แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การจัดโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งผมคิดว่าในหมู่พระธรรมทายาททั้งหลาย ณ ที่นี้ คงจะมีหลายรูปซึ่งกำลังดำเนินงานเรื่องนี้อยู่ และอาจจะมีความเชี่ยวชาญ หรือว่ารอบรู้มากกว่าผู้บรรยายเสียอีก แต่กระผมก็มีความจริงใจที่อยากจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วย ไม่ได้มีเจตนาที่ว่าจะมาอวดว่าเคยทำ หรือว่าทำดีกว่า เพราะตอนนี้ผมก็อยู่ห่างจากแหล่งกำเนิด ที่เป็นที่ที่ทำโรงเรียนอยู่ ขออภัยที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวประกอบนิดหน่อย เพื่อให้เห็นภาพพจน์ และสะดวกในการทำความเข้าใจด้วย
เมื่อตอนผมบวชใหม่ๆ ปี ๑๓ ก็ยังไม่ได้สอนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ บวชมา ๒ ปี ปี ๑๕ เขาก็เลยชวนให้เข้าไปสอนโรงเรียนวันอาทิตย์ด้วย มันมีแต่ความต้องการจะสอน แต่ไม่มีความรู้เลย เขาบอกเข้าไปเถอะ สอนไปเถอะ อะไรอะไรเขาก็ไม่รู้อยู่แล้ว เราเป็นพระ เรารู้ดีอยู่แล้ว มันก็เข้าไปสอน สอนอยู่ ๓ ปี เกี่ยวข้องอยู่ในหลายหน้าที่ เป็นครูบ้าง เป็นเลขาบ้าง แล้วก็เป็นทำหน้าที่ธุรการบ้าง อะไรบ้าง ถ้าหลายคนอยู่ในวง แวดวงโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ คงจะเคยเห็นหน้า พูดง่ายๆ ว่า เคยเห็นหน้าไอ้หมอนี่ แต่ว่ามันไปหลบไปอยู่ที่ไหน เพราะว่าผมก็หายไปหลายปี ตั้งแต่ปี ๑๗ ก็หลบมาอยู่ที่นี่แหละ มาจำพรรษาอยู่ที่สวนโมกข์นี่ ๖ ปี แต่ว่าช่วยโรงเรียนที่ชลบุรีอยู่ด้วย ที่ผมเคยทำอยู่ก็คือโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ วัดนอก ที่ชลบุรี แต่วันนี้ไม่ได้มาโฆษณาโรงเรียนวัดนอกนะ มาพูดในนาม ที่ว่าจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ตามความคิดเห็นที่ผมได้ผ่านมา โดยเฉพาะผมมาอยู่ที่นี่แล้วได้รับความคิดเห็นจากท่านเจ้าคุณอาจารย์นี่มากมาย เก็บมาจากที่ท่านบรรยายก็เยอะ แล้วก็เก็บมาจากที่ท่านได้กรุณาพูดให้ฟังก็มาก แล้วผมก็รวบรวมเอามา คือโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์สำหรับท่านผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย อาจจะยังไม่ทราบ คือโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นี้กำเนิดขึ้นมาก็เพื่อที่จะให้เยาวชนได้มีความรู้เกี่ยวกับทางพุทธศาสนา ใช้เป็นหลักดำเนินชีวิตได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะเรียกให้จำง่ายๆ ก็จะใช้ของคำท่านเจ้าคุณอาจารย์ว่า โรงเรียนต่อหางสุนัข ซึ่งมันจำง่าย อาจจะหยาบไปสักหน่อย เพราะว่าการศึกษาไม่เฉพาะประเทศไทย เฉพาะในโลกนี้ทั้งหมดนี่เขาเอาศาสนาออกไปเสีย โดยเฉพาะบางประเทศเขาตัดไปเลย ว่าศาสนาไม่ต้องเรียน ไม่จำเป็น แต่ประเทศไทยของเรานั้นอาศัยที่เป็นเมืองพระศาสนา จึงเห็นว่าศาสนานั้นจำเป็น แม้กระนั้นโดยทางการคือรัฐบาลก็ไม่ได้ส่งเสริมโดยตรง หรือว่าไม่มีการสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง จึงเกิดมีโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ขึ้นมา เพื่อที่จะสอนในส่วนที่โรงเรียนรัฐบาลไม่ได้สอน ฉะนั้นเด็กหลายคนพอดีมาเรียนโรงเรียนนี้แล้ว ถึงชั่วโมงศีลธรรม คุณครูที่สอนศีลธรรมนั่นแหละ ให้เด็กที่เรียนจากโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ไปแล้วเป็นผู้สอนแทน อันนี้ก็มีมาแล้ว เด็กเขาก็มาบอกเอง บอกถึงชั่วโมงนี้ คุณครูก็บอก อ้าวเธอเรียนโรงเรียนวันอาทิตย์มาแล้ว เธอสอนแทนเลย พุทธประวัติเล่าไป ธรรมะอธิบายไป คุณครูก็นั่งเฉยๆ นี่ก็จะเห็นได้ว่า นักเรียนที่เรียนก็มีความรู้ความสามารถมาก ถึงจะไปสอนคนอื่นได้ ที่ว่าโรงเรียนวันอาทิตย์นี่เราเรียกกัน ให้จำง่ายๆ ว่า โรงเรียนต่อหางสุนัขเพราะว่าช่วยทำ ให้สมบูรณ์ ให้สวยงาม เต็ม เต็มที่ของการศึกษาให้สมบูรณ์ ถึงแม้ว่าขณะนี้โดยฝ่ายคณะสงฆ์จะไม่สนับสนุนโดยตรง ไม่สนับสนุนโดยตรง หรือว่าทางรัฐจะไม่สนับสนุนโดยตรง แต่ก็เป็นหน้าที่ของเรา โดยเฉพาะพระธรรมทายาทซึ่งมีเจตนาที่จะสืบพระพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้า คือดำรงให้ธรรมะวินัยมันมีอยู่
ที่นี้ผมก็จะพูดไปตามประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ มันก็พูดลำบากเหมือนกัน คือว่าตอนขณะที่เราเกี่ยวข้องอยู่นะครับ ผมเกี่ยวข้องอยู่เต็มๆ ก็ ๓ ปีแล้วนี่เอง การที่เกี่ยวข้องอยู่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าหาประสบการณ์เป็นไงไม่รู้ ที่นี้หลังจากนั้นแล้ว ออกมาแล้วเหมือนกับ ออกมาแล้ว ถึงมองเห็นว่า โอ่มันเป็นอย่างนี้เองนะมันถึงล้มเหลว ถ้ามันเป็นอย่างนี้มันคงจะสำเร็จ เหมือนกับนักมวยขึ้นไปต่อยบนเวทีน่ะ ต่อยไม่รู้เรื่องเลย ที่ออกมานอกเวที ถึงจะมองเงาตนเอง เหมือนกับนักมวยทั้งหลายนะครับ เวลาเขาต่อยเขาจะถ่ายวิดิโอเทปไว้ เสร็จแล้วเขาจะมาฉายให้ดู นักมวยคนนั้นจะดูเงาของตนเองว่าต่อยเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็แก้ไข แล้วก็ต่อยดีขึ้น แต่ถ้าไม่มีโอกาสดูเงาตนเอง คือไม่ได้โอกาสออกมาได้รับความรู้เพิ่มเติม ก็คงจะลำบาก เพราะหลายคนหลังจากที่เป็นครูวันอาทิตย์แล้วก็ออก สึก สึกไปหมด ไม่ไม่อยู่ต่อเพราะมันเบื่อหน่ายเต็มที่แล้ว สอนแล้วมันก็ไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ สึกไปก็ได้ลูกศิษย์ไปแต่งก็มี หรือว่าสึกไปได้กับครูเสียเองก็มี ครูที่เขามาช่วยสอนก็มี มันก็เป็นเรื่องที่มีกันอยู่ ที่นี้ผมก็จะลองเรียบเรียงประสบการณ์โดยจะพูดไปตามลำดับนะครับ
เรื่องแรกที่สุดก็คือ เรื่องคน คนที่จะทำก็คือพระ ที่จะเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา เรื่องนี้สำคัญที่สุด โดยเฉพาะก็น่า น่ายินดีว่า อย่างน้อยก็ต้องมีผู้คิดจะดำเนินการโรงเรียนประเภทนี้ขึ้นมา ก็ร้อยกว่ารูป อย่างที่นั่งกันอยู่ที่นี่ คงจะได้กลับไปทำกัน ที่นี้ผมก็จะลองพูดดูว่า เรื่องแรกคือปัญหาเรื่องคน คือตัวที่ผู้ที่จะทำโรงเรียนนี้ขึ้นมา คนนั้นก็ต้องมีบุคคลิกภาพทั้งภายใน และภายนอกอย่าง อย่างดีนะครับ มันถึงอยู่ได้ โดยเฉพาะเราอยู่ที่สวนโมกข์นี่ สวนโมกข์นี่ถ้าพูดถึงว่า พูดถึงคน หรือตัวการคือตัวสะกดโรง ตัวสะกดโรงนี่หมายความว่า ผู้ที่ยืนอยู่ไม่มีการถอย สวนโมกข์ถึงอยู่ได้ ๕๐ ปี ก็ไม่มีใคร ท่านทั้งหลายลองนึกดู ก็มีแต่ท่านเจ้าคุณอาจารย์เท่านั้นแหละ คือยืนแล้วมันไม่ถอย ใครถอยใครล้มไป เราก็ยืนอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าโรงเรียนวันอาทิตย์ทั้งหลายที่แก่ที่สุด โรงเรียนวันอาทิตย์ที่แก่ที่สุดก็มีอายุ ยี่สิบ ยี่สิบสี่ปีเท่านั้นเอง ดูเหมือนจะตั้งเมื่อปี ๐๑ ที่วัดมหาธาตุเขาก่อตั้งขึ้นมา ยี่สิบสี่ปีก็ตั้งขึ้นมาได้ แต่เขาก็เปลี่ยนผู้บริหารไปเรื่อย ก็ตั้งอยู่ได้ ทีนี้เรามา มาดูสวนโมกข์บ้าง ไม่ใช่ยกยอสวนโมกข์ครับ เพียงแต่เราเห็นว่า ที่ว่ามันอยู่ได้ มันอยู่ได้เพราะว่ามีผู้ที่เข้มแข็งที่สุด เป็นตัวยืนโรง แล้วโรงเรียนก็มันก็ไม่ล้ม คราวนี้ว่าถ้าเรามาดูคนที่ยืนโรงนี่มันต้องมีบุคลิกภายในกับภายนอก ภายนอกมันไม่สำคัญอะไร รูปร่างหน้าตา ท่าทาง การแต่งกาย หรือว่าการพูดจานี่ภายนอกไม่สำคัญนัก แต่ก็มีส่วนมาก แต่ภายในนี่สำคัญคือเกี่ยวกับจิตใจที่มั่นคงเข้มแข็งอันนี้สำคัญมาก ผมเองก็ยอมรับว่าผมก็ถอย ถอยมาติดนี่ จวนจะหลุดออกไปข้างนอกแล้วนี่ ออกไปจากชายแดน คือตกทะเล ถอยมาติดตรงนี้ซะก่อน ติดที่สวนโมกข์ซะก่อน มันท้อถอยเพราะว่า หนึ่งเราคิดไม่ออกจะทำอย่างไร คิดออกแล้วมันทำไม่ได้ จิตใจมันไม่ ไม่แข็งพอ คราวนี้เราก็บอกว่าไม่มีคนช่วยร่วมมือ แท้ที่จริงนั้นเองเรามันไม่ ไม่เข้มแข็งพอ
