกับเขาเลย มันเป็นอย่างนี้ นี่มันเป็นอย่างนี้ มีอยู่เท่านั้นแหละ พอขึ้นเทศน์ก็ชาวบ้านทายแล้ว นกแซงแซวอีกแล้ววันนี้ มันมีกัณฑ์เดียวเท่านั้นแหละ มันไม่น่าขายหน้ายังไงได้ แล้วเราอ้างว่า เรานะอู๊ย,พระพุทธศาสนาในเมืองไทยเจริญ เจริญยังไง เจริญในทางวัตถุ มีโบสถ์งามๆ ศาลาสวย สร้างสิ้นเงินไป ๕ ล้าน แต่ว่าเดือนหนึ่งไม่เทศน์สักหนหนึ่ง ธรรมาสน์ตัวหนึ่ง ๔ หมื่น ไปถามว่าแหมไอ้ธรรมาสน์ตัวละ ๔ หมื่นนี่ใช้อะไรบ้าง เดือนหนึ่งเทศน์กี่หน ไม่ได้เทศน์เลยว่าอย่างนั้น แล้วสร้างไปทำไม ศาลาสร้างไว้สวยๆ ให้หมาขี้เรื้อนนอนกันมันได้เรื่องอะไร นี่แหละคือว่าเรามุ่งความเจริญทางวัตถุ เอาวัตถุเป็นหลักการ เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ได้คิดถึงด้านธรรมะ มันก็ขายหน้าเขา ท่านจึงคิดว่ามันต้องคิดค้นให้มันลึกซึ้ง ท่านจึงได้เข้ามาอยู่ในสวนโมกข์ มาอยู่ที่พุมเรียงนะ มาอยู่ใหม่ๆ ขออภัยนะ ชาวบ้านก็ว่าพระบ้านะ พระองค์นั้นแกบ้า เขาเอาไปปักไว้ที่สวนนั้น คือว่า เขาไม่ค่อยให้ยุ่ง ไม่ให้อยู่วัด ให้อยู่อย่างคนบ้า มันหาว่าบ้านะ ลือไปอย่างนั้น ท่านไปอยู่เงียบๆ แล้วไม่มีใครสนใจนะ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่สนใจขึ้น ข้าราชการกระทรวงยุติธรรม ก็มี พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์ เพิ่งถึงแก่กรรมไป พระยาระพีธรรมกัน(นาทีที่๕๐.๐๙) ถึงแก่กรรมไปแล้ว คุณสัญญา ธรรมศักดิ์ ยังอยู่ ท่านเหล่านี้มาเห็นงานคณะธรรมทานเป็นชุดแรก แล้วก็ให้ความช่วยเหลือเจือจุนด้วยประการต่างๆ พระผู้ใหญ่มีองค์เดียวที่มาอย่างน่าบูชาน่าเห็นใจ คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ญาณวโร มหาเถระ วัดเทพศิรินทราวาส ท่านอุตส่าห์มา มาเยี่ยมท่านเจ้าคุณที่สวนโมกข์ แล้วเวลานั้นจากสถานีรถไฟไชยาไปสวนโมกข์นะ ถนนไม่ได้ลาดยางหรอก แล้วสะพานก็ไม่มี ต้องเดินไป ขออภัยเถอะ สมเด็จเจ้าพระคุณองค์นั้นขาท่านไม่ค่อยดี แต่ท่านอุตส่าห์เดินไปช้าๆ ไปถึงสวนโมกข์ ไปจำวัดคืนหนึ่งน่ะ แล้วก็ไปนั่งฉันข้าวใต้ต้นยางเล็กๆ ต้นยางต้นนั้น ต้นไม่โตดอก ไม่โตเท่าใด เดี๋ยวนี้โต ท่านเจ้าคุณวันนั้นไปด้วยกัน ไปที่สวน ไปแล้วก็ไปถ่ายรูปกับช่างถ่ายรูปคนโน้น ไม่ชอบถ่ายรูปหรอก ไม่คุ้น ทีนี้ก็ท่านบอกว่ายางต้นนี้อย่าไปแตะต้องนะ อย่าไปเที่ยวตัดเที่ยวโค่น ต้องรักษาไว้ เพราะเป็นต้นยางอนุสรณ์แห่งความเมตตากรุณาของพระผู้ใหญ่ที่อุตส่าห์เดินมาไปเยี่ยมจนถึงสวน แล้วก็ได้ให้คำแนะนำหลายเรื่องหลายประการในเรื่องเกี่ยวกับภาษาบาลี แต่ท่านก็ชมท่านเจ้าคุณบอกว่าแปลหนังสือดี แปลเป็น แปลเข้าใจ บาลีนี่คนเขาแปลแล้วอ่านไม่รู้เรื่องนะ เราอ่านคำแปลไม่รู้เรื่องนะ แต่ของท่านนี่ ท่านเจ้าคุณเรานี่ท่านแปลแล้วอ่านรู้เรื่องเข้าใจความหมาย เช่น พุทธประวัติจากพระโอษฐ์อย่างนี้ ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ นี่คำแปลลุมา ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ อริยสัจจากพระโอษฐ์ หลายเรื่อง อ่านแล้วมันแจ๋วชัดเจนแจ่มแจ้ง นี่เป็นเรื่องใหม่ที่เป็นผลงานของคณะธรรมทานที่ได้เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนา
จะเล่าให้โยมฟังอีกหน่อย ครั้งหนึ่งมีการประชุมพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก ที่เชียงใหม่ เขาเชิญให้ท่านไปด้วยแต่ท่านไม่ได้ไป แต่ว่าเขียนข้อความ เขียนเป็นภาษาอังกฤษ คือ ท่านเขียนภาษาไทย แล้วก็ให้ท่านผู้รู้ภาษาอังกฤษช่วยแปลให้ถูกต้องตามเรื่องของภาษา เอาไปอ่านให้ที่ประชุมฟัง ผู้ที่อ่านในคราวนั้นก็คือ พี่ท่านเจ้าคุณราชญาณกวีหลังสวน เขาเรียกว่า เรียกสมัยนู่นว่า บ.ช.เขมาภิรัต ท่านอ่าน อู๊ย,ฝรั่งทึ่ง นายคริสต์มาส ฮัมเฟรยส์ ซึ่งเป็นนายกพุทธสมาคมแห่งประเทศอังกฤษ มาแสดงความรู้สึกว่า ในเมืองไทยนี้มีพระที่มีความคิดก้าวหน้าอย่างนี้เหมือนกันรึ เขาไม่นึกเลยว่าเมืองไทยจะมีพระที่มีความคิดก้าวหน้าอย่างนี้ เขาดูหมิ่นประเทศไทยนะ เขาหาว่าพระเมืองไทยนี่ไม่มีความคิดก้าวหน้าเท่าใดหรอก แต่พอได้ฟังคำเทศน์ของท่านแล้ว เขามาพูดแสดงออกว่า เมืองไทยก็มีพระที่มีความคิดก้าวหน้าอย่างนี้เหมือนกัน เขาชม แล้วไม่ได้ชมเปล่านะ เขาเอาต้นฉบับนี้ไปพิมพ์ในหนังสือมิดเดิลเวย์ ซึ่งเป็นหนังสือออกเป็นรายสามเดือนครั้ง รายสามเดือนเหมือนกัน ออกแล้วก็ส่งไปทั่วโลก คนได้อ่านได้ศึกษา ชื่อเสียงก็ดังออกไป ว่าเมืองไทยมีพระชั้นดี แต่ไม่ดีอย่างเกจิอาจารย์ทั้งหลาย ที่คอยแต่ไปนั่งเสกหินเสกดินเสกทรายอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ใช่อย่างนั้น ดีในแง่ศึกษาธรรมะ ดีในแง่พูดธรรมะให้คนเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ดีอย่างนั้น เวลานี้หนังสือข้อความบางเรื่องของท่าน มีคนแปลออกไปเป็นภาษาต่างประเทศ เอาไปใช้ในมหาวิทยาลัยเมืองนอก เช่น เรื่องวิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม เขาเอาไปใช้ให้นักศึกษาเรียนในประเทศอเมริกา หนังสือภาษาคนภาษาธรรม แปลเป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาเยอรมัน ต้นฉบับก็มีอยู่ในนี้ เป็นภาษาเยอรมัน ให้คนได้อ่านได้ศึกษา
