PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2525 ครั้งที่ 3 (ค่ำ) เรื่อง ชีวิตเป็นงานธรรมศิลป์
แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2525 ครั้งที่ 3 (ค่ำ) เรื่อง ชีวิตเป็นงาน ... รูปภาพ 1
  • Title
    แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2525 ครั้งที่ 3 (ค่ำ) เรื่อง ชีวิตเป็นงานธรรมศิลป์
  • เสียง
  • 1400 แสดงธรรมล้ออายุ ปี 2525 ครั้งที่ 3 (ค่ำ) เรื่อง ชีวิตเป็นงานธรรมศิลป์ /buddhadasa/2525-3-2.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันเสาร์, 01 กุมภาพันธ์ 2563
ชุด
ล้ออายุ เลิกอายุ (เทศน์,บรรยาย)
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ธรรมะบรรยายในพิธีล้ออายุ วาระที่  3 บรรยายเวลา 2 ทุ่มที่หินโค้ง วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 เพื่อนสหธรรมิก สพรหมจารี(นาทีที่ 0:00:44) และท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมะเนื่องด้วยการทำบุญล้ออายุในตอนนี้เป็นครั้งที่ 3 ขอให้ท่านทั้งหลายจับใจความของเรื่องให้ได้เป็นลำดับมาว่าเราด้วยเหตุอะไรก็ตามกำลังตกอยู่ในฐานะที่ควรล้อ  ที่อยู่ในสภาพที่หน้าละอายแม้แต่แมว  มนุษย์ยังไม่มีความสุขมากกว่าแมว  ดังนั้นจึงน่าละอายจึงเอามาล้อ เราจะดูให้เลยไปถึงว่าจะต้องไปอยู่ในสภาพเช่นไรจึงจะอยู่เหนือการถูกล้อ คือจะพ้นจากการถูกล้อ ถ้าเราอยู่อย่างที่แล้วๆ มาหรือกำลังมีอยู่ในเวลานี้  ก็ได้พูดให้เห็นแล้วว่ามันยังมีส่วนที่ควรถูกล้อ ที่เขาล้อได้แล้วจะทำยังไงกันดีที่จะนำชีวิตนี้อยู่เหนือการถูกล้อ  ชีวิตนี้มันก็ไม่ได้ยืนยาวอะไรนัก สมมติกันเดี๋ยวนี้ก็ว่ามันจะไม่เกินร้อยปี  ชั่วเวลาเท่านี้เราจะทำให้ชีวิตนี้เจริญงอกงามรุ่งเรืองจนอยู่เหนือการที่จะถูกล้อคือไม่มีอะไรที่น่าล้อหรือควรจะล้อได้อีกต่อไป ทันในเวลาก่อนแต่จะเข้าโลงไป  การถูกล้อนั้นมันเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่ามันถ้ามันมากเกินไปมันก็คือมันโง่ มันเงอะงะเซอะซะ  นี่ว่าดีขึ้นมาหน่อยมันก็คือปกติเกินไปไม่มีความงดงามน่าจับใจ  มันยังอยู่ในฐานะที่ควรถูกล้อเพราะเหตุนี้  ถ้ามันดำเนินมาถึงขั้นที่งดงามเป็นที่จับอกจับใจก็พ้นวิสัยที่จะถูกล้อ  บางคนอาจจะนึกสงสัยว่าทำไมจะต้องพูดกันถึงเรื่องความงาม ขอให้เข้าใจว่า “งาม” มีสองความหมาย  งามตามแบบของปุถุชนฝุ่นหนาด้วยกิเลสมันก็มีความงามเป็นแบบหนึ่ง  นี่มันงามตามแบบของพระอริยเจ้าที่ไม่ได้เจือด้วยกิเลสมันก็มีความงามไปอีกแบบหนึ่ง  มันจะตรงกันข้ามก็ได้แต่ก็ยังเหมือนกันอยู่ในข้อที่ว่าเรียกว่ามันงาม มันงาม  “งาม” ตามความหมายของกิเลสนี้มันก็ลำบากหน่อยเป็นที่ตั้งความยึดถือ  เมื่อยึดถือแล้วมันก็ยุ่งยากลำบากแหละเป็นทุกข์ ถ้า   “งาม” ฝ่ายพระอริยเจ้ามันไม่มีกิเลส  ไม่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส  ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์  มันจึงงามเพราะไม่มีกิเลสและความทุกข์  ในเรื่องโลกๆ นี่ก็ต้องเอากิเลสและความทุกข์ใส่เข้าไปมากๆ มันจึงจะเรียกว่างาม  แต่ในเรื่องของพระธรรมถ้าจะให้เรียกว่างามมันต้องไม่มีวี่แววของกิเลสและความทุกข์  คนจำพวกหนึ่งอาจจะเข้าใจผิดต่อธรรมะว่าธรรมะนี้มันไม่มีเรื่องงดงามมันมีแต่เรื่องน่าเศร้าน่าเกลียดน่าชังเป็นเรื่องปอนเป็นเรื่องรุงรังเป็นเรื่องศพเรื่องผีไปเสียหมดไม่มีความงามอะไร  จนถึงกับว่าธรรมะไม่ต้องการความงามพุทธศาสนาไม่นิยมความงาม  แต่อย่าลืมว่ามันมีอยู่สองงามซึ่งงามที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ก็มีอยู่ ซึ่งเป็นความงามในความหมายของธรรมะ  เมื่อจะส่งสาวกออกไปประกาศพระศาสนาพระองค์ทรงกำชับสาวกเหล่านั้นว่า  เธอจงไปแสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์ให้มีความงดงามในเบื้องต้น ให้มีความงดงามในท่ามกลาง ให้มีความงดงามในเบื้องปลาย  ที่ท่านทั้งหลายชาววัดชาววังเขาสวดกันอยู่ได้ในบททำวัตร  อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง  มันมีกัลยาณะคือความงามข้างต้นตรงกลางและเบื้องปลาย ทำไมพระองค์จะต้องทรงกำชับในเรื่องนี้  ก็เพราะว่าความงามนี่มันเป็นสื่อเป็นปัจจัยที่จะผูกมัดจิตใจของผู้มาเกี่ยวข้องได้อย่างดีหรือทำให้เขาสนใจได้อย่างน้อย  แล้วพระองค์ก็ทรงมุ่งหมายถึงความงามตามแบบของธรรมะไม่ใช่ความงามอย่างมีกิเลส  ให้มีพรหมจรรย์ที่มีความงามเบื้องต้นท่ามกลางเบื้องปลาย ให้แสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์นั้นให้มันมีความงามเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลาย  รับสามข้อนี้ก็พอแล้วที่อื่นๆ ก็ยังมีอีกไม่ต้องอ้างมาก็ได้ว่าในหลักธรรมะนี้ก็มีความมุ่งหมายให้มีความงามและให้ใช้ความงามให้เป็นประโยชน์  และความงามสูงสุดนั้นก็คือภาวะหรือลักษณะที่ไม่มีกิเลสและไม่มีความทุกข์  มีแต่ความสดชื่นของร่างกายและจิตใจที่ปราศจากกิเลสและความทุกข์  ใครๆก็ลองคิดดูว่ามันมีความงามอะไรที่ไหนยิ่งไปกว่าความงามนี้  คือความงามที่ไม่มีกิเลสและไม่มีความทุกข์ไม่มีวี่แววไม่มีร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่ามันมีกิเลสเมื่อมีความทุกข์ มันไม่ได้งดงามด้วยสีสันหรือว่าลวดลายหรือว่ากิริยา ท่าทางอันยั่วยวน  เป็นต้น  แต่มันเป็นเรื่องของความสงบ  ความว่าง  ความเป็นอิสระจากกิเลสและความทุกข์ ผู้ใดมีจิตใจว่างจากกิเลสและความทุกข์ย่อมรู้สึกได้เองว่าไอ้ภาวะเช่นนั้นมันมีความงามอย่างไรบ้าง  เป็นความงามฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณไม่ใช่ความงามฝ่ายวัตถุที่อาศัยสี อาศัยเสียง อาศัยแสงอะไรต่างๆ ไอ้ความงามฝ่ายจิตและวิญญาณนั้นมันมีความงามอยู่ที่ความหมายและคุณค่า  แต่ก็เป็นสิ่งที่จะสังเกตได้เห็นได้รู้สึกได้ในฐานะเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งได้เหมือนกัน ในฐานะเป็นอายตนะคือสิ่งที่จิตจะสัมผัสได้ จิตจะรู้สึกได้ ความงามมันจึงอยู่ในฐานะที่จิตจะสัมผัสได้เกี่ยวข้องได้  ถ้ามันเป็นไปเพื่อกิเลสและความทุกข์มันก็เป็นความงามแบบนั้น  แต่ถ้ามันไม่มีกิเลสไม่มีความทุกข์มันก็เป็นความงามแบบนี้คือแบบของพุทธบริษัทนั่นเอง  ทีนี้อยากจะพูดเพื่อให้เข้าใจว่าไอ้สิ่งที่เรียกกันว่าศิลปะ  ศิลปะที่มีความหมายถึงความงามนั้นที่กำลังเป็นที่นิยมชมชอบหรือสนใจกันในหมู่มนุษย์แห่งยุคนี้นั้น มันไม่ใช่เพิ่งมีในยุคนี้มันไม่ใช่ความรู้ความคิดของคนยุคนี้  มันเป็นความรู้สึกคิดนึกของคนตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว  เช่นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งแน่นอนที่ท่านรู้เรื่องของศิลปะหรือความงาม  