คราวนี้ลองดูบุคคลิกภายนอก ก็คือครูนี่ครับ พอดีเราได้ตัวเราเองขึ้นมาหนึ่ง หรือว่าเราจะก่อตั้งขึ้นมา เราก็ต้องไอ้ดูที่ท่าทางนี่มันก็ต้องอาศัยคนอื่นบอก โดยเฉพาะบางคนหน้าตานี่สบาย อย่างผมนี่อายุ ๓๐ กว่าแล้วก็ยังยังหลอกเด็กได้ เหมือนกับว่าอายุยังน้อยๆ อยู่ อย่างนี้เรียกว่าปัญหาทางด้านหน้าตามันก็ไม่มีปัญหา เขามองว่าเรายังเด็กอยู่มันก็สบายแหละ ยังไม่ใช่แก่หงัก นี่หมายความว่า มันไม่แก่ เราก็เลยหลอกเขาได้ บอกว่านี่อยู่กับธรรมะดีนะ มันไม่แก่หรอก เหมือนกับว่าใครอยากสาวสองพันปีก็มีธรรมะ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้อะไรหรอก มันอาศัยธรรมชาติช่วย รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างนั้นเอง คราวนี้ว่า บางคนหน้าตาเจ้าชู้นี่ก็ลำบาก มัน มันเป็นอย่างนั้นเอง เด็กๆ เขาก็รู้มองจากหน้าตาได้ การแต่งกายนี่ถ้าเราอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ก็ควรจะห่มสีเดียวกันเพื่อตัดปัญหา เพราะว่าเด็กเขามักจะเลือกกันว่าพระองค์ไหนยังไง ยังไง เด็กก็ไปหลงรัก หลงรักพระนะ มีท่าทางอย่างโน้นอย่างนี้ หลงรักขนาดที่เรียกว่า ถ้าพระองค์นั้นไม่สอน เด็กไม่มาเรียนก็มีมาแล้ว ถึงขนาดที่ว่าพระองค์นั้นแกออกจากโรงเรียนนั้นไป เด็กนี่เลิกกันเลย เลิกมาเรียนเลย เพราะติดพระ ไม่ติดธรรมะ ติดพระ พระรูปหล่อ แต่งห่มจีวรสวย พูดจาอ่อนหวาน ท่าทางดี ไอ้ท่าทางนี่ มัน มันก็ลำบากเหมือนกัน ตอนสอนใหม่ๆ นี่เข้าไปในห้องเรียนนี่มันสั่นไปหมดนี่ แล้วเรา เราจะไปสอนอะไรล่ะ เราจะสอนเรื่องความมั่นคง มันมันเราเองมันไม่มั่นคงซะแล้ว มันก็เลยสอนไม่ได้ บุคคลิกนี่ที่ผมเห็นนี่เด็กชอบที่สุดเลย ถ้าพระองค์ไหนแหยๆ เข้าไปละ เด็กมันก็เตรียมแล้ว เตรียมเรียกว่าเตรียมแหย่ เตรียมเย้าเต็มที่ล่ะ แล้วถ้าเรามีท่าทาง มัน มันเป็นไปได้ครับ บางทีพอนานๆ เข้าแล้วมันก็แก่ขึ้น ท่าทางไม่ประหม่า ไม่อะไร ท่าทางก็ช่วย การพูดจานี่มันก็ลำบากเหมือนกัน บางทีก็ไปเผลอพูดคำหยาบออกไปมันก็หน้าเสียเหมือนกัน แต่บุคคลิกภายนอกอย่างนี้มันแก้ไขได้ ไม่เป็นไร มีคนช่วยเตือนกัน คราวนี้มันสำคัญว่าไม่มีใครกล้าเตือนใคร อันนี้สำคัญเพราะว่าประสบการณ์ที่ว่าพระอีกองค์หนึ่งไปสอนอยู่นี่ จะต้องมีพระที่เป็นเพื่อนกันน่ะ ไปแอบดูอยู่ข้างหลัง แอบดูอย่าให้ใครรู้เลย เด็กก็ไม่ให้รู้ พระก็ไม่ให้รู้แล้วคอยดูว่ามันเกิดปฏิกิริยาอะไรขึ้น ปฏิกิริยาอันหนึ่งซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ เกี่ยวกับร่างกายนี่ คือตัวเองก็ไม่รู้นะว่าเพราะกำลังสอนอยู่ไม่รู้หรอก เวลาสอนกำลังเขียนกระดาน ยกมือยกไม้ ที่นี้พระเรามันไม่ได้ใส่เสื้ออย่างนี้ ไอ้แขนขวานี่มันเปิด อันนี้ถ้าเกิดใครมี มีขนรักแร้มาก ไปยกมือยกไม้เข้า ไอ้เด็กมันไม่ใช่เด็กผู้ชายอย่างเดียว มันมีเด็กผู้หญิง มันเห็นยกมือยกไม้เข้ามันก็ตาแป๋วแหววไปหมด ไอ้พระองค์นั้นก็ไม่รู้ว่าเอ๊ะเด็กมันมองอะไร ไม่รู้เรื่อง ต้องให้พระเพื่อนกันมาบอกว่า อ้อ นี่ไอ้ท่าทางในการยกมือยกไม้นี่ต้องระวังให้ดี เพราะว่าถ้ามันมีขนรักแร้มาก ทำให้เด็กไม่สนใจการเรียน ไปสนใจจุดอื่นเสีย อันนี้ถ้าท่านเป็นครูอยู่ก็ควรจะสังเกตุด้วยครับ คือมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่ว่าทำให้เด็กไม่สนใจที่เราสอนน่ะ เพราะมันมัวแต่ไปมองไอ้ตรงที่มัน มันแปลกน่ะ ยก ยก ยกขึ้นไป เด็กมันก็มอง แหมขนดกเหลือเกิน มันก็ไปซุบซิบซุบซิบกัน ฉะนั้นพระที่จะสอนก็ตัดปัญหา อ้าวโกนเสีย หรือว่าอย่ายกแขน ยกต่ำๆ หน่อยแค่นี้พอ เปลี่ยน นี่ครับคือปัญหาที่ว่า เด็กมันไม่ได้เรียนหนังสือ มันมัวแต่มัวแต่มองบุคลิกของครูเสียเลยไม่ได้เรียนหนังสือ คราวนี้ไอ้อย่างอื่น อย่างเช่นว่าปากเหม็นอย่างนี้ บุคคลิกภายนอกทั่วๆ ไป ก็มีปัญหาเหมือนกัน คือนี้หมายความว่า เราเราจะเอาในลักษณะที่ว่า ให้มันดี ดีขึ้น บุคลคลิกภายนอกให้ดีขึ้นมันช่วยมากทีเดียวนะ ความจริงนี่ยังไม่ค่อยเกี่ยวกับธรรมะหรอก นี่มันเกี่ยวกับลักษณะทั่วๆ ไป คราวนี้ก็ต้องอาศัยการบอกกัน ส่วนมากไม่กล้าบอกกัน อย่างท่านนี่ท่านจะกล้าบอกหรือว่า อันนี้ปากเหม็น กลัวเดี๋ยวเขาจะว่าอีก แต่ผมก็น่ะโชคดีที่ว่า คณะดำเนินงานที่สอนกันมานี่ ว่ากันเรื่อยน่ะ ปากเหม็นก็ว่ากันตรงๆ เลย ปากเหม็น ก็รีบไปแปรงฟันซะก่อนจะเข้าห้องเรียน เดี๋ยวไปสอนเด็ก เอ๊ะ เด็กทำไมมันเอามือปิดจมูกเรื่อย ปากเหม็นนี่แหละ ช่วยกัน แล้วอีกอย่างน้ำลาย เวลาพูดนี่ ไอ้เด็กที่อยู่ข้างหน้านี่ครับมันจะยกไอ้สมุดน่ะ หนังสือน่ะจะยกขึ้นมาเรื่อย ยกขึ้นมาอย่างนี้ ไอ้คนสอนก็ไม่รู้นี่ว่ายกขึ้นมาทำอะไร จนกระทั่งเพื่อนที่ไปแอบดูต้องบอกว่า นี่ๆ เวลาเธอสอนมันชวู่ ไอ้เด็กมันก็อยู่ข้างหน้าชั้นก็ต้องยกหนังสือเรื่อย ยกคอยปิดน้ำลาย นี่เป็นไอ้บุคคลิกที่ว่าไม่รู้หรอกครับ คนสอนเองนี่ไม่รู้น่ะ ต้องอาศัยเพื่อนกัน อย่างนี้เรียกว่าเราได้เพื่อนที่คอยแอบดูด้วยกันอยู่ ช่วยกัน มีบางคนนี่บอกว่าอย่ามาแอบดูเลย จะมาวัดความรู้ หรือว่าจะมาตรวจสอบอะไรกัน ไม่ใช่มันเป็นการช่วยเหลือกัน ไอ้เรื่องการรู้จักตนเองนี่ มัน มันลำบาก ต้องต้องช่วยกัน และมารยาทอีกอันหนึ่งนะครับ ที่ว่า เพราะว่าเราสอนนี่มันมีผู้หญิง บางทีเราไม่คิด คือว่าขณะที่กำลังสอนอยู่อย่างนี้ เขียนกระดาน เขียนไปเขียนมาชอล์กตก ทีนี้ครูก็ก้มไปเก็บชอล์ก ทีนี้พอเวลาเก็บชอล์กตอนที่จะแหงนขึ้นมานี่ มันแหงนไปใต้โต๊ะนักเรียน นักเรียนนั้นไม่ใช่นักเรียนชาย มันเป็นนักเรียนหญิง ถึงแม้เราไม่เจตนานะครับ เราแหงนไปเฉยๆ เข้าไปมองใต้ตรงมันน่ะ เด็กมันก็คิดแล้วสิ เอ๊ะ ครูนี่มันมองอะไร นี่ล่ะครับมันทำให้เกิดเกิดปฎิกิริยาขึ้นกับเด็กแล้วว่า พระนี่มีเจตนาอะไรอย่างนี้ แล้วมันก็มีปัญหาเด็กมันก็ซุบซิบ คราวนี้เด็ก เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เหมือนกับเด็กบ้านนอก ถ้าเด็กในกรุง เด็กในเมืองนี่ต้องระวังข้อนี้ให้มาก จำไว้ง่ายๆว่าชอล์กตก ถ้าเก็บไม่ดีนี่ก็เลิกกันเลย สอนกันไม่ได้แล้ว เด็กมันก็ไม่เชื่อเราแล้ว ชอล์กตกบ่อยๆ สอนไม่ได้ สมาธิเสีย แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเด็กที่มาเรียนนี่บางทีเขาใส่เสื้อนักเรียนมา แล้วก็มีชื่อเขียนที่หน้าอก เด็กหญิงคนนั้น เด็กชายคนนี้ คราวนี้พระเราครูสอนนี่อยากจะรู้จักเด็กแต่ไม่กล้าถามชื่อ หรือว่าไม่ได้สอบในทางบัญชี อยากจะรู้อยากจะเรียก ก็ไม่เรียกล่ะ ไปดูดูที่ชื่อเด็ก ที่นี้ชื่อน่ะมันอยู่ตรงหน้าอกเด็ก ไอ้เราดูเฉยๆ มันต้องเพ่งใช่ไหม เพ่งเข้าไปใหญ่เลย ไอ้เด็กมันก็เอ๊ ดูอะไร หรือว่าพระอาจารย์ หรือว่าครูนี่ดูอะไรมันก็อายสิ นี่ครับคือว่าเราไม่ทันสังเกตุเรื่องนี้ แต่เรื่องเหล่านี้เรารู้ได้จากการที่ว่ามีมีคนอื่นช่วยบอกอีก