นี่คือผลงานของคณะธรรมทานที่ทำงานมา ๕๐ ปี ทำมาจนแก่แล้ว เวลานี้ท่านเจ้าคุณท่านแก่แล้วอายุ ๗๖ แล้ว ๗๗ เออ ๗๖ เต็มแล้วจะขึ้น ๗๗ แล้ว สังขารร่างกายนั้นร่วงโรยไปตามสภาพของสังขาร แต่ว่าจิตใจนั้นยังสดชื่น สมองยังโปร่ง ยังมีความคิดที่จะทำอะไรๆต่อไปที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา แต่ว่าสังขารไม่อำนวย ร่างกายไม่อำนวยเสียแล้วเวลานี้ ทำอะไรต่อไปก็ไม่ได้แล้ว จึงสร้างตรงนี้ไว้เป็นอนุสรณ์ว่างานที่ยังไม่ได้ทำยังมีอยู่ เพื่อให้คนข้างหลังที่ได้มาเห็นแล้วจะช่วยคิดทำกันต่อไปช่วยสานต่อ ท่านสานเข้ามาได้ครี่งแล้วครึ่งใบแล้ว เราก็ต้องสานต่อไป คนรุ่นหลัง พระสงฆ์องค์เณรทั้งหลายที่จะบวชต่อไปข้างหน้า ช่วยกันสานต่อไป ให้งานเจริญก้าวหน้าต่อไป เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ประชาชนทั้งหลายในโลกก็ว่าได้ นี่เป็นอย่างนี้ งานที่ทำอยู่นี่ มันเกิดประโยชน์กว้างใหญ่ไพศาลออกไปทุกวันทุกเวลา แต่ว่าผู้ใหญ่ พระที่เป็นฝ่ายปกครองบางองค์นี่ไม่รู้เลย ไม่รู้เลย วันหนึ่งอาตมาแปลกใจเหลือเกิน สมเด็จองค์หนึ่งท่านตายแล้วเวลานี้สมเด็จองค์นั้น ไปนั่งคุยคุยท่านเอ่ยว่า เฮ้ยๆ ท่านชอบพูดเฮ้ยๆ ฮ้ายๆ อย่างนั้น เฮ้ย,พุทธทาสนี่มันทำอะไรวะ อาตมาพอได้ยินอย่างนั้นแล้วใจมันหาย มันหายไปเลย หัวใจมันจะขาดหายไป ทำไมมันจะขาดหายไปล่ะ เข้าใจว่า ปัดโธ่ เป็นถึงขั้นสมเด็จ เป็นถึงผู้ปกครองสงฆ์ในประเทศไทย ยังไม่รู้ว่าท่านพุทธทาสทำอะไร แล้วมันอยู่กันยังไง แต่ไม่ได้พูดออกไปหรอกมันคิดในใจ เรียกว่าเป็นมโนกรรม ไม่ออกมาเป็นวจีกรรมออกไป ถ้าออกเป็นวจีกรรมก็พูดว่า ใต้เท้านี่ปกครองพระยังไง ไม่รู้ว่าพระบริวารทำอะไรแล้วมันจะปกครองกันได้ยังไง ไม่ได้พูดคำนั้น มันนึกจะพูดนา แต่ว่าสติมันมาทัน มันห้ามว่าอย่าไปพูด ถ้าพูดไปแล้วท่านคงจะโกรธไปหลายสิบปี เรียกว่าอาจจะโกรธจนตายก็ได้ เลยก็บอกว่า ใต้เท้าขอรับ ท่านเจ้าคุณพุทธทาสท่านทำงานที่พวกใต้เท้าทำไม่ได้ นั่นว่าเข้าไปอย่างนั้นเลย ทำอะไรวะ บอกว่าท่านสร้างตำรับตำราสร้างหนังสือให้คนได้อ่านได้ศึกษา ท่านส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ส่งเสริมการศึกษาที่ถูกต้องทำนองคลองธรรมของพระพุทธศาสนา พระเดชพระคุณทั้งหลายนี่ทำได้เมื่อไหร่ล่ะ ทำไม่ได้ ไม่มาหาข้ามั่งเลยวะ อ้าวว่าเข้าไปนั่นอีก หาว่าไม่มาหา ไอ้คนฉลาดเขาจะไปหาคนโง่ทำไม มันต้องไปหาคนที่ฉลาดกว่าตัวสิคนเรามันธรรมดา อันนี้ว่าไม่เห็นมาหาข้าบ้างเลยวะ จะไปหาทำไม ก็เราไม่ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์อะไร จะไปหาทำไม ถ้าไปหาก็ไปกราบ ใต้เท้าเมื่อไหร่จะเลื่อนผมเป็นชั้นราช เป็นชั้นเทพ เป็นชั้นธรรม เอ้อ มันอย่างนั้น ไอ้พวกเรามันไม่ต้องการ ไอ้ที่เขาให้มาก็รับๆ ไปตามเรื่องเท่านั้นเอง ไม่ได้ติดอกติดใจอะไรหนักหนา เพราะว่าการปฏิบัติงานนั้นถึงไม่เป็น ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ก็ทำงานได้ ยังเทศน์ออกอยู่นะ ไม่ใช่ว่าไม่มียศแล้วมันเทศน์ไม่ออก คอมันจะตีบอย่างนั้นไม่ใช่ ยังเทศน์คล่องอยู่เหมือนเดิม เป็นเจ้าคุณก็เทศน์อย่างนั้น ไม่เป็นก็เทศน์อยู่อย่างนั้น ไม่ได้เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่ว่ามันน้อยใจตรงที่ว่า ผู้ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ช่างไม่สนใจเสียเลยว่าใครทำอะไรในวงการพระศาสนา แต่ว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันนี่ท่านก็มีน้ำพระทัยพอสมควร อุตส่าห์มาเหมือนกัน ท่านมาเยี่ยมแล้วมาดู มีภาพนะ สมเด็จท่านยิ้มเมื่อได้ฟังคำอธิบายอะไรต่ออะไรนะ ท่านยิ้ม แสดงว่า ท่านพอพระทัยในผลงานที่ทางนี้ได้ทำอยู่ ผลงานที่ได้ทำอยู่ก็พอพระทัย เป็นเครื่องแสดงว่าท่านมีสายตาที่มองเห็นอะไรๆอยู่ น่าบูชาอยู่เหมือนกันที่ท่านอุตส่าห์มา นอกนั้นยังไม่มีใครมา ยังไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แล้วมันก็แปลกนะโยมนะ คนอยู่ใกล้นี่ไม่ค่อยรู้ คนอยู่ไกลรู้นะ คนใกล้ไม่ค่อยรู้ คนในจังหวัดสุราษฎร์ฯนี่ โดยเฉพาะพระสงฆ์องค์เจ้าบางองค์นี่ไม่เคยมาเลย ไม่เคยมาวัดสวนโมกข์เลย วันหนึ่งอาตมามาที่ในเมืองนี่ แล้วก็จะไปหารถมาที่สวน ก็ไปหาพระองค์หนึ่งที่อยู่ในเมือง บอกว่า เฮ้ย,ช่วยหารถสักคันหนึ่งไปสวนโมกข์หน่อย แล้วถามว่าแล้วท่านเคยไปหรือเปล่า ยังเลยว่าอย่างนั้น ไปซะเลยวันนี้ได้ไปดูซะมั่ง ดูสิไม่ได้มาไม่ได้สนใจ
คนที่ประเภทไม่ลืมหูลืมตานี่ก็มีเยอะแยะนะในบ้านในเมืองนี้ เขาจึงพูดว่าเป็นดอกบัวใต้น้ำยังไง พวกดอกบัวใต้น้ำนี่ไม่สนใจ นี่ญาติโยมมานี่โอ๊ย,มาไกลๆนะ มาจากตะกั่วป่าพังงา มาจากไหนต่อไหนไกลๆนะ คนใกล้บางทีไม่ค่อยสนใจ นอกจากคนไชยานี่เรียกว่าสนใจเพราะอยู่ใกล้เต็มที เหมือนอยู่ใกล้ต้นตาล เห็นลูกตาลมันสุกอยู่พอจะทำขนมได้บ้างก็มาสอยเอาไปทำแล้ว แต่ว่าถ้าห่างต้นตาลมองไม่เห็นเลย เห็นแต่ต้นตาลแต่ไม่เห็นลูกตาลเพราะอยู่ไกลไปหน่อยไม่ค่อยเห็น เหมือนกับคนอยู่ใกล้พระธาตุเมืองนคร ไม่ค่อยได้เข้าไปไหว้พระธาตุ ตื่นเช้าเห็นพระธาตุตื่นเช้าเห็นพระธาตุเลยไม่ได้ไหว้ คนไกลอุตส่าห์มาไหว้ มันเป็นอย่างนั้นนะโยม มันก็มันแปลกนะ มันเป็นอย่างนั้น คือไม่ได้สนใจ ไม่ได้คิดว่าบ้านเมืองเรามีอะไรบ้างที่ควรจะดูควรจะชมควรจะเป็นประโยชน์ ควรจะช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้เจริญให้ก้าวหน้าต่อไป ไม่ค่อยมี พูดไปแล้ว อยากจะพูดอีกนิดหนึ่งว่า คนไทยเรานี่ ทั่วไปนะโยมนะ ไม่เฉพาะที่ใดที่หนึ่ง ไม่เฉพาะพระสงฆ์องค์เณร หรือว่าชาวบ้านนะ ยังขาดอยู่ข้อ ที่สำคัญที่สุด คือ ขาดมุทิตา มุทิตา พรหมวิหารธรรม ๔ เมตตา กรุณา มุทิตานี่ไม่ค่อยมี ขาด ไม่ค่อยมีหรอก ไม่ค่อยมีมุทิตาในการทำงานของคนอื่น