ถ้าพูดถึงศิลปะต้องเล็งถึงความงาม  ถ้าพูดถึงความงามมันต้องมีความเป็นศิลปะนี่มันเป็นของคู่กันอย่างนี้ แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีความหมายอย่างนี้อยู่แหละ ถ้าว่ามันเป็นศิลปะหรือที่เรียกกันว่า “Art” Art นั้นนะมันก็มีความหมายอยู่ที่ความงามหรือความจับใจทั้งนั้น  การศึกษาของยุคปัจจุบันนี้เจริญก้าวหน้าไปมากแล้วก็ต้องการให้มี Art แทรกอยู่ด้วยในสิ่งที่มนุษย์ควรจะต้องการหรือควรจะปรารถนา หมายความว่ามันมีความงามที่ต่างประเทศเขาหลงใหลในเรื่อง Art เรื่องความงามนี้จนเป็นบ้าเป็นหลังจนเลยเถิดจนเพ้อเจ้อจนเรางามกับเขาไม่ถูก  อาตมาก็สารภาพเหมือนกันว่าตัวเองก็ไม่อาจจะรู้สึกงามกับเขาได้ด้วยของศิลปินยุคปัจจุบันนี้ที่เขาว่างามเป็นอย่างไร  เป็นภาพที่งดงามหรือเป็นลวดลายประดิษฐ์ที่งดงามการจัดโครงสร้างอะไรที่งดงาม  มันเกินสติปัญญาของคนอย่างเราๆ ที่รู้สึกว่ามันงาม  เห็นเป็นรู้สึกว่ามันบ้าๆ บอๆ อะไรก็ไม่รู้  แต่ขอให้รู้ไว้ว่าคนปัจจุบันแห่งยุคปัจจุบันนี้ต้องการความงามต้องการศิลปะ  แต่มันเดินเร็วไปจนไม่รู้ว่าจะงามกันอย่างไร แต่สำหรับพวกคนเหล่านั้นเขางามเขางามกันอย่างยิ่ง ต้องเดินทางไกลลงทุนไปดูศิลปะนั่น ศิลปะนี่  แม้แต่เอาไม้ไผ่ลำยาวๆ มาคาดเข้าให้เป็นรูปเป็นร่างอย่างนี้อย่างนั้นลอยอยู่ในสระน้ำ ในบึงที่สวยงามแล้วก็แห่กันไปดูเขาจากที่ไกล  นี่แสดงว่ามนุษย์ก็ติดยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของความงาม  เป็นอันว่าเรื่องของความงามหรือศิลปะนี้เป็นที่ปรารถนาของคน  แต่แล้วเราไม่มีความนิยมในความงามชนิดนั้น  เมื่อไม่นิยมพุทธบริษัทมานิยมความงามในทางจิตทางใจเป็นเรื่องของความงดงามแห่งจิตใจที่มันว่างจากกิเลส  แสดงออกมาทางกายบ้างก็ได้ทางร่างกายก็เรียบร้อยสงบเสงี่ยมเป็นสุขสงบพอจะรู้ได้  แล้วศิลปินยุคหลังในอินเดียเขาก็พยายามจะถ่ายทอดความงามแห่งจิตใจออกมาปรากฏทางวัตถุ  เช่นพระพุทธรูปหรือรูปพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง  เขาทำความงามที่ใบหน้ามีความงามครบที่ใบหน้าแสดงว่ามีปัญญา มีความบริสุทธิ์ มีความเมตตากรุณา มีความอดกลั้นอดทนเพื่อผู้อื่น  เสียสละเพื่อผู้อื่น  พระพักตร์ของพระพุทธรูปองค์นั้นถือกันว่างามที่สุดจัดเป็นศิลปะชั้นสูงที่เรียกว่า  High Art  มันเป็นศิลปะชั้นสูงหนีออกมาเป็นเรื่องทางวัตถุแล้วแต่ก็ยังเป็นความงามอยู่นั่นเองเป็นศิลปะอยู่นั่นเอง  พอเดินออกมาข้างนอกแล้วไม่อยู่แต่ข้างในในใจแล้ว  แล้วต่อมามันก็ค่อยเดินเลยเถิดออกไปถึงไอ้เรื่องความงามตามธรรมดา เป็นรูปเป็นแบบที่นิยมกันว่างามของสมัยนั้นงามของสมัยนี้ตามแบบของไอ้ศิลปกรรมแห่งยุคนั้นๆ ประติมากรรมแห่งยุคนั้นๆ มีความงาม นี่แปลว่าไอ้ความงามมันก็ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือชีวิตที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ  ถ้าชีวิตมันประกอบด้วยธรรมะก็มีความงามตามแบบของธรรมะ  แล้วใครๆ ก็ลองคิดดูว่าชีวิตชนิดไหนจะงามที่สุดเท่ากับชีวิตที่มันไม่มีกิเลสและไม่มีความทุกข์  ถ้าอยู่ในจิตใจก็รู้เฉพาะคนคนอื่นมันรู้ด้วยไม่ได้  เพราะฉะนั้นศิลปินจึงพยายามที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นลักษณะข้างนอก เช่น ถ่ายทอดออกมาเป็นพระพักตร์ของพระพุทธรูปหรือรูปโพธิสัตว์หรือรูป (…. นาทีที่ 0:18:04:5)หรือรูปอะไรก็ตาม  อย่างในประเทศอินเดียนี้ถ้าเป็นอย่างศิลปะสมัยคุปตะแล้วก็สวยที่สุดเลย จนเขาถือว่าสวยที่สุดของอินเดียทุกยุคทุกสมัยสวยที่สุดอยู่ที่ศิลปะแบบนั้นยุคนั้น เช่น  อวโลกิเตศวรของเราไอ้รูปเดิมมันไม่ใช่รูปปั้นใหม่มีความงามอย่างนั้นเพราะมันเป็นศิลปะแบบคุปตะ  ถึงแม้จะมีแบบปาละเข้าไปผสมบ้างมันก็ยังมีลักษณะแห่งคุปตะอยู่มาก  อาตมาถือรูปอวโลกิเตศวรรูปนี้ไปเมื่อไปเที่ยวอินเดีย  ไปที่พิพิธภัณฑ์ไหนเจ้าหน้าที่อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมันร้องออกมาเองว่า “คุปตะ คุปตะ คุปตะ” ไปทางนั้น  หลายพิพิธภัณฑ์ในอินเดีย  แต่ว่าพวกอาจารย์ศิลปะในเมืองไทยเขาถือว่า โพธิสัตว์องค์นี้เป็นแบบปาละ  มีคุปตะเป็นส่วนน้อย  ใครสนใจก็ไปดูรูปพระโพธิสัตว์องค์นี้ องค์ที่ว่านี้อยู่ในตึกนี้ไปดูที่หน้าจ้องดูที่หน้าว่าหน้านั้นงาม  เขาถ่ายทอดความรู้สึกของปัญญาของบริสุทธิ์ของเมตตาของขันตีออกมาถึงที่  นี่แสดงว่ามนุษย์ทุกยุคทุกสมัยต้องการความรู้สึกว่างามนั้นน่ะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ  ถ้าจะพูดอีกทีหนึ่งก็ว่าไอ้ความสุขนั่นแหละคือความงาม มันให้ความรู้สึกเป็นสุขได้นั่นแหละคือความงาม ฉะนั้นมองหน้าใครแล้วรู้สึกว่าเป็นสุขมันก็คือความงามตามแบบของธรรมะ  ส่วนความงามตามแบบโลกๆ นั้นมันอีกเรื่อง  ฉะนั้นอย่าเอามาปนกัน  เดี๋ยวนี้เราเพื่อจะสนใจในเรื่องความงามของธรรมะ  งามตามแบบของธรรมะคืองามแห่งจิตใจที่เกลี้ยงหรือว่างจากกิเลสและความทุกข์  ทำไมต้องพูดถึงข้อนี้ก็เพราะมันมีความจริงอยู่ว่าถ้าขึ้นมาได้ถึงขั้นนี้มันจะอยู่เหนือการถูกล้อ  ใครที่กลัวการถูกล้อก็รีบทำให้มันมีจิตใจอยู่เหนือไอ้ความไม่งามอยู่เหนือความไม่งามคือมีกิเลสมีความทุกข์มีอะไรที่ล้วนแต่เป็นฝ่ายกิเลสและฝ่ายความทุกข์  มันไม่งามมันก็ต้องถูกล้อจนกระทั่งว่าถูกถ่มน้ำลายรดไปเลย   แต่ถ้าเราได้ทำให้มีความงามทางกายทางวาจาถึงทางใจจนใครเห็นแล้วมันถ่มน้ำลายรดไม่ลง  แล้วมันก็ล้อไม่ได้เพราะว่าไอ้ความงามนั้นมันไปจับหัวใจเขาเสียหมดจนไม่เกิดความรู้สึกที่จะล้อเลียนได้นั่นนะเรียกว่าอยู่เหนือการถูกล้อแล้ว การล้ออายุมีไม่ได้แล้วสำหรับคนชนิดนั้น ท่านทั้งหลายก็จงพยายามให้ชีวิตของเรามันมีความงดงามตามแบบของธรรมะ  พอใครเห็นเข้าแล้วมันมีความรู้สึกรักใคร่เคารพนับถือบูชาไปเลย มันไม่รู้สึกเกลียดชังไม่รู้สึกหลบลู่ดูถูกหรือจะถ่มน้ำลายรด เป็นอันว่าถ้าจะอยู่เหนือการถูกล้อ  ก็ขอให้มีธรรมะเป็นความงามประจำอยู่ในชีวิตนั้น  ถ้าท่านคิดว่าอย่างนี้เป็นการส่งเสริมกิเลสก็แปลว่าท่านฟังอาตมาพูดไม่ถูก  คือเรากำลังพูดถึงความงามของความไม่มีกิเลส  เพื่อให้มันหายโง่กว่าชาวบ้านที่รู้จักแต่ความงามชนิดที่มีกิเลสหรือต้องอาศัยกิเลส  เดี๋ยวนี้เรารู้สึกกันแต่ความงามชนิดนี้ทั้งโลกด้วยซ้ำไป  ไอ้ความงามชนิดที่ตรงกันข้ามนี่คือความไม่มีกิเลสเป็นความงามไม่ค่อยจะสนใจ  มันงามเบื้องต้น มันงามท่ามกลาง มันงามเบื้องปลาย มันงามทั้งข้างนอก มันงามทั้งข้างใน มันงามทั้งที่ส่วนลึก มันงามที่ผิว  เพื่อให้มันมีความรู้สึกอย่างนั้น  ตัวเองก็ไม่อาจจะล้อตัวเองคือไม่อาจจะดูถูกตัวเอง  นี่ใครเขาเห็นเข้าก็ไม่อาจจะล้อ ไม่อาจจะดูหมิ่นดูถูก จะเคารพนับถือ  โลกนิยมความงามกันอยู่อย่างนี้เกือบจะถือ เกือบจะกล่าวได้ว่าเป็นสัญชาตญาณที่รู้สึกได้เองตามธรรมชาติ  ในตำนานก็ดีแม้ในพระบาลีก็ดี พระอรหันต์องค์หนึ่งเดินไปแล้วประชาชนเห็นกิริยา ท่าทาง รูปร่าง ภาวะของพระอรหันต์นั้น หรือเลื่อมใสทนอยู่ไม่ได้ต้องเข้ามาไต่ถามเข้ามาเกี่ยวข้อง  จนในที่สุดยอมรับนับถือธรรมะเป็นลูกศิษย์ลูกหาของพระอรหันต์องค์นั้นอย่างนี้มันก็มี  มันแสดงเห็นชัดแล้วว่าไอ้ความงามที่เนื้อที่ตัวที่สายตาที่อิริยาบถของพระอรหันต์องค์นั้นมันจับใจประชาชน  ก็เห็นได้ชัดว่าท่านแผ่พระศาสนาแผ่ธรรมะได้ด้วยความงาม  หรือว่าเพราะไม่ได้พูดกันเลย ไม่ได้พูดกันสักคำเดียว  แต่มันปรากฏมาในลักษณะที่งดงามแล้วเดินมา  แล้วประชาชนพอใจในความงามเข้าไปไต่ถามเพราะอยากจะรู้ว่าทำไมท่านจึงมีลักษณะอย่างนั้น  มันแสดงความสุขออกมาที่เนื้อที่ตัวที่ตาที่อะไรจนประชาชนอยากจะมีความสุขในรูปแบบนั้นบ้าง  จึงได้เข้าไปติดต่อขอเป็นพระสาวก ขอเป็นสาวกของท่าน  นี่อย่าเห็นว่าไอ้เรื่องของความงามแล้วมันจะเป็นเรื่องของกิเลสกันเสียหมด นั่นมันเรื่องของคนสมัยนี้ซึ่งเขานิยมกันแต่ความงามของกิเลส  แต่คนสมัยหนึ่งซึ่งมีจิตใจสูงมันก็เอาความสูงแห่งจิตใจนั่นแหละเป็นความงามแล้วอยู่เหนือการถูกล้อ  ใครจะไปล้อได้ใครจะไปล้อไหวผู้ที่มีลักษณะอย่างนี้  ทำไมต้องเอาเรื่องความงามมาพูดในการบรรยายครั้งที่สามนี้  ก็เพื่อจะให้สมบูรณ์นั่นเอง  เพื่อจะให้สมบูรณ์นั่นเองท่านช่วยคิดนึกดูเถิดว่า  ถ้าเราไม่ขึ้นมาถึงระดับความงามชนิดนี้แล้วธรรมะยังไม่สมบูรณ์  อาตมารู้สึกอย่างนี้ใครไม่เห็นด้วยก็ค้านก็ได้  จะนึกด่าก็ได้  อาตมามีความคิดอย่างนี้ว่ามันต้องมีความงามในด้านจิตด้านวิญญาณตามทางของธรรมะสูงสุด  มันไม่มีประโยชน์เฉพาะบุคคลนั้นมันมีประโยชน์แก่คนทั่วไปทั้งบ้านทั้งเมือง  ในเรื่องที่เล่ามาแล้วว่าไอ้ความงามของไอ้ท่าทางของผู้มีความสุขนั่นแหละเป็นการเผยแผ่ธรรมะที่ดี  ในพระบาลีจึงตำหนิติเตียนภิกษุผู้มีหน้าสยิ้ว  หน้าบูดบึ้งหน้าบอกบุญไม่รับ  แล้วมีลักษณะดูหมิ่นจองหองพองขนด้วย  ภิกษุหน้าสยิ้วไม่มีทางที่จะเป็นที่สนใจของประชาชนจะมาเข้าเกี่ยวข้องรับการศึกษา  แล้วมันก็จะเป็นเรื่องจริงอยู่ด้วยเหมือนกันนะ  ไอ้คนที่มีหน้าสยิ้วบึ้งบูดบอกบุญไม่รับคงเป็นอำนาจของกิเลส  ถ้ากิเลสมันหมดไปบุคคลนั้นคงจะเปลี่ยนหน้า  จากที่เป็นหน้าสยิ้วนั้นมาเป็นหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเยือกเย็น แสดงแววแห่งบุคคลผู้มีความสุขมีจิตใจดีน่ารักน่าไว้วางใจนี่ผลของธรรมะ นี่เข้าใจว่าโดยสัญชาตญาณแล้วสิ่งที่มีชีวิตคงจะชอบความงาม หมายถึงสิ่งที่มันรู้สึกได้  สำหรับคนน้อยเราไม่อาจจะรู้  แต่อาตมาสังเกตเห็นว่าสุนัขนี่ไก่นี่มันก็รู้จักชอบตัวที่สวยที่งาม  ตัวที่สวยที่งามจะเป็นที่ถูกใจของไอ้ตัวอื่นๆ เพราะว่าไอ้ความงามนั้นมันมีอำนาจหรือมีอะไรดึงดูดใจ  ไก่ก็ดีสุนัขก็ดีแมวก็ดีอะไรก็ดีตัวที่มีความสง่าผ่าเผยงดงามจะเป็นที่สนใจของตัวอื่นๆ เลยทำให้คิดไปว่าไอ้ความพอใจในความงามนี่เป็นสัญชาตญาณ  สัตว์ในป่าก็คงจะเป็นอย่างนี้  เอาละพอกันทีสำหรับที่จะบอกว่าไอ้ความงามนี่เป็นสิ่งที่มีความหมาย มีคุณค่ามีความหมายที่จะครอบงำจิตใจของผู้อื่น  และเป็นลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้น บุคคลที่มีความงามนั้นมันได้ประสบความสำเร็จมาไม่น้อยทีเดียว  ในการที่ชนะความไม่งามคือกิเลสและความทุกข์ ฉะนั้นถ้าใครเคยยึดมั่นถือมั่นว่าเรื่องงามเป็นเรื่องของกิเลสก็ขอให้เข้าใจเสียใหม่เถอะว่ามันคนละเรื่องกัน  ความงามของกิเลสนั้นก็มีจะมากเสียด้วยแต่ความงามของพระธรรมของธรรมะนี่ก็มี แม้ว่าจะหายากหาไม่ค่อยเห็นหาไม่ค่อยพบแต่มันก็มี  แล้วก็มีอิทธิพลมาก  ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่าอยากจะให้พุทธบริษัททุกคนมีความงาม  ถ้ามันงามทางเนื้อทางหนังทางธรรมชาติไม่ได้  ก็ขอให้มีความงามในทางจิตใจให้อยู่ในจิตใจในภายใน แล้วมันก็แสดงออกมาเองแหละที่จะเห็นความงามแบบนี้ปรากฏแก่สายตาคนที่แวดล้อมอยู่ทั่วๆไป  พระพุทธองค์ทรงกำชับให้แสดงธรรมะ  ประกาศพรหมจรรย์ให้งามทั้งเบื้องต้นทั้งท่ามกลางและเบื้องปลาย  ถ้าเราเอามาประพฤติได้ชีวิตของเราจะมีความงามทั้งเบื้องต้นทั้งท่ามกลางและเบื้องปลาย  ไอ้ที่จัดเป็นเบื้องต้นท่ามกลางเบื้องปลายนี่มันก็มีหลายความหมายเหมือนกัน  เช่นว่า  เมื่อยังเด็กแล้วก็กลางคนแล้วก็คนแก่นี่ก็เรียกว่าเบื้องต้นท่ามกลางเบื้องปลายก็ได้  ถ้ามันงามในทั้งสามสถาน  แล้วมันยังจะดูกันได้ที่ว่าไอ้ทางวัตถุทางกิริยามรรยาททางจิตใจ นี่มันก็เรียกว่าเบื้องต้นท่ามกลางเบื้องปลาย  หรือมันจะอยู่ในฐานะที่จะทำประโยชน์อย่างหยาบอย่างกลาง อย่างละเอียดอย่างต่ำหรืออย่างกลางหรืออย่างสูง มันก็ล้วนแต่มีความงามสามสถานด้วยกันทั้งนั้น  ใครจะไปบัญญัติเท่าที่อะไรอีกก็ได้แต่พอจะแจกได้ว่าเป็นอย่างต่ำอย่างกลางหรืออย่างสูงได้ด้วยกัน  ฉะนั้นขอให้นึกถึงข้อที่ว่ายังไงเสียเราจะมีความงามชนิดที่พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์คือความงามในทางธรรมที่เป็นผลของความสงบ ระงับ บริสุทธิ์ สะอาดจากกิเลสอยู่ด้วยกันทุกคน  ไอ้ความงามสำหรับกิเลสนั้นนะอย่าไปยุ่งกับมันนักมันจะกัดเอา  ทั้งคนที่มีความงามและคนที่ไปหลงใหลในความงาม  เดี๋ยวนี้ดูให้ดีเถอะไอ้หญิงสาวที่มีความงามนั้นแหละจะได้รับทุกข์รับภัยจากไอ้ความงามของตนเป็นมูลเหตุก็ได้ดูให้ดีๆ นี่ความงามอย่างนี้มันเป็นอันตราย เพราะมันเป็นที่ต้องการของคนมีกิเลส  ทีนี้ถ้าว่ามันเป็นความงามตามแบบของพระธรรมของพระอริยเจ้า  ไม่ใช่ความงามตามแบบกิเลสนะ  ความงามที่แสดงความสงบระงับอยู่ที่เนื้อที่ตัวมีธรรมะแสดงออกอยู่นี่ทุกคนจะพอใจแม้พวกอันธพาลก็จะพอใจ  แล้วจะไม่ข่มเหงรังแกหญิงสาวที่งดงามด้วยธรรมะ  ทั้งที่เขาพร้อมจะข่มเหงรังแกหญิงสาวที่งามอย่างกิเลส  นี่มันแยกกันได้อย่างนี้   ฉะนั้นขอให้พุทธบริษัทเราสนใจเรื่องความงามด้วยอำนาจของธรรมะก็จะชนะอุปสรรค ศัตรู หรือสิ่งเลวร้ายต่างๆ ได้  งามจนเสือไม่กล้ากัด  ว่าอย่างนี้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ  มีความงดงามจนสุนัขก็ไม่กัด  เข้าไปในป่าเสือก็ไม่กัด  ไอ้ความงามของธรรมะในใจที่แสดงออกมาทางภายนอกทุกๆ อิริยาบถ  นี่มันพูดแบบโฆษณาชวนเชื่ออยู่หน่อยเพื่อให้สนใจธรรมะ  เพราะว่าธรรมะจะให้ความงามชนิดนี้ซึ่งเป็นความงามที่ชนะจิตใจของคนทั้งปวง  ทั้งที่เป็นอันธพาลและไม่อันธพาล  ทีนี้ไอ้คำว่าความงามนี่มันก็ขยายออกไปได้  ไม่ใช่เฉพาะแต่ที่เนื้อที่ตัว  มันยังหมายถึงความงามของบ้านของเรือนของที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย  แม้ตลอดถึงบริเวณบ้านหรือลานบ้านมันก็เป็นที่ตั้งแห่งความงามเหมือนกัน  