แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เริ่มนาทีที่ 3.29) เพื่อนสหธรรมมิตรและท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ธรรมะบรรยายในลักษณะที่เป็นการล้ออายุสืบต่อไปในภาคบ่ายนี้ มีอยู่ดังต่อไปนี้
การล้อนี่ขอให้มองดูให้รอบคอบว่ามันเป็นการล้อใครโดยใคร อาตมารู้สึกว่าไอ้ข้อที่ทายกทายิกาไม่รู้ธรรมะ มันก็เป็นเรื่องที่ควรจะล้อผู้ไม่สอนธรรมะหรือผู้ไม่ทำหน้าที่ของตนมากกว่าที่จะไปล้อผู้ที่ไม่รู้ เขาไม่รู้เพราะว่าไม่มีการสอน ที่นี่ก็ไม่มีการสอนเพราะมีผู้ที่บกพร่องไม่ทำหน้าที่ของตน แต่บางเรื่องมันไปไกลกว่านั้น ทั้งที่มีการสอนหรือมีการฟังแล้วฟังอีกนั้นก็ยังไม่มีการรู้เรื่องสิ่งที่ควรจะรู้อยู่นั่นเอง ขอให้สังเกตดูว่าเราได้พูดเรื่องอะไรกันแล้วกันอีกซ้ำๆซากๆ ทุกๆปีก็ว่าได้ ก็ยังไม่มีคนเข้าใจเรื่องนั้นๆ แม้ที่สุดแต่เรื่องที่ถือว่าเบื้องต้นที่สุดเช่นเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยากจะกล่าวทบทวนหรือคาบเกี่ยวกับเรื่องการบรรยายภาคเช้าว่า เรายังไม่รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริงอยู่นั่นเอง เราก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันในแต่ลักษณะที่เป็นไสยศาสตร์ พูดแล้วมันก็น่าหัวหรือไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าว่าท่านทั้งหลายมีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในรูปแบบของไสยศาสตร์ ใครจะเชื่อบ้าง แล้วมีบางคนก็จะโกรธเอาด้วยซ้ำไป ผู้ที่ถูกหาว่ามีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไสยศาสตร์นั่นแหละจะโกรธ ทั้งที่ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้น มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในความคาดคะเนหรือตามคำบอกเล่า ที่สอนกันไปในลักษณะที่ไม่ต้องมีตัวจริงไม่ต้องมีของจริงไม่ได้รู้จริง ก็มีอยู่ด้วยความคาดคะเนในความเชื่ออย่างงมงาย อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างเป็นไสยศาสตร์อยู่นั่นเอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงที่รู้จักต่อเมื่อบรรลุธรรมะในลักษณะที่เห็นความดับทุกข์แล้วทั้งนั้น ในพระบาลีที่เล่าเรื่องก็ปรากฏอย่างนั้น ที่เป็นพระพุทธสุภาษิตก็ตรัสไว้อย่างนั้น มีคนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและก็ทูลถามปัญหาก็ทรงโต้ตอบสนทนาให้จนเข้าใจและมองเห็นความดับทุกข์ ท่านต้องฟังให้ดีมองเห็นความดับทุกข์ ว่ามันมีอยู่ได้อย่างไรโดยแท้จริงมีได้อย่างไรดับทุกข์ได้อย่างไร คนนั้นจึงจะชอบใจพระพุทธเจ้าผู้ที่แสดงเรื่องความดับทุกข์ และก็ชอบใจไอ้เรื่องความดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง และก็เลยพลอยชอบใจบุคคลที่ถ้าเขาดับทุกข์ได้อย่างนั้น ถือกันว่าเมื่อปฏิบัติอย่างนั้นแล้วดับทุกข์ได้และมีผู้ดับทุกข์ได้จริง บุคคลนั้นจึงออกปากว่าขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ จึงขออุปสมบทขออะไรต่อไปตามเรื่อง
ท่านลองเปรียบเทียบกันดูว่าเราจูงเด็กๆมาวัดหรือตัวเราเองก็ตามรับสรณาคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เหมือนที่ทำอย่างตะกี้นี้ก็ได้กันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ นี่เขียนท่องมาก็ได้หรือว่าตามๆกันไปก็ได้ นี่เราทำอย่างนี้กันมานานแล้วและกำลังจะทำต่อไป โดยในใจไม่ได้เห็นแจ่มแจ้งว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไรดีอย่างไรมีความประเสริฐสูงสุดอย่างไร และพระธรรมนั้นตามที่กล่าวนั้นดับทุกข์ได้จริง และก็มีผู้ดับทุกข์ได้จริง เรายังไม่รู้สึกแก่ใจใน ๓ เรื่องนี้ แต่เราก็ว่าถึงแล้วซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ การถึงนั้นมันก็เป็นเรื่องพิธีรีตองไป ก็ได้ พิธีเลยไปถึงรีตองก็ได้ เพราะเด็กๆก็ว่าได้ จับนกขุนทองมาสอนสองสามวันก็คงจะว่าได้ ท่านลองเปรียบเทียบดูให้ดีว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ที่นกแก้วนกขุนทองว่าได้นั้นน่ะ มันต่างจากพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ที่ท่านทั้งหลายว่านี่อย่างไร ที่ลูกเด็กๆว่าสอนให้ว่า หรือคนโตแล้วก็สอนให้ว่า หรือคนที่ไม่เคยรู้เรื่องเป็นคนต่างศาสนาถูกจับตัวมาสอนให้ว่าแล้วมันก็ว่า ก็ว่าได้จนจบ แล้วมันต่างกับที่นกแก้วนกขุนทองมันว่าเพราะเขาสอนให้ว่าจนได้น่ะ มันต่างกันอย่างไร แล้วทีนี้ก็เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของพวกที่สอนให้ว่านี้ไปเปรียบเทียบกันดู ก็ไม่มีใครสอนให้ว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนให้ว่า แต่เขาสนทนากับพระพุทธเจ้าจนรู้ว่าความทุกข์เป็นอย่างนั้นๆ แล้วมันดับทุกข์ได้จริงเพราะตัดกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ดับทุกข์ได้จริงมองเห็นชัดได้ด้วยตนเองว่าเมื่อควบคุมผัสสะได้ก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดกิเลสก็ไม่เกิดทุกข์ เพราะมาเห็นตรงนี้ จึงรู้ว่า อ้าว,พระธรรม นี่พระธรรม พระธรรมนี่ดับทุกข์ได้จริงอย่างนี้ ประเสริฐที่สุด จนพระพุทธเจ้าก็ยังเคารพพระธรรม และก็พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรมจนมีคนปฏิบัติได้ ที่นี้ความรู้สึกในจิตใจของบุคคลนั้นน่ะมันดันออกมา จนปากพูดออกมาว่าข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธ ขอถึงพระธรรม ขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต
นี้คำพูดของคนๆนี้ที่ว่าถึงพระพุทธ ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์นี่ มันจริงหรือมันเต็มไปด้วยความหมายร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็ออกมาจากใจ ของบุคคลที่ซึมทราบต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และว่าเป็นวาจาออกมาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ นี้มันเป็นอย่างไร ถ้าวาจานี้ไปเปรียบกับที่นกแก้วนกขุนทองมันว่า หรือไปเปรียบเทียบกับที่ลูกเด็กๆถูกสอนให้ว่า หรือคนแก่ที่ว่าไปตามๆกันจนจำได้หลายสิบครั้งมาแล้วนี่มันต่างกันอย่างไร ขอทบทวนอีกครั้งหนึ่งก็ได้ว่าที่นก เสียงนั้นที่นกขุนทองนกแก้วมันว่าเป็นอย่างไร นั่นเป็นอย่างไร ไอ้ที่ลูกเด็กๆถูกสอนให้ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วคนแก่ๆอย่างเราทั้งหลายที่ถูกสอนให้ว่าหรือว่าตามๆกันมาจนจำได้เสียงนั้นมันเป็นอย่างไร แล้วเสียงที่คนไปนั่งสนทนากับพระพุทธเจ้าจนรู้เรื่องนี้มันจะเป็นอย่างไร เสียงที่พูดออกมาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิจะเป็นอย่างไร จนกระทั่งว่าบางคนได้ปฏิบัติธรรมะนั้นด้วย รู้ความดับทุกข์ของตนด้วย แล้วจึงเปล่งวาจามาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ นั่นมันเป็นอย่างไร พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของใครยังอยู่ในรูปแบบของไสยศาสตร์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของใครไม่อยู่ในรูปแบบของพุทธศาสตร์โดยสมบูรณ์ ก็คงจะตอบได้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของนกแก้วนกขุนทองหรือของลูกเด็กๆ ที่เขาสอนให้ว่าจนได้นั่นแหละจะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่อยู่ในรูปแบบของไสยศาสตร์ ที่เขาว่ากันนั้นน่ะ แล้วเขาจะเชื่อกันว่าดีมันประเสริฐมันวิเศษอย่างไรมันก็อยู่ในรูปแบบของไสยศาสตร์ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เด็กรับนับถือไว้ในรูปแบบของไสยศาสตร์ แต่สำหรับนกแก้วนกขุนทองนั้นอย่าว่าเลย นี่ไม่ต้องพูดก็ได้เพราะมันไม่นับถือมันเป็นแต่เสียงว่าล้วนๆ แต่ถ้าเอากันแต่เสียงว่าล้วนๆแล้ว เสียงที่ลูกเด็กๆมันว่าก็ไม่ต่างอะไรนัก ผู้ใหญ่ชี้ชวนชักจูงลูกเด็กๆนับถือพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ นี่เขาก็ต้องนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามคำชักชวน เชื่อในคำชักชวน ยังไม่เห็นตัวยังไม่รู้สึกด้วยความรู้สึกต่อองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันก็ต่างกันอย่างนี้