ไม่ค่อยชมใคร ถ้าเขาทำดีก็เฉยๆ ดีแต่ชมอะไร ถ้าใครชมก็นั่งเฉยๆ ไอ้ในใจเอ๊ย,ไม่ได้เข้าท่า มันมีริษยาอยู่ในใจ ตัวริษยานี่เป็นตัวมารร้ายกาจที่ทำให้โลกฉิบหาย พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น ไม่ต้องยกบาลี เอาไทยๆของเรา มันยุ่งนะตัวริษยา ไม่ค่อยจะยกย่องชมเชยใคร ไม่พูดให้ปรากฏในที่ชุมนุมว่าคนนั้นเขาทำงานนั้น คนนั้นเขาทำอย่างนี้ไม่ค่อยมีหรอก อาตมานี่ทำงานมาหลายปีแล้ว เรียกว่าทำมาตั้งแต่ คิดแล้วก็ตั้ง ๓๐ กว่าปีแล้ว ที่ทำงานอยู่นี่ ยังไม่ได้ยิน คำชมเชยจากผู้ใหญ่ฝ่ายพระเลย ท่านไม่ค่อยชม ไม่ค่อยชม มีองค์เดียวเท่านั้นชม สมเด็จวัดสระเกศ สมเด็จพระวัดสระเกศ พอเข้าไปไหว้แล้วเขายิ้ม เทศน์ดีจริงๆ เทศน์ไม่หยุด พูดได้จริงๆ ท่านว่าอย่างนั้น นี่เรียกว่าชมอยู่องค์เดียวเท่านั้นตั้งแต่พบพระมานี่ นอกนั้นพอเข้าใกล้แล้วทำท่าคำรามฮือๆ จะกินเลือดกินเนื้อเข้ามาล่ะสิท่า เออ,แล้วถ้าใครไปชมนะ ฮื้อ,ไม่เข้าท่า ต้องมีเรื่องติให้ฟัง คนไปชมนี่ต้องมีเรื่องติ ไม่ได้ เทศน์ด่าคนบ้าง ว่าคนบ้าง ทำลายประเพณีบ้าง อะไรต่ออะไร ฮื้อ,มีแต่เรื่องติทั้งนั้น ไม่มีไม่มีคำชม นี่แหละเขาเรียกว่าขาดมุทิตา ขาดมุทิตาตัวเดียวนี่ทำให้ชาติล้าหลังไม่เจริญก้าวหน้า
ชาวบ้านสมมุติว่าชาวบ้านเป็นผู้ใหญ่ ลูกน้องมีความคิดก้าวหน้า มีการศึกษา มีความสามารถ กีดกันไม่ให้แสดงความคิดความเห็น กลัวมันจะเด่นกว่ากู แล้วมันจะไปรอดอย่างไร วัดหนึ่ง พระเป็นสมภารองค์หนึ่ง พระลูกวัดดีเขาชมใคร เขาชมสมภารทั้งนั้น สมมติว่าพระวัดชลประทานรังสฤษฎิ์เก่งนะ เขาต้องชมว่า เจ้าคุณปัญญาแกเก่ง แกสอนลูกศิษย์ดี เรามันพลอยได้หน้าได้ตา ถ้าลูกศิษย์เราดี แต่ว่าถ้าพระใจแคบก็ไม่ให้ลูกศิษย์ขึ้น กดมันไว้ กดมันไว้ อย่าให้มันดี อย่าให้มันดัง ให้มันโง่อยู่อย่างนั้น ให้มันฉลาดไม่ได้ มันจะเถียงกูนี่ นี่แหละเรียกว่าไม่มีมุทิตา ในสังคมคนเรานี้ ถ้าขาดมุทิตาธรรมแล้ว ไปไม่รอด ไปไม่รอด ประเทศชาติจะไปไม่รอด ถ้าเราไม่มีมุทิตาคือพลอยยินดีในความดีในความเจริญในความก้าวหน้าของคนอื่น มีแต่เรื่องริษยา ไม่ยินดีกับใครทั้งนั้น แล้วมันจะไปได้ยังไงโยมลองคิดดู โลกมันวุ่นวายเพราะความริษยา แต่ถ้าเรามีความพลอยยินดีในความดีความเจริญของคนอื่นแล้ว มันดีขึ้นหมด
นี่อาตมาสังเกตมานานแล้วว่าเมืองไทยนี่ มันขาดมุทิตาธรรม ไม่ค่อยมีมุทิตากันเท่าใด จึงอยู่กันอย่างนี้ เราช่วยกันหน่อย ช่วยกันด้วยการอะไร คือว่า ในการบำรุงส่งเสริมพระศาสนานั้น ๑.ปฏิบัติดีด้วยตน ชักชวนคนอื่นให้ปฏิบัติดี ส่งเสริมสนับสนุนให้กำลังใจแก่คนที่ปฏิบัติดีได้มีกำลังใจปฏิบัติดีต่อไป ให้กำลังใจเท่านั้น ไปชมเขาสักคำหนึ่ง ไปพูดให้ปรากฏในที่อื่น เพียงเท่านี้ เรียกว่าให้กำลังใจ สำหรับคนบางประเภทต้องการกำลังใจ แต่คนบางประเภทนั้นไม่ให้ก็ไม่เป็นไร คนที่ประเภทที่เรียกว่าทำงานเพื่องานนี่ไม่เป็นไร แต่มันน้อย คนอย่างนั้นมันน้อย ทำงานเพื่องานน้อย หรือว่าทำงานเพื่อพระพุทธเจ้าจริงๆ มีน้อยนะ ทำงานเพื่อเรื่องอื่นมันมาก คราวนี้คนที่ทำงานเพื่องานพระพุทธเจ้าจริงๆ ไม่ต้องการคำชมจากใคร ไม่ต้องการอะไร เพราะจิตใจเขาอยู่กับพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำ เดินตามตลอดไป ใครจะว่าอย่างไรไม่ฟังเสียง เดินไปตามพระพุทธเจ้าเรื่อยไป เขาก็ทำไปได้อย่างเรียบร้อย ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ จึงเอามาพูดกันให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟัง
ผลงานของคณะธรรมทานนี้ ถ้าจะพูดไปแล้วมันกว้างใหญ่ไพศาลในบ้านเมืองของเรา กว้างใหญ่ออกไปไกลถึงต่างประเทศ ทำให้คนได้สนใจได้ศึกษากันมาก แต่ว่ายังขาดการโฆษณา เพราะว่าอะไรไม่ค่อยมีการโฆษณาชักจูง ค่อยเป็นค่อยไปตามเรื่อง ถ้ามีการโฆษณาเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยแล้วไปไกลกว่านี้ งานจะก้าวหน้าไปไกล แต่นี่ก็แม้ไม่มีการโฆษณาก็ทำกันไม่ไหวแล้วงานเวลานี้ มันก้าวไปไกล ก้าวไปได้ผลประโยชน์มาก ญาติโยมมานี่ ถ้าไม่เคยมาต้องเดินดูให้ละเอียด ดูว่ามีอะไรบ้าง เขาทำอะไร เข้าไปในโรงมหรสพต้องดูให้ละเอียด ดูภาพ อย่าไปเดินมองๆ ออกประตูโน้นไปแล้ว ดูแบบนักทัศนาจรนี่ไม่ได้เรื่องอะไร ปีหนึ่งๆ คนมาเที่ยวสวนโมกข์เยอะแยะ มาแบบทัศนาจร คนที่จัดทัวร์ก็บอกว่าแวะสวนโมกข์ แวะเข้ามาตรงนั้น แล้วให้เดินกันได้หน่อย เป่านกหวีดหรือว่าตะโกนเรียกกลับ เชิญขึ้นรถๆ เขาเรียกว่ามาดูต้นไม้ในสวนโมกข์ไม่ได้เรื่องอะไร ถ้าเราจะมาสวนโมกข์ต้องมาด้วยความตั้งใจเพื่อศึกษา มาพักสักคืนสองคืน พอมีเวลาจะได้สนทนากัน กว่าจะได้รู้เรื่อง ไม่ใช่มาถึงดู เพื่อนถามว่าเคยไปสวนโมกข์ไหม ไปแล้ว เห็นอะไรบ้าง เห็นต้นไม้ มันจะได้เรื่องอะไรเห็นต้นไม้ มันก็เท่านั้นแหละ ต้นไม้ไม่ต้องมาสวนโมกข์ก็ได้ ไปดูที่อื่นก็ได้ ต้นไม้มีเยอะแยะ เรามาสวนโมกข์เพื่อความหลุดพ้น สวนโมกข์ โมกขะหมายถึงความหลุดพ้น เราต้องมาเพื่อความหลุดพ้น มาเพื่อศึกษา มาเพื่อปฏิบัติ มาเพื่อแก้ความสงสัยในใจ ก็ต้องมีเวลาที่จะไปนั่งคุยกับท่าน คุยธรรมะ ท่านไม่เบื่อหรอกถ้าเราไปนั่งถามไถ่ถามธรรมะท่านนั่งคุยได้ตลอดวัน กลางคืนก็รุ่งก็ยังได้นะ ท่านชอบคุยธรรมะกับญาติโยมทำความเข้าใจ เพราะเจตนาของท่านเป็นอย่างนั้น ท่านจึงได้ชื่อว่า พุทธทาส
พุทธัสสาหัตสะเมทาโสวะ พุทโธเมสาเมกิสะโร พุทธะทาโสอิตินาโม (นาทีที่ ๖๙.๑๖)
เราเป็นทาสพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายเหนือเรา เราจึงมีนามว่า พุทธทาส
