แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกสธรรมจารีย์และท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายในรูปแบบของธรรมเทศนาไม่สะดวกแก่การที่จะบรรยายความรู้สึก จึงขอกล่าวในลักษณะที่เป็นรูปแบบปาฐกถาธรรมะสะดวกกว่า ดังนั้นจึงขอพูดกันในลักษณะอย่างนี้ ข้อแรกที่สุดที่ท่านทั้งหลายคิดว่าจะต้องพูดนั้นคืออะไร เมื่อกล่าวตามธรรมเนียมนั้นก็คือการขอบใจขอบพระคุณท่านที่มา เพราะว่าก็มีอยู่หลายคนเหมือนกันที่มาตามธรรมเนียม โดยรู้ว่าหรือถือว่าวันนี้คือวันบำเพ็ญกุศลเนื่องในอายุครบ ๗๗ ปี ตามธรรมเนียมที่เขามากันอย่างนี้ก็มี ก็ต้องขอขอบใจขอบคุณตามธรรมเนียม แต่ถ้าว่าเป็นผู้ที่มาด้วยความรู้สึกอย่างอื่นเพราะเข้าใจความหมายของคำว่าการบำเพ็ญบุญล้ออายุเป็นอย่างไรแล้ว รู้สึกว่าไม่ต้องกล่าวคำขอบคุณหรือขอบใจก็ได้ เดี๋ยวก็จะได้พูดกัน
ที่นี้อีกข้อหนึ่งก็คือว่าขออภัยหรือขอโทษ ถ้าหากว่าการต้อนรับท่านทั้งหลายผู้มาแต่ที่ไกล ซึ่งก็ไกลมากอยู่ มันมีความบกพร่องใดๆ ตามธรรมเนียมก็ต้องขออภัย อาตมาก็ขออภัยตามธรรมเนียม แต่ถ้ามาคิดถึงข้อที่ว่าท่านทั้งหลายมาในลักษณะที่จะเป็นการร่วมมือกันบำเพ็ญประโยชน์แก่พระศาสนาให้ยิ่งๆขึ้นไป มันก็กลายเป็นว่าเป็นเจ้าภาพเอ่อ,กันทุกคน อาตมาก็ไม่ต้องขออภัย ถือถึงกับว่าถ้าท่านทั้งหลายถือเป็นการบำเพ็ญกุศล ส่วนตัวท่านย่อมได้รับประโยชน์อันนั้นอยู่เต็มที่แล้ว ให้เชื่อว่าไม่น่าจะต้องขออภัยในการบกพร่องเกี่ยวกับการต้อนรับ ต้องการให้ท่านถือว่าท่านทุกคนเป็นเจ้าของบ้านเป็นเจ้าของเรื่องที่กำลังกระทำอยู่ ที่ร่วมกันในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท ผู้มีหน้าที่สนองพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา ถ้าท่านสำนึกในความเป็นพุทธบริษัท ท่านก็นึกรับผิดชอบ ตั้งใจจะกระทำสิ่งซึ่งเป็นหน้าที่ แสวงหาโอกาสที่จะทำหน้าที่ แล้วเราก็ร่วมมือกันทำหน้าที่ ไม่ต้องมีใครเป็นเจ้าของบ้านไม่ต้องมีใครเป็นอาคันตุกะ แล้วทำไมจะต้องขออภัยในความบกพร่องด้วยเล่า ขอทำจิตใจให้เกลี้ยงเกลาในเรื่องเหล่านี้กันเสียก่อน
สิ่งที่เราจะต้องนึกกันอยู่ตลอดเวลาก็คือว่าสนอง การตามสนองพระพุทธประสงค์ บางคนก็ทราบอยู่เต็มที่แล้วว่าสนองพระพุทธประสงค์อะไรกัน บางคนก็ยังไม่ทราบ ขอเตือนกันไว้บ่อยๆจะเป็นการดีกว่า ว่าพระพุทธประสงค์ที่สำคัญ ก็คือพระองค์อุบัติขึ้นในโลกนี้ด้วยความประสงค์ว่า จะเป็นแสงสว่างเครื่องนำทางให้เกิดประโยชน์ความสุขแก่สัตว์ทั้งหลายแก่มหาชนทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ เพราะว่าทรงประสงค์ว่าธรรมวินัยของพระองค์จะอยู่ในโลกนี้ เพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ และยังตรัสว่าพุทธบริษัททั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะช่วยกันทำอย่างสุดความสามารถของตน เพื่อให้ธรรมวินัยนี้ยังคงมีอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ เมื่อพระองค์ทรงล่วงลับไปแล้วโดย...(นาทีที่ 07.23) ประโยคที่ว่าเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์นี่มันเต็มไปหมด และก็ทรงหวังว่าพุทธบริษัททั้งหลายจะกระทำให้เป็นได้ตามนั้น นั่นน่ะคือพุทธประสงค์ ถ้าโลกกำลังจะวินาศก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะสนองพระพุทธประสงค์ให้มันปลอดภัย เพราะว่าโลกยังไม่ได้รับประโยชน์สุขตามที่ควรจะได้รับ ก็เป็นหน้าที่ของเราที่ทำให้โลกนี้ได้รับประโยชน์และความสุขเต็มตามที่ควรจะได้รับ นี่คือพุทธประสงค์คือพระพุทธประสงค์อันยิ่งใหญ่อันสูงสุดอันสำคัญ อะไรก็แล้วแต่จะเรียก เพราะว่าถ้าเรายังช่วยกันกระทำอยู่อย่างนี้พระศาสนาจะยังอยู่ ถ้าเราไม่ช่วยกันทำอย่างนี้ พระศาสนาหรือระบบพรหมจรรย์นี้ก็จะลบเลือนหายไป แล้วโลกจะเป็นอย่างไรถ้าว่าไม่มีพระศาสนาหรือธรรมะหรือระบบพรหมจรรย์นี้สำหรับช่วยโลก
พระพุทธองค์ก็ทรงเห็นข้อเท็จจริงอันนี้ ทรงเห็นประโยชน์อันนี้จึงได้ตรัสอย่างนี้ เป็นพระพุทธประสงค์แต่มันเป็นเหมือนกับสิ่งที่ทรงฝากไว้ ถ้าเรียกอย่างภาษานักประพันธ์น่ะเขาก็เรียกว่าพินัยกรรม คือคำสั่งเมื่อใกล้จะตายเขาเรียกว่าพินัยกรรม พระองค์ก็ทรงเขียนพินัยกรรมไว้สำหรับพวกเราคือข้อนี้ จงช่วยกันทำให้ธรรมวินัยยังอยู่ในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ นั่นน่ะคือข้อความที่ทรงเขียนสั่งไว้ในพินัยกรรมที่มอบให้กับเรา รวมเรียกว่าพระพุทธประสงค์ เราก็จะต้องช่วยกันเต็มที่ทุกคน เพื่อให้พระพุทธประสงค์นั้นเป็นไปได้ ถ้าท่านผู้ใดมาในสถานที่นี้ในโอกาสนี้ด้วยความหวังว่าจะร่วมกันร่วมมือกันร่วมแรงกันร่วมอะไรกันทั้งหมด เพื่อสนองพระพุทธประสงค์ก็นับว่าเป็นการดีอย่างยิ่งที่พุทธบริษัททุกคนยังรับผิดขอบในหน้าที่ของตนๆ อยู่ ก็ไม่ต้องมีใครเป็นเจ้าบ้าน ไม่ต้องมีใครเป็นอาคันตุกะ ไม่มีใครบกพร่องในการต้อนรับหรือว่าไม่มีใครที่จะได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษหรือวิเศษอะไร เหมือนกับพร้อมใจกันทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จประโยชน์ตามพระพุทธประสงค์ ถ้าใครไม่ตั้งใจจะสนองพระพุทธประสงค์มาตามธรรมเนียมตามประเพณี ถ้าการต้อนรับมันบกพร่องก็ขออภัยเฉพาะผู้นั้น
ที่นี้ข้อต่อไปที่จะพูดก็คือว่าจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำบุญที่เรียกว่าล้ออายุ ฟังดูมันประหลาดแล้วมันแปร่งหู เราจะเรียกกันโดยทั่วไปว่าทำบุญเนื่องในอายุครบปี อย่างนี้เป็นกลาง เรียกว่าทำบุญอายุเฉยๆ ทำบุญเนื่องด้วยอายุมันครบอะไรเรื่องอายุก็แล้วแต่ แต่มันมีการกระทำได้เป็น ๒ ลักษณะ คืออย่างต่ออายุก็มี อย่างล้ออายุก็มี ทำบุญเนื่องในอายุนี่ท่านเอาไปคิดไปนึก คนขี้ขลาดคนต้องการอะไรมากๆ อย่างอ่อนปัญญาอย่างปัญญาอ่อนน่ะคงจะทำบุญชนิดที่เรียกว่าต่ออายุกันทั้งนั้นแหละเพราะมันกลัวตาย แล้วมันจะเลี้ยงกันใหญ่ สนุกสนาน ถือว่าให้สิ่งของให้อะไรต่างๆ ให้พรให้อะไรกันใหญ่ ในการทำบุญต่ออายุ ก็ล้วนแต่ทุกคนเป็นพวกคนขลาดด้วยกัน คนที่มีความต้องการเกินกว่าเหตุด้วยกัน หรือว่าปัญญาอ่อนด้วยกัน ที่อาตมาเห็นว่ามันไม่มีประโยชน์เลยนะที่ทำอย่างนั้น เรามาทำบุญกันอีกแบบหนึ่งเรียกว่าล้ออายุจะดีกว่า มันจะเกิดมีธรรมะขึ้นมาในการล้ออายุนั่นเอง มันไม่ใช่ต่ออายุให้ยืดยาวเพราะกลัวตาย แต่มันล้ออายุ มันเหมือนกับการซักฟอกชำระชะล้างขูดถูให้อายุมันสะอาดขึ้น ถ้าจะเปรียบเป็นอุปมาก็จะพอจะเปรียบได้ว่า เราเลี้ยงเด็กให้กินขนม เด็กๆ น่ะเราจับมาเลี้ยงแล้วให้กินขนม หรือว่าอีกอย่างหนึ่งก็จับเด็กๆ มาอาบน้ำมาถูขี้ไคลมาขัดมาถูไม่ได้ให้กินขนมหรอก เด็กมันจะชอบอย่างไหน มาเลี้ยงขนมหรือว่าจับมาอาบน้ำถูขี้ไคลนี่มันต่างกันอยู่อย่างนี้ แต่ถ้าว่าใครเห็นว่าเอาจับมาอาบน้ำถูขี้ไคลมีประโยชน์กว่าละก็ คงจะจับอายุนั่นน่ะมาถูขี้ไคลมาล้างมาชำระชะล้างมากกว่าจะเลี้ยงขนม ไปต่อให้มันยาวออกมาอีก ไปเลี้ยงดูให้มันยาวไปเพราะความที่ว่ากลัวตาย
ที่ทำบุญแบบต่ออายุกับการทำบุญแบบล้ออายุมันคนละความหมาย ทุกคนทำได้ ทุกคนที่มานี่ทำได้คือร่วมกันล้ออายุ ล้อไม่เป็นอาตมาช่วยล้อให้ก็ได้ถ้าล้อไม่เป็น แต่ว่าขอให้ฟังดูเถอะคงจะล้อเป็นกันทุกคนแหละ คืออย่าไปกลัวตาย อย่าไปประจบความตายหรือว่าหวังที่จะต่ออายุ มาชำระชะล้างขูดเกลาให้เกิดความสะอาดแก่อายุที่จะยังคงอยู่ด้วยพระธรรม ด้วยพระธรรมนั่นเอง ที่เขายังสงสัยกันอยู่ก็ทำไมจะต้องอดอาหารกันสักวันหนึ่ง นี่มันเป็นการล้ออายุ ถ้ามองดูง่ายๆ ง่ายๆผิวๆ เผินมันก็เป็นการล้ออยู่แล้ว ก็ไม่ให้มันกินอาหารสักวันหนึ่ง ก็เหมือนกับว่าล้ออยู่แล้ว คนขี้ขลาดก็ทำไม่ได้ ต้องมีความกล้าสักหน่อยจึงจะล้อด้วยการอดอาหาร ที่จริงนั้นอาตมาต้องการจะให้เป็นการศึกษา การอดอาหารสักวันหนึ่งนี่จะเป็นการศึกษาอย่างไร ถ้าผู้นั้นสมัครใจจะอดไม่ใช่ว่าทำเพื่อ ไม่ใช่ทำแต่ท่าทางปากว่า แต่ว่าตั้งใจจะอดจริงๆ ด้วยความสมัครใจด้วยความพอใจด้วยความยินดีปิติจริงๆ เขาจะไม่เกิดความหิวเลยที่อดอาหารวันหนึ่งนี่ แต่ถ้ามันไม่จริงคือจิตใจมันไม่ได้สละออกไปจริงๆ ว่าจะไม่อดอาหารในวันนี้เดี๋ยวมันก็หิวแหละ
นี่ให้รู้เถอะว่าไอ้ร่างกายของเรานี้มันพิเศษมาก เอายังไงก็ได้ นี่เป็นข้อที่เราต้องรู้ว่าชีวิตนี้เราจะจัดมันอย่างไรก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เรามีแต่ความขลาดความกลัว ความไม่รู้ ความอ่อนแอนี่มันก็จัดมันไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจว่าไม่กินอาหารแน่วันนี้ ในความตั้งใจทั้งหมดนั้นก็ไม่หิวจริงเหมือนกัน แต่ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจจริงอย่างนั้น ไม่ได้ซื่อตรงอย่างนั้นมันก็ต้องหิวแหละ ไอ้จิตมันมีอำนาจเหนือร่างกายอย่างนี้แหละ อย่าไปเชื่อว่าร่างกายอยู่เหนือจิตเลย ไปเชื่อเถิดร่างกายอยู่เหนือจิต แบบ materialism ของพวกวัตถุนิยมแล้วมันก็จะต้องเห็นร่างกายอยู่เหนือจิต แล้วมันก็จะทุรนทุรายกระสับกระส่ายจะต้องหิว แต่ถ้าเรามันมีความเชื่อมีความแน่ใจว่าจิตมันอยู่เหนือร่างกาย สั่งให้เป็นอย่างไรก็ได้ มันก็ไม่หิวแหละ