แล้วก็ยังจะเป็นที่ตั้งความงามทั้งอย่างกิเลสและอย่างมิใช่กิเลสก็ได้เหมือนกัน  จนบ้านหลังนี้มีความงามแต่ไม่ช่วยให้เกิดความรู้สึกทางกิเลส  กลับจะช่วยให้เกิดความรู้สึกความสงบต้องการความสงบ  ต้องการความเยือกเย็น  อยู่ในบริเวณบ้านในบ้านหลังนี้มันมีความงาม  แต่งามอย่างกิเลสเพื่อส่งเสริมกิเลสก็ได้แล้วแต่เจ้าของบ้านจะจัดมัน  แต่อาจจะจัดให้มีความงามที่มองเห็นแล้วมันหยุดมันเย็น  จิตใจมันหยุดมันเย็นมันเกลี้ยง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมือนกับป่าตามธรรมชาติที่เราไปปรับปรุงให้สะอาดให้เรียบร้อย  มันมีความงามตามแบบที่จะชวนให้หยุดให้เย็น  ผิดจากไอ้สวนที่ประดับตบแต่งด้วยมือของคนด้วยความคิดของกิเลส  นั้นป่านั้นหรืออุทยานนั้นเรียกอุทยานนั้นดีกว่ามันไม่ชวนไปในทางสงบเย็น  ความงามชนิดนั้นไม่ชวนไปในทางสงบเย็น ไม่เชื่อก็ลองเปรียบเทียบดูที่ว่าเราเข้าไปในสถานที่ที่เขาเรียกว่าสวยงามบางแห่งจิตใจไม่เย็นจิตใจกลับระรัว แล้วก็มาในที่อย่างนี้เช่นที่สวนโมกข์หรือที่ไหนก็ได้ที่มันมีความงามตามธรรมชาติ มันมีความรู้สึกเย็นในจิตใจ  มันรู้กันได้ตรงที่ว่าไอ้ความงามชนิดนี้มันหยุดการปรุงแห่งกิเลส  กิเลสปรุงจิตวุ่นวายร้อนระอุมาจากบ้าน  พอเข้ามาในที่ตรงนี้พอนั่งที่ตรงนี้มันหยุดระงับไปเอง  ไอ้คนๆ นั้น  เอ้, ทำไมรู้สึกสบายใจบอกไม่ถูกซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร  แต่อาตมาถือว่านั่นนะคือความงามในด้านจิตใจของธรรมะ  ทำให้คนหยุดความร้อนหยุดไอ้ความกระวนกระวาย มันเกิดความเย็นขึ้นในจิต  เขาจึงรู้สึกสบายใจ  มีคนหลายคนพอเดินผ่านตรงนี้มันพูดออกมาเองว่ารู้สึกสบายใจหรือรู้สึกสบายใจไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร  รู้สึกสบายใจชนิดที่บอกไม่ถูกอย่างนี้ก็มี  อาตมาก็เผอิญได้เคยได้ยินด้วยตนเองเพียงแต่ผ่านมาตรงนี้นั่งลงตรงนี้มันบอกว่าสบายใจซึ่งมันไม่เหมือนกับที่บ้าน  นี่คือความงามหรือค่าของความงามในด้านจิตด้านวิญญาณ มันจะได้เกิดขึ้นแล้วไอ้คนนั้นก็รู้สึกสบายใจ  ทั้งหมดนี้มันสรุปเป็นใจความได้ว่าถ้ามันมีธรรมะในภายในจะมีความงามชนิดนั้นอยู่ในภายใน  นี่เราจงสนใจในแง่ของความงามกันบ้างจะดีกว่า  เมื่อมีจิตใจสงบเย็นงดงามตามแบบของธรรมะมันก็คือการบรรลุธรรมะนั่นเอง ไอ้การบรรลุธรรมะนั่นเองทำให้เกิดความงดงามตามแบบของธรรมะ  แล้วมันจะมีการกระทำที่ถูกต้องในบ้านในเรือนนั้นโดยไม่ต้องมีสิ่งที่ส่งเสริมกิเลส  ไม่ต้องไปซื้อหาสิ่งที่ส่งเสริมกิเลสสมัยใหม่เข้ามาประดับบ้านซึ่งเดี๋ยวนี้กำลังนิยมกันมาก ไอ้ความเจริญด้วยสิ่งผลิตส่งเสริมกิเลสในโลกปัจจุบันนี่มันมีมาก  แล้วก็ไปดูเถอะไอ้คนที่ผลิตนั้นมันจะงามได้ถึงไหนมันจะงามได้อย่างไรเพราะเงินไม่พอใช้  ไอ้ของเหล่านั้นก็ไปซื้อมาด้วยผ่อนส่ง ซื้อโทรทัศน์ ซื้อตู้เย็น ซื้ออะไรมาด้วยเงินผ่อนส่งแล้วมันจะงามอย่างไรได้  เรามามีธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้หยุดให้เย็น ให้ยอม  ให้ยอมก็คือว่าไม่ต้องไปดิ้นรนขวนขวายอยากจะวิเศษวิโสให้เหนือใคร  อย่างมีเกียรติมีหน้ามีตาด้วยยอมในข้อที่ว่าเราจะไม่ไปแข่งขันกับเขา  ยอมแพ้บ้านนั้น  บ้านนั้นตบแต่งสวยงามจะเป็นวิมานอยู่แล้วเรายอมแพ้ เราจะปล่อยไปตามธรรมชาติ  งดงามด้วยต้นกล้วยต้นอ้อยนั่นแหละไปตามเรื่อง  มีบ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยหรือแม้แต่ยานพาหนะของพุทธบริษัทที่ถูกต้อง มันจึงไม่เหมือนเขา ไม่เหมือนเขาที่ไม่ใช่พุทธบริษัทหรือว่าที่ไม่มีธรรมะไม่ประกอบด้วยธรรมะ  ถ้าเราสังเกตสักหน่อยมันก็พอจะรู้ได้ว่าบ้านนี้มีจิตใจประกอบอยู่ด้วยธรรมะหรือไม่  ก็ดูที่นั่นแหละดูที่บ้านดูที่เรือนดูที่ไอ้ปรากฏการณ์ทั้งหลายในเขตบริเวณนั้น  ดูได้กระทั่งสุนัขและแมวที่มันอยู่ในบ้านนั้นล้วนแต่จะแสดงลักษณะให้เห็นได้ว่าเจ้าของมีธรรมะหรือไม่  นี่จึงอยากจะให้ระวังสังวรกันไว้บ้าง อย่าให้เนื้อตัวของเราบ้านเรือนของเรา ไอ้ทรัพย์สมบัติของเราแสดงความไม่มีธรรมะ  ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรักใคร่นับถือของบุคคลผู้ที่ได้พบได้เห็น  มันต้องถือว่ามันเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย  ถ้าเราเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้มีความสุขให้คนอื่นเห็นจะถือว่าได้บุญโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไร เราสอนธรรมะโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไร ทำให้ผู้อื่นสนใจอยากจะมีธรรมะอย่างนั้นบ้าง  เหมือนกับพระอรหันต์มีเขาเรียกว่ามีอินทรีย์คือมีหน้าตาท่าทางกิริยาน่าเลื่อมใส ท่านก็เผยแผ่ธรรมะได้ด้วยความงามอย่างนั้นของท่านโดยไม่ต้องลงทุนอะไร พวกเราต้องลงทุนบ้าๆ บอๆ  มีฉายหนังหลอกคนมีฉายสไลด์หลอกคนมีเครื่องขยายเสียงมีเพลง มีอะไรลงทุนเยอะแยะ  แล้วก็ได้ผลในทางชักจูงคนสู้พระอรหันต์อย่างที่ว่าสักองค์หนึ่งก็ไม่ได้ คือท่านมีไอ้ความงามที่เนื้อที่ตัวของท่านแสดง  ชนะจิตใจของผู้ได้พบเห็นเอาไปเป็นสาวกของท่านได้  เดี๋ยวนี้มันหลอกกันด้วยเรื่องแสง เรื่องเสียง เรื่องปัจจัยของกิเลส  มันก็ได้แต่คนกิเลสหนาแหละเข้ามาวัดเข้ามาเป็นสาวกในวัด  เพราะเราล่อเขามาด้วยเรื่องของกิเลสซึ่งมันมีความงามตามแบบของกิเลสควรจะถือว่ามันทำผิดแล้วมันเป็นอันตราย  ดังนั้นจึงมีความรู้สึกว่าขอให้พุทธบริษัททุกคนปรับปรุงจัดแจงเนื้อตัวร่างกายเนื้อตัวอิริยาบถเคลื่อนไหวอะไรด้วยนี่ ให้มีลักษณะความงามตามแบบของธรรมะ แล้วบ้านเรือนเครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างในเรือนมีความงดงามตามแบบของธรรมะ  กระทั่งบริเวณบ้านเรือนกระทั่งรั้วบ้านก็มีความงดงามตามแบบของธรรมะคือชวนให้เกิดความสงบเยือกเย็นในใจแก่ผู้ที่พบเห็น  มันก็กลายเป็นว่ามันอยู่ด้วยความเย็นเป็นสุขมีความงามของธรรมะอยู่  ก็เผยแผ่ธรรมะให้แก่บุคคลใดก็ตามที่เข้ามาสู่บ้านเรือนนี้ คอยรู้สึกอย่างนั้นไปด้วย  ที่พลอยรู้สึกนิยมชมชอบความเยือกเย็นเป็นสุขตามแบบของธรรมะคือความสงบไปด้วย ถ้าอย่างนี้ต้องถือว่าวิเศษเลยที่ช่วยพระพุทธเจ้าเผยแผ่พระธรรมของพระองค์ได้อย่างยิ่ง  ชักจูงคนให้มาสู่ธรรมะสนใจธรรมะได้อย่างแท้จริงเพราะความงามเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลายที่บุคคลนั้นๆ แสดงอยู่ทั้งที่เนื้อที่ตัวที่บ้านที่เรือนกระทั่งบริเวณบ้าน  ถ้าใครจะสนใจเอาเรื่องนี้ไปคิดไปนึกแล้วปฏิบัติอย่างนี้กันบ้างมันจะดีไหม  ให้บ้านเรือนเนื้อตัวทั้งหมดแสดงธรรมะนะคือความสงบเย็นซึ่งเป็นความงามและเป็นศิลปะตามแบบของธรรมะ  จนมันเย็นกันไปหมด  เจ้าของบ้านก็เย็นแขกมาพักก็เย็นอะไรก็เย็นใครเห็นก็เย็น  