เป็นทาสพระพุทธเจ้า ทำงานให้แก่พระพุทธเจ้า ทำงานเพื่อพระพุทธเจ้า ไม่ได้เพื่อใคร เพื่อตัวเองไม่มี มีงานเพื่อพระพุทธเจ้า เพราะอย่างนั้นใครที่ต้องการจะรู้จักพระพุทธเจ้า รู้จักพระธรรม พระสงฆ์ มาศึกษา มาปฏิบัติได้ แต่คนบางคนมาแล้วผิดหวังไป คือมาถึงก็ไปถามเรื่องที่ไม่ควรจะถาม ท่านนั่งเฉยไม่ตอบ กลับไปบอกไม่ไหวไปแล้วไม่ได้เรื่องอะไร คือว่ามาเห็นอะไรนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เรื่องอะไร บางคนมาเดินๆดูแล้วไปเขียนบอก ฮื้อ,วัดสวนโมกข์ไม่ได้ความ ทั้งวัดไม่มีพระพุทธรูปสักองค์หนึ่ง ไอ้พวกนั้น มันแบกพระพุทธรูปไว้ในหัว เต็มหัวไปหมด ไปไหนจะต้องมีพระพุทธรูป ไม่มีพระพุทธรูปเลย มีแต่รูปพระโพธิสัตว์อะไรอย่างนั้น พระโพธิสัตว์ที่ทำไว้นี่ไม่ใช่เพื่ออะไร เพื่อแสดงว่าที่ไชยานี้ เคยมีพุทธศาสนามหายานมา พุทธศาสนามหายานเขานับถือพระโพธิสัตว์ แล้วที่นี่มีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ มีมาก ทำไว้ให้คนดูเพื่อจะได้ดูว่าของเก่ามันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าในรูปพระโพธิสัตว์นั้นมีธรรมะอยู่ในตัว อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ นั้นคือพระโพธิสัตว์ผู้รักษาโลก ผู้รักษาโลกก็คือเมตตานั่นเอง เมตตานั่นเอง คุณธรรมของพระโพธิสัตว์ก็คือ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ พระโพธิสัตว์ต้องทำงานเพื่อความบริสุทธิ์ เรียกว่า สุทธิ ต้องอยู่ด้วยปัญญา ต้องอยู่ด้วยเมตตา ต้องมีความอดกลั้นอดทน ลักษณะพระโพธิสัตว์ เขาทำไว้ให้ดูไว้อย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องอื่น ไม่ใช่ทำเพื่อให้ไหว้วิงวอนขอร้อง เหมือนกับอาซิ้มไปไหว้กวนอิมตามวัดเล่งเน่ยยี่ หรืออะไรอย่างนั้น กวนอิมนั่นก็คือพระอวโลกิเตศวรเหมือนกัน อันเดียวกัน แต่เขาทำให้เป็นรูปผู้หญิง ภาพผู้หญิงเป็นภาพแห่งความเมตตา เห็นแล้วก็เกิดความเมตตาปรานี เขาทำรูปอย่างนั้น ตัวเนื้อแท้คือตัวธรรมะ คือเมตตา เราเห็นภาพเหล่านั้นคือเมตตา อันนี้วัดนี้ไม่มีพระพุทธรูปใหญ่ๆ โตๆ เพราะไม่ได้ต้องการเผยแผ่พระพุทธรูป ต้องการเผยแผ่ธรรมะ ธรรมะนี่แหละเป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า ญาติโยมรู้ไว้ด้วย พระธรรมแทนองค์พระพุทธเจ้า เวลาพระผู้มีพระภาคประชวรหนักใกล้จะนิพพาน พระอานนท์ท่านนั่งใกล้คอยดูอุปัฏฐากทุกอย่าง ผู้รับใช้ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่ท่านไม่นั่งเฉย ท่านรู้ว่าเวลาท่านที่สุดแล้ว มีอะไรจะต้องถาม ต้องถาม มีอะไรจะต้องพูด ต้องพูด พระพุทธองค์จะนิพพานแล้ว เพราะกระนั้นท่านจึงถามอะไรต่ออะไรมากมายก่ายกอง คำถามที่สำคัญเป็นประโยชน์แก่สังคมในยุคปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะแก่พุทธบริษัท มีอยู่อันหนึ่ง ท่านถามว่าอย่างนี้ เมื่อพระองค์ยังดำรงพระชนม์อยู่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้เข้าเฝ้าได้ฟังธรรม ได้ถือเอาพระองค์เป็นที่พึ่งทางใจ คือเป็นสัตถาเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นที่พึ่งทางใจ ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จนิพพานแล้ว พระองค์จะตั้งบุคคลผู้ใดให้เป็นตัวแทนพระองค์ต่อไป หมายความว่าจะตั้งใครให้เป็นทายาทแทนพระองค์ ทายาทที่จะรับอะไรต่ออะไรของพระองค์ต่อไปเนี่ย สมภารองค์นี้ตายแล้วตั้งองค์ไหนให้เป็นสมภาร ในหลวงสวรรคตแล้วตั้งใครเป็นทายาท จะให้เจ้าฟ้าชายหรือให้เจ้าฟ้าหญิงเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป ท่านก็ต้องตั้งไว้เลย ไม่ตั้งก็ไม่ได้ ธรรมดาอย่างนั้น คนเขาคิดอย่างนั้นเลยถาม
พระองค์ไม่ได้ตั้งคนให้เป็นตัวแทนพระองค์ ทำไมไม่ตั้งคน คนมันยุ่ง ตั้งไว้เป็นตัวแทนเดี๋ยวมันแย่งตำแหน่งกัน แย่งตำแหน่งตัวแทนพระพุทธเจ้า สมัยนั้นไม่ยุ่ง ๕๐๐ ปียุ่ง ๑,๐๐๐ ปี ๒,๐๐๐ ปี ยิ่งยุ่งใหญ่ ยิ่งในสมัยนี้ ถ้าใครเป็นตัวแทนองค์พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้หลับได้นอน คนมันจะไปขอหวยขอเบอร์ จะเชิญไปเปิดร้านเปิดป้ายให้วุ่นวายกันไปหมด ให้ไปเสกนั่นเสกนี่ ตัวแทนพระพุทธเจ้า กลายเป็นตัวขลังไปเลย มันยุ่งนะเดือดร้อนตาย แล้วก็อาจจะแย่งตำแหน่งกัน เดี๋ยวตัวแทนพระพุทธเจ้าชื่อ ก. ถูกฆ่าแล้ว เพราะว่านาย ข. อยากจะเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าต่อไป ยุ่งนะ ตั้งคนนี่ยุ่ง ยุ่งมาก ในศาสนาอื่นเขายุ่งเรื่องตัวแทน พระพุทธเจ้าท่านมองเห็นว่ามันจะยุ่ง เลยไม่ตั้งคน ตั้งอะไร พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า โย โว อานันทะ มะยา ธัมโม จะ วินะโย จะ เทสิโต ปัญญัตโต โส โว มะมัจจะเยนะ สัตถา อานนท์เอ๋ย ธรรมวินัยอันใดที่เราได้สอนแล้ว บอกแล้ว บัญญัติไว้แล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั่นแหละจะเป็นศาสดาแทนเราต่อไป อันนี้สำคัญนะโยมจำไว้ให้ดีนะ ว่าสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า คือพระธรรมกับวินัย ธรรมวินัยนั่นคือตัวคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่าพุทธธรรม มันไม่ค่อย ในบาลีไม่ค่อยเรียกพระพุทธศาสนา เรียกว่า พุทธธรรม ธรรมวินัยนั่นคือพุทธธรรม คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นในสมัยนี้ ถ้าเราจะเข้าถึงพระพุทธเจ้า เราก็ต้องเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงด้วยการศึกษา เข้าถึงด้วยการปฏิบัติ ให้ทั้งเนื้อทั้งตัวเป็นธรรมไปหมด ใจเป็นธรรม พูดเป็นธรรม คิดเป็นธรรม อะไรเป็นธรรมไปหมด นั่นแหละเขาเรียกว่า อยู่กับพระธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า โย โข วักกลิ ธัมมังปัสสติ โส มัง ปัสสติ วักกลิเอ๋ย ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต ธรรมะคือสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ ได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะเข้าถึงธรรมะ เพราะฉะนั้นธรรมะจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะเข้าถึง เราอย่าไปเข้าถึงวัตถุ อย่าไปเข้าถึงอะไรๆ อย่างนั้น