ถ้ายอห์นยังบวชอยู่ ฝรั่งคนที่พูดเมื่อคืนน่ะ เขาว่าเขาเคยอดตั้งห้าวันเจ็ดวันไม่กินเลย วันหนึ่งฉันน้ำตาลก้อนเล็กๆ สี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งกับน้ำแก้วหนึ่งก็อยู่ได้ตั้ง ๗ วัน เขาว่าอย่างนี้ เขาใช้กำลังจิตเป็นเบื้องหน้า คือรู้เถิดว่าจิตสามารถจะสั่งร่างกายได้มากเกินกว่าที่เรารู้ แต่เรากลัว มันเป็นบทเรียนว่าดำรงจิตตั้งจิตไว้ให้แปลกให้มากให้พิเศษให้สูงไปกว่าธรรมดา บอกว่าวันนี้ไม่กิน ทางไหนก็หยุดกันหมด ไอ้น้ำย่อยอาหารก็หยุด อย่าไปเชื่อหมอนัก หมอเขาว่าถ้าเราไม่กินแล้วจะปวดท้องเพราะว่าน้ำย่อยอาหารมันทำงานมันทำให้กระเพาะป่วยนี่มันก็ไม่จริง ถ้าว่าจิตมันบอกว่าไม่เอาแล้วมันก็หยุดเองแหละ นี่เรียกว่าเป็นการศึกษาเพื่อรู้ยิ่งๆ ขึ้นไปว่าร่างกายอยู่ใต้อำนาจของจิต ที่เราไปฝึกฝนกันในเรื่องอื่นมุมอื่นกระแสอื่นมันมากขึ้นไป ที่จิตมันจะบังคับร่างกายให้เป็นไปได้ตามที่เราต้องการ ไม่ให้เจ็บปวดไม่ให้กระวนกระวายไม่ให้อะไรก็ได้ มันเป็นพื้นฐานอย่างนี้ ถ้าจะให้ของขวัญอดอาหารหนึ่งวันเป็นอะไรก็ได้ช่วงนั้นก็ขอขอบพระคุณ แต่ว่าไอ้ส่วนที่ดีกว่านั้นก็คือการอดเป็นการให้บทเรียนแก่ตัวท่านเอง ให้แน่ใจยิ่งขึ้นไปแน่ใจยิ่งขึ้นไปว่า จิตบังคับร่างกายได้ นี่เราจะปรับปรุงให้ทั้งคู่นี่ให้มันถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อบรรลุความดับทุกข์สิ้นเชิง
นี่เรียกว่าของขวัญอดอาหารหนึ่งวันนี่มันเป็นการศึกษา หรือถ้าว่ามันหิวขึ้นมาแล้วทำไม่ถูกตามเรื่องอย่างนี้ มันเกิดหิวขึ้นมา ก็ให้เป็นการศึกษาต่อไปอีกแง่หนึ่งว่าการหิวเป็นอย่างนี้เอง แม้แต่คนจำนวนมากในโลกที่เขาว่าไม่ค่อยมีอะไรกินยังหิวอยู่นั่นมันเป็นอย่างไร ในท้องเขาเป็นอย่างไร น่าสงสารอย่างไร เราจะรู้สึกสงสารเขามากกว่าที่เราไม่รู้เสียเลยว่าความหิวมันเป็นอย่างไร ถ้าอย่างนั้นมาศึกษาเรื่องความหิวกันเสียบ้างแล้วจะเห็นใจผู้ที่ยังหิวอยู่ เราอาจจะเสียสละให้เขาได้อิ่มขึ้นมาตามสมควรเพราะเรารู้รสของความหิวดีแล้ว ถ้าทุกคนตั้งใจจะอดข้าวกันสักคนละมื้อหนึ่งวัน คงจะประหยัดเงินได้ในหนึ่งวันนั้นเข้าใจว่าตั้งสองร้อยล้านบาททีเดียว คน ๔๘ ล้านคนไม่กินอาหารสักวันหนึ่ง สมมติว่าอาหารมัน ๕ บาทก็ต้อง ๒๐๐ ล้านบาท นี่ถ้าเราอดกันสัปดาห์ละครั้งก็จะประหยัดเงินได้แยะแล้วเอาไปช่วยคนที่มันยังหิวอยู่ก็ยังได้ ก็เรามันไม่หิวนี่ มีเรื่องอะไรที่จะต้องศึกษาให้รู้ให้เข้าใจเกี่ยวกับความหิว เกี่ยวกับความเสียสละ ความรักผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นนี่ มันจะต้องทำกันอย่างไร ควรจะเอามาเป็นบทเรียนนี้เรียกว่า อดอาหารหนึ่งวันเป็นของขวัญนี่มันให้ประโยชน์อย่างไรบ้าง บางคนคิดว่ามันทำบ้าๆบอๆ ทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำให้มันยุ่ง อาตมายืนยันว่าไม่ มันจะสอนอะไรให้มากทีเดียวถ้าเราเรียนกันเรื่องความหิว เรื่องบังคับจิต เรื่องบังคับกายนี่จะได้อะไรมาก
ทีนี้ก็มาถึงคำว่าล้ออายุ ล้อชีวิต ข้อแรกที่จะต้องคิดก็คือว่าไอ้อายุนี้มันยังโง่อยู่มากนะ อายุที่แล้วมา ชีวิตที่แล้วมาที่ผ่านมาๆ จนถึงวันนี้นั้นมันยังโง่อยู่มาก ไอ้ความที่มันยังโง่อยู่มากนั่นแหละคือสิ่งที่ควรจะล้อ จะเป็นชีวิตของเราเองหรือชีวิตของเพื่อนกันหรือว่าชีวิตของคนทั้งโลก ถ้ามันล่วงมาด้วยความโง่เขลาก็น่าสงสารและน่าล้อ ต้องถือว่ามันยังโง่อยู่ โลกจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความทุกข์ยาก ความลำบาก ก็เพราะไอ้ความโง่ของโลกนั่นเอง มันจะเป็นการล้อกันทีเดียวทั้งโลกก็ยังได้ เราจะต้องดูโลกที่อยู่ในสภาพที่น่าล้อที่มีความโง่อยู่ด้วยความโง่ อวิชชา ยิ่งโลกสมัยนี้แล้ว ไอ้จิตเขาก็ถือหลักกันว่าไอ้จิตอยู่ใต้กายหรือว่ากายอยู่เหนือจิต เขาพัฒนากันแต่วัตถุ ยิ่งทำยิ่งร้าย ยิ่งแก้ยิ่งผิดยิ่งลึก ควรจะช่วยกันทำให้โลกนี้มันมีแสงสว่างเดินถูกทางกันเสียบ้าง อาตมามีคำพูดที่สรุปไว้สั้นๆ ว่าไอ้โลกนี้มันยังอยู่ในสภาพที่น่าเวทนา โลกนี้มันอยู่ในสภาพที่น่าสังเวช มนุษย์ยังอยู่ในสภาพที่น่าละอายสัตว์ สัตว์เดรัจฉานพูดให้ง่ายๆ มนุษย์ยังอยู่ในสภาพที่น่าละอายแก่สัตว์เดรัจฉานจนกระทั่งน่าละอายแมว ที่อยากจะชวนให้นึกกันมากที่สุดเพราะว่าแมวมันไม่มีปัญหามากเหมือนมนุษย์ แมวไม่เคยปวดหัว แมวไม่เคยกินยาปวดหัว แมวไม่เคยนอนไม่หลับ คนนอนไม่หลับกันมากขึ้น ปวดศีรษะกันมากขึ้น เป็นโรคประสาทกันมากขึ้น สถิติการเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตกำลังพุ่งสูงขึ้นโดยรวดเร็ว มนุษย์ทั้งโลกกินยาระงับประสาทหรือยาแก้นอนไม่หลับนี่วันหนึ่งๆ คงจะเป็นกองเท่าภูเขาเป็นตันๆ แต่แมวไม่ต้องกินสักเม็ดหนึ่งมันก็ยังนอนหลับรวมทั้งสัตว์อื่นๆ ด้วย มนุษย์ยังอยู่ในสภาพที่ว่ามันน่าละอายสัตว์ แม้แต่แมวที่เราเลี้ยงไว้ดูเล่นในบ้านนั่นแหละ ดูให้ดี มันมีอะไรที่แย่ทำให้คนนี่รู้สึกละอาย มันไม่มีตัณหา มันไม่มีความทุกข์ มันไม่มีความเดือดร้อน มนุษย์นี่ดียังไง มีสติปัญญายังไง จึงทำให้ตัวเองสู้แมวก็ไม่ได้ แต่ในเรื่องความผาสุกในทางจิตใจ นอนหลับยากเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตกันมากขึ้น แล้วที่ลึกไปถึงเรื่องทางจิตทางวิญญาณแล้วก็มนุษย์เป็นอันธพาลมากขึ้น อาชญากรมากขึ้น นี่ก็ยิ่งเลวกว่าแมว ซึ่งไม่มีเรื่องก็ไม่ได้กัดกัน มนุษย์แม้จะไม่มีเรื่องก็ต้องหาเรื่องมากัดกันจนได้ นี่เรียกว่ามนุษย์มันกัดกันยิ่งกว่าสัตว์ อย่างน่าละอายสัตว์ มนุษย์ทำสงครามแก่กันมากกว่าสัตว์อย่างน่าละอายสัตว์
อาจเพราะว่ามนุษย์นี่มันถือศาสนาตัวกู ช่วยฟังไว้ด้วยว่ามนุษย์มันถือศาสนาตัวกู ไอ้แมวมันถือไม่เป็นมันถือไม่ได้เหมือนมนุษย์ แมวมันไปตามธรรมชาติ ไม่ได้ถือศาสนาตัวกูอย่างเข้มข้นเหมือนมนุษย์ อย่างที่มนุษย์กำลังรบราฆ่าฟันกันเดี๋ยวนี้ถ้าเป็นแมวมันไม่รบกันหรอก แม้ว่าถ้ารบกันแล้วทีเดียวมันก็หยุดแล้ว เพราะมันไม่ได้ถือศาสนาตัวกูมากเหมือนมนุษย์ นั้นเดี๋ยวนี้ศาสนาตัวกูกำลังเข้มข้นรุนแรงมากขึ้น มนุษย์ก็จะกัดกันยิ่งกว่าสัตว์ ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยบุคคลก็ดี โดยสังคมก็ดี โดยรวมกันทั้งโลกก็ดี มันกัดกันยิ่งกว่าแต่ก่อน นี่ขอให้รู้จักกดตัวเองหรือว่าทั้งโลกนี่ในลักษณะที่มันน่าสมเพชน่าล้อ น่าสมเพช จะขบขันก็ขบขันไม่ไหว มันน่าเกลียดน่าชังมันน่าสมเพชมันน่าละอายแทน มนุษย์ทำผิดในเรื่องวัตถุ มนุษย์ก็เป็นโรคภัยไข้เจ็บมากกว่าสัตว์ เป็นโรคมากกว่าสัตว์เป็นโรคเลวร้ายรุนแรงยิ่งกว่าสัตว์ เพราะมนุษย์มันเจริญด้วยปัจจัยของโรค ปัจจัยอะไรๆ ที่จะทำให้มนุษย์เป็นโรค เรากำลังเจริญด้วยปัจจัยอย่างนั้น คือการเป็นอยู่ที่ผิดธรรมชาติ ผิดหลักธรรมชาติผิดกฏของธรรมะ เรื่องกินเรื่องอยู่เรื่องนุ่งเรื่องห่มเรื่องอะไรก็ตามมันทำผิดธรรมชาติ เกิดเป็นปัจจัยแห่งโรคมากขึ้น โรคมันจึงมากทั้งทางกายทั้งทางจิต นั้นไอ้คำพูดที่ว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นบุญกุศลนี่ฟังดูแล้วมันเป็นยังไง มันจะไม่เป็นกุศลเสียแล้วนั่นมนุษย์สมัยนี้เดี๋ยวนี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มันยิ่งน่าละอายแมว
นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเอามาคิดนึกให้มันเกิดความละอายแล้วมันก็แก้ไขกันได้ ช่วยกันแก้ไขได้ มนุษย์กำลังทำลายทรัพย์สมบัติของทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาตินี่สัตว์ไม่เคยทำร้ายสักนิดหนึ่ง แม้แต่หนูสักตัวหนึ่งก็ไม่เคยทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แต่คนทั้งโลกนี่ทำลายทรัพยากรของมนุษย์จนจะหมดโลกอยู่แล้ว พวกแร่ธาตุ พวกโลหะธาตุ พวกน้ำมัน พวกอะไรก็ตามมันจะหมดโลกอยู่แล้ว มันทำลายทรัพยากรของธรรมชาติอย่างนี้ ไอ้ที่ทำลายนะเอาไปใช้อะไร เอาไปใช้ทำสงครามฆ่ามนุษย์กันเอง เอาทรัพยากรธรรมชาติขึ้นมาใช้ฆ่ามนุษย์กันเองนี่ส่วนหนึ่งละมากเหมือนกัน อีกส่วนหนึ่งก็ไปสนองกิเลสของมนุษย์ให้มนุษย์เป็นทาสของกิเลสมากขึ้น ทรัพยากรที่ขุดขึ้นมานั่นเอามาประดิษฐ์สิ่งที่สนองกิเลสของมนุษย์ โดยเฉพาะไอ้ยุคไฟฟ้ายุคอิเลคทรอนิกส์นี่ด้วยแล้ว สิ่งสนองกิเลสของมนุษย์มันมหาศาล ทำลายทรัพยากรของธรรมชาติมาส่งเสริมกิเลสของมนุษย์เพื่อทำลายมนุษย์เองโดยไม่รู้สึกตัว นี่ความน่าสงสารของมนุษย์ ควรจะมองเห็นและควรจะละอายควรจะเอามาล้อควรจะแก้ไข นี่พุทธบริษัทเราอย่าไปผสมโรงกับเขาเลย อย่าไปทำลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อฆ่ามนุษย์กันเองหรือเพื่อส่งเสริมกิเลสของตนเอง สร้างปัญหาเงินไม่พอใช้ไม่รู้จักสิ้นสุด เราคล้ายๆ กับว่าล้อเลียนพระเจ้า พระเจ้าสร้างโลกสร้างอะไรขึ้นมาในโลก มนุษย์ก็ทำลายๆๆ นี่มันกลับกันกับที่เขาเคยพูดกันว่า มนุษย์สร้างพระเจ้าทำลาย เดี๋ยวนี้ มนุษย์เป็นผู้ทำลายสิ่งที่พระเจ้าเขาสร้างไว้สำหรับให้มนุษย์ใช้เป็นประโยชน์ เป็นการล้อเลียนพระเจ้ามันก็มีความผิดมากมันจึงมีการได้รับโทษดังที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ไม่รู้จักพระเจ้า กระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า คัดค้านพระเจ้า ต่อสู้พระเจ้า ก็เหมือนกับเชือดคอตัวเอง ทั้งโลกกำลังเป็นอย่างนี้