มองเข้าไปในบ้านนั้นแล้วจิตใจมันหยุดแล้วมันเย็น  อาตมาคิดว่าดีๆ กว่าที่มองเข้าไปในบ้านนั้นเห็นแต่ปัจจัยแห่งกิเลสคือมีจิตเร่าร้อนขึ้นมาทันที  นี่ช่วยคิดดูสิว่านี่มันมากเกินไปไหมหรือมันพอดีมันอยู่ในวิสัยที่เราจะจัดได้  ถ้าเห็นว่ามันถูกต้องตามหลักของธรรมะและอยู่ในวิสัยที่จะจัดได้แล้วก็ขอให้ไปปรับปรุงกันด้วยปรับปรุงเนื้อตัว บ้านเรือน เครื่องใช้ไม้สอย  แล้วบริเวณบ้านทั้งหมดให้เป็นสิ่งที่แสดงความเย็นในภายในเย็นในจิตใจมีความงามตามทางธรรมะ  แม้จะเป็นธรรมชาติตามธรรมชาติก็ยังเป็นแบบของธรรมะอยู่นั่นเอง  ที่มันผิดธรรมชาติแล้วมันจะเป็นไปในทางส่งเสริมกิเลสเสมอ  นี่พูดรู้สึกว่ามันเตลิดมามากเหมือนกันมันมาสู่เรื่องของความงามที่คนเขามักจะมองเห็นเป็นเรื่องของกิเลสไปเสียหมด  แต่อาตมาอยากจะให้ทุกคนรู้สึกคิดนึกรู้สึกแบ่งแยกแยกแยะออกจากกันระหว่างไอ้ความงามตามแบบของกิเลส  และความงามตามแบบของธรรมมะ จะเรียกว่ามันเป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือการดับกิเลสได้  หรือจะเรียกว่ามันเป็นผลแห่งการดับกิเลสได้แล้วก็ได้มันก็ดีทั้งนั้นแหละ มันช่วยให้มนุษย์นั้น มนุษย์เหล่านั้นมันอยู่ด้วยชีวิตเยือกเย็น  ชีวิตเยือกเย็นนั่นแหละคือนิพพาน  นิพพานคือชีวิตที่เยือกเย็น  แม้อยู่ในโลกๆ ชีวิตที่เยือกเย็นในโลกๆ นี่ก็เรียกว่านิพพานในระดับหนึ่ง  ไม่ต้องถึงนิพพานระดับสูงสุดของพระอรหันต์ที่สูงสุดเด็ดขาดไปถึงขนาดนั้นนะ เอากันที่นี่ในโลกนี้ถ้าทำให้ชีวิตมันเย็นได้มันก็สงเคราะห์กันลงในเรื่องของนิพพาน สำหรับประชาชนชาวบ้านทั้งหลายอาตมาอย่างจะบอกว่าคำว่า “นิพพาน” นั้นมันแปลว่าชีวิตที่เยือกเย็น แม้ยังไม่สิ้นกิเลสแต่กิเลสก็ไม่ปรากฏออกมาเผาผลาญให้เร่าร้อนเพราะฉะนั้นมันก็ยังเย็น ยังเย็นได้ ชีวิตของคนที่ยังมีกิเลสได้ก็เย็นได้เพราะเขาสามารถควบคุมไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นมา ไม่ให้ทำผิดเมื่อมีผัสสะและปรุงแต่งจนเกิดกิเลสขึ้นมา แม้ว่าเขายังเป็นปุถุชนยังมีทางที่จะเกิดกิเลสได้  แต่เขาทำไม่ให้มันเกิดมันไม่อาจจะเกิดมาได้ นี่ชีวิตของเขาก็ต้องเยือกเย็น  ซึ่งเขาจะเป็นอะไรก็ได้  เป็นชาวนาก็ได้  ชาวสวนก็ได้  พ่อค้าก็ได้ อะไรก็ได้  ถ้าเขาสามารถที่จะควบคุมการปรุงแต่งของจิตในขณะที่มีผัสสะได้  แล้วไอ้ชีวิตนี้ก็จะเยือกเย็นเป็นชีวิตนิพพาน  เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องการความงามละเอียดอ่อนเช่นนี้  ไม่ต้องการความเยือกเย็นอันละเอียดอ่อนเช่นนี้  เราเป็นทาสของกิเลสมากเกินไป  เราเลยต้องการความงามหรือความสุขตามแบบของกิเลส  มันก็ร้อนนะไม่ต้องสงสัยมันก็ต้องร้อนมันเป็นชีวิตร้อน  แม้จะร่ำรวยสวยงามเพียงใดมันก็เป็นชีวิตร้อน  แต่ถ้าควบคุมได้อย่างที่ว่านี้เป็นธรรมะแล้วเป็นชีวิตเย็น  ไม่ใช่มีเงินน้อยเป็นคนไม่ร่ำรวยอะไรไม่สวยอะไรแต่มันก็เป็นชีวิตเย็น  ดังนั้นชีวิตเย็นเป็นสิ่งที่หาได้สร้างได้โดยธรรมะ  สนใจธรรมะให้พอแล้วเอาไปใช้ควบคุมชีวิตนี้ให้เป็นชีวิตเย็นได้ อย่างที่ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าเย็นอกเย็นใจนั่นแหละถูกแล้วและเป็นธรรมะ  ไอ้เรื่องสวยงามเรื่องกิเลสนั่นนะมันไม่มีที่จะเย็นอกเย็นใจมันมีแต่เร่าร้อน  ควรจะรู้จักไว้และควบคุมให้ได้ให้เป็นชีวิตที่มีศิลปะของพระธรรม  ศิลปะหมายถึงความงาม  ความงามของพระธรรมเป็นชีวิตที่มีศิลปะของพระธรรม  จะเรียกว่าเป็นศิลปะของชาวพุทธก็ได้  ถ้ามันมีความงามทางจิตใจแม้จะแสดงออกด้วยวัตถุมันก็เป็นศิลปะของชาวพุทธได้  แต่เรื่องโบสถ์เรื่องวิหารเรื่องพระพุทธรูป เรื่องอะไรที่เขาเรียกกันว่า “ศิลปะชาวพุทธ” นั้นนะมันเป็นเรื่องผิวเผินเป็นเรื่องหลอก  ไม่ใช่ศิลปะที่พระพุทธเจ้าประสงค์ว่าเธอจงแสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์ให้งดงามเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลาย  ไอ้นั่นนะศิลปะของชาวพุทธที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้ช่วยกันเผยแผ่และให้เรามี  ดังนั้นเราจะสนองพระพุทธประสงค์ในส่วนลึกหรือส่วนที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้กันบ้างจะเป็นไรไป  ไปปรับปรุงเพื่อความงดงามอย่างที่กล่าวแล้วให้ชีวิตนี่ คำว่า “ชีวิต” นี่อาตมาก็ไม่ค่อยจะชอบพูดคำนี้นักหรอก  มันเป็นภาษานักประพันธ์ภาษาอะไรก็ไม่รู้แต่มันก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร  เราเรียกว่าชีวิตเหมือนที่เขาเรียกกันก็ได้  ให้ชีวิตนี้มีความงดงามด้วยศิลปะที่ออกมาจากธรรมะหรืออิทธิพลของธรรมะ  ทำให้เกิดความงามชนิดนี้ออกมาแล้วชีวิตนี้มีศิลปะชนิดนี้เป็นชีวิตที่งดงาม  นั่นแหละเป็นพรหมจรรย์อยู่ในตัวคือเป็นการประพฤติอันสูงสุดอันประเสริฐอยู่ในตัวของการที่จัดให้ชีวิตนี้มันงดงาม  นี่รวมไปถึงบ้านเรือนบริเวณบ้านคือทุกอย่างที่เกี่ยวข้องล้วนแต่มีความงามไปหมด  มันอยู่ในวิสัยที่ทำได้และตรงตามพระพุทธประสงค์ที่พุทธบริษัทอยู่ได้ด้วยความงามของพระธรรม  เอาล่ะทีนี้จะพูดถึงคำว่าศิลปะหรือชีวิต สองคำนี้ให้เป็นที่เข้าใจกันยิ่งขึ้นไปอีกสักหน่อย  ถ้าพูดว่าชีวิตมันยังกำกวมมันหมายถึงความไม่ตายเท่านั้นแหละ  แต่คำว่าชีวิตในที่นี้ก็หมายถึงแบบของการดำรงชีวิตระบอบแบบระบบ  ระบอบของการดำรงชีวิตอยู่นั่นแหละคือชีวิต  เราจึงไม่ได้หมายความถึงว่ายังไม่ตาย  แต่มันหมายความถึงการที่เราจับเรากระทำประพฤติด้วยกายวาจาใจ ให้เกิดระบบความเป็นอยู่ในบ้านเรือนในครอบครัวของเราเป็นชีวิตที่งดงามเพราะมีศิลปะอันเกิดจากธรรมะ  นี่คำว่า “ศิลปะ” นั่นนะก็เป็นคำที่กำกวมมากใช้กันหลายความหมาย   คำว่า “ศิลปะ” หมายถึง หลอกลวงก็มี  แต่ที่จริงไม่ใช่เรื่องหลอกลวงเป็นเรื่องของศิลปะ  แต่เดี๋ยวนี้มันมีเรื่องหลอกศิลปะหลอกเรียกว่าศิลปะเทียมหรือเทียมศิลปะอันนั้นแหละระวัง  มันหลอกลวงมันไม่ใช่ศิลปะ เช่นเดี๋ยวนี้เขาทำของปลอมขึ้นมาขาย  ของดีมันแพงมากคนก็ทำของปลอมขึ้นมาขาย นี่กลายเป็นของวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ หลอกลวงอย่างนี้มันก็มีนะ แต่เราไม่ต้องทำอย่างนั้น นี่ศิลปะนี้ก็หมายถึงไอ้ความจริงนะที่มันมีความงามโดยบริสุทธิ์ไม่หลอกลวงใครนะ  นี่มันก็ต่างจากไอ้ที่ไม่ใช่ศิลปะอยู่บางอย่าง  ถ้าเป็นศิลปะต้องมีความงามจับอกจับใจนะ  มันจึงประณีตมันจึงทำยาก  แล้วมันจึงมีปัญญาๆ เป็นองค์ประกอบ  แล้วก็มีความพากเพียรอย่างยิ่งอย่างขยันขันแข็งเป็นองค์ประกอบ  ไอ้วัตถุศิลปะทั้งหลายก็ต้องทำขึ้นมาด้วยสติปัญญาพิเศษนะ  แล้วก็ด้วยความพากเพียรอดทนขยันขันแข็งเป็นพิเศษ  มันจึงจะได้วัตถุศิลปะขึ้นมา  ชีวิตศิลปะนี้ก็อย่างเดียวกันแหละต้องมีสติปัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสติปัญญาแท้จริง  