ฉะนั้นเรื่องเหล่านี้ถึงแม้นไม่สำคัญนักแต่มันเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นได้ว่า คล้ายๆ ว่าเราทำอะไรลงไปที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ มันจะกลายเป็นเป็น เป็นเจตนาอย่างอื่นไป เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้นี่ก็ก็สำคัญนะครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งความใกล้ชิดที่เขามีปัญหากันที่สุดก็คือว่า ส่วนมากของเราก็ใกล้ชิดเพราะว่านักเรียนก็มีทั้งนักเรียนหญิง นักเรียนชาย เราก็ใกล้ชิดนักเรียนชายมากกว่า จับหัวลูบหลังได้ นักเรียนหญิงนี่ก็ห่างๆ หน่อย ถูกตัวไม่ได้ เขาก็มีปัญหา ถ้าเราทำอะไรจนเกินไปอย่างนี้ ไอ้เด็กมันคิดมาก มันคิดถึงสิทธิเสรีภาพไม่เสมอกันระหว่างนักเรียนทั้งสอง เขาก็น้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกัน แล้วก็การที่ว่าจะไปกอดรัดเด็กผู้ชายนี่ หรือว่าใกล้ชิดในลักษณะที่เกินไปอย่างนี้ ไอ้เด็กทางฝ่ายผู้หญิงนี่มันจะเกิดเกิดปฏิกิริยาว่าพระนี่ลำเอียงเพศ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่นี้เกิดพระเกิดเอาละใกล้ชิดทั้งสองฝ่ายเลย ผู้หญิงก็ใกล้ชิด ผู้ชายก็ใกล้ชิดมันก็ไปไม่ไหวอีก เข้ามามุงเข้ามาติดกันก็มีปัญหา เพราะว่าถ้าเราใกล้ขนาดได้กลิ่นละก็ ฟังออกนะครับ ถ้าใกล้ขนาดได้กลิ่นสาวแล้วก็มันก็ไปไม่รอดแล้ว เพราะคุณมาใกล้ชิดกับเด็กผู้หญิงมากอย่างนี้ มาชิดตัวจนได้กลิ่นเลย ได้กลิ่นนี่เขาเรียกว่ากลิ่นเนื้อสาว ถ้าแบบนี้มันก็เสียสมาธิ แล้วก็เป็นข้อครหานินทา แต่ในกรุงเทพก็อาจจะไปอย่าง แต่ถ้าบ้านนอกรู้สึกว่าไม่ได้เลย เขาถือมาก ถ้าผู้ใหญ่มาเห็นอะไรเข้าก็นินทาเลยว่า ไม่ไหวแล้ว เพราะพระส่วนมากที่พระสอนก็เป็นพระหนุ่มๆ ทั้งนั้น พระแก่ๆ ก็ไม่ค่อยมีไอ้เด็กที่มาเรียนก็เด็กอยู่ในวัยสาวๆ ก็มีปัญหา นี่เรียกว่าบุคคลิกภายนอกซึ่งว่าทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ เรื่องที่ไม่ควรเกิดมันก็เกิดขึ้นเขาก็นินทา มีอะไรขึ้นมาก็เกิดเกิดปัญหาขึ้นมา เป็นอุปสรรคความล้มเหลวในชื่อเสียงที่จะสร้างโรงเรียนขึ้นมามันก็เสียได้ เป็นบุคคลิกภายนอก แต่ผมว่ามันก็ไม่สำคัญเท่ากับบุคคลิกภายใน เพราะถ้าบุคคลิกภายในนี่เราทำไว้ดี ไอ้บุคคลิกภายนอกมันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าบุคคลิกภายในนี่ก็คือการสร้างตัวเองไม่ให้มันล้มเหลว ให้มีความมั่นใจขึ้น ผมก็เห็นคำบรรยายของท่านเจ้าคุณอาจารย์นี่พูดถึงเรื่องการปลูกต้นไม้ศีลธรรม การปลูกต้นไม้ศีลธรรม คือถ้าเราสามารถปลูกต้นไม้ในตัวเราเองได้ ต้นไม้แห่งศีลธรรมได้ มันก็แน่นอนครับเราก็ต้องไปปลูกให้คนอื่นได้ นี่เรียกว่าเราสร้างบุคคลิกภายในขึ้นมา ถ้าใครสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไปหาหนังสือปกดำ หรือเรียกว่าหนังสือธรรมโฆษณ์น่ะที่มีชื่อว่าศีลธรรมกลับมา ในเล่มนั้นจะอธิบายถึงการปลูกต้นไม้ศีลธรรมหนังสือปกดำ นี่ถ้าว่าโดยย่อ สมัยก่อนว่าเจตนาเอ่อ ของพวกเราทั้งหลายนี่ก็ต้องการให้พระธรรมวินัยอยู่ได้ ทีนี้ว่าเราก็เปรียบเหมือนกับว่าพระธรรมวินัยนี้ พระธรรมนี่เราจะปลูกขึ้นมาให้มันเกิดขึ้นมาในจิตใจเหมือนกับเป็นต้นไม้ แล้วก็เปรียบว่าต้นไม้นี่จะตั้งอยู่บนไหน ต้นไม้ก็ต้องตั้งอยู่บนดิน ทีนี้ถ้าต้นไม้ที่มันเป็นศีลธรรมต้องตั้งอยู่ในใจ ในใจก็มีอาศัยพื้นดิน พื้นดินนี่คือความรู้สึกซึ่งว่าทุกคน สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นอันนี้เป็นพื้นดิน เสร็จแล้วเราก็ต้องเพาะเมล็ดลงไปนั้นในพื้นดิน ในดินนั้นก็ต้องมีน้ำ น้ำคือความไม่เป็นทาสทางอายตนะ ต้องมีอาหารคือ การที่บังคับกระแสแห่งความรู้สึกได้ ต้องมีแสงสว่างคือมี ยถาภูตสัมมัปปัญญา ความรู้มีปัญญาที่ถูกต้อง แล้วก็ต้องมีอุณหภูมิที่ถูก ก็คือศรัทธาความเชื่อ มีปสาทะความเลื่อมใส เป็นผู้ที่มีความเชื่อความเลื่อมใสอันนี้ก็ทำให้เมล็ดงอกงาม พอมองเห็นภาพพจน์ไหม คือหมายความว่าในใจ ในใจเพาะเมล็ดลงไป เสร็จแล้วก็ต้นมันก็ขึ้นมา ต้นรันขึ้นมาคือศีล สมาธิ ปัญญา เสร็จแล้วก็ออกดอก ออกผล เป็นมรรคผลนิพพาน คือสันติสุขส่วนตน สันติภาพส่วนสังคม อันนี้โดย โดยย่อ เนื้อความเป็นอย่างนี้ แต่โดยละเอียดก็ไปหาอ่านจากในหนังสือได้ คือหมายความว่าเรา เราต้องต้องเรียนเรียนด้วย เสร็จแล้วว่าถ้าเกิดมีความเข้าใจในเรื่องนี้แล้วมันมั่นใจครับ เสร็จแล้วมันก็พอดี ไปพูดไปสอนอะไรมันก็มั่นใจ เพราะว่าตัวเองมันเหมือนกับว่ามันเห็นต้นไม้ที่เราปลูกอยู่น่ะ ว่ามันขึ้นไม่ขึ้น ของเรามันก็ปลูกไม่ขึ้น ความรู้สึกคือเป็นอุดมคตินะครับ ว่าทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น น้ำก็คือความไม่เป็นทาสทางอายตนะ คือ เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ เสร็จแล้วมันก็เกิดความรู้สึกขึ้น ความรู้สึกนั้นก็ไม่เข้าครอบงำ อันนี้มันสำคัญมากเลยครับ ตอนไปสอนเด็กนี่ เสร็จเลย เพราะส่วนมากพอดีมันเห็นรูปนี่ เด็กนี่พอดีมันเห็นรูปเข้ามันก็สอนไม่ออก เด็กมันปนๆ กัน ผู้หญิง ผู้ชาย เห็นเด็กๆ เข้าก็สอนไม่ออก แล้วหูก็เหมือนกัน ฟังเสียงอะไรเข้า เสียงไพเราะอ่อนหวานอะไรเข้า มันก็เสียสมาธิหมด คนที่เป็นครูก็จะทราบดีว่า โอกาสเสียสมาธิในเรื่องนี้มากทีเดียว ทีนี้ที่พูดไปนี้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับคน คือได้ตัวเราเองแล้ว คือหมายหลังจากที่ว่าเรา อย่างท่านทั้งหลายนี่ก็มีโอกาสดีมากครับ เพราะว่าได้รับคำอบรมเกี่ยวกับเรื่องธรรมะอย่างนี้ ถ้ามีมีความรู้อย่างนี้แล้วก็สบาย ไปก่อตั้งโรงเรียนพุทธศาสนาได้สบาย เพราะว่าจิตใจเข้มแข็งเป็นธรรมทายาท อย่างที่ท่านอาจารย์บอกเมื่อคืน ธรรมทายาทอย่างทายาท ทนทายาท ทนทายาท คราวนี้ก็พูดถึงฝ่ายคนคือเราได้แล้ว ได้ตัวเราเองมีบุคคลิกภายใน คือปลูกต้นไม้ศีลธรรมขึ้นมาในจิต มีบุคคลิกภายนอก มันก็ได้รับการดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คนนั้นบอก คนนี้บอก เตือนกัน มันก็ได้ครบ มันก็ไปแล้ว แล้วก่อตั้งได้
ทีนี้เรื่องหาเด็กเข้าโรงเรียนนี่ไม่ยากเลย โดยทั่วไปทุกแห่งครับพอมีเปิดเข้า มันก็มีเด็กเข้ามาทั้งนั้นแหละ เข้ามาทีแรกหลายร้อย สอนไปอาทิตย์หนึ่งหายไปสิบ สอนอาทิตย์ที่สองหายไปอีกสิบ สอนไปสิบอาทิตย์หายไปครึ่งหนึ่ง พอดีตอนจะปิดเทอมนี่ สามร้อยเหลือร้อยนึง มันเป็นทั่วไปหมด ถ้าใครดำเนินโรงเรียนวันอาทิตย์มาจะเห็นอย่างนี้ ตอนเข้านี้เข้าเยอะเชียว โอ้โหใบสมัครอะไรแทบจะไม่พอแจกจ่าย สอนไปหายไป สอนไปหายไปนี้เป็นธรรมดา เพราะว่าเด็กเข้ามาแล้ว มันมันไม่ได้สิ่งที่เขาปรารถนา ทีนี้ก็ต้องแก้ไขกันเดี๋ยวจะพูดในส่วนต่อไปนะ ทีนี้พูดถึงว่าเฉพาะข้อนี้ก็สรุปลงไปได้ว่า ความล้มเหลวประการแรกก็คือว่าตัวเราเอง ตัวผู้ที่จะก่อตั้งไม่มีความรู้ความสามารถในเรื่องธรรมะ ถ้ามันจะไม่ล้มเหลวก็คืออย่างพวกท่านทั้งหลาย อย่างนี้ไม่ล้มเหลวแน่ เพราะว่ามันมีความรู้ความสามารถในทางธรรมะที่จะทำได้ ความล้มเหลวในเรื่องเด็กนี่ไม่มีปัญหาเลย เด็กนี่มาแน่นอน ที่ไหนๆ เปิดก็มาทั้งนั้นแหละครับ เต็มไปหมด แต่ว่ามันจะอยู่ หรือไม่อยู่นี่มันก็อีกเรื่องหนึ่ง