สรุปความแล้วว่ามนุษย์มีความทุกข์มากกว่าสัตว์อย่างน่าละอายสัตว์ กิเลสของมนุษย์กำลังครองโลก กิเลสมันกำลังครองโลก ทำไมกิเลสขึ้นมาครองโลกได้ ก็เพราะอวิชชาความโง่เขลาของมนุษย์ นั้นการทำลายวิชาเสียนั่นแหละไอ้โลกนี้มันจะรอดได้ ทำลายมิจฉาทิฐิในโลกเสียโลกนี้จะรอดได้ นั้นเรามาล้อคนโง่ทั้งหลายรวมทั้งเราคนหนึ่งด้วยที่กำลังทำอะไรอยู่ในลักษณะที่เป็นเรื่องทำลายมนุษย์ทำลายโลกโดยไม่มีธรรมะ การศึกษาในโลกมันเป็นทาสของกิเลส กิเลสเป็นผู้วางหลักสูตรการศึกษา ขอบอกกล่าวครูบาอาจารย์ทั้งหลายกระทรวงศึกษาธิการ คุณไปรู้เสียบ้างนะว่ากิเลสต่างหากมันกำลังวางหลักสูตรการศึกษา การศึกษารูปนี้มันจะให้ผลเป็นอย่างไรก็ดู มันเหลือที่จะแก้ไอ้เรื่องศีลธรรมมันเสื่อมจนไม่รู้จะแก้กันอย่างไรอยู่แล้ว การศึกษาที่กิเลสเป็นผู้วางหลักสูตรนั้นมันจะให้ผลอย่างไรเล่า มันก็ให้ผลอย่างที่เห็นๆ กันอยู่เดี๋ยวนี้คือไม่มีศีลธรรมเหลืออยู่ในโลกแล้ว การศึกษาในโลกนี้ผลิตออกมาแต่สุนัขปากร้ายสุนัขช่วยเห่า ไม่ผลิตสุนัขเลียแผลเสียเลย การศึกษาในโลกนี้ปัจจุบันนี้ทั้งโลกมันผลิตออกมาแต่นักศึกษาชนิดที่เหมือนกับสุนัขปากร้าย สุนัขช่วยเห่า กัดแล้วช่วยกันเห่า ไม่ผลิตสุนัขที่เลียแผลให้หายเลย
นี่การศึกษาที่มันไม่มีธรรมะแห่งพระศาสนาที่ว่า เราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ประโยคนี้ไม่มีในหนังสือเรียนของนักศึกษาของกระทรวงศึกษา หากประเทศไหนในโลกมันไม่มีประโยคที่ว่าเราเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไม่มีประโยคที่ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าด้วยกันทุกคนหรือว่าทุกคนเป็นคนเดียวกันนี่ การศึกษาที่มันผิด มันเป็นการศึกษาที่กิเลสเขาจัดหลักสูตรเต็มไปด้วยอวิชชา มันเป็นอย่างนี้เอง แล้วจะให้คนในโลกมันรักกันนี่มันก็ไม่ได้ แม้จิตใจให้รักชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ของมันเองก็ทำไม่ได้หรอก เพราะมันจัดโดยกิเลส มันรักตัวกูมันถือศาสนาตัวกู ไปชวนรักชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ก็เหมือนชวนช้างลอดรูเข็มมันจะทำได้อย่างไร นี่ขอให้นึกถึงโลกกำลังอยู่ในสภาพเลวร้าย จะวินาศจะวินาศโดยทุกๆทาง ทางวัตถุก็วินาศ ทางจิตก็วินาศ ทางวิญญาณก็วินาศ แต่เจ้าของคือมนุษย์ก็ไม่รู้สึก นั้นเราเอามาพูดมาคิดมานึกกันในวันเช่นวันนี้เรียกว่ามันล้ออายุของทุกคน ของตนของเพื่อนและของโลก มาช่วยกันล้อให้นึกได้ให้มองเห็นให้นึกได้ ที่ทุกคนมันมองเห็นไอ้ปัจจัยแห่งความทุกข์กำลังมากขึ้นในโลก โลกจะเต็มไปด้วยปัจจัยความทุกข์ แต่ที่มนุษย์ไม่รู้จักรักกันนั่นแหละจะเป็นเรื่องปัจจัยของสงคราม
เดี๋ยวนี้มนุษย์แบ่งเป็น ๒ พวก มนุษย์แบ่งกันเองเป็น ๒ พวกตามความต้องการของกิเลส พวกนายทุน เขาเรียกว่าพวกนายทุนมีอำนาจทุน แล้วพวกชนกรรมาชีพมีอำนาจแรงงาน ใช้อำนาจทุนกับอำนาจแรงงานต่อสู้กันอย่างเป็นข้าศึกศัตรูกัน มันก็ทำให้เกิดความเกลียดชังกันระหว่างกันมากขึ้น เพิ่มความเกลียดชังกันมากขึ้น ไอ้โลกนี้มันก็ไม่มีทางที่จะสันติภาพได้ ธรรมะหรือพระเจ้าต้องการให้คนทุกคนอยู่ด้วยกันได้ ไอ้ลัทธิการเมืองนี่มันช่วยกันแบ่งแยกอย่าให้มันอยู่ด้วยกันได้ มันเกลียดชังกันยิ่งขึ้นทุกที นี่ละกิเลสจัดหลักสูตรการศึกษามันเป็นอย่างนี้ มาหลับตาเห็นภาพอุปมากันสักข้อหนึ่ง อาตมาคิดว่าจะเข้าถึงความจริงในปัจจุบันนี้ได้มาก มนุษย์พวกหนึ่งมันเหมือนกับปลา มันเหมือนกับปลา มันอยากให้น้ำท่วมใหญ่แล้วมันก็ได้กินมด มันไม่ได้เวทนาสงสารมดว่ามดโดนน้ำท่วมใหญ่มดมันไม่มีที่อยู่มันก็ทนทรมานไหลไปตามน้ำ ไอ้พวกปลาก็คอยหวังคอยจ้องอยู่เสมอว่ากูจะกินปลา เอ้อ,กูจะกินมด ไอ้พวกมดก็หวังอยู่ตลอดเวลาเหมือนกันว่าให้น้ำมันแห้ง เมื่อไรน้ำมันแห้งกูก็จะกินปลา มันจองเวรกันอย่างลึกซึ้งหลายซับหลายซ้อน คือว่าฝ่ายนายทุนหรือว่าฝ่ายปลาก็คอยจ้องจะกินมด ฝ่ายมดหรือฝ่ายชนกรรมาชีพมันก็คอยจ้องที่จะกินปลา มันไม่เคยคิดว่าเมื่อไรที่มีธรรมะมาช่วยให้มดกับปลามันอยู่กันได้ มันอยู่อย่างเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายกันได้นี่มันไม่มี
นี่ในโลกนี้ละคอยดูเถอะทั้งโลกล่ะ ไอ้ประเทศที่เจริญมากประเทศที่ก้าวหน้ามากมีอำนาจมากนั่นแหละนำ นำให้เกิดความแตกแยกเพื่อจะถือประโยชน์ของตนโดยฝ่ายเดียว นี่ประเทศเล็กๆ ก็ต้องพูดว่าโง่ด้วยเอาอย่างตามอย่าง เกิดลัทธิเอาอย่างที่จะแบ่งแยกเพื่อจะต่อสู้ทำลายล้างซึ่งกันและกัน เพราะว่าทั้งสองพวกนั่นถือศาสนาตัวกู ทั้งนายทุนและชนกรรมาชีพมันถือศาสนาตัวกู นั้นธรรมะเข้ามา นายทุนก็ตายหมดคือกลายเป็นเศรษฐีใจบุญไปเสียหมด เรียกว่านายทุนตายไม่ต้องฆ่า ทีนี้เมื่อได้ธรรมะเข้ามาไอ้ชนกรรมาชีพมันก็รู้ว่าต้องร่วมมือ ต้องอยู่ด้วยกันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย มันก็ไม่เป็นไอ้ชนกรรมาชีพใจร้ายเพราะมันหวังที่จะอยู่ด้วยกันร่วมมือด้วยกัน เหมือนกับต้นไม้ในป่าที่เห็นๆ อยู่ พอหน้านี้ต้นไม้ใหญ่ก็อยู่ด้วยกันกับต้นไม้เล็ก กระทั่งว่าตะไคร่เขียวๆ ที่โคนต้นไม้ใหญ่นะมันก็อยู่เป็นผาสุกก็ได้พึ่งพาอาศัยต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ก็ได้พึ่งพาอาศัยตะไคร่เขียวๆ ซึ่งให้ความชื้นมาก นี่เรียกว่าต้นไม้ใหญ่ขนาดยักษ์นี่มาเทียบกับไอ้ตะไคร่เขียวๆ ขุย ๆ ขี้โคลนนี่มันยังร่วมมือกันได้ และมันอยู่กันได้เป็นผาสุกต่างให้ประโยชน์แก่กันและกัน นี่มนุษย์มันเลวร้ายอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไร มันไม่คิดที่ว่าจะอยู่ด้วยกันร่วมกันในฐานะเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย
นี่อาตมาพูดเป็นปัญหารวมหมดของโลกเป็นเรื่องแรกว่าโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ พุทธบริษัทควรจะมองอย่างไรควรจะคิดนึกอย่างไร เราจะได้ช่วยกันแก้ไขแล้วต้องรู้จักความโง่ของเรา รู้จักความผิดพลาดของเรา เราจะล้างมันออกไป คือการช่วยแก้ไขโลกด้วยการให้ธรรมะกลับมา ให้ธรรมะกลับมาในโลกเป็นโลกที่มีธรรมะ เดี๋ยวนี้พระธรรมหรือธรรมวินัย ถ้าเรียกเต็มที่ว่าธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงหวังไว้ทรงฝากไว้ว่า ให้พุทธบริษัทจัดกระทำให้เป็นประโยชน์แก่มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์นี่ มันกำลังไม่เป็นไปตามนั้น ธรรมวินัยกำลังไม่เป็นไปในลักษณะที่จะช่วยให้คนในโลกมีธรรมะและอยู่กันเป็นผาสุก เจ้าหน้าที่ศาสนาเรียกว่า พระ เณร นักบวช อะไรก็ได้ เรียกว่าเจ้าหน้าที่ศาสนานี่แหละเป็นเจ้าหน้าที่โดยตรงที่จะต้องสนองพระพุทธประสงค์ แต่เดี๋ยวนี้ดูว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่ทำหน้าที่ของตน ปล่อยไปตามยถากรรม ร้ายกว่านั้นก็ถือเอาโอกาสนี้ทำหน้าที่เหมือนกับว่าพอน้ำท่วมปลากินมด พอน้ำลดมดกินปลา นี่คอยหาโอกาสอย่างนี้เสียเอง เจ้าหน้าที่ของพระพุทธเจ้าผู้จะสืบอายุพระศาสนาน่ะทำอย่างนี้เสียเอง แล้วมันจะสนองพระพุทธประสงค์ได้อย่างไรกัน มันก็ถูกด่าว่ามันทำนาบนหลังทายกไม่รู้จักสิ้นสุดแทนที่จะมาช่วยกันสนองพระพุทธประสงค์ เกิดการทำนาบนหลังทายกไปเสียมันก็ผิดพระพุทธประสงค์อย่างยิ่ง ไม่ค่อยจะเผยแผ่ธรรมะแต่ไปเผยแผ่สิ่งตรงกันข้าม คือแทนที่จะเผยแผ่พุทธศาสตร์ก็ไปเผยแผ่ไสยศาสตร์ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน
ไสยศาสตร์เขาทำไปด้วยความงมงายความโง่ แต่พุทธศาสตร์ต้องทำไปด้วยสติปัญญา มาช่วยเผยแผ่ไสยศาสตร์เสียมากกว่าที่จะเผยแผ่พุทธศาสตร์แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร เรื่องนี้สำคัญมากและเราควรยอมเสียเวลาเสียสละเวลาพิจารณากันเห็นจริงว่า ไอ้ปัญหาหนักมันอยู่ที่ความหลงของมนุษย์เป็นไปในทางของไสยศาสตร์ อย่างที่ท่านทั้งหลายไม่เคยคิดมาแต่ก่อน อาตมาขอดูถูกท่านทั้งหลายสักหน่อยเพราะว่าท่านไม่เคยคิดมาแต่ก่อนในข้อที่ว่า ไสยศาสตร์นี่มันเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาของมนุษย์ที่จะลืมหูลืมตาขึ้นมาสำหรับเดินให้ถูกทาง ท่านไม่ค่อยคิดกันไม่เคยคิด บางทีจะถือเอาประโยชน์อันนี้เป็นการกอบโกยประโยชน์ตนไปเสียอีก มันก็หมดหวัง เดี๋ยวนี้ก็จะทำกันแต่ในทางประโยชน์ของกู กลายเป็นถือศาสนา ตัวกูกันหมดทั้งฆราวาสทั้งบรรพชิต ที่ก็ไม่มีที่พึ่ง ไสยศาสตร์กลับเพิ่มขึ้น พุทธศาสตร์กลับหดลงๆ แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร การสร้างปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน เช่นสร้างพระพุทธรูปใหญ่ๆ สร้างพระเจดีย์ใหญ่ๆ สร้างโบสถ์วิหารใหญ่ๆ อะไรใหญ่ๆ นี่มันกลายเป็นเพิ่มกำลังให้แก่ไสยศาสตร์ ไม่เพิ่มกำลังให้แก่พุทธศาสตร์ เพราะสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมากราบไหว้บูชาตามหลักเกณฑ์ของไสยศาสตร์ เพื่อให้ได้กราบให้ได้ไหว้ให้ได้บนให้ได้บาน อธิษฐานแล้วก็มันก็จะได้รวยจะได้ประโยชน์ วิธีนี้เป็นไสยศาสตร์ แล้วจะไปกระทำกับพระพุทธรูป อาตมาบอกอย่างนี้ว่าคุณจะไปกระทำแก่พระพุทธรูป แก่พระเจดีย์แก่พระอะไรก็ตาม ถ้าทำโดยหลักการอย่างนี้มันเป็นไสยศาสตร์ คือโง่ก็ได้งมงายก็ได้ ไปกราบไปไหว้ไปอ้อนวอน ก็ทำให้เป็นไสยศาสตร์ แม้แต่กระทำต่อพระพุทธรูปต่อพระเจดีย์ต่อพระวิหารวัดวาอาราม
ถ้าว่ามีความรู้ถูกต้อง รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร เช่นพระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ของอะไร สัญลักษณ์ของบุคคลผู้สั่งสอนว่าอย่างไร นับถือท่านโดยอาศัยสัญลักษณ์นั้นไว้เป็นเครื่องเร้าใจ คนเหล่านั้นก็ไปปฏิบัติธรรม นั้นการกราบไหว้พระพุทธรูปของคนชนิดนี้ไม่เป็นไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์นี่เป็นตัวอย่าง เอาพระพุทธรูปมาแขวนคอนี่มันเป็นไสยศาสตร์ก็ได้ถ้าทำไปด้วยความงมงาย เอาพระพุทธรูปมาแขวนคอมันเป็นพุทธศาสตร์ก็ได้เมื่อทำด้วยความรู้อย่างถูกต้องว่านี่มันคืออะไร สัญลักษณ์ของอะไร เอามาเตือนสติเราอย่างไร เดี๋ยวนี้เราเอาพระพุทธรูปมาแขวนคอเพื่อส่งเสริมไสยศาสตร์ไปเสียหมด ไม่ส่งเสริมพุทธศาสตร์ นั้นช่วยก็ไปทำความเข้าใจกันให้ดีๆ ท่านทั้งหลาย ว่าลูกหลานของท่านทั้งหลายกำลังทำผิดในเรื่องนี้ ไปสอนเขาให้ดีๆ ว่าขอให้ทำอะไรในลักษณะที่เป็นพุทธศาสตร์เถิด อย่าให้วกมาเป็นไสยศาสตร์เลย นี่เป็นเรื่องที่จะต้องพูดกัน โดยที่ว่าเป็นเรื่องที่น่าล้ออย่างยิ่ง คือพลัดหลุม พลัดตกไปในหลุมของไสยศาสตร์ อาตมาขอดูถูกท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งว่าท่านทั้งหลายไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์ รู้จักอย่างผิวเผิน รู้จักสำหรับจะไปด่าเขาอย่างโง่ๆเขลาๆ ไอ้คนที่อ้างตัวเองว่ามีความรู้อวดรู้แล้วไปด่าไสยศาสตร์อย่างโง่ๆเขลาๆน่ะ คนนั้นน่ะไม่รู้ว่าไสยศาสตร์คืออะไร คือไม่รู้ว่าไสยศาสตร์นั้นมันมีรากฐานลึกซึ้งอย่างไร มันจำเป็นสำหรับมนุษย์พวกไหน แล้วมันจะละกันต่อเมื่อไร นั้นขอบอกว่าเลิกด่าไสยศาสตร์เถิดมันจะโง่เอง
ไอ้สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์นี่มันจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์เป็นศาสนาของคนปัญญาอ่อน คุณอย่าปัญญาอ่อนสิอย่าเป็นผู้ปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์จะหมดอำนาจหมดกำลัง ถ้าคุณยังเป็นปัญญาอ่อนอยู่มันก็ยังต้องการไสยศาสตร์อย่างที่หลีกไม่ได้ช่วยไม่ได้ เรามีกฎบัตรข้อหนึ่งบัญญัติลงไปว่าไสยศาสตร์เป็นศาสนาของคนปัญญาอ่อนเลิกไม่ได้ ต้องเก็บไว้สำหรับปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันยิ่งขึ้น เอาละเป็นอันว่าในการบรรยายครั้งแรกนี่จะยอมเสียสละเวลาพูดเรื่องไสยศาสตร์กันดีกว่า เพราะมันเป็นต้นตอแห่งปัญหาของโลกทั้งโลกเลย มันเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยงอวิชชาไว้มากเหลือเกิน ไสยศาสตร์เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ให้ยังคงมีกำลังรุนแรงอยู่ตลอดเวลา เอาพูดไปตามลำดับจะดีกว่า เห็นวินิจฉัยคำว่าไสยศาสตร์โดยตัวหนังสือกันสักทีก็ดี เพราะว่าเดี๋ยวนี้อาตมาก็โง่เหมือนกันไม่รู้ว่าคำว่าไสยศาสตร์มันแปลว่าอะไรมีความหมายอย่างไร บอกเพื่อนฝูงกันว่าเราเอาตามที่เรียนในโรงเรียนบาลีเด็กๆ ก็ได้ ว่าไสย แปลว่าดีกว่า คำหนึ่ง ไสยอีกคำมันแปลว่าหลับ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรนักที่จะถือว่าไสยศาสตร์ในทั่วไปนี่มันมาจากคำพูดสองคำนี้ แต่เมื่อมันไม่รู้มาจากคำไหนมันไม่รู้มันไม่มีทางจะรู้ได้ก็จำเป็นจะต้องยอมรับว่า มันมาจากคำสองคำนี้เพราะมันมีทางที่จะอธิบายให้เห็นได้
ไสยศาสตร์ที่ว่าดีกว่า คำว่าไสยแปลว่าดีกว่า มันหมายความว่าดีกว่าไม่มี มันดีกว่าไม่มี มีไสยศาสตร์ดีกว่าไม่มี ขอให้ระลึกนึกถึงป่า คนป่าสมัยหมื่นปีแสนปีแรกมีมนุษย์ในโลกเขาไม่มีความรู้อะไรเลย แล้วก็คนเขาก็พบความรู้อะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้พอใจคือการทำให้เขาสบายใจแล้วกัน จะเป็นความรู้ผิดถูกไม่ต้องพูดแต่ถ้าทำแล้วเขาสบายใจเขาก็ต้องชอบเขาก็ต้องยอมรับในสภาพที่ว่ามันดีกว่าไม่มี นั้นครูบาอาจารย์สมัยนั้นเขาจะสอนอะไรขึ้นมาเป็นรูปไสยศาสตร์ มันก็รับเอาทันทีเพราะว่ามันดีกว่าไม่มีเพราะว่ามันทำให้สบายใจ นี่ไสยศาสตร์ในชั้นแรกมันก็จำเป็นเพราะมันยังดีกว่าที่จะไม่รู้อะไรหรือทำอะไรไม่เป็นเสียเลย ไอ้ความรู้ในขั้นแรกๆ สมัยตาบู สมัยอะไรที่เขาเรียกกันนั้นน่ะมันก็ดีกว่าไม่มีความรู้อะไรเสียเลย เพราะว่าคนพูดหรืออาจารย์คนแรกมันต้องสังเกตเห็นอะไรบ้างเป็นธรรมดาละว่าอะไรมันจะช่วยได้บ้างก็พูดไปตามนั้น เป็นความรู้ในชั้นแรกจัดว่ามีผีมีสางมีเทวดาอยู่ในบ้าน ในน้ำ ในอากาศ ในต้นไม้ ในอะไร เรามาบูชากันอย่างนี้แล้วเราก็สบายใจขึ้นมันก็ถูกสิ มันดีกว่าไม่มี ไอ้ความรู้ไสยศาสตร์มันก็เริ่มต้นได้เพราะมันพิสูจน์ความมีประโยชน์ในชั้นไสยศาสตร์
ทีนี้ไอ้ไสยคำนี้ อีกคำหนึ่งรากศัพท์มันหมายความว่าหลับ หลับหรือหลับอยู่ มนุษย์ควรจะมองเห็นว่ามันยังหลับอยู่มันยังไม่ทันจะตื่น ไอ้ความรู้ในระดับนี้ความเชื่อในระดับนี้พิธีกรรมทั้งหลายในระดับนี้มันยังหลับอยู่ ในระดับที่หลับอยู่ แม้ว่ามันจะไม่อะไรมากกว่านั้นมันก็ยังมีประโยชน์ทั้งที่มันยังหลับอยู่ แปลว่าถือศาสนาอย่างงมงายนี่ดีกว่าไม่มีถือเสียเลยใช่ไหม ข้อนี้ใครจะยอมรับไหมว่าถือศาสนาอย่างงมงายมันยังดีกว่าไม่มีศาสนาอะไรจะถือ ถ้าเมื่อมันพิสูจน์ความสบายใจบ้างแล้วก็เป็นที่แน่นอนน่ะว่าคนเขาก็ต้องเอาละห้ามไม่ฟัง มันจะนับถือเทวดาผีสางต้นไม้จอมปลวกอะไรก็ตามถ้าว่ามันสบายใจบ้างคนก็ต้องยึดถือว่ามันมีประโยชน์แม้มันจะยังหลับอยู่ ไอ้ศาสนาในระดับที่ยังหลับอยู่ยังไม่ตื่นขึ้นเหมือนกับพุทธศาสตร์ พุทธะเแปลว่าตื่นหรือตื่นจากหลับ นี่ไสยศาสตร์ก็คือมันยังหลับอยู่แต่มันดีกว่าที่จะไม่มีเสียเลย ที่ว่าไสยแปลว่าดีกว่า ดีกว่าคือดีกว่าทีจะไม่มีเสียเลย ไม่ใช่มันจะดีกว่าพุทธศาสตร์ไปได้ แต่มันก็ดีกว่าที่จะไม่มีศาสตร์อะไรเสียเลย เราจึงมีพุทธ เอ่อ,มีไสยศาสตร์ที่แน่นแฟ้นอยู่ในความยึดถือ เพราะเรายังโง่ เรายึดถือให้ฉลาดไม่ได้เราก็ต้องยึดถือเท่าที่เราจะรู้สึกได้ว่ามันทำให้เราสบายใจ นี่เรียกว่าโดยตัวหนังสือ คำว่าไสยศาสตร์มันแปลว่าดีกว่าที่จะไม่มีก็ได้ แล้วก็ยังหลับอยู่ก็ได้
ทีนี้มันยังหลับอยู่นั่นแหละ มันก็จะถูกไปทั้งหมดไปได้ แต่เดี๋ยวนี้ขอให้มองดูไปในแง่ที่ว่าไสยศาสตร์นี่มันเป็นสิ่งที่สร้างปัญหา สร้างปัญหาให้มนุษย์มากที่เรียกว่ามากที่สุดแล้วก็ลึกที่สุด แล้วก็พัวพันกันยุ่งเหยิงที่สุด เอาแค่ ๓ ที่สุดก็พอ คือมันปัญหามากที่สุดที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ แล้วปัญหานี้ลึกซึ้งในสันดานน่ะมากที่สุดเกี่ยวกับไสยศาสตร์ แน่นแฟ้นมาก แล้วพัวพันกันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าไอ้ด้ายยุ่งไอ้กลุ่มด้ายยุ่งๆเข้า ไอ้ปัญหาทางไสยศาสตร์ โลกมันถูกครอบงำอยู่ในปัญหาอย่างนี้มันจึงลืมตาไม่ขึ้น แม้ว่าจะมีการศึกษาเจริญก้าวหน้าเป็นวิทยาศาสตร์เป็นบัณฑิตเป็นอะไรกันเต็มที่แล้วไอ้ความรู้สึกทางไสยศาสตร์มันก็ยังอยู่ ต่อให้ไปเรียนจากเมืองนอกมีปริญญาเป็นหางมาถึงเมืองไทยก็ยังไม่ละทิ้งไอ้ไสยศาสตร์ได้ คือความกลัวโดยไม่มีเหตุผล ความอยากโดยไม่รู้จักประมาณ ความเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ได้ไม่เห็นหน้าได้ไม่รู้จักได้ เป็นสิ่งที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แม้จะไปเรียนวิทยาศาสตร์จบปริญญาวิทยาศาสตร์มามันก็ไม่ละทิ้งความรู้สึกอันนี้ได้เพราะมันฝังอยู่ลึก อาตมารู้จักด็อกเตอร์อังดรัวต์คนหนึ่งจบมาจากประเทศฝรั่งเศส สิ่งแรกที่มาถึงประเทศไทยที่เขาจะทำคือไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี เขาบอกว่าช่วยแนะให้ทีจะไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ สิ่งที่เขาจะทำ ก็แปลว่าไอ้การศึกษาที่เมืองนอกมันไม่ช่วยแก้ความรู้สึกแบบไสยศาสตร์ได้ นักวิทยาศาสตร์มันก็ยังงมงายในด้านจิตใจแม้มันจะสว่างไสวในด้านวัตถุ มันยังงมงายด้านจิตใจ นั้นความหวังที่จะได้อะไรจากสิ่งที่มองไม่เห็นตัวหรือความงมงายนั้นมันก็ยังเหลืออยู่เท่าเดิม
ทีนี้ก็มาดูกันว่ามันมีรากฐานอะไรที่ได้ลึกซึ้งนัก ถ้าเราอาศัยความรู้เรื่องชีววิทยา ไอ้วิทยาศาสตร์แขนงนี้ ก็พอรู้เรื่องสัญชาตญาณของสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ มันมีสัญชาตญาณมีความรู้สึกที่เกิดได้เองตามธรรมชาติอยู่อย่างเต็มที่ เช่นสัญชาตญาณอันแรกอันโตอันใหญ่ก็คือสัญชาตญาณแห่งความมีตัวกู ความรู้สึกว่ามีตัวฉันเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของสัญชาตญาณอื่นๆ สัญชาตญาณที่จะกินอาหาร สัญชาติญาณที่จะเติบโต สัญชาตญาณที่จะสืบพันธุ์ สัญชาตญาณที่จะป้องกันตัว สัญชาตญาณที่รวมหมู่กันเป็นฝูงต่อสู้ข้าศึกศัตรู สัญชาติญาณเหล่านี้ไปดูกันเสียก่อนว่ามันจริงตามนั้น มันเป็นสัญชาตญาณที่เกิดได้เองตามนั้น เกิดตามธรรมชาตินี่เป็นสัญชาตญาณ ทีนี้สัญชาตญาณที่มีตัวกูนี่เข้าใจว่ามีตัวกูนี่ มันเป็นสัญชาตญาณที่อวิชชา นั้นคนเราจึงเห็นแก่ตัวกู คนเราจึงกลัวตายได้โดยไม่ต้องมีใครสอน นี่พอถามทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดนี้ใครรู้จักกลัวตายโดยต้องมีใครมาสอน พ่อแม่ก็ไม่ได้สอนครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้สอน มันรู้จักกลัวตายขึ้นมาได้โดยสัญชาตญาณ เด็กทารกเพิ่งคลอดออกมามันรู้จักกลัวเจ็บแล้วรู้จักกลัวตาย กระทั่งรู้จักกลัวสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไรนะ แล้วพ่อแม่นั่นแหละต้องขออภัยนะไม่ใช่เนรคุณพ่อแม่ พ่อแม่นั่นแหละเป็นผู้สอนไสยศาสตร์ให้ลูกทารกมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