สมัยนี้มีคนเอาพระธาตุมาแจกกันเกร่อเหลือเกิน พระธาตุพระพุทธเจ้าเวลานี้ถ้ารวมกันแล้วจะใหญ่กว่าองค์พระพุทธเจ้าแล้วมากนะ มีเป็นถังนะพระธาตุเวลานี้ เป็นกระด้งๆ เอาไปแจก ถ้าพูดภาษาปักษ์ใต้ว่า เป็นกระด้ง กระด้งที่ฝัดข้าว สมัยนี้ไม่ค่อยได้ฝัดแล้ว สีแต่ข้าวโรงสี ไปกระด้ง ไปเที่ยวแจกเขาเลยพระธาตุ มากมายเหลือเกินแจกพระธาตุ พระธาตุปาฏิหาริย์ก็มี พระธาตุปาฏิหาริย์ได้นะ
มีเรื่องขำจะเล่าให้ฟังที่เชียงใหม่ มีอาจารย์องค์หนึ่ง อย่าไปเอ่ยชื่อ ไม่ได้ไม่บอก ทีนี้ก็สอนลูกศิษย์ให้เจริญภาวนา บอกให้นั่งดีๆ คนใดนั่งดีพระธาตุอาจจะปาฏิหาริย์มาตกลงที่ตัวก็ได้ว่าอย่างนั้น คืนแรกเขาก็นั่งนะ นั่งกันอย่างดี พระธาตุก็มาตก ตกลงบนโยมคนหนึ่งซึ่งเป็นแม่ม่ายมีสตางค์มากหน่อย ตกลงบนนั้นแหละ คือว่า พอนั่งๆ แล้ว อ้าว,ดูซิ มีพระธาตุตกบนใครบ้าง ต่างคนต่างก็ไม่เจอสักเม็ดหนึ่ง โยมคนนั้นเจอ โอ้นี่เจ้าค่ะ อะไร เออนี่แหละคนมีบุญ คนมีบุญ ทำไมทำอย่างนั้น มันมีอะไรอยู่ในใจแล้ว คือว่าต้องการอะไรของแม่คนนั้นแล้ว เรียกว่าให้หลงบุญแล้ว จะได้เอาตังค์แล้ว นี่แหละคนมีบุญพระธาตุจึงจะมาหาว่าอย่างนั้น เลยแม่คนนั้นก็แหมตัวลอยทีเดียวจะได้พระธาตุ ดีใจเนื้อเต้นไปเลย คืนต่อมาก็ให้นั่งอีก แต่มีโยม ๒ คน โยม ๒ คนนี้เก่ง ไม่งมงายไม่เชื่อง่าย นึกในใจว่า เอ พระธาตุจะปาฏิหาริย์อย่างไรนะ ชักจะสงสัย จึงคิดกัน ๒ คนว่า เราอย่าหลับตา นั่งลืมตาค่อยๆ มองดู แล้วมองดูที่ใคร สงสัยแม่ชีคนหนึ่งว่าจะเป็นผู้ปาฏิหาริย์ ก็ค่อยๆ จ้องๆ ดูไว้ พอถึงเวลาทำกรรมฐานอาจารย์ก็บอกอีกว่า เอ้า,นั่งดีๆ เมื่อคืนนี้เขาพระธาตุมาตกแล้ว คืนนี้อาจจะมาตกอีกก็ได้ ถ้าใครนั่งดีนั่งให้สงบจะได้พระธาตุ ก็นั่ง นั่งชำเลืองมองๆๆ เอ้า,แม่ชีนั่นแหละตัวพระธาตุล่ะ ดีด ดีด ปุ๊ด ไปตกบนตักเลย นี่แม่ชีคนนี้คงจะไปหัดดีดกรวดอยู่หลายวัน เรียกว่า มีนโยบายดีดกรวด ดีดเก่ง เหมือนกับคนดีดกรวดในเรื่องนิทาน เรียกว่า อำมาตย์พูดมากดีดขี้แพะเข้าหมดเลย เข้าปากเลย แกก็ดีดปุ๊ดไปตก ตกหลายคนเลยวันนั้น แหมพอจบแล้วดูสิใครได้พระธาตุบ้าง แหมคนนั้นก็ได้คนนี้ก็ได้ ได้กันหลายคน ก็แม่ชีแกเตรียมพระธาตุไว้เยอะแยะที่แกจะดีดใส่คนพวกนั้น นี่แหละเขาเรียกว่าพระธาตุปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์จากแม่ชีที่ฝีมือดีดกรวดนั่นเองไม่ใช่เรื่องอะไร เป็นอย่างนี้
เราอย่าไปหลงใหลใฝ่ฝันในเรื่องวัตถุเหล่านั้นเลย เราต้องมีธาตุของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง มีนะโยมนะ อะไร ธรรมธาตุ (ทำ-มะ-ทา-ตุ) นั่นแหละแท้ ธรรมธาตุ (ทำ-มะ-ทาด) ธรรมธาตุ (ทำ-มะ-ทา-ตุ) หรือ ธรรมธาตุ (ทำ-มะ-ทาด) นี่แหละคือธาตุแท้ของพระพุทธเจ้า เอาพระธรรมะเป็นธาตุไว้เถอะ ธรรมะเป็นพระธาตุแท้ไว้ดีกว่า แล้วก็เอามาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จนให้ตนสบายใจได้ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็นั่นแหละถึงธรรมธาตุ ถึงองค์พระพุทธเจ้าที่แท้ล่ะ ถ้าพระพุทธเจ้าแท้อยู่ในตัวเราแล้ว เราไม่มีความทุกข์ เราไม่มีความทุกข์ เพราะเรามีพระธาตุธรรมะอยู่ในใจของเรา เรามองอะไรก็มันเป็นธรรมไปหมด เห็นจริงเห็นแจ้งไปหมด มองอะไรก็เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรน่าเอา น่ามี น่าเป็น น่ายึด น่าถือ อันนี้ก็ของใหม่นะ คำพูดนี้ ก่อนนี้ไม่เคยมีนะ มีก็เพราะสวนโมกข์ ไม่มีอะไรน่าเอา ไม่มีอะไรน่าเป็น ไม่มีอะไรน่ายึดถือ มันเป็นเช่นนั้นเอง นี่คำใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในวงการเทศนาของเมืองไทย เป็นฝีไม้ลายมือของสวนโมกข์ ของใหม่เหมือนกัน เป็นอย่างนั้น เราก็เอาพระธรรมเป็นพระธาตุเอาไว้ อย่าไปมอมเมากับพระธาตุเม็ดกรวดเม็ดทรายทั้งหลายที่คนเขาเอามา ไปเชียงใหม่คุยกับพระองค์หนึ่ง บอกว่า เชียงใหม่นี่ทำไมมันมีพระธาตุมากหนักหนา พระองค์นั้นบอก โอ๊ย,ไปที่แม่น้ำสะเมิงน่ะมีพระธาตุเต็มแม่น้ำ คือว่าแม่น้ำสะเมิงนี่มันไหลออกมาจากภูเขา ไหลแรง ไหลแรงก็เม็ดกรวดเม็ดทรายครูดกันถูกันเป็นร้อยปีพันปี เม็ดเล็กๆ ละเอียด ลื่น สวยงาม จะเอาสักเท่าไหร่ก็ได้เอาสักทะนานก็ได้พระธาตุที่นั่น ไปโกยทรายมาแล้วก็มาเลือกเอาเฉพาะเม็ดเล็กๆนี่ มีสีด้วยนะ สีขาวก็มี สีอะไรหม่นๆก็มีนะ แล้วก็สมมติเอานะ นี่พระธาตุพระพุทธเจ้า นั่นพระธาตุโมคคัลลา นั่นพระธาตุสารีบุตร อุ๊ย, พระธาตุองคุลีมาลก็มี มีเยอะแยะ อยู่ที่แม่น้ำสะเมิงนั่นเอง คนเขาไปหามา แล้วเอามาแจกกัน คราวหนึ่งมีคนๆ หนึ่งไปสมัครผู้แทน เอาพระธาตุไปแจก อาตมาไปเจอเข้า เอาเม็ดกรวดเม็ดทรายอะไรมาแจกน่ะ อื้อ,อย่าพูด พระธาตุ ธาตุดินน่ะสิ อื้อ,อย่าเที่ยวอธิบายให้ยุ่งเลย คนเขาเชื่ออยู่แล้วว่าพระธาตุ ก็เป็นพระธาตุไปก็แล้วกัน ไปหาเสียงเอาพระธาตุไปแจกตามวัดต่างๆ คนจะได้มาชุมนุมกันแล้วได้หาเสียง หมดทางแล้ว ก็ต้องอาศัยพระธาตุแล้ว หาเสียงกัน เป็นอย่างนี้ มีกันอยู่มากมายก่ายกอง ขอให้เราได้เข้ามาถึงธรรมะของพระพุทธเจ้ากันดีกว่า สวนโมกข์มุ่งเผยแผ่ธรรมะ มุ่งชักจูงให้คนเข้าถึงธรรมะกันอย่างแท้จริง ทำมานานแล้ว มีคำกลอนที่ท่านเจ้าคุณท่านแต่งไว้ เรื่องเกี่ยวกับธรรมทาน ลืมเสียแล้วจำไม่ได้ เขาเขียน เขียนไว้ดี ธรรมทานใช่การอวดดี ดีไม่ค่อยมี ขืนอวดก็หมดนะคุณ ธรรมทานคือการกล่าวตามเพลง ใช่ปู่โช้งเช้งติ่วแต้ คือการหว่านธรรม (นาทีที่ ๘๓.