ในพระบาลีแห่งหนึ่งกล่าวไว้เป็นใจความสรุปความได้ว่า เมื่อบุคคลนั้นปฏิบัติบรรลุธรรมะขั้นสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์สิ้นกิเลสอาสวะแล้ว คือคนนั้นแหละจะเป็นผู้รู้จักว่าพระพุทธคืออะไร พระธรรมคืออะไรพระสงฆ์คืออะไร อย่างนี้มันก็ถือว่าเกินไปแล้ว ยังไกลเกินไปสำหรับพวกเราซึ่งยังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ท่านกล่าวไว้ว่าผู้ที่สิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นจึงจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า โอ้,พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระธรรมเป็นอย่างไร พระสงฆ์เป็นอย่างไร และพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ท่านรู้สึกขึ้นมาในใจว่าเป็นอย่างไรนี่มันไกลกันลิบ กับที่เราว่าด้วยปากเฉยๆหรือลูกเด็กๆว่าหรือที่นกแก้วนกขุนทองว่า นี่ถ้าท่านเข้าใจเรื่องนี้ก็จะเข้าใจเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดทางหนึ่งของคำว่า สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก ขอให้สนใจให้มากให้รู้จักต่อไอ้ความแตกต่างกันอย่างนี้ให้มาก ใครจะกำลังล้อใครตัวเองจะล้อตัวเองหรือใครจะมาช่วยล้อ ในการที่มันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างไสยศาสตร์ เมื่อตอนเช้าก็ว่ากันไปทีหนึ่งแล้ว ว่าจะกราบพระพุทธรูปอยู่มันก็มีพระพุทธศาสนาอย่างไสยศาสตร์ เพราะว่ากราบตามธรรมเนียมตามประเพณี ไม่ได้กราบลงไปด้วยความรู้สึกพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยแท้จริงดังที่กล่าวแล้ว นี้ถ้าว่าผู้หมดกิเลสสิ้นเกสดับทุกข์ได้ จะกราบสัญลักษณ์แห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็ต้องกราบด้วยจิตใจที่ต่างกันมากล่ะ กับที่เราสอนให้เด็กๆเขากราบหรือคนธรรมดาที่จะต้องกราบตามธรรมเนียมตามประเพณีเมื่อทำพิธีต่างๆ
นี่เป็นอันว่าอะไรๆนี่ดูให้ดี ถ้ามีอยู่หรือมีไว้หรือกระทำไป โดยไม่รู้จักสิ่งนั้นไม่เข้าถึงสิ่งนั้นด้วยความหมายที่แท้จริงโดยเหตุผลแล้วมันจะเป็นไสยศาสตร์ไปหมด ไม่อาจจะเป็นพุทธศาสตร์ได้ หวังว่าท่านทั้งหลายจะรู้สึกเหมือนถูกล้ออย่างยิ่งแล้วละอาย เมื่อละอายจริงก็ต้องไปปรับปรุงกันเสียใหม่ กลับไปนี้มันจะต้องมีการปรับปรุงกันเสียใหม่ แม้แต่กราบพระพุทธรูปที่เก็บไว้ที่บ้านนั่นแหละ ควรจะเป็นการกราบที่แตกต่างจากที่แล้วๆมาหลายครั้งหลายสิบครั้งหลายร้อยครั้ง คงจะกราบพระพุทธรูปด้วยจิตใจอย่างอื่นแตกต่างจากที่เคยกราบมาแล้วแต่หนหลัง คือกราบลงไปด้วยจิตใจที่รู้สึกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร คือผู้รู้ด้วยตนเองและรู้สิ่งที่ดับทุกข์ได้และเมตตากรุณาทนลำบากสอนผู้อื่นแล้วกราบลงไป ถ้าอย่างนี้กราบพระพุทธรูปนั่นไม่เป็นไสยศาสตร์ ไม่เหมือนกับกราบๆๆ สักว่ากราบหรือกราบ กราบคิดว่ามันจะมีโชคดีมีบุญได้ทรัพย์ได้รวยได้สวยได้อะไรต่างๆ เหมือนที่ลูกเด็กๆเขาก็กราบ ที่นี้พิธีกราบพระพุทธรูปในบางถิ่นบางประเทศเข้มข้นมากรุนแรงมาก อาตมาเคยไปเห็นอย่างที่ประเทศพม่า เขากราบพระพุทธรูปหรือมีพระพุทธรูปไว้กราบอย่างเข้มข้นมาก อย่างเด็กๆนี่เขาก็มีพระพุทธรูปของเขาเอง บ้านนั้นมีลูกสี่คนแล้วก็มีพระพุทธรูปที่ตั้งไว้สำหรับกราบสี่ สี่ที่และยังมีของพ่อของแม่ของผู้ใหญ่อีกสองสามที่อีกต่างหาก เด็กแต่ละคนก็มีพระพุทธรูปของตนประจำตนเขาก็ประดับประดาตามความพอใจของเขา อย่างชนิดที่แช่อยู่ในน้ำก็มีจะไปโรงเรียนก็กราบกลับมาจากโรงเรียนมาถึงบ้านก็กราบก่อนที่จะไปผลัดผ้า และก็กราบทุกเวลาที่ถึงเวลากำหนดไว้ว่าจะต้องกราบ นั่นก็ดี อาตมาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไอ้ไสยศาสตร์นี่มันเลวร้ายไปเสียหมด มันต้องเป็นจุดตั้งต้นที่ให้เหมาะสมกับความรู้สึกหรือสถานะของจิตใจ ถ้ากราบด้วยความเชื่อว่าต้องสอบไล่ได้หรือจะดีจะสวยจะรวยอย่างนั้นมันก็ยังคงเป็นไสยศาสตร์น่ะ เป็นไสยศาสตร์ในห้องพระพุทธรูปน่ะ ถ้าทำให้เขาเปลี่ยนความรู้สึกสูงขึ้นไปสูงขึ้นไปจนรู้จักพระพุทธเจ้า มันก็จะเปลี่ยนจากไสยศาสตร์ไปเป็นพุทธศาสตร์มากขึ้นจนถึงวันหนึ่งคนๆนี้รู้จักธรรมะดี รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดี จะละความคิดที่ยึดถืออย่างนั้นได้ คือถึงองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงได้ คนนั้นก็เป็นพระโสดาบันไปได้ทันที หลักธรรมะเกี่ยวกับโสดาบันก็เน้นลงที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธะเวทสัพสัทธา(นาทีที่24.12) ศรัทธาไม่หวั่นไหวในพระพุทธ ธรรมะเวทสัพสัทธา(นาทีที่ 24.20) ศรัทธาไม่หวั่นไหวในพระธรรม สังฆะเวทสัพสัทธา ศรัทธาไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ และก็อริยกันตศีลคือมีศีลบริสุทธิ์เป็นที่ชอบใจของพระอริยเจ้า ในความข้อนี้มันก็ ก็เกี่ยวเนื่องกันแหละ การที่จะมีศรัทธาให้เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็ต้องเป็นคนที่มีศีลบริสุทธิ์แน่ล่ะด้วยอำนาจศรัทธา ทำให้มีศีลบริสุทธิ์ หรือมีศีลบริสุทธิ์มันก็ด้วยอำนาจของศรัทธาเป็นเครื่องวัด มีศรัทธาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ต่อไปในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นเป็นพระโสดาบันไม่ใช่เล็กน้อย โดยที่มีระดับสูงพอที่จะไม่งมงายอีกต่อไป เราจะต้องเลื่อนชั้นของศรัทธา ศรัทธาที่เป็นรูปแบบของไสยศาสตร์ที่เราติดกันมาแต่อ้อนแต่ออกแรกเกิดนั่นแหละ มันเป็นศรัทธาชนิดนั้น เป็นศรัทธาในรูปแบบของไสยศาสตร์ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในรูปแบบของไสยศาสตร์ ต่อมาก็ศึกษาๆอย่างที่ศึกษาอยู่นี่จนมองเห็นชัดว่า พระพุทธเป็นอย่างไรไม่ได้ออกแต่ชื่อไม่ได้ออกแต่ชื่อ เรื่องไม่ได้ออกแต่ชื่อนี่สำคัญมากนะ พระธรรมเป็นอย่างไรไม่ใช่ว่าท่อง ท่องอิติปิโสได้ เห็นชัดลงไปว่าพระธรรมน่ะคือดับทุกข์ได้โดยวิธีอย่างนั้นๆ หัวใจยอดสุดอยู่ที่เรื่อง อิทัปปัจจยตาควบคุมไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นมาในการสัมผัสอารมณ์และก็ทำได้และก็เห็นชัดด้วย จึงชอบพระธรรมมีศรัทธาฝังแน่นลงไปในพระธรรม และบางทีก็จะเอาตัวเองนั่นแหละเป็นหลักว่าตัวเองนั่นแหละเป็นผู้ดับความทุกข์ได้โดยหลักพระธรรมนั้นเหมือนกับคนอื่นอีกหลายคนที่เขาปฏิบัติและดับทุกข์ได้ คนเหล่านี้ก็เรียกว่าพระสงฆ์ที่แท้จริงพระสงฆ์จริง ถ้าเกิดศรัทธาในพระสงฆ์ถึงที่สุด เรียกว่ามีศรัทธาไม่หวั่นไหวในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ศรัทธานี้ไม่ใช่เป็นศรัทธาอย่างไสยศาสตร์แล้ว เพราะว่าเข้าใจถึงความจริงด้วยจิตของตน ศรัทธาที่คลอดออกมาจากความเห็นแจ้งปัญญาณาณทัศนะ ศรัทธานั้นก็เป็นผลของปัญญาหรือว่าตัวปัญญาที่มาอยู่ในรูปของศรัทธา มันต่างกับไอ้ศรัทธาของผู้ที่ไม่เคยรู้สึกต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในลักษณะอย่างว่า หรือว่าเราจะสอนเด็กๆให้ศรัทธาอย่างที่เด็กๆเขาเคร่งครัดในเรื่องกราบไหว้ ศรัทธานั้นก็ไม่เหมือนศรัทธานี้ คือศรัทธาของผู้ที่ได้ชิมรสของการดับทุกข์ โดยกฎอิทัปปัจจยตา แล้วก็ศรัทธาในพระธรรม พระธรรมนี่พิสูจน์ความประเสริฐที่สุดอยู่ในตัว จิตใจก็เลยชอบไปถึงพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้และสอนพระธรรม และจิตใจก็เลยไปถึงหมู่คนที่รู้และปฏิบัติธรรมะนี้ได้ คือ พระสงฆ์ นั้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ชนิดนี้ชนิดจริงชนิดของจริง ชนิดที่ปรากฏแก่จิตใจได้ก็เกิดขึ้น ถ้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างนี้จริง อย่างน้อยก็เป็นพระโสดาบัน เรียกว่าศรัทธาชนิดที่ทำให้เป็นพระโสดาบัน สืบทอดมาจากปัญญาหลังจากได้เห็นธรรมะด้วยใจ เห็นด้วยใจเห็นด้วยนามกายไม่ได้เห็นด้วยอ่านหนังสือ คือธรรมะได้เข้าไปแสดงบทบาทในใจทำให้ดับกิเลสและดับทุกข์ในระดับหนึ่งได้ คนนี้เป็นพระโสดาบัน เรียกว่าผู้ถึงกระแสตัวนี่ โสดาบันแปลว่าผู้ถึงกระแส และคำว่ากระแสนั่นไปรู้เอาเองว่ากระแสแห่งพระนิพพาน เหยียบไปเป็นเกลียวที่ไหลไปสู่นิพพานก็เป็นอันว่าถึงพระนิพพานแน่ ในบางแห่งท่านก็เรียกว่าเหยียบอยู่ที่ประตูพระนิพพาน อมตัสสะ ทวา ..... (นาทีที่ 29.36) เหยียบอยู่ที่ประตูพระนิพพาน หมายความว่าเท้าข้างหนึ่งมันเหยียบธรณีประตูของพระนิพพานแล้วตั้งแต่จะเข้าไป นี่เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่พ้นจากความเป็นไสยศาสตร์ เป็นพุทธศาสตร์โดยสมบูรณ์ ขอให้ท่านทั้งหลายไปชำระสะสางพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของตนๆๆทุกคนแต่ละคนให้พ้นจากความเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไสยศาสตร์ มาเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แท้จริงคือเกิดด้วยปัญญาไม่ได้เกิดด้วยความงมงาย ไม่ต้อง คือว่ามันเป็นเรื่องที่งมงายมาก่อนแล้ว เพราะว่าไม่มีใครมีความรู้มาแต่ในท้อง เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนก็ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไสยศาสตร์ไว้ก่อน มันก็ดีกว่าที่ไม่มี ตรงกับความหมายของไสยศาสตร์อยู่แล้วแปลว่าดีกว่า ดีกว่าอะไรก็ดีกว่าที่ไม่มี นั้นลูกเด็กๆก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างนั้นกันไว้ก่อนมันก็ดีกว่าที่ไม่มี แต่มันจะหยุดอยู่เพียงเท่านั้นไม่ได้นะ คิดดูว่ามันจะหยุดอยู่เพียงเท่านั้นได้อย่างไรล่ะ มันต้องเลื่อนขึ้นมา เลื่อนขึ้นมาจนปัญญาแทงตลอดพระธรรม เสวยรสของพระธรรม รู้รสของพระธรรมก็เลยชอบด้วยน้ำใจจิตใจทั้งหมดด้วยความรู้สึกในจิตใจ เป็นความชอบพระพุทธเจ้าผู้ให้ทำให้ธรรมะนี้ปรากฎโดยชอบ โดยพระสงฆ์ที่สามารถปฏิบัติธรรมะนี้ได้ นี่คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง เป็นสันทิฏฐิโกแก่จิตใจของบุคคลคนๆนั้นไม่ว่ากันแต่ปาก