เป็นเรื่องของธรรมะมาประกอบกันเข้ากับชีวิตนี้  แล้วก็ต้องอดกลั้นอดทนด้วยความพากเพียรพยายามมันจึงจะสำเร็จ  มีความงามอยู่กับสติปัญญาและความพากเพียรอย่างยิ่งนั่นแหละคือศิลปะ  ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็คือวัตถุธรรมดา  ปล่อยให้มันขึ้นเองตามธรรมชาติรกรุงรังมันไม่ใช่ศิลปะ  คือมันไม่มีความงามแล้วมันไม่มีสติปัญญาแล้วมันไม่มีความพากเพียรอย่างยิ่งยวดอยู่ในนั้น  ถึงเราจะมีชีวิตศิลปะเราต้องมีปัญญาธรรมะนี้ให้พอ  แล้วก็มีความพากเพียรอันประณีตแล้วก็แข็งกล้าจึงจะสร้างศิลปะขึ้นมาได้  ผลก็คือความงามเต็มตามความหมาย  นี่พุทธบริษัทมีธรรมะมีสติปัญญาทางธรรมะแล้วมีความอดกลั้นอดทนเข้มแข็งประพฤติปฏิบัติกันจริงๆ  ผลก็จะออกมาเป็นศิลปะคือความงามเป็นธรรมะศิลปะอยู่ที่เนื้อที่ตัวที่กายที่วาจาที่ใจของบุคคลนั้น  อยู่ที่บ้านที่เรือนที่ทรัพย์สมบัติเครื่องใช้ไม้สอยของบุคคลนั้นเลยงามไปหมด  งามชนิดที่ไม่หลอกลวง  เอาละถ้าว่าสนใจก็คงจะได้ทำนะก็คงจะได้มีโอกาสทำด้วยศรัทธาเชื่อในเรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งที่ควรจะทำ  และยังตรงตามพระพุทธประสงค์เสียอีกว่าทำให้มันดีที่สุดให้มันเป็นไปเพื่อความสงบสุขอันแท้จริง  อย่าไปเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานหลอกๆ ลวงๆ นั้นเลย  เราเอากันที่ตรงจริงเป็นของจริง ตรงจริงเยือกเย็นจริงสงบจริงสะอาดจริงสว่างจริง  สะอาดสว่างสงบจริงที่นั่นแหละมีศิลปะสูงสุด  ทีนี้มันจะตั้งต้นกันอย่างไร  อาตมาคิดว่าจะต้องมีแผนการ  ครอบครัวนี้จะเป็นชีวิตมีชีวิตศิลปะต้องมีแผนการต้องมีหลักการให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าทำได้ควรจะทำอย่างมีแผนการให้เด็กๆ ลูกน้อยตาดำๆ ของเรามันมีความถูกต้องมีความงดงามมาตั้งแต่เล็กๆ  ตั้งแต่เด็กๆ อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ  ไอ้ลูกเด็กๆ เล็กๆ นั้นแหละสำคัญหรือสำคัญอย่างยิ่ง  แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยสนใจกันนี่  เขาหาว่าพ่อไปทำงานคนเดียวไม่พอกิน  แม่ก็ต้องออกไปทำงานด้วยแล้วก็ปล่อยลูกไว้ให้กับคนใช้ให้มันเลี้ยงอย่างนี้ไม่มีหวังหรอก  ไอ้เด็กตาดำๆ นั้นจะเป็นเด็กที่มีศิลปะแห่งธรรมะไปได้  ก็ไปจ้างไอ้สถานที่รับเลี้ยงเด็กได้ยินมาว่าเรื่องจริงนะ  สถานที่รับเลี้ยงเด็กของคนบางคนของครอบครัว ครอบครัวนายทหารครอบครัวเป็นทหารเมียรับจ้างเลี้ยงเด็กอย่างนี้ก็มี  เขาก็ทำคอกก็เหมือนกับคอกสัตว์ขังเด็กตัวเล็กๆ นี่  เพราะแม่พ่อไม่มีโอกาสเลี้ยง  ไว้ในคอกแล้วให้มันกินเหล้าจนไอ้ทารกนี้มึนเมาสลบไสลนอนอยู่ในคอก  แล้วคุณคิดดูสิว่าไอ้เด็กนี้จะเป็นอย่างไรล่ะ  มันจะใหญ่โตขึ้นมาเป็นผู้มีธรรมะมีความงดงามมีศิลปะได้อย่างไรกัน  พ่อแม่ควรจะนึกถึงเรื่องนี้อย่าปล่อยให้ลูกเป็นอย่างนี้  ถ้าแม่จะต้องหาลำไพ่ช่วยพ่อบ้างก็อย่าต้องทิ้งลูกไป ก็หางานทำที่มันจะมีโอกาสดูแลลูกได้อย่างดีที่สุดด้วยนี่ก็เป็นศิลปะเหมือนกัน ศิลปะที่จะมีลูกแล้วเลี้ยงลูกให้มันปลอดภัย  เดี๋ยวนี้เราต้องการว่าให้ลูกเล็กๆ ตาดำๆ เจริญขึ้นมาอย่างถูกต้องคือมีความงดงามตามแบบของธรรมะ  ฉะนั้นถ้าให้ดีเมื่อแม่ตั้งครรภ์ควรจะมีความงดงามของผู้ตั้งครรภ์แล้วลูกในท้องมันจะได้รับอิทธิพลบ้าง  มันจะออกมาเป็นลูกที่มีอะไรดีกว่าธรรมดา  เรื่องราวในพระคัมภีร์ก็มีอยู่นะพอรู้ว่าตั้งครรภ์เท่านั้นแหละเขาก็ประคบประงมเป็นพิเศษถือศีลอุโบสถ  เมื่อภรรยาของพระมหาจักรพรรดิรู้ว่าตั้งครรภ์นั่นนะภรรยาคนนั้นจะต้องได้รับการประคบประหงมเป็นพิเศษ  เช่นอย่างน้อยก็ถือศีลอุโบสถ  เมื่อพระนางสิริมหามายามารดาของเจ้าชายสิทธัตถะรู้ว่าตั้งครรภ์ก็รักษาศีลอุโบสถทันทีเหมือนกัน แล้วประพฤติวัตรปฏิบัติอะไรอีกมากสำหรับผู้ตั้งครรภ์  บริหารครรภ์อย่างดีที่สุดเพื่อให้ลูกดีมาแต่ในท้อง  อย่างน้อยมันก็ต้องมีสุขภาพอนามัยดี  ระบบอะไรต่างๆ ถูกต้องดีหมดนะ  เด็กในท้องนั้นนะออกมาเป็นเด็กที่บริบูรณ์ด้วยสุขภาพอนามัย  นี่ถ้าจะให้ดีจริงต้องให้มันงดงามมาแต่ในท้องอย่างนี้  เกิดออกมาแล้วก็อบรมให้ดีให้มีความถูกต้องแก่ทารก  แล้วเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างที่เรียกว่ามีความถูกต้องมีความงดงามเป็นศิลปะเต็มเนื้อเต็มตัว  นี่พ่อแม่ต้องจัดให้  พ่อแม่ต้องจัดให้  ความปลอดภัยความสมบูรณ์ด้วยสุขภาพมันก็เป็นความงามทางร่างกาย  นี่ทางจิตใจอบรมดีจนเป็นความงามทางจิตใจให้เด็กเขาเฉลียวฉลาดถูกต้องตามหลักของธรรมะ  อย่าให้หลงประพฤติไสยศาสตร์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก  เหมือนที่ได้กล่าวแล้วเมื่อตอนกลางวันไอ้คำพูดเรื่องไสยศาสตร์เมื่อตอนกลางวัน  เราจะให้ลูกเด็กๆ ทารกของเรามีความรู้ถูกต้องเป็นแบบพุทธศาสตร์  อย่าให้มีไสยศาสตร์ไหว้ของศักดิ์สิทธิ์แล้วก็หวังจะได้ผลตอบแทนเป็นกำไรเกินควรอย่างนี้  มันก็คือการฝังเด็กทารกนั้นลงไปในไสยศาสตร์อย่างนี้ไม่งามแล้ว เพราะมันจะเป็นมิจฉาทิฐิโดยไม่รู้สึกตัวซะแล้ว  ถ้าจะให้เขาไหว้อะไรเคารพอะไรก็ต้องให้เขารู้โดยเหตุผล  หรือว่าครั้งแรกมันทำไม่ได้ ครั้งต่อมาต้องทำให้ได้  ให้เขามีความรู้สึกที่ถูกต้องต่อสิ่งแวดล้อมทุกๆ สิ่งเลย  นับตั้งแต่พ่อแม่เรื่อยไปจนถึงคนทุกคน  พระเจ้าพระสงฆ์  วัดวาอาราม  พระศาสนา  ถ้าพาไปวัดก็ให้เข้าใจวัดว่าเป็นอย่างไร  อย่าให้หลงใหลในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และเหตุผลเรื่องงมงายมากนัก  แล้วก็ค่อยแก้ไขไม่มีงมงายหลงอยู่เลยให้เขาเป็นพุทธศาสตร์ไม่ต้องอาศัยความศักดิ์สิทธิ์  แต่อาศัยความถูกต้องของสติปัญญา  นี่สติปัญญาจะช่วยโดยไม่ต้องมีความศักดิ์สิทธิ์มันจะช่วยมันเองโดยไม่ต้องร้องขอว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงช่วย  ที่จริงถ้ามันศักดิ์สิทธิ์จริงมันก็คงจะช่วยไม่ต้องร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย  เราจะให้ไอ้ทารกของเรามีความงามทางกายทางจิตทางวิญญาณเติบโตขึ้นมา  ทีนี้เขาก็จะเป็นวัยรุ่นเป็นเด็กวัยรุ่นก็ต้องเพิ่มเติมให้อีกในวิชาความรู้ในหลักวิธีประพฤติปฏิบัติ  ให้รู้จักชีวิตในแง่ของศิลปะคือความงามอันบริสุทธิ์มากขึ้น  เป็นวัยรุ่นหญิงวัยรุ่นชายก็ตามที่มีความถูกต้องมีความบริสุทธิ์สะอาดผุดผ่อง  น่ารักน่าพอใจให้เขาบังคับจิตได้มากขึ้น  เด็กวัยรุ่นนี่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการบังคับจิต  ให้เด็กวัยรุ่นรู้จักการบังคับจิตให้มากขึ้นเถอะ  อย่าตามใจกิเลสมากขึ้น  ไอ้ที่ว่าโตกันทุกวันนั่นแหละอย่าได้ตามใจกิเลสตามที่มันโตขึ้นทุกวัน  แต่บังคับกิเลสให้ได้ให้มากยิ่งขึ้นตามที่มันโตขึ้นทุกวัน  