คราวนี้ก็มาดูส่วนต่อไปนี้ เกี่ยวกับเรื่องการจัดการ เรื่องการจัดการ เรื่องการจัดการอย่างเช่นว่าเราจะตั้งโรงเรียนอย่างนี้ไม่มีปัญหา โรงเรียน เพราะเรามีวัดอยู่แล้วนะ ก็ใช้ศาลาได้ อีกหน่อยพอดีมีคนเขาศรัทธาขึ้น มันก็มาเองแหละ ไอ้เรื่องสร้างโรงเรียน หรืออะไรต่างๆ ก็มาเอง อย่างเช่นเรานึกถึงในเรื่องในพุทธศาสนานี่ ในอดีตอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเผยแพร่นี่ไม่ต้องทำเรื่องอื่น พูดแต่เรื่องธรรมะ เสร็จแล้วพระเจ้าปเสน พระเจ้าพิมพิสารอย่างนี้ เลื่อมใสก็ถวายวัดให้เลยอย่างนี้ คือหมายความว่าไอ้สิ่งต่างๆ นี่มันมาเอง ทางด้านวัตถุนี่ พอมีคนเขาเคารพเลื่อมใสเขาก็ให้เองแทบไม่ต้องขอ คราวนี้เรื่องบริหารนี่ก็พูดถึงว่ามันปลีกย่อยน่ะ อย่างเช่นว่าการจะดำเนินกิจการโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นี่เขาเรียกว่าเป็นโรงเรียนพิเศษไม่ได้จดทะเบียนว่าเป็นโรงเรียนที่มีสิทธิ์สอนอย่างฆราวาสไม่ใช่ เราจะไปสอนเลขคณิต สอนภาษาอังกฤษ สอนอะไรอย่างนี้ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่เขาไม่จับเท่านั้นนะครับ เพราะเกรงใจว่าเป็นพระ เพราะถือว่าเราไม่ได้เรียนทางนี้มาเขาไม่ให้สอน ฉะนั้นในโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นี่ก็จะไม่มีสอนเรื่องอย่างนี้ ถ้ามีสอนก็แอบสอนเอา แต่ถ้าเราสอนในทางศาสนานี่ไม่เป็นไรเขาก็ปล่อยเต็มที่ แต่ถ้าสอนอย่างอื่นก็ต้องใช้ครูที่อื่น ครูจากที่อื่นมามาสอน มันต่างกันตรงที่ว่า โรงเรียนโรงเรียนของพุทธศานานี่ มีแต่ให้ให้แต่ธรรมะ ไอ้วัตถุไม่ค่อยได้ให้อะไรน่ะ แต่มันก็เป็นธรรมเนียมของไทยอยู่แล้วว่า พอดีลูกเขามาเรียน เขาก็มาให้กันเองน่ะ มาบริจาคทรัพย์ มาทำอะไรให้มันเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เราไม่ต้องล่อด้วยวิธีอื่น คราวนี้ปัญหาเหล่านี้มัน เราใช้วิชาหลักก็คือภาษาอังกฤษ หรือคณิตศาสตร์นี่ส่วนมากที่ถามกันนะครับว่า ในหมู่บริหารโรงเรียนนี่ใช้วิชาพวกนี้เป็นเครื่อง เครื่องล่อเด็กเพราะเด็กมันมาโรงเรียน แล้วก็ได้เรียนคณิตศาสตร์ ได้เรียนภาษาอังกฤษ มีความรู้ขึ้นดีขึ้นไม่ต้องไปเสียเงินที่ไหน อาศัยพระบ้าง อาศัยครูฆราวาสมาช่วยสอนบ้าง เสร็จแล้วในด้านไอ้ธรรมะเราก็เลยไม่ได้สอน ตกลงเราก็เลยไม่ได้ทำหน้าที่เต็มตามความหมายของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ซึ่งมีเจตนาที่จะสอนในส่วนที่โรงเรียนอื่น ที่โรงเรียนเขาไม่ได้สอน เราไม่ได้ทำอันนี้ ปัญหาปัญหามันก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลทุกทีถ้าพูดถึง แต่ถ้าจะได้กำลังดีมันต้องได้ฆราวาสด้วย ฆราวาสฆราวาสนี่เขาเป็นช่วยจัดหาเงิน ไอ้เรื่องจัดหาเงินนี่เราปล่อยไปเลย เราเราไม่เกี่ยว เราทำ ทำอย่างเดียว อย่างที่วัดผมนี่ก็ไม่ต้อง พวกฆราวาสเขาก็ทำกันเอง เขามีคณะกรรมการตั้งเป็นมูลนิธิ เขาก็หาเงินหาทองกันเอง พระก็สอน สอน สอนไป ไม่มีเงินก็ไม่มีเงินก็ไม่ต้องทำ เขาก็มาถามเองว่าจะทำอย่างไร เราก็มีหน้าที่แต่สอนไป
คราวนี้มาดูที่สำคัญก็คือเรื่องการสอนนี่ครับ การสอนนี่เป็นเรื่องที่สำคัญทีเดียว เพราะว่าที่ผมผ่านมาก็สังเกตุว่าเด็กไม่กล้าถามพระ แล้วพอดีเราคุ้นๆ กันหน่อย ไปถามว่าทำไมไม่ถามพระ บอกเดี๋ยวพระตอบไม่ได้ มันคิดอย่างนี้นะครับ แต่ว่ามันก็ไม่ ยังเคารพอยู่ แต่ไม่ถามน่ะ บอกไม่ถามล่ะ ฟังเท่าไรก็ เข้าใจไหม เข้าใจ แล้วเวลาสอบมันง่ายนี่ เพียงแต่ว่าไปท่องมาเท่านั้นเอง ท่องตามที่เราหมายไว้ให้ เขาก็ท่องมาแล้วก็สอบ พุทธประวัติคะแนนร้อยนึง ทำได้เก้าสิบห้า เก้าสิบแปด บางทีก็เต็มร้อย ธรรมะร้อยนึงได้แปดสิบ เก้าสิบ เต็มร้อย คะแนนเขาดีๆ หมดเลย แต่ว่าไม่รู้เรื่องอะไร รู้แต่เฉพาะที่ท่องเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่กล้าถามด้วย คราวนี้บอกให้ถาม เพราะว่าถ้าถามแล้วมันก็ต้องมีการโต้กัน มีการพูดกันมากขึ้น เด็กได้ใช้ความสามารถในการโต้ คราวนี้ว่าเขาก็กลัวว่าเราจะตอบไม่ได้ อันนี้จริงๆ เลยเด็กระดับชั้นมัธยมขึ้นไปแล้วนี่เขาไม่ค่อยถามหรอก ผมก็เคยถามว่าทำไมไม่ถาม เขาบอกว่าเกรงใจเหมือนกันเดี๋ยวเขาถามแล้วตอบไม่ได้ คราวนี้ถ้าเรามา มาทำส่วนนี้ให้มันสมบูรณ์ คือเรา เราสอนให้มันประทับใจเด็กนะครับ ผมก็เคยใช้วิธีเรียกว่าภาษาคน ภาษาธรรมของท่านเจ้าคุณอาจารย์นี่ไปสอน เด็กมันยอมมันยอมเชื่อ คือมันยอมเชื่อทีแรกนี่ เรื่องทางศาสนานี่มันเห็นพระนี่มันเชื่อแล้วครับ คราวนี้ว่ามันเชื่อโดยธรรมเนียมว่า อ้าวพูดมาก็เชื่อ แต่เชื่อโดยที่ว่ามีเหตุผล แล้วก็ควรแก่การเชื่อนั้นมันเป็นอีกตอนหนึ่ง สังเกตุได้ทันทีเลย สังเกตุที่ว่ามันภูมิใจว่า โอ้มาเรียนแล้วนี่มันรู้รู้ต่างออกไปจากที่ไม่มาเรียน อย่างเช่นที่ผมเคยใช้มาก็เช่น ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานนี่ ในวันวิสาขะ เวลาเราสอนเราก็บอกว่าอ้าวนี่นะ วันวิสาขะนี่ วันประสูติ วันตรัสรู้ ปรินิพพาน นี่ตรงกันเป็นวันเดียวกันนะอ้าวเด็กก็เชื่อ เสร็จแล้วเราก็บอกถามว่าเธอเชื่อจริง ๆ น่ะหรือ ก็ไม่รู้สิ ก็ว่าวันเดียวก็วันเดียว เสร็จแล้วก็บอกว่า อ้าวทำอย่างนี้ดีกว่า ถ้าคนเขาเชื่อก็เชื่อไป แต่ถ้าเขาสงสัยเรามีวิธีอธิบายอย่างอื่น ก็ใช้การอธิบายแบบภาษาธรรม คือเราบอกว่าประสูติ ประสูตินี่หมายความว่าเจ้าชายสิทธัตถะนี่ตาย ตายที่ต้นโพธิ์นั่นแหละแล้วก็เกิดพระพุทธเจ้าขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะตายเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นนี่คือประสูติ ตรัสรู้ก็คือว่าได้บรรลุ อาสวักขยญาณ บรรลุอาสวักขยญาณ ก็คือตัดกิเลสนั่นแหละก็คือเป็นการตรัสรู้ ทีนี้ปรินิพพานล่ะ ปรินิพพานก็คือกิเลสมันตาย กิเลสดับไม่เหลือเลย กิเลสตายสนิทตั้งแต่นั้นมา นี่เป็นปรินิพพาน ฉะนั้นประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานก็คือเรื่องเดียววินาทีเดียวกันน่ะ คือเจ้าชายสิทธัตถะนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ทำสมาธิเสร็จแล้วพอดีถึงตอนที่เรียกว่าได้วิชาสาม วิชาที่สามนี่ก็คือสิทธัตถะตาย ร่างเดิมนี่แหละ แต่ว่าความเป็นสิทธัตถะนี่มันตายเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา ตรัสรู้คือบรรลุอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณ เสร็จแล้วก็กิเลสมันตาย กิเลสตายสนิทไปเลย นี่มันก็ได้สามขึ้นมา ก็เป็นไอ้เรื่องเดียวกัน ทีนี้เด็กเขาก็เข้าใจ ผมสังเกตุดูว่าเด็กระดับชั้นมอ มอ ๓ นี่ พอทีแกได้ฟังนี่แกชอบใจใหญ่ อืม อืม อย่างนี้ดี แกได้ อย่างน้อยแกก็ดีใจแล้วว่ามันมีวิธีการที่แปลกออกไป แล้วก็เห็นจริงเห็นจังขึ้นแกก็พอใจ นี่ก็เป็นเป็นเรื่องหนึ่ง ทีนี้พูดถึงนรก สวรรค์ เด็กนี่ก็โอ้โหไม่เชื่อแล้ว ไปดู ผมเคยเอาภาพนรกที่เขามีน่ะ ไปดู กะทะทองแดง อ้าวมีคนลงไปในกะทะ มีไอ้พวกยมพบาลกำลังเคี่ยวอะไรกันอยู่ มีคนเขาเขียนเรื่องเล่นๆเขา ของหลวงวิจิตรวาทการเขาบอก โอ๊ยเดี๋ยวนี้เขาตกนรกลงไปแล้วกะทะทองแดงมันไม่ร้อนซะแล้ว เพราะว่าป่าไม้ในเมืองยมพบาลนี่มันถูกลักลอบตัดซะหมดไม่มีฟืนมาเผานี่เขาเล่ากันอย่างนี้ ทีนี้ว่าถ้าเราจะอธิบายให้เด็กมันมันเห็นจริงเห็นจังขึ้นมานี่ก็ต้องอาศัย เอ่อ ที่เราได้รับความรู้มากขึ้นกว่าเดิม