อาตมานึกถึงบทบัญญัติของคริสตัง หรือของก่อนคริสตังของพวกยิว เขามีบทบัญญัติบทหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจมากคืออย่าออกชื่อพระเจ้าแต่เพียงปาก คือไม่ได้รู้ว่าพระเจ้าเป็นอย่างไรก็ออกชื่อแต่ปากแต่ปาก เหมือนกับที่เราออกชื่อว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร และก็ว่าไปแต่ปากตามที่เขาสอนให้ว่า อย่างนี้เรียกว่าออกชื่อออกพระนาม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กันแต่ปากเท่านั้นแหละ ถ้าทำเพียงเท่านี้ก็ผิดหลักบทบัญญัติที่ว่าอย่าออกชื่อพระเจ้าแต่เพียงปากหรือแต่เพียงชื่อ คือให้ออกชื่อพระเจ้าด้วยจิตใจที่รู้สึกคุณลักษณะของพระเจ้า นั่นจึงจะถูกต้อง ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำผิดในบทบัญญัติอันนี้ ที่นี่เราก็เหมือนกันแหละ ถ้าออกชื่อพระพุทธ พระพุทธเจ้า ก็ขอให้จริงเถอะหรือรู้จักพระพุทธเจ้าเต็มตามความหมาย ว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไรซึมซาบ พระคุณของพระองค์ในจิตใจอย่างเต็มที่ และก็ยกมือขึ้นท่วมหัวทันทีเลย ธรรมเนียมนี้คงจะมีมานานแล้ว จนๆๆเหลือแต่สักว่าธรรมเนียม ท่านทั้งหลายก็คงจะเคยเห็นกันทั้งนั้นแหละ คือธรรมเนียมโบราณไปนั่งฟังเทศก์กันอยู่ในศาลามากๆ พระก็เทศก์ไปคนก็ฟังไป พอถึงคำที่พระเทศก์ขึ้นมาว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนจะยกมือขึ้นท่วมหัวทันที จนกว่าคำนั้นจะจบไปแล้วเป็นคำอื่นแล้วจึงจะเอามือมาพนมมือที่หน้าอกตามเดิม เดี๋ยวคำนั้นก็มาอีกแหละพระก็เทศก์อ่านคัมภีร์ไป เดี๋ยวคำนั้นก็มาอีกก็ยกมือกันอีกน่ะ ยกมือขึ้นท่วมหัวบูชาทุกครั้งเมื่อเสียงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือสมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า อรหันต์ขีณาสพอะไรก็ตาม นี่มันเป็นอาการของบุคคลที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง จึงพอสักว่าได้ยินพระนามนั้นก็ทนอยู่ไม่ได้ก็ยกมือขึ้นแสดงความเคารพทันที ในชั้นแรกคงจะเป็นเรื่องจริงสมเหตุสมผลคือว่ารู้จักพระคุณก็ยกมือทันที ต่อมาก็เลยกลายเป็นธรรมเนียมประเพณียกแล้วกัน นี่เรียกว่ามันเสื่อมหรือมันถอยหลัง ศาสนาอิสลามก็มีลักษณะคล้ายอย่างนั้นแหละ เอ่ยชื่อพระอัลเลาะห์เมื่อไหร่ก็จะมีการแสดงออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้แต่ที่เขียนอยู่ในกระดาษเขียนอยู่ในพระคัมภีร์เขาจะวงเล็บ เช่นคำว่าขอคำสรรเสริญของสากลจักรวาลจงมีแก่พระองค์อย่างนี้เป็นต้น ทุกครั้งที่มีการออกชื่อพระอัลเลาะห์อัลล่า หรือแม้แต่เขียนอยู่ในกระดาษ ท่านได้ยินคำว่าพระอัลเลาะห์ไปพูดไปพูดได้ยินยกมือขึ้นท่วมหัวหรือตามพิธีของพวกนั้น จะแสดงความเคารพอย่างไรแล้วปากก็จะต้องว่าขอคำสรรเสริญของสากลจักรวาลจงมีแก่พระองค์ นี่ก็หมายความว่าเขารู้จักพระคุณของพระเป็นเจ้านั้นดีนี่ นี่ขอให้เราระลึกนึกถึงข้อนี้ซึ่งเชื่อว่าเคยกระทำกันมาแล้ว รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ดีด้วยความรู้สึกสูงสุดแห่งจิตใจ พอได้ยินคำๆนี้มีใครกล่าวขึ้นก็ยกมือขึ้นท่วมหัว เป็นเรื่องความรู้สึกด้วยจิตใจต่อสิ่งๆนั้นในลักษณะที่เป็นสันทิฏฐิโก เมื่อเป็นสันทิฏฐิโกเท่านั้นแหละจึงจะเป็นที่พึ่งได้ ถ้ายังไม่เป็นสันทิฏฐิโกมันก็ยังเป็นแต่ปากว่านี่ยังเป็นที่พึ่งไม่ได้ ดังนั้นขอให้ตั้งหลักกันใหม่จะดีไหม กลับไปหาปู่ย่าตายายอีกครั้งหนึ่ง พออาตมาพูดขึ้นมาว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทั้งหลายก็ยกมือกันท่วมศรีษะอีกครั้งหนึ่งตามแบบโบราณโน่นของปู่ย่าตายาย หรือว่าได้อ่านในกระดาษในเล่มหนังสือในหนังสือที่อ่านหนังสือธรรมะ พอผ่านคำว่าสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านสายตายกมือกันท่วมหัวอย่างนี้จะดีไหม มันจะเป็นการถอยหลังเข้าคลองไปหาระเบียบปฏิบัติที่บรรพบุรุษเคยทำมา อาตมาคิดว่าคงไม่ตันอยู่ไม่ติดตันอยู่เพียงแค่ท่าทางหรอก ถ้าเราทำอย่างนั้นมันจะย้อนกลับมาคือจะต้องรู้สึกในพระคุณเพิ่มขึ้นมาๆๆ จนกลายเป็นนิสัยไปเลยก็ได้ แต่ว่าเป็นการกระทำด้วยปัญญาไม่ใช่กระทำด้วยศรัทธาหรือความเชื่อแล้ว ทีนี้ไม่ใช่ได้ยินทางหูแล้วนะ พอผ่านเข้าไปที่โบสถ์หรือที่วัดหรือที่ไหนก็ตาม ผ่านไปเห็นพระพุทธรูป ผ่านเข้าไปเห็นพระพุทธรูป จิตแทงทะลุตลอดพระพุทธรูปไปถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงเมื่อพระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่เทศนาสั่งสอนอะไร แล้วก็กราบพระพุทธรูป การกราบนี้ไม่ใช่สักแต่ว่าท่าทาง เพราะมันทำลงไปด้วยจิตใจ จิตใจบังคับให้ทำรู้สึกต่อพระพุทธคุณที่แท้จริงแล้วจึงกราบ ไม่เหมือนกราบตามธรรมเนียม เข้าไปในโบสถ์ไหนก็กราบปลกๆ ตามธรรมเนียมนั้นมันกราบแบบไสยศาสตร์ แปลว่ามันไม่ได้มีความรู้สึกด้วยจิตใจ กราบตามธรรมเนียมกราบโดยหวังว่าจะให้มีบุญมีกุศลมีโชคดี เอากำไรเกินควรกันอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ก้าวหน้าคือมันไม่เลื่อนชั้น นั้นขอให้เลื่อนชั้น ถ้าเห็นพระพุทธรูปให้ซึมทราบด้วยพระคุณของพระองค์แล้วจึงกราบโดยไม่ต้องรีบร้อนนัก อย่าทำอย่างรีบร้อนนักมันทำไม่ได้ นี่ซึมซาบในพระคุณของพระองค์จนเกือบน้ำตาไหลหรือน้ำตาไหลก็ช่างเหอะแล้วก็กราบนี่ลองทำอย่างนี้ จะเพิ่มพูนหรือจะพอกพูนศรัทธาหรือปัญญาหลายๆอย่างมากขึ้นๆในตน
เดี๋ยวนี้เราจะเห็นคนไหว้พระพุทธรูปยกมือไหว้พระพุทธรูปทุกครั้งที่ผ่านหน้าหรือทอดสายตาไปเห็น แต่ทำอย่างไสยศาสตร์ทั้งนั้นแหละ ทำโดยเชื่อว่าจะมีผลสะท้อนกลับมาเป็นผล เป็นคนโชคดี เป็นคนร่ำรวย เป็นคนถูกลอตเตอรี่ไปทางโน้น จึงมีคนยกมือไหว้พระพุทธรูปที่ทอดสายตาไปเห็น เช่นพระพุทธรูปใหญ่ๆอยู่บนภูเขาหรือพระโตหรือพระอะไรก็ตาม แต่รู้สึกว่ามันเป็นปักหลัก ปักหลักที่ตรงนั้นตามแบบของไสยศาสตร์ไม่ก้าวหน้า เราละอายเราทำให้ก้าวหน้า ถ้าเห็นพระพุทธรูปแวบหนึ่ง จิตนี่ทะลุไปถึงพระพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยพระคุณอย่างไร ตามแบบของบุคคลที่แจ่มแจ้งเห็นแจ่มแจ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างที่กล่าวมาแล้ว แล้วจึงกราบ ถ้าไม่กราบจะได้ไหม อาตมาว่าก็ยังจะดีกว่าคนที่กราบอย่างไสยศาสตร์ ในจิตใจแจ่มแจ้งในพระคุณของพระองค์ท่านแล้วไม่ได้กราบมันก็ยังดีกว่าคนที่กราบตามแบบของไสยศาสตร์ กราบปลกๆ ตามธรรมเนียมตามประเพณี
นี่สรุปความว่าการรู้จักหรือถึงหรือถือก็ตามซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันมีอยู่หลายขั้นตอนอย่างนี้ ว่าด้วยปากอย่างนกแก้วนกขุนทองก็มีอยู่ หรือว่าทำกิริยาท่าทางตามที่เขาสอนให้กำหนดไว้ก็มีแต่จิตใจมันไม่ถึง จิตใจมันไม่แจ่มแจ้งประจักษ์แก่สิ่งเหล่านั้น โดยพระคุณนั่นคือไม่มีพระคุณสิ่งเหล่านั้นอยู่ในใจเรียกว่ายังเป็นเด็ก เรียกว่าเป็นเด็กหรือยังเป็นปัญญาอ่อนนั่นแหละ ยังเป็นปัญญาอ่อนในกรณีนี้อยู่มาก การกระทำนั้นจึงเป็นไปในลักษณะไสยศาสตร์ อยากจะพูดอีกเรื่องหนึ่งที่ว่าเป็นกันอยู่โดยมากคือเอามาแขวนคอ เอาพระพุทธรูปเล็กๆที่เรียกว่าพระเครื่องมาแขวนคอ อันนี้ถ้าทำให้ดีถ้าทำให้ถูกต้องก็คงจะมีประโยชน์หรือมีผลมาก แต่ถ้าทำไม่ดีเขาก็ไม่รู้มันก็จะเป็นไสยศาสตร์ที่ปักหลักและอาจจะถอยหลังได้ง่าย เพราะมันไม่มีรากฐานที่ถูกต้องหรือสมบูรณ์ มันอาจจะเลือนอาจจะลืมจนยกแก้วเหล้าข้ามหัวก็ได้สักวันหนึ่ง นั้นควรจะรู้สึกว่าพระเจ้าคือสิ่งสูงสุด เรามาแขวนไว้ที่คอโดยสัญลักษณ์ที่มีความหมาย เหมือนพวกคริสตังคริสเตียนเขาเอากางเขนแขวนคอ ต้องดูเขาก็ดูจะเป็นเรื่องแขวนแบบไสยศาสตร์กันมากเหมือนกัน เหมือนกับที่เราเอาพระเครื่องแขวนคอ เพราะพออาตมาชี้ไปที่นั่นและบอกว่านั่นหัวใจพุทธศาสนาเขาสะดุ้ง ไม้กางเกงน่ะอาตมาบอกว่านั่นคือสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา พวกบาทหลวงพวกซิสเตอร์เขาสะดุ้ง แล้วอธิบายให้เขาฟังว่า โอ้ย,นั่นแหละอัตตา ไอ ไอเส้นยืนน่ะคือตัวไอหรืออัตตา และเส้นขวางตัดมันเสียตัดอัตตาตัดตัวเสีย ก็ไม่มีตัวกูเมื่อไม่มีตัวกูก็ถึงพระเจ้าแหละ ถ้ายังมีตัวกูอยู่มันไม่ถึงพระเจ้าหรอก เพราะตัวกูยึดครองอยู่ เขาได้แต่สะดุ้งเขาไม่อาจจะ ไม่อาจจะยอมไม่อาจจะเข้าใจหรือยอมเข้าใจเหมือนเรา