๑๘) ธรรมทาน ขึ้นธรรมทาน... ธรรมทาน... ธรรมทานนะ มีเยอะนะ อยู่ในหนังสือ “พุทธสาสนา” ปีต้นๆ ไม่ได้พูดเสียนาน ลืมเสียหมดแล้วเรื่องนี้ ดีนะ ว่าธรรมทานนี่มุ่งอย่างไร มุ่งอะไร ทำเพื่ออะไร เราต้องศึกษาให้ละเอียด จะรู้ว่า อ้อ,งานนี้ทำเพื่ออะไร เป็นงานที่เกิดขึ้นเพื่อการ รื้อฟื้นสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ชาวไทยเราได้รู้ได้เข้าใจ ให้สมกับว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธศาสนา ผู้นับถือพุทธศาสนาจะได้รู้จักพระพุทธเจ้าถูกต้อง รู้จักพระธรรมถูกต้อง รู้จักพระอริยสงฆ์ถูกต้อง แล้วได้ปฏิบัติตนถูกต้อง
อาตมาอยากจะกล่าวย้ำว่า ประเทศไทยเรานี่ ถ้าปฏิบัติจิตใจให้ถูกตรงตามหลักพระพุทธศาสนาจริงๆ แล้ว เจริญกว่านี้ๆ เจริญกว่านี้เพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เราช่วยตัวเองให้เราพึ่งตัวเอง แต่เราไม่ค่อยจะเอามาใช้ เรามัวแต่ไปวิงวอนขอร้อง บนบานสานกล่าว ให้ช่วยอยู่ตลอดเวลา ไม่ทำอะไรด้วยตนเอง เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่มองที่ตัว ไม่แก้ไขที่ตัวตามหลักพุทธศาสนา แต่ไปโทษดวงบ้าง โทษดาวบ้าง โทษอะไรต่ออะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของธรรมะในพุทธศาสนา เราจึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร คนญี่ปุ่นนับถือพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่ในชีวิตประจำวันนั้น ญี่ปุ่นเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไปใช้มากเหลือเกิน ใช้มากเหลือเกิน เพราะอย่างนั้นญี่ปุ่นจึงช่วยตัวเองได้ พึ่งตัวเองได้ มีความเจริญก้าวหน้าในทางเศรษฐกิจ แล้วเขาอยู่กันด้วยความสุขความสงบ เพราะเขาประพฤติธรรม ลองคลุกคลีกับชีวิตคนญี่ปุ่นดูจะเห็นว่าชาวญี่ปุ่นเนี่ย ใช้หลักของพระพุทธเจ้ามาก เขาบอกว่าชาติญี่ปุ่นนี้ได้เจริญก้าวหน้า เพราะพุทธศาสนาเขาพูดถึงขนาดนั้น เพราะพุทธศาสนา เมืองไทยเราก็พูดอย่างนั้นเหมือนกันนะ แต่ว่ามันยังไม่ถึงขนาด ญาติโยมทั้งหลายคิดเถอะ ยังไม่ถึงขนาด เราจะต้องปรับปรุงกันใหม่ เราจะต้องเปลี่ยนความเชื่อ การกระทำ ให้มันถูกตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งใดที่มันไม่ถูกไม่ตรง แม้จะนับถือกันมานานแล้ว เลิกได้ๆ เราหันมาเป็นชาวพุทธที่แท้จริงกัน เดินตามทางของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงกัน คนที่จะช่วยเรื่องนี้ได้มาก ก็คือพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลายที่บวชอยู่ในพระศาสนานี่ ต้องรู้ว่าเวลานี้อันตรายมีอยู่แก่พระพุทธศาสนา อันตรายนั้นไม่ได้มาจากภายนอก แต่เป็นอันตรายที่เกิดจากพวกเรากันเอง ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้า ไม่ซื่อสัตย์ต่อพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เสียสละชีวิตเพื่อพระศาสนา แต่อาศัยพระศาสนาเพื่อชีวิต นี่แหละมันสำคัญตรงนี้ เราต้องคิดแล้วเวลานี้ มองให้ดีมองให้รอบแล้วคิด อย่านึกว่าเราสบาย อย่านึกว่าเราเจริญ อย่านึกว่าเราพอแล้ว อย่านึกอย่างนั้น มองให้ดีมองให้ลึกซึ้ง แล้วจะเห็นว่าเราอยู่ในสถานะที่ลำบาก สิ่งแวดล้อมมีแต่อันตรายต่อพระพุทธศาสนา ต่อคณะสงฆ์ ถ้าเราไม่ลุกขึ้น ไม่ก้าวไปข้าวหน้า ไม่รักทำงานของพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังแล้ว จะไปไม่รอด ไปไม่รอด เวลานี้ก็เห็นกันอยู่แล้ว วัดไม่ค่อยมีพระ ทำไมไม่ค่อยมีพระ คือว่าบวชเข้าไปแล้วไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ไม่ได้ปฏิบัติ ก็เลยสึกไปหมด ชาวบ้านเขาเอาไปหมด ไปหมด แม้คนที่เรียนสูง เรียนวิชาความรู้ได้ปริญญา จบเมืองไทยแล้วก็ไปอินเดีย พอกลับมาจากอินเดียอยู่ ๓ วัน นุ่งกางเกงแล้ว สึกแล้ว ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะว่าการอบรมในสำนักเรียนนั้น ไม่ได้อบรมเพื่อให้เป็นผู้รับใช้พระพุทธเจ้า แต่อบรมให้ไปเป็นลูกเขยชาวบ้านกันเสียเป็นส่วนมาก เพราะอย่างนั้นพอเรียนสำเร็จ ก็โยมเอาไปเป็นเขยหมด แล้วศาสนาเหลือแต่พระที่ไม่เข้าท่าอยู่เท่านั้นเองในเวลานี้ ที่เฝ้าวัดเฝ้าวาอยู่ ยิ่งตามบ้านนอก ก็มีแต่พระหลวงตานั่งเฝ้าวัดกันอยู่ ทำอะไรก็ไม่ได้ สอนคนก็ไม่ได้ เพราะว่าพระดีๆไม่ค่อยมี อันนี้ที่ไม่มีก็เพราะว่าเราไม่มีการกระตุ้นเตือนไม่มีการส่งเสริม ไม่มีการปลุกระดมทางจิตใจ ให้รู้ความหมายของการศึกษาธรรมะว่าเรียนเพื่ออะไร เรียนไปทำไม ไม่มี อาตมานี่ก็เรียนมาอย่างนั้น แต่ว่ามันมีอะไรๆอยู่ในใจที่มันเกิดขึ้น แล้วมาทำงานอยู่อย่างนี้ ทำงานมาได้นะ แต่ว่าโดยวิธีการที่เขาสอนเขาทำกันอยู่แล้ว มันยังใช้ไม่ได้ ยังใช้ไม่ได้ คือมีแต่ให้วิชชา แต่ไม่ให้ความคิดความอ่านแก่พระสงฆ์องค์เณรทั้งหลาย เรียนแล้วจะเอาไปทำอะไร บวชเพื่ออะไร