ทีแรกเด็กทารกคลอดมาจากในท้องก็ไม่รู้เรื่องอะไร อะไรดีอะไรชั่วเขาก็ไม่รู้ เอาละครั้งแรกที่ว่าพ่อแม่จะสอนน่ะ เอ้า,ไหว้พระ ไหว้พระ เห็นพระเดินมาก็สาธุแล้วก็ต้องไหว้ ไหว้แล้วจะดี ไหว้แล้วอธิบายอะไรไม่ถูกก็บอกแต่ไหว้แล้วจะดีจะสวยจะรวยจะดี เด็กๆ เขาก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาก็ต้องไหว้ตามที่แม่บอกว่ามันจะดี ไสยศาสตร์มันตั้งต้นตรงนี้ ที่ยอมทำโดยที่ไม่ต้องรู้เหตุผลข้อเท็จจริงอะไรล่ะ เพียงแต่เชื่อว่าทำแล้วดีทำแล้วกัน เดี๋ยวแม่ก็เอา พ่อแม่ก็ได้ใครก็ได้เอาเส้นด้ายอะไรไม่รู้มาแขวนข้อมือให้แปลว่าจะปลอดภัยนะ เอาลูกอะไรมาแขวนข้อมือให้แล้วบอกเด็กทารกว่าจะปลอดภัยนะ เด็กทารกก็ยอมรับสิว่าไอ้นี้แม่ให้แขวนนี่จะปลอดภัย อาตมาเมื่อเล็กๆ ก็เคยแขวนนะ ใช่ว่าจะว่าแต่คนอื่น แล้วความรู้สึกว่านี้ดีนี้จะปลอดภัยนี้เป็นโชคดีที่ได้แขวน มันก็ฝังไอ้ความรู้สึกแบบไสยศาสตร์ว่ามีสิ่งคุ้มครองป้องกันเพียงแต่เราไหว้เพียงแต่เราแขวน เพียงแต่เราท่องบน เท่านั้นแหละเราก็จะได้ผลที่เราต้องการ ไสยศาสตร์มันลงรากและปักหลักมั่นลงไปในจิตใจแห่งสัตว์ที่มีสัญชาตญาณแห่งตัวกูรักตัวกูป้องกันตัวกูปลอดภัยมันมากเกินไป นั้นเราแต่ละคนๆได้รับการสั่งสอนอะไรมาบ้างที่เป็นรากฐานของไสยศาสตร์ เพื่อให้ทำอะไรไปโดยไม่ต้องรู้ตัวว่ามันไม่ต้องรู้เหตุผลว่าทำไมเป็นอะไรไม่ต้องรู้ว่ารู้แต่ว่ามันดีมันจะได้ที่ดีมันก็มีโชคดี ถ้าว่าเด็กๆ เขาชอบกินอะไร เขาก็ถือว่าถ้าได้กินอันนั้นมันก็ดี ไม่มีคนมาบอกว่าอย่างนี้มันจะทำไม่ได้อย่างนั้น ก็รับเอาในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ คำว่าศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละเป็นรากฐานของไสยศาสตร์ แล้วทำด้วยศรัทธาไม่ใช่ปัญญา มันเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์แล้วต้องทำด้วยศรัทธา ศรัทธาทุ่มเทความเชื่อลงไปเถอะก็เป็นไสยศาสตร์ แต่ถ้ามันไม่มีคำว่าศักดิ์สิทธิ์ มันมีเหตุผลมันต้องทำด้วยปัญญา อย่างนี้มันไม่เป็นไสยศาสตร์ได้ มันเป็นพุทธศาสตร์ ถ้าเป็นไสยศาสตร์ต้องเอาศรัทธามาเป็นพื้นฐาน ก็ทำไปโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ พิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์ไม่เป็นไสยศาสตร์ ไม่ต้องมีการพิสูจน์แล้วก็โดยศรัทธา นั่นก็เข้ารูปกันเป็นสัญชาตญาณแห่งตัวกูที่กลัวตายที่อยากได้ทุกอย่าง
ไสยศาสตร์มันมาแล้วตั้งแต่อ้อนแต่ออกตั้งแต่แรกคลอดออกมาจากท้องแม่ ที่ได้รับคำบอกได้รับคำสอนให้กลัวอะไรอย่างไม่มีเหตุผล ให้หวังอะไรอย่างไม่มีเหตุผล พ่อแม่เขาสอนผิดในเรื่องนี้จนเด็กๆ กลัวจิ้งจก กลัวตุ๊กแก กลัวกิ้งกือนี่มันเป็นเรื่องเด็ก ฝ่ายที่ไม่มีเหตุผลอยู่ในฝ่ายไสยศาสตร์ไปหมด จนกระทั่งว่าโชคดีโชคร้ายเชื่อเรื่องโชคดีเชื่อเรื่องโชคร้ายไม่ต้องมีเหตุผลไม่ต้องมีความรู้ มันก็เป็นไสยศาสตร์ไปหมด อำนาจของไสยศาสตร์มันแทรกซึมเข้าไปแล้วทุกขุมขนในเด็กทารก กว่าเด็กทารกจะเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวนี่ มันได้ฝังอิทธิพลของไสยศาสตร์เข้าไปในจิตในวิญญาณในเลือดในเนื้อทุกขุมขน แล้วจะเอาออกได้อย่างไร ที่มาต่อมาจึงจะมาศึกษาพุทธศาสตร์ โตแล้วน่ะสิ ไอ้ไสยศาสตร์มันอยู่เต็มปรี่อยู่เป็นเจ้าเรือนอยู่แล้วจะเข้าไปได้อย่างไร นี่พุทธศาสตร์หรือสติปัญญามันเข้าไปได้ยาก เว้นไว้แต่ว่ามันจะปะเหมาะมันทำถูกวิธีเท่านั้นแหละ มันจึงจะล้างของเก่าในจิตในวิญญาณที่เป็นฝ่ายไสยศาสตร์ออกไปได้ เอาฝ่ายเป็นพุทธศาสตร์ใส่เข้าไปแทน เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เอาออก มันก็มีลักษณะเหมือนกับน้ำชาเต็มถ้วยเติมลงไปอีกไม่ได้ เติมเข้าไปมันไม่ลง มันมีจิตมีวิญญาณของคนที่เกิดขึ้นมาตามที่ธรรมชาติ แม้ในหมู่ชาวพุทธ พุทธบริษัทนี่ ก็มีเต็มอยู่ด้วยไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์มาทีหลังแต่เข้าไปไม่ได้ เข้าไปไม่ถูก
ถ้าท่านเคยศึกษาโบราณคดี ท่านก็รู้ได้และเชื่อได้ว่าแผ่นดินแหลมทองของเรานี้ศาสนาพราหมณ์มาก่อน ตั้งแต่มนุษย์ติดต่อกันได้จากอินเดียกับสุวรรณภูมินี่มันก่อนพุทธศาสตร์ นั้นศาสนาพราหมณ์มันมาก่อน นั้นพวกเราก็เอาความรู้อย่างพราหมณ์อย่างเป็นไสยศาสตร์มาใส่ไว้แล้วอย่างเต็มที่ในประชาชน ที่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ๓๐๐ กว่าปีถึงจะส่งพุทธศาสนามาสู่สุวรรณภูมิ มันก็มาปะทะกันกับไสยศาสตร์ มันก็ยากที่จะไปเลิกไอ้ไสยศาสตร์มาถือพุทธศาสตร์ ฉะนั้นในคัมภีร์ในตำนานจึงเขียนไว้น่ากลัวมากเลยว่า พระโสณะอุตตระที่เอาพระพุทธศาสนามาเผยแผ่ที่สุวรรณภูมินี้ ต้องมาต่อสู้กับยักษ์กับภูตกับปีศาจกับรากศพมหาศาลเลย กว่าพระสงฆ์องค์นี้จะประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงไปในสุวรรณภูมิแผ่นดินนี้ได้ และในเรื่องก็ปรากฏชัดอยู่ว่าท่านชนะด้วยพรหมชาลสูตร พระโสณะอุตตระท่านชนะไอ้พวกภูตผีปีศาจที่มีอยู่ที่สุวรรณภูมินี้ด้วยพรหมชาลสูตร นั้นไปเปิดดูพรหมชาลสูตรจะได้พบว่ามิจฉาทิฐิ ๖๒ ชนิด ถูกกวาดล้างออกไปด้วยปัญญาของพระพุทธเจ้า ท่านต้องมาสอนให้เขาเลิกละมิจฉาทิฐิตั้ง ๖๒ ชนิด นั่นละคือภูตผีปีศาจรากศพ ไอ้ที่มันยึดครองแผ่นดินอยู่ เรามันถือตามภาษาคนตามตัวหนังสือมากเกินไป ถ้าเราถือโดยภาษาธรรมเราก็จะเข้าใจได้ว่าต้องมาเปลี่ยนทิฐิ ต้องมาเปลี่ยนมิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิตามหลักแห่งพรหมชาลสูตร พระโสณะอุตตระจึงสำเร็จประโยชน์ในการประดิษฐานพระพุทธศาสนาลงในแหลมสุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิทั้งหมดนี่
ทีนี้มันก็ต้องมีปัญหาอีกแหละ แล้วไอ้ไสยศาสตร์เก่ามันจะไปไหนกัน มันก็อยู่ในจิตใจของประชาชนนั่นแหละ ทีนี้มันพอจะเห็นได้มองเห็นได้ว่าไอ้ไสยศาสตร์นี่มันเป็นประโยชน์จำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน แล้วคนปัญญาอ่อนมีเหลืออยู่เท่าไรในแผ่นดินนั้นมันก็ต้องรับเอาไสยศาสตร์ไว้ตามเดิม คนจะไปถือพุทธศาสตร์ได้ก็มีแต่คนปัญญาไม่อ่อนเท่านั้นแหละ จนกระทั่งบัดนี้แหละไสยศาสตร์ยังเป็นศาสนาจำเป็นสำหรับคนปัญญาอ่อน ที่คนปัญญาอ่อนมันมากนี่แล้วผู้ปกครองบ้านเมืองจะทำอย่างไร ก็คนปัญญาอ่อนก็ถือไสยศาสตร์ไปก่อนสิ คนปัญญากล้าก็ถือพุทธศาสตร์เพิ่มขึ้นทีหลัง อาตมาเชื่อเดี๋ยวนี้มีความเชื่อว่า สมัยโบราณนั้นน่ะเขายอมให้ถือกันพร้อมกันไปทั้งไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์เพื่อประโยชน์แก่บ้านเมือง เพื่อประโยชน์แก่ผู้ครองเมือง เพื่อประโยชน์แก่การปกครองง่ายๆ ถ้าคนถือไสยศาสตร์นี่พลเมืองจะอยู่ในสภาพที่ปกครองง่ายเป็นประโยชน์แก่การปกครอง สนับสนุนราชาธิปไตยได้โดยง่าย จึงมีการถือพร้อมกันทั้งสองศาสนาโบราณคดีศรีวิชัยของเมืองไชยานี้ไปค้นดูทุกวัดที่มันมีเมื่อ ๑๓๐๐ ปี มาแล้ว หน้าโบสถ์พุทธจะมีโบสถ์พราหมณ์ แม้แต่ว่าหน้าวัดของพุทธนี่ทางทิศตะวันออกจะมีโบสถ์ของฝ่ายพราหมณ์ ฝ่ายฮินดูบ้างละ โบสถ์ราย...1.10.43 บ้าง.โบสถ์นารายณ์ แล้วก็พบพระนารายณ์พบพระศิวะอยู่ในโบสถ์ในวิหารที่ทางด้านตะวันออกของโบสถ์พระพุทธ ถ้าไม่ยอมให้ถือศาสนาพร้อมกันทั้งสองศาสนาแล้วมันจะทำได้หรือมันจะอยู่อย่างนั้นได้หรือ ก็แปลว่าบ้านเมืองนั่นแหละสนับสนุนในถือทั้งพุทธและทั้งไสยพร้อมกันมา
ทีนี้ที่แปลกกว่านั้นอีกก็คือว่าที่วัดเรียกว่าวัดแก้วอยู่ตรงนี้เพิ่งขุดกันเร็วๆนี้ ในพระเจดีย์องค์ประธานนะองค์ประธานซึ่งเป็นของพุทธ ในนั้นก็มีศิวลึงค์และมีพระเนศ พิฆเนศ เทวรูปฝ่ายพราหมณ์พระพิฆเนศ รูปพระอิศวร แล้ว ศิวลึงค์ก็คือสัญลักษณ์ของพระอิศวร มาอยู่รวมกันในที่บูชาประธานของพุทธนั่น จะโดยเหตุอะไรก็ตามโดยผู้มีอำนาจก็ตามหรือพระสงฆ์ก็ตาม ท่านยอมให้มีปูชนียวัตถุฝ่ายฮินดูฝ่ายพราหมณ์มารวมอยู่ในที่บูชาของฝ่ายพุทธ เป็นเครื่องชวนให้เชื่อว่าเขายอมให้ถือสองศาสนาพร้อมกัน คนไหนปัญญาอ่อนก็ไหว้ศิวลึงค์เสียก่อนสิ แล้วคนไหนปัญญาแข็งก็ไหว้พระพุทธรูปในที่แห่งเดียวกันนั่นแหละ อาตมาเดาเอาเองนะ เชื่อว่าเป็นอย่างนี้เพราะไปดูไอ้โบราณวัตถุแล้วมันรู้สึกอย่างนี้ เอาละเป็นการเชื่อได้ว่าเขายอมให้ถือศาสนาคราวเดียวพร้อมกันทั้งสองคือทั้งพราหมณ์ทั้งพุทธ เพราะว่าเราถือไสยศาสตร์และพุทธศาสตร์พร้อมกันมาจนเรื่อยๆมา และบัดนี้ดูให้ดีในพิธีกรรมทั้งหลาย อย่าเอ่ยถึงพระราชพิธีเลยมันจะเป็นการจ้วงจาบ ว่าพิธีของพุทธบริษัททั้งหลายนั่นมีไสยศาสตร์เจืออยู่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ไหว้พระพุทธรูปอย่างเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ แล้วยังจะเอาถาดอาหารถวายพระพุทธรูปให้ฉันเสียด้วยนะ คิดดูสิมันยังมีเหลืออยู่จนบัดนี้ การไหว้พระพุทธรูปอย่างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ขอให้ทำกันอย่างวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ขอร้องโดยไม่มีเหตุผล บวงสรวงอ้อนวอนต่อพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ นี่มันคือไสยศาสตร์ เสียห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วในพิธีของพุทธบริษัทนั่นเอง พิธีสำคัญของพุทธบริษัทมีไสยศาสตร์เจืออยู่ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ให้สังเกตดูเอาเองแต่ที่มันมีความงมงายส่วนไหนส่วนนั้นเป็นไสยศาสตร์ ก็บอกแล้วตะกี้ว่าแม้แต่กราบพระพุทธรูปน่ะเป็นไสยศาสตร์ได้ ถ้าทำไปอย่างงมงายว่ามันจะให้ผลพิเศษโดยไม่มีเหตุผล แต่ถ้ากราบพระพุทธรูปว่า นี่เป็นสัญลักษณ์อย่างผู้ที่ช่วยโลก ช่วยโลกสำเร็จมาแล้ว มีคำสอนดับทุกข์ได้อย่างที่เรารู้อยู่ แล้วเรากราบพระพุทธรูปอย่างนี้ กราบพระพุทธรูปอย่างนี้เป็นพุทธศาสตร์ แต่คนโดยมากจะกราบพระพุทธรูปอย่างไสยศาสตร์ทั้งนั้น แม้ที่เอามาแขวนคอก็เหมือนกันแหละ แขวนอย่างไสยศาสตร์เป็นส่วนมาก แถมยกแก้วเหล้าข้ามหัวเสียด้วยนะ นี่ถ้าแขวนอย่างไสยศาสตร์ ถ้าว่ามันเป็นพุทธศาสตร์มันก็รู้ว่านี่คืออะไร คือใคร คือผู้ที่ทำหน้าที่อย่างไร เอาสัญลักษณ์ของท่านมาแขวนไว้ที่คอกันลืม และเพื่อจะทำตามท่านโดยสะดวก เราก็แขวนพระพุทธรูปในลักษณะเป็นพุทธศาสตร์
นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้นน่ะ มีอีกทุกอย่างๆ ที่ว่าทำโดยงมงายแห่งไสยศาสตร์ ทำโดยสติปัญญาแล้วก็ต้องเป็นพุทธศาสตร์ ที่นี้ไสยศาสตร์มันฝังแน่นมาเท่าไรแล้ว มันฝังแน่นมาแต่สัญชาตญาณแห่งตัวกู เมื่อคลอดออกมาเป็นคนป่าสมัยแรกๆ มันก็ไม่รู้อะไร มันก็ถือศาสนาเดา ศาสนาไม่ต้องอธิบายไม่มีเหตุผลไม่ต้องอธิบาย มันจึงมีการไหว้ต้นไม้ไหว้จอมปลวกไหว้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ไหว้อย่างบทสวดพระ เว สะระณัง ยันติ ที่สวดพระสวดกันอยู่นั่นน่ะ แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือด่าเขานะ ไอ้พวกด่าไสยศาสตร์มันๆปากสุนัขไปเอง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ด่าขนาดนั้น ท่านว่านี้ไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษมมันไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด เนตัง โข สรณัง เขมัง เนตัง สรณมุตตมัง ท่านว่าเพียงเท่านั้นแหละ ยังไม่ขึ้นมาถึงระดับสูงสุด นั้นไม่ต้องไปด่าไสยศาสตร์ เพราะว่ามันเป็นของที่ต้องด่าโดยประการทั้งปวงเพราะมันยังดีกว่าไม่มีนะ มันจะเป็นลัทธิที่ยังหลับอยู่มันก็ยังดีกว่าไม่มี เราจึงต้องเก็บไว้ให้คนปัญญาอ่อนสำหรับจะได้ปรับปรุงกันต่อไป นั้นอยากจะขอร้องว่าที่จะไปบอกเด็กให้ไหว้พระ ไหว้พระคนๆ ก็ดี ไหว้พระพุทธรูปก็ดี ให้เด็กๆ เอาพระพุทธรูปมาแขวนเป็นพระที่คอก็ดี ช่วยอธิบายเขาให้พ้นจากความเป็นไสยศาสตร์ ให้มันเป็นพุทธศาสตร์ เห็นว่าผ้าเหลืองมาเหลืองๆ ก็ไหว้ๆๆ จะดีจะมีบุญมีกุศลเด็กก็ไหว้ นั่นมันเป็นการฝังไสยศาสตร์ลงไปในเด็ก ต้องบอกให้เด็กรู้ว่าผ้าเหลืองนี่คืออะไร สัญลักษณ์ของอะไร คนที่ห่มผ้าเหลืองนี่คืออะไร แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรมาก เขาก็สืบอายุของพระพุทธศาสนาไว้ให้พวกเรา นี่เราจะไหว้พระ ในอินเดียเขาเรียกพระนักบวชทั้งหลายว่าสาธุๆ อยู่จนกระทั่งบัดนี้ ที่บ้านเมืองสุวรรณภูมิรับวัฒนธรรมอินเดียนี้พอเห็นพระเดินมาก็จะสอนเด็กให้ร้องว่าสาธุๆ แล้วก็ไหว้ คำว่าสาธุนั่นคือพระนั่นเอง ทีนี้เด็กเขาก็ไหว้ด้วยความรู้สึกอะไร เพราะว่าท่านทั้งหลายเคยเป็นเด็กมาแล้วนี่ เมื่อท่านถูกสอนให้ไหว้พระครั้งแรกที่สุดนั่นท่านไหว้พระด้วยความรู้สึกอย่างไร ท่านจะรู้ถึงกับวันนี้มันสร้างสมอย่างนั้นๆ เปล่าทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็เป็นไสยศาสตร์คือการไหว้โดยไม่ต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าดี จะได้โชคดีจะได้บุญจะได้รวยจะได้สวยจะได้ไปในทางดี มันก็เป็นลงรากไสยศาสตร์ในหัวใจของเด็ก ตั้งแต่การสอนให้ไหว้พระเป็นครั้งแรก แล้วพาไปวัดไหว้พระในโบสถ์หรือเอาพระเครื่องมาแขวนคออะไรก็ตามมันเป็นไหลไปในทางไสยศาสตร์ ก็ฝังอยู่ในจิตใจอย่างแน่นแฟ้น ต้องมีความกลัวเหลือประมาณ งมงายในความกลัวในความอยากได้เหลือประมาณ นั้นไสยศาสตร์จึงมั่นคงได้รากฐานที่มั่นคงในหัวใจของมนุษย์ก่อนพุทธศาสตร์ ไม่ว่าชนชาติไหนภาษาไหนในโลกนี้ เด็กๆ จะต้องถูกสอนให้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนโดยที่ไม่ต้องรู้ว่าอะไรทั้งนั้น ฉะนั้นไสยศาสตร์จึงครอบงำจิตใจของมนุษย์ในโลกนานแล้วตั้งเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ มันยากที่จะมาเป็นพุทธศาสตร์ อาตมาจะต้องพูดหรือต้องขอโอกาสพูดแล้วขออภัยต่อเพื่อนศาสนาอื่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู ศาสนาอิสลาม ศาสนาอะไรก็ตามที่มีพระเจ้า โดยพูดว่าการสอนให้เด็กเชื่อและยอมรับว่ามีพระเจ้า ไหว้พระเจ้าเป็นครั้งแรกนั่นน่ะคือไสยศาสตร์ คือไสยศาสตร์เต็มตัวแหละ เพราะเด็กจะนับถือพระเจ้าอ้อนวอนพระเจ้าขออะไรจากพระเจ้าโดยไม่รู้เหตุผลและนั่นคือไสยศาสตร์ แต่เขาไม่ยอมเรียก เขาจะอย่างศาสนาคริสเตียนนี่เขาก็มีเป้าหมายว่าจะกำจัดไสยศาสตร์เหมือนกันให้หมดไปจากโลก แต่หารู้ไม่ว่าการที่สอนให้ถือพระเจ้าโดยไม่มีเหตุผลนั้นมันคือไสยศาสตร์ แล้วมันก็ยังมีอยู่จนบัดนี้ ระบบผูกขาดให้เชื่อโดยไม่ให้วินิจฉัยอะไรนั้นคือไสยศาสตร์ แล้วมันมีที่ไหนมีในศาสนาไหนมีในใครนั่นแหละคือไสยศาสตร์ทั้งนั้น นั้นเราจงมองเห็นเถอะว่าไสยศาสตร์น่ะมันฝังแน่นอยู่ในสันดานของคน แล้วก็บางทีอาจจะลงไปถึงของสัตว์ก็ได้เพราะสัตว์มันก็รู้จักกลัวสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไรอยู่เหมือนกันละ นั้นสัญชาตญาณที่กลัวอะไรโดยที่ไม่ต้องรู้จักนี่มันก็เป็นรากฐานของไสยศาสตร์ มาตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานมาถึงมนุษย์สมัยคนป่า สมัยที่ค่อยๆ รู้อะไร ค่อยๆ รู้อะไร มันก็ยังไม่พ้นจากความเป็นไสยศาสตร์ นับว่าเป็นมิจฉาทิฐิฝังแน่นก็มันยังแน่นแฟ้นจนกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้า ซึ่งตรงกันข้าม พุทธะแปลว่าตื่นนอน ไสยแปลว่าหลับ ไสยศาสตร์แปลว่าหลับอยู่ พุทธศาสตร์แปลว่าตื่นจากหลับ นี่เราเป็นพุทธปฏิญาณตัวเป็นพุทธ แต่หัวใจมันเป็นไสยศาสตร์ไม่น้อยกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์นั่น จะด่าจะเรียกว่าด่าหรือไม่ พวกที่ถือพุทธประกาศตัวเป็นพุทธนะมันเป็นไสยศาสตร์อยู่มากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะมันเชื่อสิ่งเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล แล้วก็จัดพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้วิเศษผู้เหนือเหตุผลอะไรเสียด้วย มันก็ทำพุทธศาสนาให้เป็นไสยศาสตร์ไปเสียอีก คงจะพอแล้วกระมังที่จะแสดงให้เห็นว่ามันเป็นปัญหาหนักจากอะไร ว่าไสยศาสตร์มันสร้างปัญหามากเท่าไร ไสยศาสตร์มันสร้างปัญหาลึกเท่าไร ไสยศาสตร์มันสร้างปัญหาที่พัวพันซับซ้อนยุ่งยากสักเท่าไร ใครจะสู้หรือใครจะยอมแพ้ ถ้ายอมแพ้แล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าไม่ยอมแพ้จะต่อสู้ก็เอาสิ มันก็ต้องลำบากบ้างในการที่จะล้ออายุ ล้ออายุของเราที่มันฝังเข้าไปในไสยศาสตร์ตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้ว จะดึงออกมาให้เป็นพุทธศาสตร์ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ต้องอาศัยความกล้า ถ้าไม่กล้าแล้วไม่กล้า มันไม่กล้าถอนออกมาเพราะมันเชื่องมงายฝังแน่นเสียแล้ว จะมาถือพุทธศาสตร์มันต้องกล้าพอ ต้องลืมตาพอไม่หลับตาอีกต่อไป รู้ทุกสิ่งอย่างถูกต้อง ถูกต้องคือดับทุกข์ได้ ถูกต้องตามแบบของพวกตรรกวิทยาของพวกปรัชญาบ้าทั้งนั้น อธิบายจนเฟ้อจนฟังไม่ถูกแล้วว่าถูกต้องคืออย่างไร หรือว่าจริง นั้นคืออย่างไร อย่าไปเอากับมัน จะเอาแต่ว่าถ้าจริงเรื่องดับทุกข์ได้ จริงมีเยอะแยะไม่เอาเอาแต่ที่ดับทุกข์ได้ก็จะเรียกว่าจริง ที่ว่าถูกต้องน่ะ มันมีคำอธิบายมาก ถูกต้องน่ะแต่อย่าไปเอากับมัน เอาที่ดับทุกข์ได้ ถ้ามันดับทุกข์ได้อย่างเป็นสันทิฐิโกนั่นคือถูกต้องละ นั้นเรามาลืมตาเป็นพุทธศาสตร์กันเสียใหม่จากไสยศาสตร์ที่เคยหลับตา แล้วก็ละอายแก่ใจว่าเรามีรากฐานไสยศาสตร์มาตั้งแต่เกิด จนบัดนี้แหละถ้าใครยังยึดถืออะไรเป็นเรื่องขลังเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องโชคลางเป็นเรื่องไม่ยอมให้พิสูจน์ ไม่ยอมให้พิสูจน์ไม่ยอมให้ใครแตะต้องแล้วมันยังเป็นไสยศาสตร์อยู่ จะทำกันอย่างไรในหมู่พุทธบริษัท ที่เหมือนกับลอยคออยู่ในหนองของไสยศาสตร์ บัณฑิตก็ไม่ค่อยจะได้อยู่นี่ มันต้องกล้าหาญเท่าไร ต้องมีปัญญามีความรอบรู้เท่าไรมีกำลังจิตที่เข้มแข็งสักเท่าไรจึงจะล้างไสยศาสตร์ออกให้ได้
อาตมาก็เคยพูดทุกปีที่ล้ออายุ ก็พูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งทุกปี เรื่องใดเรื่องหนึ่งเสมอละ ที่จะเป็นการล้างหรือว่าเป็นการล้อ กลับมาถูขี้ไคลกันเสียที แล้วปีนี้วันนี้เดี๋ยวนี้ก็กำลังพูดเรื่องไสยศาสตร์ที่ควรจะเอามาล้อตัวเอง แล้วก็มาอาบน้ำมาถูขี้ไคลกันเสียสักที อย่าล้ออายุด้วยการเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกเลย มาล้ออายุกันด้วยการที่ทำให้กิเลสอ่อนเพลีย ให้อวิชชาอ่อนเพลีย เพื่อจะล้างออกไปเสียได้ จึงคิดว่าท่านทั้งหลายก็คงจะถือเอาประโยชน์ได้ ตามที่ควร ทำไมเราจึงปัญญาอ่อน เพราะว่าไอ้ศรัทธางมงายมันมาแย่งเอาไป แย่งรากฐานเอาไปหมด ศรัทธาที่งมงายมันมาแย่งรากฐานเอาไปหมด รากฐานของปัญญา ปัญญาจึงทรุดลงเป็นปัญญาอ่อน ปัญญาอ่อนอย่างนี้หมายความว่าปัญญาทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาอ่อนทางวัตถุ เด็กๆ ทุพพลภาพ เด็กหรือสัตว์พิการสมองพิการปัญญาอ่อนอย่างนั้นไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้ ปัญญาอ่อนในเรื่องนี้หมายถึงว่ามันอ่อนไปด้วยความรู้ความถูกต้องของพระธรรม มันปัญญาอ่อนอย่างนี้ ไอ้เด็กปัญญาอ่อนที่เก็บไว้ตามโรงพยาบาลนั่นไม่เป็นไร นั่นมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความไม่สมประกอบของระบบกาย แต่คนที่มีร่างกายดีกลับมีปัญญาอ่อนเพราะรู้ผิดนี่คือสิ่งที่เป็นปัญหา ที่ทำให้โลกนี้จมอยู่ในความมืดไม่ลืมตา เราเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ปัญญาอ่อนเท่าไรมันก็ยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นแหละ ใครปัญญาอ่อนเท่าไรเขาจะยิ่งชอบยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นน่าเห็นใจ จะแก้ไขกันอย่างไรมันก็ต้องเพิ่มปัญญาอย่าให้อ่อนให้เป็นปัญญาแข็ง ถ้าถูกด่าว่าปัญญาอ่อนอย่าโกรธเลย ถ้าเขาหาว่าเราปัญญาอ่อนบ้างก็อย่าโกรธเลยเพราะมันอ่อนอยู่จริงๆ รีบทำให้มันกล้าแข็งเสียเถิด