ผมก็ได้รับความรู้จากที่นี่แหละครับ คือเรียกว่า นรกสวรรค์นี่เราอธิบายในส่วนหนึ่งก็ได้ ในส่วนว่า นรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้าก็ได้ หรือว่าเราจะอธิบายตามในพระคัมภีร์ก็ได้มีหลักฐานอ้างอิงว่า นรก สวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขณะใดที่ตาเห็นรูปที่ไม่สวยงาม หูได้ฟังเสียงที่ไม่ไพเราะ จมูกได้กลิ่นที่ไม่หอมอย่างนี้ กายสัมผัสของที่ไม่ ไม่ เย็นไป ร้อนไป หนาวไป หรือใจนึกคิดในสิ่งที่ไม่สบายอะไรอย่างนี้มันก็เกิดความร้อนขึ้นมาอันนี้เป็นนรก ถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้สัมผัสกับสิ่งที่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ อะไรอย่างนี้มันก็เป็นสวรรค์ขึ้นมา ทีนี้ก็พิสูจน์ชี้อย่างนี้เขาก็ยอมรับได้ ทีนี้ก็เกี่ยวกับการสอนนี่ เป็นสิ่งที่เราได้เติมในส่วนที่ขาดอยู่ในโรงเรียน เพราะในโรงเรียนนี่เขาเรียนเกี่ยวกับธรรมะนี่เขาก็เรียนไปอย่างนั้นแหละ แต่ว่ามันไม่เห็น ไม่รู้สึกลงไปว่า มันเป็นจริงๆ กับชีวิตของเขา ทีนี้พอดีเขาได้รับฟังภาษาคน ภาษาธรรมนี้ เขาก็เกิดมีภาพพจน์ แล้วมันเห็นจริงๆ นะครับ นรกอย่างนี้มันก็อย่างนั้นแหละ พอดีไปเห็นกองขี้หมานี่เข้า ไม่สบายบางคนอาเจียนเลยนี่ก็นรกก็เกิดขึ้นแล้ว ทว่าได้ของที่ถูกอกถูกใจมันก็เป็นสวรรค์ขึ้นมา นี่นรกสวรรค์นี่ความหมายอย่างนี้ หรือว่าอบายภูมิ ๔ ที่ผมยกตัวอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่ช่วยทำให้ให้เด็กเขาเห็นจริงเห็นจังขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ คือเรื่องเหล่านี้ก็ได้จากคำอธิบายนี่ครับ คำอธิบายที่พระอาจารย์ช่วยอธิบายให้เกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้ อบาย ๔ อย่างนี้ เพราะเดี๋ยวนี้เด็กมันไม่ค่อยจะเชื่อ ไม่ค่อยจะเชื่อ แต่ว่าเขาก็ไม่ ไม่แสดงอาการอะไรออกมา แล้วเราสังเกตุได้อย่างว่าเด็กที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนวันอาทิตย์นี่ส่วนมากไม่ใช่เด็กระดับหัวกะทิในโรงเรียน ปลายแถวทั้งนั้นแหละ ไอ้เด็กหัวกะทิมันไม่มา เพราะว่ามันไม่อยากจะมาเถียงกับพระ มันบอกมันไม่อยากจะมาเถียงแล้วมันก็ไม่มา ทีนี้ไอ้เด็กที่เรียนออกไปแล้วนี่เขาก็ถามว่าไปเรียนโรงเรียนวันอาทิตย์ดียังไงล่ะ ก็ดี ดียังไง ก็ดี แล้วมันก็ไม่รู้จะว่ายังไง พอดีไอ้นั่นมีปัญหาถามนี่ มันก็ตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้ไอ้ทางโน้นมันก็ไม่มา ทีนี้ถ้าเราได้ความรู้ที่มันตอบกันได้มากันอย่างนี้ เด็กมันก็เราจะได้เด็กระดับหัวกะทิมา คือเด็กที่เรียนดีๆ ในโรงเรียนนี่เขาเข้ามา มันมีผล มีผลทำให้เครดิต หรือความเชื่อถือในระดับของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นี่มันสูงขึ้น เดี๋ยวนี้มันมันไม่ค่อยสูง เพราะว่าเด็กที่เข้ามาเรียนนี่มัน เด็กที่ว่ามันดีอยู่แล้วโดยโดยไม่ต้องทำอะไรมันดีอยู่แล้ว อย่างเรื่องอบาย ๔ นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉานอย่างนี้ มันก็สามารถอธิบายให้เห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ ว่านรกคือความร้อนอก ร้อนใจ เปรตก็คือความอยาก ภาวะที่จิตกำลังอยาก เต็มที่อยู่อย่างนั้นน่ะก็คือเกิดเป็นเปรต ถ้าอสูรกายก็คือความกลัว ไม่กล้า กลัวอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าเป็นเดรัจฉานก็คือโง่ ขณะที่จิตใจมันโง่ ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร พอทีเราพูดอย่างนี้ไปมันก็เห็นเลย เด็กมันก็เห็นอยู่ทันทีเลยว่า มันเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าตกอบายอยู่ไม่มีความเจริญ เช่น เด็กเขาทำอะไรไม่ได้ คิดเลขไม่ออก หรือว่าทำอะไรไม่ได้ อย่างนี้เราก็บอกนี่มันมันตกอบายเห็นไหมมันเป็นเดรัจฉานมันโง่ ฉะนั้นถ้าจิตใจมันไม่ไม่ตกอยู่ในอบายอย่างนี้ มีความฉลาดมันก็ทำอะไรได้ แล้วเราต้องชี้ไปถึงว่า ถึงแม้คนไม่มาเรียนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เขาก็มี มีสิทธิ์ที่จะรู้จักธรรมะ คือใช้ธรรมะเป็นเองได้โดยไม่ต้องเรียนก็ได้ ทำให้เด็กเกิดมีความเข้าใจในเรื่องนี้ได้ดีขึ้น มันยังมีหลายเรื่องครับ เกี่ยวกับเรื่องธรรมะนี่ที่ช่วยให้เด็กๆ มองเห็นภาพพจน์ แล้วเกิดความจริงใจขึ้นมาว่า ธรรมะนั้นมันเป็นอย่างไร
อย่างเรื่องเหนือโลกอย่างนี้อีกอย่าง บางทีเด็กมันก็ไม่กล้าเถียงน่ะ บางทีบอกว่าอยู่เหนือโลก พระพุทธเจ้าอยู่เหนือโลก หรือว่าพระอรหันต์อยู่เหนือโลก ธรรมะทำให้เหนือโลกอย่างนี้ เป็นเป็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่าทำให้เกิดความล้มเหลว คือมันล้มเหลวหมายความว่าเด็กเขาเข้ามาเรียนแล้วนี่มันไม่ต่างจากที่โรงเรียนเขาก็เลยออกไปเรื่อยๆ แต่นั่นไม่เป็นไรครับ สำคัญว่าถ้าคนที่อยู่แล้วเราได้อธิบายในลักษณะที่ให้เด็กเห็นจริงเห็นจังขึ้นมาก็คงจะช่วยได้มาก อย่างเหนือโลกอย่างนี้ก็ ส่วนมากเด็กมันก็เข้าใจเพียงแค่ว่าโลกนี้คือโลกที่เราอยู่ เหนือโลกขึ้นไปก็ไปโน่น ไปดวงจันทร์ ดาวอังคาร ไปไหนก็แล้วแต่ ไปอย่างนั้น ทีนี้ถ้าเราได้อาศัยธรรมะอธิบายให้เห็นจริงเห็นจังขึ้นมา โลกโลกคืออะไรอย่างนี้ โลกก็คือสิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเหนือโลกก็หมายความว่าขณะที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์แล้ว ไม่ถูกเขาครอบงำ จิตใจแจ่มใสปกติดี ไม่ถูกกิเลสเข้าครอบงำนี้เรียกว่าเหนือโลก ไอ้เหนือโลกอย่างนี้ นี่แหละถึงจะมีประโยชน์ช่วยได้อย่างนี้เป็นต้น นี่มันเป็นปัญหา ตัว ตัวหลักตัวเกณฑ์เลยที่ทำให้ว่าเครดิตของโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์มันไม่ดีขึ้น เพราะว่าส่วนที่จำเป็นในการที่จะให้กับเด็กน่ะ มัน มันไม่พอ เด็กเขาก็เลย ไม่ ไม่เห็นของว่ามันแปลกอะไร ส่วนมากก็มาเรียนเพราะว่าสนุก มันมีการจัดกิจกรรมพาไปเที่ยว เที่ยวโน่น เที่ยวนี่ต่างๆ ก็เป็นผลประโยชน์อย่างเรื่องอื่นไป แต่เรื่องที่เราเจตนาที่จะทำตามพระพุทธประสงค์นั้นมันไม่สำเร็จ มันก็เลยหนีออกไปเรื่อย หนีออกไป ผลสุดท้ายก็เลยไม่อยากมาโรงเรียนวันอาทิตย์ ก็เลยเด็กก็เลยน้อยลงไป น้อยลงไป มันมีส่วนเรื่องนี้หลายเรื่องครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยนะครับ ผมก็พูดตรงๆ เลยว่า ที่ร้ายที่สุดเลยก็คือผู้สอน ฝรั่งเขาพูดว่า Do as I say, not do as I do. คือทำอย่างที่ฉันพูด แต่อย่าทำอย่างที่ฉันทำ พระเราสูบบุหรี่นะ สูบบุหรี่ เสร็จแล้วก็บอกนี่ไม่ดีนะ สูบบุหรี่ ทีนี้ไอ้เด็กนี่มันก็ เด็กนี่มันแปลกอย่างนะครับ ถ้าพระองค์นั้นมันชอบนะครับ คือมันพอใจน่ะสูบบุหรี่มันก็ไม่ว่าเอา สูบไปเถอะดี พระองค์นี้เขาเก่ง เขายกให้องค์หนึ่ง แต่ถ้าองค์ไหนสอนก็ไม่ค่อยเก่งนะ แล้วสูบบุหรี่ มันบอกโอ้ไม่ดีอ่ะ ไม่ดีอ่ะ นี่สูบบุหรี่แล้วไม่เก่ง เด็กมันไม่มองมากอะไรขนาดนั้นน่ะ ที่ผมประสบมา ฉะนั้นเรื่องบุหรี่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญก็จริง ทีนี้ว่าเด็กบางคนนี่มันเปรียบเทียบ มันไปซุบซิบกันซะมากกว่า อย่างเช่น เราสอนว่า อย่าโกรธ อย่าโกรธ เสร็จแล้วเราก็เถียงกันใหญ่เลย พระอาจารย์ด้วยกันเถียงกันใหญ่เลย