เพราะเขากลัวว่ามันจะหมด หมดศาสนาของเขา อาตมาเอามาพูดยกตัวอย่างมาพูดนี้ก็เพื่อให้เห็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งที่ว่านั่นเป็นสัญลักษณ์สูงสุดของพระเจ้ากางเขนน่ะ ถ้าเขาเอามาแขวนไว้กับความรู้สึกเขาก็จะระลึกนึกถึงการปฏิบัติ ตามกฎของพระเจ้าคือตัดตัวกูอยู่ตลอดเวลา อาตมาเลยชอบใจความหมายของไม้กางเขนที่สุดน่ะ ว่ามันเป็นการตัดตัวกูหรืออัตตามาเตือนใจไว้ตลอดเวลา ส่วนพระเครื่องที่มาแขวนๆกันอยู่นี่ดูไม่ออก ดูความหมายไม่ออก พระเครื่องขุนแผนพระเครื่องอะไรไม่รู้มันกลายเป็นเรื่องกิเลสไปเสียอีก มันไม่ส่งเสริมการตัดอัตตาคือตัวกู ถ้าว่าพวกคริสตังเขารู้สึกต่อกางเขนว่าเป็นเครื่องตัดอัตตา แล้วด้วยจิตใจอย่างนั้นเตือนให้ตัดอัตตาอยู่ตลอดเวลา ก็เรียกว่าเขาเอาพระพุทธศาสนาของเราไปใช้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ถึงที่สุด ในเมื่อพุทธบริษัทไม่ได้อะไรเลย พุทธบริษัทมีกำมือเปล่าไม่ได้อะไรเลย ทั้งที่แขวนพระเครื่องน่ะมันน่าละอายไหม มันน่าล้อไหม ทั้งที่แขวนพระเครื่องน่ะกลับไม่ได้รับประโยชน์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เหมือนกับคนที่เขาแขวนกางเขนสัญลักษณ์กางเขนด้วยความรู้สึกว่าตัดอัตตาอยู่ตลอดเวลา นี่แหละเป็นเรื่องที่ควรจะเอามาใคร่ครวญมาวินิจฉัย ทำให้สำเร็จประโยชน์ซึ่งอาตมาเรียกว่าล้อๆอายุล้อๆตัวเองล้อตัวเองที่ประกอบอยู่ด้วยอวิชชาด้วยความโง่
ถ้ามันเป็นเรื่องไสยศาสตร์มันก็ไม่ตรงตามหลักพระพุทธศาสนา แม้จะเอาพระเครื่องมาแขวนให้เต็มคอจนลุกไม่ไหวก็ตามใจเหอะ นี่จะเป็นพุทธศาสนาไปไม่ได้ล่ะ แล้วมันก็เป็นอะไรไม่รู้ล่ะเพราะว่าพวกโจรพวกขโมยเขาก็เอาไปแขวน ตำรวจทหารก็แขวนแล้วเพื่อประโยชน์อะไรก็ไม่ทราบ แล้วโจรบางคนก็ถูกยิ่งตายมีพระเครื่องเต็มคอก็มีอยู่บ่อยๆ เพราะมันไม่ถูกกับเรื่อง ถ้าเรามีพระพุทธเจ้าแท้จริงด้วยความรู้สึกในพระธรรมที่พระองค์สอนแล้ว แล้วคนนั้นก็จะไม่ตายคนนั้นก็จะบรรลุอมตธรรมบรรลุพระนิพพานที่ไม่ตายและไม่ตายจริงๆน่ะ ธรรมะนั้นทำความไม่ตายจริงๆน่ะ พระพุทธเจ้านี้สอนความไม่ตายหรือพระองค์เองก็เป็นผู้ที่ไม่ตาย นี่เรามาทำเป็นพระเครื่องแขวนคอเพื่อความไม่ตาย แต่แล้วไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะไม่รู้เรื่องนี้เพราะไม่รู้ความหมายของเรื่องนี้ ไม่รู้จักความหมายของคำว่าไม่ตาย มันก็เป็นไสยศาสตร์เกินไสยศาสตร์แล้ว มันก็คืองมงายเกินงมงายล่ะ นั้นถ้าใครมีพระพุทธรูปพระเครื่องแขวนคอยู่ ก็ไปชำระสะสางความรู้ความคิดความนึกหรือการปฏิบัติกันเสียใหม่ให้มันถูกกับเรื่อง ให้ความหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาตักเตือนเราอยู่เสมอไปตลอดเวลาทำผิดไม่ได้ เหมือนกับมีพระพุทธเจ้ามานั่งอยู่กำกับอยู่ข้างๆหรือแขวนอยู่ที่คอ เราก็ทำผิดอะไรไม่ได้ เรารู้ธรรมะยิ่งๆขึ้นไปจนไม่มีตัวไม่มีตนและไม่ตาย ตัดความรู้สึกว่าตัวตนเสียได้ และก็ไม่มีอะไรจะตายอีกต่อไปนี่จุดมุ่งหมายที่แท้จริง นี้ขอให้เราเพียงแต่เข้าเข้าไปในความหมาย ของสิ่งที่เรายึดถืออยู่ศึกษาอยู่ให้ลึกให้จริงให้ถึงที่สุดเท่านั้นแหละก็จะรอดได้ แต่ถ้าเรายังหยุดแค่ไสยศาสตร์เป็นทุนเดิมทุนสำรองมาแต่อ้อนแต่ออกนี้แล้วล่ะก็ไม่มีทาง
เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เพียงเท่านี้ แม้แต่ความเจริญสมาธิกรรมฐานวิปัสนาเนี่ยก็กลายเป็นไสยศาสตร์มากขึ้นๆ คือเจริญกรรมฐานวิปัสนาเพื่อผลความต้องการของกิเลสตัณหามันมากขึ้น เช่นวิปัสนานั่งทางในหากินได้ นั่งทางในดูโชคดูอะไรให้ใครได้ หรือแม้แต่วิปัสนาที่จะทำให้เหาะเหินเดินอากาศหายตัวได้ดำดินได้มันก็เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ แม้ว่าเจตนาจะทำเพื่อประโยชน์เป็นธรรมะเป็นเรื่องดับทุกข์ แต่พอเกิดอะไรแปลกๆขึ้นมาก็ยึดถือเป็นรูปแบบของไสยศาสตร์ไปหมด อย่างนั้นมีหวังที่จะเป็นบ้านะ เห็นอะไรแปลกๆในขณะแห่งวิปัสนานี่ มันก็เข้าใจเป็นผลของวิปัสนายึดถือ ก็กลายเป็นไสยศาสตร์โดยไม่ทันรู้ คือมันไม่ใช่เรื่องจริงมันเป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผล ซึ่งเรามันมีทุนเดิมในทางไสยศาสตร์อยู่ก่อนแล้วมากพอก็ฉาบฉวยเอาโดยลักษณะอย่างนั้น ฉะนั้นในการทำสมาธิวิปัสสนาเพื่อจะกำจัดอวิชชามันกลายเป็นอวิชชาตัวใหม่ขึ้นมาเพิ่ม เพิ่มไปอีกนี่มันน่าล้อหรือไม่น่าล้อเล่าลองคิดดูเถอะ ขอให้พุทธบริษัทเราจัดการกับสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ อย่างนี้ เรียกว่ารู้จริงรู้ด้วยปัญญาที่แท้จริงในสิ่งที่ตนมี ในสิ่งที่ตนเคารพ ในสิ่งที่ประพฤติกระทำอยู่ให้ลึกลงไปถึงความจริงยิ่งๆขึ้นไปกว่าที่กระทำอยู่ หรือที่แล้วๆมาก็ตาม นี่อาตมาถือว่าเป็นประเด็นสำหรับควรเอามาล้ออย่างยิ่งเพราะว่าเกือบจะทั้งหมดกำลังเป็นอยู่อย่างนี้ เกือบจะทั้งหมดนี่คงจะเกิน 90% กำลังเป็นอยู่อย่างนี้จึงไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ไม่ช่วยดับทุกข์ถ้าไม่ดับทุกข์ก็ลองคิดดูสิว่าจะพูดว่าอะไร เท่าที่คุณทำอยู่ประพฤติอยู่เสียสละอยู่เป็นเงินมากๆ เวลามากๆ เหน็ดเหนื่อยมากๆ แล้วมันไม่ดับทุกข์นี่ แล้วมันจะว่ายังไงกัน มันควรจะละอายในความโง่ของตนจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหน อาตมาเคยขอร้องหรือบอกกันหลายๆ คนหลายๆ หนแล้วว่า ไอ้ที่น่าละอายที่สุดน่ะคือความทุกข์ เมื่อใดมีความทุกข์เมื่อนั้นน่ะเวลาที่น่าละอายที่สุดของพุทธบริษัท แต่ก็ไม่มีใครละอาย มีความทุกข์จนกระทั่งผู้อื่นเขาเห็นว่ามีความทุกข์นั่นแหละคือละอาย คือควรละอาย น่าละอายที่สุดยิ่งกว่าน่าละอายใดๆที่เขามีอยู่ในโลกที่น่าละอาย สำหรับพุทธบริษัทเราควรจะถือว่าเมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นก็ควรจะถือว่านั่นแหละคือสิ่งที่น่าละอายที่สุด เมื่อมีอะไรมากระทบจิตเขาควบคุมผัสสะไม่ได้ เกิดเป็นทุกข์เป็นร้อนเกิดกิเลสเป็นบ้าขึ้นมานี่ นั่นแหละคือเวลาที่น่าละอายที่สุดของพุทธบริษัทควรกลัวอย่างยิ่ง ควรละอายอย่างยิ่ง จึงจะเรียกว่าเป็นการก้าวหน้าของพุทธบริษัทในทางธรรม ใครเคยละอายบ้าง ถ้าคนอื่นไม่รู้ไม่ละอายนั้นมันมาก ไม่มีใครรู้ก็ละอาย ละอายของเราเองละอายด้วยตัวเราเองของเราเอง ละอายในความไม่เป็นพุทธบริษัทของตัว ถ้าเชื่ออาตมาก็ขอให้ช่วยจำไปด้วยว่าไอ้เวลาที่น่าละอายหรือเรื่องที่น่าละอายที่สุด ก็คือเมื่อมีความทุกข์ ฉะนั้นขอให้เป็นพุทธบริษัทที่สามารถควบคุมความทุกข์ไว้ได้อย่าให้เกิดขึ้นมา ควรจะพูดถึงเรื่องนี้กันให้มากที่สุดกว่าเรื่องใด ดับทุกข์ให้ได้ ควบคุมให้ได้ อย่าให้กิเลสแสดงบทบาทขึ้นมาเป็นความทุกข์ กิเลสนั่นมันไม่ใช่สิ่งตายตัวไม่ใช่เหมือนกับสำนักบางสำนักเขาสอนว่ากิเลสเป็นสิ่งตายตัวมีอยู่อย่างตายตัว และก็แผดเผาขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นสังขารคือ มันต้องเกิดเมื่อมีเหตุมีปัจจัย ธรรมชาติหรือธรรมดาของจิตมันเป็นอย่างนั้น ที่เมื่อมีเหตุมีปัจจัยแล้วกิเลสจะปรากฏเกิดได้ เป็นอวิชชาแล้วก็เป็นโลภะ โทสะ โมหะ เป็นทุกข์ได้ ไม่ใช่กิเลสมันมีอยู่เป็นพื้นฐานเป็นสมบัติตลอดกาลไม่ใช่ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นมาได้ หรือถ้าเกิดขึ้นมาก็สามารถที่จะดับลงมันไปทันทีทันควันที่เรารู้สึก ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ไม่มีความทุกข์และก็ไม่ต้องละอาย เป็นพุทธบริษัทที่ท้าทายทุกคนได้ว่าฉันเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริงไม่มีเรื่องที่น่าละอาย ฉะนั้นถ้าผู้ใดยอมรับในข้อนี้แล้วว่าเมื่อเกิดความทุกข์เป็นน่าละอายที่สุดไม่รู้จะเอาหน้าไปซ่อนไว้ที่ไหน แล้วควรรีบศึกษาเรื่องความดับทุกข์ให้ถูกต้องให้เพียงพอจนจะควบคุมมันได้จริง