นอกจากนี้จะขอโอกาสขออภัยด้วยนะเพราะว่าเรื่องที่จะพูดนี่ดูมันค่อนข้างจะรุนแรง เพราะไอ้โรคปัญญาอ่อนปัญญาอ่อนหลายๆ อย่างหลายๆ ชนิด มีอยู่ชนิดหนึ่งซึ่งกำลังเลวร้าย คือความคิดความเชื่อที่ว่าพระมหานิกายนี้เป็นแต่เพียงเณร มีคนพูดว่าพระมหานิกายทั้งหลายนี่เป็นแต่เพียงเณร ใครพูดก็ตามใจเถอะ อาตมาจะถือว่าคนปัญญาอ่อนมันพูด จะเป็นพระไม่ใช่เพราะอย่างอื่นเพราะปฏิบัติอย่างพระนะ ไม่ใช่ว่าสืบสายเลือดอุปัชฌาย์มาอย่างบริสุทธิ์นั่นมันปัญญาอ่อน แต่เป็นพระมันต้องปฏิบัติอย่างพระ แม้ว่ามันสืบสายเลือดอุปัชฌายะมาที่จริงก็หลอกลวงทั้งนั้นแหละ ให้มันสืบสายเลือดอุปัชฌายะ มาอย่างนั้นลองปฏิบัติผิดเถอะมันก็ไม่ใช่พระทั้งนั้นแหละ เพราะมันไม่ได้เป็นพระเพราะสืบสายเลือดอุปัชฌาย์ มันเป็นพระเพราะปฏิบัติถูกต้องว่าพระจะต้องปฏิบัติอย่างไร แล้วมาหาว่าพระมหานิกายทั้งหลายในประเทศไทยนี่เป็นเพียงเณร คุณก็คิดดูเถอะปัญญาอ่อนกี่มากน้อย แล้วพระพม่าพระลังกาเขาจะมองพระไทยว่าอย่างไรเหมือนว่าพระไทยมีแต่เณร พระพม่าพระลังกามีพระอย่างนั้นเหรอ นี่ไอ้ความสืบสายเลือกอุปัชฌายะมันปนกันยุ่งจนพิสูจน์ไม่ได้ จนเป็นที่ตั้งแห่งความโง่เขลาของไสยศาสตร์ว่าเป็นพระเพราะอุปัชฌาย์ ไม่ใช่เป็นพระเพราะว่าปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของพระอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ นี่ปัญญาอ่อนมันให้โทษเท่าไร ปัญญาอ่อนมันให้โทษกี่มากน้อย มันทำให้เกิดคำพูดว่าพระมหานิกายเป็นแต่เณร พวกปัญญาอ่อน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าจะเป็นคนชั่ว คือ ชจฺจา วสโล โหติ ไม่ใช่ว่าเป็นคนชั่วเพราะชาติกำเนิดไม่ใช่เป็นคนดีเพราะชาติกำเนิด แต่ว่าเป็นคนชั่วเพราะประพฤติชั่วเป็นคนดีเพราะประพฤติดี คือกรรมที่กระทำ นั้นเราจะเป็นคนชั่วเป็นคนดี เป็นพระ เป็นเณร เป็นอุบาสกอุบาสิกา ที่ดีที่ไม่ดีมันอยู่ที่การกระทำเห็นชัดๆอยู่ ไม่ใช่ว่าเรื่องสืบสายเรื่องคาดคะเนเรื่องสมมติ เป็นเรื่องปัญญาอ่อน เดี๋ยวนี้มันมีผลมากถ้าว่าจะพูดหรือยอมรับว่าพระมหานิกายทั้งหลายเป็นแต่เณรนี้ จะมีผลแก่พุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างยิ่งนะ เอาเถอะยกไว้ให้คนปัญญาอ่อนไม่ต้องพูดกันนักก็ได้ ก็เราไม่ได้เป็นพระเพราะสืบสายอุปัชฌาย์หรอก อุปัชฌาย์นั้นเป็นผู้รับเข้าหมู่เท่านั้นแหละ แล้วโดยเฉพาะหมู่นั้น เดี๋ยวนี้เราไม่อยากจะอยู่ในหมู่นั้นก็ได้ เรามีหมู่ของเราที่ประพฤติปฏิบัติถูกต้องเราก็เป็นพระอยู่ดี อย่างนี้จะมากกว่าที่จะไปถือว่าเป็นพระที่แท้จริงเพราะสืบสายอุปัชฌายะเป็นต้น เขาใช้คำว่าเป็นต้น ขอยืนยันว่าจะเป็นพระที่ดีก็เพราะประพฤติอย่างพระเท่านั้นแหละ ช่วยจำไว้ด้วย ถ้าเขาประพฤติอย่างพระละก็เป็นพระแหละ ถ้าเขาประพฤติดีก็เป็นพระที่ดี ไม่ใช่เพราะการสืบสมมติอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ละปัญญาอ่อนและเป็นไสยศาสตร์ด้วย ถ้าถือว่าเป็นพระที่ดีเพราะสืบสายนั่นนี่มานั่นแหละคือไสยศาสตร์แล้วก็ปัญญาอ่อนด้วย ที่ว่ามันรุนแรงไปหน่อยก็ว่าขออภัยพูดอย่างที่เรียกว่า มันต้องเห็นแก่ความจริงเห็นแก่ความถูกต้อง เพราะว่าถ้าเป็นปัญญาอ่อนขนาดนี้แล้วตัดสังโยชน์ ๓ ไม่ได้ละ ถ้าปัญญาอ่อนว่ามหานิกายเป็นแต่เณรอย่างนี้ละก็ คนๆนี้จะตัดสังโยชน์ ๓ เพื่อจะเป็นพระโสดาบันก็ไม่ได้ เพราะความคิดอย่างนั้นมันเป็นสีลัพพตปรามาส ไม่รู้ว่าเหตุผลของสีลัพพต เป็นอย่างไร ถ้ายังมีการคิดอยู่อย่างนี้ไม่มีทางที่จะตัดสีลัพพตปรามาสได้มันจึงไม่มีหวังแม้แต่จะเป็นพระโสดาบัน นี่คือปัญญาอ่อน นั้นก็เป็นปัญหาเฉพาะหน้าปัญหาจริงเป็นปัญหาจริงที่มีอยู่จริง ช่วยขจัดออกไปเสียไม่ใช่เป็นปัญหาสมมติ เป็นอันว่าอย่ามีปัญญาอ่อนชนิดไหนเลย ถ้ามีปัญญาอ่อนอะไรเหลืออยู่นั้นคือสีลัพพตปรามาสขัดขวางไม่ให้เลื่อนขึ้นไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ในชั้นต้นจะต้องตัดปัจจัย ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ล้วนแต่ปัญญาอ่อนทั้งนั้น ตัดปัญญาอ่อนเหล่านี้หมดได้แล้วก็จะเลื่อนขึ้นไปจากปุถุชนไปเป็นพระโสดาบัน เข้ากระแสแล้วไม่ต้องกลัวๆ ก็จะเดินไปเองจนถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่อย่าอวดนะอวดแล้วจะบ้านะ อวดว่าเป็นโสดาบันก็ดีอวดว่าเป็นพระอรหันต์ก็ดีล้วนแต่คนบ้าทั้งนั้น เพราะมันไปยึดถือหมายมั่นอย่างนั้นเข้าไปอีก มันจะกลับปัญญาอ่อนลงมาอีกถึงอวด นั้นคนปัญญาอ่อนนั้นจะอวด คนปัญญาไม่อ่อนไม่มีอวด จะมีอะไรก็ไม่อวด จะดี ก็ไม่อวดเพราะปัญญามันไม่อ่อน ถ้ายังมีการอวดอะไรอีกก็ปัญญาอ่อนทั้งนั้น เราประพฤติได้อย่างนี้แล้วก็อวด ดูหมิ่นคนอื่น ทับถมคนอื่นว่าประพฤติไม่ได้นั่นคือคนปัญญาอ่อน นั้นปฏิบัติอะไรได้เคร่งครัดกว่าคนอื่นแล้วอย่าอวดนะ ถ้าอวดจะกลายเป็นปัญญาอ่อนไปทันที ไม่ไปข้างหน้าหรอกมันจะถอยหลัง นั้นประพฤติอะไรได้ดีกว่าคนอื่นสักนิดหนึ่งก็อย่าอวดเลยอย่ากล้าอวดเลย มันจะเป็นปัญญาอ่อน ขอให้ปรับปรุงตัวอีกแหละ นั้นอย่าอวดเคร่ง ถ้าเคร่งที่ถูกมันอวดไม่ได้นะ ถ้าอวดเคร่งแล้วมันบ้านั่นแหละเพราะสิ่งที่เรียกว่าเคร่งนั้นมันอวดไม่ได้มันเป็นสิ่งที่อวดกันไม่ได้ ไม่เคร่งเครียดไม่หย่อนยานนั่นแหละคือเคร่ง มันอยู่ตรงกลาง นั้นสิ่งที่เรียกว่าเคร่งเป็นจิตที่แท้จริงนั้นมันไม่เคร่งเครียดและมันไม่หย่อนยาน คือเป็นมัชฌิมาปฏิปทาแล้วมันเลยอวดไม่ได้ เพราะถ้าอวดมันต้องอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอีกแหละ นั้นอย่าอวดเคร่งเป็นอันขาด ใครก็ดีสำนักไหนก็ดีอย่าได้อวดเคร่ง เพราะถ้าอวดเคร่งไอ้โรคปัญญาอ่อนก็ขึ้นสมองแหละ คำว่าอวดเคร่งจะไม่มีในหมู่พุทธบริษัท บรรพชิตก็ดีฆราวาสก็ดีจะไม่มีคำว่าอวดเคร่ง เพราะคำว่าเคร่งมันคือความถูกต้องซึ่งอวดไม่ได้และไม่ต้องอวด ถ้าปัญญามันอ่อนมันก็อยากจะดี เอากำไรโลภมากโดยไม่ทำอะไรมันก็อวดเคร่ง กริยาท่าทางบ้างอะไรบ้างมันก็อวดเคร่งไปหมด นี่คือไสยศาสตร์เป็นเหตุให้อวดเคร่ง ไม่ต้องลงทุนอะไรให้เหน็ดเหนื่อยใช้เป็นเรื่องหลอกลวงหรือตบตาไปเสียหมด
นี่มันพอจะเห็นได้แล้วว่าไสยศาสตร์นั่นคือความไม่มีเหตุผล คือความไม่ยอมใช้เหตุผล ไอ้เรื่องเหตุผลนี่มีหลักที่เขาพูดไว้ดีมากว่า ไม่ยอมใช้เหตุผลกับไม่อาจจะใช้เหตุผลคือไม่มีเหตุผลที่จะใช้ แล้วพวกหนึ่งไม่กล้าใช้เหตุผล ไอ้คนพวกที่หนึ่งมันไม่ใช้เหตุผล ไม่เห็นแก่เหตุผล ไม่ยอมให้ใช้เหตุผล ไม่เชื่อเหตุผล นี่เรียกว่าไม่ใช้เหตุผล ไอ้พวกบ้าบิ่นพวกดันทุรัง พวกบ้าบิ่น พวกนี้จะไม่ใช้เหตุผล คือจะไม่เคารพเหตุผลจะไม่ใช้เหตุผลพวกบ้าบิ่น แล้วพวกหนึ่งมันไม่อาจมันไม่อาจใช้เหตุผลคือคนโง่ ไอ้คนโง่เหลือประมาณนี่งมงายเหลือประมาณ มันไม่อาจจะใช้เหตุผลไม่อาจจะมีเหตุผลมาใช้ ทีนี้พวกหนึ่งพวกที่ ๓ นั่นมันไม่กล้าใช้เหตุผล มันกลัวมันเป็นพวกทาส เป็นพวกทาสต่ำสุดที่นายเขาจะไม่ยอมให้ใช้เหตุผลอะไรเลย พวกทาสเหล่านั้นไม่กล้าเอ่ยปากเพื่อจะใช้เหตุผล มันกลัว เรียกว่ามันไม่กล้าใช้เหตุผล พวกที่ ๑ มันไม่ยอมใช้เหตุผล พวกที่ ๒ มันไม่อาจจะใช้เหตุผล แล้วพวกที่ ๓ มันไม่กล้าจะใช้เหตุผล ใช้ไม่ได้ทั้งนั้นเลย มันเป็นอยู่ในฝ่ายปัญญาอ่อนหรือไสยศาสตร์ไปเสียหมดแล้ว นั้นเราจงมีเหตุผล ใช้เหตุผลให้ถูกต้องกับเรื่องกับราว แล้วไสยศาสตร์จะไม่มีที่อาศัย ถ้ามีการใช้เหตุผลอย่างครบถ้วนพอดีถูกต้องแล้วไสยศาสตร์จะไม่มีเนื้อที่สำหรับอาศัย จงเป็นคนใช้เหตุผล จงเป็นคนมีเหตุผลที่จะใช้ และเป็นคนกล้าที่จะใช้มัน นี่จะกำจัดไสยศาสตร์ออกไปได้ แต่นี่เราไม่กล้าใช้เหตุผลเพราะเรากลัวเขาก็มีนะหรือว่าเราไม่มีเหตุผลจะใช้ก็มี หรือว่าเราจะดันทุรังไม่ยอมใช้เหตุผลมันก็มีเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้จะตกเป็นปัญญาอ่อนไม่แง่ใดก็แง่หนึ่ง เป็นทาสของไสยศาสตร์ซึ่งไม่มีการใช้เหตุผลแล้วก็งมงายเต็มที่ ปัญญาไม่มีโอกาสจะทำงานมันเหลือแต่ศรัทธาๆ ก้มหน้า ก้มตาหลับตา หลับตาไปอย่างเดียวก็เป็นไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ตั้งรากฐานอยู่บนศรัทธาที่งมงายไม่มีเหตุผล พุทธศาสตร์ตั้งรากฐานอยู่บนปัญญาที่ถูกต้อง คำว่าถูกต้องนี่ขอสงวนความหมายว่ามันดับทุกข์ได้ ถ้ามันดับทุกข์ไม่ได้อย่าเอามาเป็นความถูกต้อง นั้นใครบอกว่าถูกต้องๆ อย่าเพิ่งเชื่อ ให้มันดับทุกข์ให้ดูก่อนจึงจะเออ,ถูกต้องและยอมรับเอา นี่จึงจะเป็นพุทธศาสตร์ นั้นอย่าสอนให้มีศาสนาอย่างไสยศาสตร์ ถ้าเราสอนให้มีธรรมะแต่ว่าสอนอย่างเป็นของไม่มีเหตุผลไม่ต้องมีความจริงที่ประจักษ์ สอนให้เชื่ออย่างงมงายและสอนให้มีศาสนานั้นเป็นไสยศาสตร์ไปทันที แม้แต่ให้เชื่อพระพุทธ ให้เชื่อพระธรรม ให้เชื่อพระสงฆ์นี่ มีโอกาสที่จะเป็นไสยศาสตร์เต็มไปร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าสอนให้เขาเชื่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือการพิสูจน์เหนืออะไร อย่างที่สอนให้ลูกทารกเพิ่งเกิดให้เขาเชื่อมันเป็นไสยศาสตร์นะ สอนให้เชื่อพระพุทธ สอนให้เชื่อพระธรรม สอนให้เชื่อพระสงฆ์ ก็ยังเป็นไสยศาสตร์อยู่นั่นแหละถ้ามันสอนกันอย่างหลับตาแล้วมันรับเอาไปอย่างหลับตา พุทธะแปลว่าตื่นนอนคือไม่หลับตา ไสยแปลว่าหลับอยู่ ถ้ายังหลับอยู่ก็เป็นไสยศาสตร์แม้จะมาเกี่ยวข้องกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้าตายังหลับอยู่มันก็เป็นไสยศาสตร์ เพราะฉะนั้นที่หน้าพระพุทธรูปในโบสถ์น่ะมันเต็มไปด้วยไสยศาสตร์ ขอสงวนไว้พูดแต่เพียงแค่นี้อย่าไประบุว่าที่ไหนๆ มันจะกระทบกระเทือนว่าจะมีเหตุผลพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการถือศาสนา นับถือศาสนา ปฏิบัติพระศาสนา รับผลของศาสนา คือมันเคียงคู่กันไปกับปัญญาที่แท้จริงก็จะเป็นพุทธศาสนา คือศาสนาแห่งการลืมตา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่มีทางที่จะเป็นไสยศาสตร์