เด็กเห็นหน้าดำ หน้าแดงโกรธกันอยู่อย่างนี้เป็นต้น นี่มันเป็นเรื่องที่ ที่ล้มเหลวนะครับ แล้วก็ที่สำคัญที่สุดที่ผมพบมาแล้วก็คิดว่ามันแก้ยากจริงๆ เลย แก้ยาก เพราะว่า แต่คิดว่าพวกเราที่นี่ก็คงไม่ ไม่มีเจตนาจะเป็นกันอย่างนั้น คือหมายความว่าบางทีเขาเรียกร้องกันนะ ผมเคยไปสัมนานะ เขาเรียกร้องกันว่าเป็นครูโรงเรียนวันอาทิตย์นี่ขอให้มีสิทธิพิเศษ หนึ่งไปสอบปกศได้ มีใบรับรอง ไปสมัครงานได้หรืออะไรต่างๆ อย่างนี้ คือขอสิทธิพิเศษแล้วขอให้ว่าครูที่สอนในวันอาทิตย์นี่เป็นพระครู คือ คือสอนวันอาทิตย์นี่เขาเรียกว่าพระอาจารย์นะครับ พระอาจารย์นี่มันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่เขาจะขอเป็นพระครู คือขอให้มียศมีตำแหน่งแต่งตั้งกันขึ้นไปอย่างนี้ ที่ประชุมสัมนาเขาก็เห็นด้วยกันเพราะว่าจะได้ชักจูงให้มีคนยินดีสมัครที่จะมาเป็นครูวันอาทิตย์กัน นี่คือเราไปเอากันซะด้านนั้น ไอ้ ไอ้ส่วนที่จริงใจมันก็เลยไม่มี แล้วมันยากจริงๆ น่ะผมว่ายากมาก คือถ้าเป็นพระธรรมทายาทแล้วก็สบายครับ ผมบอกสบายใจพูดกับท่านทั้งหลายที่มีเจตนาอันยิ่งใหญ่อย่างนี้ละครับ นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการสอน การสอนนี่ ถ้า ถ้าดูวิธีการสอนเขามีหลักมีเกณฑ์อะไรผมก็อ่านมา แต่มันทำไม่ได้อย่างนั้น เขาบอกเวลาสอนนี่จะต้องปลุก ปลุกใจผู้สอนให้ตื่น และสนใจในวิชาที่ตั้งใจจะเรียน เดี๋ยวเราก็ใส่ความรู้ ความอะไรให้เขา เสร็จแล้วเขาก็นำไปใช้ปฏิบัติได้หลักมันก็มีเหมือนกันหมดแหละ แต่เสร็จแล้วมันก็ทำลงไปจริงๆ ไม่ได้ ฉะนั้นความล้มเหลวมันก็อยู่ในส่วนที่เกี่ยวกับความเข้าใจในเรื่องธรรมะ ท่านทั้งหลายก็หาได้ครับผมอาศัยความรู้จากหนังสือปกดำนี่ เอาไปซื้อได้ หนังสือปกดำก็คือ ธรรมโฆษณ์ และมันมีเรื่องต่างๆ มากมายเลย มันเป็นการอธิบายซึ่งเรายอมรับได้ แล้วก็ทำให้เด็กเขาก็เชื่อมากขึ้น อย่างมีอยู่ข้อหนึ่งนี่ครับ เด็กมันเถียงเลย เราบอกว่าหัวใจเศรษฐี อุ อา กะ สะ เธอทำอันนี้ไปสิเป็นเศรษฐีทั้งนั้นแหละ เสร็จแล้วไม่เห็นใครมันเป็นเศรษฐีซะที มันก็เถียงโอ้นี่ มันเถียงเลยนะครับ แต่จริงๆ อาจจะเถียงไม่ค่อยดังเท่านั้นเอง เราก็ เราก็จะเถียงเขาง่ายๆ ว่า ก็ทำไม่ครบนี่ ทำครบจริงๆ ก็เป็นเศรษฐี คราวนี้พระที่สอนกันพระที่สอนเองนี่ก็ยังบอกเลยว่าทำจริงๆ มันก็ไม่เป็นเศรษฐีล่ะเอา นี่มันก็เท่ากับเถียงในพระธรรมวินัยเข้าไปแล้ว ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่าเศรษฐีนั่นมันคืออะไร ทีนี้พอเราไม่เข้าใจคำว่าเศรษฐีคืออะไร มันก็เลยว่าถ้าทำตามหัวใจเศรษฐี อุ อา กะ สะ คือ อุ อา กะ สะ นี่ก็คงทราบนะครับ อุฏฐานสัมปทา นี่ อุ อุฏฐานสัมปทา อา ก็คือ อารักขสัมปทนา กะ ก็คือ กัลยาณมิตตตา แล้วก็ สะ ก็คือ สมชีวิตา อุ อา กะ สะนี่หัวใจเศรษฐี เสร็จแล้วคนที่สอนเอง เดี๋ยวนี้สึกไปแล้วนะ แกก็ยังเถียงอยู่ แกบอกอือไม่จริงอะ ไอ้ทำตามนี้ไม่เป็นเศรษฐีหรอก ผมก็ติดแหง็กแก็กอยู่อย่างนั้นน่ะหลาย หลายปี อย่างน้อยก็สาม สี่ ห้าปี จนกระทั่งมาได้ยินที่นี่แหละ ท่านอาจารย์อธิบาย คำว่าเศรษฐี โอ้จริงแฮะ อุ อา กะ สะ นี่มันเศรษฐีจริงๆ นะ แต่ต้องเศรษฐีอย่างพุทธบริษัท เศรษฐีแปลว่าผู้ประเสริฐนี่มันแปลอย่างนี้นี่ ไม่ใช่แปลว่าผู้มีเงินนี่ ทีนี้เรามุ่งว่าเศรษฐีคือผู้มีเงิน มันก็คนละเรื่องสิ เศรษฐีคือผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐนี่มีสติปัญญา ผลิตอะไรได้มาก ได้เงินได้ทองมา กินใช้เก็บแต่พอดี ที่เหลือเอาไปช่วยผู้อื่น เป็นเศรษฐีแล้วอย่างนี้ ฉะนั้นคนเข็นน้ำแข็งนี่ก็เป็นเศรษฐีครับ ขายไอ้ ไอ้กล้วยปิ้งก็เป็นเศรษฐี มันเป็นเศรษฐีตรงไหนล่ะ นี่จะเล่าเรื่องให้ฟังก่อน ผมก็ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง เขาว่ามีเถ้าแก่ เถ้าแก่นี่เขาเรียกไอ้คนจีนที่ค้าขายน่ะ คงไทยอ่ะ อั๊วคงไทยอ่ะ พูดอย่างนี้นะครับส่วนมากเป็นคนรวยมีเงิน อั๊วคงไทย คงไทยโร้ยโปเซ็ง แกก็มีเงินมากเลย แกก็ทอดกฐินอะไรนี่ เงินเป็นแสนนี่ทอดกฐินได้ ทีนี้แกไปที่วัดวัดหนึ่งไปทอดกฐิน เสียเงินโอ๊ย แกควักเงินอย่างเดียวแหละ ติดเท่าไรเท่ากัน แล้วแกก็เดินชมวัด ก็ไปเห็นคนแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แกเห็นคนแก่ แกบอกนี่ทำอะไรน่ะ หือ ไม่มีงานทำเหรอ ไม่มีงานทำเหรอ แกบอกไม่มีงานทำ ทำไมไม่หางานทำล่ะ ทำไปทำไมงานน่ะเขาว่า อ้าวทำงานมีเงิน มีเงินเอาไปทำอะไร อ้าว มีเงินก็รวยเป็นเศรษฐีไง เป็นเศรษฐีเอาไปทำอะไร อ้าวเป็นเศรษฐีจะได้นั่งสบายๆ ไง อ้าว อั๊วก็นั่งสบายๆ อยู่แล้วนี่ ฟังออกไหม คือเถ้าแก่กับคนแก่นี่เขาไปที่วัด เถ้าแก่เขาไปที่วัดไปเจอคนแก่นั่งอยู่ เขาถามคนแก่บอกว่า ทำไมไม่ทำงาน เจ้าคนแก่เขาบอกว่า จะทำงานไปทำอะไร เขาบอก อ้าว ทำงานสิจะได้เงิน คนแก่ก็บอกได้เงินเอาไปทำอะไร เขาบอก อ้าว ได้เงินจะได้เป็นเศรษฐีไง ร่ำรวยไง เป็นเศรษฐีแล้วไปทำอะไร อ้าว เป็นเศรษฐีจะได้นั่งสบายไงเขาว่า อ้าว นี่ก็นั่งสบายอยู่แล้วนี่ คือตกลงไม่รู้เรื่องทั้งสองฝ่าย ไอ้คนนั้นก็คิดว่าเป็นเศรษฐีแล้วก็เพื่อที่ว่าจะได้นั่งสบาย แต่มันไม่ใช่นี่ครับ มันเป็นเศรษฐีในความรู้สึกของเขาเอง เขาคิดกันเอง พอเศรษฐีมีเงินใช้เงินได้สบาย แต่เปล่ามันไม่ใช่เศรษฐีอย่างพุทธบริษัท เศรษฐีอย่างพุทธบริษัทคือผู้ประเสริฐ ผลิตได้มาก ทีนี้ก็แล้วแต่ว่าเขาทำอะไรนี่ครับ เช่น ขายกล้วยปิ้ง ขายขนมครก เข็นน้ำแข็ง อ้าว ได้ลงทุนเท่าไร อ้าวร้อยนึง ขายได้วันนี้สองร้อย อ้าวเก็บไว้เป็นทุนสำหรับทำพรุ่งนี้ เอาไปกิน เอาไปเก็บไว้หน่อย อ้าวเหลือเท่าไร อ้าวเหลือบาทนึง อ้าวบาทนึงเอาไปบริจาคเป็นเศรษฐีแล้วครับ นี่คือหมายความว่าน้ำใจของเศรษฐี แล้วเศรษฐีอย่างนี้ มัน มันจริงไม่จริง มันจริงตรงที่ว่ามันไม่ต้องฆ่ากัน มันอยู่กันอย่างเป็นมิตรกันเลย แล้วเศรษฐีในครั้งพุทธกาลเราก็จะเห็นแล้ว ถ้าเป็นเศรษฐีจะสร้างโรงทาน แล้วดูเดี๋ยวนี้สิครับว่า คนเศรษฐีมันไม่มี มีแต่คนมีเงิน เพราะมันไม่สร้างโรงทาน สร้างโรงแรม สร้างโรงแรมสร้างอาบอบนวดอะไร นี้เราก็แบ่งให้เห็นเลยว่า ไอ้โลกนี้นะมันยังไม่มีเศรษฐี เพราะมันไม่มีอุ อา กะ สะ มีเศรษฐีอย่างชาวพุทธ แต่ถ้าเธอไม่ทำอย่างนี้ เธอจะมีเงินแต่เป็นนายทุน แล้วจะต้องอยู่ในตะราง คือนอนบ้านที่ติดลูกกรงใช่ไหมครับ คนที่มีเงินน่ะต้องนอนบ้านติดลูกกรง มีหมา มียาม แล้วก็กลัว แต่ถ้าเป็นเศรษฐีในทางพุทธศาสนาแล้ว บ้านไม่ต้องติดลูกกรง มีชาวบ้านที่รอบๆ นั้นแหละเป็นยาม เพราะเขารัก เพราะว่ามีเงินก็ให้เขา ช่วยเหลือเขา นี่เป็นเศรษฐีอย่างนี้ ถ้าแบบนี้ผมก็คิดว่าเขาคงจะเชื่อได้ และยินดีอยากจะเป็นเศรษฐีบ้าง เพราะว่าชีวิตของฆราวาสที่ประสบความสำเร็จนั้นก็คือ มีทรัพย์ มียศ มีไมตรี ทรัพย์หาได้ ยศคือชื่อเสียง เกียรติยศนี่ก็หาได้ บริจาคหน่อยก็มีแล้ว แต่ไมตรีหรือหาคนรักนี่มันยาก คนที่จะมารักนี่มันยาก ฉะนั้นคนได้ครบสามอย่างนี่ก็เป็นประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างฆราวาส มีทรัพย์สมบัติ มีลูกเมีย มีบ้านช่อง มีอะไรครบแล้ว มียศ มีชื่อเสียงแล้ว แต่ยังหาคนรักไม่ได้ นี่แหละถึงไม่สมบูรณ์ นี้เราก็ชี้ให้เขาเห็นว่า เอ้อมาเป็นนี่ก็เรียกว่า มารู้จักธรรมะกันดีกว่า