เราควรจะทำอะไรให้แก่พระพุทธศาสนา ไม่มีการพูดการย้ำให้คนเข้าใจ เวลานี้คนที่มาอยู่สวนโมกข์นี่พออยู่ได้ ก็ได้รับการอบรมจิตใจ หรือในสำนักกรรมฐานต่างๆ แห่งอื่นๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย พวกกรรมฐานนี่อยู่ อยู่สอนศาสนา พวกเรียนเอาปริญญา เรียกว่าบ้าดีกรีนี่ไม่ค่อยอยู่ยงหรอก ออกไปหมด เพราะจิตใจมันเป็นชาวบ้านไปมาก ยิ่งไปเรียนเมืองนอกด้วย จิตใจก็เป็นชาวบ้านมากขึ้นทุกวัน กลับมาก็ไม่กลับวัด กลับไปเลย ออกไปเลย นี่คือวิธีการที่ยังไม่ถูกต้อง แต่ว่าไม่รู้จะพูดกับใคร ไม่รู้จะพูดกับใคร ญาติโยมนี่ต้องช่วยพระหน่อย ยุให้อยู่ อย่าไปพูดยุให้สึก อย่าไปพูดชวนให้สึก อย่าไปยั่วอะไรให้พระท่านลาสิกขา แล้วถ้าลาสิกขาออกไปแล้วเราอย่ายุ่ง เราไม่ เฉยๆ อย่าไปเออออห่อหมกอะไรกับท่าน ให้ท่านได้สำนึกว่า เออ, ออกมาแล้วไม่มีใครเอาใจใส่กับเรา จะได้อยู่ต่อไป คนที่ยังไม่ออกก็จะได้อยู่ต่อไปช่วยพระศาสนา
เวลานี้นะพระพุทธศาสนานี่ไม่ค่อยมีทหารฝีมือดีหรอกโยม ขนาดฝีมืออย่างกวนอู เตียวหุย จูล่ง ไม่ค่อยมี มีแต่พวกลิ่วล้อทั้งนั้นเวลานี้ คอยแต่ตีฉาบ ตีกลอง ยกธง โห่ร้อง เท่านั้น ไม่มีทหารชั้นดี แล้วจะไปสู้กับใคร จะไปสู้กับกิเลสได้ยังไง หรือจะไปสู้กับศาสนิกในศาสนาอื่นได้ยังไง เพราะทหารฝีมือไม่พอ มีแต่ลิ่วล้อทั้งนั้นคอยตีฉาบเท่านั้นเอง แล้วมันจะได้เรื่องอะไร นี่เรามันต้องแก้หลายอย่างนา อาตมานี่นั่งคิดๆอยู่ แล้วมันหลายอย่างที่ต้องปฏิรูป วงการพระศาสนาต้องปฏิรูป ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ว่าความคิดนี้มันเกิดกับคนตัวเล็กๆ มันลำบาก ผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยคิดเสียด้วยนา ท่านไม่ค่อยพูดเสียด้วยไอ้เรื่องอย่างนี้ เฉยๆ ท่านนึกว่ามันก็ดีอยู่แล้ว มันไม่ดี ที่อยู่เวลานี้ไม่ดี มันต้องแก้ไข ต้องปรับปรุง เช่น พิธีกรรมต่างๆ ที่พี่น้องทำอยู่ เป็นเรื่องสิ้นเปลือง วุ่นวายไม่ใช่น้อย บวชลูกสักคนนี่ฉิบหายกันไปเท่าไหร่ ทำศพฉิบหายเข้าไปเท่าไหร่ แต่งงาน หูย,ทุกอย่าง มีแต่เรื่องสิ้นเปลืองทั้งนั้น แล้วคนไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมความสุรุ่ยสุร่าย พระพุทธศาสนา หลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่ว่า ธรรมะข้อปฏิบัติอันใดที่เป็นไปเพื่อความสุรุ่ยสุร่ายไม่ใช่พุทธศาสนา พุทธศาสนาต้องเป็นไปเพื่อการประหยัด แล้วเราประหยัดกันหรือเปล่า เราอดออมกันหรือเปล่า บวชลูกคนหนึ่งนี่เสียเงิน ๔-๕ หมื่น มีโยมคนหนึ่งมาขอเอาลูกมาบวชที่วัด บอกว่ามันเต็มแล้ว บวชไม่ได้แล้วในพรรษานี้รับไม่ได้ บอกว่าไปวัดไหนๆ เขาจะเอาตั้ง ๕-๖ พันทั้งนั้น บอกว่าวัดไหนที่จะเอาอย่างนั้น แกบอกว่าหลายวัด บอกว่ามันต้องทำขวัญนาค มันจะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้ ต้องจ่ายเงินจำนวนตั้ง ๕-๖ พัน ๗ พัน บอกว่า เอ พระเรานี่ชักจะเลอะเต็มทีแล้ว ไปหลงใหลแต่เรื่องไม่ใช่ศาสนา ไปทำขวัญนาคไปทำทำไม ทำให้มันเสียเงินเสียทองทำไม ก็โกนหัวแล้วก็บวชเท่านั้นแหละมันก็หมดเรื่องแล้ว ง่ายๆ นะ มาถึงวัดก็โกนหัว โกนหัวแล้วเข้าโบสถ์ ไม่ต้องไปเดินเวียนสองรอบสามรอบไปแห่ไหน เราจะไปหาพระพุทธเจ้าจะเดินเวียนอยู่ทำไม ตรงเข้าไปเลย มันก็ได้เรื่องไวๆ หน่อย ตัดให้มันสั้นๆ แล้วก็อะไรที่ไม่จำเป็นก็อย่าไปซื้อไปหา เอาเท่าที่จำเป็น บวชลูกคนหนึ่ง ซื้อดอกไม้ดอกบัวไปถวายพระ กินก็ไม่ได้ดอกบัว ซื้อไปทำอะไร สิ้นเปลืองเปล่าๆ เอาสตางค์นั้นไปถวายวัดไว้เป็นค่าไฟฟ้า ค่าภัตตาหาร หรือว่าทำอะไรยังดีกว่าที่ซื้อดอกบัวไปถวายพระอัฏฐบาตร ๒๐ องค์ ถวายดอกบัวองค์ละ ๒-๓ ดอก ๖๐ ดอก ดอกหนึ่ง ๓ บาท ๑๘๐ บาทเข้าไปแล้ว ดอกบัวนี่มันได้อะไรโยม ที่ซื้อหอบไปวัด โยมไปวัดไม่ต้องเอาดอกบัวไปหรอก ไม่จำเป็น
ไอ้สมัยก่อนเขาให้ถือดอกบัวไปไม่ใช่เรื่องอะไร ต้องการให้เตือนใจ นี่ดอกบัวเราถือไปดูดอกบัวเสียมั่ง อ้อ,ดอกบัวนี่เป็นดอกไม้ตัวอย่างแห่งความสะอาด เพราะดอกบัวเกิดในโคลนในเลน แต่มันโผล่พ้นน้ำ น้ำไม่เปื้อน โคลนไม่เปื้อน เรามันต้องทำใจให้เหมือนดอกบัว ถ้าเราเอาดอกบัวไปถวายพระสักดอกหนึ่ง ไม่ต้องมากหรอก เหมือนกับไปเตือนพระ บอกว่าหลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงน้องทั้งหลาย อยู่ให้เหมือนดอกบัวนะเจ้าคะ อย่าให้มันเลอะเทอะเปรอะเปื้อน พระเรารับดอกบัวโยมนะ แหมโยมเตือนอีกแล้ววันนี้ แล้วก็สำรวจตัวเองว่ามันเลอะอะไรบ้าง เลิกเลอะได้แล้ว รักษาตัวให้มันเรียบร้อยนี่ใช้ได้ นี่เอาไปถวายมากมาย ดอกไม้กระดาษ โอ๊ย,องค์ไหนเป็นอุปัชฌาย์แล้วกองรกกุฏิ ไม่รู้เอาจะไปทำอะไร หลายๆ วันก็เขาไปเผาสักที เรื่องอะไร นี่เขาเรียกว่าสิ้นเปลืองโดยไม่ได้เรื่อง แต่ไม่มีใครแก้ ไม่มีใครพูด พูดแล้วก็เขาว่ามันบ้าอยู่องค์เดียว ท่านปัญญานี่มันบ้า บ้าอยู่องค์เดียว อาตมานี่มันบ้าอยู่องค์เดียว บ้าพูดในเรื่องอย่างนี้อยู่กับญาติโยม ที่วัดชลประทานไม่มีแล้วเวลานี้ ไม่มีสิ้นเปลืองแล้ว เรื่องดอกไม้เรื่องอะไรไม่ให้ซื้อทั้งนั้น ใครจะบวชซื้อผ้าไตรกับจีกับบาตรเท่านั้นเอง เรื่องอื่นไม่ให้ซื้อ ซื้อเท่านั้น แล้วก็มาวัดไม่ต้องยุ่งอะไร ไม่ต้องทำอะไร มาวัด บวช ก่อนบวชเทศน์ให้ฟังหน่อย แล้วก็บวชกันเท่านั้นเอง บวชแล้วก็สอนกันอบรมกันไปตามหน้าที่ มันก็ได้ประโยชน์ งานศพก็เหมือนกัน ใครตายมาสักคน โอ๊ย,มากันแล้ว มาช่วย ช่วยอะไร ช่วยเปิดบ่อนเล่นการพนันในงานศพ แม่ตาย แล้วให้คนมาเล่นการพนัน