เพราะฉะนั้นขอให้ช่วยกำหนดจดจำเอาไปว่าไปชำระชะล้างกันเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะไปสอนเด็กๆ ทารกของเราเป็นคำแรก เป็นข้อแรก เป็นครั้งแรก ให้ไหว้พระ ให้นับถือพระพุทธเจ้า ให้นับถือศาสนานี่ จุดตั้งต้นนั้นขอให้ทำให้ถูกต้องอย่าให้เป็นไสยศาสตร์ลงราก อย่าให้งมงายลงรากที่สอนเด็กๆ ให้เริ่มถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ให้เริ่มไหว้พระ ให้เริ่มรู้จักวัดวาอาราม อย่ามีความศักดิ์สิทธิ์งมงายเข้าไป มันจะเป็นไสยศาสตร์ แต่ถ้าถือว่าไสยศาสตร์ก็ยังดีกว่าไม่มี ก็ได้ๆ ให้เด็กๆ ถือไสยศาสตร์ไปก่อนเพราะว่าดีกว่าที่ไม่มีอะไรเสียเลยมันก็ได้ แต่อาตมาคิดว่าถ้าสอนให้เป็นพุทธศาสตร์ไปเสียแต่ทีแรกจะดีกว่านะ จะไม่ลำบากยุ่งยากในการที่จะต้องมาแก้ไขกันทีหลัง นั้นวางรากฐานชั้นแรกให้ถูกต้อง แม้แต่จะสอนเด็กทารกให้ว่า นโม ตัสสะ ภควโต ไอ้ตัวนี้ก็ให้อธิบายให้เข้าใจนะว่ามันคืออะไรนะมิฉะนั้นจะเป็นไสยศาสตร์ ตั้งแต่สอนลูกให้ว่า นโม ตัสสะ ภควโต อิติปิโส ภควา มันจะเป็นไสยศาสตร์ไปได้นะ ต้องบอกให้เขาเข้าใจก่อนว่ามันหมายความว่าอะไร ไอ้คำว่า นโม ตัสสะ ภควโต ด้วยความรู้สึกที่ถูกต้องจึงจะเป็นพุทธศาสตร์ ทุกคนได้ทำผิดเรื่องนี้กันมามากแล้ว และทุกคนกระมังสอนเด็กๆให้ว่า นโม ตัสสะ โดยที่ไม่ให้มันงมงาย มันก็เป็นลงรากให้ไสยศาสตร์ละ ในที่สุดก็ต้องแก้ตัวว่า ดีๆดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย ให้ลูกเด็กๆ มีนะโมอย่างมีไสยศาสตร์บ้างดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย อาตมาคิดว่าไม่ จะไม่คุ้มค่า หากสอนให้เขารู้เข้าใจอย่างถูกต้อง แม้แต่ว่าจะใส่บาตร ให้ลูกเด็กๆใส่บาตรนี่อย่าให้เป็นไสยศาสตร์ อย่าให้มันหวังเพื่อว่ามันจะดี จะสวย จะรวย จะได้บุญ บางคนมาทำบุญ มาทำบุญที่นี่ ขออภัย ทำบุญที่นี่ ยกซองขึ้นประจบเหนือหัวหลับตาอยู่ตั้ง ๑๐ นาทีก็มีนะ คนที่มาทำบุญนี่ เอาซองประจบยกขึ้นเหนือหัวหลับตาว่าอะไรก็ไม่รู้อยู่ตั้ง ๑๐ นาทีก็มีนะ ว่ามันจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ที่เขาว่ามันจะเป็นไสยศาสตร์เกินไปก็ได้ มันรู้แต่ก่อนอย่างแจ่มแจ้งว่าทำบุญคืออะไรทำคือยังไงแล้ว ก็ทำ จะต้องอธิษฐานอะไรกันนานตั้ง ๑๐ นาที ซึ่งมันจะมีไสยศาสตร์เจือมากเกินไป ทุกอย่างที่เขาทำกันอยู่เป็นขนบ ธรรมเนียมประเพณี มันเป็นไสยศาสตร์ชนิดที่ดีกว่าไม่ทำกันอยู่เป็นส่วนมาก แต่มันแก้ไขได้มันปรับปรุงได้อธิบายได้ ถ้าพระมาทำพิธีอะไรกันสวดบ้านสวดภาณยักษ์สวดเมืองสวดคุ้มครองนี่ ต้องให้มีเหตุผลสำหรับอธิบายได้นะ ไม่อย่างนั้นจะเป็นไสยศาสตร์ที่น่าสงสาร เราช่วยกันสนองพระพุทธประสงค์ให้เลื่อนไสยศาสตร์ขึ้นมาเป็นพุทธศาสตร์ ทุกคนมีรากฐานเป็นไสยศาสตร์แล้วเอาออกไม่ได้ แต่ขอชำระชะล้างด้วยการล้อด้วยการขูดด้วยการเกลานี้ให้มันขึ้นมาเต็มๆ พุทธศาสตร์นั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เราจะมาประชุมกันในลักษณะอย่างนี้ที่นี่ ทำไมอาตมาต้องพูดว่าอย่างนี้และที่นี่ล่ะ เพราะว่าที่อื่นไม่ค่อยมีอิสรภาพ ที่อื่นน่ะไม่ค่อยมีอิสรภาพ จะพูดจะคิดมันไม่ค่อยมี แต่ที่นี่เปิดเต็มที่ ด่าอาตมาก็ได้ ถ้ามันเห็นว่าไม่ถูกตรงไหนละก็ว่ามาเลย มันมีอิสรภาพเต็มที่ที่จะมาพูดกันอย่างนี้ในวันทำบุญที่เรียกว่าล้ออายุ
เดี๋ยวนี้มันอยากจะร้องไห้ทั้งวันๆ ว่ามันแย่มาก มันไม่สนองพระพุทธประสงค์กันเสียเลย พวกพระพวกบรรพชิตนี่ไม่ถือว่าเรามีอาชีพนี้ เรามีอาชีพทำคนให้ลืมหูลืมตา สาชีพ สิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลายนั่นคือทำคนให้ลืมหูลืมตาขึ้นมาเสียจากหลับคือไสยศาสตร์มาเป็นพุทธศาสตร์ แล้วก็น่าเศร้าอยู่ที่ว่าการศึกษาแห่งโลกในยุคปัจจุบันนี้มันส่งเสริมไสยศาสตร์ไปเสียอีก เขาไม่ให้เรียนชนิดที่ให้ลืมหูลืมตาแต่กลับให้เรียนไปในทางที่ต้องการมากกลัวมาก ยิ่งเหตุการณ์ในโลกเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้แล้วยิ่งทำให้มนุษย์มีความกลัวมาก มีความต้องการมาก จนไม่ต้องถือหลักอะไรผิดอะไรถูก เอาใจกูได้มากให้กูหายกลัว นั้นพิธีทางไสยศาสตร์จึงเจริญเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะว่ามนุษย์กำลังกลัวมากและกำลังต้องการมาก มาเถอะรดน้ำมนต์ที ให้เป่าหัวที อาตมาทำไม่เป็นโว้ย, เขาก็ยังไม่เชื่อ เดือนๆ หนึ่งมาหลายๆ คนให้เป่าหัวที บอกว่าทำไม่เป็นๆ พูดตั้ง ๓ ครั้งก็ยังไม่เชื่อ นี่ละไสยศาสตร์มันลงรากถึงขนาดนี้ ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราแล้ว ถ้าเรายังรักพระพุทธเจ้าอยู่ก็ช่วยกันทำหน้าที่อันนี้ถือว่าเป็นอาชีพของภิกษุสามเณรที่จะกวาดล้างไอ้สิ่งที่เป็นอุปสรรคแก่ธรรมะ ให้ธรรมะได้เจริญงอกงามในจิตใจของมนุษย์ จึงจะมีสิทธิที่จะบริโภคอาหารของชาวเมือง ทำหน้าที่อย่างนี้ถูกต้องเสียก่อนจึงจะมีสิทธิที่จะบริโภคอาหารของชาวเมืองในฐานะเป็นภิกษุเป็นบรรพชิต ถึงแม้ว่าท่านทั้งหลายที่เป็นฆราวาสก็เหมือนกัน ต้องร่วมมือๆ ที่สุดอย่างยิ่งในข้อนี้เพื่อจะทำให้ธรรมะเกิดขึ้นในจิตในใจ เป็นที่พึ่งในจิตในใจของมนุษย์ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง มิฉะนั้นจะเป็นพุทธบริษัทไสยศาสตร์ นี่มันน่าร้องไห้ นี่มันน่าร้องไห้ เพราะว่าเหตุการณ์มันเลวร้ายไปในทางที่ตกต่ำของจิตใจ ของพุทธบริษัทเสียเองแล้วใครจะมาช่วยล่ะ พุทธบริษัทเป็นเสียเองแล้วใครจะช่วย พุทธบริษัทอยู่ในฐานะที่จะต้องช่วยตัวเอง ถ้ามันยากลำบากก็มาปรึกษาหารือกันยกสถานะทางจิตใจของพุทธบริษัทให้ได้ นี่คือความมุ่งหมายของการกระทำที่อาตมาเรียกว่าล้ออายุ ไม่ต่ออายุชนิดที่มันมีๆ อยู่นั่นน่ะไม่เอาละไม่อยากต่อ แต่จะล้อคือจะกลับมาอาบน้ำขัดสีชำระชะล้าง เรียกว่าล้ออายุให้มันสะอาดขึ้น เมื่อปัญญามันลืมตาขึ้นมาได้สักขณะหนึ่ง สักนิดหนึ่งสักขณะหนึ่งมันจะไปของมันได้ แล้วพวกเราพุทธบริษัทก็จะเดินไปตามทางของปัญญา ถ้ามีศรัทธาก็เป็นบริวารของปัญญา ไม่ใช่ศรัทธางมงายอย่างพวกอื่น คำว่าศรัทธาของพุทธบริษัทนั้นคือปัญญาไม่ใช่ศรัทธาหลับหูหลับตางมงาย เดี๋ยวไปแยกเอาศรัทธางมงายมาเป็นศรัทธา มันไม่ถูก ศรัทธาต้องมาภายหลังปัญญา ปัญญาเห็นแล้วจึงเชื่อ ศรัทธาจะต้องเป็นไปตามอำนาจของปัญญา พุทธศาสนาจึงมีหลักว่ารอดตัวด้วยปัญญา ไม่ได้รอดตัวด้วยศรัทธา ถ้าจะให้รอดตัวด้วยศรัทธาขอให้เป็นศรัทธาที่มาจากปัญญา ที่คลอดมาจากปัญญา นี่จึงต้องเรียกว่าต้องขัดต้องถูต้องชำระชะล้างให้ปัญญามันปราศจากเครื่องห่อหุ้มคือไสยศาสตร์ ถ้ามีไสยศาสตร์มันก็ยากที่จะมีปัญญา ถ้ามีปัญญามันก็ไม่มีไสยศาสตร์ได้ ถ้าช่วยกันจัดเรื่องนี้ให้ดีซึ่งอาตมาขอยืนยันอีกทีหนึ่งว่าไสยศาสตร์ยังจำเป็นสำหรับผู้มีปัญญาอ่อน เลิกไม่ได้ ถ้าจะช่วยปรับปรุงมันดีขึ้นๆ จนหมดความเป็นไสยศาสตร์คือมันลืมตาขึ้นมาก็กลายเป็นพุทธศาสตร์ ไสยศาสตร์เป็นศาสนาที่ยังจำเป็นสำหรับคนมีปัญญาอ่อน ถ้าท่านยังอยากจะเป็นปัญญาอ่อนก็ไม่มีอะไรจะพูดกันแล้ว ถ้าท่านสมัครจะเป็นผู้มีปัญญาอ่อนอาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูด อย่างนี้ก็ยังสงวนไว้เพื่อคนมีปัญญาอ่อนจะได้มีโอกาสแก้ตัวปรับปรุงขึ้นมาให้พ้นจากความเป็นปัญญาอ่อน จะได้ไหลไปตามกระแสของพระนิพพาน
นี่เวลาที่กำหนดไว้สำหรับการบรรยายในภาคเช้านี้ก็หมดแล้ว ขอสรุปความว่าเราจะต้องช่วยกันล้ออายุที่มันดำเนินมาอย่างหลับหูหลับตา สกปรกไปด้วยมิจฉาทิฐิที่เปรียบเสมือนโคลน โคลนและเลนให้ลืมตาแล้วล้างสิ่งเหล่านี้ออกไปๆๆๆ เรียกว่าการล้ออายุ มาร่วมกันล้ออายุคือล้อทั้งของตัวเอง ล้อทั้งของสังคม ล้อทั้งของโลกทั้งโลกเลย มีวิธีจะช่วยเหลือได้อย่างไรก็ช่วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษา ถ้าจัดได้ถูกทางแล้วก็จะขจัดไอ้สิ่งเหล่านี้ออกไปได้ นี่จึงขอร้องๆๆ วิงวอนว่าช่วยเอาไปคิดนึก อย่าให้เป็นล้อกันไปเลิกแล้วกันปล่อยไปตามบุญตามกรรม อย่างนี้ไม่ใช่พุทธบริษัท ให้มองเห็นโลกว่าอยู่ในสถานะเช่นไร เราจะสนองพระพุทธประสงค์จะทำที่พึ่งให้แก่สัตว์โลกทั้งเทวดาและมนุษย์ เอาเทวดาไว้ให้นายทุน เอามนุษย์ไว้ให้ชนกรรมาชีพ เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์แล้วเขาจะเป็นเกลอกันได้ นั้นโลกนี้ก็จะหมดปัญหา อาตมาขอยุติการบรรยายภาคเช้าไว้แต่เพียงเท่านี้ ด้วยฝากไว้กับท่านทั้งหลายเอากลับติดไปบ้านด้วย จะยุติรอบเช้า รอบบ่าย บ่ายสองโมงมาพูดกันอีก เอา,ให้มาช่วยยกไมโครโฟนให้ลงไปข้างหลัง อ้าว,ขอร้องคุณจำลองต้องพูด