แล้วก็เป็นเศรษฐีอย่างนี้ นี่ผมเพิ่งคิดได้น่ะครับ หลังจากที่ตอบเขาไม่ได้มาอย่างน้อยก็ ๔ ปี ได้ความรู้อย่างนี้แล้วผมก็คิดว่า เด็กๆ ก็คงจะยินดีด้วย ท่านทั้งหลายลองคิดดูสิว่าเป็นเศรษฐีอย่างนี้ดีกว่าคนมีเงินไหม เพราะถ้ามีเงินอย่างเดียว มันก็เป็นไอ้คำพูดแปลกๆ นี่ส่วนมากผมก็ ใช้จำจากที่นี่ พ่อเศรษฐีใจบุญ นายทุนกระดาษทรัพย์ ท่านเคยฟังทางปาฐกถาวิทยุ ถ้าเป็นเศรษฐีใจบุญก็ช่วยเหลือคนอื่นได้ ถ้าเป็นนายทุนคือคนมีเงินนั่นแหละก็คอยแต่จะเอาเปรียบ ดูดผลประโยชน์จากคนอื่นมาให้ตนเองร่ำรวยอย่างเดียว นี่คือความแตกต่างกันระหว่างคนมีเงินกับเศรษฐี นี้เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องนี้ได้อย่างดี แล้วอีกอย่างหนึ่งครับ เรื่องนิดหน่อยฮะ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องอนัตตาน่ะครับ ขำที่สุด เราสอนอนัตตาสำหรับบางชั้นที่ชั้นสูงนี่เขาก็บอกว่า อนัตตาเขาก็เฉยๆ หมด เสร็จแล้วก็จับแก้วมา เอาแก้วกับแก้วน้ำมาแล้วก็ปาแก้วน้ำแตก แล้วก็ให้เราอธิบายว่านี่มันเป็นอนัตตาได้อย่างไรถ้ามันเป็นอนัตตาทำไมแก้วมันต้องแตกด้วยล่ะ คือหมายความว่าที่มันเขาบอกว่าแก้วมันแตกนี่เพราะว่าตัวเขาเองนะครับเป็นคนบังคับให้แก้วมันน่ะแตก เพราะฉะนั้นเขาเองน่ะคือตน ที่จะทำให้แก้วมันแตก และอนัตตามันจะเป็นในเรื่องนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเราบอกว่าทุกสิงทุกอย่างเป็นอนัตตา นี่มันเป็น มันเป็นประเด็นที่ว่าเด็กที่มันเรียนสูงๆ มันแย้งกันอย่างนี้เลย อ้าวมันบอกว่าอนัตตา มันก็เอาแก้วปาเลย นี่นะอนัตตา ก็นี่ผมนี่เป็นคนทำให้แก้วแตกนี่ไง ผมนี่เป็นอัตตาสิ จะเป็นอนัตตาได้อย่างไร ไอ้ปัญหาอย่างนี้น่ะ ผมคิดว่าพวกเราธรรมทายาทน่ะตอบได้ทั้งนั้น เพราะว่าเราสามารถที่จะเข้าใจได้สูง ถือว่าอนัตตานี่ไม่ใช่ตัวตน คือทุกอย่างมันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย อย่างเช่นว่า ที่คุณคิดน่ะ ที่คุณคิดน่ะ คุณคิดไปตามเหตุตามปัจจัย มันมีกิเลสเข้ามา เราก็อธิบายกันอย่างนี้เลย มันก็กิเลสมันเข้ามาอยากจะทำอย่างนี่ แล้วกิเลสมันก็สั่งให้คุณทำ สั่งให้ทำ แล้วตัวสั่งให้ทำน่ะมันเกิดอัตตาขึ้นมาคือตัวกูอยากจะทำ แล้วไอ้ตัวกูนั้นมันก็ทำลงไปทำให้แก้วแตก แต่ทุกอย่างนี้มันเริ่มต้นจากกิเลส ซึ่งกิเลสมันไม่ใช่ตน กิเลสมันก็เป็นกิเลส เป็นธรรมชาติของกิเลสเมื่อเข้ามาอยู่กับใครแล้วก็ทำให้คนนั้นต้องทำตามอำนาจของกิเลส ฉะนั้นทุกอย่างเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไอ้เรื่องนี้เป็นเรื่องเรื่องที่เถียงกันเองในระหว่างผู้สอนครับ ระหว่างผู้สอนนี่เถียงกันว่าอนัตตาเป็นอย่างไร เศรษฐีเป็นอย่างไร เสร็จแล้วมันมีผลกระทบไปถึงเด็กๆ ด้วย
ทีนี้ผมพูดมาสองเรื่องนี่กินเวลามากแล้ว พูดถึงเรื่องคนกับเรื่องของการจัดการ ทีนี้ปัญหาเรื่องการจัดโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์อีกอย่างก็คือ เรื่องเงิน เรื่องเงินนี่ถ้าเราทำตาม ทำตามแบบพระพุทธเจ้าก็ดีครับ เพราะว่าท่านไม่ได้ใช้เงิน แต่เรื่องนี้เถียงกันเรื่อยในที่ประชุมเพราะว่าถ้าไม่ใช้เงินแล้วมันจะทำอย่างไร เราจะทำซื้อกระดาษอย่างไร ซื้อเครื่องมืออย่างไร ถ้าทำแบบผมอาศัยอย่างนี้น่ะแบบท่านเจ้าคุณอาจารย์ ท่านบอกท่านไม่ต้องใช้เงินเลย บาทนึงก็ไม่ใช้ สร้างสวนโมกข์ขึ้นมา เงินมันมาเอง คือเราทำออกไปเขาเห็น เขาก็มาช่วย เขาก็ให้ให้เงินมันก็สร้างขึ้นมาทุกอย่าง ฉะนั้นของทุกอย่างที่สร้างนี่ไม่ต้องสร้างก่อนแล้วค่อยแจกใบฎีกา เช่น พอดีขึ้นเสาแล้วอ้าวบัดนี้ศาลาขึ้นแล้วยังขาดเงิน ไม่เคยทำ เพราะว่าท่านอาจารย์ ไม่ ไม่มีเจตนาอย่างนั้น พอดีเงิน เงินมันมาได้พอสมควรเราก็สร้างขึ้นมา ไม่ต้องไม่ต้องแบบว่าลงไปก่อนแล้วก็ขอเงินตามมา ฉะนั้นการทำโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ก็เหมือนกันไม่ต้องใช้ แต่ศาสนาอื่นเขาใช้นะครับ ศาสนาอื่นเขาใช้ เขาใช้เงินน่ะเป็นตัวนำ ให้เงินให้เงินเด็กให้เงินทุนน่ะ ทีนี้โรงเรียนวันอาทิตย์เราก็มีปัญหาว่าต้องพยายามจัดเงินทุนขึ้นมา เช่นว่าใครสอบดีอ้าวเงินทุน ๕๐๐ ๓๐๐ ให้เป็นทุนขึ้นมา ซึ่งเรากำลังจะเดินออกไปนอก นอกแนวแล้ว มันก็เกิดปัญหานะครับ ท่านคิดดูนะครับ ที่มีปัญหาคือว่าพระผู้สอนนี่ไปกิจนิมนต์ไม่ได้วันอาทิตย์ แล้วคนที่นิมนต์มากที่สุดก็คือวันอาทิตย์ ทีนี้พระผู้สอนก็ไปไม่ได้ ไปไม่ได้ก็ขาดปัจจัยใช่ไหมครับ เครื่องที่จะมาส่งเสริมมันก็ไม่มี ตัวเองก็ไม่มีเงินอยู่แล้ว เสร็จแล้วก็อยากจะ หาทุนนี่หาทุนการศึกษาให้เด็ก ไม่ก็ไม่มีมันก็เลยต้องไปขอชาวบ้านอีก ชาวบ้านก็เลยเดือดร้อน ทีนี้ถ้าเรา ถ้าเราสอนไปอย่างเดียว เรา เราไม่ ไม่คำนึงถึงเรื่องนี้นะ สอนให้ได้ประโยชน์จริงๆ แล้วเงินมันก็มาเอง มันมาเองผมเชื่อว่าต้องมาได้ เพราะอย่างน้อยเราก็มีที่นี่แหละครับเป็นเป็นเครื่องยืนยันว่าเงินมันมาได้เอง เรามีกำลังใจตรงนี้แหละ ที่ว่ามันมีสิ่งที่เรามองเห็นว่าเงินมันมาได้เอง อย่างท่านทั้งหลายก็เห็นใช่ไหมครับ มาที่นี่ไม่ ไม่ต้องไปซื้อกับข้าวที่ไหน ไปถึงชาวบ้านเขาก็ใส่ นี่เขาใส่เพราะอะไรก็เพราะว่าอาศัยบารมีพระพุทธเจ้า คือเขาได้รับประโยชน์จากธรรมะ พอท่านเจ้าคุณอาจารย์ช่วยอธิบายธรรมะให้เขาเข้าใจเขาก็ศรัทธาหมด ฉะนั้นทุกคนเขาก็ศรัทธาหมด ชาวบ้านเขาพูดถึงขนาดนี้นะครับไม่ใช่ว่าผมจะอวดสวนโมกข์ เขาบอกว่าถ้าพระจากสวนโมกข์แล้วเขาเชื่อ ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นั่งปุ๊บเขาก็เชื่อแล้วไม่ทันพูดเลย นี่แหละครับมันได้อานิสงอย่างนี้ เหมือนกับว่าเดี๋ยวนี้น่ะครับผมอยู่ที่สวนโมกข์ ท่านทั้งหลายมาที่นี่ ผมยังไม่ทันพูดท่านอาจจะเชื่อผมไปแล้ว ๕๐% เชื่อเครดิตว่าอ้ออยู่สวนโมกข์มันรู้มาก นี่ครับอิทธิพลมันมีอย่างนี้ พอท่านทั้งหลายนี่มาที่นี่แล้วนี่ท่านกลับไปนี่ยังไม่ทันพูดเขาเชื่อ ๕๐%แล้วครับ มันรู้ แล้วมีบางคนพูดถึงกับว่า พระ เณรนี่มาที่สวนโมกข์แล้วที่พูดไม่เป็นมันไม่มี คงจะจริงกระมัง ที่ผมพูดมานี่ก็ชั่วโมงแล้วนี่ เขาก็พูดไปอย่างนั้น แต่เจตนามันไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องการพูด ผมเคยฟังท่านอาจารย์พูดไว้ว่า เรื่องพูดธรรมะนี่ครับไม่ต้องฝึก ไม่ต้องฝึก ขอให้รู้ธรรมะเข้าใจแล้วมันพูดได้เองแหละ พูดไม่หยุดเลย ฉะนั้นการที่จะต้องไปฝึกพูดนี่ไม่จำเป็นเพราะฝึกพูดนี่บางทีมันหลอก มันหลอก เพราะว่ามันแบบเอาท่าทางเอาอะไรหลอก ซึ่ง ซึ่งเขาทำกันน่ะครับ หลอกสำเร็จครับเด็กๆ นี่ติดกันงอมแงมเลย ติด ติดพระเลย ติดจนกระทั่งว่า ติดขนาดว่าพระต้องสึกไปแต่งงานด้วย ก็นี่แหละครับที่มีมาแล้ว ผมเห็นมาแล้วแกสอนดีมากครับ ลูกศิษย์ติดเลย เช้าต้องเอาของไปให้คุยกันจุ๊งจิ๋งๆ จุ๊งจิ๊งๆ ลึกซึ้งธรรมะมากมีแต่ภาคทฤษฎีนี่ เลยสึกไปฝึกภาคปฏิบัติ วันนี้ได้ผลแล้วครับ หนึ่งแล้วได้ผลแล้ว นี่มัน มันออกไป มันออกไปใช่ไหมเพราะว่ามัน มันใช้นอก นอก นอกนี้ออกไป นี่ผมพูดนี่ไม่ได้หมายความว่าผมจะแน่นอนนะ ก็ไม่แน่นอน ถ้าไปดำเนินอยู่ใกล้ชิดได้กลิ่น ได้กลิ่น กลิ่นกิเลสมากๆ เข้าก็แย่เหมือนกัน เวียนหัว มึนหัว ทีนี้ว่าเราเรื่องเงินนี่ถ้าทำแบบพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ต้องใช้เงิน เริ่มจากการสอนปากเปล่านี่ไปเรื่อยเดี๋ยวมันก็มี มีวัด มีกุฏิ มีอะไรมีอะไร เสื้อผ้าจีวรอะไรต่างๆ มันมาเอง ไม่ต้องหวังมันมาเอง แต่ถ้าจะจัดก็ได้ จัดนี่มันเป็นเรื่องของฆราวาส อย่างที่พูดเมื่อตอนต้นบอกว่าฝ่ายจัดการก็เป็นพวกฆราวาส ฆราวาสเขาที่กรรมการวัดนะครับ คนที่อยู่ในวัดเขาเห็นด้วยเขาก็ไปหาเงิน หาทองจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมาก็ช่วยเหลือให้วัดดำเนินไปได้โดยสะดวก