ให้ลูกหลานของเรายิ่งโตขึ้นมาเท่าไรยิ่งบังคับจิตได้บังคับกิเลสได้บังคับความรู้สึกได้  แล้วสอนให้เขารู้จักความงดงามอย่างที่ว่านี่ งดงามตามแบบนี้  ให้เขาอยู่ในร่องรอยของสัมมาทิฐิ  ให้เด็กของเรารู้จักความงามที่ถูกต้องรู้จักความดีที่ถูกต้องที่ไม่เป็นไสยศาสตร์  แล้วเขาก็จะเป็นสัมมาทิฐิที่พอตัวสำหรับจะขยายออกไปเป็นสัมมาทิฐิที่สูงสุดได้ในโอกาสข้างหน้า  นี่ก็เรียกว่าจิตใจของเขาก็งดงามร่างกายของเขาก็งดงามสติปัญญาของเขาก็งดงาม  เราเลยได้ลูกหลานที่งดงามเป็นศิลปะของพระธรรมสำหรับจะเจริญงอกงามไปในอนาคต  ทีนี้เมื่อมาถึงระยะที่เป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว  มันถึงขีดเต็มขีดของความเจริญตอนนี้ก็ยิ่งสำคัญมาก  เพื่อให้มีความงดงามรู้จักความงดงามที่ถูกต้อง  อย่าให้กิเลสมาเอาตัวไปแล้วก็ไปหลงบูชากิเลส  เอาความงดงามของกิเลสเป็นหลักแล้วก็จะต้องได้คนที่สูญเสียความเป็นพุทธบริษัท  จะทำผิดจะเลวร้ายจะต้องนั่งลงร้องไห้หรือไปกระโดดน้ำตาย  นี่มันไม่มีชีวิตที่เป็นความงดงามตามแบบของพระธรรม  ให้รู้จักเรื่องกิเลสว่าความรักชนิดไหนเป็นความรักอย่างกิเลส  ไอ้ความรักชนิดไหนเป็นความรักอย่างธรรมะ  ให้รู้จักรักบิดามารดาครูบาอาจารย์ รู้จักรักพี่รักน้องอย่างที่ไม่เป็นกิเลส  นี่ดูเถอะมันจะมีความงามสักเท่าไร  หรือลูกสาวลูกชายนั้นนะมันจะมีความงามสักเท่าไร  สามารถจะทำตัวให้เขารักไม่ใช่เราจะต้องไปรักเขาไปของ้อไปรักเขาเหมือนที่ทำกันโดยมาก  เราทำตัวให้เขามารักเราไม่ใช่เราต้องไปรักเขาถึงเรียกว่ามีธรรมะพอ  ก็เลยไม่มีศิลปะแห่งการยั่วยวนไม่ต้องย้อมแมวขายเพราะว่ามันมีศิลปะของธรรมะมีความงามของธรรมะ  เราก็ไม่ต้องกลัว  นี่หนุ่มสาวชนิดนี้จะไปเป็นเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดีที่ปลอดภัย แล้วในที่สุดก็เป็นอย่างนั้นจริง  เป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดีให้กำเนิดทายาทที่ดี  เข้าแบบเข้าหลักเข้าเกณฑ์ของพระธรรมว่าบิดามารดาที่ดี  บิดามารดาที่ดีให้กำเนิดบุตรธิดามาดีเป็นครูบาอาจารย์ที่แท้จริงของลูก  จนกระทั่งได้เป็นอาหุเนยบุคคล (นาทีที่ 1:15:43)หรือเป็นพระอรหันต์ของลูก  บิดามารดาที่แท้จริงตามหลักพระบาลีท่านวางไว้อย่างนั้น  บิดามารดาเป็นอาจารย์คนแรกเป็นครูคนแรกของบุตร  ก็เป็นเรื่อยๆ มาเจริญด้วยกันทั้งสองฝ่ายจนเป็นปูชนียบุคคลของบุตร  เป็นปาหุเนยบุคคล (นาทีที่ 1:16:10) อาหุไนยบุคคลของบุตร  จนกระทั่งข้อสุดท้ายเป็นพระอรหันต์ของบุตร  เป็นที่ให้เกิดบุญกุศลแก่บุตรท่านใช้คำว่าอย่างนั้น  ให้บิดามารดานี่ดำรงตนจนอยู่ในฐานะเป็นพระอรหันต์ของบุตร คือให้บุตรแสวงหาบุญกุศลได้จากบิดามารดานั่นเอง  จากการประพฤติปฏิบัติต่อบิดามารดานั่นเอง  ทำให้บุตรได้บุญอย่างยิ่งแล้วบิดามารดานั้นก็พลอยได้บุญได้กุศลได้ความสุขได้ชีวิตเยือกเย็นเพราะมีลูกดี  ชีวิตนิพพานชีวิตเยือกเย็นเพราะมีลูกดี เพราะมีลูกดีไม่มีที่ติไม่มีบกพร่อง  แล้วบิดามารดาก็จะได้นิพพานคือชีวิตที่เยือกเย็น  มันให้ผลคุ้มกันอย่างนี้ไอ้บุตรก็มีความงดงามอย่างยิ่งบิดามารดาก็มีความงดงามอย่างยิ่ง  มันก็งดงามไปหมดทั้งครอบครัวทั้งบ้านทั้งเรือนทั้งสกุลเลย  นี่ธรรมะให้เกิดความงดงามเป็นวงศ์สกุลที่งดงามแล้วก็จะได้บุตรที่จะสืบต่อกิจกรรมของสกุล  สกุลนี่ต้องการจะทำอะไรพ่อแม่ตายลงไป  บุตรก็สืบต่อได้ตามความหมายตามความมุ่งหมาย  ไอ้งานที่ค้างอยู่อย่างไรลูกมันก็ทำต่อจนถึงสูงสุดจุดหมายปลายทาง  แต่อาตมาอยากจะให้มองอีกด้านหนึ่งว่ามนุษย์ทุกคนมีหน้าที่จะต้องบรรลุนิพพานต้องเดินไปสู่นิพพาน  ถ้าพ่อแม่ไปถึงไม่ได้ก็ขอให้จัดให้ลูกเดินไปถึงให้จนได้  ถ้าอบรมลูกมาอย่างถูกต้องดีที่สุดอย่างที่กล่าวมาแล้วไม่ต้องสงสัย  ไอ้ลูกหลานนี่มันจะช่วยกันเดินไปจนถึงนิพพาน  ให้บิดามารดาก็พลอยได้รับเกียรติว่ามีการบรรลุถึงธรรมะอันสูงสุดที่เป็นปลายทาง โดยบุตรช่วยเดินต่อนี่มันไม่สูงไปหรอกมันไม่ใช่เพ้อเจ้อ มันไม่ใช่สูงเกินไปสำหรับมนุษย์ เว้นเสียแต่ว่ามนุษย์มันไม่รู้เรื่องมันไม่ต้องการมันไม่เอา  ก็ดูสิใครบ้างบิดามารดาคนไหนที่เตรียมลูกของตนไว้สำหรับเดินทางต่อไปเพื่อนิพพาน  มันจะหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้มันหวังให้ลูกให้หลานไปทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องโลกๆ ไปหมด  ไม่เห็นดีไปกว่าบิดามารดา นี่เขาเรียกว่ามันรักด้วยกิเลสมันรักด้วยโมหะมันรักด้วยอวิชชา  แล้วลูกหลานมันจะไปได้ไกลกี่มากน้อย  มันก็ต้องพัวพันกันอยู่ที่นี่เรียกว่าไม่งดงาม  ทีนี้มันมาถึงตอนสุดท้ายแล้วว่าบิดามารดาทำมาดีแล้วลูกหลานก็เป็นไปได้  นี่ขอให้บิดามารดานั้นดำเนินมาอีกขั้นหนึ่งคือเป็นคนเฒ่าคนแก่เป็นปูชนียบุคคลในสกุลนั้นๆ  บิดามารดาที่เดินมาอย่างถูกต้องดีแล้วเดี๋ยวนี้อายุแก่หง่อมแล้วจะลุกก็ไม่ไหวแล้วก็ต้องนั่งกินนอนกิน  แล้วก็ยังขอให้เขาเป็นแสงสว่างของครอบครัวเพราะเขาเกิดมานานรู้อะไรมากรู้อะไรดี  คนแก่เหล่านี้สามารถจะตอบคำถามที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในครอบครัวในวงศ์ตระกูล  มันก็เลยเป็นนักปราชญ์ก็ได้ประจำครอบครัวหรือจะเป็นพระพุทธเจ้าซะเลยก็ได้ประจำครอบครัว  ถ้าคนแก่คนไหนดำเนินมาได้ถึงขนาดนี้แล้วก็เรียกว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแล้วมีความงามถึงที่สุดแล้ว คนแก่นั้นแก่แต่ร่างกายจิตใจยิ่งจะหนุ่มจะยิ่งรุ่งเรืองด้วยสติปัญญาความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร  อะไรเป็นอะไรเป็นแสงสว่างให้แก่คนทุกคนในครอบครัวนั้นในบ้านเรือนนั้น  นี่คนแก่อย่างนี้หาได้ที่ไหนบ้างมันไม่หงำเงอะเลอะเลือนมันไม่ฟั่นเฟือน แต่มันมีสติปัญญาอย่างยิ่งเรื่องก็จบไป  พอมันจบลงด้วยความเป็นแสงสว่างของบ้านเรือนของครอบครัว  นี่เรียกว่าครอบครัวนี้งดงามอย่างยิ่ง  ครอบครัวนี้งดงามเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย  สมกับที่เรียกว่าเป็นครอบครัวของพุทธบริษัท  อาตมารู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรจะรู้จึงได้พูดให้คนแก่จบชีวิตลงด้วยความเป็นนักปราชญ์บ้าง  เป็นพระอรหันต์บ้าง  เป็นพระพุทธเจ้าบ้างของครอบครัว  เขาควรจะทำได้ดีที่สุดอย่างไรเขาทำหมดแล้ว  แล้วเหลือจากนั้นเราก็สร้างอนุสาวรีย์หรือฮวงซุ้ยสวยๆ ให้เขา  นี่จบจบกันตรงนี้มันงามจนกระทั่งมีฮวงซุ้ย  มันงามตั้งแต่มันอยู่ในท้องในครรภ์ของมารดามันออกมามันงดงามเป็นเด็กงดงาม  แล้วก็เป็นวัยรุ่นที่งดงาม เป็นหนุ่มสาวที่งดงามเป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่งดงามเป็นคนแก่คนเฒ่าที่งดงาม  แล้วมันก็มีฮวงซุ้ยที่งดงาม  ไม่ต้องลงทุนมากไม่กี่สตางค์ไม่ต้องก่อด้วยหินไม่ต้องก่อด้วยของแพงๆ หินไม่กี่ก้อนก็ได้  เอามาก่อขึ้นเถอะจะเป็นฮวงซุ้ยที่งดงามที่งดงามเหลือประมาณ  งามยิ่งกว่าฮวงซุ้ยที่เขาต้องใช้เงินเป็นล้านๆ มันไม่งดงามเท่าว่าไอ้ป้ายนั้นมันมีกระดูกของผู้ที่งดงามมาตั้งแต่ต้นจนปลาย ความงดงามมีได้เพราะว่ามันมีผู้ที่มีคุณธรรมสูงสุดงดงามที่สุด  คนเรามันโง่มันงามด้วยว่ามันมีไอ้สีสันวรรณะเป็นปัจจัยแก่กิเลส  แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันงามเพราะว่าตรงนั้นมันมีคนดี เช่นว่า  ป่านี้อุทยานนี้จะงดงามไม่ใช่เพราะมีสิ่งก่อสร้างที่งดงาม  แต่ว่ามันงดงามเพราะว่ามันมีคนดีมันเกิดเถียงขึ้นมาในหมู่ภิกษุว่าป่า  (สิงห์ สาละวัน นาทีที่ 1:24:22:0) นี่งามด้วยอะไร  คนนั้นมันบอกว่าบางองค์ก็บอกว่างามด้วยต้นไม้งามด้วยสัตว์งามด้วยหญ้างามด้วยอะไรต่างๆ  พระพุทธเจ้าท่านตัดบทว่ามันงามด้วยมีพระอรหันต์อาศัยอยู่ในป่านั้น  ไอ้งดงามตามธรรมชาตินั้นไม่มีความหมาย  แต่ป่านั้นงดงามเพราะมีพระอรหันต์อาศัยอยู่  ดังนั้นเราอย่าไปสดใจเรื่องมีสถานที่งดงามธรรมชาติงดงามกันให้มากนัก  ให้สนใจว่าในที่นั้นนะมันมีบุคคลที่งดงามอยู่หรือหาไม่ ถ้ามีพระอรหันต์คือบุคคลที่งดงามที่สุดอยู่ในที่ไหนที่นั้นก็งดงาม  ไปอยู่บ้านไหนบ้านนั้นก็งดงามอยู่ในเรือกสวนไหนสวนนั้นก็งดงาม  อยู่ที่ป่าไหนป่านั้นก็งดงามอยู่ที่ภูเขาไหนภูเขานั้นก็งดงาม เพราะมันมีคนที่งดงามที่สุดคือพระอรหันต์  นี่ทั้งหมดนี้เรารวมเรียกว่าศิลปะของธรรมะ  มีความงดงามอย่างยิ่ง  ถ้าเรียกว่าศิลปะแล้วต้องงดงามไม่ฉะนั้นก็ไม่ใช่ศิลป์นะ  ถ้ามันไม่งดงามไม่ใช่ศิลป์แล้วถ้าศิลป์ที่ถูกต้อง ต้องไม่ส่งเสริมกิเลส  ต้องส่งเสริมความสงบเย็นเป็นชีวิตเย็น  แล้วเป็นของที่จะไม่ได้ง่ายๆ สำหรับคนโง่คนโง่ทำไม่ได้ต้องคนฉลาดต้องรู้ต้องใช้ความพากเพียร พากเพียรอย่างยิ่ง  เหมือนกับเขาจะนั่งแกะไอ้วัตถุศิลปะขึ้นมาสักชิ้น  จะแกะหยกก็ดีจะแกะไม้ก็ดีไปดูเถอะดูผลที่เขาทำเสร็จแล้ว  มันต้องใช้ความพากเพียรสักเท่าไรนั่นคือความหมายของศิลปะล่ะ มีความรู้มีความเฉลียวฉลาดมากสามารถมีความอดกลั้นอดทนพากเพียรมากสำเร็จรูปออกมาเป็นศิลปะ  ดังนั้นธรรมะก็อยู่ในฐานะเป็นศิลปะเพราะฉะนั้นมันจึงไม่ง่ายนัก ว่าไม่ง่ายด้วยว่าอ้อนวอนไปทำบุญทำทานแล้วอ้อนวอน  แล้วอธิษฐานแล้วจะได้อย่างนี้มันไม่มีทางหรอก มันไม่ง่ายถึงขนาดนั้น  หรือว่าจะไปดูฤกษ์ดูยามรดน้ำมนต์ทำพิธีรีตองแล้วจะได้อย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้  จะไม่ได้ของจริงที่มีความงดงามขนาดนี้  จึงมาพูดให้เห็นว่าธรรมะนั้นแหละเป็นความงามเป็นศิลปะที่มีความงาม  เราพูดเรื่องธรรมะธรรมดาๆ กันมามากมายแล้วขอให้ขึ้นมาถึงยอดสุดคือธรรมะที่แสดงด้วยความงามหรือสิ่งที่เรียกว่าศิลปะ  ทีนี้ก็จะบอกกันโดยสรุปว่าไม่มีศิลปะไหนที่จะงามเท่ากับดับทุกข์ได้  การดับทุกข์ได้นั่นแหละคือศิลปะที่งดงามที่สุด  หรือจะบอกให้ชัดลงไปกว่านั้นก็บอกว่าไอ้ที่ควบคุมผัสสะได้นั่นแหละคือยอดของศิลปะ  ผู้ใดควบคุมผัสสะไม่ให้เกิดเป็นอวิชชาเป็นทุกข์ขึ้นมาได้นั่นแหละคือยอดสุดของศิลปะ ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายว่าพวกแกจงไปแสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์ให้งดงามเบื้องต้นท่ามกลางและเบื้องปลาย  คนที่ได้รับคำสั่งสอนนั่นนะก็ดับทุกข์ได้คือเขาควบคุมผัสสะได้  ความทุกข์ไม่อาจจะเกิดขึ้นมานั่นล่ะคือยอดสุดของศิลปะ  ใช้สติปัญญาสูงสุดใช้ความพากเพียรสูงสุดแล้วมันก็มีความงามสูงสุดจริงเหมือนกัน  ใครเอาชนะกิเลสได้คนนั้นเป็นยอดของศิลปิน  พ่อบ้านแม่เรือนทั้งหลายมันก็เอาชนะไอ้ปัญหาต่างๆ ของบ้านเรือนเสียให้ได้  แล้วมันเต็มไปด้วยความงดงามเรื่องมันก็จบ  เพราะว่ามันไม่ใช่เพียงแต่ดีและมีความสุขเท่านั้นนะ  ไม่พอ ไม่พอที่จะเรียกว่ายอดสุด  ถ้ายอดสุดต้องมีความงามด้วย  แต่พูดแล้วมันก็คล้ายกับตลบไปตลบมาเพราะว่าในความไม่มีทุกข์เป็นความงามสูงสุดอยู่แล้ว  เราต้องการให้มันมีแสดงความงามด้วย  ไอ้ธรรมดาสามัญยังไม่ยก ไม่ยกให้เราเป็นยอดสุด  ต้องดับทุกข์ได้ชนิดที่มีความงามที่สุดอยู่ในนั้นด้วย  แล้วนั่นมันจะฉลาดหรือมันจะเรียบร้อยรวดเร็วถึงที่สุดหรือเด็ดขาด  ดับทุกข์ชนิดนี้มีความงามของพระธรรมถึงระดับสูงสุด  ดังนั้นขอให้รักษาศีลให้ดีให้มีความงามให้ทำสมาธิให้ดีให้มีความงามให้ทำวิปัสสนาให้ดีให้มีความงาม  ให้เป็นอยู่อย่างดับทุกข์ไม่มีทุกข์ชนิดที่มีความงาม ไม่เอาอย่างธรรมดาๆ จะเอาอย่างที่มีความงาม  นี่คือเรื่องสุดท้ายที่พูดในวันนี้ก็คือว่าเราจะอยู่เหนือการถูกล้อ  ไม่ยอมให้ใครมาล้อได้จะอยู่เหนือการถูกล้อโดยประการทั้งปวง  เราประพฤติปฏิบัติจนดับทุกข์ได้จนมีความงามจับตาจับใจใครมาเห็นแล้วมันล้อไม่ลงมันยกมือไหว้เลยนี่จึงจะเรียกว่าจบเรื่องอยู่เหนือการถูกล้อ ชีวิตนี้ไม่อาจจะถูกล้ออีกต่อไปอายุนี่ไม่อาจจะถูกล้ออีกต่อไป  เพราะว่าได้มาถึงจุดสูงสุดของความมีชีวิตหรือความมีอายุ  ซึ่งอาตมาก็เห็นว่ามันควรจะสุดหรือจบได้แล้วสำหรับการบรรยายเรื่องล้ออายุสำหรับคราวนี้  ขอให้แสดงความหวัง  ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงความหวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะพยุงหรือยกชีวิตหรืออายุของตนให้สูงขึ้นไป ให้สูงขึ้นไปจนอยู่เหนือการถูกล้อ  ตัวเองก็ล้อตัวเองไม่ได้ให้ใครมาดูแล้วก็ล้อไม่ได้  ให้พวกเทวดาผีสางที่มีหูทิพย์ตาทิพย์มาช่วยกันดูมันก็ไม่มีทางที่จะล้อบุคคลคนนี้ได้  ไม่มีใครอาจจะล้อได้มีแต่จะยกย่องสรรเสริญเคารพบูชา  และถือเอาเป็นตัวอย่างเหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกนี่ก็เพื่อจะเป็นตัวอย่างสำหรับมนุษย์ที่ได้อยู่ในโลกอย่างถูกต้อง  เพราะมีพระอรหันต์เป็นแบบอย่างเป็นนางแบบที่แสดงให้ดูอยู่ทุกวัน ทุกวัน  เอาล่ะเป็นอันว่าธรรมะบรรยายในภาคค่ำเป็นครั้งที่สามนี้ก็พอสมควรแก่เวลา  เขาจะได้จัดให้พระภิกษุที่เป็นครูบาอาจารย์ดำเนินงานเผยแผ่ธรรมะหรือพระศาสนาที่มานั่งรวมกันอยู่มากนี่ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น  หรือถ้าต้องการก็จะได้ปรับปรุงความคิดเห็นที่ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎบัตรของพุทธบริษัทนี่  คืนนี้จะมีเวลาเหลือพอที่จะอภิปรายกันได้บ้างหรือไม่สำหรับผู้ที่ไม่ได้มาร่วมในวันวิสาขะ ๕๐ ปี  ทั้งภิกษุสามเณรและทั้งอุบาสกอุบาสิกาที่ไม่ได้มาร่วมเมื่อคราววิสาขะครบ ๕๐ ปีสวนโมกข์ถ้าสนใจเราก็จะได้ทำความเข้าใจอภิปรายกฎบัตรของพุทธบริษัทเท่าที่เวลาจะอำนวย  อาตมาขอยุติธรรมะบรรยายตอนที่ ๓ เกี่ยวกับการล้ออายุไว้เพียงเท่านี้

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service