อ้าว,ที่นี้ประเด็นนั้นหมดไปแล้ว ประเด็นที่จะพูดต่อไปก็คือว่าทำอย่างไรจะดับทุกข์ได้ ทำอย่างไรจะรู้เรื่องความทุกข์และควบคุมการเกิดแห่งความทุกข์ได้ ก็เป็นเรื่องที่พูดกันอยู่ทุกวันจนจะไม่รู้ว่าจะพูดกันอย่างไรอยู่แล้วว่า ไม่รู้จักควบคุมผัสสะ เดี๋ยวนี้อยากจะร้องไห้อยากจะร้องไห้สักวันสักสองสามวัน สิว่าที่พุทธบริษัทของเราไม่รู้เรื่องผัสสะ ไม่รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำหน้าที่อย่างไรเป็นผัสสะ แล้วมีความทุกข์ไม่รู้เรื่องแล้วก็อยากจะร้องไห้ เพราะว่าพุทธบริษัทยังไม่เป็นพุทธบริษัทเสียเลย จะพุทธัง สรณัง คัจฉามิ กี่ร้อยครั้ง กี่พันครั้งก็ตามใจ จะถือศีลถืออะไรมาสักเท่าไรก็ตามใจ ทำบุญทำทานสิ้นเงินเป็นล้านๆไม่รู้กี่ล้านแล้วก็ตามใจ มันยังเกิดทุกข์อยู่ เกิดทุกข์ชนิดที่ว่าเกิดแล้วมันควรจะละลายนี่แหละ เพราะเขาไม่รู้จักควบคุมผัสสะ อย่าให้ผิดพลาดขึ้นมาได้ เมื่ออาตมาได้สนในเรื่องนี้มาเป็นเวลาเรียกว่า ๕๐ ปีก็แล้วกัน เพราะว่าตั้งแต่บวชมาก็เริ่มสนใจก็เริ่มมีสวนโมกข์ก็ ๕๐ ปี บวชมาตั้งก่อนนั้นอีก ๗ ปีจึงมีสวนโมกข์ ในที่สุดมันพบเป็นหลักสำคัญที่สุดตรงตามพระพุทธสุภาษิต รู้สึกได้ด้วยตนเองว่าเป็นพระพุทธสุภาษิตที่ตรงตามที่ตรัสไว้ว่า ไอ้ทุกเรื่องน่ะมันตั้งต้นที่ผัสสะ ผัสสะคำเดียวนั่นแหละเป็นต้นตอของทุกเรื่องฝ่ายดีก็ตามฝ่ายชั่วก็ตาม ถ้าเราทำผิดมันก็เป็นเรื่องทุกข์ ถ้าเราทำถูกก็เป็นเรื่องดับทุกข์ จะเป็นเรื่องของการกระทำทางกาย วาจา ใจ ก็มันก็อยู่ที่ผิดหรือถูกของผัสสะ จะเป็นเรื่องคิดเห็นจะเป็น สัมมาทิฏฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ ก็ตาม มันขึ้นอยู่กับเรื่องของผัสสะ นี้ถ้าเราผัสสะสิ่งต่างๆอย่างถูกต้องด้วยปัญญาแล้วมันจะเกิดความรู้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นมา ถ้าเราโง่เมื่อมีผัสสะแล้วเราก็ได้ความรู้ผิดเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมา สัมมาทิฏฐิก็ดี มิจฉาทิฏฐิก็ดีมันเกิดออกมาจากผัสสะที่ผิดหรือถูก ที่นี้การกระทำก็อย่างเดียวกันแหละ มันเกิดความคิดผิดคิดถูกแล้วมันก็มีการกระทำที่ผิดที่ถูก ให้เกิดสุขหรือเกิดทุกข์ จะเกิดทุกข์หรือจะเกิดความดับทุกข์มันก็มีจุดตั้งต้นอยู่ที่ผัสสะที่เราควบคุมไม่ดี ให้จำว่าผัสสะที่เราควบคุมไม่ดีมันจะเกิดทุกข์ ผัสสะที่เราควบคุมไว้ดีที่ถูกต้องไม่มีทาง ที่จะเกิดทุกข์ สองประโยคนี้เป็นทั้งหมดเป็นหัวใจทั้งหมดของพระพุทธศาสนา แล้วก็ไม่มีใครค่อยเชื่อ แล้วก็หาว่าอาตมาว่าเอาเองบ้างหลอกคนบ้าง แต่ว่าผลของการศึกษาตลอดเป็นสิบๆปีนี้ มองเห็นอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้อย่างนี้ เรื่องกรรมทั้งหลายก็ตั้งต้นที่ผัสสะ เรื่องทิฏฐิทั้งหลายก็ตั้งต้นที่ผัสสะ ความสุขความทุกข์หรือภพหรือภูมิหรือโลกอะไรหลายๆอย่างก็ตั้งต้นที่ผัสสะ เราอาจจะปรับปรุงผัสสะหรือผลของผัสสะ ให้เกิดเป็นนรกก็ได้เป็นสวรรค์ก็ได้ นั่นมันถึงขนาดนั้น จึงว่าอะไรก็ตั้งต้นที่ผัสสะ ฉะนั้นเรื่องสำคัญที่สุดของพุทธบริษัทก็คือควบคุมผัสสะให้ได้ มีเท่านั้นแหละ ถ้าควบคุมไม่ได้ก็ต้องเป็นทุกข์แหละแล้วไปโทษใครเขาก็ไม่ได้ จะทำอย่างไร หือ...(พูดเบาๆ) นาทีที่ 63.35 อยากจะร้องไห้ที่ท่านทั้งหลายไม่รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่านั่นเป็นจุดตั้งต้น ถ้าเราเรียนหนังสือเราก็ต้องเริ่มเรียนที่ ก-ข ก-กา เอ บี ซี ดี เดี๋ยวนี้เราไม่ตั้งต้นที่นั่น มันก็ไม่รู้จะเรียนอย่างไรมันก็เรียนไปอย่างละเมอๆ เหมือนกับขึ้นต้นไม้มาจากทางปลาย มันน่าละอายสักเท่าไรมันขึ้นต้นไม้จากทางปลาย มันไม่ตั้งต้นมาจากทางโคน ไอ้ ก ข หรือตั้งต้นจุดตั้งต้นของธรรมะคือหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ ทุกคนมีอยู่ตามธรรมชาติ สิ่งที่มีชิวิตมีอยู่ตามธรรมชาติ นั่นแหละเป็นจุดที่เกิดเรื่องน่ะมันเกิดเรื่องตรงที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะมันมีคู่ มีคู่ของมันคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่จะไปกระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอมันกระทบกันเข้า เช่นตากระทบกับรูป หูกระทบกับเสียง จมูกกระทบกับกลิ่นได้คู่กระทบแล้วมันก็เกิดวิญญาณ วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูกจนกระทั่งครบหก ที่นี้สามอย่างนี้ทำงานด้วยกัน สังคติแปลว่าทำร่วมกัน นั่นแหละคือผัสสะ ตาข้างใน รูปข้างนอกถึงกันเกิดวิญญาณทางตา สามอย่างนี้ทำงานด้วยกันถึงกันหรือทำงานด้วยกันท่านเรียกว่าผัสสะ นี่แปลตรงตัวพระบาลีทุกอักษร จะขุนจะ ปะติฏจะโร รูเปจะ อุปัชฏิ วิญญาณัง ทินนัง ธัมมานัง สังคติ ผัสโส(นาทีที่1.05.12) อาศัยตาเกิดจากรูปจักษุวิญญาณสามประการถึงกันเข้าเรียกว่าผัสสะ เป็นสิ่งที่เกิดอยู่แก่ทุกคนและทุกวันวันละหลายๆสิบครั้ง หลายๆร้อยครั้ง แล้วก็ไม่รู้จักมัน นี่อยากร้องไห้เพราะว่ามันเกิดอยู่ทุกวัน วันละหลายสิบหลายร้อยครั้งหลายพันครั้งแต่ก็ไม่รู้จักมัน ว่าผัสสะนั้นคืออะไร ไม่รู้จักแล้วจะควบคุมมันอย่างไรได้ ตัวอย่างเรื่องตากระทบรูป เกิดจักษุวิญญาณ สามประการกำลังรวมกันทำงานอยู่เราเรียกว่าผัสสะ นั่นแหละวินาทีหรือว่ายังมากไปต้องวินาทีแบ่งร้อยแบ่งพัน เวลานั้นสำคัญที่สุด ถ้าปราศจากอวิชชา อ่ะ,ปราศจากวิชชาปราศจากสติ ปราศจากสติหรือปัญญานั่นแหละ ก็พูดอย่างสมมติเป็นวัตถุก็ว่า วิชชาไม่มีในขณะแห่งผัสสะ อวิชชาธาตุในสากลจักรวาลที่พร้อมคอยพลีพร้อมอยู่นั้นจะเข้าไปผสมผัสสะ ปรุงแต่งที่ผัสสะให้เป็นผัสสะอวิชชา ผัสสะนั้นโง่ ผัสสะนั้นหลับ ด้วยอำนาจของอวิชชาและผัสสะผิด ผัสสะชนิดนี้จะปรุงเวทนาที่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดียินร้าย คือเวทนาโง่เวทนาหลับ เวทนาโง่เวทนาหลับมันจะปรุงให้เกิดตัณหาคือความอยากที่โง่ที่หลับ เกิดตัณหาแล้วไม่ต้องสงสัยก็ต้องเกิดเป็นอุปาทานในสิ่งนั้นๆที่มาเกี่ยวข้องด้วยก็เกิดตัวกูขึ้นมา เอาไปคว้าเอาอะไรทุกอย่างที่เกี่ยวข้องด้วยเข้ามาเป็นของกู อะไรๆอยู่รอบข้างก็เป็นของกูเกี่ยวข้องกับกูเป็นของกูหมด เพราะความรู้สึกว่าตัวตนได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นความเกิดก็ของกู ความแก่ก็ของกู ความเจ็บก็ของกู ความตายก็ของกู ความได้การเสียขาดทุนกำไรอะไรก็เป็นของกู นั่นก็เหมือนกับว่ามีสัตว์ร้ายเข้าไปกัดอยู่ในหัวใจจะไม่เป็นทุกข์อย่างไรได้ นี่ถ้าเรามีวิชชาคือมีปัญญามีสติพอทันในเวลาที่มีผัสสะ ไอ้วิชชาหรือปัญญานี้มันควบคุมผัสสะ อวิชชาที่คอยรอทีอยู่รอบด้านก็เข้ามาไม่ได้ เพราะวิชชามันควบคุมไว้คุ้มครองไว้ ผัสสะนั้นก็เป็นผัสสะลืมตา ผัสสะตื่นผัสสะฉลาด ผัสสะฉลาดมันก็ไม่ให้เกิดเวทนาโง่มันเกิดเวทนาฉลาดให้รู้ว่าเวทนานั้นเป็นอย่างไรเท่านั้นแหละ อะไรเป็นอย่างไรหรือเป็นเช่นนั้นเองเป็นต้น เวทนานั้นก็ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยินดียินร้าย เพราะเป็นเวทนาฉลาดคือเวทนาที่ประกอบอยู่ด้วยความรู้ ไอ้เวทนานี้ก็ไม่เกิดตัณหาก็ไม่เกิดอุปาทานและไม่เกิดทุกข์ นี่คือใจความสำคัญทั้งหมดของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ เป็นจุดตั้งต้นและเป็นทั้งหมดและป็นจุดหมายปลายทางได้เพราะปฏิบัติตรงนี้ถูกต้อง แต่ว่ามันยากนะอาตมาพูดนี้มันง่ายนะ แต่พอปฏิบัติจริงมันก็ยากแหละ ที่จะมีสติมีปัญญาทันควันในขณะผัสสะ เราทำไม่ได้น่ะเพราะว่าเรามันก็เพิ่งโง่อยู่เมื่อวานนี้ คือมันทำไม่ได้ เราไม่มีสติเร็วพอ เราไม่มีปัญญามากพอตามธรรมชาติเราไม่มีสติมากพอ ไม่มีปัญญามากพอที่จะควบคุมผัสสะ นั้นอวิชชาธาตุเหมือนกับพญามารที่คอยจ้องอยู่ทุกหนทุกแห่งถ้าไปยึดครองผัสสะ ทำให้เป็นผัสสะโง่ผัสสะปิดก็เกิดเวทนาตัณหาอุปาทานจนเป็นทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติพอเร็วๆเป็นสายฟ้าแลบและมีปัญญามากพอรู้อะไรเป็นอะไร รู้เป็นเช่นนั้นเองเป็นต้น ผัสสะนั้นก็ถูกคุ้มครองไว้ด้วยวิชชาหรือปัญญานั้น เป็นผัสสะฉลาด เป็นผัสสะลืมตา เป็นผัสสะสว่างไสว จึงไม่เกิดกระแสที่จะไหลไปทางความทุกข์เวทนาตัณหาอุปาทานเป็นต้น มันมีเท่านี้ ปัญหาสำคัญเราไม่มีสติไวพอเป็นสายฟ้าแลบที่จะไปขนเอาปัญญารู้แจ้งนั้นมาควบคุมผัสสะไว้ ปัญหามีเท่านี้ ท่านทั้งหลายไม่มีสติเร็วพอที่จะไปเอาปัญญาเพียงพอมาควบคุมผัสสะไว้ อย่าให้เป็นผัสสะผิด นี่ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้ทำอย่างไรเราจึงจะมีสติเร็วเป็นสายฟ้าแลบ และมีปัญญามากพอมาควบคุมผัสสะนี้ไว้ให้เป็นผัสสะลืมตา คือจิตนั่นมันมีความรู้ถูกต้องลืมตาอยู่ในขณะที่เป็นผัสสะ ก็ไม่เกิดเวทนาตัณหาอุปาทานที่เป็นทุกข์ เรื่องมันก็จบไม่มีความทุกข์หรอก ทีนี้พอสติไม่พอไม่เร็วพอก็ไปฝึกกรรมฐานเรื่องสติ สติปัฏฐาน อานาปานสติ ถ้าปัญญาไม่มากพอก็ไปฝึกวิปัสนากรรมฐานเรื่องอานาปานสติ ทำไมจึงเสนอระบบอานาปานสติไม่เสนอระบบอื่น ก็ไปสำรวจมาแล้วกี่สิบระบบก็ตามไม่มีระบบไหนดีเท่าระบบนี้ ระบบอานาปานสติ ๑๖ ขั้นไม่มีระบบไหนจะดีเท่าระบบนี้ตามความรู้สึกของเราผู้สำรวจ แล้วพระพุทธสุภาษิตตรัสว่าอย่างนั้น ไปหาอ่านดูสิพระพุทธสุภาษิตตรัสว่าอย่างนั้น ว่าระบบอานาปานสติเหมาะสมที่สุดดีที่สุด ไปดูท้ายหนังสือเล่มอานาปานสติยกพระพุทธสุภาษิตอันนี้มาไว้