เหมือนกับว่าเราดีใจว่าแม่ตายกูจะได้นา เอาไปขาย ไปเล่นการพนัน มันไม่ได้เรื่องอะไร ทำอย่างนั้นไม่ได้เรื่อง ควรจะตัด ตัดให้มันง่ายให้มันสั้น แล้วทำไมพอตายแล้ว สวดๆๆ อยู่นั่น สวดก็ไม่รู้เรื่อง สวดอยู่ได้ จบเดียวยังไม่รู้ ว่าอยู่คืนละ ๔ จบ ๔ จบ สวดอยู่ ๗ คืน เรื่องอะไร ทำไมไม่แก้เสียบ้างไอ้ของอย่างนี้ ไม่ต้องสวดมาก ตายแล้วก็รีบๆ เผาเสียให้มันหมดเรื่อง เราจะทำบุญเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีศพอยู่ก็ทำได้ แต่ว่าไม่ค่อยทำหรอก เอาศพมาทำมาสวดกันอยู่อย่างนั้น สวดกันอยู่ แล้ววันจะเผานี่ แหม ผ้าไตรนี่มากจริงๆ หลายไตร โยม รู้ไหม ผ้าไตรที่ขึ้นไปทอดๆ พระใช้ไม่ได้สักไตร พระไม่ค่อยบอกโยมนา โยมฉิบหายไปเยอะแล้วไอ้ของนี้ ไม่ได้เรื่องผ้านั้นไม่ได้เรื่อง พระเขาให้นิคเนมว่า ไตรโยน ไตรโยน คือได้มาก็โยนไว้มุมห้อง ทำไมถึงโยน มันใช้ไม่ได้ ผ้ามันบาง สบงถ้านุ่งแล้วนั่งในห้องได้ เดินออกมาข้างนอกไม่ได้ โยมเห็นก็เลยหัวเราะเอา ผ้าอย่างนั้น แล้วผ้าเหล่านั้นมันหมุนไปหมุนมาอยู่นั่น ป่าช้าวัดใหญ่ๆ นะมีผ้าไตรอยู่ชุดหนึ่ง นาย ก ไปทำศพจะสักกี่ไตร ๕ ไตร ๕ ไตรนั้นแหละเอามาซัก แล้วก็พระวัดนั้นแหละซัก แล้วก็ไปเก็บไว้ พอเปิดมาก็ไอ้ผ้าชุดนั้นแหละ เวียนอยู่อย่างนั้นแหละไม่ได้ไปไหน เป็นสังสารวัฏอยู่ระหว่างเณรกับพระตรงนั้นแหละ ไม่ได้เรื่องอะไร ทำอยู่อย่างนั้น เราจะทำบุญศพนี่ไม่ต้องทั้งไตรหรอกโยม สบงสักตัวหนึ่งให้นุ่งได้ จีวรสักผืนหนึ่งก็ให้นุ่งได้ ไอ้ทั้งไตรแล้วนุ่งไม่ได้มันได้เรื่องอะไร ลองโยมลองคิดดูเหอะ ฉันเห็นแล้วฉันทนไม่ได้แล้วเรื่องนี้ ต้องบอกโยมเสียที เทศน์บ่อย กรุงเทพฯ
เมื่อเราจะทำบุญนี่มันต้องทำให้ได้ประโยชน์ ทำบุญเขาว่าอย่าถามพระ มีเรื่องเดียวไม่ต้องถาม เอาข้าวใส่ในบาตรไม่ต้องถาม ใส่ลงไปเลย แต่เรื่องอื่นต้องถามนะ เช่นว่า โยมจะซื้อของถวายพระ สมมุติว่าจะไปซื้อผ้าถวายพระต้องไปถาม บางองค์อ้วนผ้าสบงมันต้องยาวหน่อย บางองค์สูงสบงมันต้องกว้างหน่อยจีวรมันต้องใหญ่ เขามีขนาดนี่ แล้วเราซื้อไปท่านก็ใช้ไม่ได้ แล้วเอาไปวางๆ ไว้ ไม่ได้ประโยชน์ ไม่คุ้มค่า เอ้า,จะซื้อหนังสือถวายพระ ไปถึงก็ซื้อแล้ว ไปลานเสาชิงช้า เอาซื้อมาถวาย ซื้อมาก็อย่างนั้น แมลงสาบอ่านกันไป พระไม่ได้อ่าน เพราะไม่รู้จะอ่านอะไร มันหนังสือไม่ได้เรื่อง นี่เรามาถามพระก่อนว่า พระวัดนี้เรียนอะไร อ่านหนังสืออะไร จะสร้างหนังสือถวายวัดควรจะซื้อหนังสืออะไร เออ,พระท่านก็บอกต้องการอะไร เราก็ซื้อตามที่พระต้องการ มันเกิดประโยชน์ ซื้อยา โดยมากชอบถวายยาธาตุ นึกว่าพระนี่ท้องเสียเหลือเกิน พระนี่ท้องไม่ค่อยเสียนะโยมนะ เพราะว่าฉันไม่พร่ำเพรื่อนะ เป็นเวล่ำเวลา ไม่ค่อยได้กินยาธาตุหรอก นานๆ จะได้ฉันยาธาตุสักที ไม่ค่อยเสียหรอก เราก็ซื้อยาธาตุ มียาก็ยาธาตุ ยาแก้ปวดหัว แก้ปวดท้อง ราวกับว่าพระนี่เป็นโรคประสาทหมดทั้งวัดอย่างนั้น มีแต่เรื่องปวดหัว นี่ก็เรียกว่าไม่ได้ถามพระ เราควรจะซื้ออะไรไปถวายพระ พระนี่ควรจะซื้อยาประเภทอะไรดี วิตามินนี่ดี วิตามินบีกลมกริ๊ก เอาไปถวาย เพราะว่าพระนี่ขาดอาหาร มันมีฉันนะโยม ไม่ใช่ไม่มีฉัน แต่มัน อาหารมันไม่สมบูรณ์ บางวันก็พอไปได้ แต่บางวันก็แย่นะ อาตมานี่ไปเที่ยวเทศน์ตามบ้านนอกบางทีไปเทศน์ตั้งเดือน จากตำบลนี้ไปตำบลนั้น อาหารเยอะ คนมาถวายเปิดกันไม่หวาดไหว แต่ฉันเสร็จแล้วอิ่มนะ พอบ่ายสองโมงนี่เพลียแล้วหิวแล้ว เพราะอะไร อาหารไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แน่ พูดกันตามหลักการว่าอย่างนั้น มันเป็นทุกข์โภชนาการไป ไม่ได้เรื่อง อันนี้ทำงานหนักทำไง ต้องมีวิตามินใส่กระเป๋าไป เย็นเอาเม็ดนึง แล้วกระปรี้กระเปร่า ไปยืนเทศน์ให้โยมฟังสบายๆ ถ้าวันไหนอ่อนเพลียแล้วเทศน์มันจะง่วงมันจะหลับไป ปากมันก็ว่าแต่ตัวเองไม่รู้ว่าเทศน์เรื่องอะไรอยู่ มันเพลีย มันเพลียนะ โยมไม่รู้หรอก พระนี่ก็เพลียเหมือนกัน ร่างกายมันต้องการเหมือนกัน อันนี้เราถวายยาที่เรียกว่าเป็นของเสริมกำลังให้ท่านนิดหน่อย ไม่ต้องมากเกินไป พอให้จำเป็น เวลาจะใช้ก็ได้ถวาย คือควรไปถาม ควรจะถวายยาอะไร ต้องการผ้าอะไร ต้องการหนังสืออะไร วัดนี้กำลังสร้างอะไร เราเอาไปทำบุญให้มันถูกเรื่องที่พระต้องการ ไม่ใช่ซื้อส่งเดชไปถวาย บางทีมันก็ซ้ำกันเอง คนนั้นก็ซื้อมา คนนี้ก็ซื้อมา ซ้ำกัน เหมือนวัดเมืองอยุธยา ที่เจ้าเจ็ด มีระฆัง ๗ หอ แล้วจะตีใบไหนล่ะตั้ง ๗ หอ เวลาตี ก็ตีใบนี้ ใบนั้นไม่ได้ตี โยมเขาจะเสียใจ เด็กก็ต้องวิ่งตีมันทั้ง ๗ ใบ แล้วมันเป็นยังไงถ้าตีระฆัง ๗ ใบดูมันเลอะเทอะแล้ว แต่ก็โยมก็สร้างมาตั้ง ๗ หอแล้ว นี่เขาเรียกว่า ฟุ่มเฟือย ไม่ได้เรื่อง เราจะทำบุญสุนทาน ก็ต้องทำเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนา เพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาก็ต้องศึกษาว่าควรจะทำอะไรควรจะถวายอะไรแก่พระ มันจึงจะเป็นการถูกต้อง นี่เป็นเรื่องที่เอามาพูดสู่กันฟังเล็กๆ น้อยๆ เวลาเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เมื่อตะกี้พอเริ่มเทศน์ไม่ได้ดูเวลาว่าเท่าไหร่ นี่ก็จบเวลา โอ๊ะ,สมมุติว่าจบกันสักทีก่อน โยมจะได้พักผ่อนนะเอาเรี่ยวเอาแรงไว้ จะได้ทำเรื่องอื่นกันต่อไป ก็ในตอนนี้ก็เรียกว่าขอยุติ ไม่ต้องให้พรแก่ญาติโยมว่าให้เป็นอะไรหรอก ขออวยพรแต่เพียงว่าขอให้ญาติโยมจงเจริญในธรรมะของพระพุทธเจ้าจงทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