ทีนี้เรื่องสุดท้ายก็คือเรื่องความรู้นะครับ ความรู้ซึ่งเราก็หาได้ หาได้จากตำรับตำราทั้งหลาย หนังสืออ่านมากๆ ก็รู้มาก พูดได้มาก ก็สรุปละครับได้เวลาพอสมควรแล้ว สรุปว่าความล้มเหลวก็เกิดขึ้นจากตัวเราเองมากกว่า ผมผมเชื่อย่างนี้ ตอนนี้ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ถึงแม้ว่าขณะนี้ผมก็ช่วยโรงเรียนวันอาทิตย์อยู่ แต่ว่าช่วย ช่วยไกลๆ ไม่ได้ลงไปหรอก เกี่ยวกับว่าตัวเองสำคัญที่สุด คือหมายความว่ากำลังใจ ความเข้มแข็งอะไรอย่างนี้สำคัญที่สุด มันไม่พอ ไม่พอ ความคิดมันอาจจะดีนะครับ ความคิดความรู้อะไรมันอาจจะมี แต่เสร็จแล้วพอดีเราไปทำเข้ามันมีปัญหา เสร็จแล้วมันก็ไม่เข้มแข็ง ฉะนั้นต้องหาคนเข้มแข็งไว้ แล้วโรงเรียนวันอาทิตย์นี่ต้องมีควายสองตัว มีควายสองตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวความคิด อีกตัวหนึ่งเป็นตัวกำลัง ถ้าใครมีควายสองตัวในตัวเดียวในในร่างเราได้นี่ ควายสองตัวตัวหนึ่งเป็นตัวกำลัง ใครเคยไถนาก็คงจะทราบ ไอ้ควายสองตัวนี่ไอ้ตัวหนึ่งมันคอยฟังว่าจะให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา อีกตัวหนึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกแต่แรงดี ตัวหนึ่งใหญ่รูปร่างใหญ่ อีกตัวหนึ่งไม่ค่อยใหญ่หรอก แต่อีกตัวหนึ่งมันคอย ถ้าเลี้ยวขวา มันก็เลี้ยว ไอ้ตัวนั้นก็จะตามไปด้วย ฉะนั้นถ้ามีแต่ตัวแรงทั้งคู่มันไปเรื่อยน่ะ มันไม่ค่อยเลี้ยว แต่ว่าถ้ามีแต่ตัวที่มีแต่กำลังปัญญาอย่างเดียวมันก็ไถไปไม่ไหว ฉะนั้นไอ้โรงเรียนวันอาทิตย์มันไปได้ก็เพราะว่ามีคนที่มีความรู้ เสร็จแล้วก็มีชาวบ้าน หรือว่ากรรมการอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นพวกที่เป็นตัวแรงจะหาเงินหาทองอะไรก็แล้วแต่มาสนับสนุน ช่วยกันสองฝ่ายก็สำเร็จ ทีนี้เราตั้งความหวังนะครับ ว่าโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นี่จะสำเร็จได้ โดยเฉพาะผมเชื่อ ผมเชื่อว่า พระธรรมทูตทั้งหลายนี่สามารถที่จะทำได้ เราตั้งความหวังไว้แบบสังกัปปะ คือความหวังที่ประกอบไปด้วยความรู้ เราไม่ได้หวังแบบลมๆ แล้งๆ เราหวังเพราะว่ามันเห็นลู่ทางชัดเจนว่าจะทำได้ ทำได้ก็คือพอดีตัวเราเองมันมี มีความรู้ มีความมั่นใจ เราก็ทำได้ แล้วก็ร่วมมือกันก็ทำได้ เพราะว่างานจัดตั้งโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นี่ เป็นงานที่มีประโยชน์ มีประโยชน์มาก อย่างน้อยก็เพื่อชาติบ้านเมือง ที่เห็นๆ กันอยู่ แต่ในฐานะที่พวกเราเป็นธรรมทายาทนี่เรามีเจตนาที่จะทำตามพระพุทธประสงค์ เพราะพระองค์นั้นปรารถนาที่จะให้พระธรรมวินัยยังอยู่ ฉะนั้นเราก็ทำให้พระธรรมวินัยอยู่ได้โดยการสร้างโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ฉะนั้นเรื่องที่ผมแสดง ถวายความคิดเห็นมาเกี่ยวกับเรื่องประสบการณ์การจัดโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์นี้ ถึงแม้นว่าจะไม่สมบูรณ์นักก็คงจะเป็นข้อคิดเห็นให้ท่านได้ขบคิดอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางที่จะให้เกิดกำลังใจนะครับไม่ใช่ท้อถอย เกิดกำลังใจ ผมก็ถอยมาตั้งหลัก ถอยมาตั้งหลัก กลับไปช่วยงานอีก ทีนี้มัน ก็เป็นอันว่าพอสมควรแก่เวลานะครับ ก่อนจะยุติการบรรยายผมเอาคำกลอนของท่านอาจารย์ จำได้ ส่วนมาก ก็ ก็ใช้จำ ท่องจำ มันทำให้เกิดความคิดอะไรดีๆ ขึ้นมา อย่างเช่นว่าตอนเรามุ่งทำโรงเรียนวันอาทิตย์อย่างนี้ ทำใหญ่ทำใหญ่แต่ใจจริงๆ ครับมันอยากดี มันอยากให้เขารู้ว่านี่เราเก่งนะ เราเป็นเลขานะ ยุคเราบริหารนี่กิจการก้าวหน้ามีนักเรียนเยอะนะ ได้เงินมากนะมันอย่างนี้ มันก็เลยมานึกถึงคำกลอนท่านอาจารย์ เขียนไว้ว่า บ้าดี ท่านอาจารย์เขียนไว้ว่า
ยิ่งทำดีจะยิ่งมีนรกมาก ถ้าใจอยากดีเด่นเป็นเจ้าขรัว
ให้ผู้คนทั้งผองต้องยอมกลัว คือยอมตัวอยู่ใต้ปัญญายง
ไม่ต้องการมรรคผลดลนิพพาน คงต้องการแต่ให้เขาช่วยส่ง
ให้ลอยลมล่วงไปจมไม่ลง ต้องประสงค์แต่เท่านี้ บ้าดีเอย
มันจริงๆ น่ะ เรามันบ้าดี ยิ่งทำดีจะยิ่งมีนรกมาก เพราะมันบ้าดี มันก็เลยร้อนหมด กลัวเขาว่าเราจะทำไม่ดีบ้างล่ะ ดีไม่ได้อย่างใจบ้าง ร้อนเพราะมันอวดว่าคนมีปัญญา คืออยากให้ทุกคนยอมตัวอยู่ใต้ปัญญายง คือหมายความว่าปัญญาของเรา ให้คนนี่ยอมอยู่ใต้ปัญญา เจตนาก็คือว่าเราต้องการเก่งคนเดียว เรื่องนี้จริงครับ ถึงขนาดว่า ต้องเกือบจะล้มแน่ะครับโรงเรียนนี่ เพราะว่าคนมีปัญญามันเยอะ มันก็เถียงกัน เถียงกัน ไม่ยอมกัน บอกว่าทำอย่างนี้ดี ทำอย่างนี้ดี คนว่าทำอย่างนี้ดี เสร็จแล้วมันไม่ยอมกัน นี่เพราะว่าแข่ง แล้วเด็กมันก็เลยแยก พออาจารย์แยกกันนะครับ เด็กมันก็แยก เพราะเด็กนี่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับธรรมะ มันขึ้นอยู่กับตัวคนสอน มันก็รักคนนี้คนเดียว เด็กอีกกลุ่มหนึ่งก็รักคนนี้ นี้ว่าถ้าผู้สอนนี่สองคนเถียงกัน เด็กมันก็แยกกันเป็นสองกลุ่ม แยกเป็นสองกลุ่ม พอดีอาจารย์คนนี้แพ้ หรือเถียงแพ้ ไม่มาสอนเด็กมันก็ไม่มาเรียนเลยชุดหนึ่ง นี่ความจริงเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าคณะกรรมการผู้สอนเถียงกันนะครับ มันก็มีผล ผลร้ายกันอย่างนี้ นี่เป็นเป็นข้อเตือนใจโดยใช้คำกลอนอย่างนี้ คำกลอนนี่ท่านไปหาได้นะครับ เดี๋ยวผมกลายเป็นโฆษณาหนังสือแล้วมั้งวันนี้ พูดแต่หนังสือ คือหัวข้อกลอนนี่ครับไปหาซื้อได้ ในเล่มนี่มีร้อยกว่าหัวข้อ เอามาท่องเล่นๆ แล้วก็ได้ประโยชน์ดี เขียนให้เด็กบ้าง อะไรบ้างก็ได้ คราวนี้ก็จบการบรรยาย คราวนี้ก่อนจะจบก็ต้องแถมกลอนอีกบทหนึ่ง เพื่อเป็นเครื่องอย่างน้อยก็ด่าตัวเอง เขาว่ากิเลสคุย ส่วนมากทำอะไรๆ ไรเสร็จมันเรื่องของกิเลสคุยทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ธรรมะ คำกลอนเขามีว่า คุยเสียดี เหมือนกับพูดอย่างนี้
คุยเสียดีที่แท้แพ้กิเลส น่าสมเพชเตือนเท่าไรก็ไม่เห็น
ว่าเป็นข้ากิเลสอยู่ทุกเช้าเย็น จะอวดเป็นปราชญ์ไปทำไมนา
ค้นธรรมะหาทางออกอุ้มกิเลส น่าสมเพชจริงๆ เที่ยววิ่งหา
ตำรานั่น ตำรานี่สรรหามา ได้เป็นข้ากิเลสไปสมใจเอย
หมายความว่ามัน มันอยากเป็นปราชญ์ ทีนี้ก็คิดว่าการบรรยายคงจะไม่ใช่กิเลสคุย คือหมายความว่าเอาความรู้ความอะไรต่างๆ มาคุยทับพวกท่านทั้งหลายนี่ คงจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าผมไม่มีเจตนาอย่างนั้น แล้วก็ขอยุติการบรรยายด้วยความขอบคุณที่มีหลายท่านชนะนิวรณ์ สามารถฟังได้โดยตลอด ก็ขอขอบคุณ แล้วก็ได้หวังว่าคงจะมีโอกาสได้พูดคุย หรือว่าสนทนาอะไรกันเพิ่มเติมมากกว่านี้ นี่เวลาล่วงเลยมามากแล้ว สิบโมงสิบห้าแล้ว คิดว่าพอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้แต่เพียงนี้น็น บา บเข กกก กกกกกก dkdk