อานาปานสติ ๑๖ ขั้นแบ่งเป็น ๔ หมวด หมวดแรกๆก็ฝึกสติ ฝึกสมาธิ พอหมวดที่ ๒ ก็มีปัญญาเจือ หมวดที่ ๓ ปัญญาเจือมากเข้า หมวดที่ ๔ ปัญญาล้วนๆ ถ้าใครฝึกหมดทั้ง ๑๖ ขั้น ๔ หมวดแล้ว มันก็มีมากทั้งสติและปัญญา ถ้าฝึกอันนี้สำเร็จจะมีสติเร็วเหมือนสายฟ้าแลบจะมีปัญญา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาพอที่จะมาควบคุมผัสสะ ต่อไปนี้ก็รอดตัว มันจะมีผัสสะมาวันละกี่ครั้งกี่หน เราก็สามารถที่จะควบคุมมันได้เพราะมีสติพอมีปัญญาพอ เรื่องมันเท่านี้เรื่องมันก็จบ แต่เดี๋ยวนี้ไปทำให้เป็นไสยศาสตร์เสียหมดนี่ ฝึกสมาธิก็ดี ฝึกวิปัสนาก็ดีเป็นไสยศาสตร์ไปเสียหมด แล้วก็สอนผู้อื่นอย่างไสยศาสตร์ด้วย อาจารย์วิปัสสนาสอนสมาธิและวิปัสสนาเป็นไสยศาสตร์โดยไม่รู้สึกตัว มันก็ตายด้านกันหมดทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ ขอให้สนใจศึกษาให้รู้จริงว่าสติคืออย่างไร เราขาดนั่นคืออย่างไร ปัญญาคืออย่างไร เราขาดนั่นคืออย่างไร สติเหมือนกับขนส่งสติเหมือนกับเรือยานพาหนะขนส่ง ปัญญาเหมือนกับอาวุธแหละ ถ้าสติมันมีพอไวมันก็ขนอาวุธคือปัญญามาทัน ในขณะแห่งผัสสะมันก็ต่อสู้ได้ป้องกันได้ให้ผัสสะนั้นปลอดภัยจากอวิชชา สำหรับอวิชชานี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในทำนองที่มีใจความว่าพร้อมอยู่เสมอในที่ทุกหนทุกแห่ง สัพเพสุ ธัมเมสุ อวิชชา อนุปัตติตา (นาทีที่1.14.28) อวิชชาเป็นธาตุตามธรรมชาติ เป็นอวิชชาธาตุมีอยู่ในที่ทั่วไป พร้อมอยู่ในที่ทุกหนแห่ง ที่จะเข้ามาครอบงำจิตในขณะแห่งผัสสะ เอากับมันสิ เดี๋ยวนี้มันมีอากาศในที่ทุกแห่งมันพร้อมที่จะสัมผัสกับเราน่ะ แต่ในกรณีนั้นท่านว่าอวิชชามันเป็นธาตุตามธรรมชาติมีอยู่ในที่ทุกแห่งพร้อมที่จะเข้ามา รออยู่ข้างนอกเหมือนเราเปิดหน้าต่างอากาศก็เข้ามาอย่างนั้น นี้เราก็จะมีอุบายที่จะกำจัดมันคือมีสติไว เอาปัญญามามากพอมาควบคุมผัสสะนี้เสีย ผัสสะนี้จะไม่ถูกครอบงำโดยอวิชชา มันจะมีวิชชามีปัญญามีสติมีสัมปชัญญะมีสมาธิอะไรตามเรื่องจนไม่เกิดทุกข์ ถ้าท่านทั้งหลายจะฝึกสมาธิบ้างก็ขอให้รู้ตัวว่าฝึกเพื่อมีสติเร็วและมีปัญญามากพอ คำสอนระบบไหนก็พอจะเป็นสมาธิกันได้ทุกระบบทุกสำนักแหละ แต่ว่าคำสอนบางระบบไม่ไปถึงปัญญาไม่ถึงที่สุด แต่ถ้าจะเอาเพียงเป็นสมาธิกันบ้างได้ทุกระบบทุกสำนักที่มีสอนอยู่ในโลก หลายสิบระบบ อาตมาเอามาพิจารณาดูแล้ว โอ้,บางอันมันไปได้ไม่ไกลหรอกมันหมดฤทธิ์ และโดยเฉพาะที่เป็นวิปัสนาแท้จริงยิ่งหายากและระบบที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้รับรองยืนยันน่ะคือระบบอานาปานสติ ๑๖ ขั้น ไปฝึกเถอะมันจะสอนให้เองแหละเรื่องนี้ไม่มีใครสอนได้หรอก เรื่องของจิตใจไม่มีใครสอนได้การปฏิบัติจะสอนให้เอง แม้แต่เราจะหัดพายเรือใครมันสอนได้ อย่าอวดดีว่าใครสอนให้ใครพายเรือได้ มันหลับตาพูด มันต้องไม้พายมันต้องเรือต้องหันไปหันมานั่นแหละมันสอนให้ คนสอนให้ไม่ได้ทั้งๆที่เห็นเขาพายอยู่ฉิว เราพายมันก็หันไปหันมา เพราะฉะนั้นไม่มีใครสอนได้นอกจากเรือและพายนั่นเอง หรือว่าเราจะขี่รถจักรยานใครสอนได้ ใครสอนใครขี่รถจักรยานได้ มันก็ล้มแหละการล้มรถจักรยานแหละมันจะสอน ขอให้ ขี่เถอะล้มเถอะแล้วมันจะสอนทุกที่ล้มหรือว่าเด็กมันจะสอนเดิน จะทำสมดุลเมื่อยืนเมื่อเดิน ไม่มีใครสอนหรอกเด็กมันรู้ของมันเองทุกคราวที่มันหกล้ม ฉะนั้นการหกล้มน่ะมันสอน เรื่องจิตนี้ก็เหมือนกันไม่มีใครสอนได้นอกจากการกระทำนั่นแหละมันจะสอน ฉะนั้นขอให้กระทำเถอะแล้วมันไม่ได้หรอก แต่ไอ้การที่ไม่ได้มันจะสอนให้ทุกที ถ้าเราทนทำไปหลายสิบครั้งเข้ามันจะค่อยได้ค่อยได้ ได้สมาธิได้สติได้ปัญญา เหมือนกับเด็กมันหกล้มหลายๆครั้งเข้า มันรู้จักทำให้สมดุลแล้วมันก็ไม้ล้มแล้วมันก็เดินได้ หรือขี่รถจักรยานได้หรือพายเรือได้ อย่าไปหวังให้คนสอนนัก มันเป็นเรื่องหลอกลวง พระพุทธเจ้าท่านมอบคำแนะนำให้ไปปฏิบัติ แล้วท่านก็ไม่เคยพบกับผู้นั้นเป็นเดือนๆ มันไปสอนของมันเองมันไปหัดขี่จักรยานล้มของมันเอง จนมันขี่ได้ไม่ได้มานั่งคุมอยู่ข้างตัวเหมือนกับเขาเรียกว่าคุมกรรมฐาน คุมอะไรนี่มันว่าเอาเองทีหลัง พระพุทธเจ้าท่านก็บอกวิธีว่าไปทำอย่างนั้น แล้วไปทำมันก็ล้มเหลวแล้วก็ทำอีกก็ล้มเหลว ทำอีกก็ล้มเหลวแต่มันก็ค่อยๆ ดีขึ้นๆจนมันทำได้ ขอให้ไปฝึกสมาธิภาวนาเหมือนกับหัดขี่รถจักรยานจิต เรียกอย่างนี้ขี่รถจักรยานจิต ถ้ามันล้มมันล้มง่ายกว่าจักรยาน ที่นี้มันล้มมันล้มง่ายกว่าจักรยานนี้อีก มันล้มไปเถิดถลอกปอกเปิกก็ตามใจ มันก็ต้องฉลาดขึ้นนิดหนึ่งๆทุกคราวที่ล้ม ที่นี้มันก็ได้ จะมีสติที่ไวเป็นผู้มีสติและจะเป็นผู้ที่มีสมาธิกำลังจิตที่หนักแน่น แล้วก็มีปัญญารอบรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และรู้ได้รวดเร็วรู้ได้ทันควันเพราะความเร็วแห่งสติปัญญานั้นมันเหมือนกับอาวุธ ถ้าไม่เอามาใช้มันก็ไม่มีประโยชน์ แล้วใครเป็นผู้ใช้ล่ะ สติเป็นผู้เอาปัญญามาใช้ทำลายข้าศึกคือกิเลสที่จะเกิดขึ้นในขณะแห่งผัสสะทั้งนั้นแหละ ไม่มีขณะอื่น ในขณะแห่งผัสสะทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นสำคัญอยู่ที่ผัสสะถ้าควบคุมได้มันก็ไม่มีปัญหาไม่มีทุกข์ ถ้าควบคุมผัสสะไม่ได้ก็ต้องมีทุกข์ ทำไมควบคุมไม่ได้เพราะขาดสติสมาธิและปัญญา ไปฝึกวิปัสนาที่เขาเรียกวิปัสนาฝึกแล้วจะมีสมาธิพอตัว มีสติรวดเร็วพอตัวมีปัญญามากพอตัว เอามาจัดการกับการปรุงแต่งแห่งจิตในขณะแห่งผัสสะ อย่าให้การปรุงแต่งแห่งจิตในขณะแห่งผัสสะนั้นผิดพลาดได้มีเท่านี้เอง พูดสั้นๆก็อย่าทำผิดเมื่อมีผัสสะแล้วก็จะไม่มีความทุกข์
นี้ผัสสะเกิดอยู่ทุกวันวันละไม่รู้ครั้งกี่ร้อยครั้งเดี๋ยวทางตาเดี๋ยวทางหูเดี๋ยวทางจมูกทั้ง ๖ ทาง แล้วก็ไม่รู้จัก นี่มันอยากจะร้องไห้ เพราะว่ามันควรจะรู้จักมัน ควรจะป้องกันได้ ควรจะได้รับประโยชน์ได้มากกว่านี้ นี่มันไม่รู้จัก ก ข ก กา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกว่าอย่างนั้น เรียกว่า อาทิพรหมจรรย์ แปลว่าเป็นจุดตั้งต้นของพรหมจรรย์อยู่ที่ผัสสะทั้ง ๖ นั่น อาตมาเคยล้อฝรั่งว่าคุณไปเรียนปรัชญาอินเดียให้ๆตายสักสิบชาติก็ๆไม่รู้พุทธศาสนาหรอก เพราะมันพาไปทางอื่นหมดแหละ อย่าไปเสียเวลาเรียนเรื่องอินเดีย เรียนปรัชญาอินเดียเป็นหาบๆเลย มาตั้งต้นเอ บี ซีกันที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พักเดียวคุณจะเข้าถึงตัวพุทธศาสนา อาตมาก็พยายามอธิบายอีกหน่อย ฝรั่งหลายคนก็เข้าใจ แต่ก็มีฝรั่งหลายคนไม่เข้าใจมันยิ่งกว่าเต่าจะเป่าปี่ให้ฟังเท่าไหร่มันก็ฟังไม่ถูก แล้วพวกเราก็อาจจะเป็นเต่าชนิดนั้นกันอยู่มากเหมือนกันแหละ คือไม่รู้จักตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่รู้จักว่าผัสสะเกิดขึ้นอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะควบคุมการปรุงแต่งแห่งจิต ในขณะที่มีผัสสะอย่าให้ผิดได้ นี้ขอให้ไปสนใจตั้งใจคอยจับไอ้ตัวที่เรียกว่าผัสสะ ผัสสะทางหูทางอะไรก็ตามที่เกิดอยู่ทุกวัน ประจำวันคอยจับมันให้ได้ อย่างน้อยว่าผัสสะคืออย่างนั้นรู้จักผัสสะ แล้วมันก็ผิดแล้วมีความทุกข์นั่งร้องไห้อยู่ก็ได้ หรืออะไรก็ตามเถอะมันมีความทุกข์ มันก็มาจากการทำผิดในขณะแห่งผัสสะ แล้วอย่าเข้าใจเหมือนกับฝรั่งอีกบางพวกมาเล่าให้ฟัง น่าสงสารที่สุด ฝรั่งบางคนเขาว่าไอ้ที่มันเป็นทุกข์นั่นแหละมันปกติ แล้วเป็นทุกข์บ้างสุขบ้างคือคนปกติ ไอ้คนที่ไม่มีความทุกข์เลยคือคนผิดปกติหรือมันบ้า คนที่ไม่รู้จักเป็นทุกข์เลยเป็นคนบ้า เขาไม่ต้องการ แต่วิธีที่ดับทุกข์เด็ดขาดเขาไม่ต้องการ เพราะมันเป็นคนผิดปกติ ให้ยินดียินร้ายขึ้นๆลงๆหัวเราะร้องไห้นั่นแหละคือคนปกติ ถ้าใครไม่ต้องเป็นอย่างนั้นเขาเรียกว่าคนผิดปกติ มันก็เลยคุยกันไม่รู้เรื่อง คุณไม่ต้องมาศึกษาพุทธศาสนาให้เสียเวลา ถ้าคุณไม่ต้องการจะดับทุกข์ เขาก็พูดว่าเขาอยากจะรู้อะไรมากๆ เขาอยากจะรู้พุทธศาสนาเพื่อจะให้รู้อะไรมากๆ ไม่ได้ต้องการดับทุกข์ แล้วก็อย่าคิดว่ามันจะมีแต่ฝรั่งคนนั้นนะ พวกไทยๆเรานี่มันกำลังเป็นอย่างนั้นก็ได้ โดยเฉพาะพวกนักศึกษาหนุ่มๆที่มันตามก้นฝรั่งนี่ มันอาจจะคิดอย่างนั้นก็ได้ มันก็เลยไม่สนใจพุทธศาสนา นักศึกษาหนุ่มๆพวกปริญญาพวกบัณฑิตอยู่นี่ มันอาจจะคิดเหมือนฝรั่งคิด มันต้องไปตามเรื่องล่ะขึ้นๆลงๆสุขๆทุกข์หัวเราะร้องไห้ไปตามปกตินั้นน่ะคือปกติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ผิดปกติ ฝรั่งบางคนก็เลยกล่าวหาว่าพระสิทธาตุ เป็นคนจิตผิดปกติ จิตไม่สมประกอบ ออกไปหาสิ่งชนิดนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ฝรั่งบางคนเขาคิดอย่างนั้น นั้นก็ไม่ต้องมาศึกษาพระพุทธศาสนา แล้วมันก็กำลังลามเข้ามาในเด็กๆของเรานักศึกษาลูกเด็กๆของเรา ทั้งหญิงทั้งชายกำลังคิดเหมือนฝรั่งเพราะเขาบูชาฝรั่ง ด้วยการส่งลูกส่งหลานไปเรียนเมืองนอกมันติดเชื้อโรคอันนี้มา จนพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นในโลกจริง สมมุติทั้งนั้นแหละพระพุทธเจ้าไม่ได้เกิดขึ้นในโลกจริงๆ คัมภีร์พระไตรปิฎกไม่ใช่พระพุทธเจ้าตรัส มันเขียนขึ้นทั้งนั้นแหละ ต้องบอกว่าได้ ถูกของคุณแหละ แต่ถ้าคุณควบคุมผัสสะได้คุณจะไม่มีความทุกข์เลย พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นมาหรือไม่ได้เกิดขึ้นมาก็ตามใจเถอะ ถ้าคุณควบคุมผัสสะได้คุณจะไม่มีความทุกข์เลย พระไตรปิฎกนี้เป็นของปลอมเขียนขึ้นมาใหม่มันมีชัดอยู่อย่างนั้นน่ะ ควบคุมผัสสะให้ได้แล้วคุณจะไม่มีความทุกข์เลย มันก็เลยนิ่ง มันไม่เป็นคนซื่อตรงต่อตัวเอง มันก็เป็นคนไม่อยากจะดับทุกข์ มันก็พูดเถลไถลไปได้หลายๆอย่าง เราก็มีความจริงพอเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้นะไม่ใช่ว่าอาตมาจะว่าเอาเองไปหมด มันจะเชื่ออย่างไรมันจะคิดอย่างไรมันจะทำอย่างไร แต่ถ้ามันควบคุมอวิชชาเมื่อผัสสะได้แล้วมันจะไม่มีทุกข์เลย นั้นคุณช่วยบอกเถิดคุณจะถือศาสนาบ้าบออะไรอยู่ถือความคิดว่าเกิดตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิดหรือมิจฉาทิฎฐิ อย่างไรก็ตามเถิดแต่ว่าถ้าคุณยอมมองตรงนี้ว่าถ้าควบคุมผัสสะได้แล้วความทุกข์ไม่เกิดหรอก ไม่ใช่ความเชื่อและไม่ใช่ความคาดคะเน คุณจะเห็นควบคุมผัสสะได้และความทุกข์ไม่เกิด นั่นมันมีเท่านั้นแหละ เราจะเป็นคนถือศาสนาไหนชนชาติไหนชอบอะไรคิดอย่างไรนึกอย่างไรก็ตามใจมัน จนอยากจะพูดหยาบคายว่าพระเจ้าจะมีไม่มีก็ช่างหัวพระเจ้า แต่ถ้าคุณดับ คุณควบคุมผัสสะได้คุณจะไม่มีความทุกข์เลย พูดอย่างนี้จริงที่สุดแต่มันหยาบคาย เดี๋ยวมันจะโกรธกันเสียอีก ขอแต่เพียงว่าควบคุมผัสสะไว้ให้ได้อย่าให้อวิชชาเข้ามาปรุงแต่งจิตในขณะนั้นแล้วไม่มีทุกข์ไม่มีความทุกข์ นี่คุณจะถือศาสนาอะไรอยู่จะทำมาหากินอย่างไรอยู่จะเลี้ยงชีวิตด้วยอย่างไร เชื่ออย่างไรก็ตามใจคุณแหละ เราไม่บังคับน่ะ ขอแต่ว่าในขณะแห่งผัสสะน่ะคุณมีสติและปัญญาพอที่จะควบคุมมัน อย่าให้เป็นไปตามอวิชชาแล้วก็จะไม่มีความทุกข์เลย เราจะอยู่เป็นผาสุก นี่เป็นของกลางของธรรมชาติ เป็นสัจจะของกลางของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านค้นพบไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่งตั้งบัญญัติสั่งการเอง ไม่ใช่มันเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ยอมรับแหละว่าท่านไม่ได้ทำมันหรอก แต่ท่านรู้มันท่านค้นพบมัน ตถาคตจะเกิดขึ้นมาในโลกหรือตถาคตจะไม่เกิดขึ้นมาในโลกก็ตามเถิด แต่ธรรรมชาตินั้นมันอยู่แล้ว ธรรมชาตินั้นมันมีอยู่แล้วมันมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อัตถาตา อิทัปปัจจยตา มันมีอยู่แล้วท่านว่าอย่างนี้ คือพระเจ้าองค์นั้นมีอยู่แล้ว พระเจ้าอิทัปปัจจยตา การค้นพบแล้วมาสอนว่าควบคุมผัสสะให้ได้ อิทัปปัจจยตา มันก็สะดุดขาดตอนลงตรงผัสสะนั่นเองไม่ปรุงให้เกิดทุกข์ นั้นจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็อยู่ที่พระเจ้า อิทัปปัจจยตา ถ้าเรารู้จักใช้เราก็ควบคุมผัสสะได้ ก็ไม่ปรุงความทุกข์มันก็หมดกันเท่านั้น นี่ข้อความนี้มันควรจะเขียนให้ดีให้ชัดขึ้นเป็นหลักธรรมะของธรรมชาติสากลในโลกปัจจุบันแต่เขียนยาก อาตมาเคยลองเขียนแล้วมันไม่ก็สำเร็จ มันลองเขียนฟุ่มเฟือยเพ้อเจ้อไปซะทุกที จะเขียนสั้นๆอย่างนี้ไม่ได้ ใครเขียนได้ครูบาอาจารย์คนไหนเขียนได้ช่วยเขียนเถอะ มันสั้นเหลือแต่ว่าควบคุมผัสสะได้ความทุกข์ไม่มี คือควบคุมหน้าที่การงานของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้ แต่นี่คือ ก ข ก กา ของพระพุทธศาสนาสำหรับการดับทุกข์
ที่นี้อยากจะร้องไห้เพราะคุณก็ไม่รู้ ก ข ก กา แล้วคุณก็ไม่ยอมเรียน ก ข ก กา คุณไปเรียนวิปัสสนาแบบไหนกันก็ไม่รู้ ไม่เรียนเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่จะต้องควบคุมกันอย่างนี้ คุณไม่เอานี่คุณเห็นว่าไม่วิเศษวิโสอะไร มันไม่ลึกลับอะไรก็เลยไม่ได้เรียน ก ข ก กา ของพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง มองเห็นแล้วอยากจะร้องไห้ว่าพวกเราไม่จับเข้าไปที่จุด ก ข ก กา ของพระธรรม แล้วไปหวังอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมันไม่ดับทุกข์ ยิ่งไปหวังเหยื่อของกิเลส สวรรค์ วิมานอะไรกันนักแล้วมันก็ไม่ดับทุกข์ มันจะต้องรู้จักไอ้ ก ข ก กา จุดตั้งต้นว่าทำผิดตรงผัสสะ ไม่รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อย่างเพียงพอ มีวิญญาณแล้ว มีผัสสะแล้ว ควบคุมไม่ได้หรือไม่ได้ควบคุมเลย มันก็ปรุงเป็นความทุกข์ขึ้นมา เป็นเวทนาโง่ เป็นตัณหาโง่ เป็นอุปาทานคือโง่ที่สุด อุปาทานมีตัวกูของกูแล้วมันก็เป็นทุกข์
ในเรื่องนี้ประเด็นของเรื่องนี้ที่เอามาพูดพูดอย่างล้อ คือว่าเราไม่รู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในฐานะเป็น ก ข ก กา ของพระธรรม ครูบาอาจารย์ก็ไม่สอนเรื่องนี้ หลักสูตรนักธรรมหรือหลักสูตรปฏิบัติสำนักวิปัสนาเขาก็ไม่เน้นในเรื่องนี้ ไปตั้งต้นอย่างไสยศาสตร์ บอกว่าสมาธิกรรมฐานวิปัสสนามันวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ ทำเถิดทำเถิดแล้วก็ทำตามรูปแบบประเพณี โดยไม่รู้มุ่งหมายอันแท้จริง มันก็เป็นไสยศาสตร์อยู่ในตัวการกระทำวิปัสนานั่นเอง มันก็เป็นวิปัสสนาไสยศาสตร์ มันก็ไม่ได้ผลตามที่พระพุทธเจ้าประสงค์ นั้นเรามารู้จักตัวความทุกข์กันเสียก่อน แล้วก็อยากจะดับทุกข์อย่างยิ่ง อยากจะดับอย่างยิ่งสุดชีวิตจิตใจเลย มันต้องอยากดับทุกข์อย่างยิ่ง เรื่องมันจึงจะเป็นไปได้ มันดำลงไปใต้น้ำดำลงไปใต้น้ำแล้วพอมันเต็มกลั้นแล้วมันอยากจะโผล่อย่างยิ่ง อยากจะโผล่จากน้ำอย่างยิ่งไม่มีอะไรอยากเท่าแหละ อย่างนั้นจะตาย มันก็อยากจะโผล่อย่างนั้นอย่างยิ่ง ถ้าเราอยากจะดับทุกข์อย่างยิ่งเหมือนขนาดนั้นแล้วก็ไม่ยากหรอก ไอ้เรื่องวิปัสนาเรื่องอะไรมันก็ไม่ยากหรอกถ้าเราอยากจะดับทุกข์กันจริงๆขนาดนั้น ฉะนั้นไปรู้เรื่องความทุกข์ไปให้เห็นเป็นความทุกข์ อย่าให้เหมือนฝรั่งคนนั้นที่เขาเห็นว่าเป็นทุกข์น่ะแหละเป็นปกติ คนที่เป็นทุกข์ขึ้นๆลงๆคือคนปกติ คนไม่มีความทุกข์เลยคือคนบ้า ที่นี่ก็เอากับมันสิ มันก็ไม่อยากจะดับทุกข์ มันก็ไม่รู้เรื่องความทุกข์เลยด้วยซ้ำไป ฉะนั้นเราจะต้องรู้จักความทุกข์จนอยากจะดับทุกข์เหมือนเราถูกจับกดลงไปใต้น้ำ เราอยากจะโผล่ขึ้นพ้นน้ำอยากเป็นที่สุดเลย อยากกันสุดชีวิตจิตใจเลยอยากจะโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ อย่างนี้ก็ลองดูตัวเองหรือว่าไม่มีใครอยากอย่างนี้ ที่มาสวนโมกข์เพราะอยากจะดับทุกข์ แต่มาอย่างอื่นมันจะต้องเห็นทุกข์อยากจะดับทุกข์ ถึงขนาดเหมือนอย่างคนถูกจับกดลงไปใต้น้ำแล้วมันอยากจะโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ อุปมาอย่างอื่นพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่าเหมือนกับว่าไฟไหม้ ไฟไหม้อยู่ที่ศรีษะหรือที่เสื้อผ้าของเราน่ะ เราจะทำอย่างไร เราต้องอยากจะดับไฟนั้นเป็นอย่างยิ่งทำก่อนสิ่งอื่น เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกว่าเรามีความทุกข์เหมือนกับไฟที่ไหม้อยู่ที่ศรีษะหรือที่เสื้อผ้าเราก็ทำเล่นๆกับเรื่องนี้มันก็ไม่ดับทุกข์ ไปดูความทุกข์ให้เห็นว่ามันมีอยู่จริง มันขบกัดจิตใจของเราเจ็บปวด เราไม่ต้องการความเจ็บปวดเหล่านี้อยากจะดับทุกข์ เหมือนไฟไหม้ที่ศรีษะอยากจะดับไฟไหม้ เสื้อผ้าก็อยากจะดับหรือเหมือนกับถูกกดจับกดลงไปใต้น้ำแล้วอยากจะโผล่ พูดอย่างนี้มันก็ไม่ค่อยมีความหมายนัก ลองไปจมน้ำดูสิไปจมอยู่ก้นน้ำไอ้ความรู้สึกอยากจะโผล่มีมากเท่าไหร่เอามาคำนวณเถอะ ถ้ามันอยากจะดับทุกข์เหมือนอย่างนั้นมันก็มีหวัง ที่นี้มันอยากจะดับทุกข์แล้วมันก็ศึกษาต่อไปถึงว่าไอ้ความทุกข์ตั้งต้นที่ผัสสะ จะเป็นทุกข์หรือไม่มีทุกข์มันตั้งต้นที่ผัสสะ ความเอร็ดอร่อยหรือความไม่เอร็ดอร่อยมันเป็นเรื่องของผัสสะ นั้นมันก็เป็นเหตุให้หวังอย่างนั้นหวังอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของผัสสะ ให้คิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของผัสสะ อะไรๆมันก็มีจุดตั้งต้นที่ผัสสะ กรรมดีกรรมชั่วอะไรก็อยู่ที่ผัสสะ นี่ถ้าว่าเราเอาชนะผัสสะได้ควบคุมผัสสะได้นี่จะหมดปัญหาจะหมดทุกข์ แล้วก็หมดกรรมหมดตัวตน หมดกรรมด้วย ไอ้ผลกรรมที่กลัวกันนักว่าทำไว้ชาติก่อนจะมาบีบคั้นมาให้ผลกับเรา ถ้าเราควบคุมผัสสะได้แล้วยกเลิกไปหมดแหละ ไอ้กรรมทั้งหลายผลกรรมทั้งหลายจะถูกยกเลิกไปหมด ถ้าเราควบคุมผัสสะได้ ไม่เกิดความทุกข์ได้อีกต่อไป แล้วกรรมไหนจะมาให้ผลแก่เราได้ เราควบคุมผัสสะได้ไม่ให้เกิดความรู้สึกสุขทุกข์อีกต่อไป กรรมทั้งหลายก็ถูกยกเลิกไปด้วย หมดกรรมสิ้นกรรมเหลือกรรมพ้นวัฏสังสารเป็นนิพพานเป็นนิรันดรไปเลย นี่การจัด การกระทำให้ถูกต้องในเรื่องของผัสสะมันเป็นอย่างนี้ แล้วคนเขาก็ไม่ชอบว่ามันสั้นนิดเดียว มันสั้นนิดเดียวเขาชอบเรื่องที่ยาวๆ เข้าใจไม่ได้แล้วขลังแล้วศักดิ์สิทธิ์เขาชอบกันอย่างนั้น มันก็เลยไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา ข้อนี้มีใจความสำคัญว่าทุกอย่างมันมีจุดตั้งต้นที่ผัสสะ เราต้องควบคุมผัสสะให้ได้โดยรู้เรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อย่างถูกต้อง
อาตมาพูดอีกคำหนึ่งว่าไอ้โลกนี้ โลกทั้งโลกมันมีได้เพราะผัสสะนะ คิดดูสิเข้าใจไหม ถ้าไม่มีผัสสะอย่างเดียวโลกนี้ก็ไม่มี คือไม่มีผัสสะได้คือไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งไม่มีผัสสะได้ไอ้โลกนี้มันก็เท่ากับไม่มี ไอ้โลกทั้งหลายที่เราเห็นอยู่นี้ ของเอร็ดอร่อยสวยงามในบ้านในเรือนมันก็ไม่มีถ้าเรามีผัสสะไม่ได้หรือไม่มีผัสสะ ของน่าเกลียดน่ากลัวน่าอะไรมันก็ไม่มีถ้าเราไม่มีผัสสะ โลกทุกโลกทุกชนิดมันมีขึ้นมาได้เพราะว่ามนุษย์มันมีผัสสะ เพราะมันควบคุมผัสสะไม่ได้มันก็ต้องรับโทษของการควบคุมไม่ได้ คือการเป็นทุกข์ ถ้ามันควบคุมผัสสะได้มันก็ได้รับรางวัลน่ะคือไม่ต้องเป็นทุกข์ เป็นมนุษย์ที่ไม่รู้จักกับความทุกข์อยู่ในโลกนี้ เหนือโลกไม่จมโลก อยู่เหนือโลกก็ไม่มีอิทธิพลอะไรในโลกที่จะมาบีบคั้นเขาได้ เขาเรียกว่าอยู่เหนือโลกคือ โลกุตระ เดี๋ยวนี้มันอยู่อย่างจมโลกเป็นโลกียะจมอยู่ในโลก อิทธิพลอันเลวร้ายในโลกมันก็บีบคั้นที่มแทงเผาลนคนๆนั้นที่มันอยู่ในโลกในวิสัยโลกเป็นโลกียะ ถ้ามันมีจิตชนิดที่เหนือโลกสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มี ก็เลยเรียกว่าไม่มีทุกข์ ว่างอย่างยิ่งคือว่างจากความทุกข์ ว่างจากกิเลส ว่างจากตัณหาว่างอย่างยิ่ง สมัครเอาแต่ว่างอย่างยิ่งอย่าเอาบรมสุขเลย ไอ้คำว่าบรมสุขมันเป็นคำพูดใช้โฆษณาชวนเชื่อ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านจะตรัสความจริง ความจริงท่านตรัสว่าที่สุดแห่งความทุกข์ ถ้าท่านจะตรัสให้เกิดความสนใจแก่คนทั้งหลาย ท่านจะเรียกมันว่าความสุขอย่างยิ่งก็มีเหมือนกัน เพราะมนุษย์ทุกคนมันชอบความสุขอย่างยิ่ง ท่านเอาที่สุดจบแห่งความทุกข์เป็นความสุขอย่างยิ่ง เราต้องเข้าใจของท่านให้ถูกต้องด้วย เดี๋ยวเราก็จะไปสร้างไอ้สิ่งที่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ไปยึดมั่นถือมั่นไอ้พระนิพพานน่ะ เอาพระนิพพานเป็นของเรา พระนิพพานของตนเป็นของพระนิพพานอย่างนี้ก็ผิดหมดล พระบาลีแสดงถึงสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นเราของเรา นับตั้งแต่ธาตุดิน ธาตุน้ำธาตุไฟ ธาตุลม จนเป็นสัตว์ เป็นคน เป็นพระเจ้า เป็นนิพพานเลย พูดง่ายๆตั้งแต่ขี้ฝุ่นเม็ดหนึ่งไปถึงพระนิพพานเลย มันจะมีกี่เรื่องกี่ร้อยเรื่องกี่พันเรื่องอย่าไปหมายมั่น อย่าหมายมั่น ใช้คำว่าหมายมั่น อย่าไปหมายมั่นสำคัญว่าตัวตนว่าของตน เดี๋ยวนี้เรามันสำคัญว่าตัวตนของตนทุกอย่างเลย เป็นดินน้ำลมไฟก็ของกู หรือเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็ของกู ความสุขความทุกข์ของกู อะไรก็ล้วนแต่เป็นของกูไปทั้งหมด เป็นอันว่าอยู่ใต้โลกอะไรๆเป็นของกูเราก็เป็นทาสของสิ่งนั้นคืออยู่ใต้โลกก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่เอาอะไรเป็นของกูสลัดทิ้งไปหมด มันก็อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ก็เรียกว่าอยู่เหนือโลก จะอยู่เหนือโลกได้ก็เพราะรู้จักโลก ว่าโลกคือความทุกข์มันกัดกินอยู่ทุกเวลา
ขอให้รู้เรื่อง ก ข ก กา ของพระพุทธศาสนาตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้อย่างไร เรื่องก็จบน่ะ ฉะนั้นขอให้กำหนดไว้ดีๆอย่าให้กลับไปถึงบ้านแล้วลืมหมดว่าได้พูดอะไรกันบ้าง นี่พอกลับไปถึงบ้านแล้วก็จะลืมหมดว่าที่นี่ได้พูดอะไรกันบ้าง นี่ขอให้กำหนดจดจำไว้ให้ดีๆ ว่าไอ้ผัสสะนั่นแหละ ควบคุมมันไม่ดีแล้วมันจะกัดเอา โบราณแถวนี้เขามีคำพูดตลกขบขำอยู่คำหนึ่งแต่ก็มีความหมายมาก เขาว่าก้อนเส้ากลายเป็นเสือ ก้อนเส้าในครัวที่เรานั่งแอบข้างทุกวันหุงข้าวต้มแกงอะไรอยู่ในครัวนั่นละ ถ้าก้อนเส้าก้อนนั้นมันกลายเป็นเสือขึ้นมาจะว่าอย่างไร มันจะยุ่งยากโกลาหลเดือนร้อนสักเท่าไร ถ้าก้อนเส้ามันกลายเป็นเสือขึ้นมา เดี๋ยวนี้เราไม่รู้นี่เราทำผิดนี่ ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กลายเป็นเสือขึ้นมา ผัสสะกลายเป็นเสือขึ้นมา จนจะพูดได้ว่าดิน น้ำ ลม ไฟ สำหรับเรามันกลายเป็นเสือขึ้นมาซึ่งขบกัดเราเพราะอวิชชา คือความโง่ของเราเอง ไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นจุดตั้งต้น อย่างคำว่า ก ข ก กา นั้นความรู้เรื่องตั้นต้นคืออายตนะ ๖ นี่หรือว่า ไอ้เรื่องอื่นๆที่อยู่ระดับเดียวกันน่ะ เรียกชื่ออย่างอื่นก็มีนะเรื่องอาหารเรื่องอะไรก็มีอยู่ในระดับเดียวกันกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็น ก ข ก กา รู้จักให้ดี ตั้นต้นให้ดี หมดเรื่องจบ ไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีความทุกข์เลย จิตนี้ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ จิตนี้ไม่ได้อยู่ในโลกไหน จิตนี้หลุดพ้นเป็นอิสระอยู่เหนือโลกเพราะการกระทำอย่างนี้ โดยจัดการให้ถูกต้องกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อมีผัสสะเท่านั้น จะปรุงจิตนี้ให้อยู่เหนือโลก ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ใดๆ นรกเกิดขึ้นในใจเพราะทำผิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์เกิดขึ้นในใจเพราะทำถูก ตรงกันข้ามกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นนิพพานจะเกิดปรากฎขึ้นในใจ ก็เพราะว่าทำถูกถึงที่สุด นี่แหละเรียกว่าเกินถูกไปเสียอีก ยิ่งกว่าผิด ยิ่งกว่าถูกไปเสียอีก นิพพานก็ปรากฎขึ้นในใจ เพราะการกระทำถูกเกี่ยวข้องกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือที่ผัสสะนั่นเอง ทำผิดที่ผัสสะชนิดหนึ่งเป็นนรกขึ้นในใจ ทำถูกชนิดหนึ่งที่ผัสสะเป็นสวรรค์หรือพรหมโลกนานาชนิดขึ้นในใจ ทำถูกถึงที่สุดยิ่งกว่าถูก ก็จะมี่นิพพานสิ้นสุดแห่งปัญหาขึ้นในใจ ขอให้มองให้เห็นชัดอย่างที่คำพูดสั้นๆว่า อะไรๆมันตั้งต้นที่ผัสสะ มีความรู้ข้อนี้ข้อเดียวนะว่าอะไรๆมันตั้งต้นที่ผัสสะ อาตมารับรองว่าได้กำไรเกินค่า ที่อุตส่าลงทุนมาสวนโมกข์คราวนี้ ทั้งคราวนี่ลงทุนเวลาเรี่ยวแรงเงินทองอะไรมาสวนโมกข์คราวนี้ จะมีความรู้ชัดเจนประจักษ์สักข้อเดียวว่าอะไรๆมันตั้งต้นที่ผัสสะนี่คุ้มค่าแล้ว มันจะเป็นการรู้พุทธศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้นเลย เพราะรู้เรื่องผัสสะอย่างเดียว นี่ประเด็นที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เอง วันหนึ่งทรงสาธยายอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาทอยู่ลำพังพระองค์เองคิดว่าไม่มีใครเห็น นี่ก็น่าแปลกนะเขาว่างเขาเงียบ ไม่มีใครกวน พระพุทธเจ้าแท้ๆท่านก็ยังพูดอะไรท่องอะไรเหมือนกับเราท่องร้องเพลง เหมือนกับร้องเพลงเล่น ท่านกล่าว อิทัปปัจจยตา อยู่อย่างที่ว่าเนี่ย จะขุนจะ ปติจะ รูเป จะ อุปัชชาติ วิญญาณัง ทินนัง ธรรมานัง สังคติ ปัตโส ปัตตาปัตยา เวทนา ปัจชญา ตัณหา เวทนา ปาทานัง ปาทาปัชญา พะโว ปัชญาชาติ ชาติปัตยา อัชญานัง โสกะเทวะโสกะ ปายาสา (นาทีที่ 1.46.51) ทุกข์ทั้งปวงเกิดขึ้น พอท่านท่องหมวดตา ตาจบแล้วก็ท่องหมวดหู แล้วก็ท่องหมวดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๖ หมวด พระบาลีเขียนไว้อย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้ายังมาท่องอิทัปปัจจยตา อยู่อีก ที่ท่าน ท่านสำคัญว่าไม่มีใครท่านก็ท่อง แต่พระองค์หนึ่งมาแอบฟังอยู่ข้างหลัง ข้างฝาข้างหลังกุฏิ ท่านเหลียวไปเห็นก็ อ้าว,อยู่ที่นี่แล้วก็กำชับว่านี่แหละคือ อาทิพรหมจรรย์จุดตั้งต้นของพรหมจรรย์ให้แกเล่าเรียน อาทิ ตัณหาติ รับเอาไปศึกษา ไปเล่าเรียนไปประพฤติไปปฏิบัติ ไปทำให้มากไปทำให้เจริญ กำชับอย่างนี้นี่คือเรื่อง อิทัปปัจจยตา ทั้งเรื่องน่ะ ทั้งเรื่องน่ะมันมีจุดสำคัญอยู่จุดเดียวที่ผัสสะ ถ้าควบคุมผัสสะได้ก็ไม่มีปัญหาไม่มีทุกข์ ควบคุมผัสสะไม่ได้เพราะไม่มีสติและปัญญาอย่างเพียงพอ ดังนั้นไปปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อให้มีสติและปัญญาอย่างเพียงพอ คล่องแคล่วว่องไวในการที่จะใช้มัน ควบคุมผัสสะได้หมด เรื่องจบหมด สองประโยคจบเรื่องพูดไม่ถึง ๒ นาทีมันก็จบเรื่อง นั่นน่ะคือหัวใจของพระพุทธศาสนาสำคัญอยู่ที่ผัสสะ นี่อาตมาก็พูด ๒ ชั่วโมงแล้ว เวลาสำหรับพูดตอนบ่ายนี่ ๒ ชั่วโมงนี่หมดแล้ว แล้วฝนก็กำลังจะตกสำหรับอาตมานี้ก็จะต้องพักไว้ทีก่อนไว้พูดตอนกลางคืนอีก ที่นี้พระคุณเจ้าทั้งหลายท่านจะช่วยพูดอะไรต่อไปก็ฟังได้ พอฟังได้ สำหรับอาตมาก็จะต้องขอหยุดพัก แล้ว ๒ ทุ่ม ๒ ทุ่มจะพูดอีก จะพูดเรื่องที่เพราะ น่าฟังกว่าเรื่องเหล่านี้นะ สุดท้ายนี่เรื่องระคายหูทั้งนั้นเลย ทุกคนมันโง่มันขึ้นต้นไม้มาจากทางปลายนะแล้วมันจะทำได้อย่างไร